เราคงเคยได้ยินข่าวเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจกันมาบ้างในเรื่องดุลการค้าของประเทศนี้เกินดุลกับอีกประเทศ หรือขาดดุลเมื่อเทียบกับอีกประเทศ หรือต้องมีการปรับเพิ่ม ลดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ค่าเงินวันนี้แข็งค่า อ่อนค่า เรื่องราวต่างๆเหล่านี้มาจากข้อมูลดุลการชำระเงินนั่นเอง ซึ่งในบทความนี้จะมาเล่าถึงความหมายของดุลการชำระเงินว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร แล้วส่งผลกระทบอะไรได้บ้าง
ดุลการชำระเงิน คือ
ดุลการชำระเงิน (Balance of Payments หรือ BOP) คือ รายงานทางเศรษฐกิจที่แสดงถึงการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด (Economic transaction) ระหว่างในประเทศกับต่างประเทศใดๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง อาจจะเป็นรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปีก็ได้ โดยแสดงเป็นบัญชีที่คำนวณสุทธิระหว่างรายรับและรายจ่ายของประเทศในด้านต่างๆ เช่น การค้า การลงทุน การโอนเงิน การให้กู้ยืมเงินต่างๆ
ทั้งนี้จะมีคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องคือ “เกินดุล” “ขาดดุล” และ “สมดุล”
- กรณีเงินไหลเข้ามากกว่าไหลออก หรือดุลบัญชีเป็น+ เราจะเรียกว่า “เกินดุล”
- กรณีเงินไหลเข้าน้อยกว่าไหลออก หรือดุลบัญชีเป็น – เราจะเรียกว่า “ขาดดุล”
- กรณีเงินไหลเข้าเท่ากับไหลออก หรือดุลบัญชีเป็นศูนย์ เราจะเรียกว่า “สมดุล”
ดุลการชำระเงินประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ
1.) ดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) สามารถแบ่งเป็นกลุ่มย่อยๆได้ดังนี้
- ดุลการค้า คือ ผลต่างสุทธิระหว่าง มูลค่าสินค้าส่งออก (Export) และสินค้านำเข้า (Import) บอกถึงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เช่น เกินดุลเยอะก็แปลว่าส่งออกได้มากกว่าการนำเข้า
- ดุลบริการ คือ ผลต่างสุทธิระหว่างรายรับและรายจ่ายของบริการระหว่างประเทศ เช่น ค่าระวางสินค้า ค่าประกันภัยขนส่งระหว่างประเทศ, ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว, การสื่อสาร ค่าโทรศัพท์ระหว่างประเทศ, ค่ารับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น
- ค่าจ้าง/รายได้จากการลงทุนกับต่างประเทศ เช่น รายได้รับจากแรงงานที่ไปทำงานต่างประเทศ, เงินปันผลลงทุนในต่างประเทศ
- เงินบริจาคระหว่างประเทศ หรือเงินโอนให้เปล่า เช่น การส่งเงินกลับมาให้ญาติ การส่งเงินไปให้บุตรหลานที่เรียนในต่างประเทศ
2.) ดุลบัญชีทุนและการเงิน หรือบัญชีทุนเคลื่อนย้าย (Capital and Financial Account) เป็นบัญชีที่บันทึกด้านการเงิน การเคลื่อนย้ายทุนและหนี้สินระหว่างประเทศ
หรือก็คือ “เงินทุนไหลเข้า หัก เงินทุนไหลออก” ประกอบด้วย
2.1) บัญชีทุน คือ รายรับ รายจ่าย ที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายเงินทุน เช่น การซื้อขายและโอนสิทธิ์ในสินทรัพย์ถาวร การยกเลิกหนี้สิน
2.2) บัญชีการเงิน คือ รายการเปลี่ยนแปลงในสินทรัพย์และหนี้สินทางการเงิน ประกอบด้วย
- การลงทุนโดยตรง เช่น การสร้างโรงงาน
- การลงทุนในหลักทรัพย์ หรือตราสารทางการเงิน
- การลงทุนอื่นๆ เช่น สินเชื่อทางการค้า เงินกู้ยืม บัญชีเงินฝากระหว่างประเทศ
3.) ดุลบัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศ (International Reserve Account) คือ สินทรัพย์ต่างประเทศที่ถือครองและควบคุมโดยธนาคารกลาง หลักๆจะประกอบไปด้วย
- ทองคำ
- เงินตราต่างประเทศสกุลหลัก
- สินทรัพย์สมทบ IMF (เงินสำรองที่มีอยู่ที่ IMF สินเชื่อจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ)
โดยความสำคัญของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศคือ
- เป็นทุนหนุนในการพิมพ์ธนบัตร
- รักษาสภาพคล่องในการชำระหนี้ระหว่างประเทศ
- รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เช่น การซื้อขายเงินสำรองในตลาดเงินตรา หรือการแทรกแซงตลาด เพื่อให้เกิดผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินหรืออัตราแลกเปลี่ยน
- ใช้เป็นทุนรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
หลักการทั่วไปของดุลการชำระเงินนั้น คือ
ผลรวมของทั้ง 3 บัญชีนี้ ควรสมดุล หรือเป็นศูนย์ เช่น ถ้าประเทศขาดดุลบัญชีเดินสะพัด อาจต้องมีเกินดุลบัญชีเงินทุน (เงินทุนไหลเข้าสุทธิ) เพื่อไม่ให้ค่าเงินแข็งหรืออ่อนค่าจนเกินไป
หรือถ้าทั้งบัญชีเดินสะพัด และบัญชีเงินทุนเกินดุลทั้งคู่ ธนาคารกลางอาจต้องมีการแทรกแซงค่าเงิน เช่น ซื้อเงินตราต่างประเทศเป็นทุนสำรองเพิ่มขึ้น (ส่งผลให้บัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศติดลบ = ขาดดุลบัญชีทุนสำรองฯ) เพื่อรักษาดุลทั้งหมดให้สมดุลนั่นเอง
สรุปง่ายๆอีกที:
อย่าสับสนคำว่า “เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ” กับ “บัญชีทุนสำรองระหว่างประเทศ” 2 คำนี้ไม่เหมือนกัน
- กรณีดุลการชำระเงินขาดดุล จะต้องนำเอาทุนสำรองระหว่างประเทศมาชดเชยส่วนที่ขาดดุล และทำให้เงินทุนสำรองลดลงจากเดิม ส่งผลบัญชีทุนสำรองฯเป็นบวก
- กรณีดุลการชำระเงินเกินดุล จะทำให้เงินทุนสำรองเพิ่มขึ้น ส่งผลบัญชีทุนสำรองฯเป็นลบ
ความสำคัญของดุลการชำระเงิน คือ
- ทำให้รู้ว่ารายได้-รายจ่ายเงินตราต่างประเทศ มาจากกลุ่มไหน จากภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคครัวเรือน หรือธุรกิจกลุ่มใดเป็นหลัก หรือมาจากการท่องเที่ยว การลงทุน หรืออื่นๆ เป็นต้น
- ทำให้ทราบถึงระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ
- ช่วยประเมินความเสี่ยง และผลกระทบต่างๆ ผ่านข้อมูลทางการค้า การลงทุน หรือกู้ยืม
- เพื่อนำไปวางแผนกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ
ดุลการชำระเงิน ถือเป็นตัวกำหนดค่าเงินบาทที่สำคัญโดยตรง
- ถ้าดุลการชำระเงินเกินดุล แสดงให้เห็นว่ามีเงินไหลเข้าประเทศมาก ความต้องการแลกเงินบาทก็จะมีมากตามภาวะการเกินดุล และมีแนวโน้มว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น
- ดุลการชำระเงินขาดดุล แสดงว่ามีการชำระค่าสินค้านำเข้าหรือเงินทุนเคลื่อนย้ายออกไปนอกประเทศ ทำให้มีความต้องการเงินสกุลต่างประเทศมากกว่าเงินบาท ทำให้เงินบาทอ่อนค่าลง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง
ตัวอย่างการปรับความสมดุลของดุลการชำระเงินกับอัตราแลกเปลี่ยน
- ดุลการชำระเงินเกินดุล คือเงินตราต่างประเทศไหลเข้ามามาก => ความต้องการแลกเป็นสกุลเงินบาทมากขึ้น => บาทแข็งค่า => กระทบการส่งออกลดลงเมื่อบาทแข็งค่า => นำเข้าเพิ่มขึ้น(ซื้อของได้มากขึ้นที่ค่าเงินเท่าเดิม) => เมื่อนำเข้ามากกว่าส่งออก (เงินไหลออก) => ดุลการชำระเงินที่เกินดุลนั้นก็จะลดลงในเวลาต่อมานั่นเอง
บทสรุป
การที่ดุลการชำระเงินเกินดุลหรือขาดดุลนั้น ไม่สามารถสรุปได้ว่าสภาวะเศรษฐกิจช่วงเวลานั้นดีหรือไม่ดี แต่บอกได้เพียงว่า ณ ช่วงเวลานั้น ประเทศมีรายรับเข้ามามากกว่าหรือน้อยกว่ารายจ่ายที่ประเทศจ่ายออกไป เช่น การมีดุลการชำระเงินขาดดุล ที่มาจากดุลการค้าขาดดุล อาจไม่ได้เพราะการส่งออกแย่ลง แต่อาจมีการนำเข้าที่มากขึ้น ซึ่งสามารถสะท้อนว่าประเทศมีการลงทุนมากขึ้น ดังนั้นการวิเคราะห์ดุลการชำระเงินต้องดูควบคู่กันทั้งดุลบัญชีเดินสะพัด ดุลบัญชีเงินทุน และปัจจัยอื่นๆ เพื่อกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจการเงินได้อย่างเหมาะสมนั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- ดุลการชำระเงิน Balance of Payments Taweesak Gunyochai : Satit UP