สั่งซื้อหนังสือ “ความลับเรื่องเงินที่แม่อยากบอกลูกก่อนตาย” (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ ความลับเรื่องเงินที่แม่อยากบอกลูกก่อนตาย

บทเรียนชีวิต การทำงาน และการเงิน จากแม่ที่ต่อสู้ในตลาดหลักทรัพย์มากกว่า 20 ปี  หนังสือเล่มนี้รวบรวมเรื่องราวชีวิตและทรัพย์สินเงินทอง ที่ผู้เขียนซึ่งทำงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ตลอด 20 ปี เธอเห็นคนรวยมานับไม่ถ้วน ทั้งคนรวยแบบชั่วข้ามคืน คนรวยจากธุรกิจที่สร้างขึ้นโดยน้ำมือของตัวเอง และคนรวยจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้น ในทางกลับกันบางคนเอาเงินทั้งหมดไปลงทุน แต่กลับกลายเป็นคนจนในชั่วข้ามคืนก็มี เธอตระหนักว่าการมีเงินใช่ว่าจะช่วยให้ชีวิตมีความสุขเสมอไป แต่ถ้าไม่มีเงินจะหาความสุขหลาย ๆ อย่างได้ยากมาก น่าแปลกที่หลายครั้งเงินก็กำหนดชีวิตได้ ดังนั้น จงอย่าชะล่าใจเรื่องการเก็บเงิน

เมื่อพูดถึงเรื่องงาน อายุ 40 คือวัยที่สำคัญ ยังมีคนอีกมากที่อยากไปไหนมาไหน และมีเรื่องให้ต้องทำอีกเยอะ แต่มันเป็นช่วงอายุที่รู้สึกว่าเหลือเวลาไม่มากแล้ว ดังนั้น ระหว่างคนที่เก็บสะสมสินทรัพย์กับคนที่ไม่ได้สะสม ชีวิตในวัย 40 จึงแตกต่างกันมาก ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ นอกจากนี้ยังอยู่ในยุคที่อัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพพุ่งพรวด นี่เป็นยุคที่เงินเดือนค่อย ๆ มลายหายไป ทั้งที่มุ่งมั่นใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง นี่เป็นยุคที่ไม่สามารถรับมืออัตราเงินเฟ้อได้ด้วยการฝากเงินเพียงอย่างเดียว และนี่เป็นยุคที่เงินเดือนไม่ได้มีค่าเพิ่มขึ้นเลย แม้มันจะปรับเพิ่มขึ้นก็ตาม

ถ้าไม่อยากเสียใจในวัย 40 ถ้าไม่อยากอยู่อย่างซอมซ่อหลังวัย 40 ควรเรียนรู้เรื่องเงินตั้งแต่ตอนนี้ ต้องคิดจริงจังว่าต้องการเงินมากแค่ไหน เพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ส่วนวิธีเก็บเงินและวิธีใช้เงินอย่างชาญฉลาดนั้น ถ้าสร้างหลักการของตัวเองได้ และฝึกฝนอย่างจริงจัง อิสรภาพทางการเงินก็จะตามมาเอง แล้วจะใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องท้อแท้กับเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แน่นอนว่าลงทุนได้โดยไม่ต้องเรียนรู้เรื่องเงินได้ ถ้าโชคดีอาจทำเงินได้สักครั้งสองครั้ง แต่ความโชคดีจะอยู่กับคนที่ไม่มีความรู้ไม่นาน เพราะอาจเสียเงินลงทุนทั้งหมดในช่วงตลาดขาลงรอบถัดไป

ดังนั้น แทนที่จะกระโจนเข้าสู่โลกแห่งการลงทุนเลย ควรจะเรียนรู้เรื่องเงินและทำความเข้าใจกระแสโลกก่อนจะดีกว่า บางครั้งเงินก็หาง่ายแต่ก็อาจหายไปได้ง่าย ๆ เช่นกัน ธรรมชาติของเงินเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะลงทุนกับอะไรก็ตาม ให้ระวังการสูญเสียเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากไป เพราะจะต้องต่อสู้ดิ้นรนต่อไปอีกหลายปี ในการหาเงินเพื่อชดเชยเงินที่เสียไป 1 ปีในวัยหนุ่มสาวเทียบเท่ากับ 10 ปีในวัยชรา การจะต้องอุทิศเวลาเพื่อเก็บเงินนั้นอีกครั้งมันน่าเสียดาย

หนังสือเล่มนี้ไม่มีเคล็ดลับทำเงินจากการลงทุนแบบเร่งด่วน หรือทางลัดสู่ความร่ำรวย ดังนั้น จงเรียนหลักการพื้นฐานของการลงทุนที่ใช้ได้ผล ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงตลาดดีหรือไม่ดี เรียนรู้หลักการเหล่านี้จากการทำงาน สังเกตจากนักลงทุนต่าง ๆ และลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องเครียดกับเงิน ๆ ทอง ๆ ไม่ว่าจะใช้ชีวิตแบบไหน เงินจะปกป้องได้ตามจำนวนที่มี ดังนั้น จงเริ่มเรียนรู้เรื่องเงินให้เร็วที่สุด ทำความเข้าใจกระแสโลกและทิศทางของเงิน แล้วจึงตัดสินใจว่าจะใช้เงินไปในทิศทางใด หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้ลุกขึ้นสู้อีกครั้งในยามท้อแท้ และลดความล้มเหลวให้น้อยที่สุด ให้เริ่มเรียนรู้เรื่องเงินตั้งแต่วันนี้

บทที่ 1

เริ่มเรียนรู้เรื่องเงินตั้งแต่วันนี้

พึ่งพาเงินฝากอย่างเดียวไม่ได้ ตอนนี้จะออมเงินเดือนเพียงอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ทุกวันนี้ยังมีคนอีกมากที่กลัวการลงทุน แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามองข้ามไป นั่นไม่ใช่การปกป้องเงินโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ความจริงแล้วมูลค่าของเงินจะค่อย ๆ ลดลงต่างหาก เงินออมก็อาจจะลดลงเช่นกัน จะเก็บเงินยากขึ้น มีข้อจำกัดในการทำงานอดิเรก และกิจกรรมต่าง ๆ จนมีคุณภาพชีวิตลดลง บางครั้งเงาของความทุกข์ก็พาดทับอิสรภาพของชีวิต ตอนนี้มูลค่าของเงินในมือกับลดลง พวกเรากำลังอยู่ในยุคที่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็ต้องกลายเป็นคนจนสถานเดียว ภาวะเงินเฟ้อเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ ที่มีค่าเงินลดลง แต่ค่าครองชีพสูงขึ้น แล้วควรทำอย่างไรเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งมีวิธีรับมือ 2 วิธี

วิธีแรกคือ เพิ่มเงินเดือนให้เท่ากับค่าครองชีพที่สูงขึ้น บริษัทบอกว่าวิธีนี้ทำไม่ได้ ซึ่งตัวเราเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

วิธีที่ 2 คือ ป้องกันเงินเฟ้อผ่านการลงทุน คำว่าเฮด (Hedge) มันหมายถึงรั้ว และยังถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันสินทรัพย์ของนักลงทุน เช่นเดียวกับรั้วที่ป้องกันทรัพย์สินของเจ้าของบ้าน ถ้าพูดให้ชัดเจนขึ้น การป้องกันนี้หมายถึงการลงทุน เพื่อป้องกันสินทรัพย์จากปัจจัยเสี่ยง ถ้าอัตราเงินเฟ้อ วิธีนี้ทำให้ป้องกันสินทรัพย์ของตัวเองได้ คนที่รู้เรื่องเงินมีน้อยกว่าที่คิด มีคนอีกมากที่ไม่รู้เรื่องเงิน ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลย การอ่านกระแสเงินและเข้าใจเศรษฐศาสตร์ เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดโดยตรง ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก การมีชีวิตมั่นคงแบบคนรุ่นก่อน ๆ เป็นเรื่องยากมาก ถ้าไม่จัดการอะไรเลย มูลค่าของเงินที่เก็บมาจะค่อย ๆ ลดลง การยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้ก็ไม่ง่ายเช่นกัน อนาคตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มีใครอยากเครียดและท้อถอยเพราะขาดเงิน อย่าไปเชื่อคำคนที่บอกว่าถึงจะไม่มีเงิน ก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ ถ้าไม่มีเงินความสุขที่มีอยู่ก็จะพังทลายลง ต้องหลุดพ้นจากความไม่รู้เรื่องเงินให้เร็วที่สุด เลี้ยงตัวเองได้โดยไม่ต้องเรียนจบมหาวิทยาลัย เอาตัวรอดได้ถึงจะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง แต่จะอยู่รอดในอนาคตได้ยากมากถ้ายังขาดความรู้เรื่องเงิน

เหตุผลที่คนรวยไม่เคยดูถูกเงินเดือน ความขัดสนส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและจิตใจของผู้คน เมื่อชีวิตขาดแคลนมากเกินไปการคิดจะไม่ปกติ เพราะให้ความสำคัญกับสิ่งที่รู้สึกขาดแคลนในปัจจุบัน จนไม่สามารถคิดถึงสิ่งอื่นได้เลย ดังนั้น ยิ่งคนเราเหงามากเท่าไหร่ การผูกมิตรก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งกดดันเรื่องเวลามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำผิดพลาดมากขึ้นเท่านั้น กรณีนี้มุมมองจะแคบเหมือนเข้าไปอยู่ในอุโมงค์ ถ้ามองที่ปากอุโมงค์จะเห็นแค่ลำแสงแค่เส้นเดียว สิ่งอื่น ๆ จะมืดสนิท นั่นคือใส่ใจเรื่องอื่นไม่ได้เลยนอกจากเรื่องเงิน การถูกครอบงำโดยบางสิ่งหมายความว่า ตกเป็นทาสของสิ่งนั้น การถูกเงินครอบงำก็เช่นกัน

ดังนั้น ถ้าไม่อยากถูกเงินครอบงำ ต้องจัดการสินทรัพย์ของตัวเอง จะได้ไม่เครียดแม้จะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือ ความปลอดภัยทางการเงิน ความรู้สึกปลอดภัยหมายถึง การมีปัจจัยขั้นต่ำที่แม้ว่าจะล้มเหลว ความล้มเหลวนั้นก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน คนที่รู้สึกปลอดภัยจะไม่ลังเลในการลองสิ่งใหม่ ๆ เพราะถึงจะล้มเหลวก็เริ่มใหม่ได้

ส่วนคำว่าความมั่นคงทางการเงิน ถ้าดูผิวเผินก็น่าจะคล้าย ๆ กับความปลอดภัย แต่ทั้งสองคำนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความมั่นคงหมายถึงการรักษาสถานะคงที่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญถ้ามองอีกมุม ความมั่นคงก็หมายถึงสถานะคงที่แบบไม่ทำอะไรเลย ในทางกลับกัน ความปลอดภัยอนุญาตให้ออกไปทำสิ่งใหม่ แม้วันนี้จะล้มเหลววันพรุ่งนี้ก็ลองใหม่ได้

การมีรายได้ต่อเดือนสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญมาก ในการจัดการสินทรัพย์เช่นเดียวกับการทำธุรกิจ เมื่อมีเงินจำนวนหนึ่งเข้ามาเป็นรายได้ทุกเดือน ซึ่งจ่ายค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ได้ไม่ยาก การมีรายได้ประจำจะทำให้คาดการณ์อนาคตได้ ความจริงข้อนี้ทำให้วางแผนการใช้ชีวิตของเดือนนี้ และรู้สึกปลอดภัยเพราะควบคุมความเสี่ยงได้ ด้วยเหตุนี้เงินเดือนจึงมีอานุภาพมากกว่าที่หลายคนคิด เวลามีเงินอาจไม่ทันสังเกต แต่พอไม่มีเงินจะเห็นความน่าสะพรึงกลัว และความสิ้นหวัง รายได้ประจำจึงสิ่งสำคัญกว่าที่คิด ต้องระวังอย่าให้สูญเสียความปลอดภัยทางการเงิน นี่คือรากฐานสู่อิสรภาพทางการเงิน

จงเรียนรู้เรื่องเงินอย่าผัดวันประกันพรุ่งเด็ดขาด การหาเงินไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อจะได้มีอำนาจในการใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ แต่ละคนมีเหตุผลที่ต้องหาเงินแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะอยากหาเงินมากแค่ไหน ต้องตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจริง ๆ และทำงานหนักเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในชีวิตมีเพียงไม่กี่อย่างที่ได้มาโดยไม่ต้องพยายาม การพยายามหาเงินไม่ว่าจะลงแรงหรือลงทุน ก็ถือเป็นการต่อสู้ในรูปแบบหนึ่ง ทุกคนล้วนต้องผ่านการต่อสู้ ที่ยากลำบากทุกวันในแบบของตัวเอง

ถ้าอยากเก่งเลขก็ต้องเข้าใจสูตรก่อน หุ้นและอสังหาริมทรัพย์ก็เหมือนกัน ต้องศึกษาถึงจะลงทุนได้ดี นี่เป็นเรื่องพื้นฐาน แต่หลายคนกำลังข้ามไปลงมือปฏิบัติเลย จริงอยู่อาจโชคดีและประสบความสำเร็จได้สักครั้ง แต่ถ้าไม่ได้ศึกษามาจะล้มเหลวอย่างรวดเร็ว ขอให้จงศึกษาหาความรู้ก่อน ถ้าอยากมีสายตาอันเฉียบคม ก็ต้องอ่านกระแสโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ ทางเดียวที่จะทำได้คือ ต้องศึกษาอย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่มือสมัครเล่นผิดพลาดกันมากที่สุด เมื่อคนเราเวลาลงทุนในหุ้นหรืออสังหาริมทรัพย์ พวกเขามักจะคิดถึงแต่เรื่องได้เงิน ดังนั้น ถ้าเสียเงินจากการลงทุนจะตกใจ ยิ่งลงทุนมากก็จะยิ่งคับแค้นใจ และทำอะไรไม่ได้เลย พร้อมกับคิดว่าต่อไปจะไม่เล่นหุ้น หรือทำอะไรแบบนั้นอีกแล้ว

แต่คนรวยไม่เคยออกจากตลาด แม้พวกเขาจะเสียเงิน พวกเขาจะปรับปรุงพอร์ตใหม่และรอโอกาสอีกครั้ง พวกเขาจึงทำเงินได้ในที่สุด ถ้าอยากสร้างรายได้จากการลงทุน ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ก็ไม่ควรออกจากตลาดโดยเด็ดขาด กองทุนและหุ้นมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงมาก ควรจัดการอย่างระมัดระวัง สิ่งจำเป็นในสถานการณ์เช่นนี้คือ ประสบการณ์และค้นพบสไตล์ของตัวเอง จะมีโอกาสล้มเหลวน้อยลงเพราะมีมุมมองที่มากขึ้น จากประสบการณ์อันหลากหลายนั่นเอง

การลงทุนก็เช่นเดียวกัน ไม่ควรโลภอยากทำเงินตั้งแต่แรก อาจต้องเจอกับสถานการณ์เลวร้าย เสียเงินไปมากและอยากออกจากตลาดหุ้นไป แต่ถ้าค่อย ๆ เพิ่มประสบการณ์ให้ตัวเอง ถึงจะล้มเหลวแต่ก็ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน ค่อย ๆ ทำความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้ง และค่อย ๆ ค้นหาวิธีการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง

เวลาจะเรียนสิ่งใด ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนก่อน ดังนั้น การคิดจะหาเงินตั้งแต่ลงทุนครั้งแรก ก็เหมือนกับการบอกว่าจะไม่จ่ายค่าเล่าเรียน วิธีจ่ายค่าเล่าเรียนเรื่องการลงทุนให้น้อยที่สุดก็คือ เริ่มต้นลงทุนให้เร็วที่สุด สะสมประสบการณ์ที่หลากหลายด้วยเงินจำนวนไม่มาก และต่อยอดความคิดด้วยประสบการณ์ ไม่เช่นนั้นอาจเสียเงินในหุ้น ที่อุตส่าห์ซื้อเก็บสะสมไว้ จำไว้ว่าหลังอายุเกิน 40 ปี ค่าเล่าเรียนที่ต้องจ่ายจะยิ่งแพงขึ้น

บทที่ 2

ถ้าไม่รู้จิตวิทยาจะขาดทุนทันที

ตลาดหุ้น 90% ขึ้นอยู่กับจิตวิทยา มีข่าวลือทั่วตลาดหุ้นว่า ผู้ป่วยจิตเวชลงทุนเก่ง อาจคิดว่านี่เป็นเรื่องไร้สาระ แต่มันมีเหตุผลว่าทำไมข่าวลือนี้จึงแพร่กระจายไปทั่ว เวลาผู้ป่วยจิตเวชลงทุน พวกเขามีแนวโน้มที่จะแยกอารมณ์ออกไปโดยสิ้นเชิง ไม่ตื่นเต้นเวลาได้และไม่ท้อแท้เวลาเสีย พวกเขาตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณ และใช้เหตุผลเท่านั้นจึงลงทุนได้ดี เพราะตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นผู้คนกำลังแสวงหาเงิน พวกเขาจะหมดความอดทนและเริ่มโลภ ยิ่งสถานการณ์เป็นแบบนั้นมากเท่าไหร่ ยิ่งควรจะถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองดูสถานการณ์โดยรอบอย่างใจเย็น และยับยั้งชั่งใจให้ได้

แม้สมองจะรู้เรื่องนี้ดี ถ้าจิตใจสั่นคลอน อาจตัดสินใจผิดในช่วงเวลาวิกฤติได้ กรณีเช่นนี้ ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเอง จึงจะประสบความสำเร็จได้ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และวิจารณญาณแต่ก็เต็มไปด้วยความไม่สมเหตุสมผลอย่างคาดไม่ถึง จึงไม่กล้าขายหุ้นขาดทุนที่ถือไว้หลายปี หรือไม่กล้าเอาชนะความกังวล เมื่อซื้อบ้านมาตอนราคาแพง แต่ตอนนี้ราคาตกฮวบ

ถ้าไม่อยากผิดพลาดจนไม่อาจแก้ไขและไม่อยากเสียใจ ต้องศึกษาจิตวิทยาการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน จอร์จ โซรอส ผู้จัดการกองทุนชื่อดังระดับโลกกล่าวว่า การมองเห็นข้อผิดพลาด และความไม่แน่นอนของมนุษย์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จะนำไปสู่ความสำเร็จไม่ใช่แค่ในการลงทุนหรือธุรกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตอีกด้วย ถ้าอยากสร้างรายได้สิ่งแรกที่ควรทำคือ ทำความเข้าใจมนุษย์และเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต

ทำไมชอบขายหมูและติดดอย ในยุคโบราณมนุษย์หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์และเก็บพืชผักผลไม้ ในตอนนั้นต้องตรวจสอบให้ดีว่า สัตว์มีอันตรายหรือพืชมีพิษหรือไม่ คนที่ประมาทหรือทำให้ชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง จะตายก่อนที่จะมีลูกหลานสืบต่อไป ผู้ที่รอดชีวิตนั้นเป็นคนที่ระมัดระวัง และเราเป็นทายาทของคนเหล่านั้น แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายพันปีแล้ว แต่ยีนส์ของเราก็ยังไวต่อความรู้สึกเชิงลบมากกว่าบวก จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียให้มากที่สุด แม้จะไม่ทำกำไรก็ไม่เป็นไรแล้ว ควรทำอย่างไรเพื่อเอาชนะจิตวิทยาข้อนี้ โชคดีที่มี 2 วิธีคือ

วิธีแรก ซื้อในราคาถูก ผู้เชี่ยวชาญคิดตรงกันว่า ไม่ว่าหุ้นจะดีแค่ไหน การซื้อหุ้นในราคาถูกนั้นสำคัญมาก เพราะยิ่งหุ้นราคาแพงเท่าไหร่ การควบคุมจิตใจก็จะยิ่งยากขึ้นเท่านั้น การซื้อหุ้นในราคาแพง จะทำให้กระวนกระวายใจอยู่ตลอด ไม่ว่าราคาหุ้นตัวนั้นจะขึ้นหรือลง

วิธีที่ 2 กำหนดจุดหยุดการขาดทุนล่วงหน้า จากรายงานความมั่งคั่งของเกาหลีใต้ปี 2022 โดยสถาบันวิจัยการเงินฮานาพบว่า คนรวยที่มีสินทรัพย์ทางการเงินมากกว่า 1,000 ล้านวอน พวกเขาจะตั้งจุดหยุดการขาดทุนไว้ที่ 15% เมื่อรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าตัวเองจะถูกครอบงำด้วยจิตวิทยาการเงิน และจะขาดทุนมากยิ่งขึ้น ควรกำหนดจุดขาดทุนของตัวเองก่อนลงทุน สิ่งสำคัญคือต้องกำหนดเป้าหมาย และเริ่มซื้อหุ้นเพื่อเรียนรู้ สภาวะที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของตลาดหุ้น

ถ้าไม่อยากซื้อของแล้วมานั่งเสียใจ เวลาเดินผ่านร้านแบรนด์เนม จะเห็นสินค้าราคาแพงที่สุด และดีที่สุดจัดแสดงละลานตาในตู้กระจก เห็นราคาแล้วก็แทบจะอ้าปากค้างแล้ว พอเมื่อเข้าไปในร้านจริง ๆ จะมีสินค้าไม่น้อยที่คนทั่วไปก็ซื้อได้ ถ้าพวกเขาอยากได้สิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ นักเศรษฐศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า การปักใจเชื่อ (Anchoring effect) ว่ากันว่าเวลาเป็ดเกิดมา มันจะคิดว่าสิ่งที่เห็นครั้งแรกคือแม่ และจะตามติดแจไปตลอด

ในทำนองเดียวกัน ความรู้สึกและการตัดสินของมนุษย์ มักขึ้นอยู่กับความคิดแรก กล่าวสั้น ๆ คือ การตัดสินใจถูกบิดเบือนจากตัวเลขที่เห็นเป็นครั้งแรก จะเห็นได้ว่าร้านแบรนด์เนมใช้ประโยชน์จากจิตวิทยากับคนเหล่านี้ ถ้าเห็นกระเป๋ามูลค่า 10 ล้านที่ตู้กระจกแล้ว เข้าไปในร้านเห็นกระเป๋าราคา 800,000 บาท ก็จะคิดว่ามันค่อนข้างถูก และจะซื้อโดยไม่รู้ตัว เวลาเจอเรื่องเดือดร้อน บางครั้งจะซื้อเสื้อผ้าหรือสิ่งของอื่น ๆ เพื่อชดเชยจิตใจ

แล้วจะลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้อย่างไร เวเบอร์ และเฟซเนอร์ นักวิชาการชาวเยอรมันได้ตีพิมพ์ผลการทดลองที่น่าสนใจไว้ว่า ถ้าถูกกระตุ้นน้อยในตอนแรกจะรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทันที แม้ว่าสิ่งเร้าจะรุนแรงขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ผู้ที่ถูกกระตุ้นแรงตั้งแต่แรก การกระตุ้นของสิ่งเร้าจะต้องใหญ่มาก ถึงจะรับรู้การเปลี่ยนแปลงนั้นได้ เรียกสิ่งนี้ว่ากฎของเวเบอร์-เฟซเนอร์  (Weber-Fechner’s Law) เช่น ในห้องที่มีเทียนจุดอยู่ 1 เล่ม ถ้าจุดเทียนเพิ่มอีก 1 เล่มจะรู้สึกสว่างมาก แต่ในห้องที่มีเทียนจุดอยู่แล้ว 100 เล่ม พอจุดเพิ่มอีก 2 เล่มจะไม่รู้สึกว่าแตกต่างมากนัก

ดังนั้น ควรจัดการและควบคุมประสาทสัมผัสเรื่องเงินให้ดี ควรเริ่มต้นด้วยเงินน้อย ๆ เพราะถ้าคุ้นเคยกับของราคาสูง ๆ ตั้งแต่แรก ก็มีแนวโน้มที่จะสิ้นเปลืองเงินมากขึ้น สรรพสิ่งในโลกไม่ว่าจะเป็นการบริโภคหรือการลงทุน ย่อมมีแบบแผนต้องเริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงจะเข้าใจทั้งหมดได้ ภาพลวงตาที่ว่าเงินแค่ไม่เท่าไหร่ สามารถทำให้เงินที่ออมไว้หายวับไปอย่างง่ายดาย

อย่ายึดติดแม้จะเสียดายเวลาและความพยายามที่ทุ่มเทไป บางครั้งก็เลือกผิดเพราะรู้สึกเสียดายเงินที่ลงทุนไป ต่อให้จะมองออกว่าฝืนยังทำต่อไปจะต้องล้มเหลวและขาดทุน แต่ก็เลิกไม่ได้ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เรียกเงินที่จ่ายไปแล้วและไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้ว่า ต้นทุนจม ส่วนการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพราะเสียดายเงินที่ได้ลงทุนไปแล้ว แม้ว่าจะเห็นความล้มเหลวได้อย่างชัดเจนเรียกว่า อคติต้นทุนจม

คนเรามักไม่คำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสในอนาคต ไม่ได้คิดให้ดีว่าจะละทิ้งอะไร เพียงเพราะจมอยู่กับความจริงที่ว่า เสียดายเงินและเวลาที่ใช้ไปจนถึงตอนนี้ มีใครบ้างที่ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจ เมื่อต้องคว่ำโครงการทั้งหมดที่ทุ่มเทมาหลายเดือน จะต้องเจ็บปวดเพียงไหน ที่ต้องละทิ้งกัน เตรียมตัวสอบที่ทำมาหลายปี แต่ถ้าการเลิกนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ควรตัดสินใจให้เด็ดขาด จุดเปลี่ยนในชีวิต จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อละทิ้งความหลงใหล และความผูกพันกับสิ่งที่ยึดถือมานาน และเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ

ถ้ารู้สึกว่าตัวเองต้องเลิกทำอะไรสักอย่าง แต่มันยากที่จะเลิกเพราะเสียดายเวลา ความพยายาม และเงินทุนที่ทุ่มเทไป จงคิดดูอีกทีอย่างรอบคอบ บางทีโอกาสที่ใหญ่กว่าอาจหายไปในระหว่างนี้ และบางทีต้นทุนจมก็ใหญ่กว่าที่คิด

บทที่ 3

เคล็ดลับความมั่งคั่งที่คนรวยไม่ยอมบอก

เคล็ดลับความมั่งคั่งของตระกูลเศรษฐี ว่ากันว่าไม่มีคนรวยคนไหน ส่งต่อความร่ำรวยได้นานกว่า 3 ชั่วอายุคนตลอดประวัติศาสตร์โลก จึงมีเพียงไม่กี่ครอบครัวที่รักษาความมั่งคั่งไว้ได้นานกว่า 300 ปี มีหลัก 6 ประการ ที่ตระกูลเศรษฐีถือเป็นคติประจำตระกูล และสั่งสอนแก่ลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่น มีดังนี้

ประการแรก คนรวยคิดว่าความเสี่ยงก็คือความเสี่ยง ถ้าอ่านหนังสือเรื่องการลงทุนบางเล่ม จะอธิบายไว้ว่าความเสี่ยงกับผลตอบแทนคือ เหรียญสองด้าน ถ้าอยากทำเงินจะต้องรับความเสี่ยงในระดับหนึ่ง ตระกูลเศรษฐีจึงสอนว่า ยิ่งผลตอบแทนที่คาดหวังสูงเท่าใด ความเสี่ยงก็จะสูงขึ้นมากเท่านั้น ถ้าผลตอบแทนที่คาดหวังยิ่งต่ำ ความเสี่ยงก็ยิ่งจะต่ำลง คนรวยไม่เคยลงทุนในสถานการณ์ ที่ความเสี่ยงและผลตอบแทนสูงหรือต่ำเหมือนกัน พวกเขาเฝ้ารอโอกาส และจะเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสูงเสมอ

ประการที่ 2 คนรวยคิดว่าการปกป้องเงินสำคัญกว่าการหาเงินเพิ่ม คนรวยรู้โดยสัญชาตญาณว่า การสูญเสียเงินเกิดขึ้นได้เร็วมาก และต้องใช้ความพยายามมากกว่าเดิมเพื่อกอบกู้กลับมา คนรวยจึงคิดว่าการปกป้องเงินสำคัญกว่า ใครก็ตามที่เจอความสูญเสียจะได้รับผลกระทบทางจิตใจครั้งใหญ่ พวกเขารู้ดีว่าการฟื้นฟูจิตใจเป็นเรื่องยาก ถ้าเสียเงินที่หามาอย่างยากลำบากเพราะตัดสินใจผิดพลาด คนรวยรู้ดีว่าถ้ายังคงมีสุขภาพจิตที่ดีและคิดบวก โอกาสใหม่ ๆ มักจะเข้ามาหาเสมอ

ประการที่ 3 คนรวยไม่กระจายการลงทุน คนเรารับรู้และย่อยข้อมูลได้จำกัด เมื่อข้อมูลเยอะขึ้นก็มักจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายแบบลวก ๆ แทนที่จะพยายามทำความเข้าใจในเชิงลึก ทำให้มีโอกาสล้มเหลวมากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคนรวยจึงลงทุนในสิ่งที่พวกเขารู้จริงเท่านั้น และไม่ลงทุนในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้อย่างแน่ชัด พวกเขาจะศึกษาอย่างหนัก จนกว่าจะเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ประการที่ 4 คนรวยเลี้ยงข้าวคนรอบตัวโดยไม่มีเงื่อนไข คนรวยรู้โดยสัญชาตญาณว่า ข้อมูลที่สามารถสร้างรายได้นั้นมักจะมาจากคน พวกเขาจึงพยายามทำดีกับคนรอบข้าง และรับฟังทุกครั้งเมื่อมีคนขอความช่วยเหลือ ดังนั้น ในเวลาปกติคนรวยมักจะเลี้ยงข้าวคนรอบตัว และพยายามแสดงความจริงใจเสมอ เมื่อได้รับความช่วยเหลือ หรือข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ

อย่าปล่อยให้โชคหลอก นักลงทุนมืออาชีพจำนวนมากซื้อหุ้นตามสัญชาตญาณเป็นส่วนใหญ่ พวกเขาอัพเดทข่าวสารทุกวัน สำรวจธุรกิจอย่างแข็งขัน และนัดรับประทานอาหารกับคนรู้จัก เพื่อหาข่าวความเคลื่อนไหวในแวดวงธุรกิจ แต่ปัญหาคือข้อมูลทะลักเข้ามามากเกินไป พวกเขาจึงไม่มีทางเลือก นอกจากต้องจัดลำดับความสำคัญ ซึ่งเกมในการจัดลำดับก็มาจากความคิดและอคติส่วนตัว

ท้ายที่สุดมันอาจจะดูเหมือนว่า พวกมืออาชีพได้วิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดอย่างละเอียด แต่จริง ๆ แล้วการลงทุนส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณ เหตุนี้เองผู้จัดการกองทุนที่ทำกำไรได้ต่อเนื่อง และนักวิเคราะห์ที่คาดการณ์ได้แม่นยำ แม้ว่าแนวโน้มของตลาดจะเปลี่ยนไป จึงมีอยู่เพียงไม่กี่ราย นี้คือเหตุผลว่าทำไมคนที่เคยได้รับการยกย่องว่า เป็นอัจฉริยะและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ในช่วงเวลาหนึ่งจึงค่อย ๆ ลืมไป

ถ้าได้รับการพิจารณาว่า ดีกว่าคนอื่น ๆ อย่างชัดเจนเป็นระยะเวลานาน อาจมองว่าตัวเองมีความสามารถในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ควรเตรียมตัวให้พร้อมเผื่อโชคไม่เข้าข้างด้วย ไม่ว่าจะทำงานอะไร หวังว่าจะยอมรับความจริงที่ว่า ความสำเร็จนั้นมาพร้อมโชค ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน อาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการถ้าขาดโชค

ในทางกลับกัน อาจมีบางครั้งที่ใช้ความพยายามเท่าเดิมและประสบความสำเร็จ จะยอมรับความจริงข้อนี้ได้อย่างถ่อมตัว จะไม่ท้อถอยง่าย ๆ เพียงเพราะผลลัพธ์ออกมาไม่ดี และจะไม่ตื่นเต้นกับผลลัพธ์ที่ดีมากเกินไปจนเลือกผิด การยอมรับอย่างนอบน้อมถ่อมตัว และพยายามเต็มที่ต่อไป ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะพูดได้ง่าย ๆ จะไม่เพียงแค่รอให้โชคเข้ามา แต่จะมุ่งมั่นพัฒนาตัวเองเพื่อเตรียมตัวให้พร้อม แม้ว่าโชคจะไม่เข้าข้างก็ตาม เพราะนั่นคือวิธีจัดการกับโชคได้ดี โดยไม่ยอมพ่ายแพ้มัน

3 สิ่งที่จะช่วยให้เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ มนุษย์จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ด้วยการเปลี่ยน 3 สิ่งนี้ เปลี่ยนการใช้เวลา เปลี่ยนสถานที่อยู่อาศัย และเปลี่ยนผู้คนที่พบปะ ถ้าไม่เปลี่ยน 3 สิ่งนี้มนุษย์จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงทั้ง 3 สิ่งนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะตั้งปณิธานว่า ต่อจากนี้ไปจะเป็นคนใหม่ การจะเป็นคนรวยก็เช่นกัน ลำพังแค่ไปโรงเรียนหรือทำงานอย่างซื่อสัตย์ มันยังไม่เพียงพอถ้าบอกว่าอยากรวย เมื่อใช้ชีวิตเดิม ๆ ซ้ำ ๆ จะไม่สามารถออกจากกรอบความคิดแคบ ๆ ของตัวเอง แล้วพอไม่มีสิ่งกระตุ้นใหม่ ๆ แม้จะตั้งใจแต่มันจะกลายเป็นความตั้งใจประเดี๋ยวประด๋าว ในกรณีนี้ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหน ก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไม่ได้ ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการออกไปพบปะผู้คนใหม่ ๆ ใช้เวลาในแต่ละวันให้แตกต่างไปจากเดิม ลองทำงานอดิเรกที่ไม่เคยทำ หรือมองหาห้องเช่าในละแวกใหม่ และลองย้ายที่อยู่ดู มีหลายคนที่รวยขึ้นจากการเปลี่ยนที่อยู่อาศัย

จะว่าไปแล้วรอบตัวมีโอกาสซ่อนอยู่ แต่พอทำแต่สิ่งเดิม ๆ พบปะผู้คนเดิม ๆ และใช้เวลาในวันนี้ไม่ต่างจากเมื่อวาน จึงไม่เห็นโอกาสนั้น นี่คือสาเหตุที่ชีวิตไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ลองทำแบบนี้ตั้งแต่วันนี้ดู ไปรับประทานอาหารกับเพื่อนใหม่สัปดาห์ละครั้ง ไปดื่มกาแฟในย่านที่ไม่คุ้นเคยเดือนละครั้ง และลาหยุดวันธรรมดาเดือนละครั้ง เพื่อลองทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิม การทำงานอดิเรกใหม่ ๆ ก็เป็นความคิดที่ดีเช่นกัน อย่าไปสงสัยเลยว่า ความพยายามเหล่านั้นจะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่ ลองทำดูก่อน ค่อย ๆ พยายามไปอย่างน้อยจะเป็นอิสระจากการใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ และชีวิตจะน่าสนุกยิ่งขึ้น จะได้ลิ้มรสชาติความสุข ในการเรียนรู้โลกที่ตัวเองไม่รู้จักอีกด้วย

สิ่งที่คนรวยทำทุกวันเพื่อป้องกันสินทรัพย์ของพวกเขา แม้โชคจะมาถึงที่ แต่สุดท้ายแล้วมีเพียงคนที่เตรียมพร้อมเท่านั้น ที่จะคว้าโชคเอาไว้ได้ แล้วต้องเตรียมตัวอย่างไร เพื่อไม่ให้พลาดโชคลาภ คนรวยมักมีกิจวัตรที่ดี กิจวัตรหมายถึงพฤติกรรมที่ทำเป็นประจำ หรือชุดการกระทำซ้ำ ๆ นั่นเอง กิจวัตรคือการฝึกตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง และควบคุมตัวเองให้ทำมันให้สำเร็จทุกวัน เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมาย ถ้าตัดสินใจเลือกกิจวัตรใด ๆ และยึดมั่นในสิ่งนั้น นี่ถือเป็นการรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง จะรู้สึกภูมิใจและรักษาสุขภาพที่ดีได้ด้วย คนรวยมีกิจวัตรดี ๆ ดังนี้

ประการแรก พวกเขามักจะมีกิจวัตรที่เกี่ยวกับสุขภาพ คนรวยถือว่าการรักษาสภาพร่างกายและจิตใจให้ดีที่สุดและนานที่สุด ในช่วงอายุ 30-40 ปีเป็นสิ่งสำคัญมาก ดังนั้น การออกกำลังกายทุกวัน และกินอาหารดี ๆ เพื่อสุขภาพ พบหาคนดี ๆ เพื่อสุขภาพจิต อ่านและศึกษาบทความข่าวเพื่อไม่ให้พลาดข่าวสารใหม่ ๆ ทุกวัน ทั้งหมดนี้อาจดูไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็กลายเป็นกิจวัตรที่ทำให้รวยได้

ประการที่ 2 พวกเขามีเวลาอยู่คนเดียวทุกวัน โดยไม่มีใครรบกวน

มีสิ่งหนึ่งที่ต้องจำไว้ ตอนนี้คือถ้าด่วนสรุปว่า กิจวัตรเท่ากับการทำสิ่งนี้ การบรรลุเป้าหมายอาจไม่ใช่เรื่องง่าย สามารถทำตามกิจวัตรประจำวันได้ แต่หากหมกมุ่นอยู่กับการรักษาเวลาแน่นอนทุกวันจะเป็นทุกข์มาก ถ้าต้องการสร้างกิจวัตรที่ดี และบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ สิ่งสำคัญคือต้องให้พื้นที่ตัวเอง และรักษาสมดุลให้ดี จะหยุดวิ่งเมื่อรู้สึกปวดหรือวิ่งแค่ 10 นาทีเมื่อรู้สึกเหนื่อยเกินไปก็ได้ สามารถทำกิจวัตรไปได้นาน ๆ ถ้าคิดว่ามันเป็นการทำซ้ำ ๆ เพื่อให้ตัวเองบรรลุเป้าหมายมากกว่า ที่จะมองว่ามันเป็นการกระทำ

บทที่ 4

วิธีศึกษาเรื่องเงินเพื่อดึงดูดความมั่งคั่งในอนาคต

เหตุผลที่คนรวยต้องเสี่ยงกับอัตราดอกเบี้ย เงินเป็นสิ่งที่มีมูลค่าอาจแตกต่างกันไปตามกาลเวลา ซึ่งสิ่งที่กำหนดมูลค่านั้นก็คือ อัตราดอกเบี้ย แล้วจะลงทุนที่ไหนเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น  คนรวยมีแนวโน้มที่จะลดสัดส่วนของสินทรัพย์เสี่ยง และเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์ปลอดภัยแทน พวกเขาจึงชอบพันธบัตร เงินดอลลาร์ และทองคำมากกว่าหุ้น และยังเพิ่มเงินฝากในธนาคารอีกด้วย

อัตราดอกเบี้ยจึงเป็นพื้นฐานสำคัญ สำหรับผู้ที่ต้องการป้องกันสินทรัพย์ของตัวเอง นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมื่อจำนวนเงินเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยแม้เพียง 1% จึงสำคัญ คนรวยจึงจับตาดูอัตราดอกเบี้ยอยู่เสมอ

ทำไมเงินเดือนเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่พอใช้จ่าย เหตุใดราคาสินค้าจึงสูงขึ้น นั่นเพราะปริมาณเงินค่อย ๆ เพิ่มขึ้นทุกปี ปริมาณเงินหมายถึงจำนวนเงินทั้งหมดที่ใช้ในประเทศ เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว จำนวนสินค้าที่ผลิตเพิ่มขึ้น และปริมาณการค้ากับต่างประเทศเพิ่มขึ้น ประเทศจึงต้องพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกัน เมื่อปริมาณเงินดังกล่าวเพิ่มขึ้น ค่าเงินจะลดลงตามไปด้วย

ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องพิมพ์เงินเพิ่ม แต่เมื่อจำนวนสินค้าที่นำเข้า และผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น ถ้าปริมาณเงินยังคงเท่าเดิม ค่าเงินก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อเงินกลายเป็นสิ่งที่มีค่ามากขึ้น จึงไม่มีใครต้องการใช้เงิน ราคาสินค้าและบริการก็จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ภาวะเงินฝืด (Deflation) เมื่อเกิดภาวะเงินฝืดราคาสินค้าจะลดลง และผู้คนจะซื้อข้าวของในราคาที่ถูกลงได้ แต่ถ้าราคาสินค้ายังคงลดลง ผู้คนจะหยุดจับจ่ายใช้สอย เพราะคิดว่าสินค้าอาจถูกลงได้อีก

จากนั้นการบริโภคในสังคมจะลดลง ยอดขายของบริษัทก็จะลดลง และแล้วบริษัทต่าง ๆ ก็จะลดการลงทุน และลดการจ้างงาน ส่งผลให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น และรายได้ของครัวเรือนลดลงอีกด้วย เศรษฐกิจจะหยุดเติบโต ดังนั้น ทุกประเทศและธนาคารกลางจำเป็นต้องจัดหาเงินในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับจำนวนสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น กล่าวคือประเทศไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องเพิ่มปริมาณเงินต่อไปในอนาคต และค่าเงินก็จะลดลงเมื่อเวลาผ่านไป

ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ค่าเงินลดลงและราคาของสินค้าโดยรวมเพิ่มขึ้น นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation) แม้ทั้งโลกกำลังดิ้นรนเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าครองชีพ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้ค่าเงินลดลง เพราะปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นได้ ยิ่งปล่อยเงินมามากเท่าไหร่ ค่าเงินก็ยิ่งลดลงมากเท่านั้น จึงไม่อาจเพิ่มเงินด้วยการออมเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ต้องป้องกันความสูญเสีย จากภาวะเงินเฟ้อ และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตผ่านการลงทุน

การเปลี่ยนแปลงของประชากรมีผลต่ออนาคต การเปลี่ยนแปลงจากยุคที่ประชากรเพิ่มขึ้นเข้าสู่ยุคที่ประชากรลดลง กำลังเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ อย่างแท้จริง รูปแบบและกฎเกณฑ์ทางสังคมในอดีตไม่อาจใช้ได้อีกต่อไปในอนาคต ไม่มีใครคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ แต่การลดลงของประชากรคือ อนาคตที่กำหนดไว้แล้ว

ดังนั้น ถ้ารู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของประชากร มันจะช่วยป้องกันไม่ให้ลงทุนในจุดที่ไม่ถูกต้อง และจะคาดการณ์ได้ว่า ความมั่งคั่งในอนาคตอยู่ตรงไหน จะมีครัวเรือนใหม่จำนวนเท่าใด ความต้องการที่จะอยู่อาศัยจะเปลี่ยนไปอย่างไร และแรงกดดันของตลาดแรงงานจากแรงงานใหม่จะเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ นโยบายการคลัง อุปสงค์อุปทาน และตลาดตราสารหนี้

ทำไมนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่อ่านหนังสือเยอะ พลังแห่งความคิดสร้างสรรค์อยู่ที่การรักการอ่าน การอ่านเยอะหมายถึง การพบปะผู้คนหลากหลายที่มีปรัชญา และมุมมองที่แตกต่างไป สามารถมองความคิดของตัวเองจากมุมมองอื่น และตรวจสอบได้ว่าตัวเองคิดถูกหรือผิด การอ่านเยอะจะทำให้ความคิดกว้างขึ้น ไม่ว่าจะอ่านหนังสือเล่มไหน ถ้าต้องการนำความรู้ไปใช้ ก็ไม่ควรหยุดอยู่แค่การอ่าน

ตอนนี้อยู่ในยุคแห่งข้อมูลข่าวสารมากมาย โลกออนไลน์คึกคักตลอดเวลา ถ้าใช้เวลาจมอยู่ในนั้น วันหนึ่งผ่านไป 2 วันผ่านไป และ 1 สัปดาห์ก็จะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่พอถามจริง ๆ ว่าได้ทำอะไรจะสับสน เพราะจำอะไรไม่ค่อยได้ ได้ยินและเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย แต่สิ่งเหล่านั้นก็ผ่านเลยไป ดังนั้น คิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือ ย่อยเนื้อหาหนังสือได้หรือไม่ วิธีนี้จะทำให้ได้ไอเดียอย่างน้อย 1 อย่าง

บิล เกตส์ มีชื่อเสียงเรื่องที่เขาอ่านหนังสือทุกครั้งที่มีเวลา ไม่ว่าหนังสือแนวประวัติศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การพัฒนาตนเอง และนิยาย ว่ากันว่าเขาจดบันทึกความคิดที่ได้ตรงด้านข้างหนังสือเล่มที่อ่าน ถ้าเขาคิดตรงกับผู้เขียน เขาจะเขียนว่าทำไมจึงเห็นด้วย และถ้าความคิดไม่ตรงกัน เขาจะเขียนว่าคิดต่างกันอย่างไร เพื่อขยายความคิดออกไป ท้ายที่สุดแล้ววิธีนี้ก็ไม่ต่างจากการทำความเข้าใจ สาระสำคัญของหนังสือให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และย่อยเนื้อหาในแบบของตัวเอง นั่นคือขณะที่อ่านหนังสือ จะพัฒนาพลังแห่งความคิด และขยายขอบเขตความคิดออกไป

มุมมองสำคัญกว่าความรู้ คนที่มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์มักไม่จำเป็นต้องลงทุนเก่งเสมอไป สิ่งที่สำคัญกว่าการรู้เทคนิคการลงทุนนับร้อยคือ เกิดการรู้วิธีมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น คิดในสิ่งที่คนอื่นไม่ได้คิด และมองสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองที่ไม่เหมือนคนอื่น ในโลกที่ทุกสิ่งไม่แน่นอน มุมมองที่มีต่อโลกอาจสำคัญกว่าความรู้ด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว

บทที่ 5

หลักการลงทุนจากนักวิเคราะห์ที่อยู่ในวงการมา 22 ปี

เก็บสะสมเม็ดเงิน ขั้นตอนแรกสุดของการสร้างความมั่งคั่งคือ การสะสมเงินวิธีนี้ดูเหมือนง่าย ถ้าเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย เงินจะถูกสะสมไปเอง แต่เรื่องง่าย ๆ นี้ความจริงแล้วมันไม่ง่ายเลย แม้รายได้ต่อปีจะเพิ่มขึ้น ค่าครองชีพก็สูงขึ้นเช่นกัน และมีค่าใช้จ่ายบางรายการที่คงที่ทุกเดือนลดไม่ได้ เช่น ค่าเช่ารายเดือน ค่าน้ำมัน ค่าไฟฟ้า และค่าอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ตามบางคนก็ยังสะสมเงินได้ แม้จะมีรายได้ต่อเดือนเท่ากัน บางคนออมเงินได้ในขณะที่อีกคนบอกว่า ไม่พอใช้ ความแตกต่างของเรื่องนี้อยู่ที่

แยกบัญชีธนาคาร ถ้าตัดสินใจที่จะเก็บเงินให้เริ่มจากการแยกบัญชีธนาคาร ควรมีบัญชีธนาคารแยกตามวัตถุประสงค์ เมื่อเงินเข้าบัญชีเงินเดือนแล้วให้โอนย้ายเข้าบัญชีต่าง ๆ ทันที เช่น บัญชีค่าครองชีพ บัญชีลงทุน บัญชีเงินสำรองฉุกเฉิน เป็นต้น แล้วจะหยุดเงินที่ค่อย ๆ รั่วไหล และประหยัดเงินได้มากขึ้น

ถ้าสงสัยว่าทำไมต้องแบ่งบัญชีธนาคารยิบย่อยขนาดนี้ หากมีบัญชีธนาคารบัญชีเดียว สมองจะคิดว่าจำนวนเงินทั้งหมด มีไว้สำหรับการใช้จ่าย และสุดท้ายก็จะใช้จนหมด แต่เมื่อเริ่มแยกบัญชี จะถูกฝึกให้จำกัดปริมาณการใช้เงินไปเอง การสร้างนิสัยเป็นเรื่องยาก แต่การทำลายนิสัยใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น การแยกบัญชีธนาคารจะช่วยให้เห็นว่าเงินไหลออกไปทางไหน และรู้ว่าควรจัดสรรเงินที่ได้รับในแต่ละเดือนอย่างไร วิธีนี้จะทำให้เก็บเงินได้ และก้าวไปสู่ความมั่งคั่งเร็วขึ้น

มีกฎในการใช้จ่าย ถ้ามีเงินเหลือออมอยู่เพียง 10-30% ของรายได้ แสดงว่าใช้จ่ายเกินตัว และถ้าออมเงินได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ ก็ถือว่ากำลังบริโภคแบบประหยัด แต่ในกรณีของคนที่อยู่ในช่วงอายุ 20 และ 30 ปี คนรุ่นนี้มีข้อได้เปรียบในการสร้างเงินก้อนได้เร็วกว่า จึงควรนำตัวเลขนี้ไปประยุกต์ใช้ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ยิ่งถ้ายังไม่ได้แต่งงานและไม่มีลูก ก็ควรเก็บเงินได้มากขึ้น ต้องมีกฎเกณฑ์ในการใช้จ่าย จะได้ไม่ใช้จ่ายมากเกินจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้จ่ายสินค้าพิเศษ รายการหนึ่งจะต้องไม่เกิน 5% ของเงินเดือน

เมื่อพิจารณาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยทั่วไป อัตราเงินเฟ้อและอัตราการขึ้นเงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 3-5 เปอร์เซ็นต์ จะเห็นได้ว่าแม้ว่าจะเสียเงินเดือนไป 5% แต่ก็ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่สามารถชดเชยได้ง่ายถ้าตั้งใจ นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมการใช้จ่ายพิเศษใด ๆ ต้องไม่เกิน 5% ดังนั้น ควรควบคุมการใช้จ่ายในรายการพิเศษให้ต่ำกว่า 5% ของเงินเดือน กฎนี้ตั้งขึ้นให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่ใช้แล้วหมดไป

ขั้นตอนแรกของการลงทุนคือการสะสมเงิน สิ่งแรกที่ต้องทำเวลาเก็บเงินคือ การกำหนดเป้าหมายและคำนวณจำนวนเงิน ที่สามารถประหยัดได้ โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายประจำจากบัญชีเงินเดือน จากนั้นค่อยคำนวณจำนวนเงินที่ต้องการ และกำหนดระยะเวลาอีกเครื่องที่ไม่ควรมองข้ามคือ ตอนเก็บเงินต้องรัดเข็มขัด และลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ถ้าเก็บเงินเกินพอดีจะเกิดอุปสรรคต่อชีวิตประจำวันหรือความสัมพันธ์ได้ ถ้าวางแผนตึงเครียดเกินไป อยากเก็บเงินให้เร็วที่สุด สุดท้ายแล้วนี่คือการหักโหมเกินไป จะมีแนวโน้มที่จะยอมแพ้กลางคันมากขึ้น ควรวางแผนให้สมจริงมากที่สุด จะได้อดทนอยู่จนถึงวันครบกำหนด โดยไม่เสียเงินออมไป

เก็บประกันความเสียหายไว้ บริษัทประกันแบ่งออกเป็นบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัย บริษัทประกันชีวิตทำหน้าที่จัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหรือสุขภาพของมนุษย์ ในทางกลับกันบริษัทประกันวินาศภัย ทำหน้าที่เตรียมพร้อมสำหรับการสูญเสียสินทรัพย์ของบุคคลหรือสิ่งของ

จัดการค่าเข้าสังคมให้ดี เมื่ออยู่ในสังคมสิ่งหนึ่งที่ทำให้ประหลาดใจคือ ค่าเข้าสังคม เมื่อเป็นเช่นนี้ เงินเดือนก็จะยิ่งเหลือน้อยลง ซื้อของขวัญหรือใส่ซองมากจนเริ่มเครียด เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ จะเรียนรู้ว่าการเป็นสมาชิกในสังคมนั้น ต้องใช้เงินมากกว่าที่คิด อย่างไรก็ตาม มีหลายคนรู้สึกเสียดายเงินส่วนนี้ แต่ถ้าคิดว่ามันเป็นเงินที่แค่วางเดิมพัน และจะไม่ได้คืนอาจรู้สึกเหมือนเสียเปล่า ถ้าให้ดีก็ควรไปงานมงคลด้วย คนทั่วไปมักจะจำคนที่มางานและใส่ซองได้ ไม่ว่าอย่างไรมนุษย์มักจะรู้สึกขอบคุณ คนที่เต็มใจมามากกว่าคนที่ไม่ได้มางาน เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ การใช้จ่ายเงินโดยไม่เสียดายเป็นสิ่งสำคัญกว่าการไม่ใช้เงิน เพื่อมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ผู้อื่นในระดับที่พอจ่ายไหว

อย่าให้เพื่อนสนิทยืมเงิน เงินไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ทำให้บาดหมางใจกันได้ง่ายง่ายถ้าไม่อยากเสียเพื่อนสนิททางที่ดีไม่ควรให้เขายืมเงินถ้าจะให้ยืมจริงๆอย่าคิดว่าจะได้คืนตั้งแต่แรกให้ยืมเงินในจำนวนที่จะไม่เสียดายและเพียงพอที่จะไม่ถูกอีกฝ่ายตำหนิ

วิธีลงทุนในหุ้น  หลักการลงทุนมีดังต่อไปนี้

ต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ นักลงทุนทุกคนอยากซื้อหุ้นในราคาถูก แต่ถ้าพวกเขาไม่มีที่ยึดเหนี่ยวใด ๆ จะไม่กล้าซื้อหุ้น เพราะกลัวว่าราคาจะลดลงอีก นั่นหมายความว่าตัวเองเอาชนะความกลัวในจิตใจไม่ได้ ความคิดนี้ทำงานในลักษณะเดียวกับตอนขายหุ้น แม้จะทำกำไรได้ประมาณหนึ่งแล้วก็ยังไม่ขาย เพราะอยากจะรออีกสักพัก ให้ราคาสูงขึ้นอีกนิดแล้วค่อยขาย

การรอคอยก็ถือเป็นการลงทุน เมื่อได้พบปะผู้คนที่ลงทุนเป็นอาชีพ จะพบว่าหลายคนเป็นหนอนหนังสืออย่างน่าประหลาดใจ พวกเขาศึกษาและตรวจสอบเป็นระยะ ๆ ว่าหนังสือเล่มไหนออกใหม่ และเทรนล่าสุดที่ตัวเองยังไม่เข้าใจคืออะไร คนที่ทำงานในตลาดหลักทรัพย์จะอ่านหนังสือ พวกเขาส่งต่อหนังสือให้กัน และอภิปรายกันอย่างดุเดือดเกี่ยวกับเนื้อหาในเล่ม

อย่าเสียเงินเด็ดขาด การอยู่รอดกลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ถ้าปกป้องเงินของตัวเองได้ ก็คว้าโอกาสครั้งต่อไปที่จะมาหาได้ ต้องพอใจกับผลตอบแทนเล็กน้อย จึงจะอยู่รอดได้นาน การทำตามหลักการนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนรวยมีเงินเยอะอยู่แล้ว พวกเขาจึงลงทุนเชิงป้องกัน แต่คนจนไล่ล่าเงินทุกวัน การลงทุนจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน มุมมองของผู้ที่พยายามปกป้อง และผู้ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่ง ตอนนี้ย่อมแตกต่างกัน

ผู้ที่พยายามปกป้องจะไม่ลงทุน ถ้าความเสี่ยงสูงไม่ว่าผลตอบแทนจะสูงแค่ไหนก็ตาม แต่คนไล่ล่าเงินจะเลือกฝั่งที่มีผลตอบแทนสูง แม้ว่าจะเสี่ยงมากก็ตาม ตลาดทั้งยุติธรรมและโหดร้าย บางครั้งอาจเสียความมั่งคั่งที่สะสมมาทีละน้อย ไปกับการตัดสินใจผิดแค่แว๊บเดียว ดังนั้น แม้จะได้กำไรเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร ต้องรักษาเงินต้นให้ได้ ต้องอยู่ให้รอดจึงจะคว้าโอกาสที่เหมาะสมในครั้งต่อไปได้

โอกาสทำเงินอยู่ในตัวเรา ถ้าอยากลงทุนในหุ้นแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน ให้มองไปรอบ ๆ ตัว เพราะหุ้นดีอยู่ใกล้ตัวนี้เอง นักลงทุนเก่ง ๆ จะอยากรู้อยากเห็นมากเป็นพิเศษ เวลาพวกเขาไปโรงอาหารภายในอาคาร (ฮุนได กรีนฟู้ด) ดื่มเบียร์ (เบียร์เซจู) ทำความสะอาด (เอวี่บอท) หรือเล่นคุกกี้รัน (เดฟซิสเตอร์) พวกเขาจะสำรวจสิ่งใหม่ ๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย คนเหล่านี้เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของบริษัท และแนวโน้มของโลกได้เร็วกว่าคนอื่น ๆ แล้วยังตอบสนองได้อย่างฉับไว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรู้วิธีเชื่อมโยงแนวโน้มกับหุ้นหรือกองทุน เพราะคนที่ทำเงินไม่ใช่คนที่บอกว่า ฮันนี่บัตเตอร์ชิปอร่อย แต่เป็นคนที่ชิมฮันนี่บัตเตอร์ชิปแล้วซื้อหุ้น

การลงทุนที่ดีที่สุดคือการซื้อของที่ดีในราคาถูก แต่ละคนตีความหมายคำว่าถูกไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่าราคาลดลง 50% จากราคาสูงสุดเท่ากับถูก ในขณะที่บางคนดูจากการประเมินมูลค่าทางบัญชี หรือกำไรของหุ้นตัวนั้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อไม่สามารถล่วงรู้อนาคต การซื้อในราคาถูกคือคำตอบที่ถูกต้อง ไม่ว่าบริษัทจะดีแค่ไหน ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากวงจรเศรษฐกิจเฟื่องฟูและถดถอยได้ ในทางกลับกันไม่ว่าบริษัทจะธรรมดาแค่ไหน ก็เป็นแหล่งลงทุนที่ดีได้ ถ้าซื้อในราคาต่ำและขายในราคาสูง สรุปง่าย ๆ คือสามารถรวยได้ด้วยการซื้อหุ้นดี ๆ ในราคาถูก เรียกสิ่งนี้ว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่า แน่นอนว่าการลงทุนแบบเน้นคุณค่านั้นไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่โอกาสในการสร้างรายได้มหาศาล มักมาจากความสามารถ ในการแยกแยะระหว่างราคาและมูลค่าได้

เมื่อตลาดเป็นขาลงอย่าวิ่งหนี จงต้อนรับด้วยความยินดี คนรวยไม่กลัวช่วงที่ตลาดตกต่ำ คนรวยจะมองหาสินค้าหรือหุ้นดี ๆ ที่ลดกระหน่ำอย่างใจเย็นในตลาด มีหลายครั้งที่ผู้ขายได้เปรียบ และหลายครั้งที่ผู้ซื้อได้เปรียบ ตลาดที่ผู้ขายได้เปรียบคือตลาดที่มีคนจำนวนมากเต็มใจซื้อ แต่พอปริมาณสินค้ามีจำนวนจำกัดราคาจึงสูงขึ้น และมีความเสี่ยงที่จะซื้อของแพง โดยปกติแล้วเมื่อคนจำนวนมากมารวมตัวกัน ราคาหุ้นจะพุ่งและจะเกิดตลาดที่ผู้ขายได้เปรียบ

การลงทุนระยะยาวไม่ใช่คำตอบเสมอไป หลายคนมักพูดกันว่า ควรลงทุนระยะยาวในหุ้นอันดับ 1 แต่ปัญหาคือไม่มีบริษัทอันดับ 1 ตลอดกาล ไม่มีใครรู้ว่าบริษัทที่อยู่อันดับ 1 ในปัจจุบัน จะสามารถเอาชนะการไล่ล่า และการสกัดกั้นของคู่แข่งได้นานแค่ไหน นี่คือเหตุผลว่าทำไมการลงทุนระยะยาว จึงไม่ใช่คำตอบเสมอไป ดังนั้น ควรพยายามอ่านกระแสโลกอยู่เสมอ นั่นเป็นสิ่งเดียวที่จะพาการลงทุนไปสู่ชัยชนะ

บทที่ 6

สิ่งที่แม่อยากบอกลูกก่อนไปทำงานพรุ่งนี้

เหตุผลที่ควรอดทนทำงานบริษัทอย่างน้อย 1 ปี บริษัทจ้างพนักงานเพื่อสร้างรายได้และขยายธุรกิจ ความสัมพันธ์ตามสัญญาจะเกิดขึ้น เมื่อพนักงานสัญญาว่าจะทำงานร่วมกัน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของบริษัท และสิ่งที่พนักงานได้รับตอบแทนก็คือเงินเดือน

ถามสิ่งที่ไม่รู้ ในฐานะพนักงานใหม่ เมื่อได้รับมอบหมายงาน แต่กลับคิดไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร จะเริ่มตรงไหน และจะทำต่ออย่างไร ในกรณีนี้ควรจะลองทำด้วยตัวเอง หรือควรไปพูดกับรุ่นพี่ ในฐานะรุ่นพี่ย่อมอดคิดยินดีไม่ได้ เมื่อรุ่นน้องขอให้ช่วยสอนงาน เพราะเด็กใหม่หลายคนที่พยายามลองทำด้วยตัวเอง มักจะทำงานไม่เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด หรือไม่งานก็ออกมาไม่ถูกต้องนัก

เวลามีอะไรที่ตัวเองไม่รู้ ย่อมรู้สึกเขินอาย ไม่มีใครในโลกเกลียดคนที่ถามสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ ทุกคนอยากเป็นคนที่เก่งกว่าเดิม ความสัมพันธ์จะพัฒนาขึ้นเมื่อสอน และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมแม้แต่คนที่ไม่สนิทก็สนิทกันมากขึ้น หลังจากได้ทำงานบางอย่างร่วมกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ถูกต้อง ดังนั้น ถ้าไม่รู้อะไรก็จงรีบถามอย่าได้ลังเล

อย่ากลัวความผิดพลาดหรือความล้มเหลว ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เวลาทำผิดพลาดหรือเกิดเรื่องเลวร้าย ให้ลงมือแก้ไขทันที เข้าไปขอโทษหรือพูดคุยกับใครสักคน หลังจากทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อแก้ไขปัญหา อย่างน้อยก็สามารถหลุดพ้น จากวงจรแห่งการตำหนิตัวเอง และความอับอายได้

พยายามอยู่ให้ได้อย่างน้อย 1 ปี มีคำกล่าวว่า เวลาคบใครสักคนก็ควรคบกันอย่างน้อย 1 ปี ตอนแรกระวังหลายเรื่องเพื่อรักษาภาพลักษณ์ แต่พอคบกันครบ 4 ฤดูกาล จะได้สัมผัสประสบการณ์มากมาย และเผลอเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน ปีแรกสำหรับพนักงานใหม่เป็นช่วงเวลาสำคัญ ในการเรียนรู้ทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในชีวิตการทำงาน วิธีปฏิบัติและมารยาทต่อคนที่ทำงานร่วมกัน ในกรณีที่ย้ายงาน คนที่ทำงานครบ 1 ปี ถือว่ามีความสามารถพื้นฐานในการทำงานในระดับหนึ่ง ดังนั้น ไม่ว่าจะไม่พอใจบริษัทมากแค่ไหน จงอดทนทำงานให้ได้อย่างน้อย 1 ปี

อย่าทำตัวหยาบต่อผู้อื่น ทุกความสัมพันธ์มีสิ่งที่เรียกว่า จุดที่ไม่อาจหวนกลับ เป็นจุดที่แก้ไขไม่ได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเสียใจหรือขอให้ยกโทษสักแค่ไหน ไม่ว่าจะทำงานให้กับบริษัท หรือเป็นฟรีแลนซ์ จะพบปะผู้คนมากมายในชีวิตการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทำงานร่วมกัน อาจมีบางครั้งที่ต้องเจ็บปวดจากการทะเลาะกัน หรืออะลุ่มอะล่วยกัน เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ แต่อย่าปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยไม่ใส่ใจ เพราะความละโมบอยากทำงานให้ออกมาดี อย่าลืมความจริงที่ว่า ความสัมพันธ์มีจุดหนึ่งที่ไม่สามารถย้อนกลับไปได้เสมอ และควรเคารพอีกฝ่ายอย่างเต็มที่

ทำไมถึงเลือกคนที่ทัศนะคติดีมากกว่าคนฉลาด การขาดความสามารถไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่อาจไม่ได้ตระหนักว่า ตัวเองทำงานหนักแค่ไหน และพยายามอย่างเต็มที่แล้วหรือยัง สุดท้ายแล้วสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกำหนดความสำเร็จหรือความล้มเหลว ปัจจุบันนี้เวลาบริษัทจ้างพนักงาน มีคนจำนวนมากที่ลองเข้าไปสัมภาษณ์ และอวดอ้างคุณสมบัติเลิศหรู ทุกคนดูเก่งและพร้อมจะเข้าสู่สมรภูมิได้ทันที

คนที่ฉลาดแต่ไม่ถ่อมตัวคิดว่า ตัวเองเหนือกว่าผู้อื่น จึงมองว่าความคิดของตัวเองถูกต้องเสมอ นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาไม่พยายามเรียนรู้อะไรจากผู้อื่น พวกเขาจึงปรับตัวไม่ค่อยได้ มีความมั่นใจอย่างไร้เหตุผล พวกเขาจึงยืนกรานความคิดเห็นของตัวเองลูกเดียว คนรอบข้างจึงละอายใจ ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะไม่ดึงดูดผู้คนรอบตัว คนรอบตัวก็ไม่เต็มใจทำงานร่วมกับเขา

ในทางกลับกัน แม้จะฉลาดน้อยกว่า ถ้ารู้จักถ่อมตัวและจริงใจ คนอื่น ๆ จะมาห้อมล้อม และในขณะที่พวกเขาพยายามสอน และเติมเต็มข้อบกพร่อง ความสามารถก็จะพอกพูนแบบทวีคูณ เพราะตระหนักว่าตัวเองอาจจะคิดผิด จึงมักจะแสวงหาความคิดเห็นของผู้อื่น และพยายามตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดอยู่เสมอ อันที่จริงพนักงานจำนวนมาก มีทัศนคติที่ดีและทำงานได้ดี อย่างน่าอัศจรรย์ในปีที่ 3 และปีที่ 5

ในตอนแรกคนฉลาดอาจทำได้ดีในช่วงเวลาหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วคนนิสัยดีย่อมได้รับความสำเร็จ คนนิสัยดีจะมีคนให้ความร่วมมือเต็มไปหมด สิ่งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าเขานิสัยไม่ดี ยิ่งกว่านั้นกระแสโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเดียว แทนที่บริษัทจะพึ่งพาอัจฉริยะเพียงคนเดียว การได้รับความร่วมมือของคนดี ๆ จำนวนมาก จึงมักจะให้ผลที่เหนือกว่า นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเวลาจ้างคนบริษัทหลายแห่งย่อมเลือกคนที่จริงใจ และมีทัศนคติที่ดีต่องานมากกว่าคนฉลาด

มีแค่ตัวเองที่กำหนดขีดจำกัดของตัวเองได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ถูกเลือกปฏิบัติ พวกเขาจะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมและไม่ถูกต้อง การจะก้าวไปสู่เป้าหมายและความฝันอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ท้อแท้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถ้าพยายามเลียนแบบชีวิตของคนอื่น ไม่เพียงแต่จะตามพวกเขาไม่ทัน ยังจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปด้วย การทำผลงานในบริษัทเป็นสิ่งสำคัญมาก ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง คนเปิดเผยหรือคนเก็บตัว แต่ละคนมีวิธีหรือสไตล์ในการจัดการงานที่แตกต่างกัน แต่เนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายที่จะทำกำไรและเติบโต จึงไม่มีทางเลือกใดนอกจากต้องตัดสินใจ จากผลงานมากกว่าวิธีทำงาน ดังนั้น เพื่อพิสูจน์คุณค่าของตัวเองในบริษัท จะต้องสร้างผลงาน เพราะต่อให้ใช้ชีวิตเก่งแค่ไหน ถ้าทำงานไม่เก่งบริษัทก็ไม่ยอมรับ

อย่าปล่อยให้ผู้อื่นมาสร้างข้อจำกัด อย่ากลัวและลดขีดจำกัดของตัวเอง อย่าด้อยค่าตัวเอง ด้วยการพูดว่า ทำไม่ได้ ลองทำดูก่อนแล้วค่อยตัดสิน ไม่มีใครรู้จนกว่าจะลองทำ อาจจะไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ อย่ากลัวคนที่มองด้วยสายตามีอคติ อย่าพยายามเลียนแบบชีวิตคนอื่นอย่างไร้เหตุผล อย่าสนใจว่าคนอื่นจะพูดอะไร จงตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนทักษะ และแสดงผลงานให้พวกเขาเห็น เมื่อนั้นแม้แต่คนที่ไม่พอใจก็พยายามจะจับมือ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็ไม่เป็นไร ความสำเร็จในการทำงานจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความแข็งแกร่ง อย่างน้อยจะได้รู้ด้วยตัวเองว่า ประสบความสำเร็จในแบบของตัวเองได้ โดยไม่ต้องพยายามเลียนแบบใคร.

สั่งซื้อหนังสือ “ความลับเรื่องเงินที่แม่อยากบอกลูกก่อนตาย” (คลิ๊ก)