สรุปหนังสือ Zero Reset Magic
ศิลปะแห่งการรีเซ็ตใจ
คนที่กำลังกลุ้มใจอยู่ว่าพยายามแค่ไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง หรือทำความฝันให้เป็นจริงได้สักที เวลาอ่านหนังสือของคนที่ทำให้ความฝันเป็นจริงได้สำเร็จ สิ่งที่จะได้อ่านคือเรื่องราวความสำเร็จที่งดงาม และวิธีที่นำไปสู่ความสำเร็จนั้น ในบรรดาวิธีมากมายที่ถูกเขียนถึง หนึ่งในวิธีที่เป็นที่รู้จักที่สุดก็เห็นจะหนีไม่พ้นการใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึก ซึ่งเป็นวิธีที่เชื่อว่าความคิดที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกจะกลายเป็นจริงได้ในท้ายที่สุด หรือพูดอีกอย่างก็คือเชื่อว่า สิ่งที่คิดจะกลายเป็นจริง
ความจริงคือทฤษฎีนี้มีหลุมพรางอยู่ นั่นก็คือไม่ใช่ว่าสิ่งที่คิดจะกลายเป็นจริง แต่สิ่งที่รู้สึกจากก้นบึ้งของความคิดจะกลายเป็นจริงต่างหาก การใช้คำอย่างสิ่งที่คิดจะกลายเป็นจริงยังทำให้สับสนได้ง่าย ถ้าเปลี่ยนมาพูดว่าความรู้สึกจะสร้างความเป็นจริงแทน น่าจะช่วยให้เห็นภาพได้ง่ายกว่า หากลงมือทำทั้งที่ไม่มีความเข้าใจในวิธีอย่างถ่องแท้ ไม่ว่าอย่างไรความฝันก็ไม่มีวันเป็นจริงได้ หรือถ้าหันไปใช้วิธีอื่นที่ไม่ได้ผล สิ่งที่ได้ก็จะมีแค่ความเหนื่อยแสนสาหัสเท่านั้น
จะเริ่มตระหนักได้ตอนที่เลิกความฝัน สิ่งที่หนักอึ้งอยู่บนบ่าก็เบาลง พลังงานค่อย ๆ กลับคืนมา และทุกวันก็จะกลายเป็นวันที่สนุกสนาน เมื่อเป็นแบบนั้นทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ การถูกปลดปล่อยจากความสิ้นหวัง ทำให้ความรู้สึกกลับมากระปรี้กระเปร่า แต่ละวันกลายเป็นวันที่สุขสงบและมีอิสระ ประสบการณ์ที่เหมือนปาฏิหาริย์นี้ ทำให้รู้สึกจริง ๆ ว่าไม่ว่าจะเป็นใคร ขอแค่รีเซ็ตใจกลับไปยังจุดเป็นศูนย์ (Zero Point) ของตัวเอง พลังที่จะทำให้ความฝันเป็นจริงก็จะกลับคืนมาได้
อีกเรื่องที่สำคัญมาก ๆ ก็คือการใช้ชีวิตในแต่ละวัน โดยมุ่งใส่ใจกับความรู้สึกดีของตัวเอง เพราะเมื่อรู้สึกดีจะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ เมื่อรู้สึกดีความจริงที่ชวนให้รู้สึกดีจะมาเยือนเอง มนุษย์ต้องมีความมานะพยายาม สิ่งแรกที่ต้องทำคือทำให้พลังงานกลับคืนมา จากนั้นก็ใช้ชีวิตแบบที่ทำให้รู้สึกดี เรื่องพยายามเรียนรู้อะไรถึงเป็นขั้นตอนต่อไป แต่คนส่วนใหญ่กลับชอบทำสลับขั้นตอนเสียอย่างนั้น
หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมวิธีเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง และทำความฝันให้เป็นจริงเอาไว้ เชื่อว่ามันน่าจะช่วยบอกใบ้อะไรบางอย่าง ให้กับคนที่พยายามแทบตายแต่เปลี่ยนความเป็นจริงไม่ได้ และคนที่ตัดใจจากความฝันไม่ลงได้อย่างแน่นอน
บทที่ 1
11 เคล็ดลับในการสร้างความเป็นจริงแบบรู้สึกดี
หากพยายามแค่ไหนก็ไม่ประสบความสำเร็จสักที นั่นเพราะวิธีที่ใช้อยู่ไม่ถูกต้อง ความเป็นจริงที่กำลังทำให้กลุ้มใจอยู่ตอนนี้ เป็นสิ่งที่ความคิดและความรู้สึกสร้างขึ้นมา ต่อให้พยายามคิดบวกสักเท่าไหร่ ถ้าลึก ๆ แล้วมีความรู้สึกเชิงลบอยู่ ความเป็นจริงที่จะมาหาก็ย่อมจะเป็นความไม่ราบรื่น จิตสำนึกมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น กว่า 90% คือจิตใต้สำนึก หากอยากเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงต้องเข้าใจก่อนว่าความเป็นจริงคือ สิ่งที่ความรู้สึกสร้างขึ้น และต้องมีความตระหนักรู้ว่า หากกำลังเหนื่อยล้าอยู่ นั่นแปลว่ายังไม่มีพลังงานเพียงพอจะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
การตระหนักว่า ความคิดจะกลายเป็นจริงคือ ก้าวแรกในการดึงพลังกลับมา มนุษย์มีจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก จิตสำนึกคือสติสัมปะชัญญะที่สามารถระลึกได้และรู้ตัวได้ เช่น การคิดอย่างมีเหตุผล ความรอบรู้ หรือการตัดสินใจ จิตใต้สำนึกคือส่วนที่ไม่สามารถระลึกและรู้ตัวได้ เช่น อารมณ์ ความรู้สึก ลางสังหรณ์ ความทรงจำ หรือความต้องการของสัญชาตญาณ ด้วยความที่จิตใต้สำนึกมีอิทธิพลต่อมนุษย์สูงถึง 90% – 97% มันจึงเป็นสิ่งที่ไม่สนใจไม่ได้เลย หากกำลังคิดว่าพยายามแทบตายแต่ไม่เห็นสำเร็จ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า ความคิดและความรู้สึกที่อยู่ในจิตใต้สำนึกต่างหากที่เป็นจริง จากนั้นถึงค่อยมาคิดว่าจะทำอย่างไรกับความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้าดี
ที่คิดว่าต้องทำเพื่อให้ความฝันเป็นจริงนั้น ก็เพราะเชื่อไปแล้วว่าไม่มีทางทำได้ และความคิดนั้นก็กลายเป็นความจริง การดูว่าความฝันกำลังเป็นจริงแม้จะทีละน้อยจะช่วยให้มองเห็นก้าวต่อไป จะรู้ว่าสิ่งที่จำเป็นต่อความฝันคืออะไรอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้อย่างสนุกสนาน ในทางกลับกันการตั้งใจจะทำความฝันให้เป็นจริงนั้น เป็นภาวะที่ต้องมุมานะไปพร้อม ๆ กับหอบเอาความรู้สึกเชิงลบอย่างความเจ็บปวด ทรมาน หรือวิตกกังวลติดตัวไปด้วย
สมัยที่ความฝันผู้เขียนไม่เป็นจริงสักที คิดว่าสาเหตุเป็นเพราะตัวเขาเองมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องจิตใต้สำนึกและกฎแห่งแรงดึงดูดไม่เพียงพอ ต่อให้พยายามนึกภาพตัวเองตอนความฝันเป็นจริง ในระดับจิตสำนึกไปสักเท่าไหร่ ตราบใดที่ยังบอกจิตใต้สำนึกว่า ความฝันแบบนี้ไม่มีทางเป็นจริงได้ก็เป็นที่แน่นอนว่า มันจะไม่มีทางเป็นจริงได้เลย
การพยายามเพื่อทำให้ความฝันเป็นจริงนั้น แสดงให้เห็นว่ารู้สึกว่าตัวเองยังขาดอะไรบางอย่างไป จึงต้องพยายาม เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้นก็จะไม่สมหวัง ในกรณีแบบนี้สิ่งที่จะถูกประทับลงในจิตใต้สำนึกคือ ตัวเองยังขาดอะไรอยู่ หรือถ้าไม่พยายามก็ไม่สำเร็จ แล้วในที่สุดจิตใต้สำนึกก็จะสร้าง ความเป็นจริงที่ไม่สมหวังขึ้นมา
จิตใต้สำนึกคืออะไรกันแน่ แค่รู้เรื่องนี้การเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงจะเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว เพื่อให้อยู่รอดดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไปได้ มนุษย์จึงมีสัญชาตญาณในการปกป้องตัวเอง และการทำตามสัญญา หรือการทำตามความต้องการของสัญชาตญาณ ซึ่งก็อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใต้สำนึก นอกจากนี้ มนุษย์ยังได้รับอิทธิพลจากคนรอบตัว โดยเด็กจะสังเกตและเลียนแบบพฤติกรรมของพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน หรืออาจารย์ที่ใกล้ชิด แล้วสร้างทัศนะคติหรือระบบคุณค่าของตัวเองขึ้นมา
คนบางคนนั้นแม้ปากจะบอกว่าอยากมีความสุขแต่ลึก ๆ แล้วเชื่อฝังหัวว่าการมีความสุขเป็นเรื่องยาก ต่อให้บอกคนแบบนี้ว่า ลองนึกถึงความรู้สึกตอนมีความสุขดู เขาก็จะนึกหรือรู้สึกอะไรไม่ได้เลย หรืออาจถึงขั้นรู้สึกแย่ขึ้นมาสุด ๆ เลยก็มี เวลาที่อยากสมหวังแต่กลับไม่มีอะไรราบรื่น แถมยังมีความรู้สึกแปลก ๆ ผุดขึ้นมาให้ลองพิจารณาดูว่า ตัวเองมีความเชื่อฝังหัวที่ได้รับอิทธิพลจากคนอื่นมาอยู่หรือเปล่า
ระบบคุณค่าของมนุษย์เป็นสิ่งที่ประกอบ หรือสร้างขึ้นมาจากการกระทำ และประสบการณ์ในแต่ละวัน และทั้งหมดนั้นก็จะถูกเก็บสะสมไว้ในจิตใต้สำนึก แม้ว่าการสร้างความเป็นจริงจะเป็นหน้าที่ของจิตใต้สำนึก แต่ผู้ที่จะตัดสินว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่คืออะไรในจิตสำนึกของตัวเอง หากเข้าใจเรื่องนี้ชีวิตจะมีโอกาส และความเป็นไปได้เพิ่มขึ้นอีก
ถึงอยากให้ความฝันเป็นจริง แต่ถ้าความรู้สึกเป็นลบก็ย่อมไม่มีทางสมหวัง เพราะคำโกหกใช้กับจิตใต้สำนึกไม่ได้ผล คนที่คิดว่าความรักเป็นเรื่องง่าย หรือการทำงานเป็นเรื่องง่าย จะเป็นคนที่สมหวังกับความรักหรืองานได้ง่ายไปด้วย หากมองในแง่ของกลไกการทำงาน คนที่คิดว่าง่ายจะรู้สึกเบาสบาย จิตได้สำนึกจึงนำพาความเป็นจริงที่จะรู้สึกเบาสบายมาให้ สิ่งที่เป็นตัวตัดสินในกรณีนี้คือ ความรู้สึกในกรณีที่เบื้องหลังคำพูดมีความรู้สึกเชิงลบซ่อนอยู่ สิ่งที่จะกลายเป็นจริงคือความรู้สึกเชิงลบไม่ใช่คำพูด
เคล็ดลับที่อยากแนะนำในเวลาแบบนี้คือ การยืนยันกับตัวเอง มันเป็นการสะกดตัวเองด้วยการบอกสิ่งที่ต้องการกับจิตใต้สำนึก เพื่อให้สิ่งนั้นค่อย ๆ กลายเป็นจริง ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในวงการกีฬา การยืนยันกับตัวเองที่ใช้แล้วได้ผลที่สุดคือ การทำประโยคให้อยู่ในรูปกำลังจะ การพูดแบบฟันธงว่า จะมีความสุข อาจทำให้เกิดความรู้สึกว่ากำลังโกหกตัวเองอยู่ได้ แต่รูปประโยคอย่าง กำลังจะมีความสุข หรือ กำลังจะรวย นั้นไม่ขัดแย้งกับความเป็นจริง จึงไม่รู้สึกว่ากำลังโกหกตัวเอง จะว่านี่เป็นการสร้างสะพานเชื่อมความจริงกับอุดมคติเข้าด้วยกันก็ได้
ต่อให้ความคิดเป็นบวก แต่ถ้าความรู้สึกเป็นลบ ก็ไม่มีความหมาย ต้องระวังกับดักทางความคิดที่หลงติดกับได้ง่ายให้ดี ช่วงเวลาก่อนนอนถือเป็นช่วงเวลาที่จิตสำนึก ซึ่งทำงานเต็มที่ขณะตื่นกับจิตใต้สำนึกซึ่งทำงานเต็มที่ขณะหลับ จะได้มามีปฏิสัมพันธ์กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นที่ถือเป็นช่วงเวลาทองแห่งการส่งข้อมูลให้จิตใต้สำนึก หากส่งข้อมูลดี ๆ แล้วผล็อยหลับไปทั้งอย่างนั้น ความฝันที่ทำการจินตภาพจะซึมซับเข้าไปในจิตใต้สำนึก และทำให้มันมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การที่ไม่สมหวังสักที คำตอบคือเพราะเมื่อไม่ได้คิดบวกในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกโดยรวมก็จะอยู่ในภาวะไม่พอใจ หากเป็นแบบนี้ต่อให้ตั้งใจคิดบวกในช่วงเวลาที่กำหนด และไม่อาจส่งความปรารถนาไปให้จิตใต้สำนึกได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องคอยตรวจสอบความรู้สึกขณะทำการตอกย้ำกับตัวเอง หากพบว่าความรู้สึกกำลังเป็นลบก็ต้องรู้จักตัดสินใจไม่ฝืนทำต่อ สิ่งที่ควรทำไม่ใช่การฝืนคิดบวก แต่เป็นการหยุดพักและพาตัวเองกลับสู่จุดเป็นศูนย์ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดพลังงาน หากไปจุดนั้นได้วงจรความคิดจะกลับมาเป็นบวกได้อีกครั้ง
หากรู้สึกร้อนรนหรือกังวลจนนั่งไม่ติด ต้องให้เลิกพยายามไปสักพัก จิตใต้สำนึกจะทำให้สิ่งที่เชื่อหรือรู้สึกอยู่ในตอนนี้กลายเป็นจริงในภายหลัง ซึ่งหมายความว่า ตราบใดที่ยังคิดว่าอยากเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงตอนนี้ เพราะงั้นต้องพยายามเพื่อให้เปลี่ยนได้ จะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้เลย ยิ่งหมกมุ่นกับความเป็นจริงที่ไม่ราบรื่นมากเท่าไหร่ ความคิดที่ว่าไม่ราบรื่นก็จะยิ่งรุนแรง จนฝังลึกลงไปในทิศใต้สำนึกมากเท่านั้น
ยิ่งเป็นคนที่พยายามอย่างเอาเป็นเอาตาย เพื่อเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งไม่มีทางสมหวัง แล้วพอไม่สมหวังทั้งที่ทุ่มสุดตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ความคิดก็จะยิ่งเป็นลบหนักขึ้น สุดท้ายก็ตกไปในวงจรอุบาทว์แบบไม่รู้ตัว เมื่อตกอยู่ในวงจรอุบาทว์จะรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ในใจมีแต่ความกังวลพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ หากอยู่ในสภาพนี้เมื่อไหร่ นั่นถือเป็นสัญญาณอันตรายแล้ว
แม้ความเป็นจริงตอนนี้จะไม่ราบรื่น แต่ถ้าสามารถหันมาจดจ่อกับสิ่งที่มีอยู่ หรือเรื่องที่ทำสำเร็จได้ อารมณ์ความรู้สึกจะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ และอารมณ์ความรู้สึกที่ดีขึ้น ทัศนคติ หรือมุมมองจะเปลี่ยนไปจดจ่อกับสิ่งที่มีส่งผลให้รู้สึกสนุกกับความเป็นจริง และสดชื่นกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น เมื่อรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น จะไม่นึกถึงเรื่องอยากเปลี่ยนความเป็นจริงอีกต่อไป เพราะเมื่อทุกวันกลายเป็นวันที่รู้สึกสนุกและสดชื่น ก็จะไม่เกิดความรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรไป ไม่รู้สึกกังวลที่เหลืออยู่ มีแค่ความสบายใจเท่านั้น
สิ่งที่ห้ามยึดติดคือกระบวนการ หากทำพลาดเรื่องนี้ความฝันก็ยากที่จะเป็นจริง คนที่เชื่อว่าต้องห้ามยึดติด เวลาที่พยายามทำให้ความฝันเป็นจริงอยู่เยอะมาก การยึดติดหมายถึงการฝังใจกับบางสิ่งบางอย่างจนไม่ยอมปล่อยวาง เรียกได้ว่าเป็นคำที่มีภาพลักษณ์ในแง่ลบอยู่พอสมควร แต่จริง ๆ แล้วมันมีเวลาที่ต้องยึดติดกับเวลาที่ต้องไม่ยึดติดอยู่ ช่วงเวลาที่ต้องยึดติดคือขั้นตอนแรกสุด ที่ทำความเข้าใจว่าความปรารถนาของตัวเองคืออะไรอย่างชัดเจน
หากไม่ยึดติดกับขั้นนี้ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ต้องนึกภาพความปรารถนาของตัวเอง งาน การแต่งงาน หรือไลฟ์สไตล์ในอนาคตออกมาให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม จากนั้นก็พิจารณาว่าเมื่อทำได้อย่างที่ฝันแล้ว จะอยากให้ตัวเองมีความรู้สึกแบบไหน นี่แหละคือสิ่งที่ควรยึดติดเอาไว้ ให้ความสำคัญที่สุด คือความรู้สึกที่ต้องการหลังจากสมปรารถนา
ในทางกลับกันสิ่งที่ต้องไม่ยึดติดคือ กระบวนการของการทำให้ความฝันเป็นจริง ทั้งนี้เพราะการคิดเกี่ยวกับกระบวนการเป็นหน้าที่ของจิตใต้สำนึก การพยายามคิดเองจะเป็นการไปเกะกะขวางทางจิตใต้สำนึกเสียมากกว่า ตระหนักถึงความปรารถนาของตัวเองอย่างชัดเจนผ่านจิตใต้สำนึกถึงความรู้สึกตอนที่ความปรารถนาเป็นจริง เพื่อสื่อสารให้จิตใต้สำนึกรับรู้จนเป็นนิสัย ส่วนเรื่องกระบวนการก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจิตใต้สำนึกไป เมื่อทำแบบนี้จิตใต้สำนึกซึ่งทำงานเชิงรับจะบอกว่า รับทราบ แล้วสร้างความเป็นจริงที่ต้องการได้ขึ้นมา
ที่ความเป็นจริงไม่ราบรื่นก็เพราะมีพลังงานไม่พอ สิ่งสำคัญคือต้องรีเซ็ตใจกลับสู่จุดเป็นศูนย์ เวลาที่อะไร ๆ ก็ไม่ราบรื่น ต่อให้พยายามทำนู้นทำนี้ไปก็ไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ความรู้สึกก็มีแต่จะดิ่งลงเหวลงไปเรื่อย ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ร้อนรนทนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ไหว จนเริ่มนอนไม่หลับ ไม่รู้แล้วว่าควรทำอย่างไรดี นี่เป็นภาวะที่ทรมานมาก สิ่งที่สังเกตเห็นได้ในตอนนั้นก็คือ เวลาที่อยู่ในโซนลบต่อให้พยายามแค่ไหน ก็จะฝันไม่เป็นจริงอยู่ดี เพราะเวลาที่พลังงานเหลือน้อย ความคิดจะโน้มเอียงไปในทางลบ พลังใจในการทำให้ความฝันเป็นจริงก็เหือดแห้ง
แต่เมื่อพลังงานเพิ่มขึ้น อารมณ์จะดีขึ้น ความคิดจะเริ่มโน้มเอียงไปในทางบวก ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น จะมีแรงในการทำให้ความฝันเป็นจริงมากขึ้น เวลาที่อะไร ๆ ก็ไม่ราบรื่น ต้องมีความตระหนักว่ากำลังตกอยู่ใต้คำสาปที่ว่าต้องทำ จากนั้นก็ให้ความสำคัญกับการทำให้พลังงานของตัวเอง กลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก
ความเป็นจริงคือ สิ่งที่ตัวเราในอดีตสร้างขึ้น แทนที่จะยึดติดว่าอยากเปลี่ยนแปลง ให้หันมาฟื้นฟูพลังงานแล้วมองไปที่ปัจจุบันกับอนาคตดีกว่า ตัวเราในปัจจุบันคือสิ่งที่ตัวเราในอดีตสร้างขึ้น ดังนั้น ต่อให้ตีอกชกหัวไม่ชอบใจตัวเองในตอนนี้แค่ไหน ก็กลับไปเปลี่ยนสิ่งที่สร้างขึ้นในอดีตไม่ได้ การยึดติดว่าอยากเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ลักษณะเฉพาะของคนที่อยู่ในโซนลบ เต็มไปด้วยความคิดเชิงลบ เช่น ไม่ราบรื่นเลย คงเป็นไปไม่ได้ หรือไม่สมหวัง ความรู้สึกด้านชาไม่มีพลังงาน ออกจากวงจรอุบาทว์ไม่ได้
หากเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งในนี้ แทนที่จะตั้งหน้าตั้งตาพยายามต่อ ควรหันมาคิดเรื่องปล่อยวาง เพื่อให้พลังงานกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ดีกว่า เมื่อรีเซ็ตพลังงานจนกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ ค่าเริ่มต้นของอารมณ์ความรู้สึกจะกลายเป็นความสบายใจ ส่งผลให้จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกทำงานสอดประสานกัน ชีวิตจึงเปลี่ยนไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
วิธีเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงที่ดีที่สุดนั้นแสนจะเรียบง่าย แค่รู้สึกดีและซื่อสัตย์กับตัวเองก็พอ วิธีเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงให้ดีขึ้นแบบก้าวกระโดดนั้นเรียบง่ายมาก ก่อนอื่นต้องรู้ตัวว่าตัวเองกำลังพยายามมากเกินไป เพราะเอาแต่ยึดติดว่าต้องเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงให้ได้ จากนั้นก็หันมาใส่ใจกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกดี แล้วใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสบายใจเท่านี้ก็เพียงพอ วิธีเดียวที่จะช่วยรับมือกับจิตใต้สำนึกได้ก็คือ การซื่อสัตย์กับตัวเอง
ลองทำทุกอย่างที่อยากทำเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็ดื่มด่ำกับความรู้สึกพึงพอใจที่ได้จากสิ่งที่ชอบหรือรู้สึกดีดู เพราะหากไม่ทุ่มเต็มที่ระดับนี้ จิตใต้สำนึกก็จะยังไม่มองว่าเรารู้สึกพึงพอใจอยู่ดี แทนที่จะเอาแต่สนใจว่าตัวเองขาดอะไร หันมาสนใจในสิ่งที่มีดีกว่า อย่ามัวแต่สำนึกผิดกับอดีต หันมาใช้ชีวิตในตอนนี้ดีกว่า การรู้สึกดีนี่แหละที่เป็นวิธีเปลี่ยนรูปแบบชีวิตแบบถึงรากถึงโคน หากรู้สึกพึงพอใจกับตอนนี้ได้เมื่อไหร่ ความเป็นจริงแสนวิเศษที่จะทำให้พึงพอใจจะมาหาเอง
มนุษย์มีความสุขได้ลองทำแบบสนุกไปกับมันดู พลังงานที่เป็นจุดเป็นศูนย์คือระดับพลังงานดั้งเดิมของมนุษย์ มันเป็นจุดที่รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเหมือนตอนเป็นเด็ก หากสามารถพาพลังงานที่ลดต่ำเพราะเหนื่อยกับงาน หรือความสัมพันธ์กับคนอื่นให้กลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ได้ ทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้นเองโดยอัตโนมัติ สิ่งสำคัญที่สุดในระหว่างการรีเซ็ตพลังงานคือ การรักษาความรู้สึกดีหรือสบายใจไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง หากทำได้ความเป็นจริงจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ และกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ทำแบบนั้นได้ก็คือ การรู้ว่าสิ่งที่รู้สึกดีสำหรับตัวเองคืออะไร เมื่อใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างรู้สึกดี ความเป็นจริงที่รู้สึกดีก็จะมาเยือน
บทที่ 2
28 วิธีรีเซ็ตใจไปสู่จุดเป็นศูนย์ให้ได้เร็วที่สุด
วิธีรีเชตใจสู่จุดเป็นศูนย์เลเวล 1 มันเป็นขั้นตอนแห่งการฟื้นฟูพลังงาน เป็นขั้นตอนที่จะมองหาสิ่งที่รู้สึกดี เพื่อใช้เป็นหลักยึดให้กับตัวเอง นี่จึงนับเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง แค่เปลี่ยนมุมมองแม้แต่ความรู้สึกโกรธว่า ทำอะไรก็ไม่ราบรื่นสักอย่าง ก็เอามาใช้เป็นพลังงานในการพาตัวเองออกจากวงจรอุบาทว์ได้ เวลาที่อะไร ๆ ก็ไม่ราบรื่นจะรู้สึกกลัดกลุ้ม สับสน วิตกกังวล และในที่สุดความโกรธก็จะพลุ่งพล่านขึ้นมา
ความรู้สึกและความเชื่อในปัจจุบัน จะถ่ายทอดสู่จิตใต้สำนึก แล้วสร้างความเป็นจริงขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ถ้าใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความหงุดหงิดฉุนเฉียว ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะหลงเข้าไปติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ สิ่งที่ต้องระลึกไว้เสมอก็คือ ความเป็นจริงในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ตัวเราในอดีตสร้างขึ้น มันจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ที่ทำได้มีแค่การตีความมันเสียใหม่เท่านั้น จำไว้ว่าสิ่งสำคัญอันดับแรกคือ ต้องตรวจสอบกับตัวเองให้รู้แน่ชัดว่า เป้าหมายหรือทิศทางที่อยากมุ่งหน้าไปคืออะไรกันแน่
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไม่สมหวังอย่างที่ฝัน แต่อยู่ที่การหมกมุ่นกับตอนนี้ที่คิดว่าไม่สมหวัง คนที่กังวลว่าหากปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ได้การ หรือรู้สึกมองไม่เห็นอนาคต แต่ต่อให้พยายามแค่ไหนถ้าลึก ๆ แล้วมีความรู้สึกปฏิเสธตัวเองในตอนนี้อย่าง ไม่สบายใจเลย ชีวิตน่าเบื่อ ต้องเปลี่ยนตัวเองตอนนี้ให้ได้ ความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้นก็จะเป็นลบต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง เวลาที่ความรู้สึกเป็นลบพลังงานก็จะเป็นลบด้วยเช่นกัน ในภาวะแบบนั้นต่อให้พยายามเท่าไหร่ก็ไม่สมหวังอยู่ดี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ไม่สมหวังอย่างที่ฝัน แต่อยู่ที่การหมกมุ่นกับตอนนี้ที่คิดว่าไม่สมหวัง และสิ่งที่จะช่วยแก้ไขได้ก็คือ การมุ่งความสนใจไปที่สิ่งดี ๆ หรือเรื่องเชิงบวกของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักแค่ไหน ต้องทำแบบนี้ความเป็นจริงที่ไม่น่าปรารถนาถึงจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นน่าปรารถนา
การเลือกสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตอย่าง อาหาร เสื้อผ้า หนังสือ หรือภาพยนตร์ด้วยความชอบ คือพื้นฐานของการมีทุก ๆ วันที่รู้สึกดี ตั้งแต่ตื่นเช้ามาจนกระทั่งเข้านอน เวลาที่ต้องเลือกอะไรก็ตาม ควรเลือกโดยใช้ความชอบหรือความรู้สึกดีเป็นเกณฑ์ ควรค้นหาสิ่งที่ชอบให้เจอโดยไม่ต้องใส่ใจกับความคิดเห็นของคนอื่น เพราะการเลือกสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีจนรู้สึกดีอยู่เสมอคือ กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงให้เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญ การรู้ว่าสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีคืออะไร ยังเป็นการรู้จักตัวเองด้วย
การหมกมุ่นกับเรื่องแย่ ๆ เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช่เหตุ หากมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นให้ทำการรีเซ็ตโดยคิดว่าเรื่องมันแล้วไปแล้ว การเอาแต่หมกมุ่นกับเรื่องแย่ ๆ อย่างงานไม่ราบรื่นเลย หัวหน้าทำตัวน่าโมโห หรือไม่มีเงิน จะทำให้อารมณ์ความรู้สึกหนักอึ้ง ส่งผลให้พลังงานตกลงไปอยู่ในโซนลบ ในสภาพแบบนั้นยิ่งหมกมุ่นกับเรื่องแย่ ๆ เพราะอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่มากเท่าไหร่ สถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อย ๆ และเมื่อทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ก็จะตกอยู่ในวงจรอุบาทว์อย่างสมบูรณ์แบบ
ที่สำคัญ ในภาวะที่พลังงานไม่เพียงพอ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง หรือสามารถทำสำเร็จตามที่ฝันได้ ขอให้ลองหยุดสักพัก คิดในใจว่าเรื่องมันแล้วไปแล้ว แล้วเมินสิ่งที่เกิดขึ้นไปเสีย อย่าลืมว่าความเป็นจริงในปัจจุบันคือ สิ่งที่สร้างขึ้นในอดีต ขอแค่ไม่ใส่ใจความเป็นจริงแย่ ๆ (ผลผลิตจากอดีต) ก็จะไม่เสียพลังงานไปกับมัน
หลังจากเลิกหมกมุ่นกับเรื่องแย่ ๆ สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกต่อไปคือ การมุ่งสู่ความสนใจไปที่สิ่งที่ชอบ เพื่อเพิ่มเวลาแห่งความรู้สึกดี ๆ นี่ถือเป็นกฎเหล็กของการเปลี่ยนแปลงชีวิต หากเปลี่ยนทัศนคติมาคิดแบบนี้ได้เมื่อไหร่ จะไม่เสียพลังงานไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วจะรู้สึกสดชื่นแข็งแรงขึ้นทีละนิด
เวลากลุ้มหรือสับสนให้ลองหลับสักงีบ เพื่อฟื้นฟูพลังงานและจัดระเบียบความรู้สึก เมื่อมีคนมากมายที่ไม่รู้ว่าร่างกายตัวเองกำลังร้องขอความช่วยเหลือ พวกเขาพยายามจะแก้ปัญหาจนไม่อยากจะเสียเวลาไปกับการนอน เรียกได้ว่าเป็นคนที่เอาจริงเอาจังมาก ๆ เลยทีเดียว ความคิดที่ว่านอนไม่ได้ มักเกิดขึ้นกับคนที่รู้สึกร้อนรนกับความเป็นจริง หากอยากนอนเมื่อไหร่ก็นอนเลย การนอนให้พอจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง สดชื่น แถมยังช่วยในการจัดระเบียบความรู้สึก นอกจากนี้การกินอาหารนี้มีประโยชน์ก็สำคัญเช่นกัน ลองตรวจสอบดูว่าละเลยเรื่องพื้นฐานเหล่านี้ไปอยู่หรือเปล่า
คนที่ติดอยู่ในวงจรอุบาทว์จะอยู่ในสภาวะขาดออกซิเจนเพราะพลังงานไม่พอ การจัดระเบียบการหายใจจึงเป็นพื้นฐานของการรู้สึกดี จิตใจกับร่างกายจะทำงานควบคู่กันไป เวลาที่อารมณ์ความรู้สึกปั่นป่วน การหายใจจึงพลอยปั่นป่วนไปด้วย เมื่อรู้สึกเครียดจะหายใจตื้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผลคือออกซิเจนในเลือดไม่เพียงพอ และส่งผลกระทบต่อสมองกับระบบประสาทในที่สุด คนที่ติดอยู่ในวงจรอุบาทว์มักอยู่ในภาวะขาดออกซิเจน เพราะพลังงานไม่เพียงพอเป็นเหตุให้เหนื่อยง่าย จนทำอะไรก็ไม่มีประสิทธิภาพ แถมยังไม่มีสมาธิและหงุดหงิดง่ายอีกต่างหาก การใช้ชีวิตแบบรู้สึกดีคือการผ่อนคลาย และมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ต้องการจริง ๆ โดยไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ความรู้สึก ทุกเช้าเวลาตื่นนอนสิ่งแรกที่ควรทำคือ จัดระเบียบการหายใจ เวลาที่รู้สึกเหนื่อยล้าหรือโมโหก็ลองรีเซ็ตตัวเอง ด้วยการหายใจเข้าออกลึก ๆ ดู
ลดสิ่งกีดขวางที่ชื่อ ต้องพยายาม ที่ตัวเองตั้งไว้สูงลงและมุ่งความสนใจไปที่ ความรู้สึกเติมเต็มและความรู้สึกพอใจแทน ความไม่พอใจระหว่างที่ทำการฟื้นฟูพลังงาน นอกจากจะต้องเพิ่มสิ่งที่ชอบ หรือความรู้สึกดีแล้ว ยังต้องมุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกเติมเต็มและรู้สึกพอใจด้วย ทั้งนี้เพราะคนที่ติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ มีแนวโน้มจะชอบเอาสิ่งกีดขวางสูงลิบมาตั้งไว้ แถมยังชอบจับผิดตัวเองเพราะคิดว่าต้องสมบูรณ์แบบ หรือจะมีจุดบกพร่องไม่ได้อีกต่างหาก หากรู้สึกไม่พอใจความเป็นจริงที่ไม่น่าพอใจก็จะมาเยือน เพื่อไม่ให้เป็นแบบนั้น ก่อนอื่นต้องลดระดับสิ่งกีดขวางที่ตั้งไว้ให้ต่ำลง จากนั้นฝึกเปลี่ยนมุมมองเพื่อให้มุ่งความสนใจ ไปที่ความรู้สึกเติมเต็มและความรู้สึกพอใจ
การจัดบ้านคือเทคนิคเสริมดวงแบบง่าย ๆ เมื่อสร้างพื้นที่ที่รู้สึกดีได้พลังงานจะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ การจัดบ้านคือการเก็บกวาดสิ่งที่ไม่ต้องการและเอาอดีตทิ้งไป พูดอีกอย่างก็คือเป็นการตัดสินใจว่าจะอยู่กับปัจจุบัน และจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองเมื่อความรู้สึกนี้ส่งต่อไปถึงจิตใต้สำนึก ความเป็นจริงจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย การใช้ชีวิตแบบรู้สึกดีจะทำให้ความเป็นจริงเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และการสร้างสภาพแวดล้อมที่รู้สึกดี ก็จะช่วยให้พลังงานค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยังส่งผลในด้านบวกต่อความรู้สึกเติมเต็ม และความรู้สึกพอใจด้วย
แม้พลังงานจะฟื้นคืนมาแล้ว แต่ถ้าไม่สบายใจก็อย่าเพิ่งลงมือไปทำอะไร ให้จดจ่อกับการกลับไปสู่จุดเป็นศูนย์ให้ได้ก่อน เมื่อทำตามวิธีฟื้นฟูพลังงานที่ได้แนะนำมา บางคนอาจรู้สึกเหมือนได้หลุดพ้นจากภาวะตกต่ำที่สุดในชีวิต เลยอยากรีบลงมือทำให้ความฝันเป็นจริงเร็ว ๆ หากลึก ๆ ในใจยังมีความร้อนรน หรือความไม่สบายใจอยู่ ก็ไม่ควรรีบทำอะไรทั้งสิ้น
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ทำไม่สำเร็จ ทั้งที่คิดว่าอยากเปลี่ยนแปลง ก็เพราะลงมือทำทั้งที่ยังไม่มีความสบายใจอยู่นั่นเอง ความเป็นจริงในปัจจุบันเป็นสิ่งที่ตัวเราในอดีตสร้างขึ้น กลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ จึงเท่ากับว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงปัจจุบันได้เช่นกัน การพยายามจะเปลี่ยนแปลงให้ได้ ถือเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ มีแต่จะทำให้เหนื่อยล้าทั้งกายและใจเท่านั้น สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือหันเหความสนใจ จากความเป็นจริงที่ไม่ราบรื่นที่อยู่ภายในของตัวเอง จดจ่อกับการกลับไปสู่จุดเป็นศูนย์ให้ได้ เมื่อกลับถึงจุดเป็นศูนย์ได้เมื่อไหร่ จะสามารถลงมือทำด้วยความคิดเชิงบวกได้โดยอัตโนมัติ
วิธีรีเชตใจสู่จุดเป็นศูนย์ เลเวล 2 เมื่อพลังงานค่อย ๆ ฟื้นคืนจนรู้สึกแข็งแรงเมื่อไหร่ ก็จะเข้าสู่เลเวล 2 ซึ่งเน้นไปที่การลงมือทำสิ่งที่รู้สึกดีที่ค้นพบในเลเวล 1 สิ่งที่ควรรู้ไว้ก็คือ คำพูดเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก คำพูดคือพลังงาน ควรป้องกันคำพูดที่ไม่ดีจากภายนอก และต้องระวังคำพูดของตัวเองด้วย เพราะจิตใต้สำนึกจะได้ยินทุกอย่าง แค่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้เอาไว้ อารมณ์ความรู้สึกจะดีขึ้น และดวงก็จะดีขึ้นตามไปด้วย
คำพูดเป็นสิ่งที่สร้างอนาคต คำพูดติดปากหรือคำนินทาว่าร้าย จะดึงดูดเรื่องแย่ ๆ ให้เข้ามา และยังลดระดับพลังงานด้วย จึงเป็นสิ่งที่ไม่ต้องทำเป็นอันขาด คำพูดเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความคิดของมนุษย์ และยังเป็นหนึ่งในสิ่งที่สร้างอนาคต ดังนั้น หากพูดว่าทำไม่ได้ ไม่เอา ไม่ไหวประจำ สักวันความเป็นจริงแบบเดียวกับคำพูดก็จะมาเยือน การฟังคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาเป็นเหมือนกับการออกคำสั่งกับจิตใต้สำนึกนั่นเอง เมื่อเป็นแบบนั้นเรื่องแย่ ๆ ก็จะถูกดึงดูดเข้ามาในชีวิต แถมพลังงานก็จะเอนเอียงไปอยู่ในโซนลบ เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับจงใจผลักตัวเอง ลงสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวัง
หากเผลอเออออตามคำพูดแย่ ๆ ของคนอื่น ให้ปฏิเสธในใจว่า แต่ส่วนตัวแล้วไม่คิดแบบนั้น เพื่อให้ไม่รู้สึกแย่กับตัวเอง ใจจริงแล้วไม่ได้เห็นด้วยแต่กลับต้องพยักหน้า หรือเพราะเป็นหัวหน้าเลยต้องพูดยกยอ สถานการณ์แบบนี้มักทำให้อดรู้สึกแย่กับตัวเองขึ้นมาไม่ได้ ความสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นสิ่งที่ควรรักษาไว้ การเออออตามมารยาทก็เป็นเรื่องที่ยากจะเลี่ยงได้ หลังจากที่เออออหรือจำใจพูดอะไรออกไปให้คิดในใจว่า แต่ส่วนตัวแล้วไม่คิดแบบนั้น การปฏิเสธในใจอย่างชัดเจนแบบนี้ จะช่วยให้ไม่ได้รู้สึกแย่กับตัวเอง คนที่ไม่ถนัดการเข้าสังคมและแสดงความคิดเห็นไม่เก่ง ลองเอาวิธีนี้ไปปรับใช้ดู
เพิ่มพลังงานและสื่อสารกับจิตใต้สำนึก ด้วยคำพูดที่แสดงความนับถือตัวเองอย่าง สุดยอด หรือ ไม่เป็นไร การปฏิเสธหรือรู้สึกแย่กับตัวเองจะนำพาความเป็นจริงที่ไม่น่าพอใจเข้ามา ในขณะที่การนับถือตัวเองจะนำพาความเป็นจริงที่น่าพอใจมาให้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องหันมาใช้คำพูด ช่วยเพิ่มระดับความนับถือตัวเอง คำพูดแต่ละคำมีพลังเฉพาะตัว หากใช้ทั้งร่างกายและจิตใจดื่มด่ำกับคำพูด พลังงานจะได้รับการเติมเต็ม และความเป็นจริงจะเริ่มเปลี่ยนแปลงไป คำพูดที่ทรงพลังที่สุดก็คือ 2 คำต่อไปนี้ คำแรกคือคำว่า สุดยอด การรู้สึกแบบนี้ได้ถือเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่มาก ดังนั้น พยายามพูดคำว่าสุดยอดให้ติดปาก เพื่อเพิ่มความรู้สึกนับถือตัวเองดีกว่า คำที่ 2 คือคำว่า ไม่เป็นไร ซึ่งเป็นคำพูดง่าย ๆ ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับจิตใต้สำนึก เพราะไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานมายืนยัน หากตอนนี้กำลังรู้สึกกังวลหรือไม่สบายใจ ให้ลองบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรดู
ลงมือทำตามความฝัน โดยเติมคำพูดมหัศจรรย์ที่ว่า ก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไม เข้าไป แล้วปาฏิหาริย์เหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้น ต่อให้อยากให้ความฝันเป็นจริงแค่ไหน ถ้าลึก ๆ แล้วรู้สึกว่ายาก ความฝันก็ไม่มีทางเป็นจริงได้ มนุษย์มีแนวโน้มจะมองกระบวนการก่อนไปถึงเป้าหมายว่าเป็นสิ่งที่ยากหรือทำไม่ได้ การบอกว่าก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไม ถือเป็นการปล่อยให้จิตใต้สำนึกเป็นผู้รับผิดชอบ ทำให้สามารถใช้พลังที่มองไม่เห็น และเชื่อในปาฏิหาริย์จากใจจริงได้ หรือเป็นการทำให้ปาฏิหาริย์มาอยู่ในความคาดหมายนั่นเอง
การมีเพลงประจำตัวในการทำความฝันที่เป็นจริง จะช่วยลดยกระดับอารมณ์ความรู้สึกและจินตภาพทำให้ความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงไปเร็วขึ้น การฟังเพลงไม่ได้ช่วยปรับอารมณ์เท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับอารมณ์ ความรู้สึก และจินตภาพให้แข็งแรงขึ้นด้วย สิ่งที่ทำดูก็น่าจะเป็นการเลือกเพลงโปรดขึ้นมา เป็นเพลงประจำตัวในการทำความฝันให้เป็นจริง เมื่อฟังเพลงประจำตัวซ้ำ ๆ จะสามารถบอกความปรารถนากับจิตใต้สำนึกได้ ทำให้ความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงไปเร็วขึ้น เคล็ดลับในการเลือกเพลงประจำตัวคือ ควรเป็นเพลงที่กระตุ้นให้นึกถึงความฝันของตัวเอง และเป็นเพลงที่สื่อถึงสิ่งที่อยากรู้สึกในอนาคต แต่จุดที่ต้องระวังคือ อย่าเลือกเพลงที่กระตุ้นความรู้สึกเศร้าหรือทุกข์ทรมานใจ ควรฟังวันละ 2 ครั้งคือตอนเช้าและตอนเย็น โดยสร้างจินตภาพเกี่ยวกับความฝันไปด้วย
ความรู้สึกอิจฉาคือ อุปสรรคที่ทำให้ไม่สมปรารถนา ความรู้สึกยินดีต่างหากที่จะนำพาความสุขเข้ามา มีสิ่งหนึ่งที่ถ้ามีแล้วรับรองว่าความฝันจะไม่มีทางเป็นจริงนั่นคือ ความรู้สึกอิจฉา ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะจิตใต้สำนึกจะไม่แบ่งแยกว่าอะไรเป็นความจริงอะไรเป็นจินตนาการ หากคิดหรือรู้สึกอะไรซ้ำไปซ้ำมา จิตใต้สำนึกจะมองว่าเป็นคำสั่งและสร้างความเป็นจริงตามความรู้สึกนั้น ๆ แทนที่จะสนใจเรื่องภายนอกซึ่งก่อให้เกิดความอิจฉา ก็มุ่งความสนใจมาสู่เรื่องภายในอย่างความฝัน หรือความรู้สึกดีของตัวเองแทน หากสามารถซึมซับความรู้สึกยินดีได้ จิตใต้สำนึกก็จะนำความเป็นจริงที่น่ายินดีมามอบให้ในที่สุด
เลิกเลียนแบบคนที่ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญอยู่ที่ภายในและความเชื่อ การเปลี่ยนคำพูดหรือพฤติกรรม ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกและพลังงาน บางคนจึงคิดว่าถ้าเลียนแบบคนที่ประสบความสำเร็จ ตัวเองก็น่าจะประสบความสำเร็จไปด้วย แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิดถนัด แทนที่จะทำแบบนั้น ควรมุ่งความสนใจมายังภายในของตัวเอง ลองขบคิดดูว่าสิ่งที่ทำคืออะไร แล้วพยายามมองหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดี จากนั้นก็พยายามนำสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีมาผนวกเข้ากับชีวิตประจำวัน เมื่อเพิ่มความรู้สึกเติมเต็มและความรู้สึกพอใจจนพลังงานเพิ่มขึ้นแล้ว ความสนใจจะเริ่มมุ่งไปที่ภายนอกเองโดยอัตโนมัติ และจะเริ่มมีความเชื่อเฉพาะตัวขึ้นมาว่า อยากเป็นตัวเองแบบไหน
ต่อให้หนังสือบอกว่า ความรู้สึกขอบคุณช่วยให้ชีวิตดีขึ้น แต่ถ้ารู้สึกขอบคุณจากใจจริงไม่ได้ก็อย่าฝืนจะดีกว่า เวลาอ่านหนังสือที่สอนเกี่ยวกับวิธีประสบความสำเร็จในชีวิต ประโยคที่จะเจอบ่อยมากก็คือ ความรู้สึกขอบคุณช่วยให้ชีวิตดีขึ้น พอเห็นประโยคนี้หลายครั้งเข้า หลายคนก็เลยเชื่อว่า ความรู้สึกขอบคุณเป็นสิ่งสำคัญ หรือ หากไม่รู้สึกขอบคุณชีวิตจะไม่ราบรื่น ทันทีที่คิดว่าต้องทำความสนใจ จะไปจดจ่อกับความรู้สึกว่าขาดอะไรไป และความรู้สึกปฏิเสธตัวเอง ทำให้พลังงานลดฮวบ และถ้าทำต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะกลับไปติดอยู่ในวงจรอุบาทว์อีกครั้ง
ความรู้สึกขอบคุณคือ ความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณกับบางคนหรือบางสิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องผุดขึ้นมาเองจากก้นบึ้งของจิตใจ ไม่ใช่จะเค้นออกมาได้ สิ่งที่ควรจะทำในระหว่างที่พยายาม พาพลังงานกลับสู่จุดเป็นศูนย์ ไม่ใช่การพยายามเค้นความรู้สึกขอบคุณออกมา แต่เป็นการมองหาว่าสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกดีมีอะไรบ้าง เมื่อทำแบบนี้จนพลังงานกลับสู่จุดเป็นศูนย์ได้เมื่อไหร่ ความรู้สึกขอบคุณจะผุดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
เพิ่มความเชื่อมั่นต่อการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ด้วยการดูว่าเรื่องที่ทำสำเร็จไปแล้วมีอะไรบ้าง จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ได้ หากทำตามจนถึงตรงนี้ ก็น่าจะรู้สึกสดชื่นแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมกันพอสมควร แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่ต้องระวัง เพราะนี่จะเป็นช่วงที่มีความคิดว่า ลองอ่านหนังสือหรือลองหาคลิปวีดีโอที่น่าจะเอามาใช้อ้างอิงได้ดีไหม จะกลับมาทำให้อารมณ์ความรู้สึกที่สงบลงแล้ว ต้องสับสนวุ่นวายอีกรอบ เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากความวิตกกังวลว่า เป็นแบบนี้ต่อไปจะดีแน่หรอ และความไม่เชื่อมั่นว่าทำแบบนี้แล้วจะเปลี่ยนแปลงได้จริงแน่หรอ ลองทบทวนดูถึงสิ่งที่อยากทำ หรือรู้สึกดีที่ได้มาจนถึงวันนี้ แล้วเขียนออกมาดู จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้ แต่เมื่อได้เห็นว่าตัวเองลงมือทำไปแล้วจะมีความเชื่อมั่นขึ้น ในกรณีที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ก็ขอให้คิดว่าจะลองทำดูดีกว่าแทนก็ได้
เวลาเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ การเขียนข้อดีข้อเสียออกมา และจัดระเบียบความคิด จะช่วยให้เริ่มลงมือทำได้ง่ายขึ้น เวลาที่จะเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ บางคนอาจมีปัญหาเริ่มลงมือทำไม่ได้สักที ในเวลาแบบนี้ ถ้าเขียนข้อดีข้อเสียของสิ่งที่จะทำออกมา แล้วจัดระเบียบความคิดจะเริ่มลงมือทำได้ง่ายขึ้น จัดระเบียบความคิดด้วยการพิจารณาข้อมูลเพื่อชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย หากคิดคำนวณแล้วพบว่ามีดีมากกว่าเสียก็ลงมือทำไปเลย สิ่งที่เชื่อในตอนนี้จะกลายเป็นจริงในอนาคต ถ้าตัดสินใจแล้วสนใจมองแต่สิ่งที่ต้องการก็พอ หากจะมีอะไรเกิดขึ้นก็รอให้มันเกิดก่อนแล้วค่อยคิด
วิธีรีเซตใจสู่จุดเป็นศูนย์ เลเวล 3 ทำสิ่งที่ชอบ แล้วซึมซับความรู้สึกที่เกิดขึ้น แสดงเป็นตัวเองในอุดมคติ และซึมซับความรู้สึกนั้น เพื่อมุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกใด ความรู้สึกนั้นจะแข็งแกร่งทรงพลังขึ้น และเนื่องจากความเป็นจริง เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยความรู้สึก การใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกที่ปรารถนา จึงช่วยให้ได้มาซึ่งชีวิตในแบบที่ปรารถนา
ทำความฝันให้เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น ด้วยการจินตนาการถึงตอนสมปรารถนา ก็รู้สึกดีกับสิ่งที่ฝันอย่างต่อเนื่อง จะเริ่มรู้สึกขึ้นมาจริง ๆ ว่าความฝันนี้อาจเป็นไปได้ก็ได้ เมื่อความฝันเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง อยากให้ลองจินตนาการความรู้สึกตอนที่สมปรารถนา จากนั้นให้ร้องว่า สำเร็จ พร้อมชูกำปั้นด้วย บางคนอาจรู้สึกเขินที่จะออกท่าทางอย่างชูกำปั้น แต่การทำแบบนี้เป็นประจำช่วยเพิ่มพลังงานได้ เพราะฉะนั้นขอให้ลองนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันดู
ไม่จำเป็นต้องพยายามเอาชนะข้อเสียของตัวเองเสมอไป ในบางกรณีมันอาจเป็นข้อดีหรือพรสวรรค์ก็ได้ เลิกคิดเองเออเองแล้วลองนึกถึงสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมาสักข้อดู คนที่คิดว่าถ้าอยากให้ความฝันเป็นจริง ก็ต้องเอาชนะข้อเสียของตัวเองให้ได้มีอยู่เยอะเกิน แทนที่จะมองว่าเป็นข้อเสีย ควรมองมันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้วยอมรับให้ได้ดีกว่า หากทำได้เมื่อไหร่ความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล ทันทีที่ยอมรับว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว จะได้ใช้ชีวิตง่ายขึ้นราวกับโกหก หากเอาแต่มุ่งความสนใจไปที่ข้อเสีย ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการที่เอาสิ่งกีดขวางที่ลดต่ำลงมาแล้ว มายกสูงขึ้นตรงหน้าตัวเองอีกรอบ หากหนักเข้าก็อาจถึงขั้นกลับไปติดอยู่ในวงจรอุบาทว์อีกก็ได้ ด้วยเหตุนี้ จนกว่าพลังงานจะกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ ต้องไม่คิดเรื่องที่เป็นการปฏิเสธตัวเอง ไม่ฝืนทำสิ่งที่เกินกำลัง นี่ถือเป็นกฎเหล็ก
คำพูดคือพลังงาน หากใช้คำพูดเชิงบวกพลังงานจะเปลี่ยน และดวงจะดีขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ คำพูดคืออำนาจเร้นลับ คำพูดเป็นสิ่งที่มีพลังวิญญาณแฝงอยู่ เพราะมันเป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากภายในร่างกาย มันจึงมีพลังอำนาจที่จะช่วยเปลี่ยนดวงชะตาของมนุษย์ได้ การใช้คำพูดโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นการบอกความรู้สึกที่แท้จริงไปยังจิตใต้สำนึก โดยไม่เกี่ยวเลยว่าจะตั้งใจแบบนั้นหรือไม่ ความรู้สึกในปัจจุบันจะสร้างความเป็นจริงในอนาคต
เลิกทำเรื่องที่ต้องฝืนหรือไม่สบายใจ หากเปิดพื้นที่ว่างได้สิ่งใหม่ ๆ จะเข้ามา มนุษย์จะสามารถรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่า ตอนไหนคือเวลาที่ควรเปิดพื้นที่ว่าง แล้วสิ่งที่เป็นเกณฑ์ตัดสินก็คือความรู้สึกดี หากรู้สึกไม่มีเวลาหรือไม่สบายใจแนะนำให้ลองเปิดพื้นที่ว่างดู หากรู้สึกมีเรื่องที่ไม่อยากทำแต่ต้องทำ ให้ลองปล่อยวางแล้วหันมาใช้ชีวิตแบบผ่อนคลายดู เมื่อเปิดพื้นที่ว่างแล้วสิ่งใหม่ ๆ จะเข้ามา ในแง่หนึ่งการเปิดพื้นที่ว่างจึงเปรียบได้กับการตัดใจเดินออกจากอดีต
ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญ แต่ทางที่ดีให้เลิกคิดว่าต้องพยายาม เพราะต้องยึดหลักใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ไว้ก่อน คงมีคนจำนวนมากที่คิดว่าต้องพยายาม จึงจะทำความฝันให้เป็นจริง หรือเปลี่ยนความเป็นจริงได้ ความพยายามเป็นสิ่งสำคัญตอนที่นำพลังงานกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ ก็ต้องทำอย่างตั้งใจและใช้ความพยายาม ถ้าทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ แทนที่จะรู้สึกดีจะรู้สึกอึดอัดใจเสียมากกว่า การมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่รู้สึกดีก็คือ การทำให้จิตใจเบาสบาย เมื่อรู้สึกสนุกและสบายก็จะใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยความรู้สึกดี
อย่าเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่ต้องการ แค่พุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ต้องการ ความรู้สึกดีและพลังงานจะเพิ่มขึ้นทุกวัน เวลาที่ได้ยินคำพูดแย่ ๆ หรือข่าวที่น่าหดหู่ สิ่งสำคัญคือการพยายามรักษาอารมณ์ไม่ให้หม่นหมอง แต่คิดว่าคงมีหลายคนทีเดียวที่นึกถึงเรื่องแย่ ๆ โดยไม่รู้ตัว ส่งผลให้พลังงานถูกเผาผลาญไป พูดได้ว่าไม่มีอะไรที่เปล่าประโยชน์ เท่ากับการใช้เวลาไปกับสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการอีกแล้ว ความรู้สึกดีเกิดจากการมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ตัวเองต้องการ ให้หันไปสนใจสิ่งที่ตัวเองชอบ หรือสิ่งที่ต้องการแทน เมื่อทำแบบนี้จนเป็นนิสัย พลังงานจะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ มุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ต้องการแทนสิ่งที่ไม่ต้องการ จำเรื่องนี้ไว้ให้ดี
หากพยายามทำความฝันให้เป็นจริงแต่ไม่ประสบความสำเร็จ นั่นอาจเป็นเพราะใช้วิธีการผิด จงหยุดพักสักครู่แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่ คนที่บอกว่าความเป็นจริงเปลี่ยนไปคือ คนที่ยกระดับความรู้สึกดีด้วยการมุ่งใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ภายในตัว ในทางกลับกัน คนที่พยายามแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวเอง ทำให้รู้สึกว่าไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย โดยพื้นฐานแล้วสิ่งที่อยู่ภายนอก หรือปัจจุบันที่อดีตสร้างขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ยิ่งพยายามเปลี่ยนแปลงปัจจุบันก็จะยิ่งไม่สมหวัง ในเวลาแบบนี้ลองหยุดพักสักครู่ดู เมื่อภายในจิตใจเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่อยู่ภายนอกก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ถ้าพยายามมากแล้วไม่ต้องรีบร้อน ลองหยุดพักสักครู่แล้วค่อยเริ่มต้นใหม่ก็ได้
เลือกสถานการณ์ที่ชอบแล้วลองแสดงเป็นตัวเองในแบบที่อยากเป็น เมื่อภาพตัวเองที่อยากเป็นฝังลึกลงไปในจิตใต้สำนึกมันก็จะกลายเป็นจริง เมื่อหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์และสดชื่นแข็งแรงขึ้นแล้ว ให้ลองนึกภาพตัวเองที่อยากเป็นดู จากนั้นก็สวมบทบาทดังกล่าวในชีวิตประจำวัน ให้กำหนดสีหน้า ท่าทาง รวมทั้งความเชื่อหรือวิธีคิดในอุดมคติ สุดท้ายให้กำหนดสถานการณ์ที่ชอบ 1 สถานการณ์ โดยกำหนดตามความรู้สึกที่อยากสัมผัสในอนาคต เหนือสิ่งอื่นใดคือการแสดงเป็นตัวเองในแบบที่อยากเป็น ทำให้มีอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมความรู้สึก
จะใช้เวลาในช่วงรอยต่อก่อนที่ความเป็นจริงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร สิ่งที่วิเศษที่สุดคือการสนุกไปกับช่วงที่รอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ความเป็นจริงในปัจจุบันคือสิ่งที่ตัวเราในอดีตสร้างขึ้นมา ส่วนสิ่งที่ในตอนนี้สร้างขึ้นมาจะปรากฏเป็นรูปเป็นร่างในอนาคต มันจึงมีช่วงรอยต่อก่อนที่ความเป็นจริงจะเปลี่ยนแปลงไป คนเรามีความเชื่อที่แตกต่างกันอีกทั้งความเร็วในการสร้างความเชื่อของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ดังนั้น ความเร็วในการเปลี่ยนความเป็นจริงจึงแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละวันมุ่งใส่ใจกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีมากน้อยแค่ไหน ทฤษฎีก็เป็นเพียงทฤษฎีจนกว่าจะได้พบกับความเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง ถ้ารู้สึกท้อแท้ในระหว่างทางจะพักก่อนก็ได้ ขอแค่กลับมามุ่งความสนใจกับความรู้สึกดี จะสามารถเปลี่ยนความเป็นจริงได้แน่นอน สิ่งสำคัญคือปัจจุบัน ถ้าสนุกกับช่วงรอยต่อ ก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ก็สุดยอดเลย
บทที่ 3
12 สัญญาณบอกว่าความเป็นจริงกำลังจะเปลี่ยน
การดึงพลังงานกลับไปยังจุดเป็นศูนย์ต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้น ระหว่างที่ในปัจจุบันกำลังสร้างอนาคตขึ้นมา ต้องรอเวลาสักระยะจึงจะสัมผัสได้ว่า ความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หากไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้แล้ว ทำอะไรด้วยความร้อนรน ก็จะกลับไปตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ทันที เพราะฉะนั้นสิ่งที่ควรเรียนรู้เอาไว้ก็คือ สัญญาณการเปลี่ยนแปลงระหว่างที่พลังงานกำลังกลับคืนมานั้น ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดจะเกิดขึ้น ซึ่งหากรับมือกับมันอย่างชาญฉลาด ก็จะมีความสุขกับทุกวัน ทั้งนี้ความเปลี่ยนแปลงอันน่าตกตะลึง จะเริ่มต้นจากภายในจิตใจ
การมีความสนใจหรืองานอดิเรกใหม่ ๆ ในระหว่างที่มุ่งสนใจกับความรู้สึกดีคือ สัญญาณบอกว่าเริ่มมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว หากในแต่ละวันถอนหายใจพลางรู้สึกว่า ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ น่าเบื่อจัง ความรู้สึกนั้นก็จะฝังลึกลงในจิตใต้สำนึก ส่งผลให้ความเป็นจริงที่ไม่ประสบความสำเร็จและน่าเบื่อเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป แต่ถ้าลองหยุดถอนหายใจแล้วหันมาคิดพิจารณาว่า ตัวเองกังวลหรือยึดติดกับอะไร จากนั้นก็ใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการทำให้ตัวเองรู้สึกดี ภายในจิตใจก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปทีละนิด
สัญญาณการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งก็คือ ความชอบ ความสนใจ และรสนิยมจะเปลี่ยนไป อยู่ ๆ ก็จะมีความสนใจใหม่ ๆ งานอดิเรกเปลี่ยนไป หรือสิ่งที่เคยชอบกลายเป็นสิ่งที่ไม่ชอบขึ้นมากระทันหัน สิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้น พลังงานของจุดเป็นศูนย์คือ พลังแห่งความกระตือรือร้นที่มีตอนเป็นเด็ก บางคนอาจกลับมาสนุกสนานตื่นเต้นเหมือนตอนเป็นเด็ก ส่วนมากอาจกลับมาสนใจสิ่งที่เคยทิ้งภายหลังจากเริ่มทำงาน
เวลาที่ความสนใจหรืองานอดิเรกเปลี่ยนไปแบบกะทันหัน จะรู้สึกว่ารู้สึกดียังไงไม่รู้ ก็แสดงว่าพลังงานกลับคืนมาแล้ว พูดได้ว่าความสนใจหรือความชอบใหม่ ๆ เป็นคำบอกใบ้ทิศทางที่จะช่วยให้เปลี่ยนชีวิตต่อจากนี้อย่างรู้สึกดี
หากเลิกใส่ใจกับชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อหน่าย หรือความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ได้ ทั้งที่ความเป็นจริงยังคงเหมือนเดิม ก็แสดงว่าภายในจิตใจเปลี่ยนแปลงไปแล้ว หากเริ่มรู้สึกสนุกกับชีวิตประจำวันที่น่าเบื่อหน่าย และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย นั่นเป็นสัญญาบอกว่าพลังงานเริ่มกลับมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกสนุกที่ว่านี้ยังไม่ถึงขั้นทำให้ตื่นเต้นได้ ความรู้สึกสนุกที่เกิดขึ้นนั้น ใกล้เคียงกับความรู้สึกว่า ได้รับการเติมเต็มมากกว่า เมื่อจิตใจได้รับการเติมเต็ม ก็จะเลิกใส่ใจกับงานที่น่าเบื่อหน่ายไปเอง
บรรยากาศรอบ ๆ ตัวจะเปลี่ยนไป เมื่อจิตใจได้รับการเติมเต็ม การเริ่มเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นเป็นสัญญาณบอกว่า ความเป็นจริงกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดี การเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งใหญ่จะค่อย ๆ เริ่มต้นจากภายในจิตใจ เนื่องจากชีวิตประจำวัน และรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในทันทีทันใด หลายคนจึงไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ต้องรอให้คนรอบข้างทักจึงจะรู้ตัว หากคนรอบข้างเริ่มพูดว่าช่วงนี้ดูเปลี่ยนไปนะ ดูสดใสขึ้นแล้ว ก็น่าจะเป็นสัญญาณบอกว่า เปลี่ยนแปลงจากแต่ก่อนพอสมควรแล้ว อีกทั้งเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า สภาพจิตใจก็เริ่มส่งผลต่อความเป็นจริง
หากเปิดใจ คนรอบข้างก็จะเปิดใจให้ด้วยเช่นกัน โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีมักเป็นคนเปิดใจ พูดได้ว่าคนที่คิดบวกจะรายล้อมไปด้วยคนคิดบวก ส่วนคนที่คิดลบก็จะดึงดูดคนที่คิดลบ การมุ่งใส่ใจกับความรู้สึกดี จะเชื่อมโยงไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้รู้สึกดี เนื่องจากความสัมพันธ์กับผู้คนเป็นพื้นฐานในการสร้างชีวิตที่ดีขึ้น มันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ไม่ว่าจะมีคนเข้าหาหรือตีจากก็ตาม หากความสัมพันธ์เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ก็แสดงว่าไม่เพียงภายในจิตใจเท่านั้น แต่ยังเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงกับความเป็นจริงภายนอกด้วย ความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญ เมื่อพลังงานภายในจิตใจเปลี่ยนแปลงไป ความเป็นจริงภายนอกอย่างความสัมพันธ์ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นด้วย ช่วงที่ภาวะพลังงานอยู่ในโซนลบ จะมองผู้คนหรือเรื่องราวต่าง ๆ ในเชิงลบเท่านั้น แต่เมื่อฟื้นฟูพลังงานกลับมาแล้ว ก็จะรายล้อมไปด้วยผู้คนดี ๆ หรือเรื่องราวเชิงบวก นี่คือกฎของการจูนคลื่นให้ตรงกัน แม้จะมีคนจากไป แต่ก็จะมีคนที่ต้องการปรากฏตัวขึ้นเช่นกัน ซึ่งสุดท้ายแล้วคนสำคัญจะยังคงอยู่ต่อไป ตอนที่พลังงานเปลี่ยนแปลงไปนี่แหละ ต้องมุ่งสร้างความสัมพันธ์กับคนที่คบหาด้วยแล้วรู้สึกดี สิ่งนี้จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต
การเห็นเลขซ้ำบ่อย ๆ เป็นสัญญาณแห่งความโชคดี ที่บอกให้รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ หรือจุดเปลี่ยนของชีวิต อย่าปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป เลขซ้ำในที่นี้หมายถึงชุดตัวเลขที่เรียงซ้ำกันอย่าง 999 หรือ 111 ความเป็นไปได้ที่จะเห็นเลขซ้ำในชีวิตประจำวันแบบนี้มีไม่มากนัก แต่นี่เป็นสัญญาณบอกว่าความเป็นจริงกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตามพลังงาน (คลื่น) ของคนคนนั้น มันก็เหมือนกับการค้นหาคลื่นวิทยุ เวลาที่เปลี่ยนคลื่นก็จะได้ยินเสียงซ่าแทรกดังเข้ามา ซึ่งเสียงแทรกดังกล่าวก็เปรียบเสมือนปรากฏการณ์ประหลาด อย่างการเห็นเลขซ้ำนั่นเอง
ตัวเลขคือสาร ถ้าเห็นเลขซ้ำบ่อย ๆ ก็เหมือนกับการได้รับสารที่มีข้อความว่า ตอนนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญ หรือนี่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต อาจมีคนที่คิดว่าตัวเลขตีความได้หลายแบบ แต่แทนที่จะเสียเวลาไปกับการค้นหาความหมายของตัวเลข ให้พินิจพิจารณาภายในจิตใจของตัวเองใหม่ว่า มีเรื่องที่ทำค้างไว้ไหม แล้วมีสิ่งที่ควรจะตัดสินใจตอนนี้หรือเปล่า จากนั้นก็จัดการสิ่งเหล่านั้นให้เรียบร้อย
การมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างรุนแรง เป็นผลมาจากการเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิต ในเวลาแบบนี้ให้ใส่ใจกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีต่อไป เมื่อภายในจิตใจเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่สนใจก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ถ้าเข้าใจว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ สัญญาณบอกความเปลี่ยนแปลงของชีวิตก็จะใจเย็นและรับมือได้ แต่เพราะไม่เข้าใจจึงรู้สึกกังวลและมีอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างรุนแรง เมื่อค้นหาความสนใจใหม่ไม่พบสักที
ในกรณีแบบนี้แนะนำว่า ถึงจะกังวลแต่ก็ต้องทำสิ่งที่ตัวเองสนใจ หรือสิ่งที่ทำให้รู้สึกดีต่อไป แล้วความเป็นจริงจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน อย่าคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อขจัดความกังวลหรือความร้อนรน การคิดว่าต้องทำเป็นการคิดเชิงลบที่เพิ่มความรู้สึกไม่ดีให้กับตัวเอง ดังนั้น หากคิดแบบนี้ก็จะกลับไปตกอยู่ในวงจรอุบาทว์อีกครั้งได้ หรือมีความวิตกกังวลเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิต ในเมื่อการเปลี่ยนแปลงที่จะนำไปสู่ชีวิตแบบใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็ควรรอการเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไป ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายดีกว่า
การเจอประสบการณ์เดจาวูในชีวิตประจำวัน เป็นสัญญาณบอกว่าพลังงานกลับคืนมาแล้ว อีก 2-3 เดือนหลังจากนั้นอาจเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นก็ได้ เดจาวูโดยทั่วไปแล้วหมายถึง ปรากฏการณ์ที่รู้สึกเหมือนเคยประสบเหตุการณ์บางอย่างมาก่อน ทั้งที่ไม่เคยประสบเหตุการณ์นั้นจริง สิ่งที่รู้สึกหรือเคยสัมผัสได้จากที่ไหนสักแห่ง จะกลายเป็นจริงเมื่อเจอกับเดจาวูแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา ร่างกายก็จะเรียนรู้ว่าสิ่งที่รู้สึกจะกลายเป็นจริง และจิตใต้สำนึกจะสร้างความเป็นจริง ในขณะเดียวกันถ้าให้ความสำคัญกับความรู้สึกที่จะช่วยให้มีความมั่นใจว่า สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้แน่นอน หากได้สัมผัสกับเดจาวู ซึ่งอาจเป็นสัญญาบอกว่า เชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึกแล้ว ดังนั้น อดใจรอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นดีกว่า
เมื่อพลังงานกลับคืนมาแล้ว ข้อมูลที่อยากได้และรายได้พิเศษก็จะเข้ามา พอข้อมูลและเงินเริ่มหมุนเวียน ชีวิตก็จะเริ่มหมุนเวียนไปในทางที่ดีขึ้นเช่นกัน เมื่อไปร้านหนังสือ หนังสือที่อยากได้จะผ่านเข้ามาในสายตาเอง เมื่ออ่านนิตยสารก็จะสะดุดตากับข้อมูลที่อยากรู้ และเมื่อคุยกับเพื่อนหรือคนรู้จัก อีกฝ่ายก็จะบอกข้อมูลที่อยากรู้เอง หากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพลังงานกลับคืนมามากพอสมควรแล้ว หากพลังงานกลับคืนมาจนเข้าใกล้จุดเป็นศูนย์ ก็อาจเกิดเหตุการณ์ที่ข้อมูลต่าง ๆ ไล่ตามเช่นนี้ได้ จะโชคดีได้รับข้อมูลที่อยากได้หรือจำเป็นจริง ๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาค้นหา ไม่เพียงข้อมูลอย่างเดียวแต่เงินก็จะเข้ามาหาอย่างน่าอัศจรรย์ด้วย
เงินคือพลังงาน ถ้าลองพิจารณานักกีฬาระดับโลกและนักธุรกิจแถวหน้าก็จะพบว่า รายได้และทรัพย์สินของพวกเขามักแปรผันตามระดับพลังงานของเจ้าตัว ในกรณีของคนทั่วไปก็เหมือนกัน พลังงานจะดึงดูดเงินให้เข้ามาหา ดังนั้น หากมีพลังงานมากขึ้น โบนัสก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงอาจถูกลอตเตอรี่หรือได้บัตรกำนัลเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งทำให้มีรายได้พิเศษเพิ่มเข้ามา
การที่เปลี่ยนความคิดเชิงลบให้เป็นความคิดเชิงบวกได้ ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่า ชีวิตต่อจากนี้จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี เมื่อพลังงานกลับคืนมาจนเข้าใกล้จุดเป็นศูนย์ ความคิดเชิงลบแบบนั้นจะหายวับไป เพราะจะเปลี่ยนมามีความคิดเชิงบวก ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกับตัวเองในอดีต เมื่อมองโลกในแง่ดีและมีมุมมองที่กว้างขึ้นแล้ว ใบหน้าก็จะสดใสขึ้นมาและมีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย พูดง่าย ๆ ก็คือรูปลักษณ์จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ความเปลี่ยนแปลงนี้แหละคือ สัญญาณบ่งบอกว่าชีวิตกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดี โดยความเปลี่ยนแปลงในชีวิตครั้งใหญ่ จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
เมื่อพลังงานกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ ก็จะเปี่ยมไปด้วยพลัง ทำให้เริ่มคิดว่าน่าสนุกดีนะ อยากลองทำดูจัง สิ่งที่สร้างความเป็นจริงคือความรู้สึกหรือจิตใต้สำนึก เมื่อพลังงานกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ และสดชื่นแข็งแรงขึ้นแล้ว ความเป็นจริงที่ว่าเปี่ยมไปด้วยพลังก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสัญญาณบ่งบอกว่าจะเกิดความเป็นจริงดังกล่าวขึ้นก็คือ การรู้สึกว่าอยากทำนั่นเอง หากลังเลอยู่ในหัวว่าต้องลงมือทำได้แล้วมั้ง หรือทำ…ดีกว่ามั้ง สิ่งที่กังวลก็จะกลายเป็นจริง
ดังนั้น ในกรณีนี้ห้ามลงมือทำเป็นอันขาด เพราะยังอยู่ในภาวะที่พลังงานไม่เพียงพอ ในทางกลับกัน ถ้าสามารถพูดโดยไม่ลังเลได้ว่า มันน่าสนุกและน่าสนใจก็เลยอยากทำ แนะนำให้ลองทำดูโดยจะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนก็ได้ แต่ทางที่ดีอย่ากดดันตัวเองว่า ถ้าจะทำก็ต้องทำให้สำเร็จ หรือต้องสร้างผลลัพธ์ให้ได้ ในการทำอะไรก็ตาม ต้องเริ่มจากการทำให้พลังงานของตัวเองกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์เสียก่อน เมื่อใช้ชีวิตโดยมุ่งใส่ใจกับความรู้สึกที่ดี ก็เจอค้นพบสิ่งที่อยากทำและสนุกไปกับงาน ถ้ายิ่งมีรายได้เสริมเข้ามาอีกด้วย พลังงานกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ที่ยืนเหมาะสมกับตัวเองได้
การรู้สึกแปลกแยกกับสภาพแวดล้อมเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าต้องเปลี่ยนเวทีแล้ว จงมองหาเวทีใหม่แล้วย้ายไปที่นั่น เกณฑ์ในการตัดสินยังคงเป็นความรู้สึกดีของตัวเองเหมือนเดิม ไม่ควรลาออกจากงานเพราะไม่พอใจกับความเป็นจริงภายนอกอย่าง ไม่ชอบงานบริษัทหรือความสัมพันธ์ที่ไม่ดี ขอแค่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกดี ก็จะพบคำตอบได้เองว่าควรทำอย่างไร ถ้ารู้สึกตื่นเต้นและคิดขึ้นมาว่า อยากทดสอบตัวเองในสภาพแวดล้อมอื่น นั่นเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่าเวทีชีวิตเปลี่ยนไปแล้ว ต้องคิดว่านี่เป็นสัญญาณบอกว่า เวลานี้แหละที่ควรเปลี่ยนสภาพแวดล้อม อย่างไรก็ตามสมองของมนุษย์ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เพราะจิตใต้สำนึกคิดว่าการทำแบบเดิมต่อไปจะช่วยปกป้องให้ปลอดภัยได้มากที่สุด ในเวลาแบบนี้ให้ฟังเสียงของหัวใจตัวเองอีกครั้ง แล้วนึกทบทวนดูว่าการตัดสินใจแบบไหน ที่จะทำให้รู้สึกดีมากที่สุด
การเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจครั้งใหญ่ จะทำให้เกิดความมั่นใจ ซึ่งถ้ารู้สึกดีทุกวันเมื่อไหร่ ก็แสดงว่าพลังงานกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์แล้ว เมื่อพลังงานของตัวเองกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์แล้ว อาจคิดว่าตัวเองจะรู้สึกตื่นเต้นกับชีวิตในแต่ละวัน จึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ทั้งยังคิดว่ารู้สึกสนุกและพึงพอใจกับทุก ๆ วันโดยไม่มีเหตุผล ภาวะที่สงบและผ่อนคลายเช่นนี้คือ ความรู้สึกของจุดเป็นศูนย์ หากมุ่งความสนใจไปยังความรู้สึกดี และสามารถทำให้พลังงานกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ได้ ชีวิตที่มีแต่ความรู้สึกดีจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน อาจจะรู้สึกท้อแท้ในบางเวลา แต่ขอให้ทำให้พลังงานกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ได้ ก็จะไม่เป็นไรอย่างแน่นอน หากซื่อสัตย์กับใจตัวเอง ก็จะประสบความสำเร็จในชีวิต
บทที่ 4
10 คำใบ้ในการทำให้ความฝันเป็นจริง
เมื่อระดับพลังงานกลับคืนสู่จุดเป็นศูนย์ ก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการมาได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น วิธีที่จะทำให้ความฝันเป็นจริง โดยไล่ตั้งแต่การจดโน้ตความฝัน สิ่งที่ต้องทำเป็นประจำในตอนเช้าและตอนกลางคืน ไปจนถึงเคล็ดลับในการเพิ่มเงิน สิ่งที่กำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมสูง มีแต่วิธีที่ทำได้ง่าย ๆ ทั้งนั้น หากทำติดต่อกันไปเรื่อย ๆ แล้ว ความเป็นจริงจะต้องเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างแน่นอน
หากกำหนดเวลาที่เหลืออยู่ความฝันก็จะปรากฏขึ้นมาเอง แล้วสิ่งที่รู้สึกว่าอยากทำในตอนนี้ก็จะกลายเป็นความจริงในที่สุด อาจคิดว่าการมีความฝันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เพราะปกติก็แค่ฝ่าฟันอุปสรรคในชีวิตแต่ละวันไปให้ได้ก็เต็มกลืนแล้ว หารู้ไม่ว่าเวลาแบบนี้นี่แหละที่เหมาะกับการมีความฝันมากที่สุด ในเมื่อต่อสู้กับความเป็นจริงที่เผชิญอยู่ต่อไปทั้ง ๆ อย่างนี้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มามุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกของตัวเองกันดีกว่า เชื่อว่าความฝันหรือสิ่งที่รู้สึกอยู่ในใจว่าอยากทำในตอนนี้ จะต้องกลายมาเป็นความจริงในวันข้างหน้าได้อย่างแน่นอน ถ้ามีชีวิตอยู่ได้เพียงแค่ 90 วัน อยากทำอะไร ถ้าได้ลองสมมุติดูว่าเวลาของตัวเองเหลืออยู่ไม่มาก ความฝันก็จะปรากฏขึ้นมาเอง และเมื่อหาความฝันเจอแล้ว ความรู้สึกที่อยากจะทำให้ความฝันเป็นจริงก็จะเกิดขึ้นตามมาด้วย พูดอีกอย่างคือความรู้สึกดังกล่าว จะกลายเป็นพลังที่ช่วยเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงนั่นเอง
วิธีสร้างสมุดโน๊ตความฝัน ที่จะดึงเอาความฝันที่แท้จริงออกมาและทำให้เป็นจริง ว่ากันว่าหากเขียนความปรารถนาลงไปในกระดาษก็จะกลายเป็นจริง เพราะการเขียนออกมาจะทำให้ความปรารถนาชัดเจนและจับต้องได้มากขึ้น จิตใต้สำนึกจึงจดจำเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่จำเป็นมีเพียงสมุดโน๊ตกับปากกา ขอแค่มีเวลาสัก 10 นาทีไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ ประเด็นสำคัญของการจดโน้ตความฝันทำได้ดังนี้
- จดโน๊ตความฝันจากอนาคตไปหาปัจจุบัน ในการจดโน้ตความฝันวิธีการคือ ไม่ต้องสนใจความเป็นจริงและให้เริ่มเขียนจากอนาคตไปหาปัจจุบัน อันดับแรกให้ขยายความฝันสูงสุด หรืออุดมคติที่ตัวเองต้องการไปให้ถึงเป็นอย่างสุดท้าย จากนั้นก็เขียนความฝันไปอีกสัก 5-10 อย่าง โดยไล่จากอนาคตไปหาปัจจุบัน
- จดโน้ตความฝันโดยไม่จำกัดเนื้อหาเท่าที่จะทำได้ การจดโน้ตความฝันจากอนาคตไปหาปัจจุบันโดยไม่สนใจความเป็นจริง คือวิธีที่ช่วยตัดเรื่องของลำดับขั้นตอนอย่าง ผ่านการสอบวัดคุณสมบัติ ” หางาน” แต่งงาน ออกไปและช่วยดึงเอาความฝัน หรือความปรารถนาที่แท้จริง ซึ่งตัวเองไม่เคยตระหนักถึงออกมา หากต้องจดโน้ตความฝันด้วยคำนึงถึงลำดับขั้นตอนตามความเป็นจริง ก็จะมองไม่เห็นความฝันที่ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก เวลาจดโน๊ตความฝันจึงควรเขียนโดยไม่จำกัดเนื้อหาเท่าที่จะทำได้
- 3. นึกถึงความรู้สึกตอนที่ความฝันแต่ละอย่างเป็นจริง สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อจดโน๊ตหรือความฝันเสร็จแล้วคือ การนั่งนึกถึงความรู้สึกตอนที่ความฝันเป็นจริง เพราะการได้สัมผัสกับความรู้สึกพึงพอใจ ในตอนที่ความฝันเป็นจริง จะทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีพลัง และกระตือรือร้นไปทั้งวัน ทั้งนี้ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 10 นาทีเท่านั้น
ปกติแล้วการจดโน๊ตความฝันต้องทำเป็นประจำทุกวัน โดยจะเขียนความฝันเดียวกันกับเมื่อวาน หรือความฝันที่ต่างออกไปก็ได้ ความฝันที่แม้แต่ตัวเองยังรู้สึกคาดไม่ถึงลงไปในสมุดโน๊ต ก็อาจมีกรณีที่รู้สึกพึงพอใจในตอนที่คิดว่ามันกลายเป็นจริงขึ้นมา และกรณีที่ไม่รู้สึกอะไรเลย หากไม่มีความรู้สึกอะไรเลยออกมาจริง ๆ นั่นเป็นเพราะมันไม่ใช่ความปรารถนาที่แท้จริงก็เป็นได้ ลองจดเอาความฝันที่ผุดขึ้นมาในความคิดไปพร้อม ๆ กับตรวจสอบความรู้สึกของตัวเองดู เมื่อทำติดต่อกันสักพัก ความรู้สึกตอนที่ความฝันเป็นจริงจะเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายต่อให้ไม่ต้องอ่านสมุดโน้ตความฝัน ก็จะสามารถมีความสุขได้จากการนึกถึงความฝันเพียงอย่างเดียว ซึ่งนี่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าความฝันได้ส่งไปถึงจิตได้สำนึกแล้ว ควรจดโน้ตความฝันตอนเช้า เพราะมันจะทำให้ใช้ชีวิตอย่างอารมณ์ดีไปทั้งวัน
ใช้เวลา 30 นาทีกับกิจวัตรยามเช้าที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิต และปรับอารมณ์ในวันนั้นให้ดีขึ้น กิจวัตรยามเช้าคือการอุ่นเครื่องร่างกาย ให้สามารถผ่านวันนั้นไปได้อย่างสบายใจ ช่วงเวลาหลังตื่นนอนตอนเช้าคือช่วงเวลาทอง ที่จิตใต้สำนึกมีอำนาจเหนือทุกอย่าง ซึ่งอาจพูดได้ว่าวิธีใช้เวลาตอนเช้า เป็นสิ่งจำเป็นต่อการฝังความปรารถนาลงไปในจิตใต้สำนึก เพื่อเปลี่ยนแปลงความเป็นจริง และทำให้ความฝันเป็นจริง
สำหรับคนที่ไม่สามารถข้ามผ่านความเป็นจริงอันโหดร้ายไปได้ หากไร้ซึ่งแรงใจ กล้าทำกิจวัตรยามเช้าจนติดเป็นนิสัย จะช่วยให้มีแนวทางเป็นของตัวเอง และไม่ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับเรื่องที่ตัวเองไม่ชอบ เพราะฉะนั้นลองตื่นเช้ากว่าปกติสัก 30 นาที แล้วทำ 5 อย่างต่อไปนี้ดู
- ตื่นนอนอย่างไม่รีบร้อน ควรตื่นนอนอย่างไรไม่รีบร้อนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความยุ่งเหยิง
- ปรับความรู้สึกตามสิ่งที่จินตนาการ แล้วทำท่าชูกำปั้น หากจะบอกว่าสิ่งที่เห็นตอนลืมตาตื่นคือ สิ่งที่กำหนดอารมณ์ของวันนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง ด้วยเหตุนี้การเขียนใส่กระดาษว่า พลังเหลือล้น หรือ วันนี้ก็สุดยอดเลย แล้ววางไว้ข้างหมอน จึงเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดีเกินคาด เพราะมันทำให้ข้อความถูกป้อนเข้าสู่จิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติแล้ว สรุปคือการจินตนาการถึงภาพในแง่บวก จะช่วยเพิ่มพลังให้นั่นเอง
- ลิ้มรสเครื่องดื่มที่ชอบไปพร้อมกับผ่อนคลายตัวเอง อย่างไรก็ตาม ไม่ควรดื่มอย่างเร่งรีบพลางพะวงเรื่องเวลา และไม่ดื่มพร้อมกับดูสมาร์ทโฟน หรือเตรียมตัวไปด้วย เพราะสิ่งที่ควรทำจริง ๆ คือการค่อย ๆ ลิ้มรสอย่างตั้งใจ เพื่อผ่อนคลายตัวเองต่างหาก
- ใช้การจดโน๊ตความฝันส่งสารไปยังจิตใต้สำนึก ในเมื่อผ่อนคลายและเติมพลังงานกันไปแล้ว ที่นี้ก็ถึงเวลาที่การจดโน้ตความฝัน จะต้องออกโรง ซึ่งนี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากเลยทีเดียว พอมีพลังงานเพิ่มขึ้น ก็จะจินตนาการถึงความรู้สึกตอนที่ความฝันเป็นจริงได้มากขึ้นกว่าเดิม ด้วยเหตุนี้ จึงอาจจดจ่ออยู่กับมันมากเกินไป จนเป็นเหตุให้ไปทำงานสายได้ การจดโน้ตความฝันคือ สิ่งที่สนุกได้จนลืมเวลาก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลย
- สร้างความรู้สึกดีให้กับตัวเองด้วยการฟังเพลง ตอนฟังเพลงที่ชอบหรือเพลงที่ทำให้รู้สึกดี จิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกจะทำงานสอดประสานกัน สมองจึงอยู่ในภาวะที่ผ่อนคลาย ส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นและมีพลังเพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงอยากแนะนำให้หาเพลงสักเพลง ที่เข้ากับภาพในจินตนาการที่ว่า อยากให้ตัวเองเป็นแบบนี้ แล้วฟังเพลงซ้ำ ๆ หลายครั้งในตอนเช้า ทั้งหมดนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเท่านั้น เรียกได้ว่าแค่ตื่นเร็วกว่าเดิม 30 นาทีก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น และสามารถใช้ชีวิตในแต่ละวันได้อย่างอารมณ์ดี หากเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าอยากเริ่มทำอะไรบางอย่างที่จะนำไปสู่อนาคตที่ดี ลองเริ่มจากการทำอะไรสักอย่างในตอนเช้า จะเห็นว่าแค่เปลี่ยนวิธีใช้เวลา 30 นาทีในตอนเช้า ก็ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในชีวิตได้แล้ว
กิจวัตรยามค่ำที่จะเปลี่ยนวันแย่ ๆ ให้กลายเป็นวันดี ๆ ไม่ใช่แค่ตอนเช้าเท่านั้น แต่ช่วงเวลาก่อนนอนก็เป็นช่วงเวลาทอง ที่จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกจะมีปฏิสัมพันธ์กันด้วยเช่นกัน พูดอีกอย่างคือเป็นตอนที่สามารถฝังความคิด หรือความรู้สึกลงไปในจิตใต้สำนึกได้อย่างง่ายดายนั่นเอง นอกจากนี้จิตใต้สำนึกยังทำงานอย่างกระตือรือร้นในระหว่างที่นอนหลับ ซึ่งมีแนวโน้มสูงว่าสามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้อย่างราบรื่น หากฝังข้อมูลเชิงบวกลงในจิตใต้สำนึกได้ในช่วงเวลาก่อนนอน
ในทางกลับกัน หากข้อมูลเชิงลบที่เกิดขึ้นในวันนั้นถูกฝังลงไปแทน ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวัน ก็จะรู้สึกแย่เมื่อเผชิญเข้ากับความจริงอันแสนโหดร้าย มาทำกิจวัตร 5 ข้อต่อไปนี้ ในช่วงเวลาทองก่อนที่จะงีบหลับ
- หลังเลิกงานแล้วให้ทิ้งความรู้สึกเชิงลบไป คำพูดก่อนนอนจะกลายเป็นคติพจน์ให้กับวันถัดไป ช่วงนั้นจึงอยู่ในโหมดสู้รบตั้งแต่เช้าเสมอ เรียกได้ว่าซ้ำรอยเดิมอยู่หลังนั้นหลายต่อหลายครั้ง ทั้งที่อยากจะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงแท้ ๆ แต่กลับตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบ แน่นอนว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นคงไม่พ้นการที่มีวิธีนอนหลับแบบแย่ ๆ นั่นเอง หลังเลิกงานจึงตัดสินใจลืมเรื่องงานไปให้หมดสิ้น
- ลิ้มรสชาติอาหารมื้อเย็นอย่างตั้งอกตั้งใจ การกินคือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่หลายครั้งมักหลงลืมความสนุกที่ว่านี้ไป
- ผ่อนคลายและกำจัดความเหนื่อยล้าในแต่ละวันออกไปด้วยเสียงเพลง หลังอาหารมื้อเย็นคือช่วงเวลาพักผ่อน จึงควรใช้เวลาช่วงนี้ไปกับการฟังเพลงเพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์ เพราะการฟังเพลงทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และช่วยฟื้นฟูจิตใจที่เหนื่อยล้าให้กลับคืนมาดังเดิม
- 4. ท่องคำพูดเชิงบวก 3 ครั้ง เพื่อปรับเปลี่ยนความรู้สึกในวันนั้น หนึ่งในแนวคิดเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกคือ สิ่งที่ตัวเองเชื่อหรือรู้สึกในปัจจุบันจะกลายเป็นความจริง จึงอาจพูดได้ว่าต่อให้จะผ่านมาด้วยความรู้สึกแง่ลบ แต่ถ้าส่งความรู้สึกที่ว่า วันนี้ก็ดีนะ ไปยังจิตใต้สำนึกได้อย่างหนักแน่น และสมจริงในช่วงเวลาก่อนนอน เรื่องราวแย่ ๆ ในวันนั้นก็อาจเปลี่ยนไปเป็นเรื่องราวในวันดี ๆ ได้ ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ควรทำจึงเป็นการท่องคำสั้น ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าความฝันจะเป็นจริงในที่สุด วิธีการคือให้ท่องในใจ 3 ครั้ง โดยจะทำตอนที่นอนอยู่บนเตียงหรือตอนที่นั่งพักอยู่บนโซฟาก็ได้ เชื่อเถอะว่าการส่งคำพูดที่ต้องการไปยังจิตใต้สำนึกอย่างจริงจัง จะทำให้พลังงานท่วมท้นขึ้นมาอย่างแน่นอน
- เปลี่ยนบทสรุปของแต่ละวันด้วยท่าชูกำปั้น หากส่งคำพูดไปยังจิตใต้สำนึกได้แล้ว ที่เหลือก็แค่ทำท่าชูกำปั้นขึ้นมาเท่านั้น วิธีการสามารถทำเหมือนกับตอนที่ทำกิจวัตรประจำวันตอนเช้าได้ หากตั้งใจสร้างบทสรุปว่าไม่รู้หรอกนะว่าทำไม แต่วันนี้เป็นวันที่สุดยอดไปเลย แล้วส่งไปยังจิตใต้สำนึกได้ จิตใต้สำนึกก็จะถือเอาบทเรียนสรุปวันนั้นมาเป็นคำสั่งและทำให้มันเป็นจริง
ว่ากันว่าจิตสำนึกมีอิทธิพลต่อมนุษย์เพียง 10% เท่านั้น ในขณะที่จิตใต้สำนึกทำงานระหว่างนอนหลับ และมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์มากถึง 90% เมื่อใดที่ทำกิจวัตรยามค่ำเหล่านี้ได้จนชำนาญ เมื่อนั้นจะสามารถฟื้นฟูพลังงานได้ แม้ในตอนที่ถูกความคิดเชิงลบครอบงำ จนก้าวต่อไปข้างหน้าไม่ได้ก็ตาม
ไม่ว่าใครก็เพิ่มรายรับได้ หากรู้ว่าเงินเดือนเป็นสิ่งที่กำหนดให้คงที่เอง ในที่นี้หากได้ลองนึกถึงหลักของการสร้างความเป็นจริงที่ว่า สิ่งที่เชื่อจะกลายเป็นจริง ก็จะเข้าใจเหตุผลที่รายรับไม่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี หากตระหนักได้ว่าเงินเดือนเป็นสิ่งที่กำหนดให้มันคงที่เอง ไม่ว่าใครก็สามารถเพิ่มรายรับกันได้ทั้งนั้น จงหยุดความคิดที่ว่า การเพิ่มรายได้เป็นเรื่องยาก เพราะมันกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาจริง ๆ ตามที่เชื่อ
นอกจากนี้การคิดเชิงบวกก็เป็นวิธีที่ให้ความรู้สึกไม่พอใจเบาบางลง จำไว้ว่าเงินคือความพอใจ จำนวนเงินที่เข้ามาจะเท่ากับความพอใจในตอนที่ได้รับเงินนั้น สรุปคือไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนงานเพื่อให้ได้เงินเดือนสูง ๆ เสมอไป เพราะแค่เปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเงินเหล่านั้น ก็ทำให้เงินเข้ามาได้แล้ว
ถ้าอยากรวยลองทำตามนิสัยของคนรวย ที่ทำให้ 1 เดือนหลังจากนี้ไปสนุกสุด ๆ ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมแต่จะมีเงินเข้า 1 ล้าน จะค่อย ๆ เป็นคนรวยขึ้นทุกวัน หากสามารถเชื่อแบบนั้นได้จากใจจริง สามารถใช้การยืนยันกับตัวเองแบบข้างต้นได้เลย แต่ถ้าลึก ๆ แล้วยังคิดว่าเชื่อไม่ลงความปรารถนาคงจะไม่สมหวัง ข้อคิดที่ว่าทำไม่ได้ เชื่อไม่ลง จะทำให้พลังงานที่อุตส่าห์เพิ่มขึ้นมาแล้วตกต่ำลง หากอยากเป็นคนรวยแล้วก็สิ่งที่ต้องทำคือใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างรู้สึกดีเพื่อเพิ่มพลังงาน แต่นั่นค่อนข้างจะใช้เวลา วิธีที่อยากแนะนำจึงเป็นการทำตามนิสัยของคนรวย ซึ่งทำได้โดยคิดเสียว่าตัวเองกำลังแสดงละครเป็นคนรวยอยู่ จำไว้ว่าระหว่างที่แสดงจะต้องพูด คิด และทำให้สมบทบาท ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ โดยจุดที่อยากให้ระวังเป็นพิเศษคือ 3 ข้อต่อไปนี้
- ไม่ใช้คำพูดว่าไม่มีเงิน อย่าลืมว่าตอนนี้เป็นคนรวย จึงแน่นอนว่าไม่มีทางที่จะพูดว่าไม่มีเงิน ซื้อไม่ไหว หรือตอนนี้ยังไม่ได้ ในกรณีที่เจอของที่ซื้อไม่ไหว เคล็ดลับคือไม่ใช้คำพูดที่แสดงถึงการไม่มีเงินพอจะซื้อ อย่างซื้อไม่ไหว แต่ใช้คำที่แสดงให้เห็นว่า เป็นสิ่งที่เกิดจากการตัดสินใจของตัวเองอย่าง ไม่ซื้อ แทน หากคิดเสมอว่าถ้าเป็นคนรวยจะทำ หรือใช้คำพูดแบบไหน แล้วแสดงอย่างสมจริง จิตใต้สำนึกจะหลงเชื่อไปตามนั้น
- ทำให้กระเป๋าสตางค์อยู่ในสภาพมีเงินเสมอ เวลาที่ไม่มีเงินสดในกระเป๋าสตางค์ มักจะรู้สึกว่าตอนนี้ยังซื้อไม่ได้ หรือเอาไว้ก่อนดีกว่า ปัญหาคือเมื่อทำแบบนี้บ่อยเข้าจิตใต้สำนึกก็จะเชื่อว่าไม่มีเงินซื้อ ควรพกเงินสดใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ เพื่อให้รู้สึกเสมอว่ามีเงินอยู่ ส่วนจะใส่เท่าไหร่ก็แล้วแต่เลย หรือถ้าไม่มีเงินจริง ๆ ก็ใช้ธนบัตรของเล่นก็ได้ผลเหมือนกัน บางคนอาจฟังแล้วรู้สึกเชื่อไม่ลง การพกเงินของเล่นให้ตัวเองดูขำ ดูเป็นเรื่องเชิงบวกมากกว่าเยอะเลย
- นาน ๆ ทีก็ซื้อของหรูบ้าง ปกติซื้อช็อกโกแลตที่ร้านสะดวกซื้อ แต่ถ้าเป็นคนรวยจะซื้อที่ไหน ลองสัมผัสประสบการณ์แบบคนรวยด้วยการซื้อของหรูบ้าง และตอนที่จ่ายเงินก็ควรจ่ายด้วยความรู้สึกดี หากตอนจ่ายเงินรู้สึกดี จิตใต้สำนึกจะเริ่มคิดว่าเอ๊ะหรือจะเป็นคนรวยนะ ในทางกลับกัน หากตอนจ่ายเงินรู้สึกแย่ จิตใต้สำนึกก็จะคิดว่าอ้าวไม่ใช่คนรวยนี่นา แล้วสร้างความเป็นจริงตามนั้น
สิ่งสำคัญคือเมื่อเริ่มสวมบทบาทคนรวยแล้ว ต้องทำอย่างต่อเนื่องไปจนกว่าจิตใต้สำนึกจะเชื่อว่า คน ๆ นี้เป็นคนรวย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำให้รวยยิ่งกว่านี้แล้ว หากจิตใจได้รับการเติมเต็ม ในที่สุดจะเริ่มมองเห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง
ตอบคำถาม 3 ข้อนี้ แล้วจะรู้ว่าตัวเองสามารถเป็นคนรวยได้หรือไม่ และควรย้อนกลับมาตอบใหม่เป็นครั้งเป็นคราว สิ่งที่เชื่อหรือสิ่งที่รู้สึกจะกลายเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก งาน หรือเรื่องเงินล้วนเป็นไปตามนี้ เพราะทั้งหมดล้วนอยู่ใต้กฎการจูนคลื่นที่ตรงกัน ความรู้สึกจะเป็นตัวกำหนดพลังงาน และสิ่งต่าง ๆ จะปรับจูนให้เข้ากับพลังงานนั้น คนที่จะเป็นคนรวยได้คือคนแบบไหน การตอบคำถาม 3 ข้อจะช่วยให้เห็นภาพได้ง่ายขึ้น
สำหรับคำถามข้อที่ 1 ที่ว่า 1 ปีหลังจากนี้เงินเดือนจะอยู่ที่เท่าไหร่ คนที่ตอบโดยยึดเงินเดือนในปัจจุบันเป็นเกณฑ์คือ คนที่เชื่อว่าเงินเดือนของตัวเองเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดให้คงที่ และสิ่งที่จะกลายเป็นจริงคือเงินจำนวนที่คิดนั่นเอง
คำถามข้อที่ 2 บอกเหตุผลของคำตอบในข้อที่ 1 คนที่ให้เหตุผลว่า เพราะไม่น่าจะได้มากไปกว่านี้แล้ว แสดงให้เห็นว่าเชื่อว่าตัวเองควรได้เงินเท่านี้ ซึ่งตามที่ได้เชื่อจริง ๆ ส่วนคนที่ตอบว่าก็ ไม่รู้หรอกนะว่าทำไม หรือ ก็มันรู้สึกแบบนั้น แสดงว่าเป็นคนที่ยกเรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของจิตใต้สำนึก จึงเป็นไปได้ว่าอาจเกิดปฏิหาริย์ครั้งใหญ่เลยก็ได้ คนเราสามารถหาสาเหตุได้ว่าเพราะอะไรถึงไม่สำเร็จ แต่ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมถึงสำเร็จ ไม่แน่เคล็ดลับของชีวิตที่โชคดีอาจอยู่ที่การคิดบวกเสมอ ว่าต้องเป็นไปได้สวยแน่ ๆ
คำถามข้อที่ 3 หากมีเงินเข้ามาตามที่หวังไว้แล้วอยากใช้ชีวิตแบบไหน หากอ่านคำถามแล้วมีภาพผุดขึ้นมาในหัวทันทีและรู้สึกดีกับมัน นั่นเป็นสัญญาณว่าพลังงานกับความฝันอยู่ในระดับที่เริ่มใกล้เคียงกันแล้ว ในทางกลับกัน หากไม่มีภาพที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาเลย นั่นแปลว่ายังไม่มีทางผ่านให้กับเงิน (วิธีใช้เงิน) เงินจึงไม่เข้ามาหา การจำลองเหตุการณ์และสร้างจินตภาพเป็นประจำ จะเป็นการสร้างทางผ่านให้เงินเข้ามาได้ หากทำการบ้านนี้อย่างสม่ำเสมอ จะเข้าใจและพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีกับเงินได้
เวลาที่แต่ละวันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานให้ใช้ตัวช่วยเสริมดวง มนุษย์ใช้ตัวช่วยเสริมดวงอย่างแพร่หลาย ที่เห็นบ่อย ๆ ก็เช่น เครื่องรางหรือหินนำโชค แน่นอนว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการทำให้ตัวเองรู้สึกดี เพื่อเปลี่ยนแปลงจากภายในและเพิ่มพลังงาน แต่ถ้าไม่ว่าอย่างไรก็ผลักความคิดเชิงลบออกจากหัวไม่ได้ จนแต่ละวันเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน การยืมพลังจากภายนอกก็ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่น่าลอง 3 เคล็ดลับในการใช้ตัวช่วยเสริมดวงคือ
- ใส่ความฝันลงไปในแอพพลิเคชั่นมือถือที่เห็นทุกวัน พิมพ์ความฝันของตัวเองลงในแอพลิเคชั่นมือถือที่จะต้องเห็นทุกวัน และทุกครั้งที่มองให้จินตนาการถึงความรู้สึกตอนความฝันเป็นจริงไปด้วย จิตใต้สำนึกแยกความจริงกับจินตนาการออกจากกันไม่ได้ การจินตนาการจึงเท่ากับเป็นการส่งสารไปยังจิตใต้สำนึก และการใช้สมาร์ทโฟนมาเป็นตัวช่วย ก็ทำให้สามารถจินตนาการได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างสะดวกสบาย
- ใส่เครื่องรางนำโชคที่ชอบในกระเป๋าสตางค์ เพื่อให้รู้สึกดีขึ้นเวลาหยิบมันขึ้นมา มันช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นทุกครั้งที่เห็น ซึ่งก็แน่นอนว่าช่วยเสริมดวงให้ได้ด้วย
- เลือกภาพนำโชคมาใช้เป็นภาพพื้นหลังสมาร์ทโฟน ในแต่ละวันจะเห็นภาพพื้นหลังสมาร์ทโฟนหลาย 10 ครั้ง ดังนั้น แทนที่จะใช้ภาพอะไรก็ไม่รู้หันมาใช้ภาพเป็นภาพนำโชคสำหรับตัวเองดีกว่า จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับพกเครื่องรางใส่สมาร์ทโฟนเอาไว้นั่นแหละ สาเหตุที่ให้ใส่เครื่องรางลงไปในกระเป๋าสตางค์หรือสมาร์ทโฟน ก็เพราะการออกไปข้างนอกมีแนวโน้มจะทำให้พลังงานลดลง เจอประสบการณ์ที่รู้สึกแย่ได้มากกว่าเวลาอยู่ในบ้าน การมีของที่ช่วยหันเหความสนใจจากสิ่งไม่ดี จึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง จริงอยู่ว่าวิธีนี้เน้นไปที่การรักษาพลังงานไม่ให้ลดลงมากกว่าการเพิ่มพลังงาน แต่ก็ถือเป็นตัวช่วยที่จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้า หินนำโชค หรือเครื่องราง หากไม่ส่งพลังงานจากตัวเองเข้าไปช่วยด้วย ก็จะให้ผลแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น จะเป็นจริงได้ก็ต้องอาศัยความเชื่อ
การใช้วันเดือนปีเกิดหรือตัวเลขอย่างชาญฉลาด เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยให้รีเซ็ตใจสู่จุดเป็นศูนย์ได้ นอกจากการใช้ตัวช่วยเสริมดวงแล้ว ยังสามารถนำพลังงานที่สถิตอยู่ในวันและตัวเลขมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ด้วยเช่นกัน พลังงานของวันเดือนปีเกิดและตัวเลข มีอิทธิพลต่อพลังงานของมนุษย์นั่นเป็นเหตุผลว่า ทำไมบางช่วงเวลาถึงเป็นช่วงที่อะไร ๆ ก็ดูดีไปหมด ในขณะที่บางช่วงทุกอย่างดูแย่แบบไม่มีที่มาที่ไป หากลองย้อนกลับไปทบทวนอดีต โดยดูจากบันทึกประจำวันหรือปฏิทิน จะมองเห็นรูปแบบบางอย่างได้อย่างชัดเจน เมื่อนำความรู้เกี่ยวกับวันเดือนปีเกิดและตัวเลขมาใช้อย่างชาญฉลาด จะเพิ่มโอกาสสำเร็จและลดความเสี่ยงให้ตัวเองได้ ส่งผลให้พลังงานเพิ่มขึ้นและไม่หวั่นไหวมากเกินเหตุ ในวันที่ทุกอย่างไปได้ไม่สวย ผลคือการรีเซ็ตใจกับไปสู่จุดเป็นศูนย์จะทำได้ง่ายขึ้นมาก
ต่อให้ทำไม่ได้หรือทำต่อไม่ไหวก็ห้ามคิดว่า เรามันไม่ได้เรื่อง เพราะความเป็นจริงจะกลายเป็นแบบที่คิด ในบรรดาวิธีที่มีอยู่มากมายบางวิธีอาจทำตามได้ แต่บางวิธีอาจทำไม่ได้ หรือบางครั้งก็อาจทำต่อไม่ไหว สิ่งที่อยากให้จำไว้ในเวลาแบบนั้นคือ อย่าคิดว่า เรามันไม่ได้เรื่อง เวลาเจอเรื่องที่ไม่เข้าใจหรือทำไม่ได้ มนุษย์จะชอบคิดว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง ปัญหาคือพอคิดแบบนั้นสุดท้ายก็จะไม่ได้เรื่องจริง ๆ ในทางกลับกัน ต่อให้ความเป็นจริงจะแย่ขนาดไหน แต่ถ้าคิดจากใจจริงว่า ก็มีความสุขดีนะ ก็จะมีความสุข สิ่งที่รู้สึกในปัจจุบันจะกลายเป็นจริง การตีความปัจจุบันคือสิ่งที่สร้างความเป็นจริงของมนุษย์ สิ่งที่เชื่อและสิ่งที่รู้สึกจะสร้างความเป็นจริงขึ้นมา
บทส่งท้าย
จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นตอนที่เริ่มหันมาใช้ชีวิตในแต่ละวันให้สนุก พอทำแบบนั้นจากที่เคยรู้สึกเบื่อก็กลายเป็นสนุก แถมยังมีเรื่องที่อยากทำมากมายเต็มไปหมด หลังจากนั้นก็ลงมือทำสิ่งที่อยากทำไปเรื่อย ๆ เมื่อพลังงานกลับสู่จุดเป็นศูนย์ ความคิดทำนองว่าทำยังไงดี ควรทำยังไงกันแน่ก็ไม่ค่อยโผล่ออกมา คนที่คิดว่าต้องทำยังไงถึงจะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้มีอยู่เยอะกว่าคนที่ไม่คิดมาก ถ้าคิดจนหัวตื้อไปหมดก็ลองหยุดพักดูก่อน หากไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ หากอยากนอนก็นอน ลองซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง
จากนั้นก็จัดระเบียบอารมณ์ความรู้สึกดู อย่าลืมว่าการเปลี่ยนแปลง หรือความสำเร็จครั้งใหญ่นั้น ต้องอาศัยความรู้สึกดีอยู่เสมอ หากสามารถรีเซ็ตใจกลับจุดเป็นศูนย์ได้ จะหันมามองเรื่องที่กำลังเครียดอยู่ในตอนนี้แล้วคิดว่า ทำไมต้องเครียดขนาดนั้น ทำไมตอนนั้นถึงไม่รู้ตัวเลย ราวกับตัวเองในอดีตเป็นคนอื่นเลยทีเดียว ลองปล่อยวางภาระอันหนักอึ้งที่ชื่อต้องทำดู หากตอนนี้อยู่ในสภาพที่ขยับตัวไม่ไหว ก้าวไปข้างหน้าก็ไม่ได้ สิ่งที่ควรทำเป็นแบบแรกคือ เอาความสดชื่นแข็งแรงกับคืนมา ไม่จำเป็นต้องมองไปที่อนาคต แค่รู้สึกดีกับจุดที่อยู่ตอนนี้ก็พอ
พลังที่จะสร้างความเป็นจริงไม่ได้อยู่กับคนอื่นแต่อยู่กับตัวเอง มนุษย์แต่ละคนมีจังหวะเวลาของตัวเอง บางคนเปลี่ยนแปลงเร็ว บางคนเปลี่ยนแปลงช้า อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แต่จงตั้งเป้าว่าจะกลับไปที่จุดเป็นศูนย์ หากกลับไปที่จุดนั้นได้พลังใจกับไอเดียจะผุดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ และจะใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างรู้สึกดีได้อย่างง่ายดาย การรีเซ็ตใจสู่จุดเป็นศูนย์คือการค่อย ๆ กำจัดภาระ ความคิดหรือความเชื่อฝังหัวที่เคยคิดว่า จำเป็นออกไปทีละอย่าง
ระหว่างนั้นอาจมีบางครั้งที่รู้สึกว่า แค่ปรับอารมณ์ความรู้สึกจะเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงได้ นั่นเป็นการหนีความจริงมากกว่าหรือเปล่า ในเวลาแบบนั้นให้ระลึกไว้เสมอว่า สิ่งที่รู้สึกตอนนี้จะกลายเป็นจริงทันทีที่ตัดสินใจว่า จะมุ่งความสนใจไปยังภายในแทนภายนอก ชีวิตก็จะถึงจุดพลิกผันครั้งใหญ่แล้ว ความเป็นจริงจะเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างแน่นอน.