Macroeconomic and Credit Cycle
ในด้านปัจจัยมหภาค (Macroeconomic factor) และวัฏจักรเครดิต (Credit cycle) มีผลต่อการรับรู้ความเสี่ยงด้านเครดิตโดยรวมของตลาด ในช่วงที่วัฏจักรเครดิตอยู่ในจุดสูงสุด ตลาดจะมองว่าความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำและมีมุมมองเชิงบวก ส่งผลให้ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทน (Yield Spread) แคบลง ในทางตรงกันข้าม เมื่อวัฏจักรเครดิตถดถอย ส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนจะกว้างขึ้น นอกจากนี้สภาวะเศรษฐกิจโดยรวมก็มีผลต่อส่วนต่างอัตราผลตอบแทน โดยส่วนต่างจะแคบลงเมื่อเศรษฐกิจแข็งแกร่งและกว้างขึ้นเมื่อเศรษฐกิจอ่อนแอ
Broker-dealer Capital and Demand/Supply
ปริมาณเงินทุนของโบรกเกอร์-ดีลเลอร์มีผลต่อสภาพคล่องของตลาดตราสารหนี้ เนื่องจากตราสารหนี้ส่วนใหญ่ซื้อขายแบบ Over-the-counter (OTC) ทำให้นักลงทุนต้องพึ่งพาโบรกเกอร์-ดีลเลอร์ในการทำหน้าที่เป็นตัวกลางและสร้างสภาพคล่อง ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนจะแคบลงเมื่อโบรกเกอร์-ดีลเลอร์มีเงินทุนเพียงพอ และกว้างขึ้นเมื่อเงินทุนขาดแคลน นอกจากนี้อุปสงค์และอุปทานในตลาดก็มีผลต่อส่วนต่างอัตราผลตอบแทน โดยส่วนต่างจะแคบลงในช่วงที่มีความต้องการตราสารหนี้สูง และกว้างขึ้นเมื่อความต้องการต่ำ การออกตราสารหนี้จำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ อาจทำให้ส่วนต่างกว้างขึ้นได้
Issuer’s Financial Performance
สำหรับปัจจัยเฉพาะของผู้ออกตราสาร (Issuer) ผลการดำเนินงานทางการเงินมีผลโดยตรงต่อส่วนต่างอัตราผลตอบแทน การพัฒนาในเชิงบวกต่อคุณภาพเครดิตของผู้ออกจะทำให้ส่วนต่างแคบลง ในขณะที่ด้านลบจะทำให้ส่วนต่างกว้างขึ้น
High Yield Debt
ตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าระดับลงทุน (ต่ำกว่า Baa3/BBB-) หรือที่เรียกว่าตราสารหนี้ผลตอบแทนสูง มักมีความผันผวนของราคาและส่วนต่างอัตราผลตอบแทนมากกว่าตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูงกว่า เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านเครดิตที่สูงกว่า นักวิเคราะห์ต้องให้ความสำคัญกับปัจจัยต่างๆ เช่น สภาพคล่อง, ประมาณการทางการเงิน, โครงสร้างหนี้, โครงสร้างบริษัท, และข้อตกลงในสัญญา (covenants) เมื่อวิเคราะห์ตราสารหนี้ประเภทนี้
Sovereign/Non-Sovereign Government Debt
สำหรับตราสารหนี้ภาครัฐ ทั้งที่ออกโดยรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น มีปัจจัยพิเศษที่ต้องพิจารณา ตราสารหนี้รัฐบาลต้องประเมินทั้งความสามารถและความเต็มใจในการชำระหนี้ของรัฐบาล โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การบริหารนโยบาย, ระดับการทุจริต, การเติบโตทางเศรษฐกิจ, เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ, และความสามารถในการใช้นโยบายการเงินเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจ ส่วนตราสารหนี้ท้องถิ่นต้องพิจารณาปัจจัยเพิ่มเติม เช่น ฐานภาษี, แนวโน้มการจ้างงาน, และความสามารถในการดึงดูดการลงทุนใหม่ๆ
สรุป
การวิเคราะห์ตราสารหนี้เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและต้องพิจารณาปัจจัยหลากหลายมิติ ทั้งในระดับมหภาค, ระดับตลาด, และระดับผู้ออกตราสาร นักลงทุนต้องเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ เช่น วัฏจักรเครดิต, สภาวะเศรษฐกิจ, สภาพคล่องของตลาด, อุปสงค์และอุปทาน ตลอดจนปัจจัยเฉพาะของผู้ออกตราสาร เพื่อประเมินผลตอบแทนและความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ