เทรดให้อยู่รอด
ผู้ชนะ คือ ผู้ที่อยู่รอด หากเราสามารถรับมือกับเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดได้ นั่นแปลว่า ไม่ว่าอะไรก็จะเกิดขึ้นก็ตาม เราก็จะสามารถอยู่รอดได้ มีโอกาสที่จะกลับไปต่อสู้ใหม่อีกครั้ง
การวางแผน
การวางแผนสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต (Scenario planning) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการใช้ชีวิต เพราะเราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดในหลายเรื่อง ทั้งในเรื่องงาน, เรื่องการเดินทาง, เรื่องการเงิน, เรื่องความรัก, เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย รวมไปถึง เรื่องความตาย อย่างเช่น วันนึงตัวเราป่วยเป็นโรครุนแรง ต้องลาออกงาน ต้องหาเงินมารักษาเป็นจำนวนมาก ซึ่งถ้าเราเตรียมเงินทุนสำรอง เตรียมงานรองรับ เหตุการณ์ดังกล่าวก็จะไม่ได้ทำร้ายเรามากเกินไป และสามารถใช้เวลาในการฟื้นตัว ทั้งร่างกาย และเงินทุน ให้กลับมาในจุดเดิมได้ไวขึ้น
แต่อย่างหลายคนที่ไม่ได้ตามแผนชีวิตเอาไว้ พอเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เช่น โดนไล่ออกจากงาน, น้ำท่วมบ้าน, ป่วยร้ายแรง, พ่อแม่ที่เป็นเสาหลักของบ้านเสียชีวิต เป็นต้น สิ่งร้ายแรงพวกนี้อาจทำให้เขาเหล่านั้นได้รับผลกระทบถึงขั้นที่ว่า ลุกไม่ขึ้น เลยทีเดียว
ซึ่งถ้าเรามีแผนรับมือในเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นต่างๆ ได้ มันจะทำให้การใช้ชีวิตของเราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้อาจจะมีสะดุดล้มบ้าง แต่ก็ยังสามารถลุกขึ้นมาเดินต่อได้นั่นเอง
Worst case
การคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนั้นถือว่าค่อนข้างยากมาก เพราะมันมีโอกาสเกิดขึ้นได้หลายเหตุการณ์ แนะนำคือ พิจารณาถึง Worst case เอาไว้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะมันจะเหลือไม่กี่เหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว และถ้ารับมือมันได้ เราจะอยู่รอด
การเทรด
การเทรดก็เช่นเดียวกัน เราควรดูถึงเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดที่มีโอกาสขึ้นในการเทรด เช่น หุ้นที่ถือมีโอกาสลงต่ำสุดเท่าไหร่, พอร์ตเรามีโอกาสติดลบสูงสุดแค่ไหน (คูณ 2 เข้าไปอีก), กรณีป่วยส่งคำสั่งไม่ได้ทำอย่างไร, หากโปรแกรมดูกราฟที่ดูอยู่ใช้ไม่ได้จะทำอย่างไร เป็นต้น การรับมือนี้มันทำให้เราสบายใจมากขึ้น และถ้าเกิดเหตุการณ์ที่แย่ๆดังกล่าวจริง ก็จะรับมือกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งที่ต้องแลก
ส่วนมากการรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มันมีต้นทุนของมันอยู่ โดยสิ่งที่ต้องแลกคือ การเปิดความเสี่ยงที่น้อย การเปิดความเสี่ยงน้อย นั้นก็แปลว่า ผลตอบแทนที่ได้รับกลับมาของเรามันก็จะน้อยตาม
ในการลงทุนการลดความเสี่ยง โดยที่ผลตอบแทนโดยรวมยังเหมาะสมอยู่ นั้นมีวิธีการคือ กระจายพอร์ตการลงทุนให้มากที่สุด (เช่น หุ้น (ในประเทศและต่างประเทศ),น้ำมัน,ดัชนี (กระจายทั่วไปโลก), ทองคำ,พันธบัตร,อสังหา และอื่นๆ เป็นต้น) ตามหลักของ Ray ควรเป็นโปรดักส์ที่มีความสัมพันธ์กันน้อย ยิ่งน้อยยิ่งดี
กราฟในหนังสือของ Ray เป็นการแสดงตัวอย่างถึง การเปรียบถึงการจำนวนสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนเมื่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในพอร์ตการลงทุนที่ถือสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์กันสูง (60%) จะมีความเสี่ยงมากกว่าพอร์ตการลงทุนที่ถือสินทรัพย์ที่เป็นอิสระต่อกันหรือไม่มีความสันธ์กัน (0%) อยู่ค่อนข้างมาก (ดูจาก Return to risk ratio)
การทบต้น
การทบต้นเป็นสิ่งที่ไอน์สไตน์ยกให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ 8 ของโลกเลย ใช้สิ่งนี้ให้มีประสิทธิภาพ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนอย่างเหลือเชื่อในความเสี่ยงที่น้อยได้เช่นเดียวกัน
สรุป
ทั้งหมดนี้มันไม่มีผิดถูกอยู่แล้ว บางคนชอบเสี่ยงมาก บางคนชอบเสี่ยงน้อย ซึ่งคนชอบเสี่ยงมากก็อาจจะให้น้ำหนักกับ Best case มากกว่า ส่วนคนที่กลัวความเสี่ยงก็มักจะมอง Worst case ไว้ก่อน ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับเรามากกว่าว่าชอบแบบไหน การลงทุนก็เหมือนกัน ทุกคนต่างมีวิธีการของตัวเอง ให้มันให้เจอ และทำมันอย่างมีประสิทธิภาพ แค่นั้นก็ถือว่าดีเยี่ยมมากๆแล้วครับ
Holy Grail ของ Ray Dalio