ถ้าหากว่าบริษัทมีต้นทุนสินค้าเท่ากันทุกงวด เราสามารถคำนวณทั้งต้นทุนขาย (Cost of goods sold) และสินค้าคงเหลือสิ้นงวด (Ending inventory) ได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่นำต้นทุนต่อหน่วยคูณด้วยจำนวนที่ขายก็จะได้ COGS และนำไปคำนวณ Ending inventory ต่อได้
แต่ในความเป็นจริงราคาต้นทุนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นบริษัทจึงต้องเลือกวิธีการคำนวณต้นทุน โดยระบบ IFRS ที่ใช้กันทั่วโลกอนุญาตให้ใช้วิธีการดังนี้
- แบบเจาะจงชิ้นสินค้า (Specific identification)
- First-in, first-out (FIFO)
- แบบต้นทุนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก (Weighted average cost)
อย่างไรก็ตาม ในระบบ U.S. GAAP ของสหรัฐฯนอกจากจะอนุญาตให้ใช้ทั้ง 3 วิธีด้านบนแล้ว ยังสามารใช้วิธี Last-in, first-out (LIFO) ได้อีกด้วย ซึ่งวิธีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในช่วงที่เกิดเงินเฟ้อ ซึ่งเราจะมาอธิบายในบทความต่อๆไป
Specific Identification
Source: https://www.double-entry-bookkeeping.com/inventory/specific-identification-inventory-method/
วิธีนี้เป็นการบันทึก COGS แบบเจาะจงต้นทุนสินค้าแต่ละชิ้นที่ซื้อมา จึงจำเป็นต้องใช้เวลาบันทึกต้นทุนเป็นรายชิ้น เหมาะกับธุรกิจที่เน้นขายสินค้าที่มีราคาสูง และมีความแตกต่างกันในแต่ละชิ้น ตัวอย่างเช่น ธุรกิจเครื่องประดับหรู นอกจากนี้วิธีนี้ยังเหมาะกับงานพิเศษนอกเหนือจากงานปกติของบริษัทอีกด้วย
FIFO
Source: https://www.double-entry-bookkeeping.com/inventory/fifo-vs-lifo/
เป็นวิธีที่มีสมมติฐานว่า สินค้าที่ซื้อเข้ามาก่อนจะถูกขายออกไปก่อน ดังนั้นปริมาณ Ending inventory จึงขึ้นกับกลุ่มราคาสินค้าล่าสุดที่ซื้อเข้าไป หลายๆคนเรียกว่าเป็นวิธีที่สามารถประเมินมูลค่าสินค้าในคลังได้ดีที่สุด ดังนั้นในสภาวะเงินเฟ้อ COGS จากวิธี FIFO จะมีค่าต่ำกว่าต้นทุนปัจจุบัน ส่งผลให้บริษัทมีตัวเลขกำไรสุทธิสูง
LIFO
Source: https://www.double-entry-bookkeeping.com/inventory/fifo-vs-lifo/
เป็นวิธีตรงกันข้ามกับ FIFO โดยคำนวณ COGS จากต้นทุนสินค้าที่ซื้อเข้าไปล่าสุดแทนที่จะเป็นสินค้าที่เก่าที่สุดในคลัง ดังนั้นในสภวะเงินเฟ้อ COGS ของวิธี LIFO จะสูงกว่า FIFO และส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทต่ำกว่าด้วยเช่นกัน
Weighted Average Cost
Source: https://www.double-entry-bookkeeping.com/inventory/average-cost-method/
เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุด เนื่องจากเป็นการเฉลี่ยต้นทุนของสินค้าทั้งหมดในคลัง จากการคำนวณราคาต่อหน่วยโดยนำต้นทุนสินค้ารวม (ปริมาณสินค้าต้นงวด + ปริมาณสินค้าที่ซื้อเข้ามาเพิ่ม) หารด้วยจำนวนสินค้าทั้งหมด เมื่อขายสินค้าออกไปได้จำนวนเท่าไหร่ ก็นำจำนวนนั้นคูณด้วยราคาต่อหน่วยก็จะได้ออกมาเป็น COGS โดยตรง ส่วนปริมาณสินค้าสิ้นงวดก็คำนวณได้จากการนำราคาต่อหน่วยคูณด้วยจำนวนสินค้า ณ สิ้นงวด
ในเมื่อระบบบัญชีของแต่ละประเทศอนุญาติให้ใช้วิธีการต่างๆได้เกือบทุกวิธี แต่ละบริษัทจึงจำเป็นต้องเลือกวิธีการที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของตัวเองมากที่สุด แต่ในมุมของนักลงทุนและนักวิเคราะห์ เราอาจไม่สามารถนำบริษัทที่ใช้วิธีต่างกันมาเปรียบเทียบกันได้โดยตรง ดังนั้นในบทความถัดๆไปเราจะมาอธิบายเกี่ยวกับวิธีการเปรียบเทียบระหว่างบริษัทที่ใช้วิธีการบันทึก COGS ที่แตกต่างกัน
บทความที่เกี่ยวข้อง
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Inventories (Part 1) บทนำ
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Inventories (Part 2) Cost Flow Methods
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Inventories (Part 3) Inventory Systems
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Inventories (Part 4) LIFO to FIFO
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน : Inventories (Part 5) การประเมินมูลค่า Inventory
- หลักการวิเคราะห์งบการเงิน: Inventories (Part 6) ผลของการ Inventory Write-Down