Michael Steinhardt

ประวัติ : 

Michael Steinhardt จบจากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สาขา บริหารธุรกิจ โดยสตีนฮาร์ทเป็นนักเรียนที่ฉลาดมาก เขาได้เริ่มต้นชีวิตการทำงานในตำแหน่งผู้ช่วยด้านงานวิจัยในวอลสตรีทด้วยวัยเพียง 19 ปี หลังจากนั้นก็ย้ายไปทำตำแหน่งนักข่าวด้านการเงิน และเป็นนักวิเคราะห์ในปี 1967 เขาได้สร้างชื่อเสียงในฐานะนักวิเคราะห์ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง 

ต่อมา สตีนฮาร์ท ได้ออกมาก่อตั้งบริษัทจัดการกองทุน โดยมีชื่อว่า Steinhardt Partners

สตีนฮาร์ทพาร์ทเนอร์ สร้างอัตราผลตอบแทนได้อย่างน่าทึ่ง โดยมีในระยะเวลา 21 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนอยู่ที่ 25% ต่อปี

นั่นหมายความว่า หากนำเงิน 1,000 ดอลลาร์ไปลงทุนกับบริษัท จะเพิ่มขึ้นเป็น 93,000 ดอลลาร์ใน 21 ปี (ซึ่งถ้าเทียบกับ S&P ในช่วงเดียวกัน ในปี 1967-1988 หากนำเงิน 1,000 ดอลลาร์ จะกลายเป็น 6,400 ดอลลาร์)

โดยสตีนฮาร์ทพาร์ทเนอร์เคยพบกับการขาดทุนไปเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น และทั้ง 2 ปีนั้นก็เป็นการขาดทุนสุทธิต่ำกว่า 2%

  • ลงทุนหลากหลายสไตล์ ทั้งสั้นและยาว ทั้ง Long และ Short ทั้งหุ้น และ พันธบัตร
  • เป็นลักษณะการเทรดที่แตกต่างจากเทรดเดอร์คนอื่นอย่างมาก (เข้าใจได้ยาก)
  • โดยหลักมาจากการวิเคราะห์ปัจจัยทางพื้นฐาน
  • ใช้การเทรดโดยการรับรู้ความแตกต่าง
  • ไม่เชื่อในชาร์ทเลยสักนิด
  • ไม่มีจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจน, ไม่ได้ย่อซื้อ, ไม่ได้ซื้อตามตอนแข็งแกร่ง, ไม่ได้ซื้อต่อทะลุจากกรอบ
  • ไม่มีกฏใดๆเกี่ยวกับจุดตัดขาดทุนหรือเป้าหมายราคา
  • อ่านแล้วเต็มไปด้วยคำพูดที่ไม่มีข้อสรุป
  • เขามั่นใจว่า ไม่มีครั้งใดที่การวิเคราะห์ของเขาผิดอย่างสิ้นเชิง
  • เป็นคนมั่นใจมาก
  • การเทรดส่วนมากเป็นการเทรดแบบสวนกระแส และถือจนกว่าจะถูกต้อง (มีรายละเอียดเฉพาะส่วนตัว)
  • การรับรู้ที่แตกต่างของสตีนฮาร์นั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นวิธีการแบบสวนกระแส
  • การคัดกรองของสตีนฮาร์ทเป็นการผสมผสานระหว่างความเข้าใจอย่างเฉียบคมในปัจจัยพื้นฐานและการจับจังหวะตลาด
  • เขาสบายใจทีจะ Short หรือ Long พอๆกัน หรือเต็มใจที่จะเทรดในตลาดอื่นๆ นอกเหนือจากตลาดหุ้น หากการเทรดนั้นมีการรับรองด้วยปัจจัยพื้นฐานของเขา

ข้อคิด :

  • การเทรดแบบสตีนฮาร์ทไม่มีสูตรหรือรูปแบบที่ตายตัว
  • ถ้าซื้อหรือขายหุ้นแล้วมันไม่ไปในทิศทางที่คิดว่าควรจะไป ผมจะทบทวนพอร์ตโฟลิโอ
  • มันมีความแตกต่างที่สำคัญมากระหว่างการสวนกระแสในทางทฤษฎีกับการทำมันในทางปฏิบัติจริง การที่จะชนะในฐานะคนสวนกระแสได้นั้นคุณต้องการเลือกจังหวะเวลาที่ถูกต้อง และคุณยังต้องเปิดสถานะในขนาดที่เหมาะสมด้วย ถ้าคุณเปิดสถานะเล็กเกินไปมันก็จะไม่มีความหมาย ถ้าคุณเปิดสถานะขนาดใหญ่เกินไป หรือ ผิดจังหวะ คุณก็อาจจะหมดตัวได้ ดังนั้นขบวนการนี้ต้องการความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น และความเข้าใจในจิตวิทยาของตัวคุณเอง
  • หนึ่งในหลักการพื้นฐาน คือ ตราบเท่าที่เชื่อว่าเมื่อประเมินพื้นฐานอย่างถูกต้อง เขาก็จะอยู่กับสถานะนั้นต่อไป (แม้ราคาจะคลื่นไหวไปในทางตรงกันข้ามก็ตาม)
  • Big winner : ตอนซื้อพันธบัตร ถือขาดทุนถึง 6 เดือน จนกลายเป็นกำไรอย่างมหาศาล
  • หนึ่งในข้อได้เปรียบของการเทรดในแบบที่ผมทำ ก็คือ ผมเป็นทั้งนักลงทุนระยะยาว เทรดเดอร์ระยะสั้น นักเลือกสรรหุ้นรายตัว นักจับจังหวะตลาด นักวิเคราะห์กลุ่มอุตสาหกรรม มันทำให้ผมผ่านการตัดสินใจและทำความผิดพลาดมาแล้วอย่างมากมาย ซึ่งมันทำให้ผลฉลาดขึ้นหลังจากหลายปีในฐานะนักลงทุน
  • การเทรด : ไม่มีคำตอบหรือสูตรที่ตายตัว
  • ปัจจัยของการเทรดที่ดี : การเทรดที่ดีคือภาวะที่สมดุลระหว่างความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำตามความคิดของคุณ และความยืดหยุ่นที่จะตระหนักได้ว่าเมื่อไรที่คุณได้ทำความผิดพลาดไป
  • เราควรที่จะต้องมีความเคารพต่อผู้คนที่อยู่ในอีกด้านของการเทรด ถามตัวเองเสมอว่า “ทำไมเขาถึงอยากที่จะขาย เขารู้อะไรบางอย่างที่ฉันไม่รู้หรือเปล่า” สุดท้าย คุณจำเป็นที่จะต้องซื่อตรงต่อสติปัญญาทั้งกับตัวคุณเองและกับคนอื่นๆ ในความคิดเห็นของผม เทรดเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่ทุกคนเป็นผู้แสวงหาความจริง
  • เขามีคุณสมมติที่เหล่าเทรดเดอร์ผู้ยิ่งใหญ่มีกันข้อหนึ่ง คือ ความเต็มใจและความสามารถที่จะเปิดสถานะขนาดใหญ่มากเป็นพิเศษเมื่อพวกเขารับรู้ถึงโอกาสครั้งสำคัญในการเทรด แน่นอนว่าความแข็งแกร่งทางจิตใจและทักษะที่จำเป็นสำหรับการที่จะก้าวเข้าไปบนเครื่องเร่งความเร็วในเวลาที่ถูกต้องนั้นเป็นหนึ่งปัจจัยที่แยกเทรดเดอร์ที่ดีและเทรดเดอร์ที่ยิ่งใหญ๋ออกจากกัน

ส่วนหนึ่งในหนังสือตอนท้ายของสตีนฮาร์ท 

ความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าอาจจะเป็นคุณสมบัติที่สำคัญสำหรับเทรดเดอร์ทุกคน แต่มันเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับเทรดเดอร์แบบสวนกระแส สตีนฮาร์ทได้แสดงให้เห็นมาหลายครั้งถึงความแน่วแน่อย่างน่าพิศวงในการคงถือสถานะขนาดใหญ่เอาไว้ได้ในระหว่างช่วงเวลาที่ยากลำบากตราบเท่าที่เขายังคงเชื่อมั่นว่าเขาเป็นฝ่ายถูก สามารถรับรู้ถึงความเชื่อมั่นของเขาได้จากการอยู่กับสถานะในพันธบัตรของเขาในช่วง 6 เดือนที่เป็นจุดสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยในปี 1981 ยังคงยืนหยัดต้านทานไม่เพียงแค่กับตลาดที่เคลื่อนไหวสวนทางกับเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นความกดดันทางจิตใจจากความไม่พอใจของนักลงทุนซึ่งตั้งคำถามถึงการเปลี่ยนแปลงเข้ามาเล่นในตลาดพันธบัตรอย่างฉับพลันของเขาหลังจากที่เคยเป็นเทรดเดอร์ในหุ้นมาก่อนอีกด้วย ตั้งแต่ต้นจนจบ สตีนฮาร์ทยังคงทำมันต่อและยังเพิ่มสถานะขึ้นไปอีกเพราะเขายังคงเชื่อมั่นว่าเขาเป็นฝ่ายถูก หากปราศจากความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าของเขานี้แล้ว โลกอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อของ ไมเคิล สตีนฮาร์ท เลยก็เป็นได้

สตีนฮาร์ทยังยังเน้นเป็นพิเศษอีกว่ามันไม่มีสูตรหรือรูปแบบที่ตายตัว ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจำเป็นจะต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงนี้ ในมุมมองของสตีนฮาร์ท เทรดเดอร์ที่พยายามจะหาวิธีการที่ตายตัวจะถูกกำหนดให้ต้องพบกับความล้มเหลวในไม่ช้าก็เร็ว

เพิ่มเติมเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง