หากคุณเป็นคนที่สนใจรองเท้าสนีกเกอร์ คุณอาจจะเคยสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างแบรนด์ Onitsuka Tiger และ ASICS รองเท้าทั้งสองแบรนด์มีลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์คล้ายกัน และบางรุ่นก็มีดีไซน์ที่ดูใกล้เคียงกันมาก นั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะทั้งสองแบรนด์นี้มีรากฐานมาจากบริษัทเดียวกัน
ย้อนกลับไปในปี 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูประเทศ คิฮาชิโร่ โอนิซึกะ (Kihachiro Onitsuka) ได้ก่อตั้งบริษัท “Onitsuka Co., Ltd.” ขึ้นที่เมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับจิตใจของเยาวชนญี่ปุ่นผ่านกีฬา ในยุคที่ประชาชนกำลังพยายามฟื้นฟูชีวิตและบ้านเมือง
โอนิซึกะเริ่มต้นธุรกิจด้วยการผลิตรองเท้าบาสเกตบอล โดยแรงบันดาลใจแรกมาจากการรับประทานสลัดปลาหมึก เขาสังเกตเห็นว่าปลาหมึกมีลักษณะการดูดติดผิวที่ดี จึงนำมาประยุกต์ใช้กับพื้นรองเท้า ทำให้รองเท้ามีการยึดเกาะที่ดีเหมาะสำหรับนักกีฬาบาสเกตบอล นี่คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนานวัตกรรมรองเท้าที่ใส่ใจในรายละเอียดและความต้องการของนักกีฬาอย่างแท้จริง
จากรองเท้ากีฬาสู่แฟชั่นระดับโลก
ในช่วงทศวรรษ 1950-1960 Onitsuka Tiger เริ่มขยายไลน์ผลิตภัณฑ์จากรองเท้าบาสเกตบอลไปสู่รองเท้าสำหรับกีฬาประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะรองเท้าวิ่งมาราธอน ในปี 1953 แบรนด์ได้เปิดตัวรองเท้า “Marathon TABI” ซึ่งมีพื้นรองเท้ายางที่มีน้ำหนักเบาและตัวรองเท้าที่ระบายอากาศได้ดี
จุดเปลี่ยนสำคัญของแบรนด์เกิดขึ้นในปี 1966 เมื่อ Onitsuka Tiger ออกแบบรองเท้ารุ่น “Mexico 66” ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการใช้ลายเส้นตัดกัน (Tiger Stripes) อันเป็นเอกลักษณ์ที่เรารู้จักกันดีในปัจจุบัน รองเท้ารุ่นนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อนักกีฬาญี่ปุ่นที่จะเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ที่เม็กซิโกซิตี้ในปี 1968 และกลายเป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของแบรนด์
ความสำเร็จของ Onitsuka Tiger ได้ขยายไปสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายทศวรรษ 1950 เมื่อ ฟิลิป ไนท์ (Philip Knight) นักศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้เดินทางไปญี่ปุ่นและติดต่อกับ Onitsuka Tiger เพื่อขอเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าในสหรัฐอเมริกา ไนท์และบิล เบาเวอร์แมน (Bill Bowerman) อาจารย์และโค้ชของเขาที่มหาวิทยาลัยออริกอน ได้ร่วมลงทุนก่อตั้งบริษัท Blue Ribbon Sports ซึ่งต่อมากลายเป็น Nike, Inc. ในปัจจุบัน
การควบรวมกิจการและกำเนิด ASICS
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 1977 เมื่อ Onitsuka Co., Ltd. ได้ควบรวมกิจการกับบริษัท GTO Co., Ltd. (ผู้ผลิตอุปกรณ์ตกปลาและกีฬา) และ JELENK Co., Ltd. (ผู้ผลิตชุดกีฬา) เกิดเป็นบริษัทใหม่ชื่อ ASICS Corporation โดยชื่อ ASICS มาจากคำในภาษาละตินว่า “Anima Sana In Corpore Sano” ซึ่งแปลว่า “จิตใจที่สมบูรณ์ในร่างกายที่แข็งแรง”
ภายใต้บริษัท ASICS นี้ Onitsuka Tiger ได้ถูกปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาด และในที่สุด แบรนด์ Onitsuka Tiger ก็ถูกพักไว้ชั่วคราว โดย ASICS มุ่งเน้นการพัฒนารองเท้าและอุปกรณ์กีฬาที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อตอบสนองความต้องการของนักกีฬามืออาชีพ
ในปี 1986 ASICS ได้พัฒนาเทคโนโลยี GEL ซึ่งใช้วัสดุซิลิโคนเพื่อรองรับแรงกระแทกและเพิ่มความสบายให้กับนักวิ่ง นวัตกรรมนี้กลายเป็นจุดขายสำคัญของแบรนด์ ASICS และยังคงใช้ในรองเท้ารุ่นยอดนิยมหลายรุ่นจนถึงปัจจุบัน
การผสมผสานระหว่างมรดกทางวัฒนธรรมและแฟชั่นร่วมสมัย
หลังจากที่แบรนด์ Onitsuka Tiger ถูกพักไปเป็นเวลานาน ASICS ได้ตัดสินใจรื้อฟื้นแบรนด์นี้ขึ้นมาใหม่ในปี 2002 โดยวางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์ที่ผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเข้ากับแฟชั่นร่วมสมัย การกลับมาของ Onitsuka Tiger ในครั้งนี้เกิดขึ้นพอดีกับกระแสความนิยมรองเท้าวินเทจที่กำลังมาแรงทั่วโลก
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Onitsuka Tiger กลายเป็นที่รู้จักอีกครั้งคือการที่อูมา เธอร์แมน (Uma Thurman) สวมรองเท้า Onitsuka Tiger สีเหลืองทองในภาพยนตร์เรื่อง “Kill Bill” ของผู้กำกับเควนติน ทาแรนติโน (Quentin Tarantino) ในปี 2003 ซึ่งทำให้แบรนด์กลับมาเป็นที่นิยมในวงกว้างอีกครั้ง
Onitsuka Tiger Mexico 66 “Kill Bill” (2024)
ในปี 2008 Onitsuka Tiger ได้เปิดตัวคอลเลคชั่น “Nippon Made” ซึ่งเป็นไลน์พรีเมียมที่ผลิตในญี่ปุ่นทั้งหมด เน้นความประณีตและคุณภาพสูง เพื่อตอกย้ำรากเหง้าและงานฝีมือแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม
ความแตกต่างและการวางตำแหน่งทางการตลาด
ในปัจจุบัน ASICS และ Onitsuka Tiger ดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัทแม่เดียวกันคือ ASICS Corporation แต่มีการวางตำแหน่งทางการตลาดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:
ASICS มุ่งเน้นการเป็นแบรนด์รองเท้าและอุปกรณ์กีฬาสมรรถนะสูง ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เช่น เทคโนโลยี GEL, FlyteFoam และ GUIDESOLE กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักกีฬาและผู้ที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย ASICS มีสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬาที่เมืองโกเบ ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการศึกษาการเคลื่อนไหวของมนุษย์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ
Onitsuka Tiger ถูกวางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์ไลฟ์สไตล์แฟชั่น ที่นำเอาดีไซน์คลาสสิกจากอดีตมาผสมผสานกับแนวคิดร่วมสมัย มุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่สนใจแฟชั่นและวัฒนธรรม มากกว่าสมรรถนะทางกีฬา แบรนด์มีการร่วมงานกับดีไซเนอร์และแบรนด์หรูหลายราย เช่น Valentino และ Givenchy
แม้จะมีตำแหน่งทางการตลาดที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองแบรนด์ก็ยังคงมีลักษณะร่วมกันบางประการ โดยเฉพาะลายเส้น “Tiger Stripes” อันเป็นเอกลักษณ์ที่ยังคงปรากฏในรองเท้าของทั้ง ASICS และ Onitsuka Tiger แม้จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามคอลเลคชั่น
การสร้างตำนานในวงการรองเท้า
Onitsuka Tiger:
- Mexico 66: รุ่นคลาสสิกที่มีลายเส้น Tiger Stripes อันเป็นเอกลักษณ์ เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้สนใจแฟชั่นสตรีทแวร์
- Colorado Eighty-Five: รองเท้าวิ่งเทรลที่ได้รับการรื้อฟื้นมาเป็นรองเท้าแฟชั่น
- GSM: รองเท้าเทนนิสคลาสสิคที่ดัดแปลงมาเป็นรองเท้าไลฟ์สไตล์
Onitsuka Tiger ได้ร่วมงานกับหลายแบรนด์และศิลปิน เช่น การร่วมงานกับ Andrea Pompilio และ Givenchy สร้างคอลเลคชั่นที่ผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นกับแฟชั่นตะวันตก
ASICS:
- GEL-Kayano: รองเท้าวิ่งรุ่นยอดนิยมที่มีคุณสมบัติเสริมเสถียรภาพ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากว่า 25 รุ่น
- GEL-Nimbus: รองเท้าวิ่งที่เน้นการรองรับแรงกระแทกสูง เหมาะสำหรับนักวิ่งระยะไกล
- METASPEED: รองเท้าวิ่งความเร็วสูงที่ใช้เทคโนโลยีแผ่นคาร์บอน พัฒนาขึ้นเพื่อนักกีฬามืออาชีพ
ASICS มีการร่วมงานกับนักกีฬาชั้นนำระดับโลก เช่น โนวัก จอโควิช (Novak Djokovic) นักเทนนิสชื่อดัง และทีมวิ่งมาราธอนระดับโลก
อนาคตของทั้งสองแบรนด์: การปรับตัวในยุคดิจิทัล
ทั้ง ASICS และ Onitsuka Tiger กำลังปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลและความท้าทายในตลาดรองเท้าที่มีการแข่งขันสูง ASICS มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของนักกีฬา เช่น เทคโนโลยี GUIDESOLE ที่ช่วยประหยัดแรงในการวิ่ง และการใช้ข้อมูลดิจิทัลในการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของนักกีฬา
ในขณะที่ Onitsuka Tiger ยังคงรักษาความเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับพรีเมียม มีการขยายไลน์สินค้าไปสู่เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์เสริมอื่นๆ มากขึ้น รวมถึงการเปิดร้านค้าที่นำเสนอประสบการณ์แบบผสมผสานระหว่างความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมกับความทันสมัย
สรุป
Onitsuka Tiger และ ASICS แม้จะมีรากฐานเดียวกัน แต่ได้แยกเส้นทางการพัฒนาแบรนด์ออกจากกันอย่างชัดเจน ASICS มุ่งสู่การเป็นผู้นำด้านรองเท้าและอุปกรณ์กีฬาเทคโนโลยีสูง ในขณะที่ Onitsuka Tiger เลือกเส้นทางของแฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่ผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับกระแสแฟชั่นร่วมสมัย อย่างไรก็ตาม ทั้งสองแบรนด์ยังคงยึดมั่นในปรัชญา “จิตใจที่สมบูรณ์ในร่างกายที่แข็งแรง” ตามวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้ง คิฮาชิโร่ โอนิซึกะ ที่เชื่อว่าการมีส่วนร่วมในกีฬาและการเคลื่อนไหวสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนได้ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งแข่งเพื่อสร้างสถิติใหม่ หรือเพียงแค่การสวมใส่รองเท้าที่สะท้อนรสนิยมและไลฟ์สไตล์ของตนเอง