นักลงทุนสามารถใช้อัตราส่วนต่างๆเพื่อประเมินความมั่นคงทางการเงิน, แนวโน้มการดำเนินงาน, และเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมและคู่แข่งได้ อัตราส่วนหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ  Leverage Ratios และ Coverage Ratios

ในการวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไรและกระแสเงินสด นักวิเคราะห์มักดู 4 สิ่งนี้ ได้แก่:

  1. EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย) เป็นตัวชี้วัดที่นิยมใช้ แต่มีข้อจำกัดคือไม่รวมรายจ่ายลงทุนและการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน
  2. FFO (เงินทุนจากการดำเนินงาน) คล้ายกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน แต่ไม่รวมการเปลี่ยนแปลงของเงินทุนหมุนเวียน
  3. กระแสเงินสดอิสระก่อนจ่ายเงินปันผล คำนวณโดยหักรายจ่ายลงทุนออกจาก FFO
  4. กระแสเงินสดอิสระหลังจ่ายเงินปันผล แสดงถึงเงินสดที่สามารถนำไปชำระหนี้หรือสะสมในงบดุล

Leverage และ Coverage Ratios

สำหรับ Leverage Ratios ก่อนคำนวณควรปรับปรุงหนี้สินที่รายงานในงบการเงินโดยรวมภาระผูกพันอื่น ๆ เช่น ภาระบำเหน็จบำนาญที่ไม่ได้รับการสนับสนุนเต็มจำนวน และสัญญาเช่าดำเนินงาน  Leverage Ratios ที่นิยมใช้ ได้แก่ D/E ratio, อัตราส่วนหนี้สินต่อ EBITDA, อัตราส่วน FFO ต่อหนี้สิน และอัตราส่วนกระแสเงินสดอิสระหลังจ่ายเงินปันผลต่อหนี้สิน

ส่วน Coverage Ratios วัดความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อชำระดอกเบี้ย โดยที่นิยมใช้คือ EBITDA ต่อดอกเบี้ยจ่าย และ EBIT ต่อดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งอัตราส่วนที่สูงกว่าบ่งชี้ถึงความเสี่ยงด้านเครดิตที่ต่ำกว่า

ตัวอย่างการวิเคราะห์เครดิตบริษัท

ตัวอย่างการวิเคราะห์บริษัท A และ B เทียบกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม พบว่า

ABค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
EBIT550,0002,250,0001,400,000
FFO300,000850,000600,000
Interest expense40,000160,000100,000
Total debt1,900,0002,700,0002,600,000
Total capital4,000,0006,500,0006,000,000

 

  1. อัตราส่วน EBIT ต่อดอกเบี้ยจ่ายของทั้งสองบริษัทใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม
  2. อัตราส่วน FFO ต่อหนี้สินรวมของ B (31.5%) สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (23.1%) ในขณะที่ A (15.8%) ต่ำกว่า
  3. อัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุนรวมของ A (47.5%) สูงกว่าทั้ง B (41.5%) และค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม (43.3%)

สรุปได้ว่า B มีความน่าเชื่อถือทางเครดิตสูงกว่า A เนื่องจากมีความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเทียบกับระดับหนี้ที่ดีกว่า และมีสัดส่วนการก่อหนี้ที่ต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ที่ดีควรครอบคลุมควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย เช่น แนวโน้มของอัตราส่วนเหล่านี้ในอดีต, คุณภาพของสินทรัพย์, และลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรมที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่