สรุปหนังสือ
HOW I MADE $2,000,000 IN THE STOCK MARKET
เทคนิคสร้างเงินล้านจากตลาดหุ้น
หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนคือ คุณนิโคลัส ดาร์วาส เป็นนักเต้น นักลงทุน และนักเขียน ดาร์วาสเป็นชาวฮังการีโดยกำเนิด เขาได้รับการฝึกฝนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยบูดาเปสต์ เมื่อเริ่มซื้อขายในตลาดครั้งแรก เขาประสบปัญหาอย่างมาก และขาดทุนเช่นกัน ต่อมาหลังจากได้รับประสบการณ์ก็ค้นพบทฤษฎีกล่อง (Box Theory) เขาเชื่อว่าหุ้นที่เลื่อนขึ้นและลงในกราฟ จะมีการเคลื่อนไหวในรูปแบบกล่องเฉพาะ จนกว่าราคาจะเคลื่อนไหวในขอบเขตที่จำกัด เมื่อหุ้นเคลื่อนออกจากขอบเขตที่จำกัด นั่นคือย้ายออกจากกล่องนั้น และเพิ่มขึ้นพร้อมกับปริมาณที่เพิ่มขึ้น เขาได้เพิ่มปัจจัยพื้นฐานให้กับเทคนิคนี้ เพื่อทำการซื้อขายในหุ้นดังกล่าว และสามารถสร้างเงินล้านดอลลาร์ จนกลายเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี
ความเป็นมาของหนังสือเล่มนี้
นิตยสาร Time ฉบับวันที่ 25 พฤษภาคม 1959 ได้ลงบทความเกือบเต็มหนึ่งหน้าของคอลัมน์ธุรกิจ เกี่ยวกับเรื่องราวอันสุดทึ่งในการเล่นหุ้น ของนักเต้นคนหนึ่งที่ชื่อ นิโคลัส ดาร์วาส นิตยสาร Time จึงตัดสินใจติดต่อคุณดาร์วาส เกี่ยวกับการเขียนหนังสือที่จะอธิบายเทคนิคของเขา หัวหน้าบรรณาธิการต้องตามเขาไปถึงปารีส ที่นั่นเองได้ค้นพบสถานการณ์อันน่าทึ่ง จนทำให้เกิดหนังสืออันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครนี้ขึ้นมาได้
คุณดาร์วาสเป็นนักแสดง การเต้นของเขาเป็นหนึ่งในการแสดงระดับโลก ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของธุรกิจศิลปะการแสดง เขาและจูเลียน้องสาวของเขานั้น ได้เปิดแสดงใน 34 ประเทศด้วยกัน เขาคุ้นเคยกับการอยู่ภายใต้แสงสี และความสนใจของผู้คนอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลใจที่จะเปิดเผยรายละเอียดการซื้อขายหุ้น ที่สร้างความร่ำรวยให้ตนเอง
อีกอย่างคุณดาร์วาสเป็นอะไรมากกว่านักเต้นที่เก่งกาจ เขาเป็นผู้มีการศึกษาสูง โดยจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งบูดาเปสต์ เขาเคยเป็นนักเขียนข่าวกีฬา เป็นทั้งนักข่าวและบรรณาธิการคอลัมน์ปริศนาอักษรไขว้ในประเทศบ้านเกิด ดังนั้นจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเขียนหนังสือ วิธีการลงทุนที่ทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีเงินล้านในที่สุดนั้น เป็นผลมาจากการทุ่มเทอย่างหนักเพื่อความสำเร็จ ผ่านความผิดพลาดและเรียนรู้มาหลายปี วิธีการที่มีความเฉพาะเจาะจงและปฏิบัติได้จริงเหล่านี้ นำมาใช้เป็นแนวทางที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนทุกคนได้
นักพนัน
บทที่ 1 ยุคแห่งการเล่นหุ้นในแคนาดา
ในเดือนพฤศจิกายนปี 1952 ผู้เขียนกำลังแสดงในไนต์คลับละตินควอร์เตอร์ในแมนฮัตตัน ตัวแทนโทรมาหาเพราะได้รับข้อเสนอ ให้ผู้เขียนและจูเลียที่เป็นคู่เต้นไปแสดงในไนท์คลับแห่งหนึ่งในโตรอนโต ซึ่งมีเจ้าของเป็นพี่น้องฝาแฝดชายที่ชื่อ อัลและแฮร์รี่ สมิท โดยพวกเขาเสนอที่จะจ่ายค่าแสดงให้เป็นหุ้นแทนเงินสด ซึ่งเป็นหุ้นในบริษัทที่ชื่อบรีลันด์ (BRILUD) จำนวน 6,000 หุ้น ในขณะนั้นหุ้นบริษัทนี้มีราคาซื้อขายอยู่ที่ 50 เซ็นต์ต่อหุ้น กลายเป็นว่าผู้เขียนไม่สามารถไปแสดงในโตรอนโตตามวันที่กำหนดได้ ด้วยความรู้สึกแย่ที่ทำให้พี่น้องคู่นี้ต้องผิดหวัง ผู้เขียนจึงเสนอซื้อหุ้นเพื่อแสดงน้ำใจ โดยส่งเช็คจำนวน 3,000 ดอลลาร์ให้พวกเขาไป และได้หุ้นบรีลันด์กลับมา 6,000 หุ้น ในอีก 2 เดือนต่อมา ราคาหุ้นตัวนี้ในหนังสือพิมพ์ หุ้นบรีลันด์จากราคา 50 เซ็นต์ มีราคาซื้อขายอยู่ที่ 1.90 ดอลลาร์ ผู้เขียนขายหุ้นในทันทีและได้กำไรเกือบ 8,000 ดอลลาร์
เขาตกลงปลงใจว่าจะเข้าตลาดหุ้น การตัดสินใจครั้งนี้เขาจะไม่ถอย แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับปัญหาอะไรบ้างในสมรภูมิการแข่งขันอันดุเดือดแห่งนี้ แต่จะเริ่มต้นอย่างไรดี ทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าต้องซื้อหุ้นตัวไหน เลือกหุ้นมาโดยใช้หมุดปักเอาไม่ได้ต้องมีข้อมูล และนั่นเป็นปัญหาใหญ่ ทำอย่างไรจึงจะได้ข้อมูลมา แต่แล้วก็คิดว่าแค่ต้องถามคนให้มาก เพื่อจะได้เรียนรู้เคล็ดลับที่ยิ่งใหญ่ คำถามที่ติดปากเขาเสมอคือคุณรู้จักหุ้นดี ๆ สักตัวไหม ไม่ว่าพวกเขาบอกให้ซื้ออะไรผู้เขียนก็ซื้อตามนั้น ใช้เวลานานกว่าจะค้นพบว่านี่เป็นวิธีหนึ่งที่ไม่มีวันได้ผล เขาเป็นตัวอย่างของนักลงทุนรายย่อยผู้มองโลกในแง่ดีและไม่รู้เรื่องรู้ราว ซึ่งกระโจนเข้าออกจากตลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในช่วงปลายปี 1953 ที่เขากลับไปนิวยอร์ก ด้วยเงินทุนจำนวน 11,000 ดอลลาร์ก็ลดลงเหลือ 5,800 ดอลลาร์ นี่เป็นอีกครั้งที่ต้องทบทวนสถานการณ์ของตัวเองใหม่ คำแนะนำจากเหล่านักธุรกิจไม่ได้เป็นบ่อเงินบ่อทองอย่างที่พวกเขาให้สัญญาไว้ บริการที่ปรึกษาก็ไม่ได้ให้ข้อมูลที่ช่วยให้สามารถทำเงินจากตลาดหุ้นได้ จึงเริ่มต้นอ่านคอลัมน์ทางการเงินในหนังสือพิมพ์อย่าง The New York Time, The New York Herald Tribune และ The Wall Street Journal ความน่าสนใจของคำที่ชวนพิศวงอย่างการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ (over the counter) ยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขามีความสนใจในตลาดนิวยอร์กมากขึ้น จึงตัดสินใจขายหุ้นบริษัทแคนาดาทั้งหมดที่ถืออยู่ ยกเว้นหุ้นของโอล สโมกกี แก๊ส แอนด์ ออยส์ (OLD SMOKY GAS & OILS) ที่ผู้เขียนเก็บหุ้นนี้ไว้เพราะคนที่แนะนำให้ตั้งแต่แรกบอกว่า บริษัทน่าจะมีการพัฒนาที่ดีเยี่ยมต่อไป ผู้เขียนได้รู้จักนายหน้าค้าหุ้นในนิวยอร์กที่ชื่อว่า ลู เคลเลอร์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
บทที่ 2 การเข้าสู่วอลล์สตรีต
ผู้เขียนโทรศัพท์หา ลู เคลเลอร์ โดยบอกเขาว่าเป็นใครและต้องการอะไร วันต่อมาเขาส่งเอกสารบางอย่างมาให้เซ็น และบอกว่าทันทีที่ส่งเอกสารคืนพร้อมกับเงินมัดจำ ก็จะมีบัญชีที่เปิดกับบริษัทนายหน้าค้าหุ้นของเขาแล้ว ผู้เขียนตั้งใจจะเข้าตลาดหุ้นนี้ด้วยความระมัดระวัง และมีวุฒิภาวะกว่าเดิมให้มาก เมื่อคำนวณสินทรัพย์ที่มีเพื่อให้รู้ว่ามีเงินทุนเป็นจำนวนเท่าไหร่ ในช่วงที่เล่นหุ้นในตลาดแคนาดาอยู่ 14 เดือน เงินทั้งหมดที่เหลือจากการเล่นหุ้นคือ 5,800 ดอลลาร์ เงินจำนวนนี้ดูเหมือนไม่พอจะเข้าลงทุนใน Wall Street เขาจึงตัดสินใจเพิ่มเงินลงทุน โดยนำเอาเงินเก็บจากการแสดงมาเพิ่ม ให้เงินลงทุนมีจำนวนทั้งหมด 10,000 ดอลลาร์ และก็วางเงินจำนวนนี้ไว้กับนายหน้าค้าหุ้น
วันหนึ่งก็ตัดสินใจเริ่มซื้อขายโดยโทรหา ลู เคลเลอร์ การซื้อขายหุ้นต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่นดี ธุรกรรมซื้อขายที่ทำในระหว่างช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมของปี 1954 เมื่อถึงสิ้นเดือนพฤษภาคมเงินลงทุน 10,000 ดอลลาร์ก็เพิ่มขึ้นเป็น 14,600 ดอลลาร์ การขาดทุนเป็นบางครั้งบางคราวไม่ได้ทำให้เขาทุกข์ร้อนใจ เมื่อใดก็ตามที่การซื้อขายประสบผลสำเร็จ ผู้เขียนก็จะชมตัวเอง แต่เวลาที่ขาดทุนก็จะโทษว่าเป็นความผิดของนายหน้าค้าหุ้น เขาเดินหน้าทำการซื้อขายหุ้นไปอย่างต่อเนื่อง ถ้าวันไหนไม่ได้ทำการซื้อขายอย่างน้อย 1 ครั้ง ก็จะรู้สึกว่าไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองในตลาดหุ้น
ผู้เขียนเข้าหาหุ้นใหม่ ๆ เหมือนเด็กที่แสวงหาของเล่นใหม่เสมอ สิ่งเดียวที่รบกวนจิตใจเขาอย่างแท้จริง คือไม่เข้าใจสิ่งที่นายหน้าพูดเกี่ยวกับตลาดหุ้น จึงตัดสินใจจะอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติม นอกจากคอลัมน์การเงินในหนังสือพิมพ์รายวันของนิวยอร์กแล้ว เขายังเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับตลาดหุ้น เพื่อจะได้พูดคุยในระดับเดียวกับเขาได้ จึงค่อย ๆ มีความคุ้นเคยกับชุดคำศัพท์ใหม่ และพยายามใช้คำเหล่านี้เสมอ ทำให้รู้สึกทึ่งกับคำอย่างเช่น กำไร เงินปันผล มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด ทำให้ได้เรียนรู้ว่ากำไรต่อหุ้นหมายถึง กำไรสุทธิของบริษัทหารด้วยจำนวนหุ้นที่ถือครองโดยนักลงทุน และหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดคือ หุ้นที่มีการเสนอซื้อและเสนอขายบนตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและตลาดหลักทรัพย์อเมริกัน ผู้เขียนทุ่มเทศึกษานิยามของคำว่าหุ้น หุ้นกู้ สินทรัพย์ กำไร อัตราผลตอบแทน มีอะไรให้อ่านมากมาย เพราะมีหนังสือนับร้อยเล่มเกี่ยวกับตลาดหุ้นที่ได้รับการตีพิมพ์ โดยมีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับตลาดหุ้นมากกว่าเรื่องทางวัฒนธรรมอื่น ๆ
ยังมีอีกหนึ่งคำสอนในตลาดหุ้น ที่จับใจเขาคือซื้อถูกขายแพงที่ยิ่งฟังดูดีเข้าไปใหญ่ เมื่อค้นหาหุ้นราคาถูกก็ได้ค้นพบตลาดซื้อขายหลักทรัพย์ ที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาด (Over the Counter market) ตลาดนี้จึงดูเป็นที่เหมาะที่สุดในการค้นหาหุ้นราคาถูก พบว่าการกำจัดหุ้นพวกนี้ไปเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก และแทบจะขายไม่ได้ราคาเท่ากับที่จ่ายไปเพื่อซื้อหุ้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะไม่มีกฎระเบียบ ในเรื่องราคาที่เคร่งครัดมากำกับอย่างหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาด ไม่มีรายงานให้ใครสามารถเห็นได้ว่า การซื้อขายแต่ละครั้งเกิดขึ้นที่ราคาเท่าไหร่ มีเพียงแค่ราคาเสนอขาย และราคาเสนอซื้อเท่านั้น ผู้เขียนพลั้งพลาดเข้าไปซื้อขายหุ้นนอกตลาด ทำให้ตัดสินใจว่าจะยอมแพ้ และกลับไปให้ความสนใจกับหลักทรัพย์จดทะเบียนเหมือนเดิม
จากการลองหลากหลายวิธี และประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็เริ่มเห็นข้อสรุปบางอย่างขึ้น เริ่มทำให้ระบุกฎบางอย่าง ที่สามารถนำมาใช้ออกมาได้คือ
- ไม่ควรทำตามคำแนะนำของบริการที่ปรึกษา คำแนะนำเหล่านี้ผิดพลาดได้เสมอ
- ควรระมัดระวังคำแนะนำของนายหน้าค้าหุ้น พวกเขาอาจให้คำแนะนำที่ผิดได้
- ควรไม่สนใจคำสอนในวอลล์สตรีต ไม่ว่าจะเป็นคำสอนที่สืบทอดกันมายาวนานหรือน่าเชื่อถือแค่ไหนก็ตาม
- ไม่ควรซื้อขายหุ้นนอกตลาด ควรซื้อขายเฉพาะหุ้นที่จดทะเบียนในตลาด ซึ่งจะมีผู้ซื้อหุ้นที่ต้องการขายเสมอ
- ไม่ควรรับฟังข่าวหรือไม่ว่าข่าวลือนั้นจะมีเหตุผลสนับสนุนมากเพียงใดก็ตาม
- วิธีการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานใช้ได้ดีกับมากกว่าการพนัน ควรศึกษาวิธีดังกล่าว
- ควรถือหุ้นที่ราคากำลังขึ้นไว้ให้นานกว่าเดิม แทนที่จะสลับไปซื้อหุ้นเป็น 10 ตัวในช่วงเวลาสั้น ๆ
สิ่งที่ทำให้ราคาหุ้นนี้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุผลเป็นเรื่องของปัจจัยพื้นฐาน เพื่อค้นหาหุ้นที่ได้รับการจัดอันดับว่ามีคุณภาพดีเด่น หุ้นที่ผู้เชี่ยวชาญชื่นชอบ หุ้นที่ขายในราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี หุ้นที่มีสภาพคล่องสูง หุ้นที่ไม่เคยลดเงินปันผล นอกจากนี้ยังมีการจัดอันดับหุ้นตามระดับความปลอดภัยและมูลค่าหุ้นอีกด้วย
หุ้นชั้นดี (High Grade stocks) เป็นหุ้นที่ถือว่ามีการจ่ายเงินปันผลที่แน่นอน
AAA ปลอดภัยที่สุด
AA ปลอดภัย
A มั่นคง
หุ้นน่าลงทุน (Investment Merit stocks) เป็นหุ้นที่โดยปกติมีการจ่ายเงินปันผล
BBB ดีที่สุดในกลุ่ม
BB ดี
B ดีพอสมควร
หุ้นชั้นรองลงมา (Lesser Grade stocks) เป็นหุ้นที่มีการจายเงินปันผลในปัจจุบัน แต่ไม่มั่นใจว่าจะมีการจ่ายในอนาคต
CCC ดีที่สุดในกลุ่ม
CC มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลพอสมควร
C มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผลเล็กน้อย
หุ้นชั้นต่ำสุด (Lowest Grade stocks)
DDD ไม่มีแนวโน้มจ่ายเงินปันผล
DD มีมูลค่าที่เห็นชัดเจนเพียงเล็กน้อย
D ไม่มีมูลค่าที่เห็นชัดเจน
ผู้เขียนศึกษาการจัดอันดับข้างต้นทั้งหมดอย่างละเอียด วิธีนี้ดึงดูดใจเพราะเป็นศาสตร์ที่ไม่นำอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาปะปน ไม่ตกเป็นเหยื่อของข่าวลือที่น่ากังวลใจ และสร้างความตื่นตระหนกอีกต่อไป สิ่งที่ต้องทำเพื่อสร้างความสำเร็จคือ การสร้างตารางเปรียบเทียบของตัวเองขึ้นมา ซึ่งเรื่องนี้ต้องทำอย่างจริงจังเต็มที่
บทที่ 3 วิกฤตครั้งแรกของผม
หุ้นก็มีการรวมตัวกันเหมือนคนหรือสัตว์ โดยจับกลุ่มตามอุตสาหกรรมที่หุ้นนั้นอยู่ และหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน มีแนวโน้มจะเคลื่อนที่ตามกันในตลาด ไม่ว่าจะเป็นการขยับขึ้นหรือขยับลงก็ตาม ดูเหมือนเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ที่ควรใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เพื่อพยายามค้นหาข้อมูลต่อไปนี้
- กลุ่มอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งที่สุด
- บริษัทที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น
จากนั้นควรซื้อหุ้นของบริษัทนั้นและถือไว้ เพราะหุ้นในอุดมคติเช่นนี้ต้องขึ้นอย่างแน่นอนผู้เขียนตั้งใจว่าจะเลือกทางที่ปลอดภัยไว้ก่อน จึงคิดว่าหุ้นที่จะซื้อควรอยู่ในกลุ่ม A และควรจ่ายเงินปันผลสูง แต่กลับต้องประหลาดใจเมื่อค้นหาและพบว่า หุ้นระดับ A นั้นหายากมาก และมักเป็นหุ้นบุริมสิทธิเสมอ โดยเป็นหุ้นราคาค่อนข้างคงที่และไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่ แน่นอนว่าหุ้นพวกนี้ไม่เหมาะ จึงตัดสินใจมาดูหุ้นระดับ B แทน ซึ่งมีหุ้นที่ดูดีอยู่หลายตัว ได้เลือกหุ้นที่คนรู้จักกันดีที่สุดมา 5 ตัว และเริ่มนำแต่ละตัวมาเปรียบเทียบกันอย่างถี่ถ้วนถึงที่สุด มีเรื่องเดียวที่เขากังวลมากนั่นคือ การซื้อหุ้นนี้ให้ได้เป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ว ก่อนที่คนอื่นจะมาค้นพบมัน
ผู้เขียนมั่นใจในความคิดของตัวเองที่ได้จากการศึกษาอย่างละเอียด มากเสียจนตัดสินใจที่จะระดมเงินทุนจากทุกแหล่งที่สามารถหาได้ แต่แล้วก็ใจสลายจบเห่ และถูกทำลายจนย่อยยับ ความคิดอวดดีว่าตัวเองเป็นนักลงทุนใน Wall Street ที่มีระบบและหลักการพังทลายลง หลักการอยู่ตรงไหนกัน อะไรคือประโยชน์ของการศึกษาค้นคว้าข้อมูล อะไรเกิดขึ้นกับตัวเลขสถิติที่มี หากทำตัวเป็นนักพนันที่บ้าบิ่น ก็คงคาดได้ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่เขาทำดีที่สุดแล้วที่จะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะทุ่มเทความพยายามอย่างหนักเป็นเวลานาน ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดแล้ว ทำทั้งการศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์ และเปรียบเทียบข้อมูล แล้วจึงตัดสินใจจากข้อมูลปัจจัยพื้นฐานที่น่าเชื่อถือมากที่สุดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นผลลัพธ์เดียวที่ผมได้กลับเป็นการสูญเงินไป 9,000 ดอลลาร์
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่มีอะไรถูกต้องทั้งการพนัน คำแนะนำ ข้อมูลการศึกษาค้นคว้า การตรวจสอบ และวิธีการอื่นใดที่ลองใช้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นต่างไม่ได้ผล ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร จนรู้สึกว่าคงไปต่อไม่ได้แล้ว ทุกวันหลังจากนั้นจึงใช้เวลาหลายชั่วโมงในการศึกษาตารางหุ้นอย่างกระตือรือร้นเพื่อหาทางแก้ปัญหา ผู้เขียนติดตามหุ้นทั้งหมดที่มีการซื้อขายกันในตลาด ในที่สุดก็สะดุดตากับอะไรบางอย่าง มันเป็นหุ้นที่เขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ซึ่งดูเหมือนราคากำลังขึ้น ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนี้ และไม่เคยได้ยินข่าวลืออะไรเกี่ยวกับบริษัท ทั้งหมดที่รู้ก็มีแค่ราคาหุ้นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องวันแล้ววันเล่า จึงลองดูด้วยความสิ้นหวังมากกว่าความหวัง และเป็นความพยายามอย่างบ้าบิ่นครั้งสุดท้าย ที่จะหาทางชดเชยการขาดทุน ผู้เขียนถือหุ้นนี้เป็นเวลา 5 สัปดาห์ โดยเฝ้ามองอย่างใจจดใจจ่อตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งเมื่อราคาหุ้นไปยืนอยู่ที่ 43 ดอลลาร์ ตัดสินใจไม่ยอมเสี่ยงไปมากกว่านี้ ขายหุ้นและได้เงินกลับมา 42,840.43 ดอลลาร์ แต่ยังได้เงินมาไม่พอชดเชยกับที่ขาดทุนไป 9,000 ดอลลาร์ แต่ก็หาเงินกลับมาได้เกินครึ่งแล้ว
ผู้เขียนหันกลับมาถามกับตัวเองว่า ประโยชน์ของการศึกษารายงานของบริษัทแนวโน้มอุตสาหกรรม การจัดอันดับต่าง ๆ และอัตราส่วนราคาต่อกำไรคืออะไร หุ้นที่ช่วยให้พ้นจากหายนะเป็นหุ้นตัวที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน เลือกมันมาด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้นคือ ดูเหมือนว่าราคาหุ้นกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น นี่คือคำตอบอย่างนั้นหรือ ก็อาจจะเป็นไปได้
นักวิเคราะห์เทคนิค
บทที่ 4 การพัฒนาทฤษฎีกล่อง
ผู้เขียนนั่งลงประเมินสถานการณ์ของตัวเอง ไม่อาจเล่นหุ้นโดยหวังพึ่งโชคเพียงอย่างเดียวได้ อาจโชคดีสักครั้งหรือ 2 ครั้งแต่ไม่เสมอไป ต้องพึ่งพาความรู้ ต้องเรียนรู้วิธีการเล่นหุ้นในตลาด จะคาดหวังความสำเร็จในตลาดโดยไม่เรียนรู้วิธีการซื้อขายได้อย่างไรกัน สิ่งแรกที่ทำคือการสำรวจประสบการณ์ที่ผ่านมา ใช้วิธีวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เมื่อใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง เห็นได้ชัดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการพยายามใช้วิธีการที่ประสบความสำเร็จ จะพิจารณาตัดสินการเคลื่อนไหวของหุ้น ณ เวลานั้นได้อย่างไร จึงตัดสินใจศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นแต่ละตัวอย่างละเอียด หุ้นมีการตอบสนองอย่างไร ลักษณะพฤติกรรมของหุ้นเป็นอย่างไร การผันผวนขึ้นลงของหุ้นมีแบบแผนหรือไม่ จึงได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหุ้นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเริ่มตระหนักว่าการเคลื่อนไหวของหุ้นไม่ได้เกิดขึ้นแบบตามบุญตามกรรมไปเสียทั้งหมด แต่จะมีแนวโน้มขาขึ้นขาลงชัดเจนราวกับดึงดูดด้วยแม่เหล็ก เมื่อเกิดแนวโน้มชัดเจนแล้วหุ้นก็จะเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางนั้น โดยหุ้นมีการเคลื่อนไหวในกรอบตามแนวโน้มดังกล่าว หรือเป็นสิ่งที่เรียกว่ากล่อง นี่เป็นจุดเริ่มต้นของทฤษฎีกล่องของเขา ซึ่งนำผู้เขียนไปสู่ความร่ำรวย
งานที่ต้องทำคือการกำหนดกรอบที่แน่ชัด และมั่นใจว่าหุ้นไม่ได้ขยับจนหลุดจากกรอบล่างของกล่อง หากเป็นเช่นนั้นก็จะขายหุ้นทันทีเพราะดูท่าไม่ดีแล้ว เปรียบดังก่อนที่นักเต้นจะกระโดดขึ้นกลางอากาศ จำต้องอยู่ในท่าย่อตัวและขาเพื่อเตรียมพร้อมพุ่งกระโดด พบว่าหุ้นก็เหมือนกันโดยปกติหุ้นจะไม่พุ่งขึ้นจาก 50 ดอลลาร์เป็น 70 ดอลลาร์ในทันทีทันใด หรือกล่าวได้ว่าหุ้นที่อยู่ในแนวขาขึ้นแล้วย่อตัวลงมาเหลือ 45 ดอลลาร์จาก 50 ดอลลาร์นั้น ก็เหมือนกับนักเต้นที่ย่อตัวและขาเพื่อเตรียมพร้อมพุ่งกระโดด
เมื่อผู้เขียนมีประสบการณ์มากขึ้น ยังได้เรียนรู้ด้วยว่าการที่หุ้นลงมาแตะราคา 45 ดอลลาร์หลังจากทำจุดสูงสุดที่ 50 ดอลลาร์นั้นมีข้อดีที่สำคัญอีกอย่าง โดยเป็นการสลัดผู้ถือหุ้นที่อ่อนแอและหวาดกลัว ซึ่งทำให้เข้าใจผิดว่านี่เป็นการเข้าสู่ขาลงของหุ้นให้หลุดลอยออกไป แล้วทำให้หุ้นสามารถขยับขึ้นต่อไปได้รวดเร็วกว่าเดิม แต่ปัญหาสำคัญยังคงอยู่ แล้วเวลาไหนที่เหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้น ตามหลักเหตุผลแล้วควรเป็นเวลาที่หุ้นเข้าสู่กรอบราคาใหม่ ประสบการณ์นี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จุดนี้เองที่ทำให้ตระหนักในที่สุดว่า
- ไม่มีอะไรแน่นอนในตลาด จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดผิดครึ่ง คิดถูกครึ่ง
- ต้องยอมรับความจริงข้อนี้และปรับตัวตามนั้น
- ต้องทำตัวให้เป็นนักวิเคราะห์ที่เป็นกลาง ซึ่งไม่ยึดติดกับทฤษฎีหรือหุ้นใด ๆ
- ไม่เพียงแค่ใช้โอกาส อันดับแรกต้องลดความเสี่ยงให้มากที่สุดเท่าที่มนุษย์ปุถุชนจะทำได้
สิ่งแรกที่ทำตามแนวทางนี่คือ การนำอาวุธที่เรียกว่าการยอมขาดทุนเร็วมาใช้ เมื่อรู้อยู่แล้วว่าจะคิดผิดครึ่งหนึ่งหรือถูกครึ่งหนึ่งเสมอ แล้วทำไมไม่ยอมรับความผิดพลาดตามความเป็นจริงแล้วขายทันทีตั้งแต่ยังขาดทุนไม่มาก จึงตัดสินใจที่จะส่งคำสั่งซื้ออัตโนมัติ ณ ราคาที่กำหนด พร้อมกับคำสั่งให้ขายอัตโนมัติที่จุดหยุดการขาดทุน (Stop loss) เผื่อในกรณีที่ราคาหุ้นลดลง สมมุติว่าคิดถูกครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด แค่การซื้อขาย 40 ครั้งโดยไม่ขาดทุนหนักแม้แต่ครั้งเดียว ก็จะทำให้สูญเสียเงินทุนแล้ว โดยถูกหักไปกับค่านายหน้าจนหมดนั่นเอง ทางเดียวที่จะรอดจากอันตรายนี้คือ กำไรจะต้องมากกว่าผลขาดทุน ปัญหาที่ยากที่สุดคือ การบังคับตัวเองไม่ให้ขายหุ้นที่กำลังขึ้นเร็วเกินไป ทางที่ดีกว่าคือการนำวิธีใหม่มาใช้นั่นคือ การถือหุ้นที่กำลังขึ้นไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ขยับจุดหยุดการขาดทุนของคำสั่งขายอัตโนมัติ ควบคู่ไปกับการขึ้นของหุ้น
แล้วจะทำอย่างไรให้รู้ว่าเมื่อใดต้องการขายทำกำไร ต้องตระหนักก่อนว่าจะไม่สามารถขายที่ราคาสูงสุดได้ ใครก็ตามที่อ้างว่าตัวเองทำเช่นนี้ได้อย่างสม่ำเสมอกำลังโกหกอยู่ แล้วจะขายเมื่อไหร่กันล่ะ ก็ตอนที่กล่องราคาเริ่มมีทิศทางตรงกันข้ามไงเล่า เมื่อพีระมิดเริ่มล้มลงมา นั่นคือเวลาที่จะเลิกแล้วขายหุ้นไปให้หมด จุดหยุดการขายที่ขยับขึ้นตามราคาของหุ้นที่เพิ่มขึ้น ก็ควรจะจัดการเรื่องนี้ได้โดยอัตโนมัติ
ทำการปรับวัตถุประสงค์การลงทุนใหม่ โดย
1.หุ้นถูกตัว
2.ช่วงเวลาซื้อขายที่เหมาะสม
3.ขาดทุนเล็กน้อย
4.กำไรก้อนโต
สำรวจสิ่งที่มีอยู่
1.ราคาและปริมาณการซื้อขาย
2.ทฤษฎีกล่อง
3.คำสั่งซื้ออัตโนมัติ
4.คำสั่งขายอัตโนมัติที่จุดหยุดการขาดทุน
ผู้เขียนตระหนักว่ายังมีปัญหาสำคัญอยู่หลายข้อ โดยการซื้อขายต้องใช้การคาดเดาอย่างมาก รู้ว่าต้องมองหุ้นอย่างไม่เอาอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปเกี่ยวข้อง ต้องไม่ตกหลุมรักหุ้นเมื่อมันมีราคาขึ้น และต้องไม่โกรธเมื่อหุ้นตก ไม่มีหุ้นตัวไหนที่ดีหรือแย่มีแค่หุ้นที่ราคากำลังขึ้นและหุ้นที่ราคากำลังตกเท่านั้น จึงต้องควบคุมอารมณ์ความรู้สึกที่มีไว้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งความกลัวความหวังและความโลภ ไม่สงสัยเลยว่าการทำแบบนี้ต้องใช้วินัยในตัวเองอย่างยิ่งยวด
บทที่ 5 โทรเลขรอบโลก
ในเวลาเดียวกับที่ผู้เขียนเริ่มตั้งใจจะใช้หลักการใหม่ของตัวเอง ก็ได้เซ็นสัญญาแสดงการเต้นรอบโลกเป็นเวลา 2 ปี ทำให้เผชิญหน้ากับปัญหามากมาย เช่น จะทำการซื้อขายต่อในระหว่างอยู่อีกฟากหนึ่งของโลกได้อย่างไร แล้วสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดก็คือ เหตุการณ์ตอนที่นายหน้าค้าหุ้นโทรมาแล้วเขาไม่ได้รับสาย ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้แม้แต่ในนิวยอร์กแล้ว จะผ่านอุปสรรคแบบนี้ไปได้อย่างไรหากอยู่ห่างไกลไปหลายพันไมล์ เขาจึงคุยเรื่องนี้กับนายหน้าค้าหุ้น และตัดสินใจว่ายังสามารถติดต่อกันผ่านทางโทรเลขได้ และยังใช้อีกหนึ่งเครื่องมือคือ นิตยสารรายสัปดาห์ที่ชื่อ Barron’s โดยให้มีการจัดส่งทางไปรษณีย์โดยเร็วที่สุดหลังจากตีพิมพ์
ผู้เขียนเดินทางไปหลายที่ในระหว่างออกทัวร์การแสดง จากฮ่องกงไปถึงอิสตันบูล ย่างกุ้ง มะนิลา สิงคโปร์ สตอกโฮล์ม ฟอร์โมซ่า กัลกัสต้า ญี่ปุ่น และอีกหลายแห่ง ซึ่งเป็นปกติที่ผมมักเจอปัญหาอื่น ๆ เมื่อพยายามรับหรือส่งโทรเลข ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งคือ ในขณะที่กำลังเดินทาง ต้องระวังไม่ให้พลาดการรับโทรเลข ดังนั้นในระหว่างที่เดินทาง จึงให้มีการส่งโทรเลขซ้ำอีกครั้ง หรือถึงกับส่งซ้ำ 3 ครั้งเป็นเรื่องปกติ ที่จะมีการส่งโทรเลขออกจาก Wall Street ไปบนเที่ยวบินหมายเลข 2 ของสายการบินแพน-อเมริกาที่สนามบินฮ่องกง แล้วส่งโทรเลขที่เหมือนกันไปที่สนามบินโตเกียว และส่งซ้ำอีกครั้งไปที่โรงแรมนิกคะสึ โตเกียว การส่งโทรเลขซ้ำนี้ ทำให้สามารถรับโทรเลขได้ทันทีที่เครื่องลงจอด ถ้าพลาดการรับโทรเลขในเที่ยวบินนั้น
กลไกการซื้อขายพื้นฐานของผู้เขียนเป็นดังนี้ นิตยสาร Barron’s ที่ตีพิมพ์ในบอสตันทุกวันจันทร์ ตามปกติจะมาถึงในวันพฤหัสบดี นั่นย่อมหมายความว่าจะรู้ข่าวความเคลื่อนไหวใน Wall Street ช้าไป 4 วัน อย่างไรก็ตามเมื่อผมเห็นหุ้นใน Barron’s ที่มีพฤติกรรมตรงตามทฤษฎี ก็จะส่งตัวเลขไปหานายหน้า โดยเขียนบอกให้เขาส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวของหุ้นตัวนั้นตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดี
เมื่อโทรเลขเข้ามาหาอย่างต่อเนื่องวันแล้ววันเล่า เขาก็เริ่มเคยชินกับการซื้อขายรูปแบบใหม่นี้อย่างช้า ๆ และเริ่มรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่รบกวนจิตใจในบางครั้งคือ หุ้นส่วนหนึ่งที่ถือมีการเคลื่อนไหวในแบบที่หาคำอธิบายไม่ได้ และไม่สัมพันธ์กับพฤติกรรมก่อนหน้าของหุ้นแม้แต่น้อย นี่ทำให้เขางุนงง และในช่วงที่กำลังมองหาคำอธิบายอยู่นี่เองที่เขาได้ค้นพบสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งว่าต้องพึ่งตัวเอง มีเพียงตัวเลขรายวันกับนิตยสารรายสัปดาห์เท่านั้น ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่ทำให้เขายังติดต่อกับ Wall Street ซึ่งอยู่ห่างออกไปได้อยู่
การหาค่าความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีค่าเฉลี่ยกับหุ้น โดยคิดว่าถ้าดัชนีขึ้นหุ้นก็จะขึ้นด้วย บริษัทในดัชนีดาวโจนส์นั้นไม่ใช่เครื่องทำนาย ซึ่งไม่ได้พยายามบอกว่าหุ้นแต่ละตัวจะขึ้นหรือลงเมื่อใด เริ่มเข้าใจว่าไม่สามารถนำมาตรฐานที่ตายตัว มาใช้ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์กับหุ้นรายตัว พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีนี้กับหุ้นแต่ละตัวเป็นไปตามหลักการบางอย่าง แต่ก็วัดออกมาอย่างแน่ชัดไม่ได้ จับตามองดัชนีค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ แต่จะทำเพื่อพิจารณาว่าอยู่ในตลาดที่กำลังร้อนแรงหรือกำลังอ่อนแรงเท่านั้น วัฏจักรในภาพรวมของตลาดอย่างภาวะขาลง (Bear market) หรือภาวะขาขึ้น (Bull market) มักส่งผลต่อหุ้นส่วนใหญ่ในตลาด
เมื่อปรับทฤษฎีจนสมบูรณ์แล้ว ผู้เขียนก็รู้สึกเข้มแข็งขึ้นมาก สามารถสรุปความเห็นเกี่ยวกับหุ้นได้จากตัวเลขที่อยู่ตรงหน้า เหมือนกับแพทย์ที่เห็นภาพเอกซเรย์ ซึ่งมักมีข้อมูลทุกอย่างที่เขาอยากรู้อยู่ในนั้นหมดแล้ว เมื่อมองไปที่ตัวเลขก็ทำสิ่งที่คล้ายกัน โดยนำราคาหุ้นที่ถือแต่ละตัวมาเปรียบเทียบกันก่อน แล้วค่อยเปรียบเทียบกับดัชนีค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ และหลังจากชั่งน้ำหนักกับช่วงเวลาซื้อขายของหุ้น ก็จะประเมินว่าควรซื้อขายหรือถือหุ้นไว้ เมื่อใดก็ตามที่ซื้อหุ้นตัวหนึ่ง เขาจะเขียนเหตุผลในการซื้อออกมา จะทำแบบเดียวกันเวลาที่ขายหุ้นนั้น เมื่อใดก็ตามที่การซื้อขายได้ผลขาดทุน ก็จะเขียนเหตุผลที่คิดว่าทำให้ขาดทุนออกมา แล้วก็พยายามไม่ทำผิดพลาดแบบเดิมอีก
หุ้นมีลักษณะเฉพาะตัวเหมือนกับมนุษย์ เพราะหุ้นสะท้อนถึงอุปนิสัยของคนที่ซื้อและขายหุ้นนั้นอย่างไม่ผิดเพี้ยน หุ้นก็เหมือนมนุษย์ซึ่งจะมีพฤติกรรมแตกต่างกันออกไป หุ้นบางตัวสงบนิ่งเชื่องช้าไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง บางตัวตกใจง่าย ประมาท เครียด พบว่าหุ้นบางตัวคาดเดาได้ง่าย โดยมีลักษณะการเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอ มีเหตุผลรองรับพฤติกรรม เหมือนกับเพื่อนที่พึ่งพาได้ และบางตัวเป็นหุ้นที่ไม่สามารถรับมือได้ แต่ละครั้งที่ซื้อหุ้นพวกนี้มันทำให้เจ็บตัวเสมอ พฤติกรรมบางอย่างของหุ้นเกือบเหมือนมนุษย์ โดยดูเหมือนจะไม่ต้องการ หุ้นเหล่านี้ทำให้นึกถึงคนที่พยายามเป็นมิตรด้วย แต่จะคิดว่าดูถูกเขาจึงมาตบหน้า ผู้เขียนมีความสุขที่พบว่าวิธีการนี้ใช้ได้ดีกว่าที่ฝันเอาไว้มาก โดยทำให้รอดตัวก่อนที่ช่วงเวลาเลวร้ายจะมาถึงนานพอสมควร ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลงแต่ออกมาจากตลาดแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านั้น แค่ออกจากตลาดเพราะพฤติกรรมของหุ้นที่ถือเท่านั้นเอง
การออกทัวร์แสดงการเต้นรอบโลกของดาร์วาส ทำให้เขาจำใจต้องใช้โทรเลขเป็นช่องทางเดียวเท่านั้นในการสื่อสารกับ Wall Street แม้ว่าจะมีความไม่สะดวกมากมาย แต่กลับเป็นองค์ประกอบสำคัญ ในเทคนิคการลงทุนที่นำไปสู่ความสำเร็จของเขาในที่สุด
นักวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคู่กับปัจจัยพื้นฐาน
บทที่ 6 ในช่วงตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะขาลง
หลังจาก 2-3 สัปดาห์ที่ไม่มีหุ้นในมือแม้แต่ตัวเดียว ผู้เขียนตัดสินใจที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ให้ละเอียดยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความเข้าใจที่กระจ่างชัด จึงทำการเปรียบเทียบตลาดใน 2 ภาวะคือ ตลาดในภาวะขาขึ้นเปรียบได้กับค่ายฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยนักกีฬาทรงพลัง แต่ต้องจำไว้ว่าหุ้นบางตัวแข็งแกร่งกว่าตัวอื่น ส่วนตลาดในภาวะขาลงนั้นทำให้ฤดูร้อนเปลี่ยนไปเป็นโรงพยาบาล ซึ่งหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดกำลังเจ็บป่วย แต่บางตัวเจ็บป่วยหนักกว่าตัวอื่น เมื่อตลาดลงอย่างรุนแรงหุ้นเกือบทุกตัวก็ได้รับบาดเจ็บ หรือถูกทำลายไปตอนนี้ คำถามอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรในการประเมินว่าหุ้นเจ็บหนักเพียงใด และความเจ็บป่วยนั้นจะอยู่ไปอีกนานเท่าใด ผู้เขียนให้เหตุผลว่าถ้าหุ้นตัวหนึ่งราคาร่วงจาก 100 ดอลลาร์เหลือ 40 ดอลลาร์ ย่อมจะไม่ไต่กลับขึ้นไปที่ราคาสูงสุดเช่นเดิมได้อีกนานแสนนาน
หลังผ่านไปพักหนึ่งเมื่อผลกระทบจากการลงแรงของตลาดครั้งแรกเริ่มหมดไป โอกาสก็เข้ามาหุ้นบางตัวเริ่มต้านแนวโน้มขาลงได้ หุ้นเหล่านั้นยังตกต่อก็จริง แต่ในขณะที่หุ้นส่วนใหญ่ลงอย่างง่ายดายตามสภาวะของตลาดในขณะนั้น หุ้นเหล่านี้กลับฮึดสู้ไม่ยอมลงง่าย ๆ ผู้เขียนแทบรู้สึกได้ถึงการต่อต้านของหุ้นเมื่อวิเคราะห์เจาะลึกยิ่งขึ้น เขาพบว่าหุ้นส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้เป็นบริษัทที่มีกำไร มีแนวโน้มสูงขึ้นมาก สรุปได้ชัดเจนคือเงินทุนกำลังไหลเข้าไปที่หุ้นเหล่านี้ แม้ตลาดจะอยู่ในสภาวะเลวร้าย เงินทุนนั้นตามติดกำไรที่สูงขึ้นเหมือนกับสุนัขตามดมกลิ่น การค้นพบนี้เปิดตาให้ได้มุมมองใหม่ที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ผู้เขียนมองว่าเป็นเรื่องจริงที่หุ้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำกำไร ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าแม้จะมีเหตุผลมากมายที่ทำให้หุ้นมีการเคลื่อนไหว ก็จะมองหาแค่เหตุผลเดียวคือ ความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น หรือการคาดการณ์ถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น จับคู่วิธีวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ากับวิธีการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน จะเลือกหุ้นด้วยปัจจัยทางเทคนิคจากการเคลื่อนไหวในตลาด แต่จะซื้อหุ้นนั้นก็ต่อเมื่อตัดสินใจได้จากการวิเคราะห์พื้นฐานว่าหุ้นนั้น มีความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้น นี่เป็นวิธีที่ทำให้ได้ทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคควบคู่กับปัจจัยพื้นฐาน (techno-fundamentalist)
นอกจากนี้ยังเตรียมตัวให้พร้อมกับการซื้อขายหุ้นราคาสูงด้วย เนื่องจากเหตุผลในเรื่องค่านายซื้อขายหุ้น ถ้าเข้าซื้อในระดับราคาที่ถูกต้อง ค่านายหน้าก็ไม่สำคัญ มันจะชดเชยกันไปกับกำไรที่ได้ แต่ถ้าจังหวะการซื้อผิดไป และถูกบังคับขายอัตโนมัติเมื่อถึงจุดหยุดการขาดทุนนั่นเป็นอีกเรื่อง เพราะค่านายหน้าสำหรับการซื้อ และสำหรับการขายจะต้องถูกรวมเข้ากับการขาดทุนด้วย ดังนั้นความผิดพลาดจะทำให้ขาดทุนน้อยกว่ามาก ถ้าซื้อหุ้นที่มีราคาสูง หลักการเดียวกันนี้ยังใช้ได้อยู่กับ Wall Street ในปัจจุบัน สิ่งที่สืบทอดกันมาแต่ยุคโบราณยังคงเดิมคือ เข้าให้ไวกว่าคนอื่น นี่เป็นจุดที่ใช้เวลาฝึกมา 5 ปี เพื่อให้ไปถึงผมรู้ว่าได้เรียนรู้อะไรมามากมาย ช่วงเวลาในแคนาดาสอนว่าไม่ให้ทำตัวเป็นนักพนัน ช่วงเวลาการเป็นนักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ได้สอนเกี่ยวกับกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ และแนวโน้มกำไรของอุตสาหกรรม ช่วงเวลาการเป็นนักวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้สอนวิธีตีความหมายการเคลื่อนไหวของราคาและสถานะของหุ้น ในทางเทคนิคและตอนนี้ ผู้เขียนต้องฝึกตัวเองด้วยการนำทุกอย่างมาประกอบเข้าด้วยกัน หลังจากนั้นไม่กี่เดือนสิ่งที่เขารอคอยให้เริ่มต้นก็เกิดขึ้น มีหุ้น 2-3 ตัวเริ่มส่งสัญญาณในทางที่ดี แต่มีข้อสงสัยอย่างหนึ่งนั่นคือ หุ้นที่เคยเป็นผู้นำตลาดในช่วงก่อนหน้านั้น อาจจะไม่ได้กลับมาเป็นผู้นำอีกครั้ง จึงต้องหาหุ้นตัวใหม่ ซึ่งความคิดนี้ได้รับการพิสูจน์ในภายหลังว่าถูกต้อง
บทที่ 7 ทฤษฎีเริ่มใช้ได้ผล
ในระหว่างที่หุ้นส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีตระหกระเหินหรือล่วงลง ผู้เขียนยังออกทัวร์แสดงการเต้นรอบโลกอยู่ ในเดือนพฤศจิกายนปี 1957 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาไปแสดงในงานอาร์ก ออง ซีล ที่เมืองไซ่ง่อน เขาสังเกตเห็นหุ้นตัวหนึ่งในนิตยสาร Barron’s มีการขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของราคาและปริมาณการซื้อขายที่สูง ซึ่งเป็นตัวบ่งบอกถึงความน่าสนใจในหุ้นนี้อย่างมหาศาล ในแง่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นนั้นรู้สึกพอใจทันที ผู้เขียนขอให้นายหน้าส่งโทรเลขมาแจ้งราคาซื้อขายล่าสุดรายวันของหุ้น จากนั้นไม่นานก็เห็นได้ชัดจากราคาซื้อขายเหล่านี้ว่า มีคนรู้ข้อมูลดีบางกลุ่มกำลังพยายามเข้าซื้อหุ้นนี้ โดยไม่สนใจสภาวะของตลาดในภาพรวม ตอนนั้นมีไม่กี่คนที่เล็งเห็นว่า หุ้นลอริลลาร์ด (LORILLARD) จะสร้างประวัติศาสตร์ในวอลล์สตรีต และจะพุ่งขึ้นไปสูงเป็นประวัติการณ์ในเวลาสั้น ๆ ให้ปรากฏแต่สายตาของคนในแวดวงการเงิน ที่เฝ้ามองด้วยความทึ่งและตกตะลึง
ตลาดที่อยู่ในสภาวะขาลงและบรรยากาศในตลาดค่อนข้างซึมเซา แต่หุ้น LORILLARD กลับโดดขึ้นลงในกรอบตารางแคบ ๆ อย่างมีความสุข ราวกับไม่แยแสความคิดลบที่มีต่อตลาดโดยรวม ถึงแม้จะค่อนข้างมั่นใจกับการตัดสินใจที่ได้จากการวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานควบคู่กัน แต่เขาก็ไม่คิดที่จะทิ้งอาวุธป้องกันสำคัญ นั่นคือคำสั่งขายอัตโนมัติที่จุดหยุดการขาดทุน ไม่ว่าบ้านจะถูกสร้างขึ้นดีขนาดไหน ก็คงไม่คิดว่าจะลืมทำการประกันอัคคีภัยไป ผู้เขียนจับตาดูราคาซื้อขายล่าสุดรายวันอย่างใกล้ชิด โดยมองหาจังหวะที่เหมาะสมเหมือนกับนักสู้ที่มองหาช่องปล่อยหมัดโจมตี เมื่อใกล้สิ้นเดือนมกราคม หลังจากการเคลื่อนไหวแบบสับขาหลอกก็เกิดการพุ่งทะยานครั้งใหญ่ของราคาอย่างที่คาดเอาไว้ หุ้น LORILLARD เริ่มขยับออกจากกล่องราคาเดิมอย่างชัดเจน นี่ดูเหมือนเป็นช่วงจังหวะเหมาะเจาะที่สุด ทุกอย่างดูเป็นใจทั้งปัจจัยทางเทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน แบบแผนการเคลื่อนไหวของราคา นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์คยังพึ่งลดสัดส่วนเงินที่ต้องวางเป็นหลักประกันในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์จาก 70% เหลือ 50% ด้วย ซึ่งหมายความว่าเงินทุนที่มีจำกัด จะมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก โดยเงินทุก 1,000 ดอลลาร์สามารถซื้อหุ้นมูลค่า 2,000 ดอลลาร์ได้ นี่เป็นเรื่องสำคัญเพราะจำเป็นต้องมีเงินทุนในการซื้อหุ้นอีกตัวที่เฝ้าดูอยู่ในช่วงนั้น
การซื้อหุ้นครั้งสุดท้ายเป็นการซื้อที่วางเงินหลักประกันในบัญชี 50% ของยอดซื้อรวม นี่ทำให้ผู้เขียนสามารถเก็บเงินทุนส่วนที่เหลือไว้สำหรับการลงทุนอื่น ซึ่งเป็นหุ้นที่ชื่อว่า DINNERS’ CLUB เขารู้สึกสนใจหุ้นตัวนี้เป็นครั้งแรกในช่วงสิ้นปี ซึ่งหุ้น DINNERS’ CLUB พึ่งมีการแตกหุ้นในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 และในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคมปี 1958 ปริมาณการซื้อขายรายสัปดาห์ของหุ้นก็เพิ่มขึ้นเป็น 23,400 หุ้น ซึ่งมองว่าสูงผิดปกติสำหรับหุ้นตัวนี้ ปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นมา พร้อมกับราคาที่สูงขึ้น จึงตัดสินใจที่จะตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวนี้ ซึ่งทำให้เกิดความมั่นใจในตัวหุ้นบริษัทนั้น อยู่ในฐานะที่แทบได้ว่าผูกขาดในธุรกิจที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง บริษัทนั้นเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกระบบบัตรเครดิต ซึ่งติดตลาดไปแล้ว กำไรของบริษัทมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจน ในสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนเมษายนเหตุการณ์ที่คล้ายกับสิ่งที่ผมมั่นใจก็เกิดขึ้นราคาหุ้น DINNERS’ CLUB ทะลุกรอบล่างของกรอบราคาปัจจุบัน และหุ้นในมือถูกขายออกโดยอัตโนมัติ ผู้เขียนได้เงินมา 35,848.85 ดอลลาร์คิดเป็นกำไรรวมที่ 10,328.05 ดอลลาร์
สำหรับผู้เขียนนี่เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ เขามีความสุขเสียจนไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนดีจึงเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนที่สนใจฟัง และเอาโทรเลขให้พวกเขาดู ปฏิกิริยาอย่างเดียวที่ได้รับคือคำถามที่ว่า ใครให้คำแนะนำกับคุณหรือ ผู้เขียนพยายามอธิบายไปว่าไม่มีใครให้คำแนะนำ และทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มีความสุขและตื่นเต้นมา แต่ไม่มีใครเชื่อเลย ผู้เขียนมั่นใจว่าจนถึงทุกวันนี้เพื่อนทุกคนของเขาในกัลกัตตายังเชื่อว่า คุณกิลเบิร์ตเป็นคนมาบอกให้รู้ข้อมูลลับนี้เอง ด้วยความไว้วางใจในตัวผู้เขียน
บทที่ 8 เงินครึ่งล้านแรกของผม
ความสำเร็จยังท่วมท้นในการซื้อขายหุ้น น่าจะทำให้ผู้เขียนมีความทะเยอทะยานมากขึ้น และระมัดระวังตัวน้อยลง แต่มันกลับทำให้เขายิ่งระมัดระวังมากขึ้น จากการลงทุนเป็นเวลา 9 เดือน และเขาตั้งใจว่าจะไม่เสียเงินจำนวนนี้ไปด้วยการทำผิดพลาด ขั้นแรกที่เขาทำคือการถอนเงินกำไรครึ่งหนึ่งออกจากเงินลงทุนในตลาด ด้วยเงินทุนที่เหลืออยู่ทำให้จับตาดูตลาดอย่างระมัดระวัง โดยการมองหาหุ้นตัวใหม่ที่ดูท่าทางจะดี หลังจากความสำเร็จครั้งใหญ่เป็นเรื่องปกติที่ทำเงินได้น้อยมาก
เนื่องจากตรวจสอบราคาซื้อขายล่าสุดของหุ้นในนิตยสาร Barron’s อย่างสม่ำเสมอ จึงตัดสินใจจะลองสั่งซื้อหุ้น THIOKOL ในช่วงหลังจากนั้นอีก 1-2 เดือน ในระหว่างที่ถือหุ้นนี้อยู่ 1,500 หุ้น 1 สัปดาห์ต่อมาผมได้รับแจ้งว่าบริษัท THIOKOL ตัดสินใจออกสิทธิ์ในการซื้อหุ้นโดยให้เป็นโบนัสสำหรับผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 1 สิทธิ์ต่อ 1 หุ้น หากต้องการใช้สิทธิ์ในการซื้อหุ้น ก็จะได้ซื้อในราคาถูกแน่นอน แต่ถ้าไม่ต้องการใช้สิทธิ์ในการซื้อหุ้น ก็สามารถขายสิทธิ์บนตลาดหลักทรัพย์แห่งอเมริกาได้ ซึ่งเป็นตลาดที่มีการจดทะเบียนสิทธิ์ในการซื้อหุ้นนี้ และทำการซื้อขายสิทธิ์ได้ภายในเวลาจำกัด อย่างไรก็ตามสิทธิ์ในการซื้อหุ้นเหล่านี้ มีคุณลักษณะที่สำคัญอีกอย่างซึ่งทำให้มีความน่าสนใจมาก ตามกฎของตลาดหลักทรัพย์หากสิทธิ์ถูกนำมาใช้ในการซื้อหุ้นของบริษัท จะสามารถใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่าบัญชีจองซื้อหุ้นแบบพิเศษ (Special subscription account) ได้กล่าวคือเมื่อฝากสิทธิ์ในการซื้อหุ้นไว้ที่บัญชีนี้ นายหน้าค้าหลักทรัพย์จะอนุญาตให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นนั้นในจำนวนไม่เกิน 75% ของมูลค่าตลาดปัจจุบันของหุ้นนั้น นอกจากนี้ยังไม่มีการคิดค่านายหน้ากับการซื้อหุ้นด้วย นี่เป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับผู้เขียน ได้มีการได้ซื้อหุ้นด้วยเงินกู้ยืมก้อนโต เขาตัดสินใจโดยเข้าไปซื้อด้วยเงินสดทั้งหมดที่มีอยู่ในมือ แต่ตอนนี้มีสถานการณ์ที่แปลกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ในระหว่างพยายามทำข้อตกลงกับที่นิวยอร์ก ก็ค้นพบว่าถึงแม้กฎระเบียบจะกำหนดไว้ว่าให้กู้ยืมเงินในสัดส่วน 75% ของการลงทุน แต่นายหน้ากลับมีความเห็นไม่ตรงกัน เรื่องจำนวนเงินที่สามารถกู้ยืมได้ในบัญชีจองซื้อหุ้นแบบพิเศษ ในขณะที่นายหน้ารายหนึ่งยินดีให้กู้เงินเท่ากับ 75% ของราคาหุ้น อีกรายยินดีให้กู้ยืมเงินถึง 75% ของมูลค่าตลาดของหุ้น ซึ่งในตอนนี้หุ้น THIOKOL มีราคาซื้อขายล่าสุดที่ราว ๆ 55 ดอลลาร์ ข้อเสนอหลังจากนั้นจึงเป็นการให้กู้ยืมเงินในแบบที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ผู้เขียนจึงเลือกใช้ประโยชน์จากข้อเสนอนี้ จากการซื้อครั้งนี้ดูเข้าท่ามากจนตัดสินใจว่าจะหาประโยชน์เพิ่มเติมจากการกู้ยืมแบบที่มีเงื่อนไขพิเศษนี้
ในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคมหุ้น THIOKOL ย้ายจากตลาดหลักทรัพย์แห่งอเมริกาไปจดทะเบียนบนตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ราคาหุ้นพุ่งขึ้นไป 8 จุดทันที และในสัปดาห์ต่อมา ราคาก็ขึ้นไปแตะที่ 100 ดอลลาร์ ระหว่างที่หุ้นยังขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายหน้าของเขายังคงรู้สึกกังวลเพราะผู้เขียนได้รับโทรเลขที่เขียนว่า หุ้น THIOKOL ของคุณตอนนี้มีกำไร 250,000 ดอลลาร์ โทรเลขฉบับนี้มาถึงตอนพักอยู่โรงแรม ชอร์ช เดอะฟิฟท์ ในปารีส ทันใดนั้นผู้เขียนก็ตระหนักได้ว่ามัวแต่ง่วนอยู่กับการจับตาดูราคาซื้อขายล่าสุด จนเกือบลืมนึกถึงกำไรทางบัญชีที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขามีกำไรเกินครึ่งล้านดอลลาร์แล้ว ที่จริงนี่เป็นจำนวนเยอะกว่าที่เคยคิดฝันว่าจะได้ครอบครองไปมาก การตระหนักว่ากำลังจะได้เงินก้อนนี้ทำให้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันที ทุกอณูในร่างกายเหมือนจะพร้อมใจกันพูดว่าขาย ๆ มันเป็นสิ่งที่ยั่วยวนใจครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ควรทำอย่างไรดี ราคาหุ้นจะยังสูงขึ้นกว่านี้ไหม หรือควรขายทำกำไรไปเสียบ้าง บางทีหุ้นอาจจะไม่ขึ้นไปสูงกว่านี้แล้ว ราคาอาจจะร่วงหล่นมาก็ได้ มันเป็นตามสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกที่เลวร้าย คำถามที่ว่าเมื่อใดที่ควรขายยิ่งสำคัญกว่าเดิมมาก เพราะมีเงินจำนวนมหาศาลเป็นเดิมพัน ถ้าเลือกถูกทางก็จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่ถ้าเลือกผิดก็จะเสียดายตลอดไป
ในที่สุดผู้เขียนก็ตัดสินใจว่าไม่ขาย แต่เขาคิดถูกจริง ๆ หุ้น THIOKOL ยังคงขึ้นต่อ การตัดสินใจที่ปารีสในครั้งนั้นทำให้สามารถถือหุ้นนี้ไว้จนทำเงินได้เยอะกว่านั้นมาก ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาได้กลับไปที่ New York ในเดือนมกราคมปี 1959 นัดหมายครั้งแรกคือการไปเจอกับนายหน้าเพื่อหารือกับพวกเขาเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นในวอลล์สตรีต นานหน้าบอกผู้เขียนว่าเมื่อดูจากบัญชีที่พวกเขาบันทึกไว้ การลงทุนทำเงินให้ได้มากกว่าครึ่งล้านดอลลาร์
บทที่ 9 วิกฤตครั้งที่ 2 ของผม
ข่าวเรื่องเงินครึ่งล้านดอลลาร์ทำให้ผู้เขียนมีความมั่นใจอย่างท่วมท้น เขารู้อย่างชัดเจนว่าตัวเองทำเงินก้อนโตนี้ได้อย่างไร และยังเชื่อมั่นด้วยว่าจะสามารถสร้างความสำเร็จแบบเดิมได้อีกครั้ง จึงไม่กังขาเลยว่าตอนนี้เขาเชี่ยวชาญในศิลปะการลงทุนของตัวเองแล้ว กำลังก้าวเดินบนเส้นทางที่สดใส โดยไม่ได้รับรู้ถึงภัยอันตรายแต่อย่างใด ไม่รู้ว่าระหว่างทางนั้นมีอันตรายใหญ่หลวงซุ่มรออยู่ เพราะให้เหตุผลกับตัวเองด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า คงมีกี่คนกันที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ผู้เขียนตัดสินใจจะเริ่มอย่างจริงจัง ถ้าสามารถทำเงินได้ครึ่งล้านแล้วอะไรจะหยุดไม่ให้ทำเงินได้อีก 2 ล้าน 3 ล้าน หรือแม้แต่กระทั่ง 5 ล้านกัน ถึงแม้ข้อกำหนดเรื่องเงินวางประการในบัญชีจะเพิ่มสัดส่วนเงินประกันเป็น 90% เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เขียนตั้งใจจะเริ่มทำการซื้อขายแบบวันต่อวัน ซึ่งจะทำให้การซื้อขายก่อนหน้าดูเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย ความจริงคือในขณะที่กระเป๋าเงินแน่นขึ้นสมองกลับเบาลง ผู้เขียนกลายเป็นคนที่มั่นใจจนเกินไป และนั่นเป็นสภาวะความคิดแบบอันตรายที่สุด ที่จะเกิดขึ้นกับใครก็ตามในตลาดหุ้น ไม่นานหลังจากนั้นผู้เขียนก็ได้รับบทเรียนอันขมขื่น ที่ตลาดหยิบยื่นให้กับผู้ที่คิดว่าตนเองสามารถควบคุมตลาดอย่างประมาทเลินเล่อได้
หลังจากมาอยู่ที่นิวยอร์คได้ 2-3 วัน ผู้เขียนก็ตัดสินใจที่จะติดต่อกับตลาดให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น การมีสิ่งที่คิดว่าเป็นระบบป้องกันความผิดพลาดได้ ทำให้เชื่อว่าถ้าย้ายไปอยู่ใกล้กับตลาดมากขึ้นจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งไม่ให้สร้างความร่ำรวยในแต่ละวันได้ เมื่อภาพฝันในอนาคตเป็นฝ่ายชนะ เขาก็เลือกสำนักงานซึ่งเป็นที่ทำการของนายหน้ารายหนึ่งที่ใช้บริการ เขารู้สึกชอบมากตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปเยี่ยมชมสำนักงานดังกล่าว ห้องค้าหุ้นดูกว้างขวาง บรรยากาศภายในน่าตื่นเต้นเต็มไปด้วยพลัง ผู้คนในห้องที่ดูราวกับนักพนันดูลุ้นกันตัวโก่ง ในห้องเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหววุ่นวายไม่หยุดและเสียงอึกทึก
ในวันแรกผู้เขียนไม่รู้สึกอะไรกับบรรยากาศที่ตึงเครียด และเต็มไปด้วยความตื่นเต้นนี้มากนัก ในการซื้อขายเพียงไม่กี่วันทำให้เขาทิ้งทุกอย่างที่เรียนรู้ตลอดช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมา มันเหมือนกับเขาได้ถูกครอบงำโดยปีศาจแห่งการรวยให้เร็วไปแล้ว ผู้เขียนเสียความสามารถในการมองเห็นสิ่งต่าง ๆ อย่างกระจ่างชัด สิ่งแรกที่ไปคือสัมผัสที่ 6 เขาไม่รู้สึกอะไรเลย ทั้งหมดที่เห็นคือหุ้นจำนวนมากที่ราคาวิ่งขึ้นลงอย่างไม่มีจังหวะหรือเหตุผล ความอิสระก็หายไป เขาเลิกใช้ระบบของตัวเองไปทีละน้อย แล้วรับเอาทัศนคติของคนอื่นมาแทน จุดหยุดการขาดทุนนี่เป็นสิ่งแรกที่เขาโยนทิ้งไป ความอดทน วิจารณญาณไม่มีสักอย่าง กล่องราคาลืมมันไปได้เลย
วงจรอุบาทว์ในการซื้อขายหุ้นที่ดำเนินไปวันแล้ววันเล่าเริ่มเป็นไปในลักษณะดังนี้ เขาซื้อที่ราคาสูงสุด ทันทีที่ซื้อราคาหุ้นเริ่มตก จึงรู้สึกกลัวมากและขายหุ้นที่ราคาต่ำสุด ทันทีที่ขายราคาหุ้นเริ่มขึ้น จึงรู้สึกโลภขึ้นมา และซื้อหุ้นที่ราคาสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นช่วงเวลาแห่งหายนะอย่างแท้จริง ผู้เขียนสูญเงิน 100,000 ไปในไม่กี่สัปดาห์ ช่วงท้ายของไม่กี่สัปดาห์ที่เป็นหายนะ เขานั่งลงแล้วตั้งสติคิดหาเหตุผลว่าทำไมเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้นได้ ทำไมมีฝีมือตอนอยู่ฮ่องกง กัลกัตตา ไซ่ง่อน และสตอกโฮล์ม แต่กลับเสียความสามารถไปเมื่ออยู่ห่างจากวอลล์สตรีตไปไม่เกินครึ่งไมล์ ความแตกต่างคืออะไรกัน
ผู้เขียนเริ่มตระหนักได้ว่า นี่เหมือนกับสิ่งที่เผยให้เห็นตอนเขาเดินทางอยู่ต่างประเทศว่า เขาสามารถประเมินตลาดหรือหุ้นบางตัวที่สนใจอย่างสงบเยือกเย็น เป็นกลาง ไม่มีสิ่งรบกวน หรือข่าวลือ โดยปราศจากอารมณ์ความรู้สึก และอัตราของตัวเองอย่างสิ้นเชิง ที่นิวยอร์กไม่อย่างนั้นเลย มีทั้งสิ่งรบกวน ข่าวลือ ความตื่นตระหนก ข้อมูลที่ขัดแย้งกันเองลอยเข้าหู ผลที่ได้คือมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปกับหุ้น แล้ววิธีอันมีหลักการที่ไม่เอาความรู้สึกเข้ามาปะปนก็อันตรธานหายไป เขาตัดสินใจให้มีคำตอบเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ต้องออกจากที่นี้ไปทันที ไปให้ไกลจากนิวยอร์ก ก่อนที่จะสูญเสียเงินทั้งหมดไป ผู้เขียนขึ้นเครื่องบินไปปารีส แต่ก่อนที่จะไปได้ทำการตัดสินใจที่สำคัญมาก โดยสั่งนายหน้าไว้ว่าพวกเขาต้องไม่โทรหา หรือให้ข้อมูลใด ๆ เป็นอันขาด การสื่อสารเดียวที่ต้องการจากพวกเขาและจากวอลล์สตรีตคือ โทรเลขรายวันแบบที่เคยทำมาเท่านั้น
ตอนแรกผู้เขียนแทบไม่อยากจะเชื่อ เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเพ่งมองตัวเลขเหล่านั้นเหมือนกับไม่เคยเห็นมันมาก่อน เพราะกลัวว่าจะคิดไปเอง ในวันต่อ ๆ มาโทรเลขก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ผู้เขียนเริ่มอ่านราคาซื้อขายหุ้นได้เหมือนกับตัวตนเมื่อวันวาน เขาเห็นได้อีกครั้งว่าหุ้นตัวใดที่แข็งแรง หุ้นตัวใดที่อ่อนแรง ในเวลาเดียวกันความรู้สึกก็เริ่มกลับมา ความมั่นใจค่อย ๆ ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ผู้เขียนได้ความกล้ากลับคืนมามากพอที่จะลองเข้าตลาดดูอีกครั้ง จึงตัดสินใจว่าจะกำหนดกฎเป็นถาวรว่า จะต้องไม่ไปที่สำนักงานของนายหน้าค้าทุนอีกต่อไป และนายหน้าต้องถูกห้ามไม่ให้รับสายหรือโทรหา ต้องได้ราคาซื้อขายหุ้นทางโทรเลขเท่านั้น และจะไม่มีทางอื่นใดอีก
แม้ว่าจะกลับไปโรงแรมที่นิวยอร์ก คำสั่งของเขาจะต้องไม่เปลี่ยนแปลง ผู้เขียนต้องให้วอลล์สตรีตอยู่ห่างจากตัวเองไปหลายพันไมล์ นายหน้าต้องส่งโทรเลขมาหาทุกวัน จะเลือกหุ้นตัวใหม่เองด้วยการอ่านหนังสือพิมพ์การเงินรายสัปดาห์อย่างที่เคยทำมาโดยตลอด เมื่อเห็นหุ้นที่รู้สึกสนใจและดูเหมือนกำลังเตรียมตัวที่จะขึ้น ผู้เขียนจะขอราคาซื้อขายล่าสุด จะขอราคาซื้อขายล่าสุดของหุ้นตัวใหม่ทีละ 1 ตัวเท่านั้น แล้วก็จะทำอย่างที่เคยทำมาก่อนคือ จะศึกษาหุ้นตัวนั้นอย่างละเอียดรอบคอบ ก่อนตัดสินใจว่าคุ้มค่าที่จะเข้าไปทำการซื้อขายหรือไม่
บทที่ 10 เงิน 2 ล้านดอลลาร์
เมื่อผมกลับมาจากที่นิวยอร์กในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนกุมภาพันธ์ปี 1959 และผู้เขียนเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดอีกครั้ง เขายังคงรู้สึกถึงรอยบอบช้ำจากความโง่ของตัวเอง แต่เป็นเหมือนคนที่รู้สึกแข็งแกร่งและดีขึ้น หลังจากประสบการณ์ที่เลวร้าย เขาได้รับบทเรียนสุดท้ายมาแล้ว ตอนนี้รู้แล้วว่าจะต้องยึดตามระบบที่ออกแบบมาเองอย่างเคร่งครัด เพราะได้เรียนรู้แล้วว่าหากไม่ทำตามระบบแค่เพียงครั้งเดียวก็จะเจอปัญหาแน่นอน โครงสร้างทางการเงินจะตกอยู่ในอันตรายทันที มันอาจจะพังทลายลงมาได้อย่างง่ายดาย สิ่งแรกที่ทำเมื่ออยู่ในนิวยอร์คคือ การหาวิธีป้องกันตัวเองให้มั่นใจว่าจะไม่ทำความผิดพลาดใด ๆ ที่เคยทำมาแล้วซ้ำอีก
ผู้เขียนใช้วิธีนี้ให้ได้ผลโดยขอให้นายหน้าส่งโทรเลขมาหาหลังเวลาปิดทำการของวอลล์สตรีต เพื่อให้โทรเลขมาถึงตอน 6 โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เขาตื่นนอน นี่เป็นผลจากการแสดงใน Night Club มาเป็นเวลาหลายปี ส่วนในระหว่างวันพนักงานรับโทรศัพท์ได้รับคำสั่งไม่ให้โอนสายมาหาเขาแม้แต่สายเดียว ด้วยวิธีนี้ทุกเหตุการณ์ในวอลล์สตรีตจะเกิดขึ้นระหว่างที่เขาอยู่บนเตียง ผู้เขียนนอนหลับในขณะที่พวกเขาทำงาน และพวกเขาไม่สามารถติดต่อหรือทำให้กังวลได้ ผู้เขียนมีคำสั่งขายอัตโนมัติที่จุดหยุดการขาดทุนเป็นตัวแทนในกรณีที่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น พอถึงเวลา 1 ทุ่มก็เริ่มศึกษาโทรเลขที่ได้ในแต่ละวัน ซื้อหนังสือพิมพ์ฉบับบ่ายที่มีราคาปิดของหุ้นในวอลล์สตรีต แล้วฉีกเอาแต่หน้าที่มีราคาซื้อขายระหว่างวัน ทิ้งส่วนที่เป็นข่าวการเงินทั้งหมดไป เพราะไม่ต้องการอ่านข่าวหรือความคิดเห็นทางการเงินใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้อมูลที่ดีเพียงใดก็ตาม ด้วยสิ่งเหล่านี้อาจทำให้ไขว้เขวได้
หุ้นสองตัวที่เขาไม่ได้ขายนั้นยังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หุ้น UNIVERSAL CONTROLS ขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างแทบไม่สะดุด ส่วนหุ้น THIOKOL ก็ทำตัวดีไม่ต่างกัน จึงตัดสินใจว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปแตะต้องหุ้น 2 ตัวนี้ ระหว่างช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ทำการซื้อขายแบบนี้ในนิวยอร์ก สัญญาณบ่งบอกว่ามีปัญหาก็เริ่มแสดงให้เห็นซึ่งมาจากหุ้น UNIVERSAL CONTROLS หุ้นเริ่มไม่ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนที่เป็นมา นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามีปัญหาและปัญหาย่อมตามมา ผู้เขียนจึงขยับจุดหยุดการขาดทุนขึ้นให้ใกล้กับราคาปิดของวันไม่เกิน 2 จุด เช้าวันต่อมาหุ้นจึงถูกขายออกไปหมด ซึ่งมากกว่าราคาสูงสุดเกิน 12 จุด ผู้เขียนรู้สึกพอใจแล้ว หุ้นทั้งหมดอยู่ที่ 524,616.27 ดอลลาร์ซึ่งทำให้ได้กำไร 409,356.48 ดอลลาร์ ตอนนี้ผู้เขียนมีเงินก้อนใหญ่มากสำหรับการลงทุน การมีเงินจำนวนมากขนาดนี้ให้ใช้นั้น ทำให้เขาต้องระมัดระวังไม่ให้การซื้อของตัวเองมีอิทธิพลต่อตลาด
ไม่ใช่ผู้เขียนคนเดียวที่ชอบหุ้น THIOKOL หุ้นใหม่ที่เกิดจากการแตกหุ้นที่รับการตอบสนองอย่างอุ่นหนาฝาคั่งมาจากคนทั่วไป ซึ่งทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้น แน่นอนว่าสถานการณ์นี้ไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดไป กรรมการตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์คตัดสินใจระงับการซื้อขาย ณ ราคาที่กำหนด ทั้งหมดผลที่ได้คือนักเทรดทั่วไปไม่เข้าไปทำอะไรกับหุ้นอีก ผู้เขียนขายหุ้น THIOKOL ที่ถืออยู่ออกไป จากหุ้นจำนวน 18,000 หุ้นหลังการแตกหุ้นกำไรอยู่ที่ 862,031.25 ดอลลาร์
ตอนต้นเดือนกรกฎาคม ผู้เขียนก็ได้รับคำเชิญให้ไปเข้าร่วมสโมสรกีฬาใน มอนติคาโล เขาตอบรับคำเชิญด้วยความยินดี การนั่งนิ่งทำให้เกิดความเบื่อหน่ายอยู่บ้าง ก่อนจะเตรียมการเดินทางออกจากนิวยอร์ก ผู้เขียนขอให้นายหน้าเข้ามาพบเพื่อไล่เรียงรายละเอียดบัญชีของตัวเองกับนายหน้าแต่ละราย เขาพบว่าถ้าขายหุ้นทั้งหมดก่อนบินไปยุโรป เขาจะได้เงินค่าหุ้นเป็นจำนวนกว่า 2,250,000 ดอลลาร์ ผู้เขียนต้องเผชิญกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าข่ายไม่ออกคือ ควรขายหรือไม่ ควรขายหุ้นทั้งหมดเลยดีไหม ครั้งนี้การหาคำตอบเป็นเรื่องง่าย เป็นคำตอบที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วว่าเชื่อถือได้ นั่นคือไม่มีเหตุผลอะไรที่ควรจะขายหุ้นที่กำลังขึ้น จะทำแค่เกาะติดไปกับแนวโน้มขยับจุดหยุดการขาดทุนตามหลัง เมื่อแนวโน้มขึ้นต่อไปก็จะซื้อเพิ่มอีก แล้วถ้าแนวโน้มเกิดการขยับตัวล่ะก็รีบหนีให้ไว เหมือนหัวขโมยที่ถูกขัดจังหวะเช่นทุกครั้ง ผู้เขียนตั้งจุดหยุดการขาดทุนสำหรับหุ้นทุกตัวที่ถืออยู่ เพื่อว่าหากราคาหุ้นตกมาในระหว่างกำลังเดินทางไปยุโรป หุ้นก็จะถูกขายออกไปโดยอัตโนมัติ และเงิน 2 ล้านก็จะยังอยู่ครบ
การให้สัมภาษณ์นิตยสาร Time
ในเดือนพฤษภาคม 1959 เป็นเวลา 6 ปีครึ่งที่ได้เริ่มเข้าซื้อขายหุ้น ดูเหมือนว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดของผู้เขียนถูกกล่าวถึงกันในวอลล์สตรีต นิตยสาร Time มาหาและเขาก็ให้ข้อมูล ทั้งหมดเกี่ยวกับวิธีสร้างความร่ำรวยไป โดยให้เขาดูบัญชี รายการซื้อขาย โทรเลข พวกเขาตรวจดูเอกสารอย่างละเอียด
บรรณาธิการบริหารนิตยสารไม่เพียงมีข้อกังขากับความสำเร็จในตลาดหุ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าผู้เขียนเต้นเป็นด้วย เมื่อจูเลียกับผู้เขียนปรากฏตัวบนเวทีแสดง ในช่วงท้ายของการแสดง เมื่อผู้เขียนต้องแสดงการยกตัวคู่เต้นที่ใช้แรงมาก มันทำกล้ามเนื้อแขนขวามัดหนึ่งฉีก แต่ต้องอดทนกระทั่งจบการแสดงได้ เขาต้องนั่งคุยกับผู้เชียวชาญประจำวอลล์สตรีตต่ออีก เพื่อตอบการซักถามข้อมูลทางการเงินที่เก็บทุกรายละเอียดระหว่างที่รู้สึกเจ็บแขนตลอดเวลาการซักถามดำเนินไปเป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งเขาคอยย้อนกลับมาถามคำถามหนึ่งตลอดว่า ทำไมผู้เขียนพูดคุยเรื่องการซื้อขายหุ้นของตัวเองได้อย่างเปิดเผย ผู้เขียนตอบว่านั่นเป็นเพราะรู้สึกภูมิใจสิ่งที่ทำสำเร็จแล้ว เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง
ในสัปดาห์ต่อมาบทความนี้ก็ปรากฏอยู่ในนิตยสาร Time ซึ่งมีผู้อ่านที่ทรงอิทธิพลโดยเฉพาะคนในแวดวงการเงิน ผลลัพธ์ที่ได้คือผู้เขียนกลายเป็นที่ยอมรับของผู้เชียวชาญด้านการเงินส่วนใหญ่ว่า เป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง แม้จะเป็นนักลงทุนในตลาดหุ้นที่แหวกแนวไม่เหมือนใครก็ตาม และนี่คือที่มาของหนังสือเล่มนี้ ผลลัพธ์อย่างอื่นที่ได้คือกล้ามเนื้อแขนที่ฉีกขาดอย่างรุนแรง จนหมอบอกว่าอาจต้องเลิกแสดงไปเลย แล้วใน 2 สัปดาห์ต่อมา ผู้เขียนได้แสดงการเต้นบนเวทีไปตามปกติ ซึ่งอาจเป็นการทำเพื่อพิสูจน์ว่าบางครั้งผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ก็อาจคิดผิดได้ เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญในวอลล์สตรีตนั่นเอง.