A Random Walk Down Wall Street

สั่งซื้อหนังสือ “เดินสุ่มในวอลสตรีท” (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ : เดินสุ่มในวอลสตรีท

A Random Walk Down Wall Street

บทที่ 1

การมีรากฐานที่มั่นคงกับการสร้างวิมานในอากาศ

หนังสือเล่มนี้เหมือนการเดินสุ่มไปโดยไม่ต้องสนใจกับทิศทางที่มุ่งหน้าไป บนเส้นทางทางการเงินที่ชื่อว่าวอลสตรีท เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับคำแนะนำด้านการลงทุน ที่ถูกนำมาใช้จริงในทางปฎิบัติ และเรียนรู้เกี่ยวกับโอกาสและกลยุทธ์ของการลงทุน หนังสือเล่มนี้จะเป็นคำแนะนำอย่างรวบรัดสำหรับนักลงทุน แนะนำเกี่ยวกับการเลือกซื้อประกันชีวิต และวิธีที่จะหลีกเลี่ยงการเสียเงินจำนวนมากให้กับธนาคารและนายหน้า ควรจะทำอย่างไรเกี่ยวกับทองคำและเพชร คำแนะนำด้านการลงทุนตามวงจรชีวิต (Life Cycle Investment) คำแนะนำสำหรับการจัดพอร์ตการลงทุน โดยจะครอบคลุมทุกกลุ่มอายุ เพื่อที่จะให้นักลงทุนแต่ละรายสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเงินของตนเองที่วางเอาไว้ คำแนะนำนี้จะรวมไปถึงวิธีการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุด้วย

การเดินสุ่มคืออะไร

การเดินสุ่มคือการเดินที่ทิศทางของการก้าวเดิน ในอนาคตไม่สามารถที่จะพยากรณ์ได้ จากการใช้ทิศทางของการก้าวเดินในอดีตที่ผ่านมา ใช้กับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ การเดินสุ่มจะสื่อความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในระยะสั้น ไม่สามารถจะถูกทำนายหรือพยากรณ์ได้ ดังนั้นการบริหารด้านการเงินที่คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน การประมาณรายได้และรูปแบบของกราฟต่าง ๆ ที่ซับซ้อนจึงไม่มีประโยชน์ใด ๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากข้อมูลในอดีตไม่สามารถบอกอนาคตได้เลย พวกมืออาชีพในตลาดหลักทรัพย์จึงติดอาวุธด้วยเครื่องมือหนึ่งใน 2 เครื่องมือดังต่อไปนี้ การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และการวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis)

ส่วนนักวิชาการก็แตกทฤษฎีของการเดินสุ่มออกเป็น 3 แบบคือแบบอ่อน (Weak) แบบกลาง (Semi-Strong) และแบบแข็งแกร่ง (Strong) เป็นการสร้างทฤษฎีของพวกเขาขึ้นมาเองที่มีชื่อเรียกว่าเทคโนโลยีการลงทุนแบบใหม่ ซึ่งรวมเอาสิ่งที่เรียกว่าเบต้า (Beta) เข้าไปในการวิเคราะห์ ด้วยประสบการณ์ในการเป็นนักวิเคราะห์มืออาชีพ การวิเคราะห์การลงทุนและการบริหารพอร์ตการลงทุน ที่ผู้เขียนเริ่มต้นอาชีพในฐานะที่เป็นมืออาชีพในตลาดหุ้น กับบริษัทการจัดการการลงทุนชั้นนำแห่งหนึ่งบนวอลสตรีท ต่อมาได้นั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมการด้านการลงทุนของบริษัทประกันภัยข้ามชาติขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และใช้เวลาหลายปีในตำแหน่งกรรมการของบริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่ง เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญในด้านพฤติกรรมของตลาดหลักทรัพย์และการลงทุน เป็นนักลงทุนมาตลอดชีวิตคนหนึ่งในตลาดหุ้น และเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งในตลาดหุ้น

ในปัจจุบันนี้การลงทุนเป็นวิถีทางของชีวิตแบบหนึ่ง

การลงทุนนั่นคือกระบวนการซื้อสินทรัพย์ เพื่อที่จะสร้างผลกำไรในลักษณะที่พอจะคาดการณ์ผลตอบแทนเงินปันผล ดอกเบี้ย หรือค่าเช่าได้อย่างมีเหตุผล และเพื่อคาดหวังการเพิ่มขึ้นของมูลค่าของสินทรัพย์ในระยะยาว การคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ของผลตอบแทนอย่างมีเหตุผล และการกำหนดความนานของระยะเวลานี่เองคือ ปัจจัยที่แยกแยะความแตกต่างระหว่างการลงทุนออกจากการเก็งกำไร นักเก็งกำไรซื้อหุ้นเพื่อหวังผลตอบแทนระยะสั้นในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน หรืออาจเป็นเพียงแค่สัปดาห์ แต่นักลงทุนซื้อหุ้นที่น่าเชื่อได้ว่า จะสามารถสร้างผลตอบแทนในรูปของกระแสเงินสดในอนาคต เพียงเพื่อที่จะรักษาความมั่นคงให้อยู่เท่าเดิมได้นั้น การลงทุนจำเป็นที่จะต้องให้ผลตอบแทนที่ไม่น้อยไปกว่าอัตราเงินเฟ้อ

การลงทุนในทางทฤษฎี

โดยปกติแล้วมืออาชีพจะใช้ 1 ใน 2 วิธีต่อไปนี้ในการประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ ทฤษฎีการมีรากฐานที่มั่นคง (The Firm-Foundation Theory) กับทฤษฎีการสร้างวิมานในอากาศ (The Castle-in-the-Air Theory) ความเข้าใจเกี่ยวกับ 2 ทฤษฎีนี้มีความจำเป็นที่จะปกป้องจากการลงทุนที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงในช่วงปี ค.ศ 1970 ทฤษฎีที่สามได้เกิดขึ้นถูกเรียกว่าเทคโนโลยีการลงทุนแบบใหม่

ทฤษฎีการมีรากฐานที่มั่นคง

ทฤษฎีการมีรากฐานที่มั่นคง จะมีมูลค่าที่มีรากฐานที่ยึดติดอยู่กับสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ามูลค่าแฝง (Intrinsic value) ซึ่งสามารถประเมินได้ด้วยการวิเคราะห์อย่างละเอียด ถึงสภาพแวดล้อมในปัจจุบันและลู่ทางในอนาคต ยากที่จะอ้างได้ว่าใครเป็นต้นคิดทฤษฎีการมีรากฐานที่มั่นคงนี้ แต่โดยทั่วไปในวงการการลงทุนมักจะยกย่องความดีความชอบให้กับนาย เอส. อีเลียต กิลด์ (S. Eliot Guild) แต่รูปแบบและเทคนิคการคำนวณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรวมทั้งแนวความคิดที่แตกย่อยออกมาจากทฤษฎีนี้ มักจะถูกยกให้เป็นผลงานของนาย จอห์น บี. วิลเลี่ยม (John B. Williams)

ทฤษฎีการมีรากฐานที่มั่นคงนี้ เป็นสิ่งที่น่ายกย่องและสามารถประยุกต์ใช้กับการประเมินมูลค่าของหุ้นได้อย่างเหมาะสม การประเมินมูลค่าของหุ้นโดยใช้กระแสรายได้ ที่บริษัทจะจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคต ในรูปแบบของเงินปันผล ยิ่งมูลค่าและอัตราการเพิ่มของเงินปันผลมีมากขึ้นเท่าไหร่ มูลค่าของหุ้นก็จะมากขึ้นด้วยเท่านั้น ทฤษฎีการมีรากฐานที่มั่นคงนี้ หนังสือเล่มนี้เป็นที่ยอมรับกันมากที่สุดเล่มหนึ่ง คือหนังสือ Security Analysis ของนายเกรแฮม (Graham) กับนายดอดด์ (Dodd) ซึ่งได้อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้เช่นกัน และได้เปลี่ยนความคิดของนักวิเคราะห์ในวอลสตรีทในช่วงหนึ่งของอายุ ให้หันมาใช้วิธีการของทฤษฎีนี้ กล่าวคือการจัดการการลงทุนที่ดีนั้นคือ การเข้าซื้อหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าแฝง และขายมันในขณะที่ราคาสูงกว่ามูลค่าแฝง มันเป็นเรื่องง่าย ๆ เพียงเท่านั้นเอง ลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตามวิถีของนายเกรแฮมกับนายดอดด์คือชายที่มีชื่อว่าวอเร็น บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)  ผู้ซึ่งมักจะถูกขนานนามว่าเป็นปราชญ์แห่งเมืองโอมาฮา

ทฤษฎีการสร้างวิมานในอากาศ

ทฤษฎีการสร้างวิมานในอากาศ ที่เกี่ยวกับเรื่องของการลงทุน จะมุ่งเน้นไปที่การประเมินมูลค่าของสินทรัพย์ที่เกิดขึ้น อันเนื่องมาจากปัจจัยทางด้านจิตวิทยา ลอร์ดเคนส์ (Lord Keynes) นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง และเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากผู้หนึ่ง ได้กล่าวอธิบายถึงทฤษฎีนี้ไว้อย่างชัดเจนในปี ค.ศ 1936 เขามีความเห็นว่า นักลงทุนมืออาชีพไม่ชอบที่จะเสียเวลาไปกับการประเมินมูลค่าแฝงของสินทรัพย์ แต่อยากที่จะใช้เวลาไปกับการวิเคราะห์มากกว่าว่า ฝูงนักลงทุนที่มีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมอย่างไรในอนาคต นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ชิงลงมือก่อนด้วยการคาดเดาว่า สถานการณ์ที่อ่อนไหวแบบใดที่จะก่อให้เกิดการสร้างวิมานในอากาศของบรรดาฝูงนักลงทุน และเขาก็จะชิงลงมือเข้าซื้อสินทรัพย์ก่อนฝูงชนเหล่านั้น การลงทุนสามารถที่จะรักษามูลค่าของตัวมันเองไว้ได้ ด้วยการที่มีความคาดหวังในมูลค่าของการลงทุนจากคนอื่น ๆ ผู้ซื้อคนใหม่ก็จะคาดหวังว่าผู้ซื้อรายอื่น ๆ ในอนาคตจะให้มูลค่าที่ราคาสูงขึ้นไปอีก

การเดินสุ่มจะเป็นอย่างไรต่อไป

นายซานตายานาเป็นคนที่เตือนไว้ว่า ถ้าเราไม่เรียนรู้จากบทเรียนในอดีต เราก็จะทำผิดพลาดซ้ำแบบเดิมอีก ความบ้าคลั่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นสิ่งเตือนใจอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนรายบุคคลหรือมืออาชีพ ก็ไม่ได้มีภูมิคุ้มกันจากความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีตเลย

บทที่ 2

ความบ้าคลั่งของมวลชน

การแพร่กระจายของความละโมบอย่างควบคุมไม่ได้ ก็จะกลายเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วอันน่าทึ่ง ในทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ ที่ผ่านมาท่ามกลางความบ้าคลั่งในการแสวงหาความมั่งคั่ง นักลงทุนที่มีส่วนร่วมในตลาดหุ้น มักจะโยนทฤษฎีการมีรากฐานที่มั่นคงทิ้ง เพื่อยอมรับแนวคิดที่ดูมีพิรุธ แต่มีความเร้าใจมากกว่าอย่างเช่น ทฤษฎีการสร้างวิมานในอากาศ ความคิดเช่นนี้สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ และได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับผู้คนทั้งประเทศ ประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลาเหล่านี้ ได้สอนบทเรียนบทหนึ่งให้ แม้ว่าทฤษฎีการสร้างวิมานในอากาศ สามารถอธิบายเกี่ยวกับการเก็งกำไรได้เป็นอย่างดี แต่การคาดการณ์ถึงกับการตอบสนองของมวลชน ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เป็นเกณฑ์ที่อันตรายที่สุดเกมหนึ่งเลยทีเดียว ยิ่งมีการเก็งกำไรมากเท่าใด ผลกระทบก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น มีเพียงส่วนน้อยของบรรดานักสร้างวิมานในอากาศเท่านั้น ที่ตั้งอยู่บนความไม่ประมาท คนเพียงส่วนน้อยนี้เท่านั้น ที่พอจะสามารถคาดการณ์ถึงความผูกพันเช่นนี้ได้ และสามารถที่จะหลีกเลี่ยง หนีผลกระทบออกมาได้ทันที โดยไม่สูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างพังทลายลง

ความบ้าคลั่งของดอกทิวลิป

ความบ้าคลั่งเกี่ยวกับดอกทิวลิป เป็นเรื่องราวของการแสวงหาความร่ำรวยทางลัด ที่น่าตื่นตาตื่นใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ที่นำไปสู่การเก็งกำไรอย่างบ้าคลั่งในครั้งนั้น เริ่มต้นขึ้นในปี ค.ศ 1593 เมื่อผู้ที่เริ่มจะได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นศาสดาจารย์ทางด้านพฤกษศาสตร์ ได้นำกลุ่มพืชแปลกประหลาดพื้นเมือง ของประเทศตุรกีจำนวนหนึ่งจากเมืองเวียนนามาสู่เมืองเลย์เคน ชาวเนเธอร์แลนด์รู้สึกชื่นชมและหลงใหลไปกับพืชกลุ่มนี้ ในฐานะที่เป็นสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาใหม่ในสวนของพวกเขา เป็นดอกทิวลิปที่ตั้งราคาไว้สูงมากได้ เพื่อที่จะทำกำไรได้อย่างงดงาม

แต่แล้วในคืนหนึ่งมีโจรบุกเข้าไปในบ้านของศาสตราจารย์ และขโมยหน่อของดอกทิวลิปออกมา เพื่อนำไปเพาะปลูกต่อ ซึ่งต่อมาส่งผลให้ราคาขายของดอกทิวลิปในตลาดถูกลง แต่มีปริมาณของกำไรที่เพิ่มมากขึ้น อีกประมาณหนึ่งทศวรรษต่อมา ดอกทิวลิปได้กลายเป็นพืชยอดนิยมที่มีราคาแพง ต้นทิวลิปสามารถติดโรคที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต จากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า โมเซอิค (Mosaic) ได้ เจ้าเชื้อไวรัสชนิดนี้ ที่เป็นตัวเริ่มต้นของการเก็งกำไรกันอย่างบ้าคลั่งของดอกทิวลิป เชื้อไวรัสนี้จะทำให้กลีบของดอกทิวลิป สามารถที่จะพัฒนาเป็นแถบสีที่มีความแตกต่างกัน หรือมีลักษณะเป็นเหมือนเปลวไฟ ชาวเนเธอร์แลนด์จะให้คุณค่าอย่างมากกับดอกทิวลิปที่ติดเชื้อไวรัสนี้ และเรียกมันว่า bizarres

เมื่อเวลาผ่านไปเพียงไม่นาน รสนิยมของชาวเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มที่จะเป็นตัวกำหนดราคาของดอกทิวลิป ยิ่งเปลวสีของดอกทิวลิปมีความแปลกมากเท่าใด ราคาของการที่จะเป็นเจ้าของมันก็จะมีค่าสูงขึ้นมากเท่านั้น ความบ้าคลั่งเกี่ยวกับดอกทิวลิปเริ่มต้นขึ้นอย่างช้า ๆ โดยในตอนแรก พ่อค้าดอกทิวลิปจะพยายามพยากรณ์ ลักษณะของดอกทิวลิปที่จะเป็นที่นิยมในปีถัดไป จากนั้นก็จะทำการซื้อสินค้าเก็บตุนไว้เป็นจำนวนมาก โดยคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้น ไม่นานนั้นราคาของดอกทิวลิปก็เริ่มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างคาดการณ์ไม่ได้ ยิ่งราคาของดอกทิวลิปแพงมากขึ้นเท่าไหร่ ผู้คนยิ่งมองเห็นว่ามันเป็นการลงทุนที่ฉลาดมากขึ้นเท่านั้น ในช่วงท้าย ๆ ของปีที่มีการเก็งกำไรของดอกทิวลิป ตอนนี้ระดับราคาของดอกทิวลิปมีค่าสูงมาก

ลักษณะที่น่าทึ่งอย่างหนึ่งของตลาดการเงินคือ เมื่อมีความต้องการจำนวนมาก ที่จะหาวิธีที่จะเพิ่มโอกาสในการเก็งกำไรให้ได้มากขึ้น ตลาดก็มักจะสนองตอบด้วยการเตรียมจัดหาวิธีเหล่านั้นรอไว้ให้แล้วเสมอ วิธีหรือเครื่องมือที่ทำให้นักเก็งกำไรจากดอกทิวลิป สามารถที่จะได้ประโยชน์มากขึ้นจากเงินลงทุนทุก ๆ หน่วยของเขาก็คือ ตราสารอนุพันธ์ ที่เรียกว่าคอลออปชั่น ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับคอลออปชั่นที่ใช้ในตลาดหุ้น และได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนี้ คอลออปชั่นจึงเป็นเครื่องมือผ่อนแรง (Leverage) อย่างหนึ่งในทางการเงิน ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพของขนาด ของผลตอบแทน และเพิ่มความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุน

ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นราคาของดอกทิวลิปส่วนใหญ่ จะเหลือเพียงแค่เศษเสี้ยวของราคาสูงสุดของมัน แรงสะท้อนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการเติบโตอย่างรวดเร็ว และการล่มสลายอย่างเฉียบพลันของราคาดอกทิวลิปนั้น ทำให้เกิดจากสภาวะเศรศฐกิจถดถอยในเนเธอร์แลนด์ตามมาเป็นระยะเวลายาวนาน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครที่หนีรอดไปได้เลย ในเรื่องราวที่เกี่ยวกับดอกทิวลิปอันแปลกประหลาดนี้

ฟองสบู่ในทะเลใต้ (The South Sea Bubble)

เมื่อ 300 ปีก่อนในประเทศอังกฤษ เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โตมากที่สุดเรื่องหนึ่งในช่วงเวลานั้น มีนักลงทุนที่ได้รับความเสียหายอย่างมหาศาลจากเหตุการณ์นี้ บริษัททะเลใต้ที่เป็นส่วนที่ช่วยเติมช่องว่างทางการลงทุนในอังกฤษได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ 1711 เพื่อที่จะเรียกความเชื่อมั่นในความสามารถของรัฐบาล ที่จะรักษาสัญญาหรือข้อผูกมัดต่าง ๆ ที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ เนื่องจากบริษัททะเลใต้ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ในการผ่อนภาระหนี้ของรัฐบาลถึง 10 ล้านปอนด์ สิ่งตอบแทนที่บริษัทได้รับจากรัฐบาลก็คือ การได้รับสัมปทานผูกขาดการค้าทั้งหมดในทะเลใต้ หมายถึงน่านน้ำในแถบทวีปอเมริกาใต้บนฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งแต่เริ่มต้นตั้งบริษัททะเลใต้เป็นต้นมา บริษัทได้เก็บเกี่ยวผลกำไรเรื่อยมา ในขณะที่บริษัทอื่น ๆ ในทะเลใต้ไม่ได้รับผลประโยชน์เลยจากการผูกขาดนี้ แต่ไม่มีผู้บริหารสักคนเลยในบริษัท มีประสบการณ์แม้เพียงน้อยนิด ในการทำการค้าในทะเลใต้

บนอีกฟากฝั่งหนึ่งของช่องแคบอังกฤษ บริษัทแห่งหนึ่งได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยนาย จอห์น ลอว์ (John Law) ผู้ซึ่งเป็นชาวอังกฤษที่ถูกเนรเทศออกมาจากประเทศ เป้าหมายสูงสุดในชีวิตของนายลอว์คือ การทดแทนเงินตราที่ทำจากโลหะ และการสร้างสภาพคล่องทางการเงิน ด้วยเงินตราที่พิมพ์มาจากกระดาษ เขาได้เข้าซื้อกิจการของบริษัทมิสซิสซิปปี้ (Mississippi Company) และได้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหนึ่งขึ้นมา ซึ่งต่อมาที่ได้กลายเป็นหนึ่งในองค์กรที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกนี้ บริษัทมิสซิสซิปปี้ได้ดึงดูดทั้งความสนใจ และเงินทุนของนักเก็งกำไรทั่วทวีปยุโรป และเวลานี้เองที่คำว่ามหาเศรษฐีร้อยล้าน (Millionnaire) ได้ถูกสร้างขึ้นมา ราคาหุ้นของบริษัทมิสซิสซิปปี้เพิ่มขึ้นจาก 100 เป็น 2,000 ในเวลาเพียง 2 ปีทั้ง ๆ ที่มันไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมของการเพิ่มขึ้นของราคาเลย

ณ เวลาหนึ่ง มูลค่าหุ้นทั้งหมดในตลาดของบริษัทมิตซูซิตี้ในประเทศฝรั่งเศสมีค่ามากกว่า 80 เท่าของมูลค่าของจำนวนเงินและทองคำทั้งหมดที่มีอยู่ในฝรั่งเศส ในขณะเดียวกันบนฝั่งประเทศอังกฤษ กระแสความนิยมรักชาติเริ่มปรากฏขึ้นในหมู่เศรษฐีชาวอังกฤษ พวกเขาเริ่มตั้งคำถามว่าทำไมเงินของชาวอังกฤษ จึงควรที่จะต้องไปลงทุนในบริษัทมิสซิสซิปปี้ ของฝรั่งเศส ในปี ค.ศ 1720 ผู้บริหารที่เต็มไปด้วยความละโมบของบริษัททะเลใต้ ได้ตัดสินใจที่จะใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงของบริษัท โดยเสนอว่าบริษัทจะช่วยเหลือทางการเงินเพื่อลดหนี้ของรัฐบาล เป็นจำนวนเงิน 31 ล้านปอนด์ ช่างเป็นความกล้าหาญจริง ๆ และประชาชนชาวอังกฤษก็ชอบความกล้าหาญเช่นนี้ เมื่อกฎหมายที่จะยืนยันความช่วยเหลือในครั้งนี้ได้ถูกนำเสนอเข้าสู่รัฐสภา ราคาหุ้นของบริษัทก็เพิ่มขึ้นจาก 130 ปอนด์เป็น 300 ปอนด์ในทันทีทันใด

ในวันที่ 12 เมษายน ค.ศ 1720 เพียง 5 วัน หลังจากที่กฎหมายได้ประกาศบังคับใช้ บริษัททะเลใต้ได้ออกหุ้นจำนวนใหม่เพื่อขายในตลาดที่ราคา 300 ปอนด์ ซึ่งสามารถซื้อโดยการผ่อนชำระได้ โดยผู้ซื้อจะต้องจ่ายเงิน 60 ปอนด์เพื่อวางดาวน์ และแบบจ่ายหนี้ในส่วนที่เหลืออีก 8 งวด มีการต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อที่จะซื้อหุ้นของบริษัททะเลใต้ และราคาก็เพิ่มสูงขึ้น ในท้ายที่สุดราคาก็เพิ่มขึ้นสูงมากกว่า 1,000 ปอนด์ ความบ้าคลั่งในการเก็งกำไรได้มาถึงจุดที่แบ่งบานเต็มที่แล้ว เมื่อวันเวลาผ่านไป ข้อเสนอทางการเงินรูปแบบต่าง ๆ มีหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่ข้อเสนอที่ชาญฉลาดจนกระทั่งข้อเสนอที่ดูไร้เหตุผล การโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับรูปแบบของการลงทุนเพิ่ม การหลอกลวงเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น แต่ทั้งหมดมีสิ่งที่เหมือนก็คือ ทุกข้อเสนอได้บอกถึงความหวังของการได้มาซึ่งความมั่งคั่งอย่างมากมายในอนาคต ในไม่ช้าข้อเสนอพวกนี้จะได้รับการขนานนามว่าเป็นฟองสบู่

การลดลงอย่างเฉียบพลันได้เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม ที่ทำให้ฟองสบู่ของบริษัททะเลใต้ มีรอยรั่วเกิดขึ้นอย่างที่ไม่สามารถจะซ่อมแซมได้ มันเกิดขึ้นจากน้ำมือของผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของบริษัทเอง พวกเขาตระหนักดีว่าราคาหุ้นในตลาด ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับลู่ทางการหารายได้ของบริษัทในอนาคตเลย พวกเขาจึงได้ขายหุ้นทั้งหมดออกไปในช่วงฤดูร้อน เมื่อข่าวนี้ได้รั่วไหลออกมา และหุ้นของบริษัทก็ดิ่งลงในไม่ช้า ราคาหุ้นก็ถล่มทลายลงมา และความตื่นตระหนกก็เข้ามาครอบงำ รัฐบาลได้พยายามที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาแต่ไร้ผล และการล่มสลายของความเชื่อมั่นจากสาธารณชนแทบจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

เช่นเดียวกันกับราคาหุ้นของบริษัทมิสซิสซิตี้ก็ลดลงอย่างหน้าสลดใจ เมื่อฝูงชนได้ตระหนักว่าเงินกระดาษจำนวนมาก ที่เป็นส่วนเกินที่เขาครอบครองกันอยู่มันไม่มีมูลค่าอะไรเลย หนึ่งในผู้ที่สูญเสียอย่างมากในเหตุการณ์ฟองสบู่ในทะเลใต้คือ เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) นักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ค้นพบกฎแรงโน้มถ่วงของโลก ผู้ซึ่งได้ปรารภไว้ว่า ฉันสามารถที่จะคำนวณการเคลื่อนไหวของวัตถุบนสวรรค์ชั้นฟ้าได้ แต่ไม่ใช่ความบ้าคลั่งของมวลชน นั่นเป็นเรื่องราวที่มากพอสำหรับการสร้างวิมานในอากาศ

เพื่อที่จะป้องกันสาธารณชนจากการถูกเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรม รัฐสภาของอังกฤษได้ออกกฎหมายฟองสบู่ (Bubble Act) ซึ่งห้ามการออกใบหุ้นโดยบริษัท มันเป็นเวลานานกว่าหนึ่งศตวรรษที่มีปริมาณใบหุ้นจำนวนน้อยในตลาดหุ้นของประเทศอังกฤษ จนกระทั่งกฎหมายนี้ได้ถูกยกเลิกไปในปี ค.ศ 1825

วอลสตรีทวางไข่

เรื่องราวของดอกทิวลิปกับฟองสบู่ทะเลใต้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งผ่านมานานแล้ว มันจะมีเหตุการณ์ที่คล้ายกันนี้สามารถเกิดขึ้นอีกครั้ง ในยุคที่ผู้คนมีความชาญฉลาดมากขึ้นอย่างในปัจจุบันนี้ได้อีกไหม ซึ่งมีประชากรเพียงประมาณหนึ่งล้านคนเท่านั้น ที่ถือครองหุ้น โดยใช้บัญชีมาร์จิน บรรยากาศในการเก็งกำไรได้แผ่กว้างขึ้น เหมือนกับความบ้าคลั่งที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต ความเข้มข้นของมันก็มากขึ้น เสียจนไม่อาจจะหาครั้งไหนในอดีตที่สามารถเทียบเคียงได้กับครั้งนี้ ที่สำคัญไปกว่านั้นการแข่งกำไรในตลาดหุ้น ได้กลายเป็นวัฒนธรรมของชาวอเมริกันที่มีความสำคัญไปเสียแล้ว โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่มีผู้คนนับร้อยที่พร้อม และยินดีจะให้ความช่วยเหลือแก่มวลชนในการสร้างวิมานในอากาศ

การปั่นราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ กลายเป็นบันทึกเรื่องใหม่ของการกระทำที่ขาดศีลธรรม ไม่มีตัวอย่างไหนที่ดีไปกว่าตัวอย่างของยุคการการร่วมลงทุน (Investment Pool) ตัวอย่างหนึ่งของการกระทำเช่นนี้ ผู้จัดการกลุ่มจะทยอยซื้อหุ้นสะสมไว้คราวละมาก ๆ โดยไม่ให้เป็นที่สังเกตตลอดช่วงเวลาหลายสัปดาห์ ถ้าเป็นไปได้เขาจะถือครองออปชั่นเพื่อที่จะมีสิทธิ์ซื้อหุ้นเป็นจำนวนมากที่ราคาตลาดปัจจุบัน แต่จะใช้สิทธิ์ซื้อจริงในช่วงเวลาประมาณอีก 3 – 6 เดือนข้างหน้า ต่อจากนั้นเขาจะพยายามที่จะหาผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นเข้ามาเป็นพันธมิตร

สมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มร่วมลงทุนนี้ จะกระโดดเข้ามาร่วมเล่นด้วยพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญคนนี้ หน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญรายนี้คือ การเป็นนายหน้าของนายหน้าซื้อขายหุ้นอีกทีหนึ่ง ทันทีที่มวลชนเข้ามาร่วมด้วยความรู้สึกที่ว่ามีของฟรีสำหรับทุกคนกำลังจะเริ่มขึ้น และมันก็จะถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะดึงปลั๊กออก ด้วยการทำอย่างรอบคอบในขณะที่ฝูงชนกำลังสนใจเอาแต่ซื้อ กลุ่มร่วมลงทุนกำลังสนใจเอาแต่ขาย แต่มันไม่จำเป็นที่จะต้องมีการรวมกลุ่มเพื่อการร่วมลงทุนเช่นนี้ เพื่อที่จะหลอกลวงมวลชนบุคคลหลาย ๆ ฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่และผู้บริหารของบริษัท ก็สามารถทำได้ดีพอสมควรด้วยตัวของพวกเขาเอง

บางทีข้อสรุปที่ดีที่สุด สำหรับปรากฏการณ์อันน่าฉงนอันนี้ ได้กล่าวเอาไว้ในนิตยสารรายสัปดาห์ชื่อว่า Variety ซึ่งพาดหัวเรื่องไว้ว่า วอลสตรีทวางไข่ ยุคทองของการเก็งกำไรได้ตายลงพร้อม ๆ กับมูลค่าของหุ้นหลายพันล้านเหรียญ และความฝันของคนนับล้านที่ได้ถูกลบหายออกไป การล่มสลายลงของตลาดหุ้น ตามมาด้วยสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่มีผลร้ายแรงมากที่สุด ในประวัติศาสตร์ของประเทศสหรัฐอเมริกา

บทที่ 3

ฟองสบู่ของการเก็งกำไรจากทศวรรษที่ 60-90

ความบ้าคลั่งของฝูงชนเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ ผู้คนจำนวนมากพร้อมที่จะนำเงินของพวกเขาไปลงทุนภายใต้การดูแลของมืออาชีพ บุคคลที่รู้ว่าอะไรจะทำให้ตลาดมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด และเป็นกลุ่มคนที่สามารถไว้วางใจได้ว่า จะดำเนินการอย่างรอบคอบไปอยู่ในกำมือของผู้จัดการกองทุนของสถาบันต่าง ๆ หรือที่รู้จักกันในนามของนักลงทุนสถาบัน การลงทุนเหล่านี้จะอยู่เหนือความบ้าคลั่งเหล่านั้นหรือไม่ มาพิจารณาดูตัวอย่างของความรอบคอบในการลงทุนของสถาบันเหล่านี้กัน

สติสัมปชัญญะของสถาบันการลงทุน

ในช่วงทศวรรษที่ 1990 การลงทุนของนักลงทุนสถาบัน คิดเป็นสัดส่วนถึง 90% ของปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นที่นิวยอร์ก นักลงทุนมืออาชีพเหล่านี้ได้เข้าซื้อหุ้นอย่างกระตือรือร้น ไม่ใช่เพราะราคาของหุ้นถูกประเมินว่า ต่ำกว่ามูลค่าแฝงตามทฤษฎีการมีรากฐานที่มั่นคง หากแต่เป็นเพราะพวกเขาคาดว่าจะมีคนที่โง่มากกว่าเข้ามาซื้อหุ้นต่อจากเขา ในราคาที่ถูกดันให้สูงขึ้นไปอีก เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่เกิดจากการเก็งกำไรนี้ จะเกี่ยวข้องกับสภาวะการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น เช่นเดียวกันกับในเวลาปัจจุบันนี้

ยุค 60 อันรุ่งโรจน์

ยุคสมัยใหม่ หุ้นเติบโต การออกหุ้นใหม่อย่างบ้าคลั่ง การตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการประเมินมูลค่าของหุ้นแทบจะกลายเป็นการกระทำที่ผิดจารีตประเพณีไป ราคาเหล่านี้ไม่สามารถจะอธิบายได้ด้วยทฤษฎีการมีรากฐานที่มั่นคง ในทศวรรษที่ 1960 นี้ การขยายตัวนี้จะถูกเรียกว่าการขยายตัวแบบทรอนิกส์ (Tronics Boom) เนื่องจากว่าในบรรดาหุ้นที่ถูกเสนอขายออกมานั้น ส่วนมากมักจะใช้คำว่าอิเล็กทรอนิกส์ หรือคำที่เกี่ยวข้องกับคำ ๆ นี้ไว้ในชื่อบริษัท ถึงแม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะไม่ได้ทำอะไร ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์เลยก็ตาม การขยายตัวแบบทรอนิกส์ได้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ 1962

บรรดามืออาชีพทั้งหลายไม่ยอมรับความจริงที่ว่า การเก็งกำไรของพวกเขานั้นเป็นไปอย่างขาดสติสัมปชัญญะ มีมืออาชีพส่วนหนึ่งที่ชี้ว่าเป็นเรื่องง่ายเสมอที่จะมองย้อนหลังไปในอดีต และบอกว่าเมื่อไหร่ราคาหุ้นสูงเกินไป หรือเมื่อไหร่ที่ราคาหุ้นต่ำเกินไป นอกจากนี้ยังมีมืออาชีพอีกจำนวนหนึ่งที่บอกว่า ไม่มีใครรู้หรอกว่าราคาที่เหมาะสมของหุ้นแต่ละตัวในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ นั้นควรจะเป็นเท่าไร

การร่วมมือกันทางธุรกิจก่อให้เกิดพลัง กระแสนิยมของการรวมตัวเป็นเครือบริษัท

หนึ่งในความอัจฉริยะของตลาดการเงินก็คือ ถ้ามีความต้องการของผลิตภัณฑ์ทางการเงินชนิดใดจากผู้ซื้อ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินชนิดนั้น ก็จะถูกสร้างขึ้นมาตามคำเรียกร้อง ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่นักลงทุนทั้งหลายปรารถนานั้นคือ ความหวังของการเจริญเติบโตของกำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share) และถ้าคำว่าการเจริญเติบโตไม่ได้ปรากฏอยู่ในชื่อของผลิตภัณฑ์นั้น ทุกคนก็หวังว่าจะมีใครสักคน ที่จะหาทางที่จะสร้างมันขึ้นมา การเจริญเติบโตนั้นสามารถสร้างได้ จากการสร้างพลังทางธุรกิจ ที่เกิดจากการประสานผลประโยชน์เข้าด้วยกัน

การสร้างพลังทางธุรกิจ (Synergy) คือการเอา 2 + 2 แล้วให้ได้ผลลัพธ์เท่ากับ 5 ดังนั้น การสร้างผลกำไรนี้ถูกเรียกว่าการรวมตัวเป็นเครือบริษัท (Conglomerate) การรวมตัวเป็นเครือบริษัททำให้กลุ่มบริษัทที่เกิดขึ้นมาใหม่นั้น สามารถทำยอดขายและทำกำไรได้สูงขึ้นมากกว่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าแต่ละบริษัทในกลุ่มต่างคนต่างทำกันเอง โดยกลลวงง่าย ๆ ของพวกเขา สามารถนำเอากลุ่มบริษัทที่ไม่มีศักยภาพพื้นฐานใด ๆ เลยมาควบรวมกัน และสร้างผลกำไรต่อหุ้นที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องได้

กลเม็ดที่ทำให้เกมนี้เกิดผลขึ้นมาคือ ความสามารถที่จะสับเปลี่ยนหุ้น ที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรที่สูง กับหุ้นของอีกบริษัทหนึ่ง ที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรที่ต่ำกว่า แต่เมื่อผลกำไรเหล่านี้ถูกรวมเข้าด้วยกันผลกำไรทั้งหมดจะถูกขายด้วยอัตราส่วนราคาต่อกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็น 20 เท่า และยิ่งสามารถเพิ่มการควบรวมกิจการได้มากขึ้นเท่าไหร่ ผลกำไรต่อหุ้นก็จะยิ่งเติบโตเร็วขึ้นเท่านั้น ส่งผลให้หุ้นยิ่งดูมีความน่าดึงดูดใจมากขึ้น และกลายเป็นเหมือนเหตุผลที่อธิบายถึงการเพิ่มขึ้นของอัตราส่วนราคาต่อกำไรของหุ้น

ต่อมาคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลาง (Federal Trade Commission) ประกาศว่าจะมีการตรวจสอบเชิงลึกเกี่ยวกับกระแสของการควบรวมกิจการ ทำให้แรงเทขายเพิ่มขึ้นอย่างท่วมท้น ผลพวงที่เกิดขึ้นตามมาจากการเก็งกำไรที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ได้ชี้ให้เห็นถึง 2 ปัจจัยที่น่าวิตกกังวลดังนี้

ประการแรกคือบริษัทที่ทำการควบรวมกิจการไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน และไม่สามารถควบคุมอาณาจักรอันกว้างไกลของมันได้เสมอไป

ประการที่ 2 คือรัฐบาลและสมาคมวิชาชีพนักบัญชี ได้เปิดเผยถึงข้อกังวลที่แท้จริงเกี่ยวกับอัตราการควบรวมกิจการ และความเป็นไปได้ของการใช้มันไปในทางที่ผิด

ในช่วงทศวรรษที่ 1990 และตอนต้นของทศวรรษที่ 2000 การแยกกลุ่มบริษัทได้กลายเป็นสิ่งที่นิยมกัน จะแยกส่วนที่ไม่เกี่ยวข้อง และมีผลประกอบการไม่ดีออก เพื่อที่จะเพิ่มรายได้ของพวกเขาขึ้นมา การซื้อขายเหล่านี้มักจะถูกสนับสนุนผ่านนวัตกรรมการเงินยอดนิยมที่เรียกว่า Leveraged Buyout (LBO) ผู้ซื้อจะลงทุนโดยใช้เงินทุนส่วนตัวของเขาเพียงเล็กน้อย และจะใช้การยืมเงินทุนซึ่งเรียกมักจะมีมูลค่ามากกว่า 90% ของจำนวนเงินทุนทั้งหมด ที่ต้องการใช้ในการดำเนินการนี้ หน่วยงานที่ทำหน้าที่เก็บภาษีจะเป็นตัวช่วยในเรื่องนี้ โดยอนุญาตให้บริษัทที่จะถูกซื้อสามารถเพิ่มฐานการคิดมูลค่าของสินทรัพย์ที่เสื่อมราคาได้ ผลรวมจากการจ่ายดอกเบี้ยของเงินที่ยืมมา และค่าเสื่อมราคาที่มากขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่าภาษีสำหรับบริษัทที่เกิดขึ้นจะมีค่าต่ำหรือไม่มีเลย

ในช่วงแรก ๆ ของทศวรรษที่ 1980 LBO ที่ถูกทำขึ้น จะค่อนข้างประสบความสำเร็จ กระแสนิยมจึงได้เร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980  และราคาของบริษัทที่ถูกซื้อก็เพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับระดับของหนี้สินที่มีมากขึ้น เมื่อเศรษฐกิจเริ่มไม่มีเสถียรภาพในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 และช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 ต้นทุนทางดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้บริษัทที่มีหนี้เป็นจำนวนมากต้องตกอยู่ในสภาวะง่อนแง่น ทำให้นักลงทุนรายย่อยบาดเจ็บไม่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่มันยังสร้างความเจ็บปวดให้กับธนาคาร และบริษัทประกันภัยประกันชีวิตมากมายหลายบริษัทด้วยกัน

50 บริษัทชั้นเลิศ The Nifty Fifty

ในทศวรรษที่ 1970 มืออาชีพแห่งวอลสตรีทสัญญาว่า จะกลับมายึดหลักแห่งเหตุและผล ลงทุนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ชั้นนำ (Blue ship) เท่านั้น ซึ่งหมายถึงบริษัทที่จะไม่มีวันพบกับความหายนะ เหมือนกับบริษัทอันเป็นที่โปรดปรานในการเก็งกำไร ในยุคทศวรรษที่ 1960 ไม่มีอะไรจะดูสุขุมรอบคอบไปมากกว่าการซื้อหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่นี้ มีเพียงสักประมาณ 48 บริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น ที่หุ้นมีการเติบโตอย่างเลิศเลอ พอที่จะทำให้นักลงทุนสถาบันหลงใหลได้ และชื่อของบริษัทเหล่านั้นก็เป็นชื่อที่คุ้นหูอยู่แล้ว เช่น IBM, Xerox Products, Kodak และ Disney พวกมันมักถูกเรียกว่าเป็น 50 บริษัทชั้นเลิศ และเป็นหุ้นที่มีสัดส่วนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่สูง

ดังนั้นการลงทุนในหุ้นพวกนี้ จึงดูจะเหมือนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากเลยทีเดียว เพราะว่าหุ้นเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์ยืนยันแล้วว่า เป็นหุ้นที่มีการเติบโตแน่นอน และในไม่ช้าก็เร็วราคาสูงที่จ่ายไปก็จะมีเหตุผลมารองรับได้ หุ้นเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันสำหรับนักลงทุนสถาบันได้อีกด้วย มันจึงดูน่าเชื่อถือมาก ความบ้าคลั่งใน 50 บริษัทชั้นเลิศก็จบลงเช่นเดียวกัน เหมือนกับความบ้าคลั่งในการเก็งกำไรอื่น ๆ ในไม่ช้าก็เร็วผู้จัดการกองทุนที่เคยหลงใหลใน 50 บริษัทชั้นเลิศเหล่านี้ ก็ได้ตัดสินใจเป็นครั้งที่ 2 นั่นคือ การตัดสินใจที่จะขายมันออกไปในความโกลาหลที่ตามมา หุ้นชั้นเลิศที่มีการเติบโตก็ล้มลง มาจากความชื่นชอบอย่างสมบูรณ์แบบ

เสียงคำรามจากยุค 80

การกลับมาของหุ้นออกใหม่ กระแสนิยมของการออกหุ้นไฮเทค ในครึ่งปีแรกของปี ค.ศ. 1983 แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการถอดแบบมาจากทศวรรษที่ 1960 ด้วยการเปลี่ยนชื่อเพียงเล็กน้อย เพื่อจะให้ชื่อใหม่ครอบคลุมสาขาวิชาไบโอเทคโนโลยีและไมโครอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่ารวมของหุ้นออกใหม่ในช่วงปี ค.ศ. 1983 มีมูลค่ามากกว่ายอดรวมของมูลค่าของหุ้นออกใหม่ในทศวรรษที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด

หุ้นแห่งความคิดได้ชัยชนะอีกครั้ง ฟองสบู่ของไบโอเทคโนโลยี

อะไรที่อิเล็กทรอนิกส์เคยเป็นมาในยุคทศวรรษที่ 1960 ไบโอเทคโนโลยีกำลังจะกลายเป็นแบบนั้นเช่นกัน ในยุคทศวรรษที่ 1980  การปฏิวัติด้านไบโอเทคโนโลยีนั้น ถูกนำมาเปรียบเทียบเหมือนกับการปฏิวัติด้านคอมพิวเตอร์ และความหวังในความสำเร็จของกระบวนการตัดแต่งพันธุกรรม กำลังจะถูกสะท้อนออกมาในราคาหุ้นของบริษัทไบโอเทคโนโลยี การประเมินมูลค่าของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับไบโอเทคโนโลยี ได้ขึ้นมาถึงระดับที่ไม่เคยมีนักลงทุนคนไหนเคยผ่านพบมาก่อน ในยุคทศวรรษที่ 1960 หุ้นที่เก่งกำไรจากการเจริญเติบโต อาจจะถูกขายกันด้วยอัตราส่วนของราคาต่อกำไรที่ 50 เท่า ในยุคทศวรรษที่ 1980 หุ้นไบโอเทคโนโลยีบางตัวถูกขายในราคา 50 เท่าของยอดขาย มีเหตุผลที่พอจะอธิบายการประเมินราคาที่สูงมากขนาดนี้ได้คือ วิธีการตีราคาสินทรัพย์ที่เป็นสินค้า (Product Asset Valuation) ซึ่งถูกแนะนำโดยบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำแห่งหนึ่งบนวอลสตรีท โดยพื้นฐานแล้ววิธีนี้จะคิดมูลค่า จากการประมาณมูลค่าของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกระบวนการที่บริษัทกำลังจะนำออกสู่ตลาด มูลค่าทั้งหมดของผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่อยู่ในกระบวนการ ก็จะสามารถถูกรวบรวมขึ้นมาและเป็นตัวบ่งบอกถึงราคา ของหุ้นของบริษัทดังกล่าวที่ควรจะขายได้

ที่ผ่านมาทั้งหมดมันมีความหมายอย่างไร

บทเรียนจากประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นนั้นชัดเจน รูปแบบและสมัยนิยมในการประเมินราคาหลักทรัพย์ของนักลงทุน ที่มีบทบาทที่สำคัญอย่างมากในการกำหนดราคาของหุ้น ในบางเวลาสอดคล้องกับทฤษฎีการสร้างวิมานในอากาศเป็นอย่างดี ด้วยเหตุผลนี้เกมการลงทุนจึงเป็นอะไรที่เป็นอันตรายอย่างร้ายแรง บทเรียนอีกบทหนึ่งที่ต้องให้ความสนใจคือ นักลงทุนควรจะระมัดระวังอย่างมากในการซื้อหุ้นที่ออกใหม่ที่ร้อนแรง มันมักจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าผลตอบแทนโดยรวมของตลาด นักลงทุนในอดีตได้สร้างวิมานในอากาศกันมากมาย จากการนำเสนอขายครั้งแรกของหลักทรัพย์ แรงผลักดันที่จะทำให้นักลงทุนกระโดดขึ้นไปบนขบวนรถด้วยนั้น จะสร้างกระแสความมั่งคั่งที่ปราศจากกำไรให้กับนักลงทุน ถึงแม้การลงทุนนั้นจะอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงก็ตาม

บทที่ 4

ฟองสบู่แห่งการระเบิดทำลาย

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2,000

ถึงแม้ว่าฟองสบู่ที่แตกกระจาย ที่เกิดขึ้นในทศวรรษที่ผ่านมา จะมีอานุภาพในการทำลายล้างอย่างรุนแรง ในทางการเงินมากเท่าไหร่ก็ตาม เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังไม่สามารถที่จะมาเทียบเคียงกับเหตุการณ์ฟองสบู่ ที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 ได้เลย เมื่อฟองสบู่ของอินเทอร์เน็ตได้แตกออกในช่วงต้นทศวรรษที่ 2,000 มูลค่าตลาดกว่า 8,000 ล้านล้านเหรียญ ได้ระเหยหายไปทั้งหมดในอากาศ

ฟองสบู่ของอินเตอร์เน็ต

ฟองสบู่ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น มักจะเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้น หรือเกี่ยวข้องกับโอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นใหม่ อินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองอย่างนั้น เป็นเทคโนโลยีใหม่ และมันสามารถก่อให้เกิดโอกาส ในการทำธุรกิจในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะเป็นการปฏิวัติรูปแบบการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งการซื้อขายสินค้าและบริการอีกด้วย การเกิดขึ้นของอินเตอร์เน็ตก่อให้เกิดทั้งการสร้าง และการทำลายของความมั่งคั่งจากตลาดหุ้น ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ฟองสบู่ของไฮเทคในวงกว้าง

ในขณะที่ภาวะฟองสบู่อยู่ในช่วงสูงสุดนั้น ในเกมที่เกี่ยวกับการตั้งชื่อในช่วงการขยายตัวแบบทรอนิกส์ บริษัททุก ๆ บริษัทจะต่อท้ายชื่อของบริษัทด้วยคำว่าทรอนิกส์ เพื่อดึงดูดความสนใจจากนักลงทุน สิ่งเดียวกันนี้ก็ได้เกิดขึ้นในความบ้าคลั่งเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต หลายบริษัทซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตเลย ได้เปลี่ยนชื่อของบริษัทให้รวมคำที่เกี่ยวข้อง หรือสื่อเป็นนัยถึงความเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ไว้ในชื่อของบริษัท เช่น คำว่า ดอทคอม ดอทเน็ต หรืออินเทอร์เน็ต

ถึงคราวของนักวิเคราะห์บ้าง

นักวิเคราะห์ที่เก่งกาจของวอลสตรีท ก็ได้เร่งให้เกิดฟองสบู่ของความนิยมในอินเทอร์เน็ตนักวิเคราะห์เช่น นางสาว แมรี่ มีคเกอร์ (Mary Meeker) จากบริษัท Morgan Stanley  และนายเฮนรี่ บล็อกเจ็ตท์ จากบริษัท (Henry Blodgett) และนายแจ็ค กรับแมน (Jack Grubman) จากบริษัท Solomon Smith Barney กลายเป็นชื่อสามัญที่ใครก็รู้จัก และได้มีสถานะเป็นซุปเปอร์สตาร์ไปด้วย นางสาวมีคเกอร์ได้รับสมญานามจากหนังสือบารอนว่าเป็นราชินีแห่งอินเทอร์เน็ต ส่วนนายบล๊อคเจตท์ก็เป็นที่รู้จักกันในนามว่ากษัตริย์เฮนรี่ ในขณะที่นายกรับแมนก็ได้รับฉายาว่ากูรูแห่งเทเลคอม นักวิเคราะห์เหล่านี้มีรายได้หลายล้านเหรียญ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการที่จะชักจูงงานด้านวาณิชธนกิจเข้ามาสู่บริษัทของตนเอง โดยมีการสัญญาแบบไม่เปิดเผยว่า พวกเขาจะเขียนบทวิเคราะห์ที่จะเป็นการสนับสนุน ให้การนำเสนอขายหุ้นครั้งแรกของบริษัทมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและมีกำไรสูง นักวิเคราะห์และกลายเป็นเชียร์ลีดเดอร์ สำหรับความรุ่งเรืองของอินเทอร์เน็ต การให้ความเห็นต่อหุ้นรายตัวของนักวิเคราะห์พวกนี้ ทำให้ราคาหุ้นทะยานสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

มาตรวัดแบบใหม่ของมูลค่าหุ้น

เพื่อที่จะหาเหตุผลในการอธิบายถึงการเพิ่มขึ้นสูงของราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตอย่างต่อเนื่องนั้น นักวิเคราะห์หลักทรัพย์เริ่มใช้มาตรวัดแบบใหม่ ที่จะสามารถนำมาใช้ในการประเมินมูลค่าของหุ้น เนื่องจากว่าหุ้นแห่งระบบเศรษฐกิจใหม่เหล่านี้ ก็เป็นหุ้นคนละสายพันธุ์กับหุ้นแบบเดิม พวกมันจึงไม่ควรที่จะต้องถูกประเมินมูลค่าด้วยมาตรฐานแบบเดิม ๆ ที่ใช้กันมา เช่น ค่าอัตราส่วนราคาต่อกำไร ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เคยถูกใช้มาตลอดในการประเมินมูลค่าของหุ้น ของบริษัทที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจเก่า ด้วยเหตุผลบางอย่างในยุคใหม่ของอินเตอร์เน็ตนี้ ยอดขายรายได้และกำไร อาจจะเป็นสิ่งไม่มีความสำคัญ เพื่อที่จะประเมินมูลค่าของหุ้นอินเตอร์เน็ตเหล่านี้ นักวิเคราะห์จะให้ความสำคัญกับจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์แทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือตัวเลข ที่ระบุถึงผู้ซื้อสินค้าที่สนใจเป็นเทรดชอปเปอร์ ซึ่งมีความหมายว่าผู้ซื้อสินค้าที่ใช้เวลาบนเว็บไซต์อย่างน้อย 3 นาทีขึ้นไป มายด์แชร์ (Mind Share) ก็เป็นมาตรวัดอีกอันหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน ที่เป็นที่นิยมเช่นกัน มาตรวัดนี้พยายามที่จะชี้ว่า จิตใจหรือความคิดของนักลงทุนโดยรวม กำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องใด

ข้อเขียนของสื่อ

ภาวะฟองสบู่ได้รับแรงช่วยเหลือ และแรงสนับสนุนจากสื่อต่าง ๆ ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศแห่งนักซื้อขายหุ้น เช่นเดียวกันกับตลาดหุ้น สื่อเองก็ตกอยู่ภายใต้กฎของอุปสงค์และอุปทาน นิตยสารทางด้านธุรกิจและเทคโนโลยีจำนวนมาก ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยากได้ข้อมูลอย่างไม่รู้จักพอของผู้อ่าน อินเตอร์เน็ตเองก็ได้กลายเป็นสื่อด้วยตัวมันเอง โบรกเกอร์แบบออนไลน์เองก็เป็นอีกปัจจัยที่เร่งให้เกิดความเฟื่องฟูของอินเตอร์เน็ต เครือข่ายเคเบิ้ลทีวี อัตราการหมุนเวียนของการซื้อขายหุ้น ได้ขึ้นไปที่ระดับสูงสุด เวลาเฉลี่ยในการถือครองหุ้นบางตัว ไม่ได้เป็นระยะเวลาที่มีหน่วยเป็นปีเป็นเดือน แต่กลับเป็นวันหรือแม้กระทั่งเป็นชั่วโมงแทน จำนวนเปอร์เซ็นต์ของการไถ่ถอนคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และความแปรปรวนของราคาหุ้นแต่ละตัวก็ได้ระเบิดออก

การฉ้อโกงได้ไถลเข้ามากดตลาดไว้

ความคลั่งไคล้ในการเก็งกำไรอย่างเช่นที่เกิดขึ้น ภาวะฟองสบู่ของอินเทอร์เน็ตได้นำมาซึ่งแง่มุมที่เลวร้ายที่สุดของระบบเศรษฐกิจ หลาย ๆ ธุรกิจไม่ได้ถูกบริหารเพื่อสร้างมูลค่าระยะยาว แต่เพื่อตอบสนองความพึงพอใจในระยะสั้นให้แก่นักเก็งกำไร ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ก็คือ กรณีการเกิดขึ้นแ ละล่มสลายของบริษัท Enron ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นบริษัทที่ใหญ่อันดับ 7 ในสหรัฐอเมริกา ทำให้มูลค่าการลงทุนในตลาดเป็นจำนวนกว่า 65,000 พันล้านเหรียญ ถูกกวาดหายไปอย่างราบคาบ หนึ่งในกลโกงของทีมผู้บริหารของบริษัทคือ การก่อตั้งบริษัทหุ้นส่วนเป็นจำนวนมาก ที่สร้างความสับสนเกี่ยวกับฐานะทางการเงินที่แท้จริง ทำให้เกิดการชี้นำไปสู่การแสดงรายได้ที่สูงกว่าเป็นจริง บริษัท Enron ก็เป็นเพียงหนึ่งตัวอย่างจากจำนวนมากมายของกลโกงทางบัญชี ที่เกิดขึ้นในช่วงภาวะฟองสบู่ โดยที่นักลงทุนไม่ได้มีความเคลือบแคลงสงสัย

ควรที่จะรู้ถึงอันตรายเช่นนี้เรียบร้อยไปแล้วหรือไม่

ถ้าตัดการโกงออกไป ควรจะรู้เรื่องพวกนี้เป็นอย่างดีแล้ว ควรจะได้รู้แล้วว่าการลงทุนในเทคโนโลยีที่กำลังเปลี่ยนผ่าน มักจะไม่ก่อให้เกิดผลตอบแทนที่ดีต่อนักลงทุน หลักในการลงทุนไม่ได้อยู่ที่ว่าอุตสาหกรรมนั้น จะส่งผลกระทบต่อสังคมมากเพียงใด หรือแม้กระทั่งว่าอุตสาหกรรมนั้น จะมีการเติบโตเพียงใด แต่กลับอยู่ที่ความสามารถในการทำกำไรได้อย่างยั่งยืน นักลงทุนที่ขาดทุนอย่างต่อเนื่องในตลาดคือ คนที่ไม่สามารถจะอดใจกับกระแสพุ่งขึ้นของอะไรบางอย่างได้ ความสามารถในการที่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ร้ายแรงเช่นนั้นได้ น่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด สำหรับใครคนหนึ่งที่ต้องการจะรักษาเงินทุนของเขาเอาไว้ และต้องการทำให้มันเติบโตต่อไป บทเรียนนี้เป็นสิ่งที่ชัดเจนมาก แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นสิ่งที่ง่ายมากที่จะละเลย

ฟองสบู่และกิจกรรมทางเศรษฐกิจ

จากการสำรวจประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา มันทำให้เห็นได้ชัดว่าการแตกออกของฟองสบู่ จะนำมาซึ่งการหยุดชะงักทางกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาพจริง (Real Sector)  อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การล่มสลายลงของราคาสินทรัพย์ในภาวะฟองสบู่ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เฉพาะในวงของนักเก็งกำไรเท่านั้น ฟองสบู่เป็นอันตรายอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อมันเข้าไปเกี่ยวข้องกับการขยายตัวของสินเชื่อ และการเพิ่มขึ้นของการใช้ leverage ทางการเงิน ทั้งสำหรับผู้บริโภคเองและสถาบันการเงิน ซึ่งในท้ายที่สุดคนทั่วไปและสถาบันการเงิน ก็จะตกอยู่ในสภาวะที่อ่อนไหวต่อความอันตราย ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อฟองสบู่แตกออก วงจรที่มีอยู่นั้นจะเกิดหมุนย้อนกลับ ราคาลดลง ผู้คนจะพบว่าความมั่งคั่งของพวกเขาลดลง และผลลัพธ์ของวงจรย้อนกลับนี้ก็คือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ฟองสบู่ที่เกิดจากการขยายตัวของการปล่อยสินเชื่อคือ ฟองสบู่ที่จะก่อให้เกิดอันตรายมากที่สุดสำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคจริง

นี่หมายความว่าตลาดมีประสิทธิภาพใช่หรือไม่

ตลาดจะทำการปรับแก้ตัวเองเสมอ ในท้ายที่สุดตลาดจะแก้ไขสิ่งที่ไม่ได้เป็นเหตุเป็นผล ถึงแม้จะด้วยกระบวนการที่เชื่องช้า และไม่น่าจะยกย่องสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ในท้ายที่สุดแล้วมูลค่าที่แท้จริงของมันก็จะถูกรับรู้โดยตลาด ตลาดสามารถที่จะมีประสิทธิภาพสูงได้ ถึงแม้ว่ามันได้ทำความผิดพลาดให้เกิดขึ้นก็ตาม ดังนั้นราคาหุ้นที่ตลาดกำหนดจะต้องมีความผิดพลาดอยู่ในระดับใดระดับหนึ่งเสมอ แต่ ณ ที่เวลาใดเวลาหนึ่ง ความจริงที่ว่านักลงทุนที่ดีที่สุดและที่ชาญฉลาดที่สุดบนวอลสตรีทยังไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ ระหว่างหุ้นที่มีการประเมินมูลค่าที่ถูกต้อง กับหุ้นที่มีการประเมินมูลค่าที่ไม่ถูกต้องได้ แสดงให้เห็นว่ามันยากแค่ไหนที่จะสามารถเอาชนะตลาดได้ แน่นอนปัจจัยที่เป็นแรงจูงใจมีมากมายในสภาวะเช่นนั้น และเมื่อมองย้อนกลับไป กฎหมายบางส่วนอาจจะมีการย่อหย่อน นโยบายของรัฐบาลบางส่วนไม่ได้ถูกพิจารณาอย่างดี แต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นถึงแม้จะเป็นเรื่องเศร้า และก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ตามมาก็ตาม ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความลุ่มหลง หรือศรัทธาแบบงมงายจนตาบอด ตามสมมติฐานของตลาดที่มีประสิทธิภาพ

ส่วนที่ 2

พวกมืออาชีพเล่นเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองกันอย่างไร

บทที่ 5

การวิเคราะห์เชิงเทคนิคและเชิงพื้นฐาน

ในวันปกติของการซื้อขายหุ้นในวันหนึ่ง ปริมาณหุ้นที่มีมูลค่าในตลาดทั้งหมดหลายแสนล้านเหรียญจะถูกซื้อขายกัน ที่ตลาดหุ้นของนิวยอร์ก ตลาด NASDAQ และเครือข่ายทางอิเล็กทรอนิกส์ ที่เชื่อมต่อระหว่างกันทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อรวมเอาตลาดซื้อขายสำหรับสัญญาซื้อขายล่วงหน้าออปชั่น และสว็อปเข้าไปด้วยแล้ว มูลค่าของธุรกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน จะมีค่าเป็นจำนวนเงินจำนวนมหาศาล นับหลายล้านล้านเหรียญเลยทีเดียว นักวิเคราะห์การลงทุนมืออาชีพและที่ปรึกษาทางการเงิน เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมือง แม้ว่าอาชีพด้านการเงินขั้นสูง จะไม่ได้เป็นอาชีพที่เก่าแก่ที่สุด แต่อาชีพนี้เป็นอาชีพที่มีค่าตอบแทนมากที่สุดอาชีพหนึ่ง

การวิเคราะห์เชิงเทคนิคและการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน

ความพยายามที่จะทำนายราคาหุ้นในอนาคตให้แม่นยำ เพื่อจะกำหนดเวลาที่เหมาะสมในการซื้อหรือขายให้ถูกต้องนั้น ถือว่าเป็นหนึ่งในความอุตสาหะที่สูงที่สุดอันหนึ่งของนักลงทุน และการค้นหาสายทองคำใบนี้ ได้ก่อให้เกิดความหลากหลายวิธี ในการทำนายซึ่งมีตั้งแต่วิธีที่สามารถอ้างอิงได้ จากหลักการทางวิทยาศาสตร์ไปจนถึงศาสตร์อันลึกลับ แต่อย่างไรก็ตามคนส่วนมาก มักจะเลือกวิธีใดวิธีหนึ่งจากสองวิธีดังต่อไปนี้คือ การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน (Fundamental Analysis)

สาระสำคัญของการวิเคราะห์เชิงเทคนิคคือ การสร้างและแปลความหมายจากกราฟหรือแผนภูมิ (Chart) จากหุ้น พวกเขาศึกษาอดีตของการเคลื่อนไหวของราคา และปริมาณการซื้อขายของหุ้น เพื่อใช้เป็นร่องรอยสำหรับการหาแนวทางการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นในอนาคต และแผนภูมิส่วนมากเชื่อว่า ตลาดจะเป็นไปตามหลักตรรกยวิทยา หรือเหตุผลเพียงแค่ 10% และจะเป็นไปตามหลักจิตวิทยา หรือความรู้สึกถึง 90% โดยทั่วไปพวกเขาจะเชื่อในแนวความคิดของการสร้างวิมานในอากาศ และมองเกณฑ์การลงทุนเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าว่า ผู้เล่นคนอื่น ๆ จะมีพฤติกรรมอย่างไรในอนาคต

ในทางตรงกันข้ามการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานเชื่อว่า ตลาดเป็นไปตามหลักตรรกวิทยา 90% และตามหลักจิตวิทยาเพียงแค่ 10% โดยให้ความสนใจเกี่ยวกับรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาในอดีตเท่านั้น จะเกี่ยวข้องกับการเติบโตของรายได้ และเงินปันผลในอนาคต อัตราดอกเบี้ย และความเสี่ยง โดยการประเมินปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราการเติบโตในอนาคต ผู้ที่มั่นใจในการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานเชื่อว่า ท้ายที่สุดตลาดจะสะท้อนมูลค่าที่ถูกต้อง และแท้จริงของหลักทรัพย์เอง

แผนภูมิบอกอะไรได้

หลักการแรกของการวิเคราะห์ทางเทคนิคคือ ข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับผลกำไร เงินปันผล และผลประกอบการในอนาคตของบริษัท ได้ถูกสะท้อนอยู่ในราคาหุ้นในอดีตของบริษัทโดยอัตโนมัติเรียบร้อยแล้ว หลักการข้อที่ 2 คือ ราคาเหล่านี้จะขยับตัวตามแนวโน้ม หุ้นที่กำลังพุ่งขึ้น มีแนวโน้มที่จะพุ่งขึ้นต่อไปอีก ส่วนหุ้นที่อยู่ในจุดคงที่มีแนวโน้มที่จะแน่นิ่งต่อไป

เหตุผลเบื้องหลังของวิธีการทำแผนภูมิ

บางทีคำถามที่ตอบยากที่สุดก็คือ ทำไมการใช้แผนภูมิถึงเป็นวิธีที่น่าจะได้ผล นักแผนภูมิหลายคนต่างก็ยอมรับว่า พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมการใช้แผนภูมิถึงเป็นวิธีที่น่าจะได้ผล บางทีอาจเพราะประวัติศาสตร์ มีนิสัยที่จะเดินซ้ำรอยของตัวมันเอง การวิเคราะห์เชิงเทคนิค 3 ข้อต่อไปนี้ ดูจะมีเหตุผลและเป็นไปได้มากที่สุด

เหตุผลข้อแรกคือ สัญชาตญาณที่เกิดจากจิตวิทยาของมวลชน อาจจะทำให้มีการเกิดขึ้นซ้ำของแบบแผนอย่างต่อเนื่อง

เหตุผลข้อสองคือ มันอาจจะไม่มีความไม่เท่าเทียมกันของการรับรู้ข้อมูลพื้นฐานของบริษัท เมื่อมีข่าวบางข่าวที่เป็นผลดีเกิดขึ้น

เหตุผลข้อสามคือในช่วงแรก ๆ นักลงทุนมักจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ต่อข้อมูลใหม่ที่รับทราบมา

ทำไมการใช้แผนภูมิถึงอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ

มันมีข้อโต้แย้งมากมายตามหลักเหตุผลสำหรับการใช้แผนภูมิ ประการแรกสังเกตว่านักแผนภูมิจะซื้อหลังจากที่แนวโน้มของราคาได้ถูกสร้างขึ้น และขายหลังจากที่มันเพิ่งพังทลายลง เนื่องจากการผันกลับอย่างตรงกันข้ามของตลาด อาจเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทางด่วน ประการที่ 2 ในที่สุดแล้วเทคนิคเหล่านี้จะทำลายตัวเอง เมื่อมีคนจำนวนมากขึ้น และมากขึ้นใช้งานคุณค่าของเทคนิคใด ๆ ก็ตามจะเสื่อมค่าแรง ไม่มีสัญญาณการซื้อหรือขายใด ที่จะสร้างคุณค่าได้ถ้าทุก ๆ คนพยายามที่จะตอบสนองต่อสัญญาณนั้น แบบเดียวกันและพร้อม ๆ กัน

จากนักแผนภูมิสู่นักเทคนิค

ถึงแม้ว่านักแผนภูมิจะไม่ได้รับการยอมรับมากนักบนวอลสตรีท แต่วิธีที่มีสีสันของพวกเขา ที่ให้คำแนะนำถึงวิธีง่าย ๆ ที่จะสร้างความร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว สามารถสร้างความดึงดูดใจ และทำให้คนเชื่อได้เป็นจำนวนมาก ในยุคก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์ใช้ การทำแผนภูมิของตลาดเป็นงานที่ต้องใช้ความอุตสาหะอย่างมาก เนื่องจากจะต้องทำด้วยมือ ปัจจุบันนักแผนภูมิได้รับการบริการที่แสนจะสะดวกสบาย จากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายข้อมูลหลากหลาย และเพียบพร้อมไปด้วยจอแสดงผลขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถสร้างแผนภูมิที่อยากเห็นได้เพียงด้วยปลายนิ้ว

ในปัจจุบันมักจะเรียกว่านักเทคนิค สามารถที่จะสร้างแผนภูมิฉบับสมบูรณ์ ที่แสดงผลประกอบการของหุ้นในอดีต ซึ่งรวมการวัดปริมาณการซื้อขาย การหาค่าเฉลี่ย เคลื่อนไหว (Moving Average) ใน 200 วันที่ผ่านมาคือ ค่าเฉลี่ยของราคาในช่วง 200 วันที่ผ่านมา ที่จะถูกคำนวณใหม่ทุก ๆ วัน การหาจุดเด่นของหุ้นเมื่อเทียบกับตลาด และเทียบกับอุตสาหกรรมเป็นจำนวนหลายชนิด เช่น ค่าเฉลี่ย อัตราส่วน ตัววัดกันแกว่งตัว และตัวชี้วัด เป็นต้น

เทคนิคของการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน

นักเทคนิคสนใจเพียงแค่รายการบันทึก ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของราคา ในขณะที่สิ่งผู้ที่เชื่อในหลักพื้นฐานคำนึงถึงเป็นสำคัญคือ มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นควรเป็นเท่าไหร่ ผู้ที่เชื่อในหลักพื้นฐานพยายามสร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง จากการถูกมองในแง่ดีและการถูกมองในแง่ร้ายโดยมวลชน และพยายามสร้างความแตกต่างให้เห็นได้ชัดเจน ระหว่างราคาหุ้นในปัจจุบันและมูลค่าที่แท้จริงของมัน งานที่สำคัญที่สุดของผู้ที่เชื่อในหลักการพื้นฐานก็คือ การประเมินกระแสเงินสดของผลกำไร และเงินปันผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของบริษัทให้ได้ มูลค่าของหุ้นจะถูกคิดจากมูลค่าปัจจุบัน หรือมูลค่าที่ถูกลดทอนจากกระแสเงินสด ที่นักลงทุนคาดว่าจะได้รับจากหุ้นตอนนั้นในอนาคต นักวิเคราะห์ต้องประมาณยอดขายของบริษัท ต้นทุนในการดำเนินงาน อัตราดอกเบี้ยสำหรับบริษัท นโยบายการคิดค่าเสื่อมราคา แหล่งที่มา และต้นทุนของเงินทุนที่ต้องใช้ ผู้ที่เชื่อในหลักการพื้นฐานใช้ตัวกำหนดพื้นฐาน 4 ตัว เพื่อช่วยในการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นใด ๆ ก็ตาม

ตัวกำหนดที่ 1 อัตราการเติบโตที่คาดหวัง (Expected Growth Rate) คนส่วนมากไม่เข้าใจถึงนัยของการเติบโตแบบทบต้น (Compound Growth) สำหรับการตัดสินใจทางการเงิน กฎที่ชื่อว่ากฎ 72 เป็นกฎที่เป็นประโยชน์มากในการคำนวณทางลัด เพื่อที่จะหาว่าต้องใช้เวลานานเท่าไร ในการเพิ่มเงินลงทุนเป็น 2 เท่า เมื่อนำอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับไปหารตัวเลข 72 ก็จะได้จำนวนปีที่จะต้องใช้ในการเพิ่มเงินเป็นจำนวน 2 เท่า ตัวอย่างเช่น ถ้าได้รับอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 15% ก็จะใช้เวลาเกือบจะ 5 ปีที่จะเพิ่มจำนวนเงินทุนเป็นสองเท่า ( 72 หารด้วย 15 มีค่าเท่ากับ 4.8 ปี)

ตัวกำหนดที่ 2 การจ่ายเงินปันผลที่คาดหวัง (Expected Dividend Payout) จำนวนเงินปันผลที่ได้รับในแต่ละงวด ซึ่งตรงกันข้ามกับอัตราการเติบโตของบริษัท ถือเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อราคาหุ้น ค่ากำหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ มีค่าเท่ากัน การจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่าจะทำให้หุ้นตัวนั้นมีราคาที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน สำหรับ 2 บริษัทที่มีอัตราเติบโตที่คาดหวังเท่ากันนั้น มันจะเป็นการดีกว่า ที่จะเลือกลงทุนในบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสูงกว่า

ตัวกำหนดที่ 3 ระดับความเสี่ยง (Degree of Risk) ความเสี่ยงมีบทบาทสำคัญในตลาดหุ้น ความเสี่ยงจะมีอยู่ตลอดเวลา นี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้มันน่าสนใจ และความเสี่ยงก็ยังมีผลต่อการประเมินมูลค่าหุ้น ถึงแม้จะมีความเห็นทั่วไปที่สอดคล้องกันว่า ความเสี่ยงที่สูงขึ้นจะต้องถูกชดเชยด้วยผลตอบแทนที่สูงกว่าในอนาคต แต่การวัดความเสี่ยงนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์รู้สึกกลัวแต่อย่างใด

ตัวกำหนดที่ 4 ระดับอัตราดอกเบี้ยในตลาด (Level of Market Interest Rate) ตลาดหุ้นไม่ได้ปรากฏอยู่บนโลกโดยตัวของมันเองตามลำพัง นักลงทุนควรที่จะพิจารณาถึงระดับของกำไรที่จะได้มาจากทางอื่นด้วย ถ้าอัตราดอกเบี้ยสูงมากพอ มันสามารถที่จะเป็นทางเลือกที่ให้ผลกำไร ที่สม่ำเสมอกว่าตลาดหุ้นได้เช่นกัน

คำเตือนที่สำคัญ 3 ข้อ กฎเหล่านี้เป็นประโยชน์มากในการชี้แนะถึงราคาของหุ้นอย่างสมเหตุสมผล และเป็นมาตรฐานของการเทียบมูลค่าของหุ้นสำหรับนักลงทุน แต่ก่อนที่แม้จะคิดนำกฏเหล่านี้ไปใช้ ควรจะต้องระลึกไว้ในใจเสมอถึงข้อควรระวัง 3 ข้อที่สำคัญต่อไปนี้

คำเตือนข้อที่ 1 ความคาดหวังเกี่ยวกับอนาคตไม่สามารถถูกพิสูจน์ได้ในปัจจุบัน การคาดการณ์รายได้ในอนาคต และเงินปันผลของบริษัท เป็นอาชีพที่เสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง มันจำเป็นที่จะต้องมีทั้งความรู้และความสามารถเยี่ยงนักเศรษฐศาสตร์ รวมไปถึงความแหลมคมของนักจิตวิทยา และยิ่งไปกว่านั้นคือ มันยากมากที่จะมีความเป็นกลาง สิ่งที่ควรจดจำไว้คือ ไม่ว่าจะใช้สูตรไหนในการคาดการณ์อนาคต มันยังคงมีบางส่วนที่เป็นสมมติฐานที่ไม่สามารถหาคำตอบได้เสมอ

คำเตือนข้อที่ 2 ตัวเลขที่ถูกต้องแม่นยำนั้นไม่สามารถคำนวณได้ จากข้อมูลที่ไม่สามารถระบุได้ มันยังคงเป็นเหตุผลที่ถูกว่า ไม่สามารถที่จะคำนวณหาตัวเลขที่ถูกต้องแม่นยำได้ ด้วยการใช้ปัจจัยที่ไม่สามารถถูกระบุแน่ชัดได้ ถึงกระนั้นก็ตามเพื่อที่จะให้ได้ผลลัพธ์สุดท้ายที่ต้องการ นักลงทุนและนักวิเคราะห์ก็จะทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำ

คำเตือนข้อที่ 3 สิ่งใดก็ตามที่ทำให้ห่านโตขึ้น ไม่ได้จำเป็นต้องทำให้ห่านตัวผู้โตขึ้นตามเสมอไป ความยากอยู่ที่ว่าตลาดให้คุณค่าต่อปัจจัยพื้นฐานแต่ละอย่างแตกต่างกัน มันเป็นความจริงเสมอที่ว่า ตลาดจะให้ความสำคัญต่ออัตราการเติบโต ยิ่งอัตราการเติบโตสูง อัตราส่วนของราคาต่อกำไรก็จะยิ่งสูงไปด้วย แต่คำถามที่สำคัญอยู่ที่ว่าควรจะจ่ายเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ สำหรับอัตราการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้น

ทำไมการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน อาจจะใช้งานไม่ได้ตามเหตุและผลในเชิงวิทยาศาสตร์ การวิเคราะห์ประเภทนี้ยังมีข้อบกพร่องที่สำคัญอยู่ 3 ประการ ประการที่ 1 คือข้อมูลและการวิเคราะห์อาจจะไม่ถูกต้อง ประการที่ 2 คือการประเมินมูลค่าโดยนักวิเคราะห์อาจจะมีข้อผิดพลาด ประการที่ 3 คือตลาดอาจจะไม่แก้ไขข้อผิดพลาดของตัวมันเอง และราคาหุ้นก็อาจจะไม่มาบรรจบกันกับมูลค่าที่ถูกประเมินไว้ ปัญหาแรกคือนักวิเคราะห์หลักทรัพย์อาจจะไม่สามารถแปลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ให้เป็นค่าประมาณการของผลกำไรในหลายปีข้างหน้าได้อย่างถูกต้อง การวิเคราะห์ที่ผิดพลาดของข้อมูลที่ถูกต้องนี้ สามารถทำให้การประมาณอัตราการเติบโตของผลกำไร และเงินปันผลคลาดเคลื่อนไปไกลมาก ปัญหาที่ 2 คือถึงแม้ว่าข้อมูลนั้นจะถูกต้อง และการแปลความหมายสำหรับการเติบโตในอนาคตถูกประเมินได้อย่างเหมาะสม นักวิเคราะห์ก็อาจจะประมาณมูลค่าผิดได้ ปัญหาสุดท้ายคือแม้ว่าทั้งข้อมูลและการประมาณมูลค่ามีความถูกต้อง หุ้นที่ซื้อก็อาจจะตกลงได้ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร มันคือความผันผวนจากความรู้สึกของตลาดที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งก็ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ไม่ใช่แค่อัตราส่วนของราคาต่อกำไรโดยเฉลี่ยเท่านั้น ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วสำหรับหุ้นโดยทั่วไป แต่ตลาดเองก็สามารถที่จะเปลี่ยนการให้ส่วนเพิ่มพิเศษของราคาพรีเมี่ยม กับการเจริญเติบโตได้ด้วย มันเป็นที่แน่ชัดว่าไม่ควรจะมองนักวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน ที่ประสบความสำเร็จว่าเป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามารถทั่วไปจะสามารถทำได้

การใช้การวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมกัน นักวิเคราะห์หลายคนใช้เทคนิคหลาย ๆ อย่างรวมกันเพื่อที่จะตัดสินว่าหุ้นตัวหนึ่ง มีความน่าสนใจที่จะซื้อหรือไม่ หนึ่งในกระบวนการที่มีเหตุผลที่สุด สามารถสรุปได้ง่าย ๆ เป็นกฎ 3 ข้อดังต่อไปนี้

กฎข้อที่ 1 ซื้อเฉพาะบริษัทที่คาดว่า จะมีอัตราการเจริญเติบโตของผลกำไร ที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยเป็นเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ผู้ซื้อหุ้นที่มีผลกำไรเริ่มที่จะเติบโตอย่างรวดเร็วนั้น จึงมีโอกาสที่ได้ผลประโยชน์ 2 ต่อคือ ทั้งผลกำไรและอัตราส่วนของราคาต่อกำไรที่เพิ่มขึ้น

กฎข้อที่ 2 อย่าจ่ายเงินเพื่อซื้อหุ้น มากกว่ามูลค่าที่มาจากพื้นฐานของบริษัท หุ้นที่มีการเจริญเติบโต ถูกขายในราคาที่มีอัตราส่วนของราคาต่อกำไร อยู่ในเกณฑ์เดียวกันกับอัตราส่วน ของราคาต่อกำไรของตลาด หรือสูงกว่าไม่มากนักนั้น มักจะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าที่ดี

สามารถสรุปโดยกล่าวถึงกฎ 2 ข้อแรกนี้อีกครั้งได้ดังนี้ จงมองหาสถานการณ์ที่มีการเจริญเติบโต ที่มีอัตราส่วนของราคาต่อกำไรที่ต่ำ ถ้าความเจริญเติบโตนั้นเกิดขึ้น มันก็มักจะเป็นโบนัส 2 เท่า ทั้งผลกำไรและอัตราส่วนของราคาต่อกำไรที่สูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ได้กำไรจำนวนมาก จงระวังหุ้นที่มีอัตราส่วนของราคาต่อกำไรที่สูง ซึ่งการเจริญเติบโตของหุ้นในอนาคตได้ถูกลดทอนค่าแล้ว ถ้าการเจริญเติบโตนั้นไม่ปรากฏขึ้น การขาดทุนก็จะหนักเป็น 2 เท่า ทั้งผลกำไรและอัตราส่วนของราคาต่อกำไรที่ตกต่ำลง

กฎข้อที่ 3 มองหาหุ้นที่มีเรื่องราวที่ทำให้การคาดการณ์ความเจริญเติบโตของมัน เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนสามารถสร้างวิมานในอากาศได้ มนุษย์ถูกผลักดันด้วยความโลภ สัญชาตญาณแห่งการพนัน ความหวัง และความกลัว ในการตัดสินใจเกี่ยวกับหุ้นของพวกเขา นี่คือเหตุผลว่าทำไม การลงทุนที่ประสบความสำเร็จต้องการทั้งความฉลาดด้านสติปัญญา และความเฉียบแหลมด้านจิตวิทยาด้วย

บทที่ 6

การวิเคราะห์เชิงเทคนิคกับทฤษฎีการเดินสุ่ม

ไม่ใช่ผลกำไร เงินปันผล ความเสี่ยง หรืออัตราดอกเบี้ยที่จะทำให้นักแผนภูมิต้องไปวุ่นวายอยู่กับงานอื่น ๆ นอกเหนือไปจากงานที่พวกเขาได้รับมอบหมาย ซึ่งก็คือการศึกษาความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น การอุทิศตนเพื่อศึกษาตัวเลขด้วยความแน่วแน่ ได้ก่อให้เกิดทฤษฎีที่เต็มไปด้วยสีสัน และก่อให้เกิดภาษา และคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในวงการตลาดหุ้นวอลสตรีทขึ้นมา เช่น ถือครองหุ้นที่เป็นผู้ชนะเอาไว้ เทขายหุ้นที่เป็นผู้แพ้เสีย เปลี่ยนไปยังหุ้นที่แข็งแรงกว่า ขายหุ้นที่ออกมานี้ซะ มันช่างย่ำแย่ซะเหลือเกิน อย่าต่อสู้กับทิกเกอร์เทป เหล่านี้ล้วนเป็นคำบอกของเหล่านักวิเคราะห์เชิงเทคนิค นักเทคนิคสร้างกลยุทธ์การซื้อขายหุ้น บนความฝันของการสร้างวิมานในอากาศ

ช่องโหว่ในรองเท้าของนักเทคนิค และความกำกวมในคำพยากรณ์ของพวกเขา

อาจารย์ในมหาวิทยาลัยบางครั้งจะถูกตั้งคำถามจากนักเรียนของพวกเขาเองว่า ถ้าฉลาดมากขนาดนี้ทำไมยังไม่ร่ำรวยล่ะ การวิเคราะห์เชิงเทคนิคคือการหาเงิน ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งน่าจะคาดหวังว่า คนที่พร่ำสอนคนอื่นให้ใช้วิธีการแบบนี้ เขาก็ควรที่จะได้ใช้มันอย่างประสบความสำเร็จ ในการลงทุนของเขาเองด้วยเช่นกัน เมื่อไปถามเขาว่าทำไมยังถังแตก เขาก็จะตอบว่ามันเป็นความผิดพลาดเหมือนกับมนุษย์ทั้งหลายนั่นเอง

มันมีโมเมนตัมในตลาดหุ้นหรือไม่

นักเทคนิคเชื่อว่าการเรียนรู้ถึงพฤติกรรมของหุ้นในอดีต สามารถนำมาช่วยในการคาดการณ์ราคาของหุ้นในอนาคตได้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นที่เกิดขึ้น ก่อนหน้าวันใดวันหนึ่งจะมีส่วนสำคัญในการพยากรณ์ราคาหุ้นในวันนั้น วิธีนี้อาจจะถูกเรียกว่าเป็นหลักการวอลเปเปอร์ (Wallpaper Principle) คือคาดเดาว่าลวดลายของวอลเปเปอร์ที่ซ่อนอยู่ด้านหลังกระจกเงา จะเหมือนกันกับลวดลายของวอลเปเปอร์ที่อยู่เหนือกระจกเงาขึ้นไป สมมติฐานเบื้องต้นของหลักการนี้ก็คือ รูปแบบหรือแบบแผน (Pattern) จะวนกลับมาเกิดขึ้นซ้ำกันเหมือนเดิมอีกทั้งในมิติของพื้นที่ (Space) และเวลา (Time) นักแผนภูมิเชื่อว่ามันมีโมเมนตัม (แรงส่ง) อยู่ในตลาดหุ้น สมมุติว่าหุ้นที่กำลังอยู่ในขาขึ้นก็จะยังคงขึ้นต่อไป ส่วนหุ้นที่อยู่ในขาลงก็จะยิ่งดิ่งลงต่อไป

ดังนั้นนักลงทุนควรที่จะซื้อหุ้นที่เริ่มอยู่ในช่วงขาขึ้นและถือครองมันไว้ แต่ถ้าหุ้นเริ่มที่จะตกลงหรือมีผลงานแย่ลง นักลงทุนก็จะถูกแนะนำให้ขายมันทิ้งไป การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นในอดีต ไม่สามารถนำมาใช้คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ ถ้าตลาดหุ้นมีความทรงจำได้ มันก็เป็นความทรงจำที่สั้นมาก ในขณะที่ตลาดอาจจะแสดงถึงการมีอยู่ของโมเมนตั้มบ้าง เป็นบางครั้งบางคราวในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่โมเมนตั้มไม่ได้มีอยู่อย่างสม่ำเสมอ จนที่จะสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้

การเดินสุ่มคืออะไรกันแน่

นักคณิตศาสตร์เรียกลำดับของตัวเลข ที่ได้จากกระบวนการสุ่มเช่นนี่ว่า การเดินสุ่ม (Random Walk) การเคลื่อนไหวในครั้งต่อไปบนกราฟ ไม่สามารถคาดการณ์ได้จากเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านั้น ในความเป็นจริงนั้นตลาดหุ้น ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปตามตัวแบบทางอุดมคติ ของนักคณิตศาสตร์อย่างสมบูรณ์แบบ ในแง่มุมที่ว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในปัจจุบัน กับราคาในอดีตเป็นอิสระจากการมีโมเมนตัมของราคาหุ้นอยู่ เมื่อมีข่าวดีเกิดขึ้นนักลงทุนก็ปรับการคาดการณ์เกี่ยวกับราคาที่เหมาะสมของหุ้น แต่จะเป็นการเกิดขึ้นทีละส่วน การเกิดขึ้นทีละเล็กทีละน้อยอย่างช้า ๆ นี่เอง ที่ทำให้ราคาของหุ้นมีการเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ และต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งก่อให้เกิดเป็นโมเมนตัมขึ้น ความล้มเหลวที่เกิดมาจากการที่ราคาหุ้นไม่ได้เป็นไปตามคำนิยาม ของการเดินสุ่มแบบสมบูรณ์นี้เอง ที่ทำให้นักเศรษฐศาสตร์ที่ชื่อว่านายแอนดรูว์ โล (Andrew Lo) และนายเอ. เครก แมคคินเลย์ (A. Craig Mackinlay) ได้เขียนหนังสือที่ชื่อว่า A Non-Random Walk Down Wall Street ขึ้นมา นอกเหนือไปจากหลักฐานบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับโมเมนตัมในระยะสั้นแล้ว มันมีหลักฐานที่แสดงถึงแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของราคาเฉลี่ยของหุ้นในระยะยาว ที่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของกำไร และเงินปันผลของหุ้นในระยะยาวด้วยเช่นกัน

กระบวนการทางเทคนิคที่ซับซ้อนมากขึ้น

วิธีการซื้อขายที่สลับซับซ้อนมาก ที่เกิดจากวิธีการทางเทคนิค ก็ได้ถูกทดสอบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์แล้ว ลองมาตรวจสอบโดยละเอียดถึงวิธีการเหล่านี้ดู

ระบบกลั่นกรอง (The Filter System) ระบบกลั่นกรองนี้เป็นวิธีที่อยู่เบื้องหลังของการใช้คำสั่งซื้อขายแบบหยุดการขาดทุน (Stop Loss Order) ที่จะจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ ระบบกลั่นกรองนำมาใช้ในการเลือกซื้อหรือขาย ได้ถูกปรับให้มีค่าเริ่มต้นตั้งแต่ 1% ไปจนถึง 50% และถูกนำไปใช้กับทั้งหุ้นแบบรายตัวและดัชนีหุ้นด้วย ผลลัพธ์จากการทดสอบที่ได้ออกมามีความสม่ำเสมอมาก เมื่อต้นทุนที่เกิดจากค่าธรรมเนียมของการซื้อขายที่มีค่าสูงขึ้น ภายใต้ระบบกลั่นกรองได้ถูกนำมาพิจารณาร่วมด้วย วิธีการซื้อขายแบบนี้ไม่สามารถที่จะเอาชนะกลยุทธ์แบบซื้อและถือยาวได้

ทฤษฎีดาว (The Down Theory) ทฤษฎีดาวคือการเล่นชักคะเย่อระหว่างแนวรับและแนวต้าน เมื่อตลาดได้ผ่านจุดสูงสุด และเริ่มเคลื่อนตัวลงจุดสูงสุดที่ผ่านไปนั้น จะถูกกำหนดให้เป็นบริเวณแนวต้าน (Resistance Area) เพราะว่าผู้คนที่พลาดโอกาสในการขายหุ้นเมื่อตอนที่ราคาอยู่ที่จุดสูงสุด จะรู้สึกว่าพวกเขาอยากจะขายหุ้นออกไปที่ราคานั้นถ้าพวกเขามีโอกาสอีกครั้ง ถ้าตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และเขยิบเข้าใกล้จุดสูงสุดที่ได้ขึ้นไปถึงเมื่อคราวที่แล้ว มันจะถูกพูดว่าทดสอบบริเวณแนวต้าน ถ้าตลาดสามารถทะลุผ่านแนวต้านไปได้ ตลาดก็มีโอกาสที่จะเพิ่มสูงขึ้นต่อไปได้เรื่อย ๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และแนวต้านที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ก็จะกลายเป็นแนวรับแทน หลักการพื้นฐานของทฤษฎีดาว แสดงถึงนัยสำหรับกลยุทธ์ที่ให้นักลงทุนทำการซื้อหุ้น เมื่อตลาดเพิ่มขึ้นสูงกว่าจุดสูงสุดที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่แล้ว และทำการขายเมื่อตลาดลดลงต่ำกว่าจุดต่ำสุดที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งที่แล้ว

ระบบความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (The Relative-Stain System) ในระบบความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ นักลงทุนควรซื้อและถือหุ้นที่กำลังไปได้ดี มีบางช่วงเวลาที่กลยุทธ์การซื้อขาย ที่ถูกกำหนดจากระบบความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ จะให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นกว่ากลยุทธ์แบบซื้อและถือยาว แต่มันก็ไม่ได้มีหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า มันเป็นเช่นนั้นได้อย่างสม่ำเสมอ กฎเหล่านี้ไม่ได้สร้างประโยชน์ใด ๆ ให้เกิดขึ้นกับนักลงทุนเลย เมื่อค่าธรรมเนียมของการทำธุรกรรมการซื้อขาย และภาษีได้ถูกนำมารวมคำนวณเข้าไปด้วยแล้ว

ระบบราคาปริมาณ (Price-Volume System) แนะนำว่าเมื่อหุ้นหรือตลาดโดยทั่วไปมีมูลค่าเพิ่มขึ้น หรือมีปริมาณซื้อขายที่มากขึ้น มันจะมีความต้องการที่จะซื้อ ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองอยู่เป็นจำนวนมาก และราคาของหุ้นก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกันเมื่อหุ้นมีปริมาณการขายที่ลดลงเป็นจำนวนมาก แรงกดดันในการขายหุ้นก็จะเกิดขึ้น และสัญญาณของการขายจะส่งออกมา สัญญาณซื้อและขายที่ถูกสร้างขึ้นจากกลยุทธ์นี้ ไม่ได้มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ใด ๆ เลยต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในอนาคต นักลงทุนจะต้องคอยทำการซื้อขายเข้าออกบ่อยครั้ง ซึ่งจะทำให้เกิดต้นทุนจากค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมและภาษีสูงขึ้น

ความไม่มีแบบแผน (Randomness) เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ โดยธรรมชาติของมนุษย์นั้น ความชอบเป็นระเบียบแบบแผน คนทั่วไปพบว่ามันยากที่จะยอมรับแนวคิดเกี่ยวกับความไม่มีแบบแผนได้ ไม่ว่ากฎของความน่าจะเป็นจะบอกอะไรกับเราก็ตาม ก็ยังพยายามที่จะค้นหารูปแบบต่าง ๆ จากเหตุการณ์ที่ไม่มีแบบแผนเหล่านี้ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ตาม พวกมันเกิดจากความไม่มีแบบแผน ถึงแม้ว่าจะกลุ่มของผลลัพธ์ หรือผลลัพธ์ที่เกิดต่อเนื่องกันเช่นนั้น จะเป็นรูปแบบที่สามารถเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ จริง จากข้อมูลที่เกิดจากการสุ่ม เช่น จากการโยนเหรียญ และมันก็เกิดขึ้นได้ในตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน

ทฤษฎีทางเทคนิคอื่น ๆ ที่จะช่วยให้เสียเงิน หลังจากที่โลกวิชาการได้ขจัดกฎการซื้อขายทางเทคนิคธรรมดาที่เป็นมาตรฐานทั่วไปออกไปแล้ว พวกเขาก็หันความสนใจไปสู่วิธีทางเทคนิคที่ดูแล้วมีความเพ้อฝันมากขึ้นไปอีก โลกของการวิเคราะห์ทางการเงินอาจจะเงียบเหงา และน่าเบื่อมากกว่านี้ ถ้าไม่มีนักแผนภูมิอยู่ ดังที่เทคนิคต่อไปนี้จะแสดงให้เห็น

ตัวบ่งชี้จากระดับชายกระโปรง (The Hemline Indecator) ขยายแนวทางการสืบสวนของพวกเขาโดยการรวมเอาการเคลื่อนไหวของสิ่งอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หนึ่งในวิธีการที่น่าหลวงใหลนี้ ถูกตั้งชื่อจาก นายไอรา ค็อบเลย์ (Ira Cobleigh) ผู้ซึ่งเป็นคนที่คิดค้นมันขึ้นมาว่าทฤษฎีตลาดกระทิงและหัวเข่าที่เปลือยเปล่า (Bull Markets and Bare Knees)

ตัวบ่งชี้จากซูเปอร์โบว์ (The Super Bowl Indicator) เป็นผลการทำนายของตัวบ่งชี้จาก ซูเปอร์โบว์ ไม่ได้แสดงถึงอะไรเลยนอกไปจากความจริงที่ว่า บางครั้งมันมีความเป็นไปได้ที่เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยอย่างสิ้นเชิง จะสามารถมีความสัมพันธ์กันได้

ทฤษฎีเศษหุ้น (The Odd-Lot Theory) ทฤษฎีนักลงทุนเศษหุ้นกล่าวว่า ยกเว้นแต่นักลงทุนผู้ที่ถูกต้องเสมอ นักลงทุนเศษหุ้นมือสมัครเล่นที่ไม่รู้เรื่องเหล่านี้ ทำการซื้อขายด้วยอารมณ์ และไม่มีมุมมองเชิงลึกจากนักวิเคราะห์มืออาชีพ นักลงทุนเศษหุ้นจึงถูกมองว่าเป็นนักลงทุนที่ทำผิดเสมอ ตามตำนานที่เล่าสืบทอดต่อกันมา

ระบบเชิงเทคนิคอื่น ๆ จากการที่จะทำการตรวจสอบต่อไปเกี่ยวกับวิธีการทางเทคนิคแบบอื่น ๆ อีก บางทีอาจจะมีผู้คนเพียงจำนวนน้อยนิด ที่เชื่ออย่างจริงจังว่า ทฤษฎีบนจุดบอดบนดวงอาทิตย์ (The Sunspot theory) ที่พยายามอธิบายการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น จะสามารถทำกำไรให้กับพวกเขาได้ การทดสอบโดยใช้คอมพิวเตอร์อย่างละเอียด ได้ให้คำตอบว่าเป็นไม่ได้

กูรูตลาดทางด้านเทคนิค นักเทคนิคอาจจะทำนายได้ไม่แม่นยำ แต่พวกเขาสร้างสีสันได้มากเลยทีเดียว ด้วยการที่มีนักเทคนิคจำนวนมาก ที่คอยทำนายอนาคตของตลาด มันก็มักจะมีนักเทคนิคบางส่วนเสมอ ที่จะทำนายถึงการหักเลี้ยวในโค้งสุดท้าย หรือการหักเลี้ยวในสองสามเลี้ยวก่อนถึงโค้งสุดท้ายได้ถูกต้อง แต่ไม่มีนักเทคนิคคนไหนที่จะทำนายได้ถูกต้องอย่างสม่ำเสมอ

ทำไมนักเทคนิคจึงยังถูกจ้างอยู่ บทสรุปของการตรวจสอบวิธีต่าง ๆ ที่มีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ไม่มีวิธีทางเทคนิคแบบไหนที่จะสามารถเอาชนะยาหลอก ที่เป็นกลยุทธ์แบบซื้อและถือยาวได้เลย วิธีทางเทคนิคไม่สามารถนำมาใช้ เพื่อสร้างกลยุทธ์ของการลงทุนที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับนักลงทุนได้เลย สิ่งนี้คือข้อสรุปพื้นฐานที่ได้จากทฤษฎีของการเดินสุ่ม นักเทคนิคมักจะมีบทบาทที่สำคัญ ในการสร้างกำไรให้กับนายหน้า นักแผนภูมิจะแนะนำการซื้อขายเพราะเกือบจะทุกวิธีการ ที่เกี่ยวข้องกับทางเทคนิค จะแนะนำให้เกิดการซื้อเข้ามาหรือขายออกไปเสมอ

การประเมินการตอบโต้กลับจากการที่ทฤษฎีการเดินสุ่ม ได้เสนอแนะถึงการขจัดการใช้แผนภูมิที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ออกไป ทำให้ทฤษฎีนี้ไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบกันอย่างแพร่หลายในหมู่บรรดานักเทคนิค ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนไหนหรือนักคณิตศาสตร์คนใหม่ไม่ว่าจะมีความสามารถมากเท่าใดก็ตาม ที่จะสามารถพิสูจน์เป็นข้อสรุปได้ว่า วิธีการทางเทคนิคทั้งหมดไม่สามารถใช้งานได้ รูปแบบของราคาหุ้นในตลาด ได้ถูกแสดงว่ามันไม่มีค่ามากเพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้ รวมเอาต้นทุนที่เกิดจากค่าธรรมเนียมของการทำธุรกรรม และภาษีที่จะเกิดขึ้นจากการใช้ข้อมูลนั้นแล้ว

สำหรับนักลงทุนอดีตที่ผ่านไปแล้วของราคาหุ้น ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการทำนายอนาคต ไม่ว่าจะเป็นทางใดก็ตาม กลยุทธ์ทางเทคนิคมักจะให้ความรู้สึกสบายใจกับนักลงทุน แต่มันไม่มีคุณค่าที่แท้จริงอยู่เลย ทฤษฎีทางเทคนิคสร้างความร่ำรวยให้กับเฉพาะกลุ่มคนผู้ซึ่งจะเตรียมแผนการ และจะทำการตลาดสำหรับการให้บริการด้านเทคนิค หรือบริษัทนายหน้าที่จ้างพวกนักเทคนิค ด้วยความหวังที่ว่านักวิเคราะห์เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้นักลงทุน ทำการซื้อขายบ่อยมากขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมาคือการเพิ่มขึ้น ของค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย สำหรับบริษัทนายหน้านั่นเอง

ถ้าราคาหุ้นในอดีตมีประโยชน์เพียงเล็กน้อย หรือไม่มีประโยชน์เลยสำหรับการทำนายราคาในอนาคต มันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กฎการซื้อขายทางเทคนิคใด ๆ สำหรับการกำหนดจังหวะในการซื้อหรือขายหุ้น กลยุทธ์การลงทุนแบบซื้อและถือยาวแบบง่าย ๆ จะให้ผลตอบแทนอย่างน้อยที่สุดคือ ก็ดีพอ ๆ กับผลตอบแทนที่ได้จากวิธีต่าง ๆ ทางเทคนิคที่มีอยู่

บทที่ 7

การวิเคราะห์เชิงพื้นฐานนั้นดีแค่ไหน

มุมมองจากวอลสตรีทและวงการวิชาการ มีมุมมอง 2 มุมมองที่ตรงกันข้าม ที่เป็นที่ยอมรับกันในด้านประสิทธิผลของการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน วอลสตรีทมีความรู้สึกว่า การวิเคราะห์เชิงพื้นฐานกำลังกลายเป็นสิ่งที่ทรงพลัง และมีพลังความสามารถเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนรายย่อยมีโอกาสเพียงน้อยนิด ที่จะสามารถเอาชนะผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ และทีมของนักวิเคราะห์เชิงพื้นฐานได้

ในโลกวิชาการ นักวิชาการบางคนถึงขนาดกับกล่าวว่า ถ้านำลิงสักตัวหนึ่งมาผูกผ้าปิดตา และให้มันปาลูกดอกไปบนหน้ากระดาษของหนังสือพิมพ์การเงิน ที่มีรายชื่อของหุ้นในตลาดอยู่ นักลงทุนก็สามารถที่จะเลือกหุ้นที่ประสบความสำเร็จได้ดี พอ ๆ กับผู้จัดการกองทุนมืออาชีพทั้งหลายเหล่านั้น พวกเขาแย้งว่าเพราะพวกผู้จัดการกองทุน และทีมของนักวิเคราะห์เชิงพื้นฐานของผู้จัดการกองทุน ไม่สามารถเลือกหุ้นได้ดีไปกว่ามือสมัครเล่นธรรมดาคนหนึ่ง

โดยพื้นฐานแล้วนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เป็นคนที่มาบอกข่าวดีหรือไม่ การทำนายผลกำไรในอนาคตคือเหตุผลหลักของการมีชีวิตอยู่ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เพื่อที่จะทำนายทิศทางในอนาคต โดยปกตินักวิเคราะห์จะเริ่มต้นโดยมองย้อนกลับไปยังการเดินทางที่ผ่านมาในอดีตจากนักเทคนิค เพราะว่าการวิเคราะห์ของพวกเขามีพื้นฐาน ที่ตั้งอยู่บนผลการดำเนินงานของบริษัทที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้ว แนวคิดเช่นนี้จะต้องสอบตกในโลกของนักวิชาการแน่นอน การคำนวณเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของผลกำไรในอดีต ไม่ได้ช่วยในการทำนายถึงการเจริญเติบโตในอนาคตของบริษัทได้เลย นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ทั้งหลายกำลังเผชิญกับอุปสรรคที่ใหญ่หลวง ในการปฏิบัติหน้าที่ขั้นพื้นฐานของพวกเขา ซึ่งก็คือการทำนายผลกำไรในอนาคตของบริษัท นักลงทุนที่ตัดสินใจการลงทุนตามคำทำนายเหล่านี้โดยไม่ลืมหูลืมตา กำลังจะต้องเผชิญกับความผิดหวังอย่างหนักหนาสาหัส

ทำไมคริสตอลบอล (ดวงแก้วสำหรับพยากรณ์) ถึงขุ่นมัว

มันมักจะเป็นอะไรที่น่ารำคาญใจอย่างมาก ที่รู้ว่าพวกมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี และมีเงินเดือนสูง อาจจะไม่ได้มีทักษะที่ดีเลิศ สำหรับการประกอบอาชีพที่พวกเขาต้องการ ประเด็นก็คือไม่ควรจะยอมรับความน่าเชื่อถือ และความถูกต้องไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขนาดไหนก็ตาม มีปัจจัย 5 ประการ ที่ช่วยอธิบายว่า ทำไมจึงมีอุปสรรคในการทำนายอนาคตอย่างมาก นั่นคือ

  1. อิทธิพลจากความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ๆ มากมาย ที่จะส่งผลกระทบต่อการคาดการณ์ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับผลกำไรของบริษัท เป็นเหตุการณ์ที่มีความไม่แน่นอนนั่นคือ มันไม่สามารถถูกคาดการณ์ล่วงหน้าได้
  2. รายงานผลกำไรที่ดูน่าสงสัย ที่เกิดมาจากวิธีการทางบัญชีที่สร้างสรรค์ ปัญหาสำคัญที่นักวิเคราะห์พบ ในการแปลความหมายจากผลกำไรในปัจจุบัน และการคาดการณ์ถึงผลกำไรในอนาคตคือ แนวโน้มของบริษัทที่จะรายงานผลกำไรล่วงหน้าออกมา แทนที่จะรายงานผลกำไรที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นมันแทบจะไม่น่าอัศจรรย์ใจเลย ที่นักวิเคราะห์กลักทรัพย์จะมีความยากลำบากอย่างมาก ในการคาดการณ์ว่าผลกำไรในอนาคตของบริษัทควรจะเป็นเท่าใด
  3. ความผิดพลาดที่เกิดจากนักวิเคราะห์เอง นักวิเคราะห์หลักทรัพย์หลายคนเอง ก็ไม่ได้มีความละเอียดในการสังเกต หรือการวิเคราะห์ถึงเหตุผลโดยรอบคอบ และพวกเขามักจะทำผิดพลาดอย่างสิ้นเชิง พวกเขาจริง ๆ แล้วก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง
  4. การสูญเสียนักวิเคราะห์ฝีมือดี ไปเป็นนักพนักงานขายหรือผู้บริหารกองทุน นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ดีที่สุดหลายคน ไม่ได้ถูกจ้างไปเพื่อวิเคราะห์หลักทรัพย์ พวกเขามักจะเป็นพนักงานขายที่ทรงพลังสำหรับสถาบันการเงิน หรือจะถูกเลื่อนตำแหน่งไปจนอยู่ในฐานะอันทรงเกียรติ ของการเป็นผู้จัดการกองทุนบริษัท นายหน้าหลายรายที่มีชื่อเสียงด้านงานวิจัยที่เฉียบคม มักจะส่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ประกบไปกับพนักงานขาย เมื่อลูกค้าที่เป็นสถาบันการเงินเรียกไปพบนักลงทุน สถาบันชอบที่จะได้ยินแนวคิดใหม่ ๆ ในการลงทุน ที่หลุดออกมาจากปากของผู้ที่รู้จริง ดังนั้นพนักงานขายจึงได้เพียงแค่นั่งอยู่ข้างหลัง และปล่อยให้นักวิเคราะห์เป็นคนพูด นักวิเคราะห์ที่มีความสามารถในการพูด และอธิบายน่าสนใจจะพบว่า เวลาทำงานของพวกเขาส่วนมากจะถูกใช้ไปกับการพบกับลูกค้าที่เป็นสถาบันการเงิน ไม่ใช่การมุ่งอยู่กับรายงานทางการเงิน มันน่าตื่นเต้นกว่ามาก ดูมีเกียรติ และสร้างผลตอบแทนได้มากกว่ามาก จากการเป็นผู้จัดการกองทุนป้องกันความเสี่ยง หรือผู้บริหารพอร์ตการลงทุน แทนที่จะเป็นพนักงานบริษัทที่ให้เพียงแค่คำแนะนำ ในตำแหน่งนักวิเคราะห์หลักทรัพย์
  5. ผลประโยชน์ขัดกันที่เกิดขึ้น ระหว่างนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กับบริษัทวานิชธนกิจ เป้าหมายของนักวิเคราะห์คือ การใช้เครื่องคิดเงินเพื่อคิดเงินลูกค้า ของบริษัทให้ได้บ่อยมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และเครื่องคิดเงินที่เต็มไปด้วยเงินสดมากที่สุด สำหรับบริษัทนายหน้ารายใหญ่ก็จะอยู่ในฝ่ายวานิชนกิจ จึงมีความหมายถึงการช่วยเหลือบริษัทนายหน้า ในการเสาะหาและดูแลลูกค้าในบริการด้านวาณิชธนกิจของบริษัท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์เลือกผู้ชนะหรือเปล่า ผลการดำเนินงานของกองทุนรวม หลักฐานจากผลการวิจัยหลาย ๆ ชิ้นได้ให้ผลลัพธ์ที่สอดคล้องกันอย่างชัดเจน นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมทั่วไป จะไม่สามารถมีผลกำไรได้ดีไปกว่าผลกำไร ที่จะได้จากการที่พวกเขาจะซื้อ และถือครองหุ้นที่เป็นตัวแทนของดัชนีของตลาดโดยรวมได้ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ในระยะยาวกองทุนรวมจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้เหนือกว่าการลงทุนในหุ้นจำนวนหนึ่ง ที่เกิดจากการเลือกสุ่มขึ้นมาได้ แม้ว่ากองทุนรวมอาจจะมีการบันทึกผลการดำเนินงานที่ดีมากในบางช่วงเวลา ระยะเวลาสั้น ๆ ช่วงหนึ่ง แต่โดยทั่วไปแล้วมันไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าได้อย่างสม่ำเสมอ และมันก็ไม่มีทางที่จะทำนายล่วงหน้าได้ว่า กองทุนรวมกองไหนจะมีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไรในอนาคต ไม่มีหลักฐานตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถถูกรวบรวมขึ้นมาได้ เพื่อชี้ให้เห็นว่าผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุน ที่บริหารด้วยมืออาชีพจะดีมากไปกว่าผลตอบแทนของดัชนีของตลาดโดยรวมได้

มีระบบการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานแบบใด ที่สามารถเลือกผู้ชนะได้หรือไม่ ผลการวิจัยชี้ว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ราคาหุ้นจะมีการปรับตัวล่วงหน้าไปก่อน การรายงานเกี่ยวกับผลกำไรที่ไม่คาดฝันทั้งในทางที่ดีและทางที่ไม่ดี ตลาดจะมีประสิทธิภาพมากเพียงพอ ที่จะปรับตัวตามคาดการณ์ถึงข่าวที่จะถูกแถลงสู่สาธารณชน เกี่ยวกับผลกำไรจนทำให้กลยุทธ์การลงทุน ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหรือขายหุ้น หลังจากการแถลงข่าวจะไม่ได้ช่วยให้ประโยชน์อะไร แก่นักลงทุนทั่วไปได้เลย

คำพิพากษาสำหรับการจับจังหวะซื้อขายในตลาด ผู้ที่ใช้การจับจังหวะซื้อขายในตลาด จะต้องตัดสินใจได้ให้ถูกต้อง 70% ในตลอดช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ถึงจะเอาชนะนักลงทุนที่ซื้อและถือครองหุ้นไว้ได้

ทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพแบบปานกลางและแบบแข็งแกร่ง การวิเคราะห์เชิงพื้นฐานไม่ได้ดีไปกว่าการวิเคราะห์เชิงเทคนิค ในการทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนมากกว่าค่าเฉลี่ยเลย ทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพแบบแข็งแกร่งกล่าวว่า ไม่มีข้อมูลอะไรเลยสักอย่างเดียวที่ได้รับรู้แล้ว หรือจะสามารถรับรู้ได้เกี่ยวกับบริษัท ที่จะสามารถให้ประโยชน์กับนักวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน ทฤษฎีแบบแข็งแกร่งเป็นการพูดเกินจริงไปอย่างแน่นอน มันไม่ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลวงใน แต่คนวงในที่ทำกำไรจากการซื้อขาย โดยใช้ข้อมูลที่ไม่ได้มีการเปิดเผยต่อสาธารณะถือว่าทำผิดกฎหมาย นักลงทุนส่วนใหญ่จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ถ้าเขาลงทุนในกองทุนดัชนี มากกว่าที่จะไปลงทุนในกองทุนรวมของหุ้น ที่ใช้การบริหารเชิงรุก

ทางสายกลาง : ทัศนะส่วนตัว มีอุปสรรคอันใหญ่หลวงในการแปลงข่าว และข้อมูลที่รับรู้เกี่ยวกับหุ้นไปสู่การประเมินมูลค่าที่แท้จริง ตัวบ่งชี้หลักของมูลค่าของหุ้นนั้นเกี่ยวข้องกับขอบเขต และระยะเวลาของการเจริญเติบโตของบริษัท ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอนาคตที่ไกลออกไป การประมาณค่าเช่นนี้เป็นเรื่องที่ยากเป็นพิเศษ และมันก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องที่จะทำให้นักวิเคราะห์คนหนึ่ง มีปัญญาเฉียบแหลมและดุลยพินิจที่เหนือกว่าคนทั่วไป สามารถทำนายผลประกอบการของบริษัทได้อย่างแม่นยำ ถ้ามีผู้จัดการการลงทุนที่มีความสามารถโดดเด่นเป็นพิเศษ  พวกเขาก็เป็นบุคคลที่มีอยู่เป็นจำนวนน้อยมาก ๆ และมันก็ไม่มีทางที่จะบอกล่วงหน้าได้ว่า พวกเขาเหล่านั้นจะเป็นใคร นี่คือความจริงของชีวิตที่ทั้งนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนสถาบันจะต้องเผชิญกับมัน

ส่วนที่ 3

เทคโนโลยีใหม่สำหรับการลงทุน

บทที่ 8

รองเท้าเดินคู่ใหม่ทฤษฎีการบริหารการลงทุนสมัยใหม่

โลกที่สูงส่งของเทคโนโลยีการลงทุนสมัยใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นบนหอคอยของนักวิชาการ มุมมองเชิงลึกอันหนึ่งคือ ทฤษฎีการบริหารการลงทุนสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก จนกระทั่งในปัจจุบันนี้ ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย บนวอลสตรีทอย่างกว้างขวาง

บทบาทของความเสี่ยง ทฤษฎีการตลาดที่มีประสิทธิภาพช่วยอธิบายว่า ทำไมการเดินสุ่มจึงสามารถเป็นไปได้ ทางทฤษฎีได้ให้เหตุผลว่า ตลาดหุ้นมีความไวในการปรับตัวตามข่าว หรือข้อมูลใหม่มากเสียจนกระทั่ง ไม่มีใครที่จะสามารถคาดการณ์ทิศทางของมันในอนาคต ได้ดีมากกว่าคนอื่น ๆ การกระทำของเหล่าบรรดามืออาชีพ ทำให้ราคาของหุ้นแต่ละตัว สะท้อนถึงข่าวทั้งหมดที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นโอกาสในการเลือกหุ้นที่เหนือกว่า หรือในการคาดการณ์ถึงทิศทางของตลาด จึงมีเท่า ๆ กันสำหรับทุกคน วิธีการการเอาชนะตลาด ไม่ได้เกิดจากการมีตาทิพย์ที่มองเห็นอนาคต หากเกิดจากการที่นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้น มีเพียงความเสี่ยง และความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ที่เป็นตัวกำหนดระดับผลตอบแทนที่จะได้รับ ว่าจะมากกว่าหรือต่ำกว่าตลาดโดยเฉลี่ย

ความหมายของความเสี่ยง การกระจายตัวของผลตอบแทน ความเสี่ยงเป็นแนวคิดที่จับต้องได้ยาก และหลีกหนีความเข้าใจของคนทั่วไป มันเป็นการยากสำหรับนักลงทุน หรือแม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ที่จะมีความเห็นตรงกัน สำหรับคำนิยามของความเสี่ยงในพจนานุกรม The American Heritage Dictionary ได้ให้ความหมายของคำว่าความเสี่ยงไว้ว่า ความเป็นไปได้ที่จะต้องต้องเผชิญกับภัยอันตรายหรือความสูญเสีย

การลดความเสี่ยง ทฤษฎีการบริหารการลงทุนสมัยใหม่ เริ่มต้นด้วยการตั้งสมมติฐานว่า นักลงทุนทั้งหลายพวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงความเสี่ยง พวกเขาต้องการผลตอบแทนที่สูง และผลลัพธ์ที่แน่นอน ทฤษฎีนี้สามารถบอกนักลงทุนได้ว่า พวกเขาควรเลือกหุ้นตัวใดเข้ามาผสมไว้ในพอร์ตการลงทุน เพื่อที่จะให้เกิดความเสี่ยงน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ณ ระดับของผลตอบแทนที่พวกเขาต้องการ การสร้างความหลากหลาย (Diversification) เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความเสี่ยง ทฤษฎีนี้ถูกคิดค้นขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1950 โดยนายแฮรี่ มาร์โควิทซ์ (Harry Markowitz)  และด้วยผลงานของเขาจึงได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี ค.ศ 1990

ข้อสรุปที่สำคัญของส่วนนี้ การพยายามลดความเสี่ยงจากการสร้างความหลากหลายในการลงทุน ไม่จำเป็นต้องเกิดจากค่าสหสัมพันธ์ที่เป็นลบเท่านั้น ผลงานของนายมาร์โควิทซ์ที่มีต่อกระเป๋าสตางค์ของนักลงทุนคือ การที่เขาแสดงให้เห็นว่าสิ่งใดก็ตาม ที่สามารถทำให้ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์มีค่าน้อยกว่าค่าสหพันธ์ที่เป็นบวกอย่างสมบูรณ์ สามารถจะลดความเสี่ยงได้เช่นกัน

การสร้างความหลากหลายในทางปฏิบัติ สามารถจะมีสิ่งดี ๆ ในปริมาณที่มากเกินไปได้ไหม หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า มันมีจุดที่การสร้างความหลากหลายในการลงทุน จะคอยพิทักษ์ผลตอบแทนหรือไม่ ผลการศึกษาเป็นจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า คำตอบของคำถามนี้คือใช่ จำนวนหุ้นของบริษัทอย่างน้อย 50 บริษัทของอเมริกาที่มีขนาดพอ ๆ กัน ที่จะใช้ในการสร้างความหลากหลายที่เหมาะสม สำหรับพอร์ตการลงทุนในหุ้น ด้วยพอร์ตการลงทุนเช่นนั้น ความเสี่ยงทั้งหมดถูกลดลงมากกว่า 60% และนั่นคือจุดที่ข่าวดีหยุดลง เพราะการเพิ่มขึ้นของจำนวนที่ถือ จะไม่สามารถลดความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว ถึงแม้ว่าค่าสหพันธ์ระหว่างตลาดต่าง ๆ ได้เพิ่มสูงขึ้น แต่มันก็ยังคงไกลจากการมีความสัมพันธ์ในในทิศทางเดียวกันแบบสมบูรณ์ การสร้างความหลากหลายในการลงทุนในภาพกว้าง ก็ยังคงช่วยในการลดความเสี่ยงของกรอบการลงทุนลงได้ และแม้ว่าตลาดหุ้นต่าง ๆ จะมีกราฟราคาที่ขยับซ้ายขยับขวาไปด้วยกัน การสร้างความหลากหลายก็ยังคงสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ได้มากอยู่

บทที่ 9

เก็บเกี่ยวรางวัลโดยการเพิ่มความเสี่ยง

ความเสี่ยงมีรางวัลของมันอยู่ ดังนั้นทั้งวงการวิชาการและวอลสตรีทได้พยายามมาเป็นเวลานานแล้ว ที่จะใช้ประโยชน์จากความเสี่ยงในการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนพุ่งสูงขึ้น การสร้างความหลากหลายในการลงทุนในทางปฏิบัติ จึงสามารถลดความเสี่ยงได้เพียงบางส่วนแต่ไม่ได้ทั้งหมด นักวิชาการสามคนคือ อดีตศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด นายวิลเลี่ยม ชาร์พ (William Sharpe) และผู้เชี่ยวชาญการเงินสองคนซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้ว นายจอห์น ลินท์เนอร์ (John Lintner) และนายพิชเชอร์ แบล็ค (Fischer Black) ได้ทุ่มเทพลังปัญญาของพวกเขาในการค้นหาว่า ความเสี่ยงส่วนไหนของหลักทรัพย์ที่สามารถถูกขจัดออกไปได้ ด้วยการสร้างความหลากหลายในการลงทุน และส่วนไหนที่ไม่สามารถทำได้ ผลลัพธ์ที่ได้ออกมานี้รู้จักกันในชื่อว่าแบบจำลองการกำหนดราคาหลักทรัพย์ลงทุน (Capital Asset Princing Model = CAMP) ได้รับรางวัลโนเบล สำหรับงานวิจัยนี้พร้อมกับเกียรติยศที่นายมาโควิดได้รับ ในปี ค.ศ 1990

ตรรกะพื้นฐานของ CAMP คือ มันไม่มีผลตอบแทนพิเศษ  สำหรับการแบกรับความเสี่ยงที่สามารถขจัดออกไปได้ ดังนั้นเพื่อที่จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวที่สูงขึ้น จากพอร์ตการลงทุน จำเป็นที่จะต้องเพิ่มระดับ ความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ในส่วนที่ไม่สามารถขจัดออกไปได้ ตามทฤษฎีนี้นักลงทุนที่มีไหวพริบดี จะสามารถทำอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดโดยรวมได้ โดยการปรับพอร์ตการลงทุนของพวกเขา โดยการใช้มาตรวัดความเสี่ยงที่รู้จักกันในชื่อว่า Beta

เบต้ากับความเสี่ยงที่เป็นระบบ เบต้าตัวอักษรของภาษากรีก ความเสี่ยงทั้งหมดของหลักทรัพย์ใด ๆ หรือของพอร์ตการลงทุนว่า เป็นความผันผวนทั้งหมดส่วนหนึ่งของความเสี่ยงทั้งหมด หรือความผันผวนทั้งหมดจะถูกเรียกว่า เป็นความเสี่ยงที่เป็นระบบของหลักทรัพย์นั้น และมันเกิดขึ้นมาจากความแปรปรวนขั้นพื้นฐานของราคาหุ้นโดยทั่วไป และจากแนวโน้มที่หุ้นทั้งหมดที่จะเคลื่อนไหวภายในทิศทางเดียวกับตลาด อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง ความฝันผวนของผลตอบแทนจากหุ้นในส่วนที่เหลือ จะถูกเรียกว่าความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ และเป็นผลมาจากปัจจัยที่มีผลกระทบเฉพาะบริษัทหนึ่ง ๆ เช่น การนัดหยุดงาน การค้นพบผลิตภัณฑ์ใหม่ และอื่น ๆ

ความเสี่ยงที่เป็นระบบหรือเรียกอีกอย่างว่า ความเสี่ยงด้านตลาด บอกถึงปฏิกิริยาของหุ้นแต่ละตัว หรือพอร์ตการลงทุนที่มีต่อการแกว่งตัวของตลาด หุ้นบางตัวและพอร์ตการลงทุนแนวโน้มที่จะมีความไวต่อการเคลื่อนไหวของตลาด ส่วนหุ้นตัวอื่น ๆ อาจจะมีเสถียรภาพมากกว่าความแปรปรวน หรือความอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหว เมื่อเทียบกับตลาดจะสามารถถูกประมาณค่าได้จากข้อมูลที่เกิดขึ้นในอดีต และเป็นที่รู้จักกันอย่างนิยมชมชอบในชื่อของตัวอักษรกรีกเบต้า โดยพื้นฐานแล้วเบต้าก็คือคำอธิบายของความเสี่ยงที่เป็นระบบในเชิงตัวเลข

ท่ามกลางสมการคณิตศาสตร์มากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเบต้า แนวคิดพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังของมันก็คือ แนวคิดของการที่จะกำหนดค่าตัวเลข ที่จะสามารถทดแทนความรู้สึก ของผู้จัดการด้านการเงินแต่ละคน ที่เคยมีตลอดเวลาที่ผ่านมาได้อย่างแม่นยำ การคำนวณค่าเบต้านั้น แท้ที่จริงก็คือการเปรียบเทียบการเคลื่อนไหวของหุ้นแต่ละตัว หรือพอร์ตการลงทุนกับการเคลื่อนไหวของตลาดโดยรวมทั้งหมด มืออาชีพมักจะเรียกหุ้นที่มีค่าเบต้าสูงว่าเป็นการลงทุนแบบเชิงรุก และหุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำว่าเป็นการลงทุนแบบเชิงรับ ประเด็นสำคัญที่ต้องตระหนักไว้ก็คือ ความเสี่ยงที่เป็นระบบนี้ไม่สามารถถูกขจัดออกไปได้ ด้วยการกระจายการลงทุน มันเป็นเพราะว่าหุ้นทั้งหมดเคลื่อนไหวภายในทิศทางเดียวกัน ในระดับที่มากพอสมควร ที่แม้กระทั่งพอที่มีการกระจายการลงทุนแล้ว ก็ยังคงมีความเสี่ยงอยู่

ข้อเท็จจริงจากบันทึกของสิ่งที่เกิดขึ้น แน่นอนว่านักลงทุนสถาบันได้ยอมรับเบต้าไว้เต็มอ้อมกอด เบต้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลขที่บอกถึงความเสี่ยงของหุ้น ใช้เบต้าเป็นวิธีหนึ่งในการประเมินสมรรถนะของผู้จัดการพอร์ตการลงทุน ค่าผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริง มีค่ามากกว่าผลตอบแทนที่พยากรณ์จากค่าเบต้าของพอร์ตการลงทุน ผู้จัดการคนนั้นจะถูกกล่าวว่าเขาได้สร้างค่าแอลฟาที่เป็นบวกขึ้นมา มีเงินจำนวนมากในตลาดที่กำลังค้นหาผู้จัดการ ผู้ซึ่งสามารถส่งมอบค่าแอลฟาที่มากที่สุดได้

การประเมินผลลัพธ์จากหลักฐานที่แสดงมา ประการแรกมันสำคัญที่จะต้องจำไว้ว่าผลตอบแทนที่สม่ำเสมอหรือมีความเสี่ยงน้อยกว่า ย่อมเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าผลตอบแทนที่ผันผวน เบต้าที่เป็นมาตรวัดของความผันผวน อย่างน้อยก็สามารถวัดบางแง่มุมของความเสี่ยง ที่โดยปกติจะนึกถึงได้และค่าเบต้าของพอร์ตการลงทุนจากในอดีต ก็ทำงานได้ดีทีเดียวในด้านการพยากรณ์ความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประการที่ 2 การที่ศาสตราจารย์ริชาร์ด โรล (Richard Roll) แห่งมหาวิทยาลัยแคริฟอร์เนียร์ที่เมือง LA ได้กล่าวโต้แย้งไว้ว่า ต้องจำใส่ใจไว้เสมอว่า มันเป็นการยากจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวัดค่าเบต้าได้อย่างแม่นยำในระดับใดก็ตาม ประการที่ 3 มีหลักฐานที่สนับสนุนว่า ผลตอบแทนมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับค่าเบต้า เมื่อข้อมูลที่ใช้การวัดครอบคลุมช่วงระยะเวลาที่ยาวมากขึ้น ประการสุดท้ายนักลงทุนควรจะตระหนักว่า ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเบต้ากับผลตอบแทนจะค่อนข้างแบนราบ ยังคงสามารถเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์สำหรับการบริหารการลงทุน ถ้ามันเป็นความจริงสำหรับกรณีที่ว่า หุ้นที่มีค่าเบต้าต่ำจะมีอัตราผลตอบแทนอย่างน้อย เท่ากับผลตอบแทนของหุ้น สำหรับการลงทุนจะยิ่งมีคุณค่ามากกว่าที่มันจะมี

มันยังมีข้อโต้เถียงอีกเป็นจำนวนมากในวงการวิชาการ เกี่ยวกับการวัดความเสี่ยงและยิ่งกว่านั้นคือ การทดสอบจากข้อมูลเชิงประจักษ์ ที่ยังที่คงยังต้องมีการทำกันอีกมากมาย มันยังคงจะมีข้อปรับปรุงอีกเป็นจำนวนมาก สำหรับเทคนิคในการวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย มาตรวัดความเสี่ยงในอนาคตจะยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้น และไม่มีทางที่จะซับซ้อนน้อยไปกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้ถึงประมาณนั้นก็ตาม ต้องระมัดระวังที่จะไม่ยอมรับเบต้าหรือมาตรวัดอื่น ๆ ในฐานะที่เป็นวิถีทางที่สะดวกและง่าย ในการที่จะประเมินความเสี่ยง และทำนายผลตอบแทนในอนาคตด้วยได้ความแน่นอน ควรที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับเทคนิคสมัยใหม่ที่ดีที่สุด ของเทคโนโลยีการลงทุนเพราะว่าพวกมันจะเป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์

บทที่ 10

การเงินเชิงพฤติกรรม

ทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ ทฤษฎีการบริหารการลงทุนสมัยใหม่ และหลากหลายวิธีการกำหนดราคาของหลักทรัพย์ จากความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยง และผลตอบแทนต่างถูกสร้างขึ้นมาจากพื้นฐานที่ว่า นักลงทุนล้วนแต่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจลงทุนทั้งสิ้น ในภาพรวมพวกเขาประเมินราคาปัจจุบันของหุ้นอย่างเหมาะสมอย่างสมเหตุสมผล และการซื้อขายของพวกเขาทำให้มั่นใจว่า ราคาหุ้นจะเป็นตัวบ่งชี้ที่เหมาะสมสำหรับศักยภาพในการสร้างผลกำไรในอนาคต

นักเศรษฐศาสตร์ 2 คนนี้คือนายแดเนียล คาห์เนแมน (Daniel Kahneman) และนายเอมอส ชเวสกี้ (Amos Tversky) ซึ่งได้วิจารณ์ถึงมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ เกี่ยวกับพฤติกรรมของนักลงทุน และในกระบวนการวิจารณ์นี้ พวกเขาสองคนก็ได้รับการยอมรับว่า เป็นบิดาผู้ให้กำเนิดวิชาเศรษฐศาสตร์สาขาใหม่ ที่ถูกเรียกว่าการเงินเชิงพฤติกรรม พวกเขาทั้งสองคนโต้แย้งว่านักลงทุนทั่วไป ไม่ได้มีเหตุผลดังเช่นที่สมมุติไว้ในแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ แม้ว่าความเป็นจริงของข้อโต้แย้งนี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แต่มันก็ใช้เวลานานเกือบ 20 ปีกว่าจะเป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิชาการ นักพฤติกรรมศาสตร์เชื่อว่าราคาตลาดเป็นอะไรที่ขาดซึ่งความแม่นยำอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นนักลงทุนมีความเบี่ยงเบนอย่างเป็นระบบ ออกไปจากความมีเหตุมีผล และการซื้อขายอย่างไร้เหตุผล เพราะมักจะมีความสัมพันธ์ระหว่างกันเอง ทฤษฎีการเงินเชิงพฤติกรรมยังยืนยันแนวคิดนี้ไปไกลกว่านั้น โดยบอกว่ามันสามารถที่จะบอกในเชิงปริมาณ หรือแบ่งแยกพฤติกรรมที่ไร้เหตุผลของตลาดออกเป็นกลุ่มได้ โดยพื้นฐานมันมีอยู่ 4 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความไร้เหตุผลขึ้นในตลาดคือ ความมั่นใจเกินควร การตัดสินใจโดยมีอคติ ความคิดที่โอนเอียงตามฝูงชน และการหลีกเลี่ยงความสูญเสีย ความบิดเบือนที่เกิดขึ้นจะถูกหักล้างไปจากการกระทำของอาร์บิทราจเกอร์ ความหมายที่แท้ของคำว่าอาร์บิทราจคือ การทำกำไรจากความแตกต่างของราคาสินค้าชนิดเดียวกัน ที่มีอยู่ในตลาด 2 ตลาด ในอีกด้านหนึ่งนักพฤติกรรมศาสตร์เชื่อว่า มันมีข้อจำกัดที่จะก่อให้เกิดการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของอาร์บิทราจเกอร์ ไม่สามารถจะพึ่งพาอาร์บิทราจในการนำพาราคาให้มาอยู่บนพื้นฐาน ของการประเมินมูลค่าอย่างมีเหตุผลได้ ราคาในตลาดถูกคาดหวังว่า มันมีค่าเบี่ยงเบนไปมากจากราคาที่มันควรจะเป็น ในกรณีที่ตลาดมีประสิทธิภาพมาก

พฤติกรรมที่ไร้เหตุผลของนักลงทุนแต่ละคนมันจะมีเสมอ ซึ่งช่วงเวลาที่นักลงทุนจะไร้ซึ่งเหตุผล แต่การเงินเชิงพฤติกรรมบอกว่า พฤติกรรมเหล่านี้จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มากกว่าที่จะเกิดเป็นครั้งคราว

ความมั่นใจเกินควร นักวิจัยในสาขาจิตวิทยาการรู้คิด ได้มีการจดบันทึกถึงการที่มนุษย์จะเบี่ยงเบนอย่างเป็นระบบ ออกจากความมีเหตุผลในการตัดสินใจท่ามกลางความไม่แน่นอน หนึ่งในอคติจำนวนมากที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายที่สุดก็คือ แนวโน้มที่จะมั่นใจเกินควรเกี่ยวกับความเชื่อ หรือความสามารถและการมองโลกในแง่ดีเกินควร เกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของความมั่นใจเกินกว่านี้ โดยเฉพาะของนักลงทุนจะอยู่ในระดับสูง นักลงทุนมักมีแนวโน้มที่จะพูดอวดความสามารถของตนเกินความเป็นจริงมากเกินกว่ากลุ่มอื่น ๆ และจะปฏิเสธบทบาทของโชคที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เพราะเขาประเมินความรู้ความสามารถของตนเองสูงเกินไป ประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องต่ำเกินกว่าที่ควรจะเป็น และยังพูดอวดความสามารถของเขาในการที่จะควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้สูงเกินไป มันเป็นที่แน่ชัดว่านักลงทุนพยายาม ที่จะกำหนดช่วงความมั่นใจในการพยากรณ์ให้มีความแม่นยำมากเกินไปมาก พวกเขามั่นใจในความสามารถของตนเองเกินกว่าที่ควรจะเป็น และมักจะมองอนาคตในแง่ที่ดีมากเกินไป อคติเช่นนี้ให้ปรากฏขึ้นในหลายรูปแบบในตลาดหุ้น

อันดับแรกนักลงทุนจำนวนมากถูกชักจูงไปอย่างผิด ๆ ว่าพวกเขาสามารถที่จะเอาชนะตลาดได้ ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาเก็งกำไรมากเกินกว่าที่ควรจะทำ และก็ทำการซื้อขายมากเกินไป พบว่ายิ่งนักลงทุนแต่ละรายมีการซื้อขายมากเท่าไหร่ พวกเขาจะทำกำไรได้แย่ลงกว่าเดิม นักลงทุนเพศชายทำการซื้อขายมากกว่านักลงทุนเพศหญิง และมีผลลัพธ์ที่ย่ำแย่กว่า ภาพลวงตาของทักษะด้านการเงินอาจจะเกิดขึ้นมาจากปัจจัยทางด้านจิตวิทยา อีกปัจจัยหนึ่งที่ถูกค้นพบที่ถูกต้องชื่อว่าอคติของการมองย้อนอดีต ข้อผิดพลาดนี้เกิดขึ้นจากการเลือกที่จะจดจำแต่ความสำเร็จ นักพฤติกรรมศาสตร์หลายคนเชื่อว่า ความมั่นใจเกินควรในความสามารถ ที่จะคาดการณ์การเติบโตของกิจการ นำไปสู่แนวโน้มของตลาดโดยทั่วไป ที่ทำให้หุ้นที่เรียกว่าหุ้นเติบโต ถูกประเมินมูลค่าสูงเกินความเป็นจริง การมองโลกในแง่ดีเกินไป ในการคาดการณ์เกี่ยวกับการเติบโตของกิจการ ที่ดูน่าตื่นเต้นเร้าใจ จึงเป็นหนึ่งในคำอธิบายสำหรับแนวโน้มที่หุ้นเติบโต มักจะให้ผลกำไรที่แย่กว่าหุ้นคุณค่า

การตัดสินโดยมีอคติ นักลงทุนที่เชื่อว่าพวกเขาสามารถควบคุมผลการลงทุนของเขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักแผนภูมิที่มั่นใจว่าเขาสามารถคาดการณ์อนาคตได้ จากการดูรูปแบบของราคาที่เกิดขึ้นในอดีต นักจิตวิทยาได้ระบุมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ถึงแนวโน้มที่คนแต่ละคนจะถูกหลอกโดยภาพลวงตาว่า พวกเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้บางครั้ง ที่จริงแล้วมันไม่เป็นเช่นนั้น แท้จริงแล้วแม้จะมีความพยายามมากมาย ที่จะค้นหารูปแบบบางอย่างที่จะใช้ในการทำนายราคาหุ้นจากข้อมูลในอดีต การเกิดขึ้นของราคาหุ้นจากช่วงเวลาหนึ่งไปยังอีกช่วงเวลาหนึ่ง ก็มีความใกล้เคียงอย่างมากกับรูปแบบของการเดินสุ่ม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของราคาในอนาคต จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ระดับของอคติในการตัดสินใจจะมีเพิ่มมากขึ้น เมื่อมันมีแนวโน้มที่คนแต่ละคนจะใช้ความคล้ายคลึง หรือการเป็นตัวแทนของกลุ่ม ในแบบที่ไม่ถูกต้อง เพื่อมาเป็นสิ่งที่ใช้ทดแทนกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล ที่เกี่ยวข้องกับความน่าจะเป็น การตัดสินใจโดยใช้กฎของการเป็นตัวแทนของกลุ่มนี้ น่าจะได้ทำให้เกิดความผิดพลาดในการลงทุนจำนวนมาก เช่น การไล่ล่ากองทุนรวมที่มีความเร่าร้อน หรือการประเมินค่าที่เกินความจริงไปอย่างมาก โดยใช้หลักฐานที่เพิ่งจะเกิดขึ้นมาเมื่อไม่นาน

ความคิดที่โอนเอียงตามฝูงชน งานวิจัยโดยทั่วไปจะพบว่า กลุ่มบุคคลมักจะมีการตัดสินใจที่ดีกว่า การตัดสินใจโดยปัจเจกบุคคล ถ้าข้อมูลข่าวสารมีการแบ่งปัน และมุมมองที่แตกต่างกันได้ถูกนำมาพิจารณา และถกเถียงกันในกลุ่มโดยมีข้อมูลที่ครบถ้วน สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจของกลุ่มบุคคลให้ดียิ่งขึ้น หนึ่งในปรากฏการณ์ที่พบมากในการศึกษาพฤติกรรมกลุ่มคือ การมีอยู่ของความคิดกลุ่ม ในบางเวลากลุ่มของบุคคลจะส่งเสริมระหว่างกัน เพื่อชักจูงให้แต่ละคนในกลุ่มเชื่อว่า มุมมองบางอย่างที่ผิดนั้นจริง ๆ แล้วเป็นมุมมองที่ถูกต้อง แน่นอนว่าการคาดการณ์ของกลุ่มในลักษณะที่มองอนาคตในทางที่ดีเกินไป เกี่ยวกับศักยภาพของอินเทอร์เน็ต และการประเมินราคาที่ไม่ถูกต้องของหุ้น ในระบบเศรษฐกิจใหม่ในช่วงต้นปี ค.ศ 2000 นั้น เป็นตัวอย่างของพฤติกรรมกลุ่มที่ผิดปกติรายบุคคล ต้องหลีกเลี่ยงการถูกนำพาไปโดยอิทธิพลของพฤติกรรมกลุ่ม

การหลีกเลี่ยงความสูญเสีย ทางเลือกของคนแต่ละคนจะถูกตัดสินใจ เลือกจากมูลค่าที่เขากำหนดให้ สำหรับสิ่งที่จะได้มาและสิ่งที่จะต้องเสียไป ความสูญเสียถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์มากกว่าการได้มา เมื่อมูลค่าในแต่ละในกรณีมีค่าเท่ากัน แต่เป็นที่น่าสนใจว่าเมื่อบุคคลต้องเผชิญกับสถานการณ์ ที่ต้องมีความสูญเสียแน่นอน นักจิตวิทยาพบว่าเกือบทั้งหมดของพวกเขา จะเต็มใจที่จะเสี่ยงพนัน ลองพิจารณาทางเลือก 2 ทางเลือกต่อไปนี้

  1. เสียเงิน 750 เหรียญแน่นอน 100%
  2. มีโอกาส 75% ที่จะเสียเงิน 1,000 เหรียญและมีโอกาส 25% ที่จะไม่เสียอะไรเลย

จงสังเกตว่าค่าคาดหวังของทั้ง 2 ทางเลือกมีค่าเท่ากันคือการเสียเงิน 750 เหรียญแต่ว่าเกือบ 90% ของผู้เข้าทดลองต่างเลือกทางเลือกที่ 2 คือการเสี่ยงพนันในการเผชิญหน้ากับความสูญเสียที่แน่นอน ดูเหมือนว่าคนจะแสดงพฤติกรรมของการแสวงหาความเสี่ยงออกมา

ความภาคภูมิใจและความเสียใจ นักพฤติกรรมศาสตร์ยังเน้นถึงความสำคัญของความรู้สึกถึงความภาคภูมิใจและความเสียใจ ที่จะมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของนักลงทุน นักลงทุนรู้สึกลำบากใจที่จะยอมรับความผิดพลาดแม้แต่กับตัวเองว่า พวกเขาได้ตัดสินใจผิดพลาดในการลงทุน ความรู้สึกเสียใจอาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้น ถ้าการยอมรับความผิดพลาดเช่นนั้น ต้องถูกแสดงออกต่อหน้าเพื่อนหรือคู่ครองของเขา ในทางตรงกันข้ามนักลงทุน จะรู้สึกภาคภูมิใจที่จะบอกต่อชาวโลก เกี่ยวกับความสำเร็จจากการลงทุนของเขา ที่ทำให้เกิดกำไรมหาศาล

การเงินเชิงพฤติกรรมกับการออม ทฤษฎีการเงินเชิงพฤติกรรมยังช่วยอธิบายว่า ทำไมคนส่วนใหญ่จึงปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับแผนการออมเงินเพื่อเกษียณอายุของบริษัท ถึงแม้ว่าบริษัทจะมีการจ่ายเงินสมทบร่วมด้วยก็ตาม คนทั่วไปจะให้น้ำหนักกับความสูญเสียนี้มากกว่าสิ่งที่เขาจะได้รับมา เมื่อพฤติกรรมของการหลีกเลี่ยงการสูญเสียนี้ได้ผสมรวมเข้ากับความขาดวินัยในการควบคุมตนเอง ความง่ายของการผัดวันประกันพรุ่ง และความเฉยชาของการไม่ยอมเปลี่ยนแปลง มันก็เป็นดังที่นักจิตวิทยาได้สอนให้เข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมคนจึงมีการออมเงินได้เพียงเล็กน้อย

ขีดจำกัดของอาร์บิทราจ การกระทำของนักลงทุนรายบุคคล มักจะไม่มีเหตุผลหรืออย่างน้อยก็ไม่ได้สอดคล้องกับอุดมคติของนักเศรษฐศาสตร์ ที่มีเกี่ยวกับเหตุผลในการตัดสินใจอย่างเหมาะสมที่สุดของนักลงทุนผู้ที่เชื่อในทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ จึงบอกว่าอาร์บิทราจจะทำให้ตลาดเกิดประสิทธิภาพ แม้ว่านักลงทุนจำนวนมากจะไร้ซึ่งเหตุผลก็ตาม อาร์บิทราจมีข้อจำกัดมากมายที่ทำให้มันไม่มีประสิทธิผล ในการหักล้างกับพฤติกรรมที่ไร้เหตุผลของนักลงทุน มันเป็นที่แน่ชัดว่าไม่สามารถที่จะพึ่งพึงอาร์บิทราจได้อย่างเต็มที่ ในการที่จะทำให้ราคาที่เบี่ยงเบนไปจากมูลค่าพื้นฐาน กลับมาอยู่ในร่องในรอยได้

อะไรคือบทเรียนสำหรับนักลงทุนจากการเงินเชิงพฤติกรรม ในเรื่องของการลงทุนตัวเรามักจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของตัวเอง ความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิทยาของนักลงทุน สามารถที่จะป้องกันไม่ให้เป็นคนที่ถูกหลอกลวงได้ง่าย ๆ ก้าวแรกในการรับมือกับปรากฏการณ์ที่เป็นผลร้ายจากจุดอ่อนของพฤติกรรมมนุษย์ก็คือ การรับรู้ว่ามีพฤติกรรมเช่นนั้นอยู่ การยอมโอนอ่อนตามความฉลาดของตลาด นักลงทุนก็เช่นเดียวกัน ควรที่จะใช้กลยุทธ์ของการซื้อและถือครองพอร์ตการลงทุนที่มีความหลากหลาย ที่ประกอบไปด้วยหุ้นทั้งหมดที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาด อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นศัตรูของตัวเอง หลีกเลี่ยงกลยุทธ์ที่โง่เง่าต่อไปนี้ คือประเด็นที่มีความสำคัญจากการเงินเชิงพฤติกรรม

  1. หลีกเลี่ยงพฤติกรรมกลุ่ม นักเศรษฐศาสตร์ด้านการเงินเชิงพฤติกรรมมีความเข้าใจในกลไกของการป้อนกลับ ที่ทำให้นักลงทุนตัดสินใจตามพฤติกรรมกลุ่ม เมื่อหุ้นอินเตอร์เน็ตมีราคาสูงขึ้น มันเป็นการยากที่จะไม่ถูกพัดพาเข้าไปอยู่ในความเคลิ้ม โดยเฉพาะเมื่อเพื่อนรอบข้างต่างพากันคุยโม้ ถึงกำไรที่งดงามจากตลาดหุ้น
  2. หลีกเลี่ยงการซื้อขายที่บ่อยเกินไป ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเชิงพฤติกรรมพบว่า นักลงทุนมักจะมีความมั่นใจเกินกว่าที่ควรจะมีในการตัดสินใจ และมักจะทำการซื้อขายที่บ่อยเกินความจำเป็น นักลงทุนไม่ได้อะไรเลยจากพฤติกรรมเช่นนี้ นอกจากการก่อให้เกิดต้นทุนของการทำธุรกรรม และภาษีที่ต้องจ่ายมากขึ้น กำไรที่ได้จากการขายในระยะสั้น จะต้องเสียภาษีในอัตราเดียวกันกับภาษีเงินได้ นักลงทุนที่ใช้กลยุทธ์การซื้อและถือยาว จะชะลอการจ่ายภาษีของกำไรที่ได้จากการขาย และยังอาจจะลดการจ่ายภาษีไปได้ทั้งหมด
  3. ถ้าจะซื้อขาย ขายตัวที่ขาดทุนไม่ใช่ตัวที่กำไร มนุษย์จะรู้สึกเศร้าเสียใจกับการขาดทุน มากกว่ารู้สึกดีใจกับการทำกำไรมาก นักลงทุนมักจะหลีกเลี่ยงการขายหุ้น หรือหน่วยลงทุนของกองทุนที่กำลังตกลง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการรับรู้การขาดทุนที่จะเกิดขึ้น และความจำเป็นที่จะต้องยอมรับความผิดพลาด ที่พวกเขาได้ทำไปในบางครั้ง มันมีเหตุผลที่จะถือครองหุ้นที่เริ่มลดลง ในช่วงที่ตลาดกำลังล้มเหลว โดยเฉพาะถ้ามีเหตุผลที่จะเชื่อว่า บริษัทนั้นยังจะประสบความสำเร็จอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นจะเสียใจเป็น 2 เท่า ถ้าหลังจากที่ขายหุ้นนั้นไปแล้ว มันได้ปรับตัวสูงขึ้นในเวลาต่อมา แต่มันไม่มีเหตุผลที่จะยังเกาะติดอยู่กับหุ้นที่กำลังพ่ายแพ้
  4. กลเม็ดที่โง่เง่าแบบอื่นของนักลงทุน

จงระมัดระวังกับหุ้นที่ออกใหม่ คิดว่าจะสามารถทำกำไรจำนวนมหาศาลได้ จากการเข้าซื้อหุ้นที่มีการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนครั้งแรก ตั้งแต่ระดับราคาที่อยู่ต่ำสุดได้หรือ

จงใจเย็นกับคำแนะนำที่เร่าร้อน อย่าไปหลงเชื่อมัน จงอยู่ห่างจากคำแนะนำที่เร่าร้อนพวกนั้น มันมักจะกลายเป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดในชีวิต และจงจำไว้ว่าอย่าได้ไปซื้ออะไรจากใครก็ตาม ที่กำลังพูดด้วยความเหนื่อยหอบเหมือนจะขาดลมหายใจ

จงอย่าเชื่อใจในวิธีการที่ถือเป็นสูตรสำเร็จ หากได้รับคำแนะนำจากพวกมือสมัครเล่น หรือพวกมืออาชีพว่า มันมีวิธีการที่จะสามารถเลือกผู้จัดการกองทุนที่ดีที่สุด ความจริงที่น่าเศร้าก็คือมันเป็นไปไม่ได้ มันอาจจะเป็นจริงที่ว่าเมื่อนำข้อมูลจากอดีตมาวิเคราะห์ จะค้นพบกลยุทธ์การลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าตลาดได้ แต่ว่ากลยุทธ์เหล่านั้นทั้งหมดจะทำลายตัวเองเมื่อเวลาผ่านไป

การเงินเชิงพฤติกรรมสอนวิธีการที่จะชนะตลาดได้หรือไม่ นักพฤติกรรมศาสตร์บางคนเชื่อว่าความผิดพลาดอย่างเป็นระบบของนักลงทุน จะสามารถทำให้เกิดโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ไม่ใช้อารมณ์ และมีเหตุผลในการที่เขาจะสามารถเอาชนะตลาดได้ พวกเขาเชื่อว่าการซื้อขายแบบไร้เหตุผลในตลาด จะทำให้เกิดรูปแบบในตลาดหุ้นที่สามารถคาดการณ์ได้ และนักลงทุนชาญฉลาดจะสามารถใช้ประโยชน์จากรูปแบบนั้นได้

บทที่ 11

การกราดยิงในทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ

และทำไมพวกเขาถึงยิงไม่โดน

ความพยายามที่จะแสดงให้เห็นว่าตลาดไม่มีประสิทธิภาพ และมันไม่มีสิ่งที่เป็นการเดินสุ่มผ่านตลาดหุ้นที่จะทำกำไรได้ และที่บอกว่าตลาดหุ้นสามารถถูกทำลายได้ และเกิดประโยชน์กับนักลงทุนก็กล่าวเกินจริงไปอย่างมาก การเดินตามหลักของทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพกล่าวคือ การซื้อและถือครองกองทุนดัชนีที่เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นโดยรวม ยังคงเป็นวิธีการเล่นเกมที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าตลาดอาจจะไม่มีเหตุผลบ้างในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันจะมีเหตุผลเสมอในระยะยาว วิธีการลงทุนการทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ ยังคงเป็นวิธีการที่เหมาะสม

มันหมายถึงอะไรเมื่อพูดว่าตลาดมีประสิทธิภาพ สมมุติว่าหุ้นทุกตัวถูกกำหนดราคาอย่างมีเหตุผล โดยการใช้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่มีใครที่จะประมาณการกระแสเงินสดเหล่านั้นได้อย่างแม่นยำ ดังนั้นราคาที่กำหนดขึ้นในตลาด จึงมีค่าผิดอยู่ตลอดเวลา ตลาดสามารถมีประสิทธิภาพได้ ถึงแม้ว่าในบางครั้งมันจะมีความผิดพลาดอย่างมหันต์ ในการประเมินมูลค่าเช่นในกรณีของฟองสบู่อินเทอร์เน็ต ตลาดสามารถมีประสิทธิภาพได้ถึงแม้ว่าผู้มีส่วนร่วมในตลาดจำนวนมากจะค่อนข้างไร้เหตุผล และแม้ว่าตลาดจะถูกครอบงำโดยอิทธิพลของจิตวิทยา มันมีเกณฑ์ที่สำคัญอยู่ในการตัดสินว่า ตลาดมีประสิทธิภาพหรือไม่ เกณฑ์แรกคือตลาดเป็นเครื่องมือที่ประสบความสำเร็จในการสะท้อนข้อมูลใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และมีความถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ เกณฑ์ที่ 2 มีความสำคัญมากกว่าคือ ตลาดไม่ยอมให้นักลงทุนสามารถได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยได้ โดยที่ไม่ได้แบกรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจนมากกว่าค่าเฉลี่ย

การประเมินมูลค่าของตลาดจะอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและจิตวิทยา ทฤษฎีในการประเมินราคาขึ้นอยู่กับการคาดการณ์เกี่ยวกับกระแสเงินปันผลในระยะยาว ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ยากมากที่จะคาดเดาได้ ดังนั้นมูลค่าที่ประเมินจากปัจจัยพื้นฐาน จึงไม่เคยเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้ มันคือช่วงของตัวเลขที่ยุ่งเหยิงของมูลค่าที่เป็นไปได้ และราคาก็จะสามารถประหยัดขึ้นลงได้อย่างรวดเร็วในช่วงของตัวเลขนี้ เมื่อใดก็ตามที่มีระดับของความไม่แน่นอน หรือความสับสนเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นผลตอบแทนพิเศษของความเสี่ยงที่เหมาะสม สำหรับหุ้นสามัญยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และไกลเกินกว่าที่นักลงทุนหรือนักเศรษฐศาสตร์ด้านการเงินจะมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน

ดังนั้นมันจึงมีช่องว่างสำหรับความหวัง ความกลัว และกระแสนิยมต่าง ๆ ของผู้เล่นที่อยู่ในตลาด ที่จะมีบทบาทสำคัญในกระบวนการประเมินมูลค่า แนวคิด 2 ประการ ที่อยู่เบื้องหลังทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพ ที่มีเหตุผลและเป็นสามัญสำนึก พอ ๆ กับคำวิจารณ์หรือข้อโต้แย้งใด ๆ ก็ตามที่เสนอโดยคนที่ไม่เห็นด้วย กับทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพก็คือ 1. มันมีโอกาสที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ในการที่จะทำกำไรเมื่อปรับตามความเสี่ยงแล้วที่มากเกินปกติได้ และ 2. ฝูงคนจะมุ่งหน้าไปสู่การใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นนั้น จนกว่ามันจะจางหายไป การเอาชนะตลาดอย่างเป็นระบบยังคงเป็นสิ่งที่ยาก และทฤษฎีตลาดหุ้นที่มีประสิทธิภาพยังคงเป็นหลักการที่มีประโยชน์มาก ที่สามารถนำมาใช้งาน

ส่วนที่ 4

แนวปฏิบัติสำหรับนักเรียนสุ่มและนักลงทุนอื่นๆ

บทที่ 12

คู่มือความฟิตของนักเดินสุ่ม

ถ้าเป็นคนที่มีเหตุผลพอ จะเริ่มต้นการเดินสุ่มก็ต่อเมื่อได้เตรียมพร้อมอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว ถึงแม้ว่าราคาหุ้นจะขยับตัวอย่างไร้แบบแผน จงคิดว่าคำแนะนำเบื้องต้นที่จะนำเสนอต่อไปนี้ ที่จะช่วยทำให้สามารถตัดสินใจทางด้านการเงินได้อย่างเหมาะสม

แบบฝึกหัดที่ 1 เก็บรวบรวมเสบียงที่จำเป็น คนส่วนมากเชื่อว่าตั๋วเดินทางที่นำไปสู่ความสะดวกสบายของชีวิตหลังเกษียณอายุ และปลอดการลงทุนก็คือคำแนะนำ สำหรับวิธีการเลือกหุ้นหรือกองทุนรวมที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศที่ควรจะซื้อ ความจริงที่ร้ายกาจก็คือปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด สำหรับการเติบโตของสินทรัพย์คือ ออมเงินได้มากแค่ไหน และการออมเงินจำเป็นต้องอาศัยความมีวินัย ถ้าปราศจากการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ มันก็ไม่สำคัญหรอกว่าจะได้ผลตอบแทนจากการกองทุนเป็น 5% 10% หรือแม้แต่ 15% ก็ตาม สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดที่สามารถทำได้ เพื่อให้บรรลุความมั่นคงทางการเงินก็คือ การเริ่มต้นแผนการออมเงินอย่างสม่ำเสมอ และเริ่มต้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เส้นทางสู่ความสุขสบายยามเกษียณที่เชื่อถือได้ มีเพียงเส้นทางเดียวก็คือ การสร้างรังเพื่อเก็บรักษาไข่อย่างค่อยเป็นค่อยไป และสม่ำเสมอ แต่ก็ยังมีคนเพียงจำนวนน้อย ที่ทำตามกฎเกณฑ์พื้นฐานนี้

แบบฝึกหัดที่ 2 อย่าถูกจับได้ว่าไม่มีอะไรอยู่ในมือ จงป้องกันตัวเองด้วยการเก็บเงินสดสำรองและการประกันภัย กฎของเมอร์ฟี่  (Murphy’s Law) ที่บอกว่าอะไรที่มันสามารถจะผิดพลาดได้ มันก็จะเกิดความผิดพลาดนั้นขึ้น และจงอย่าลืมคำวิจารณ์ของนายโอทูล (O’Toole) ที่กล่าวว่า เมอร์ฟี่เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี สิ่งที่เลวร้ายจะเกิดขึ้นกับคนดีเสมอ ชีวิตคือข้อเสนอที่มีความเสี่ยง และความจำเป็นในการใช้เงินอย่างไม่คาดฝัน เกิดขึ้นได้ในชีวิตของคนทุกคน การถูกปลดออกจากงาน จะเกิดขึ้นหลังจากที่ลูกชายเพิ่งนำรถยนต์ของครอบครัวไปชนจนพังยับเยิน นี่คือเหตุผลที่ทำไมทุกครอบครัวจึงต้องมีการเก็บเงินสดสำรองไว้ เช่นเดียวกับการประกันภัยที่มีความคุ้มครองมากเพียงพอ ที่จะรับมือกับหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิต

แบบฝึกหัดที่ 3 จงแข่งขันในการหาอัตราดอกเบี้ย ที่ทำให้ดอกเบี้ยจากเงินออมก้าวทันกับอัตราเงินเฟ้อ สินทรัพย์ที่มีความคล่องตัวบางอย่างก็มีความจำเป็นสำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น อย่างเช่น ค่าเทอมของมหาวิทยาลัย ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือแค่เตรียมไว้เพื่อความสบายใจ ดังนั้น ใครที่กำลังเผชิญกับทางสองแพร่ง มันมีทางเลือกการลงทุนระยะสั้นเป็นจำนวนมาก ที่จะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงมากพอ ที่จะช่วยคุ้มครองจากอัตราเงินเฟ้อได้

กองทุนรวมตราสารตลาดเงิน กองทุนรวมเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนสำหรับในการเก็บเงินสดสำรองไว้ใช้ กองทุนรวมประเภทนี้จะผสมรวมความปลอดภัย ให้ผลตอบแทนค่อนข้างที่สูงกว่า เมื่อเทียบกับการออมเงินสดในรูปแบบอื่น ๆ

บัตรฝากเงินกับธนาคาร เงินสดสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายที่รู้ล่วงหน้า ควรจะถูกนำไปลงทุนในเครื่องมือที่มีความปลอดภัย และมีอายุในการลงทุนที่ดีพอกับช่วงเวลาของความต้องการในการใช้เงินสดสำรองนั้น บัตรฝากเงินกับธนาคารมีข้อเสียอยู่บ้างตรงที่ พวกมันไม่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที โดยทั่วไปมักจะมีการหักเงินเพื่อเป็นการลงโทษ สำหรับการขายก่อนครบกำหนด

ธนาคารอินเตอร์เน็ต โดยทั่วไปแล้วธนาคารอินเตอร์เน็ต จะเสนอขายบัตรฝากเงินที่มีอัตราผลตอบแทนสูงที่สุด ที่มีอยู่ในตลาด

ตั๋วเงินคลัง เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ปลอดภัยที่สุด ที่จะสามารถหาได้และยังได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่า มีสถานะเทียบเท่ากับเงินสด ตั๋วเงินคลังออกและรับประกันโดยรัฐบาล

กองทุนรวมตราสารตลาดเงินแบบยกเว้นภาษี หากมีรายได้อยู่ในฐานการคำนวณภาษีเงินได้ในอัตราสูงสุด กองทุนรวมตราสารตลาดเงินแบบยกเว้นภาษี จะเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับคนที่ต้องการเก็บสำรองเงินสด

แบบฝึกหัดที่ 4 เรียนรู้ว่าจะหลบเลี่ยงคนเก็บภาษีได้อย่างไร ให้หาผลประโยชน์ในทุกโอกาสที่ทำได้ ที่จะทำให้เงินออมสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ และที่จะทำให้เงินออมและการลงทุนเติบโตขึ้นโดยปลอดภาษี สำหรับคนส่วนใหญ่มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะจ่ายภาษีใด ๆ ก็ตามสำหรับผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุน ที่เตรียมไว้เพื่อใช้ในยามเกษียณอายุ ยกเว้นเฉพาะคนที่ร่ำรวยล้นฟ้ามาตั้งแต่เริ่มต้น นักลงทุนเกือบทุกคนจะสามารถสร้างความมั่งคั่งของเงินออมได้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่มั่นใจได้ว่า ไม่มีทางที่รัฐบาลจะยักยอกเงินออมออกไปได้

บัญชีเกษียณส่วนบุคคล ลองมาเริ่มต้นด้วยการพิจารณารูปแบบที่ง่ายที่สุดของแผนการเกษียณอายุ ที่มีชื่อเรียกว่าบัญชีเงินออมเพื่อการเกษียณอายุรายบุคคลกัน

แผนเงินบำนาญ มีแผนเงินบำนาญหลากหลายรูปแบบจากนายจ้าง ส่วนผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระที่เป็นเจ้านายของตัวเอง ก็ยังสามารถจะสร้างแผนเงินบำนาญให้กับตัวเองได้เช่นกัน

เงินออมสำหรับการศึกษาง่าย ๆ แบบ 529 บัญชีเงินออมสำหรับการศึกษา 529 ช่วยทำให้พ่อแม่ปู่ย่าตายายสามารถให้ของขวัญกับลูกหลาน ผู้ซึ่งจะสามารถใช้งานสำหรับการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้ ชื่อ 529 นี้ถูกตั้งขึ้นตามรหัสภาษีที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ของขวัญเช่นนี้สามารถจะนำไปลงทุนในหุ้นหรือพันธบัตรก็ได้ และจะไม่มีการเก็บภาษีจากรัฐบาลกลางจากผลกำไรที่เกิดขึ้น จากการลงทุนตราบเท่าที่การถอนเงินออกมาใช้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ เพื่อการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยที่กำหนด

แบบฝึกหัดที่ 5 จงแน่ใจว่ารองเท้าฟิตพอดี จงเข้าใจวัตถุประสงค์การลงทุน การกำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการการลงทุน ที่คนส่วนมากจะมองข้ามไปแต่ผลลัพธ์ของมันถึงกับทำให้เกิดความหายนะได้เลยทีเดียว จะต้องตัดสินใจตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่า ระดับความเสี่ยงที่เท่าใดที่จะยอมรับ และการลงทุนแบบใดที่เหมาะสม กับระดับของอัตราภาษีที่ต้องเสีย

แบบฝึกหัดที่ 6 เริ่มหัดเดินที่บ้านของคุณเอง การเช่าอยู่นำไปสู่กล้ามเนื้อการลงทุนที่หย่อนยาน บ้านที่ดีบนทำเลที่ดีสามารถรักษามูลค่าของตัวมันเองได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเงินไม่ว่าจะที่ใดประชากรโลกยังคงเพิ่มขึ้น ความต้องการด้านอสังหาริมทรัพย์จะยังคงเป็นการลงทุน ที่ช่วยประกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ดีที่สุดประเภทหนึ่ง โดยรวมแล้วอสังหาริมทรัพย์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง และมีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับใช้ในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ตามธรรมชาติ ส่วนใหญ่คือบ้านเดี่ยวหรือคอนโดมิเนียม อย่างไรเสียก็ตามจะต้องอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่ง และการซื้อบ้านให้ประโยชน์ทางด้านภาษีหลายอย่างมากกว่าการเช่า

แบบฝึกหัดที่ 7 ตรวจสอบการเดินเที่ยวผ่านดินแดนแห่งพันธบัตร จงยอมรับความจริงว่าตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงต้นทศวรรษที่ 1980 พันธบัตรเป็นที่ที่แย่มากในการเก็บเงิน เงินเฟ้อได้กลืนกินมูลค่าที่แท้จริงของพันธบัตรอย่างเคืองแค้น และราคาของพันธบัตรมีการปรับตัว เพื่อที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีเลิศกับนักลงทุนในตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปีต่อมา ยิ่งไปกว่านั้นพันธบัตรยังพิสูจน์ตัวเองว่า เป็นสินทรัพย์ที่ดีสำหรับการกระจายความเสี่ยง เพราะว่ามันมีค่าสหพันธ์ที่ต่ำหรือติดลบกับหุ้นสามัญ

พันธบัตรที่ไม่จ่ายดอกเบี้ย สามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงได้ในอนาคต ความน่าสนใจประการหลักของพันธบัตรประเภทนี้คือ ผู้ซื้อไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการลงทุนต่อ พันธบัตรที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยจะรับประกันกับนักลงทุนว่า เงินของเขาจะถูกนำไปลงทุนต่อโดยมีอัตราผลตอบแทน เท่ากับอัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอน ข้อเสียที่สำคัญของพันธบัตรที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยก็คือ กรมสรรพากรบังคับให้นักลงทุนต้องแสดงมูลค่าของส่วนต่าง ระหว่างราคาที่ซื้อกับมูลค่าที่อยู่บนหน้าของพันธบัตรว่า เป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษีโดยคำนวณเป็นสัดส่วนในแต่ละปี

กองทุนรวมพันธบัตรที่ไม่มีค่าธรรมเนียมนายหน้า เป็นเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนรายย่อย กองทุนเปิดหรือกองทุนรวมพันธบัตร ให้ประโยชน์ระยะยาวที่เหมือนกันกับของพันธบัตรที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยในบางส่วน แต่มันง่ายกว่าและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามาก สำหรับการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนพวกนี้ ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีการรับประกันว่า จะสามารถนำเงินดอกเบี้ยไปลงทุนต่อโดยที่จะได้รับอัตราผลตอบแทนเท่าเดิมตลอด แต่กองทุนเหล่านี้สามารถจะสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวได้จริง และเหมาะสำหรับนักลงทุนที่วางแผนว่า จะเลี้ยงตัวเองจากรายได้ดอกเบี้ยพวกนี้โดยเฉพาะ

พันธบัตรที่ได้รับการยกเว้นภาษี มีประโยชน์กับนักลงทุนที่อยู่ในฐานภาษีที่มีอัตราสูง ถ้าต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง กองทุนรวมที่ต้องเสียภาษีพันธบัตรที่ไม่จ่ายดอกเบี้ย และกองทุนพัฒนาที่ต้องเสียภาษีอาจจะเหมาะที่จะอยู่ในแผนออมเงินเพื่อการเกษียณ

แบบฝึกหัดที่ 8 เดินเขย่งปลายเท้าผ่านท้องทุ่งของทองคำ ของสะสม และการลงทุนอื่น ๆ

แบบฝึกหัดที่ 9 จงจำไว้ว่าค่านายหน้าไม่ได้เป็นไปโดยไม่มีแบบแผน ค่านายหน้าของบางบริษัทมีค่าต่ำกว่าของบริษัทอื่น จงจำไว้ว่าต้นทุนของค่าใช้จ่ายพวกนี้ จะมีความสำคัญในการซื้อกองทุนรวม มันมีแนวโน้มที่ชัดเจนว่ากองทุนที่คิดค่าธรรมเนียมที่ต่ำที่สุดกับนักลงทุน จะให้ผลตอบแทนสุทธิที่ดีที่สุดจริง ๆ แล้วอุตสาหกรรมของกองทุนรวมคือ อุตสาหกรรมที่ซึ่งควรจะได้อะไรมาจากการที่ไม่ต้องจ่ายเงินออกไป

แบบฝึกหัดที่ 10 หลีกเลี่ยงรูรั่วและก้อนหินที่จะทำให้สะดุดล้ม ขั้นตอนของการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน รูรั่วและก้อนหินขวางทางที่จะทำให้สะดุดล้มได้ บทเรียนสำหรับนักลงทุนจากการเงินเชิงพฤติกรรมบ่อยมาก ที่ทุกคนจะกลายเป็นศัตรูที่เลวร้ายที่สุดของตัวเองในเรื่องของการลงทุน ความเข้าใจเกี่ยวกับการที่มีความอ่อนแอมากเพียงใด ต่อระบบจิตวิทยาของตัวเอง จะช่วยให้หลีกเลี่ยงหลุมพรางตื้น ๆ ที่คอยจะทำให้สะดุดล้มระหว่างการเดินไปบนวอลสตรีทได้

การตรวจร่างกายครั้งสุดท้าย ทฤษฎีการประเมินมูลค่าที่เป็นผลงานของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ และบทบันทึกของผลการดำเนินงานจากบรรดามืออาชีพ นำมาซึ่งข้อสรุปที่เป็นหนึ่งเดียวกันว่า ไม่มีถนนที่นำไปสู่ความร่ำรวยได้โดยง่าย และแน่นอนผลตอบแทนที่สูง สามารถจะมาจากการแบกรับความเสี่ยงที่มากขึ้น และบางทีจะมาจากการยอมรับการลงทุนที่มีสภาพคล่องน้อยกว่า

บทที่ 13

การกำหนดแต้มต่อในการแข่งขันทางการเงิน

บทเรียนเบื้องต้นเพื่อความเข้าใจ และการประมาณค่าเกี่ยวกับผลตอบแทนของหุ้นและพันธบัตร ในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่จะประสบชัยชนะ ระดับราคาของหุ้นและพันธบัตรเป็นสองปัจจัยที่สำคัญที่สุด ในการกำหนดความมั่งคั่งสุทธิ และถึงแม้ว่าสองปัจจัยนี้จะมีความแปรปรวนไปมา นอกเหนือการควบคุมกลวิธีแบบทั่วไป จะช่วยทำให้เก่งขึ้นในเรื่องของการคาดการณ์ผลตอบแทนระยะยาวที่สมจริง และการปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับความจำเป็นทางด้านการเงิน

อะไรที่เป็นตัวกำหนดอัตราผลตอบแทนของหุ้นและพันธบัตร อัตราผลตอบแทนในระยะยาวมาก ๆ ของหุ้นสามัญ ถูกขับเคลื่อนโดยปัจจัยที่สำคัญ 2 ปัจจัยคือ อัตราเงินปันผล ณ เวลาที่ทำการซื้อหุ้น อัตราการเติบโตของกำไร และเงินปันผลในอนาคต ผู้ซื้อที่ถือครองหุ้นไปตลอดกาล หุ้นสามัญหนึ่งหุ้นจะมีมูลค่าเท่ากับมูลค่าปัจจุบัน หรือมูลค่าลดทอนของกระแสเงินปันผลในอนาคต คำว่าลดทอนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า เงิน 1 เหรียญที่จะได้รับในวันพรุ่งนี้ มีมูลค่าน้อยกว่าเงิน 1 เหรียญที่อยู่ในมือในวันนี้

ผลตอบแทนระยะยาวจากพันธบัตร สามารถคำนวณได้ง่ายกว่าผลตอบแทนจากหุ้นในระยะยาว อัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรที่นักลงทุนได้รับ มีค่าโดยประมาณเท่ากับอัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนดไถ่ถอน ณ ขณะเวลาที่เขาซื้อพันธบัตรมา อัตราผลตอบแทน ณ เวลาที่ซื้อก็คืออัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ โดยมีสมมุติฐานว่าพันธบัตรไม่มีการเบี้ยวหนี้ และนักลงทุนถือครองพันธบัตรไว้จนครบกำหนดไถ่ถอน

สี่ยุคสมัยของอัตราผลตอบแทนของตลาด มาพิจารณาถึง 4 ยุคสมัยที่เพิ่งผ่านมาของประวัติศาสตร์ของตลาด 4 ช่วงระยะเวลาที่ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ 1946 ถึง 2009

ยุคที่ 1 ยุคแห่งความสบาย ผู้บริโภคต่างเฉลิมฉลองกับการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2  ด้วยการใช้จ่ายเงินกันอย่างเต็มที่ ก่อนหน้านั้นพวกเขาต้องอยู่กันแบบไม่มีรถยนต์ ตู้เย็น และสินค้าอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ผลปรากฏว่าระบบเศรษฐกิจไม่ได้ดิ่งจมลงไปในภาวะถดถอย ถึงแม้ว่าจะมีหลายช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมีการชะลอตัวบ้าง แต่มันก็กลับไปเติบโตได้ในระดับที่ค่อนข้างสมเหตุสมผล ตลอดช่วงทศวรรษที่ 1950 และ 1960 สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ได้สร้างภาวะที่น่าพอใจสำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้นคือ อัตราเงินปันผลเริ่มต้นของพวกเขาอยู่ในระดับสูง อัตราการเติบโตของกำไรและเงินปันผลเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งและสมเหตุผล โชคไม่ดีเอาเสียเลยที่นักลงทุนที่ลงทุนในพันธบัตรไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดีเท่าเทียมกัน ในตอนเริ่มต้นอัตราผลตอบแทนเริ่มต้นของพันธบัตรในปี ค.ศ 1947 อยู่ในระดับต่ำ ดังนั้นผลตอบแทนจากพันธบัตรจึงมีชะตาชีวิตที่จะให้ผลตอบแทนที่ต่ำ ถึงแม้ว่านักลงทุนจะถือครองไว้จนครบกำหนดไถ่ถอนก็ตาม

ยุคที่ 2 ยุคแห่งความกังวลจากปลายทศวรรษที่ 1960 ถึงต้นทศวรรษที่ 1980 การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราเงินเฟ้อ ได้ปรากฏขึ้นอย่างที่ไม่เคยคาดหวังมาก่อน และกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1960 ภาวะเงินเฟ้อไม่ได้มีความชัดเจนจนเป็นที่สังเกตได้กล่าวคือ มีค่ามากกว่า 1% เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อสหรัฐฯได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเวียดนามมากขึ้น ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 มันก็ได้ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจากการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ คือการที่มีเงินจำนวนมากกำลังวิ่งไล่ล่าสินค้าที่จำนวนน้อย และอัตราเงินเฟ้อก็ทะยานขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 4 หรือ 4.5 เปอร์เซ็นต์ หลักทรัพย์ที่เป็นทุนหุ้นจึงถูกมองว่ามีความเสี่ยงมากกว่า และสมควรที่จะได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเพื่อมาชดเชยความเสี่ยงที่สูงขึ้น ตลาดให้ผลตอบแทนพิเศษสำหรับความเสี่ยง ด้วยการปรับลดราคาของสินทรัพย์ลงเมื่อเทียบกับกำไรและเงินปันผล สิ่งนี้ทำให้เกิดผลตอบแทนที่สูงขึ้นในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมใหม่ที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น

ยุคที่ 3 ยุคแห่งความเบิกบาน เป็นยุคทองของอัตราผลตอบแทนจากทรัพย์สินทางการเงิน ซึ่งเริ่มจากปี ค.ศ 1982 จนถึงต้นปี ค.ศ 2000 ในช่วงเริ่มต้นของยุคนี้ ทั้งพันธบัตรและหุ้นต่างได้รับการปรับตัวอย่างเสร็จสมบูรณ์ ต่อการเปลี่ยนแปลงทางสภาวะแวดล้อมด้านเศรษฐกิจเศรษฐกิจเรียบร้อยแล้ว หุ้นและพันธบัตรต่างมีราคาซื้อขายที่ไม่เพียงแต่มีส่วนเผื่อสำหรับการป้องกันอัตราเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอัตราผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจอย่างมากขึ้นอีกด้วย

ยุคที่ 4 ยุคแห่งความท้อแท้ มันเป็นยุคที่นักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นส่วนใหญ่อยากจะลืม ยุคนี้มีเหตุการณ์ฟองสบู่อินเทอร์เน็ต ที่ติดตามมาด้วยสภาวะตลาดหมี ที่กระแทกลงพื้นอย่างแรง ในช่วงต่อมาของทศวรรษเกิดฟองสบู่ และการแตกกระจายอีกครั้งที่เขย่าตลาดหุ้นทั่วโลก เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ดิ่งลง ได้ทำลายมูลค่าของหลักทรัพย์ที่มีสัญญาจำนองหนุนหลัง อันซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่ต้องอาศัยการเพิ่มขึ้นของราคาบ้านที่อยู่อาศัย นักลงทุนถูกตักเตือนอีกครั้งว่าโลกนี้เป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยง ความสัมพันธ์ของการประเมินมูลค่าได้เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคนี้

การกำหนดแต้มต่อสำหรับผลตอบแทนในอนาคต ปัจจัยที่สำคัญที่เป็นตัวกำหนดผลตอบแทนจากหุ้นในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ คือการเปลี่ยนแปลงในวิธีการที่หุ้นจะถูกประเมินมูลค่าในตลาด ซึ่งก็คือการเปลี่ยนแปลงของอัตราส่วนของราคาต่อกำไรในตลาด นักลงทุนควรคาดหวังที่จะได้รับผลตอบแทนพิเศษสำหรับความเสี่ยงอย่างมีเหตุผล ถ้าพวกเขาต้องแบกรับความเสี่ยงจากการเป็นเจ้าของหุ้น เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นได้บ่อย ๆ ประเด็นก็คือจงอย่าลงทุนด้วยการมองกระจกหลัง จงอย่าคาดการณ์อย่างง่าย ๆ ถึงผลตอบแทนจากอดีตไปสู่สหัสวรรษใหม่ การคาดการณ์ที่สามารถทำได้ดีที่สุด สำหรับตลาดหุ้นเมื่ออัตราเงินปันผลที่ประมาณ 2.5% ก็คืออัตราผลตอบแทนรวมในระยะยาว จะมีค่าเป็นตัวเลขหลักเดียวที่อยู่ด้านปลาย ๆ

บทที่ 14

แนวทางการลงทุนตามวงจรชีวิต

กลยุทธ์การลงทุนต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับวงจรชีวิต การออมเงินเพื่อการเกษียณของคนที่อายุ 34 ปี กับของคนที่อายุ 64 ปี ควรจะใช้เครื่องมือทางการเงินที่แตกต่างกัน เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของพวกเขา แม้ลงทุนในบัตรเงินฝากเหมือนกัน คนที่หนุ่มกว่าอาจจะลงทุนเช่นนั้นก็เพราะมี ทัศนคติที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง และสำหรับคนที่แก่กว่าที่ทำเช่นนั้นก็เพราะ เขามีความสามารถในการแบกรับความเสี่ยงที่ลดลง การตัดสินใจเกี่ยวกับการลงทุนที่สำคัญที่สุด ที่อาจจะต้องทำเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ในตลาดเงิน เป็นต้น ที่ช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิต มีระดับของการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงมากน้อยขนาดไหนก็ตามคือ ไม่ว่าตำแหน่งจะอยู่บนส่วนไหนของมาตรวัดของการกินดีและการหลับสบาย อายุ รายได้จากการทำงาน และความรับผิดชอบในชีวิตจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยในการกำหนดส่วนผสมของสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุน

หลัก 5 ประการสำหรับการจัดสรรสินทรัพย์ เป็นหลักการพื้นฐานที่จะใช้ในการตัดสินใจ สำหรับการจัดสรรสินทรัพย์ โดยหลักการที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

  1. ความเสี่ยงและผลตอบแทนมีความสัมพันธ์กัน รางวัลจากการลงทุนสามารถเพิ่มขึ้นได้ด้วยการยอมรับความเสี่ยงที่มากขึ้นเท่านั้น ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นก็คือราคาที่ยินยอมจ่ายสำหรับผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจมากขึ้น
  2. ความเสี่ยงที่แท้จริงสำหรับการลงทุนในหุ้นและพันธบัตร ขึ้นอยู่กับความยาวของระยะเวลาที่ถือครองมันไว้ พลังในการคงอยู่ซึ่งก็คือ ความยาวของระยะเวลาที่ถือครองการลงทุนเอาไว้ จะมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดระดับของความเสี่ยงที่แท้จริง ที่แบกรับไว้จากการตัดสินใจในการลงทุน
  3. การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน สามารถลดความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรได้ ถ้ากำลังสร้างพอร์ตการลงทุนอย่างช้า ๆ ด้วยการพอกพูนเงินออมในแต่ละปี จะได้ประโยชน์จากการลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุน มันสามารถช่วยให้หลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการใส่เงินทั้งหมดเข้าไปในตลาดหุ้น หรือตลาดพันธบัตรในเวลาที่ไม่ถูกต้องได้จริง การลงทุนแบบถัวเฉลี่ยต้นทุนไม่ได้เป็นยารักษาสารพัดโรค ที่จะช่วยกำจัดความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นไปได้หมด มันจะไม่ช่วยปกป้องแผนออมเงินสำหรับการเกษียณอายุ จากการลดลงของมูลค่าอย่างมหาศาลได้
  4. การปรับสมดุลสามารถลดความเสี่ยงของการลงทุน และอาจจะเพิ่มผลตอบแทนได้สูงขึ้นได้ เทคนิคพื้นฐานที่สุดอย่างหนึ่งที่เรียกว่า การปรับสมดุล ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงของการลงทุนได้ และในบางกรณียังสามารถเพิ่มผลตอบแทนให้กับการลงทุนได้อีกด้วย เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับการปรับสัดส่วนของการลงทุนที่กระจายอยู่ในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ เช่น หุ้นและพันธบัตรให้กลับคืนเข้ามาสู่สัดส่วนที่เหมาะสมกับอายุ ทัศนคติ และความสามารถในการแบกรับความเสี่ยง
  5. จงแยกแยะระหว่างทัศนคติและความสามารถในการแบกรับความเสี่ยง ประเภทของการลงทุนที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับแหล่งรายได้ที่ไม่ได้มาจากการลงทุน ความสามารถในการหารายได้ที่นอกเหนือจากการลงทุนมักจะมีความสัมพันธ์กับอายุ

คำแนะนำ 3 ข้อเพื่อการออกแบบแผนการลงทุนตามวงจรชีวิต ในการออกแบบแผนการลงทุนเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมเฉพาะที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล

  1. ความจำเป็นที่เฉพาะเจาะจง ก็ต้องใช้สินทรัพย์ที่ถูกกำหนดไว้โดยเฉพาะ จงจำไว้อยู่ในใจเสมอ ความจำเป็นที่เฉพาะเจาะจงจะต้องใช้เงินจากสินทรัพย์ที่ถูกกำหนดไว้ เพื่อตอบสนองความต้องการนั้นโดยเฉพาะ สมมุติว่าคู่สามีภรรยานี้คิดว่าจำเป็นจะต้องใช้เงินจำนวน 30,000 เหรียญในอีก 1 ปีข้างหน้า เพื่อวางดาวน์สำหรับการซื้อบ้าน เงินจำนวน 30,000 เหรียญที่ต้องมี ต้องใช้เพื่อความจำเป็นเฉพาะเจาะจงนี้ ควรจะถูกนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความปลอดภัย และมีอายุครบกำหนดไถ่ถอนตรงกับช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงินในปีหน้า ยกตัวอย่างเช่น บัตรฝากเงินที่มีอายุ 1 ปี เป็นต้น
  2. จงทำความเข้าใจถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับการวางแผนการทางด้านการเงิน และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถประเมินทัศนคติของตัวเองต่อความเสี่ยงได้ สามารถสบายใจได้ในระดับหนึ่งจากข้อเท็จจริงที่ว่า ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในหุ้นสามัญและพันธบัตรระยะยาว สามารถลดลงได้ถ้าระยะเวลาในการสะสมถือครองการลงทุนมีความยาวมากขึ้น แต่ต้องสามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกในการยอมรับความผันผวนอย่างรุนแรงในพอร์ตการลงทุนในระยะเวลาสั้นได้
  3. การออมเงินไม่ว่าจะเป็นจำนวนเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามอย่างสม่ำเสมอจะเป็นประโยชน์ การเก็บสะสมเงินออมสำหรับการเกษียณในจำนวนที่มีความหมาย ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่ยากและเอื้อมถึง จงอย่าท้อแท้ ข้อเท็จจริงก็คือว่า แผนการเก็บสะสมเงินออมเป็นประจำทุกสัปดาห์ ที่สามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ อาจจะด้วยการทำผ่านแผนออมเงิน โดยการหักจากเงินเดือนของบริษัท หรือแผนออมเงินเพื่อการเกษียณอายุ สามารถสร้างจำนวนเงินก้อนที่มียอดรวมเป็นกอบเป็นกำได้

แนวทางการลงทุนตามวงจรชีวิต พอร์ตการลงทุนเชิงรุกควรจะถูกแนะนำให้กับคนที่อยู่ในช่วงอายุ 20 ปี สำหรับวัยนี้มันยังมีเวลาอีกมากสำหรับการใช้ชีวิต ผ่านการปีนขึ้นยอดเขาและการไต่ลงสู่ก้นเหียวที่จะเกิดขึ้นในวงจรชีวิตของการลงทุน คนในวัยนี้ยังมีช่วงเวลาของชีวิตที่จะหารายได้จากอาชีพการงานที่รออยู่ข้างหน้าอีกเป็นเวลานาน พอร์ตการลงทุนจึงไม่ได้เพียงแค่หนักไปด้วยหุ้นสามัญจำนวนมากเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหุ้นที่มีความเสี่ยงมากที่มาจากตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก ในสัดส่วนที่มากพอสมควรอีกด้วย

เมื่อนักลงทุนมีอายุเพิ่มขึ้น พวกเขาควรจะเริ่มที่จะปรับลดการลงทุนที่มีความเสี่ยงออกไป และเริ่มที่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตร และหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างงดงาม

กองทุนวงจรชีวิต ใครต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการปรับเปลี่ยนพอร์ตการลงทุนเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น และการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนประจำปี เนื่องจากสัดส่วนของสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งการขึ้นและลงของตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้ถูกพัฒนาขึ้นระหว่างทศวรรษที่ 2000 สำหรับนักลงทุนที่ต้องการจัดตั้งแผนการลงทุนขึ้นมาแล้ว ก็สามารถจะลืมมันไปได้เลย มันมีชื่อเรียกว่ากองทุนวงจรชีวิต และมันจะปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติ และมีการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ ที่มีความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้น

การบริหารการลงทุนเมื่อเกษียณอายุแล้ว การอยู่ในประเทศของนักบริโภคมากกว่าของนักออมเงิน ถ้าพิจารณาจากสถานะในระยะยาว สำหรับงบประมาณของรัฐบาลกลางแล้ว ไม่สามารถจะไว้ใจได้ว่ารัฐบาลจะช่วยเหลือจุนเจือพวกเราได้

การเตรียมการอย่างไม่พอเพียงสำหรับการเกษียณอายุ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำงานในช่วงวัยเกษียณอายุ และต้องควบคุมค่าใช้จ่ายและออมเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มีงานชั่วคราวเป็นจำนวนมากที่สามารถทำได้จากที่บ้าน ซึ่งต้องขอบคุณอินเตอร์เน็ตและมันยังมีประโยชน์ในด้านจิตวิทยาและสุขภาพ จากการทำงานในวัยเกษียณอายุ คนที่มีงานบางอย่างทำจะมีความรู้สึกที่ดีว่าตนเองมีคุณค่า และยังคงติดต่อกับโลกภายนอกอยู่ตลอดเวลา และพวกเขาก็ยังมีสุขภาพที่ดีมากกว่าอีกด้วย แนะนำให้ทุกคนควรยืดการเกษียณอายุออกไปให้ไกลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเลื่อนการรับผลประโยชน์จากประกันสังคมจนกระทั่งถึงวัยที่ต้องเกษียณอายุจริง ๆ เพื่อที่จะทำให้ผลประโยชน์ประจำปีที่จะได้รับมีค่ามากที่สุด

การลงทุนเงินออมเพื่อการเกษียณอายุ กลยุทธ์การลงทุนอะไรที่จะช่วยให้เงินออมมีอายุยืนยาวเท่ากับอายุที่มีมัน มีทางเลือกพื้นฐานอยู่ 2 ทางเลือก ทางแรกสามารถจะแปลงเงินออมบางส่วนหรือทั้งหมดให้เป็นกรมธรรม์บำนาญ ทางเลือกที่ 2 คือผู้ที่เกษียณอายุยังสามารถที่จะถือครองพอร์ตการลงทุนไว้ และทำการถอนเงินออกมาในอัตราที่จะสามารถทำให้ใช้ชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างสบาย

กรมทัณฑ์บำนาญ มักจะถูกเรียกว่าการประกันชีวิตระยะยาว กรมธรรม์บำนาญคือสัญญาที่นักลงทุนทำกับบริษัทประกัน โดยที่นักลงทุนจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะรับประกันว่า บริษัทประกันจะจ่ายเงินคืนให้กับเขาเป็นระยะตามที่กำหนด ตราบเท่าที่นักลงทุนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ มันมีข้อเสียที่อาจจะเป็นไปได้อยู่ 4 ข้อคือ

  1. ความปรารถนาที่จะให้มรดก สมมุติว่าคนที่เกษียณอายุแล้วคนหนึ่งได้ออมเงินไว้เป็นจำนวนมาก และเขาสามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสบายจากเงินปันผล และดอกเบี้ยจากเงินออมจำนวนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถได้รับเงินในจำนวนที่มากกว่าในแต่ละปี จากการซื้อกรมธรรม์บำนาญได้ แต่มันจะทำให้มีไม่มีเงินเหลือไว้สำหรับเป็นมรดกเลยเมื่อเขาเสียชีวิตลง
  2. ความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต กรมธรรม์บำนาญไม่มีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนรูปแบบของการใช้ชีวิต ในกรณีที่สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป
  3. กรมธรรม์บำนาญมีต้นทุนสูง
  4. กรมธรรม์บำนาญอาจจะขาดประสิทธิภาพทางด้านเก็บภาษี กรมธรรม์บำนาญแบบแปรผันจะเปลี่ยนผลกำไรจากส่วนต่างของราคาที่เกิดจากการลงทุน ที่มีสิทธิพิเศษทางด้านภาษีให้กลายเป็นรายได้ปกติที่ต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง

นักลงทุนที่ชาญฉลาดควรจะทำอย่างไร การซื้อกรมธรรม์บำนาญบางส่วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล มันเป็นเพียงทางเดียวที่ไม่มีความเสี่ยง ในการสร้างความมั่นใจว่าจะไม่มีชีวิตยืนยาวกว่าเงินออม

วิธีที่ทำด้วยตัวเอง คนที่ปลดเกษียณแล้วจำนวนมาก ชอบมากกว่าที่จะสามารถควบคุมการใช้จ่ายสินทรัพย์ ที่พวกเขาได้เก็บออมสำหรับไว้ใช้เมื่อตอนเกษียณอายุ ภายใต้กฎ 4% จำเป็นต้องมีเงินออมจำนวน 450,000 เหรียญ เพื่อที่จะสร้างรายได้หลังเกษียณเป็นจำนวน 1,500 เหรียญต่อเดือน หรือ 18,000 เหรียญต่อปีได้ ทำไมเป็นเพียงแค่ 4% มันเป็นไปได้อย่างมากว่าพอร์ตการลงทุนในหุ้นและพันธบัตร ที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีจะให้ผลตอบแทนมากกว่า 4% ในอนาคตข้างหน้าได้ แต่มันมีเหตุผล 2 ประการ ที่จะจำกัดอัตราการใช้เงินหลังการเกษียณจากเงินออม กับการจำเป็นต้องให้จำนวนเงินที่จ่ายเป็นรายได้ในแต่ละเดือน มีการเติบโตเท่ากับอัตราเงินเฟ้อ หลักการที่ 2 จำเป็นจะต้องมั่นใจว่า จะสามารถฟันฝ่าผ่านสภาวะตลาดหมีที่อาจจะเกิดขึ้นติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลาย ๆ ปีได้ ถ้าพบว่าตัวเองมีอายุ 80 ปีมีการนำเงินออกมาใช้ในอัตรา 4% ทุกปี และมีพอร์ตการลงทุนที่กำลังเติบโตอาจจะคงการใช้จ่ายเงินที่อัตรา 4% ไว้ถ้ามีชีวิตยืดยาวออกไปได้อีกหลายสิบปี หรืออาจจะพิจารณาที่จะลดความเข้มงวดของการใช้จ่ายเงินลงได้ เพราะน่าจะมีเงินออมที่เหลือมากพอสำหรับชีวิตที่ยังเหลืออยู่

บทที่ 15

สามก้าวใหญ่บนวอลสตรีท

มีวิธีในการเลือกซื้อหุ้นได้อย่างไร โดยพื้นฐานแล้วมันมีอยู่ 3 วิธีเรียกว่า ก้าวย่างที่ไม่ต้องใช้สมอง ก้าวย่างที่ทำด้วยตัวเอง และก้าวย่างที่ใช้ผู้เล่นตัวสำรอง

ในกรณีแรกเลือกซื้อผ่านการซื้อกองทุนดัชนี ที่มีฐานกว้างมีหุ้นหลากหลายชนิดหรือทั้งตลาดอยู่ในดัชนี ซึ่งถูกออกแบบมาให้มีผลการดำเนินงานเป็นไปตามผลการดำเนินงานของหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบของพอร์ตการลงทุน ข้อดีสำหรับวิธีนี้คือมันง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในพอร์ตการลงทุนอย่างน้อยที่สุด ควรจะต้องมีสัดส่วนการลงทุนในกองทุนดัชนีบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่เป็นการลงทุนของเงินออม สำหรับการเกษียณอายุ

วิธีที่ 2 ในการเดินไปบนวอลสตรีท เลือกซื้อหุ้นด้วยตัวเอง และบางทีอาจจะให้น้ำหนักของการลงทุนมากกว่าภายในบางอุตสาหกรรมหรือบางประเทศ วิธีนี้จะต้องทำงานมากขึ้นแต่มันจะเต็มไปด้วยความสนุกสนาน

วิธีที่ 3 เลือกผู้จัดการด้านการลงทุนมืออาชีพ ให้เดินไปบนวอลสตรีทแทนได้ หนทางเดียวสำหรับนักลงทุนที่มีเงินไม่มากนัก ที่จะสามารถทำแบบนี้ได้ก็คือการซื้อกองทุนรวม ที่มีการบริหารจัดการโดยมืออาชีพ

ก้าวย่างที่ไม่ต้องใช้สมอง การลงทุนในกองทุนดัชนีหุ้น Standard & Poor 500 เป็นตัวแทนของมูลค่าประมาณ 3 ใน 4 ของหุ้นสามัญที่ซื้อขายกันในสหรัฐทั้งหมด และผลตอบแทนของมันสามารถเอาชนะผู้เชี่ยวชาญได้เกือบทั้งหมด ตลอดระยะเวลายาวนานที่ผ่านมา การสร้างพอร์ตการลงทุนซึ่งประกอบด้วยบริษัททั้งหมดที่อยู่ในดัชนีนี้ อาจจะเป็นหนทางง่าย ๆ สำหรับการเป็นเจ้าของหุ้น หนทางที่จะนำวิธีการแบบนี้มาใช้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง สำหรับนักลงทุนรายเล็ก สิ่งที่ต้องการก็คือกองทุนรวมที่ไม่มีค่าธรรมเนียมซื้อขาย มีค่าบริหาร และจัดการต่ำ ซึ่งมีวิธีการลงทุนแบบง่าย ๆ โดยการซื้อหุ้นจำนวนนับร้อย ๆ บริษัทที่จะประกอบขึ้นเป็นตัวแทนของดัชนีของตลาดที่มีฐานกว้าง ตรรกะที่อยู่เบื้องหลังกลยุทธ์นี้ก็คือ ตรรกะของทฤษฎีตลาดที่มีประสิทธิภาพ แต่ถึงแม้ว่าตลาดจะไม่มีประสิทธิภาพ การลงทุนตามดัชนีก็ยังคงเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่เป็นประโยชน์มาก เนื่องจากหุ้นในตลาดทั้งหมดจะต้องเป็นเจ้าของโดยใครบางคน มันจึงเป็นผลตามมาว่า

ทางออกโดยใช้กองทุนดัชนี กองทุนดัชนีสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนที่มีการบริหารการจัดการโดยบรรดาผู้จัดการกองทุนมืออาชีพอยู่บ่อย ๆ เป็นปกติ มันมีเหตุผลพื้นฐานอยู่ 2 ประการสำหรับผลการดำเนินงานที่มีความเหนือกว่านี้นั่นคือ ค่าธรรมเนียมในการบริหารและต้นทุนในการซื้อขายกองทุนดัชนี จะมีการซื้อขายหลักทรัพย์ก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น กองทุนดัชนียังมีข้อดีในเรื่องของภาษีอีกด้วย กองทุนดัชนีอนุญาตให้นักลงทุน สามารถยืดเวลาการรับรู้กำไรที่เกิดจากส่วนต่างของราคาออกไปได้ หรืออาจจะหลีกเลี่ยงการเสียภาษีได้อย่างสมบูรณ์เลย ถ้าหุ้นเหล่านี้ถูกยกให้เป็นมรดก กองทุนดัชนียังสามารถที่จะพอคาดการณ์ได้ง่ายกว่าอีกด้วย การลงทุนด้วยวิธีการใช้กองทุนดัชนียังมีสิ่งที่ดึงดูดใจอย่างอื่นอีก สำหรับนักลงทุนรายเล็กมันช่วยให้สามารถถือครองการลงทุนที่หลากหลายด้วยเงินลงทุนเพียงหยิบมือ และมันยังช่วยลดค่าธรรมเนียมจากบริษัทนายหน้าได้อีกด้วย กองทุนดัชนีที่เกิดจากการรวมเงินจากนักลงทุนจำนวนมาก จะสามารถซื้อขายหุ้นในปริมาณที่มากกว่า และสามารถต่อรองค่านายหน้าให้เหลือต่ำที่สุดได้ กองทุนดัชนียังทำหน้าที่เก็บรวมรวบรวมเงินปันผลจากหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่ในกองทุน และส่งเช็คไปให้แค่ 1 ใบในทุกไตรมาสสำหรับเงินปันผลทั้งหมด กล่าวโดยสรุปการลงทุนในกองทุนดัชนีนั้น เป็นวิธีที่มีเหตุผลและใช้ได้จริง สำหรับการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนของตลาดได้ โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เลยและยังมีค่าใช้จ่ายที่น้อยมาก

คำจำกัดความที่กว้างขึ้นของดัชนีเท่าที่ผ่านมา ดัชนีที่เป็นที่ชื่นชอบกันมากที่สุดที่ถูกนำมาใช้ก็คือดัชนีหุ้น 500 ตัวของ Standard & Poor ซึ่งเป็นดัชนีที่เป็นตัวแทนของบริษัทหลักที่อยู่ในตลาดหุ้นของสหรัฐ การลงทุนโดยใช้ดัชนีหรือที่เรียกว่าการลงทุนเชิงรับ กลยุทธ์การลงทุนที่ซื้อดัชนี S&P 500 เท่านั้น นั่นไม่ได้เป็นแค่วิธีการเล่นแบบเดียวที่มีอยู่ในตลาดอีกแล้ว ดัชนี S&P 500 ละเลยหุ้นของบริษัทขนาดเล็กนับพัน ๆ บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในระบบเศรษฐกิจ

ดังนั้นในตอนนี้เชื่อว่าถ้านักลงทุนคนหนึ่งที่ต้องการซื้อกองทุนดัชนีของหุ้นสหรัฐฯ สักกองทุนหนึ่ง ดัชนีทั่วไปสำหรับหุ้นของสหรัฐที่ดีที่สุดควรจะเป็นดัชนีที่สามารถเป็นตัวแทนของตลาดโดยรวมได้ดีกว่า เช่น ดัชนี Russell 3,000 ดัชนี Wilshire 5,000 Total Market Index หรือดัชนี MSCI U.S. Broad Index เป็นดัชนีที่ประกอบด้วยตัวแทนของบริษัทในสหรัฐฯ ที่มีความหลากหลายมากกว่า ซึ่งรวมไปถึงบริษัทขนาดเล็กจำนวนมากที่มีแนวโน้มว่ากำลังอยู่ในช่วงแรก ๆ ของวงจรของการเติบโต

ก้าวย่างที่ทำด้วยตัวเอง กฎการเลือกหุ้นรายตัวที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับพวกที่ยืนยันที่จะเล่นเกมการลงทุนนี้ด้วยตัวเอง การก้าวย่างที่ทำด้วยตนเองนี้อาจจะดูน่าสนใจ มีกฎ 4 ข้อสำหรับวิธีการเลือกหุ้นให้ประสบความสำเร็จ มันยังคงใช้การได้ดีอยู่ในปัจจุบัน กฎ 4 ข้ออย่างย่อมีดังต่อไปนี้

กฎข้อที่ 1 จงจำกัดขอบเขตของการซื้อหุ้น ให้อยู่เฉพาะบริษัทที่ดูเหมือนว่าจะสามารถรักษาการเติบโตของกำไร ให้อยู่เหนือค่าเฉลี่ยได้เป็นอย่างน้อย 5 ปี ถึงแม้ว่างานนี้อาจจะยากมากที่จะทำได้ แต่การเลือกหุ้นที่มีการเติบโตของกำไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเกมนี้

กฎข้อที่ 2 จงอย่าจ่ายเงินซื้อหุ้นไปในจำนวนที่มีมูลค่ามากกว่า มูลค่าที่อธิบายได้โดยปัจจัยพื้นฐานของบริษัท หุ้นที่ถูกต้องราคาอย่างสมเหตุสมผลแล้ว อัตราส่วนของราคาต่อกำไรคือจุดเริ่มต้นที่ดี จงซื้อหุ้นที่กำลังขายอยู่ โดยมีอัตราส่วนของราคาต่อกำไรที่ไม่แตกต่างไปจากกลุ่มมากนัก

กฎข้อที่ 3 มันเป็นการดีที่จะซื้อหุ้นที่มีเรื่องราวของความคาดหวัง ในการเติบโต ที่นักลงทุนสามารถจะสร้างวิมานในอากาศได้ กุญแจสู่ความสำเร็จคือการไปอยู่ในจุด ซึ่งนักลงทุนคนอื่นจะไปอยู่เป็นเวลาหลายเดือน ก่อนที่พวกเขาจะไปถึง ดังนั้นจงถามตัวเองว่า เรื่องราวของหุ้นนั้นเป็นเรื่องราวที่มีโอกาส ที่จะสร้างจินตนาการให้กับฝูงชนได้หรือเปล่า มันเป็นเรื่องราวที่ก่อให้เกิดความฝันในแบบที่เป็นเหมือนโรคติดต่อได้หรือไม่ มันเป็นเรื่องราวที่นักลงทุนสามารถจะสร้างวิมานในอากาศได้หรือไม่ และเป็นวิมานในอากาศที่ตั้งอยู่บนรากฐานที่มั่นคงด้วยหรือไม่

กฎข้อที่ 4 จงทำการซื้อขายให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การสับเปลี่ยนหุ้นบ่อย ๆ ไม่ได้ช่วยให้เกิดอะไรขึ้น นอกจากการอุดหนุนนายหน้าซื้อขายหุ้น และเป็นการเพิ่มภาระด้านภาษีให้กับตัวเอง เมื่อมีการรับรู้กำไรจากส่วนต่างของราคาเกิดขึ้น

ก้าวย่างที่ใช้ผู้เล่นตัวสำรอง การจ้างนักเดินทางมืออาชีพบนวอลสตรีท มันมีหนทางง่ายกว่าที่จะเสี่ยงพนันในการลงทุน ซึ่งก็คือแทนที่จะเลือกหุ้นรายตัวที่เป็นผู้ชนะ จงเลือกโค้ชที่ดีที่สุด (ผู้จัดการการลงทุน) แทนพวกโค้ชเหล่านี้จะมาในรูปแบบของผู้จัดการกองทุนรวมที่มีการบริหารเชิงรุกนั่นเอง และพวกเขามีจำนวนนับพันให้เลือก มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับนักลงทุนที่จะรับประกันตนเองได้ว่า จะได้รับผลตอบแทนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยจากการซื้อกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุด ในช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านมาล่าสุด ผลลัพธ์โดยทั่วไปก็คือมันมีความคงทนถาวรของผลการดำเนินงาน ที่สามารถจะพึ่งพาได้ในระยะยาว ไม่สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม จากการเลือกซื้อกองทุนรวมที่อาจจะเอาชนะตลาดได้ในบางช่วงเวลาในอดีตอดีต ไม่สามารถทำนายอนาคตได้ ไม่สามารถจะเอาชนะตลาดได้อย่างสม่ำเสมอจากการซื้อกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ดีที่สุดในอดีต ไม่สามารถจะพึ่งพาบันทึกผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยมในอดีตได้ว่า มันจะยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องต่อไปในอนาคต อันที่จริงแล้วบ่อยครั้งที่มันจะเป็นกรณีของกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ดีเยี่ยมในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จะกลายเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ย่ำแย่ในช่วงเวลาถัดมา

การมองสะท้อนครั้งสุดท้ายของการเดิน ตอนนี้มาถึงสุดทางของการเดินแล้ว จงมองหันหลังกลับไปสักครู่ และพิจารณาว่าพวกเราได้ไปที่ไหนมาบ้าง มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าความสามารถในการที่จะเอาชนะค่าเฉลี่ยของตลาดได้อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์เชิงพื้นฐานเกี่ยวกับรากฐานที่มั่นคงสำหรับมูลค่าของหุ้น หรือการวิเคราะห์เชิงเทคนิคเกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดในการสร้างวิมานในอากาศ ก็ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าได้อย่างสม่ำเสมอ แม้แต่พวกมืออาชีพยังต้องมุดหลบด้วยความอาย เมื่อผลลัพธ์ของพวกเขาถูกนำไปเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการเลือกหุ้นโดยการปาลูกดอก

นโยบายการลงทุนที่มีเหตุผล สำหรับนักลงทุนแต่ละคนต้องถูกพัฒนาขึ้นมาใน 2 ขั้นตอน ขั้นตอนแรกมันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือก ให้น้ำหนักระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทน และต้องปรับแต่งตัวเลือกของสินทรัพย์ในการลงทุน ให้เหมาะสมกับสภาวะทางด้านอารมณ์และความต้องการ

เกมการลงทุนนี้เหมือนกับความรัก ในอีกแง่มุมหนึ่งที่สำคัญด้วยเช่นกัน มันเป็นสิ่งที่สนุกมากจนเกินกว่าที่จะเลิกได้ ถ้ามีความสามารถพิเศษที่จะรู้ได้ว่า หุ้นตัวไหนที่มันมีคุณค่าที่ดี และมีศิลปะเฉพาะตัวที่จะรู้ได้ว่า เรื่องราวไหนที่ฝูงชนจะสร้างจินตนาการได้ มันจะเป็นความรู้สึกที่ดีเยี่ยมที่เห็นว่าตลาดมันเป็นไปตามที่คิด หรือจินตนาการเอาไว้ ถึงแม้ว่าอาจจะโชคไม่ดีมากนัก กฎจะช่วยจำกัดความเสี่ยง และช่วยให้หลีกเลี่ยงความเจ็บปวดส่วนใหญ่ ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องในบางช่วงเวลาในการเล่นเกมนี้ได้ ถ้ารู้ว่าจะชนะหรือไม่ก็ไม่ได้ขาดทุนมากนัก และค่าการลงทุนหลักเป็นไปตามดัชนีก็จะสามารถเล่นเกมนี้ ด้วยความพึงพอใจมากขึ้น และอย่างน้อยที่สุดหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะทำให้อะไรทั้งหมดของการเล่นเกมนี้สนุกมากขึ้น บทเรียนที่ไร้ซึ่งการเวลาเหล่านั้น จะเกี่ยวข้องกับการกระจายความเสี่ยงในวงกว้าง การปรับสมดุลประจำปี การใช้กองทุนดัชนี และการยึดมั่นแนวทางเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง.

สั่งซื้อหนังสือ “เดินสุ่มในวอลสตรีท” (คลิ๊ก)