สั่งซื้อหนังสือ “วิทยาศาสตร์บนเข็มนาฬิกา” (คลิ๊ก)
สรุปหนังสือ
When the scientific secrets of perfect timing
วิทยาศาสตร์บนเข็มนาฬิกา
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า จังหวะเวลาคือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ปัญหาก็คือไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับจังหวะเวลามากนัก ชีวิตเต็มไปด้วยการตัดสินใจที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่รู้จบว่า เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนอาชีพ แจ้งข่าวร้าย จัดตารางเรียน หย่า ออกไปวิ่ง เริ่มจริงจังกับงาน หรือแต่งกับใครสักคน แต่การตัดสินใจเรื่องพวกนี้ส่วนใหญ่ ล้วนเกิดจากสัญชาตญาณและการคาดเดา เพราะเชื่อกันว่าจังหวะเวลาเป็นศิลปะ แท้จริงแล้วจังหวะเวลาเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ความรู้จากงานวิจัยหลากหลายสาขาวิชา ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ งานวิจัยเหล่านี้ให้ความรู้ความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ ทั้งยังให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ เกี่ยวกับการทำงานอย่างฉลาดขึ้น และการใช้ชีวิตให้ดีขึ้นด้วย
จุดเริ่มต้นในการสืบหาความจริง เกี่ยวกับจังหวะเวลาก็คือ ตัวเวลาเอง ถ้าลองศึกษาประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเวลา ไล่ตั้งแต่นาฬิกาแดดเรือนแรก ๆ ในสมัยอียิปต์โบราณ นาฬิกากลไกรุ่นแรก ๆ จากยุโรปสมัยศตวรรษที่ 16 ไปจนถึงการคิดค้นเขตเวลาของโลกในศตวรรษที่ 19 จะตระหนักอย่างรวดเร็วว่า สิ่งที่ทึกทักเอาเองว่า เป็นหน่วยเวลาตามธรรมชาติ แท้จริงแล้วเป็นเหมือนกับรั้วที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นมา เพื่อตีกรอบเวลาเท่านั้น หน่วยเวลาอย่างวินาที ชั่วโมง และสัปดาห์ ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้นทั้งสิ้น นักประวัติศาสตร์ชื่อ แดเนียล บัวร์สติน กล่าวไว้ว่า มีเพียงการขีดเส้นแบ่งหน่วยเวลาเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์เป็นอิสระจากวงจรอันซ้ำซากของธรรมชาติได้
แต่มีเวลาอยู่หน่วยหนึ่ง ที่ยังคงอยู่เหนือการควบคุม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของวงจรอันซ้ำซาก อาศัยอยู่ในโลกที่หมุนบนแกนของตัวเอง ด้วยความเร็วคงที่ และมีแบบแผนที่แน่นอน ทำให้ได้พบกับช่วงเวลาที่มีแสงสว่างและความมืดเป็นประจำ เรียกการหมุนแต่ละรอบของโลกว่า วัน ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการสำคัญที่สุด ที่ใช้แบ่ง กำหนด และประเมินเวลาของตัวเอง การเริ่มต้นสำรวจจังหวะเวลาของวัน สามารถใช้ความรู้ดังกล่าว มาปรับปรุงประสิทธิภาพของการทำงาน ทำให้สุขภาพดีขึ้น และทำให้ตัวเองรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น และทำไมถึงไม่ควรตัดสินใจเรื่องสำคัญในช่วงบ่าย
ส่วนที่ 1 วัน
บทที่ 1 แบบแผนซ่อนเร้นของชีวิตประจำวัน
คนเรารู้สึกกระฉับกระเฉง มีสมาธิ และมีความหวัง มักพบได้บ่อยในช่วงเช้า ลดลงในช่วงบ่าย และกลับมาพบได้บ่อยอีกครั้งในช่วงเย็น แบบแผนการแสดงอารมณ์ชั่วคราวของผู้คน ล้วนมีความคล้ายคลึงกัน แม้จะมาจากวัฒนธรรมและตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง วันธรรมดาแต่ละวันล้วนเหมือนกันหมด ส่วนผลลัพธ์ในวันศุกร์สัปดาห์นั้นแตกต่างออกไปเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วการแสดงอารมณ์ด้านบวก จะพบเห็นได้บ่อยขึ้นเล็กน้อยในวันเสาร์และวันอาทิตย์ และช่วงที่อารมณ์ด้านบวกพุ่งขึ้นสูงสุด ในช่วงเช้าล่าช้ากว่าวันธรรมดาไปประมาณ 2 ชั่วโมง
ทว่าโดยรวมแล้วแบบแผนก็ยังคงเหมือนเดิม แม้ทวีปและเขตเวลาจะแตกต่างกัน แต่แบบแผนของการแสดงอารมณ์ด้านบวกนี้ก็ยังคงเส้นคงวา และคาดเดาได้ง่ายเหมือนปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงในทะเล ภายใต้ฉากหน้าของชีวิตประจำวัน มีแบบแผนอย่างหนึ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งเป็นแบบแผนสำคัญที่คาดไม่ถึง และจะเปิดเผยความจริงบางอย่างให้เห็น
การทำความเข้าใจว่า แบบแผนดังกล่าวมีที่มาจากไหน และมีความหมายอย่างไร นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า สิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดไล่ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่ซ่อนตัวอยู่ในบ่อน้ำ ไปจนถึงสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ล้วนมีนาฬิกาชีวภาพทั้งสิ้น เครื่องจับเวลาภายในร่างกายเหล่านี้ มีบทบาทสำคัญในการทำให้ร่างกายทำงานอย่างเหมาะสม โดยคอยกำกับดูแลสิ่งที่เรียกว่าจังหวะรอบวัน หรือ circadian rhythm ซึ่งกำหนดจังหวะในชีวิตประจำวันของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด
นาฬิกาชีวภาพคือกลุ่มเซลล์ที่มีชื่อว่านิวเคลียสซูพราไคแอสมาติก (suprachiasmatic nucleus) หรือเซลล์เอสซีเอ็น ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ประมาณ 20,000 เซลล์ ขนาดรวมกันเท่าเมล็ดข้าวในสมองส่วนกลางล่าง ที่ชื่อไฮโปทาลามัส เซลล์เอสซีเอ็นควบคุมการเพิ่มและลดของอุณหภูมิร่างกาย คอยกำกับดูแลฮอร์โมน ตลอดจนช่วยให้นอนหลับตอนกลางคืน และตื่นขึ้นตอนเช้า เครื่องจับเวลาของเซลล์เอสซีเอ็น ทำงานนานกว่าระยะเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเองครบ 1 รอบเต็มเล็กน้อยโดยทำงานประมาณ 24 ชั่วโมงกับอีก 11 นาที
ดังนั้น นาฬิกาภายในตัวเราจึงใช้เบาะแสทางสังคม ตารางเวลาทำงาน และตารางเวลาเดินรถประจำทาง และสัญญาณจากสิ่งแวดล้อม ดวงอาทิตย์ขึ้นและดวงอาทิตย์ตก เพื่อทำการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยจนทำให้วงจรภายใน และภายนอกร่างกายแทบจะทำงานพร้อมเพียงกัน กระบวนการนี้เรียกว่าการปรับจังหวะเวลา (entrainment)
นักชีวเวลาวิทยาและนักวิจัยกลุ่มอื่น ๆ เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบการทำงานของร่างกาย อย่างการผลิตสารเมลาโทนิน และการตอบสนองของระบบเมตาบอลิซึม แต่ปัจจุบันการตรวจสอบนี้ ได้ขยายขอบเขตจนครอบคลุมเรื่องอารมณ์และพฤติกรรมด้วย งานวิจัยของพวกเขาเผยให้เห็นแบบแผน ของเวลาอันน่าประหลาดใจที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก และการกระทำซึ่งช่วยให้มีแนวทาง ในการออกแบบชีวิตประจำวันของตัวเองได้
อารมณ์ เมื่อเป็นเรื่องที่เข้าใจยากอย่างอารมณ์ของมนุษย์ ไม่มีการศึกษาหรือระเบียบวิธีไหนที่ชัดเจนและตายตัว อารมณ์เป็นภาวะที่อยู่ภายใน แต่มีอิทธิพลต่อสิ่งที่อยู่ภายนอกเช่นกัน ไม่ว่าจะพยายามปิดบังอารมณ์ของตัวเองมากแค่ไหน มันก็ยังเล็ดลอดออกมาให้เห็นอยู่ดี และนั่นก็เป็นสิ่งที่กำหนดว่า คนอื่นจะตอบสนองต่อคำพูด และการกระทำอย่างไร อารมณ์เปลี่ยนแปลงไปตามแบบแผนอันเป็นกิจวัตร และมันก็ส่งผลกระทบต่อแนวทาง การทำงานอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ความระแวดระวัง ความยับยั้งชั่งใจ และเคล็ดลับประจำวันสู่การมีประสิทธิภาพขั้นสูง นักวิทยาศาสตร์เริ่มต้นประเมินผลกระทบ ที่ช่วงเวลาของวันมีต่อพลังสมองมากกว่า 100 ปีแล้ว พวกเขาก็ได้ข้อสรุปสำคัญ 3 ข้อ
ข้อแรกคือ ความสามารถด้านการรู้คิดไม่ได้คงที่ทั้งวัน ตลอดระยะเวลาประมาณ 16 ชั่วโมงที่ตื่น ความสามารถเหล่านั้นมักเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่เป็นกิจวัตร และคาดเดาได้ ฉลาดกว่า ว่องไวกว่า โง่กว่า เชื่องช้ากว่า มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่า และมีความคิดสร้างสรรค์น้อยกว่า ในบางช่วงเวลาของวัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาอื่น
ข้อที่ 2 คือ ความผันผวนในแต่ละวัน เหล่านี้เป็นเรื่องสุดโต่งมากกว่าที่รู้ตัว ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพระหว่างจุดสูงสุดของวัน และจุดต่ำสุดของวันอาจเทียบเท่ากับผลกระทบ ที่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในปริมาณไม่เกินระดับที่กฎหมายกำหนด มีต่อประสิทธิภาพผลกระทบของแต่ละช่วงเวลาของวัน เป็นสาเหตุ 20% ของการผันแปร ในประสิทธิภาพด้านการรู้คิดของมนุษย์
และข้อที่ 3 คือประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับว่ากำลังทำอะไรอยู่ จากการศึกษาผลกระทบที่แต่ละช่วงเวลาของวัน มีต่อประสิทธิภาพการทำงาน น่าจะเป็นการที่ช่วงเวลาที่ดีที่สุด ในการทำภารกิจบางอย่าง ขึ้นอยู่กับลักษณะของภารกิจนั้น ในภารกิจด้านการวิเคราะห์มีหลักฐานมากมาย แสดงให้เห็นว่าคนวัยผู้ใหญ่ ใช้ความคิดประเภทนี้ได้ดีที่สุด
ในช่วงเช้าเมื่อตื่นนอนอุณหภูมิร่างกายจะสูงขึ้นอย่างช้า ๆ อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะกระตุ้นระดับพลังงาน และความตื่นตัวทีละน้อย ส่งผลให้ความสามารถในการบริหารจัดการ จดจ่อ และอนุมานดีขึ้น สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ความสามารถในการคิดวิเคราะห์อันเฉียบแหลมเหล่านั้น จะพุ่งสูงที่สุดในช่วงสาย ๆ หรือประมาณเที่ยงวัน ในช่วงต้นของวันสมองจะมีความระแวดระวังมากกว่า เมื่อสมองอยู่ในภาวะระแวดระวังแบบที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงเช้า จึงสามารถกีดกันสิ่งที่ทำให้ไขว้เขวออกไปจากสมองได้ ความตื่นตัวและระดับพลังงานซึ่งไต่ระดับขึ้นในช่วงเช้า และขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในช่วงเที่ยงวัน มักลดลงในช่วงบ่าย และระดับความตื่นตัวที่ลดลง ก็ทำให้ความสามารถในการจดจ่อ และควบคุมความยับยั้งชั่งใจลดลง พลังแห่งการวิเคราะห์หดเล็กลง แต่ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนตารางเวลาทำงานของตัวเอง เพื่อให้งานสำคัญทั้งหมดอัดแน่นอยู่ในช่วงก่อนพักเที่ยง จงระวังไว้ให้ดีเพราะงานที่ใช้สมอง ไม่ได้เหมือนกันไปเสียทั้งหมด
จังหวะที่สอดคล้องและการแบ่งวันเป็น 3 ระยะ สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่ประเภทของคน ภารกิจที่ทำ และจังหวะเวลาสอดคล้องกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่นักสังคมศาสตร์เรียกว่า ปรากฏการณ์จังหวะสอดคล้อง (synchrony effect) ทุกคนมีประสบการณ์ใน 1 วันโดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะได้แก่ ระยะสูงสุด ระยะดิ่งลง และระยะฟื้นตัว โดยประมาณ 3 ใน 4 มีประสบการณ์ที่เรียงตามลำดับนี้ แต่คนประมาณ 1 ใน 4 ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมหรืออายุ จะมีประสบการณ์ใน 1 วันใกล้เคียงกับลำดับย้อนหลัง โดยเริ่มต้นจากระยะฟื้นตัวก่อน จากนั้นจึงเป็นระยะดิ่งลง แล้วตามด้วยระยะสูงสุด ให้มองหาจังหวะสอดคล้องกับตัวเอง ถ้าพอมีอำนาจควบคุมตารางเวลาของตัวเองแม้เพียงเล็กน้อย ให้พยายามจัดงานสำคัญที่สุด ซึ่งต้องอาศัยความระแวดระวัง และความคิดที่แจ่มชัดเข้าไปในช่วงระยะสูงสุดของวัน และผลักงานสำคัญลำดับรองลงมา หรือภารกิจที่จะได้ประโยชน์จากการขาดความยับยั้งชั่งใจไปอยู่ในช่วงระยะฟื้นตัว ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม อย่าปล่อยให้ตัวเองทำภารกิจอันแสนธรรมดาในช่วงระยะสูงสุด ประเด็นที่สำคัญมากพอ ๆ กันก็คือ ไม่ว่าจะใช้เวลาแต่ละวันไปกับอะไร จงระวังช่วงเวลากึ่งกลางเอาไว้ให้ดี เพราะระยะดิ่งลงเป็นช่วงเวลาอันตรายมากกว่าที่คนส่วนใหญ่รู้
บทที่ 2 ช่วงบ่ายและช้อนกาแฟ
มีบางสิ่งเกิดขึ้นในระยะดิ่งลง (ประมาณ 7 ชั่วโมงหลังจากที่ตื่นนอน) ส่งผลให้ช่วงเวลานี้มีความเสี่ยงมากกว่าช่วงเวลาอื่นของวัน เวลาช่วงบ่ายเปลี่ยบเสมือนสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า ในแต่ละวันบรรดาขอบเขตเวลาช่วงกลาง ๆ ระยะดิ่งลงถึงเป็นเขตอันตรายสำหรับประสิทธิภาพการทำงาน จริยธรรม และสุขภาพ ระยะดิ่งลงถือเป็นระยะที่อันตรายมากเป็นพิเศษ เหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างมีนัยสำคัญ หากกระบวนการเริ่มต้นขึ้นในช่วงระหว่าง 15.00-16:00 น. สิ่งที่เกิดขึ้นคือความระแวดระวังที่ลดลง
ข่าวดีก็คือ การหยุดพักเพื่อความระแวดระวัง อาจช่วยลดอิทธิพลที่ระยะดิ่งลงมีต่อพฤติกรรมได้ การกำหนดให้มีการหยุดพัก เพื่อความระแวดระวังในภารกิจต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ฟื้นฟูสมาธิ ซึ่งจำเป็นต่อการปฏิบัติงานยาก ๆ ที่ต้องทำในช่วงบ่าย แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว งานไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำให้คนอื่นเป็นอัมพาตแล้วผ่าตัดพวกเขา หรือความรับผิดชอบอื่น ๆ ที่มีชีวิตเป็นเดิมพัน การหลบเลี่ยงอันตรายของระยะดิ่งลง ต้องอาศัยวิธีหยุดพักอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเรียบง่ายกว่ามาก เรียกวิธีดังกล่าวว่า การหยุดพักเพื่อเติมพลัง (restorative break)
ถ้าระยะดิ่งลงคือยาพิษ และการหยุดพักเพื่อเติมพลังคือยาถอนพิษ การหยุดพักเหล่านั้นควรมีลักษณะเป็นอย่างไร เรื่องนี้ไม่ได้มีคำตอบเพียงหนึ่งเดียว แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ได้เสนอหลักการ เพื่อเป็นแนวทางไว้ 5 ข้อด้วยกัน
- พักบ้างยังดีกว่าไม่พักเลย ปัญหาหนึ่งของช่วงเวลาบ่ายก็คือ ถ้าติดอยู่กับการทำภารกิจอย่างหนึ่งนานเกินไป ก็จะมองไม่เห็นเป้าหมายที่พยายามจะบรรลุผล นี่เป็นกระบวนการที่เรียกว่าพฤติกรรมความเคยชิน (habituation) การหยุดพักช่วงสั้น ๆ จากภารกิจ จะช่วยป้องกันพฤติกรรมความเคยชิน ช่วยให้รักษาสมาธิ และทำให้กลับมายึดมั่นกับการบรรลุเป้าหมายอีกครั้ง
- ขยับร่างกายดีกว่านั่งเฉย ๆ มีคนบอกว่าการนั่งคืออันตรายรูปแบบใหม่ ที่เข้ามาแทนที่การสูบบุหรี่ มันเป็นอันตรายอย่างเห็นได้ชัดต่อสุขภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้มีความรู้สึกไวมากขึ้น ต่ออันตรายของระยะดิ่งลง นั่นคือสาเหตุที่การลุกขึ้นยืนและเดินไปมาสัก 5 นาที ทุกชั่วโมงระหว่างวันทำงานอาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ
- เข้าสังคมดีกว่าปลีกตัว การใช้เวลาอยู่คนเดียวอาจช่วยเติมพลังได้ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ชอบเก็บตัว แต่งานวิจัยมากมายเกี่ยวกับการหยุดพัก เพื่อเติมพลังกลับชี้ให้เห็นว่า การอยู่กับคนอื่นช่วยเติมพลังได้มากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอิสระ ในการเลือกคนที่จะใช้เวลาอยู่ด้วย
- ข้างนอกดีกว่าข้างใน การหยุดพักเพื่ออยู่กับธรรมชาติ อาจเติมเต็มพลังได้มากที่สุด การอยู่ใกล้ชิดกับต้นไม้ พืช แม่น้ำ และลำธาร ช่วยฟื้นฟูพลังทางความคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันมีพลังแบบที่พวกเราส่วนใหญ่คิดไม่ถึง
- ตัดขาดอย่างสิ้นเชิงดีกว่าตัดขาดบางส่วน ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้คน 99% ไม่สามารถทำหลายอย่างพร้อมกันได้ แต่เมื่อได้หยุดพักมักพยายามรวมการหยุดพักเข้ากับกิจกรรมอื่นที่ต้องใช้ความคิด โดยอาจเป็นการเปิดดูข้อความทางโทรศัพท์ หรือพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับปัญหาเรื่องงาน การทำแบบนั้นถือเป็นความผิดพลาด
การหยุดพักเพื่อความระแวดระวัง และการหยุดพักเพื่อเติมพลัง ทำให้มีโอกาสได้ชาร์จแบต และกลับมามีพลังอีกครั้ง การหยุดพักอีก 2 ประเภท ก็ควรค่าแก่การพิจารณาเช่นกัน พวกมันเคยเป็นคุณลักษณะที่ดีเยี่ยมสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงาน ก่อนที่เมื่อไม่นานมานี้จะถูกมองว่าเป็นลักษณะที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอ และสวนทางโดยสิ้นเชิงกับลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้คนในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องก้มหน้าก้มตาทำงาน ปัจจุบันนี้การหยุดพักทั้ง 2 แบบดังกล่าว กำลังรอการกลับมาอีกครั้ง
อาหารมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน หลังจากที่ตื่นนอนเมื่อเช้า ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก่อนที่จะเริ่มต้นวัน อาหารมื้อเช้าช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมอง มันยังเปรียบเหมือนราวเหล็กกันรถตกถนนสำหรับระบบเผาผลาญอีกด้วย การกินมื้อเช้าช่วยป้องกันไม่ให้กินอย่างตะกละตระกลามตลอดเวลาที่เหลือของวัน ซึ่งช่วยให้น้ำหนักลดลง และระดับคอเลสเตอรอลอยู่ในเกณฑ์ปกติเสมอ ประโยชน์เหล่านี้ชัดเจนมาก จนหลักการได้กลายมาเป็นหลักคำสอนทางด้านโภชนาการ มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน
คนที่พักเที่ยงนอกโต๊ะทำงาน มีความสามารถมากกว่าในการต่อสู้กับความเครียดในที่ทำงาน แถมยังแสดงความเหนื่อยล้าน้อยกว่า และแสดงความกระฉับกระเฉงมากกว่า โดยไม่ใช่แค่ในช่วงเวลาที่เหลือของวันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอีก 1 ปีเต็ม ๆ ต่อจากนั้นด้วย การพักเที่ยงช่วยมอบสภาพแวดล้อมของการฟื้นฟูที่สำคัญ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความผาสุขในอาชีพการงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับพนักงานที่ต้องทำงาน ซึ่งเต็มไปด้วยภาระทั้งทางความคิดและอารมณ์ อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่แค่มื้อเที่ยงแบบไหนก็ได้ การพักกินมื้อเที่ยงที่ทรงพลังที่สุด มีองค์ประกอบสำคัญ 2 อย่างได้แก่ ความเป็นอิสระและการตัดขาดความเป็นอิสระ หรือการใช้อำนาจควบคุมส่วนหนึ่งว่า จะทำอะไร จะทำอย่างไร จะทำเมื่อไหร่ และจะทำกับใครถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพระดับสูง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำภารกิจอันซับซ้อน แต่ช่วงเวลาที่หยุดพักจากภารกิจอันซับซ้อน ก็ถือว่าสำคัญมากพอ ๆ กัน การตัดขาดทั้งในแง่ของร่างกายและจิตใจก็สำคัญมากเช่นกัน การศึกษาหลายครั้งระบุว่า การจดจ่อกับงานในช่วงพักเที่ยง หรือแม้แต่การใช้โทรศัพท์เล่นโซเชียลมีเดีย อาจทำให้ความเหนื่อยล้าเพิ่มขึ้น แต่การเบี่ยงเบนความสนใจออกจากที่ทำงาน ก่อให้เกิดผลในทางกลับกัน การพักเที่ยงยาวนานขึ้นและออกไปนอกที่ทำงาน อาจช่วยป้องกันอันตรายในช่วงบ่ายได้
งีบหลับให้เกิดประสิทธิภาพ ในหลายแง่มุม การงีบหลับเปรียบเหมือนรถขัดผิวลานน้ำแข็งสำหรับสมอง มันทำให้รอยบาก รอยครูด และรอยขีดข่วนที่ชีวิตประจำวันทิ้งไว้บนลานน้ำแข็งแห่งความคิดราบเรียบ หลังจากได้งีบหลับช่วงสั้น ๆ ความตื่นตัวและประสิทธิภาพจะสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การงีบหลับยังมีประโยชน์อื่นนอกเหนือจากเพิ่มความระแวดระวัง การศึกษาครั้งหนึ่งของมหาวิทยาลัย แคริฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ระบุไว้ว่า การงีบหลับช่วงบ่ายทำให้สมองมีความสามารถในการเรียนรู้มากขึ้น คนที่ได้งีบหลับนั้นจดจำข้อมูลได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้งีบหลับ
การงีบหลับทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นเช่นกัน การศึกษาครั้งใหญ่ในประเทศกรีซ ซึ่งติดตามผู้คนมากกว่า 23,000 คน ตลอดระยะเวลา 6 ปีค้นพบว่า เมื่อควบคุมปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ แล้ว คนที่ได้งีบหลับมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตจากโรคหัวใจน้อยกว่าคนอื่น ๆ ถึง 37% ผลกระทบเทียบได้กับการกินยาแอสไพริน หรือออกกำลังกายทุกวัน การงีบหลับทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น และการศึกษาครั้งหนึ่งในประเทศอังกฤษค้นพบว่า แค่คาดหวังว่าจะได้งีบหลับ ก็สามารถลดความดันโลหิตได้แล้ว
ถึงแม้การงีบหลับระหว่าง 30-90 นาที อาจก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว แต่มันก็มาพร้อมกับต้นทุนที่สูงลิ่วเช่นกัน การงีบหลับที่ดีที่สุด หรือการงีบมีประสิทธิภาพ และได้ประโยชน์นั้นกินเวลาสั้นกว่ามาก ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะอยู่ระหว่าง 10-20 นาที แต่พอการงีบหลับกินเวลานานเกินกว่า 20 นาที ร่างกายและสมองก็จะเริ่มได้รับผลเสียจากการงีบหลับ ผลเสียที่ว่านั้นก็คืออาการงัวเงีย หรือความรู้สึกเฉื่อยชาและงุนงง ที่มักเกิดขึ้นเมื่อตื่นจากการงีบหลับ ต้องทำให้ตัวเองหายจากอาการงัวเงีย ใช้เวลามากมายเพื่อล้างหน้าล้างตา สะบัดร่างกายท่อนบน
ทั้งหมดนี้ไปหักลบประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการงีบหลับ การบริโภคคาเฟอีนที่มักจะอยู่ในรูปของกาแฟ ตามด้วยการงีบหลับ 10 ถึง 20 นาที ถือเป็นเทคนิคที่ดีที่สุดในการขจัดความง่วงเหงาหาวนอน และเพิ่มพูนประสิทธิภาพการทำงาน
ปัญหาของการนอนกลางวันในยุคใหม่ การนอนกลางวันยุคใหม่ไม่ได้หมายถึง การให้ทุกคนได้หยุดพัก 2 หรือ 3 ชั่วโมงในตอนกลางวัน แต่มันหมายถึงการทำให้การหยุดพักเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในโครงสร้างองค์กร หรือเข้าใจว่าการหยุดพักไม่ใช่การยอมจำนนของคนอ่อนแอ แต่เป็นวิธีแก้ไขปัญหาของคนแข็งแกร่ง มันหมายถึงการขัดขวางไม่ให้ผู้คน ประสบกับมื้อเที่ยงอันแสนเศร้าบนโต๊ะทำงาน และส่งเสริมให้ผู้คนออกไปข้างนอกสัก 45 นาที มันหมายถึงการปกป้องและเพิ่มเวลาพักแทนที่จะตัดออก
เมื่อ 10 ปีก่อน คนเราเคยยกย่องคนที่สามารถเอาตัวรอดได้ด้วยการนอนหลับเพียง 4 ชั่วโมง และคนแข็งแกร่งที่ทำงานตลอดคืน พวกเขาเคยถูกยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษ เป็นผู้ที่มีความอุทิศตน และมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า จนทำให้คนอื่น ๆ กลายเป็นพวกอ่อนแอและบอบบาง แต่แล้วเมื่อวิทยาศาสตร์แห่งการนอนหลับ กลายเป็นแนวทางกระแสหลัก ก็เริ่มเปลี่ยนทัศนคติ คนที่อดหลับอดนอนไม่ใช่วีรบุรุษ พวกเขาเป็นคนโง่เขลา มีแนวโน้มจะทำงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน และอาจทำให้พวกที่เหลือต้องเดือดร้อน เพราะการตัดสินใจอันเลวร้าย
การหยุดพักในปัจจุบันมองว่า เหมือนกับการนอนหลับในสมัยนั้น การอดมื้อเที่ยงเคยเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศศักดิ์ศรี และการงีบหลับเคยเป็นสัญลักษณ์แห่งความน่าละอายใจ แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว วิทยาศาสตร์แห่งจังหวะเวลาในปัจจุบัน ยืนยันความเข้าใจที่มีมาก่อนแล้ว ตั้งแต่โลกยุคเก่านั่นคือ ควรหาเวลาหยุดพักให้ตัวเองบ้าง
ส่วนที่ 2 จุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลาง และจุดสิ้นสุด
บทที่ 3 จุดเริ่มต้น
จุดเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญ ไม่สามารถควบคุมจุดเริ่มต้นได้เสมอไป แต่เรื่องนี้เป็นด้านหนึ่งที่สามารถควบคุมได้ จึงจำเป็นต้องทำเมื่อถึงบางช่วงชีวิตอาจตั้งปณิธานปีใหม่ในวันที่ 1 มกราคมวันแรกของปี คือสิ่งที่นักสังคมศาสตร์เรียกว่าจุดสังเกตของเวลา (temporal landmark) ในขณะที่มนุษย์อาศัยจุดสังเกตเพื่อค้นหาเส้นทางเชิงพื้นที่ แล้วยังใช้จุดสังเกตเพื่อค้นหาเส้นทางเชิงเวลาอีกด้วย พวกมันจะโดดเด่นกว่าวันอื่น ๆ ซึ่งดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น และไม่มีอะไรน่าจดจำ ความโดดเด่นของมันช่วยให้ค้นพบเส้นทางของตัวเอง เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ปรากฏการณ์เริ่มต้นใหม่ (fresh start effect)
การเริ่มต้นใหม่ คนเราจะใช้จุดสังเกตของเวลา 2 ประเภทนั่นคือ จุดสังเกตทางสังคมและจุดสังเกตส่วนตัว จุดสังเกตทางสังคมคือจุดสังเกตที่ทุกคนยึดถือร่วมกัน เช่น วันจันทร์วันแรกของเดือน หรือวันหยุดราชการ ส่วนจุดสังเกตส่วนตัวเป็นจุดสังเกตที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละบุคคล เช่น วันเกิดวันครบรอบ 1 ปี หรือวันเปลี่ยนงานใหม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นจุดสังเกตทางสังคมหรือจุดสังเกตส่วนตัว จุดสังเกตของเวลาทุกประเภท ล้วนตอบสนองวัตถุประสงค์ 2 ข้อต่อไปนี้
ข้อแรกคือ จุดสังเกตเหล่านี้ช่วยให้คนเราเปิดบัญชีใหม่ทางความคิด ในลักษณะเดียวกับที่บริษัทเปิดบัญชีตอนสิ้นปีงบประมาณ และเปิดบัญชีแยกประเภทบัญชีใหม่สำหรับปีใหม่ ช่วงเวลาเปิดโอกาสให้ได้เริ่มต้นใหม่ด้วยกัน ผลักไสตัวตนเก่าไปสู่อดีต มันตัดขาดจากความผิดพลาด และความไม่สมบูรณ์แบบของตัวตนในอดีต และทำให้รู้สึกมั่นใจในตัวตนใหม่ที่เหนือกว่า เมื่อได้รับการเสริมแกร่งด้วยความมั่นใจดังกล่าวแล้ว ก็จะประพฤติตัวดีกว่าที่เคยทำในอดีต และพยายามอย่างกระตือรือร้นมากขึ้น เพื่อบรรลุความมุ่งมั่นปรารถนาของตัวเอง
ข้อที่ 2 คือ จุดสังเกตเหล่านี้ช่วยสลัดให้หล่นจากยอดไม้ จนมองเห็นผืนป่า จุดสังเกตของเวลาช่วยขัดจังหวะ ไม่ให้เพ่งความสนใจไปที่เรื่องหยุมหยิมของแต่ละวัน ทำให้มองเห็นภาพรวมของชีวิต และเพิ่มความสนใจไปที่การบรรลุเป้าหมายของตัวเอง ลองนึกถึงจุดสังเกตเชิงพื้นที่อีกครั้ง อาจขับรถหลายกิโลเมตร และแทบไม่สังเกตเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัวเลย แต่ปั๊มน้ำมันที่สว่างไสวตรงหัวมุมถนน ก็ดึงดูดความสนใจไว้ได้
วันเริ่มต้นใหม่ก็เช่นเดียวกัน แดเนียล คาร์เนแมน ได้พูดถึงความแตกต่างระหว่างการคิดเร็ว (การตัดสินใจโดยใช้สัญชาตญาณซึ่งถูกบิดเบือนโดยอคติทางความคิด) กับการคิดช้า (การตัดสินใจโดยตั้งอยู่บนเหตุผลซึ่งได้รับการชี้นำโดยการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ) จุดสังเกตของเวลาทำให้คิดช้าลง เปิดโอกาสให้ไตร่ตรองในระดับที่สูงขึ้น และตัดสินใจได้ดีขึ้น ผลกระทบของปรากฏการณ์เริ่มต้นใหม่นั้น มีทั้งในแง่ส่วนตัวและแง่สังคม เช่นเดียวกับอิทธิพลทั้งหลาย ที่ขับเคลื่อนปรากฏการณ์นี้
คนที่ก้าวสะดุดตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานใหม่ การทำโครงการสำคัญ หรือการพยายามทำให้สุขภาพของตัวเองดีขึ้น ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางของตัวเองได้ ด้วยการใช้จุดสังเกตของเวลาเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง คนเราสามารถสร้างจุดเปลี่ยนอย่างมีกลยุทธ์ ในประวัติศาสตร์ของตัวเองได้ วันขึ้นปีใหม่มีอิทธิพลมากเป็นพิเศษต่อพฤติกรรมมานานแล้ว ปรากฏการณ์เริ่มต้นใหม่เปิดโอกาสให้ใช้เทคนิคแบบเดียวกัน แต่ใช้ด้วยความตระหนักรู้และความตั้งใจในหลาย ๆ วัน เพราะถึงอย่างไรปณิธานปีใหม่ มักไม่ค่อยสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้อยู่แล้ว งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า เมื่อเข้าสู่ปีใหม่ได้ 1 เดือน มีปณิธานเพียง 64% เท่านั้นที่ยังคงได้รับการสานต่อ การสร้างจุดสังเกตของเวลา โดยเฉพาะจุดสังเกตที่มีความหมาย จะทำให้มีโอกาสเพิ่มขึ้นอย่างมาก ที่จะฟื้นตัวจากจุดเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
เริ่มต้นด้วยกัน นี่เป็นอีกครั้งที่จุดเริ่มต้นก่อให้เกิดผลกระทบอย่างต่อเนื่อง แบบที่ยากจะยับยั้งได้ อัตราการเติบโตของค่าจ้างคิดเป็นสัดส่วนมหาศาล ตลอดชีวิตของคนคนหนึ่งเกิดขึ้นในช่วง 10 ปีแรกของอาชีพการงาน การเริ่มต้นด้วยเงินเดือนสูงกว่า ทำให้คนเราอยู่บนเส้นทางที่สูงกว่าในตอนแรก แต่นั่นเป็นเพียงข้อได้เปรียบแรกเท่านั้น วิธีที่ดีที่สุดในการหารายได้ให้มากขึ้นคือ การใช้ทักษะบางอย่างให้ตรงกับความต้องการบางอย่างของนายจ้าง เรื่องนั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นกับงานแรก คนเราจึงลาออกแล้วหางานใหม่ โดยมักทำแบบนั้นทุก 2-3 ปีเพื่อให้ได้งานที่ลงตัว
การหางานที่ลงตัวกว่า และเริ่มไต่เต้าเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนสูงขึ้น จึงใช้เวลานานกว่า ในทุก ๆ ระบบที่มีความเคลื่อนไหว ภาวะในช่วงแรกเริ่มนั้นมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวง ต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้อยู่อาศัยในระบบนั้น คนที่เริ่มต้นอาชีพในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ หากได้เป็น CEO ก็จริง แต่พวกเขาได้เป็น CEO ของบริษัทขนาดเล็กกว่า และมีรายได้น้อยกว่าคนที่เรียนจบในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู
งานวิจัยยังค้นพบด้วยว่า คนที่เรียนจบในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ จะมีรูปแบบการบริหารจัดการในเชิงอนุรักษ์นิยมมากกว่า ซึ่งอาจเป็นผลสืบเนื่องอีกอย่างหนึ่ง ของจุดเริ่มต้นที่มีความแน่นอนน้อยกว่าก็ได้ คนส่วนใหญ่ย่อมสัมผัสได้ว่า จุดเริ่มต้นมีความสำคัญ แต่ตอนนี้วิทยาศาสตร์ของจังหวะเวลาได้แสดงให้เห็นแล้วว่า มันมีอิทธิพลยิ่งกว่าที่คาดคิดเสียอีก จุดเริ่มต้นอยู่กับคนเรานานกว่าที่รู้ตัวมาก และผลกระทบของมันจะยังคงอยู่ไปจนถึงจุดสิ้นสุด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเวลาที่รับมือกับความท้าทายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนัก การช่วยให้ลูกได้เรียนรู้ และการรับประกันว่าเพื่อนร่วมชาติ จะไม่ตกอยู่ในสถานการณ์ดิ่งลงเหว จึงจำเป็นต้องตอบสนองมากขึ้น และคำนึงถึงคำถามว่า เมื่อไหร่ควบคู่ไปกับคำถามว่าอะไร
เมื่อมีความรู้ในวิทยาศาสตร์ด้านนี้แล้ว ก็จะเริ่มต้นได้อย่างถูกต้องมากขึ้น เมื่อรู้ว่าความคิดจัดการกับเวลาอย่างไร ย่อมสามารถใช้จุดสังเกตของเวลา เพื่อฟื้นตัวจากจุดเริ่มต้นที่ผิด และเริ่มต้นใหม่ได้ และเมื่อเข้าใจแล้วว่าจุดเริ่มต้นนั้นยากลำบาก ไร้ซึ่งความยุติธรรม และส่งผลยาวนานแค่ไหน มันก็อาจกระตุ้นให้เริ่มต้นด้วยกันบ่อยขึ้น การเปลี่ยนจุดสนใจโดยให้ความสำคัญกับคำถามว่า เมื่อไหร่มากพอ ๆ กับคำถามว่าอะไร หากไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาครอบจักรวาล แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
บทที่ 4 จุดกึ่งกลาง
ชีวิตของคนเราแทบไม่เคยดำเนินไปเป็นเส้นตรงอย่างชัดเจน บ่อยครั้งที่ชีวิตดำเนินไปแบบเป็นตอน ๆ โดยประกอบด้วยจุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลาง และจุดสิ้นสุด มักจะจำจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดได้ เพราะมีความเด่นชัดเช่นกัน แต่จุดกึ่งกลางกลับมีความคลุมเครือ มันเลือนลางลงแทนที่จะแจ่มชัดขึ้น มันสูญหายไปในระหว่างทาง แต่วิทยาศาสตร์ของจังหวะเวลาได้เผยให้เห็นว่า จุดกึ่งกลางส่งผลกระทบอย่างทรงพลังต่อสิ่งที่ทำและวิธีที่ทำสิ่งนั้น
บางครั้งการมาถึงจุดกึ่งกลางทำให้หมดความสนใจ หรือความก้าวหน้าหยุดชะงัก แต่บางครั้งจุดกึ่งกลางก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นการไปถึงจุดกึ่งกลางนั้น กระตุ้นแรงจูงใจ และผลักดันให้เดินไปบนเส้นทางที่มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จมากขึ้น เรียกปรากฏการณ์ทั้งสองอย่างนี้ว่า ความซบเซา (slump) และความเร่งเร้า (spark)
ตลอดระยะเวลาของพัฒนาการในแต่ละบุคคล มีลักษณะของจุดเปลี่ยนหรือช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาที่คนเราคุ้นเคยน้อยที่สุด แต่มีความสำคัญมากที่สุด เกิดขึ้นตอนอายุประมาณ 35 ปี ซึ่งเรียกว่าช่วงวิกฤตวัยกลางคน (midlife crisis) คุณสมบัติสำคัญซึ่งเป็นหัวใจหลักของช่วงวิกฤตวัยกลางคนก็คือ การที่คนเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความตาย ซึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเองในท้ายที่สุดได้
เมื่อคนเราใช้ชีวิตมาจนถึงช่วงวัยกลางคน เวลาแห่งความปั่นป่วนทางใจ และภาวะสติแตกอันน่าหดหู่ เมื่อถูกวิญญาณแห่งความตายหลอกหลอน มนุษย์วัยกลางคนจะยอมพ่ายแพ้ต่อสัจธรรมที่หลีกหนีไม่พ้น หรือไม่ก็เปลี่ยนเส้นทางของตัวเองอย่างสุดโต่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับมัน คำพูดดังกล่าวได้แทรกซึมเข้าไปอยู่ในบทสนทนา ของคนทั่วโลกอย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง และวิกฤตวัยกลางคนก็ยังเป็นหนึ่งในคำพูดที่ใช้กันมาจนถึงทุกวันนี้ รู้ว่าวิกฤติวัยกลางคนมีหน้าตาอย่างไร แม้แต่ตอนที่มันเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยใหม่
ความสุขในวัยกลางคนไม่ได้พังทลายอย่างย่อยยับ จนถึงขั้นเปลี่ยนแปลงชีวิต มันแค่ซบเซาลงเท่านั้น เส้นโค้งรูปตัวยูของความสุข ซึ่งเป็นความซบเซาเพียงเล็กน้อย แทนที่จะเป็นวิกฤติขั้นรุนแรง ถือเป็นการค้นพบอันทรงพลังอย่างยิ่ง ค้นพบว่าความสุขลดลงอย่างคงเส้นคงวา ในช่วงกึ่งกลางของชีวิต ความสม่ำเสมอในที่นี้เป็นเรื่องน่าสนใจ พวกเขาตั้งข้อสังเกตกราฟรูปตัวยู ออกมาคล้ายคลึงกันทั้งเพศชายและเพศหญิง
มีบางอย่างเกิดขึ้นจริง ๆ ในช่วงวัยกลางคน ความผิดหวังจากความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง ในช่วงอายุ 20 และ 30 อันไร้เดียงสา สรุปก็คือ ไม่ค่อยมีความสุขในช่วงวัยกลางคน เพราะเป็นนักพยากรณ์ที่ไม่เอาไหน เรื่องนี้แสดงให้เห็นความเป็นไปได้ที่น่าสนใจนั่นคือ ความซบเซาแห่งจุดกึ่งกลาง หากเป็นเรื่องทางชีววิทยามากกว่าสังคมวิทยา และมันเป็นพลังธรรมชาติที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ มากกว่าจะเป็นปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ที่สามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ขอให้คิดเสียว่าจุดกึ่งกลางเป็นนาฬิกาปลุกทางจิตวิทยา
ช่วงพักครึ่งคือตัวตัดสิน จุดกึ่งกลางเป็นทั้งสัจธรรมของชีวิต และพลังของธรรมชาติ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผลกระทบของมันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ ด้วยความหวังที่ดีที่สุดในการเปลี่ยนความซบเซา ให้กลายเป็นความเร่งเร้าประกอบด้วย 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนแรก จงตระหนักถึงจุดกึ่งกลาง อย่าปล่อยให้มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่อย่างนั้น
ขั้นตอนที่ 2 ใช้จุดกึ่งกลางเพื่อปลุกคนให้ตื่นขึ้น แทนที่จะยอมแพ้
ขั้นตอนที่ 3 เมื่อถึงจุดกึ่งกลางให้ลองจินตนาการว่า เป็นฝ่ายตามหลังแต่แค่นิดเดียวเท่านั้น การทำแบบนั้นจะปลุกเร้าแรงจูงใจ และอาจช่วยให้คว้าชัยชนะได้
บทที่ 5 จุดสิ้นสุด
การเข้าสู่จุดสิ้นสุดของทศวรรษ สั่นคลอนความคิดและเปลี่ยนแปลงการกระทำโดยเหตุผลบางอย่าง นั่นคือผลกระทบของจุดสิ้นสุด เช่นเดียวกับจุดเริ่มต้นและจุดกึ่งกลาง จุดสิ้นสุดชี้นำอย่างเงียบ ๆ ว่าต้องทำอะไร และทำสิ่งนั้นอย่างไร อันที่จริงจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ โครงการ ภาคเรียน การเจรจาต่อรอง หรือช่วงต่าง ๆ ของชีวิต ล้วนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมในทางที่คาดเดาได้ 4 แบบนั่นคือ มันช่วยปลุกพลัง ตีความ ตัดทอน และยกระดับ
ปลุกพลัง เวลา 1 รอบทศวรรษแทบไม่ได้มีนัยสำคัญอย่างเป็นรูปธรรมเลย สภาพแวดล้อมในช่วงอายุที่ลงท้ายด้วยเลข 9 ก็ไม่ได้แตกต่างอย่างสุดขั้วจากช่วงอายุที่ลงท้ายด้วยเลข 0 แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงนั้น ไม่ได้เป็นไปตามกฎของตัวเลขกลม ๆ มากไปกว่าเรื่องราวนิยาย เพราะไม่ได้ประเมินนิยายเรื่องหนึ่งตามเลขหน้าอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนเข้าใกล้จุดสิ้นสุดของช่วงเวลา 1 ทศวรรษ อะไรบางอย่างได้ตื่นขึ้นในความคิด และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไป ความสามารถในการปลุกพลังของจุดสิ้นสุด เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลสำหรับนักวิทยาศาสตร์ โลกใบนี้ไม่สนใจ แต่มนุษย์สนใจเพราะมีอายุสั้น คนเราเฝ้าติดตามอายุเพื่อดูว่า ตัวเองเป็นอย่างไรบ้าง การได้เห็นหลักกิโลเมตรอยู่เรื่อย ๆ เป็นตัวกระตุ้นแรงจูงใจ ต้องทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จอย่างแท้จริง เพราะไม่อยากให้ปีสุดท้ายผ่านไปเฉย ๆ
อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่วัยลงท้ายด้วยเลข 9 ไม่ได้กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมด้านบวกเสมอไป อัตราการฆ่าตัวตายในหมู่คนลงท้ายด้วยเลข 9 สูงกว่าในหมู่คนวัยลงท้ายด้วยเลขอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน พลังในการสร้างแรงจูงใจของจุดสิ้นสุดคือเหตุผลข้อ 1 ที่ทำให้กำหนดเส้นตายมักจะมีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะไม่เสมอไปก็ตาม จะมองว่าปรากฏการณ์นี้เป็นญาติสนิทของปรากฏการณ์เริ่มต้นใหม่ หรือจะเรียกว่าปรากฏการณ์ปิดฉากเร็ว (fast finish effect) ก็ได้ กล่าวคือเมื่อเข้าใกล้จุดสิ้นสุดก็จะรีบเร่งมากขึ้นอีกนิด
แน่นอนว่าปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เหมือนกันทุกกรณี และไม่ได้เป็นไปในทางบวกเสียหมด บางครั้งกำหนดเส้นตายอาจลดทอนแรงจูงใจโดยธรรมชาติ และทำลายความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในภารกิจที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และถึงแม้ว่าการกำหนดจุดสิ้นสุดที่แน่ชัดในการต่อรอง จะทำให้บรรลุผลการเจรจาเร็วขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หรือยั่งยืนที่สุดเสมอไป
ตีความ พลังในการตีความของจุดสิ้นสุด มีอิทธิพลต่อความคิดเห็น และการตัดสินใจที่ตามมา ตัวอย่างเช่น การศึกษาหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า มักประเมินคุณภาพของมื้ออาหาร ภาพยนตร์ และการเดินทางท่องเที่ยว โดยไม่ได้ดูจากประสบการณ์ทั้งหมด แต่ดูจากบางช่วงเวลาโดยเฉพาะตอนจบ ผลกระทบของจุดสิ้นสุดที่มีต่อการตีความ จะยิ่งรุนแรงมากเป็นพิเศษ เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับศีลธรรม จุดสิ้นสุดช่วยตีความชีวิตโดยบันทึก ประเมิน และหวนนึกถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านไป แต่มันก็อาจบิดเบือนการรับรู้ และปิดบังภาพรวมที่ใหญ่กว่าได้ ในบรรดาอิทธิพลทั้ง 4 แบบ ที่จุดสิ้นสุดมีต่อพฤติกรรม การตีความเป็นสิ่งที่ควรระวังมากที่สุด
ตัดทอน ชีวิตอาจไม่ได้เป็นเหมือนละครเสมอไป แต่มันก็อาจจะดำเนินไปเหมือนละครแบบ 3 องค์ องค์หนึ่งคือการปูพื้น เปลี่ยนจากวัยเด็กไปสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น องค์ 2 คือความเป็นจริงอันโหดร้ายที่เข้ามาปกคลุม ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ อาจจะหาคู่ครองและสร้างครอบครัว เจริญก้าวหน้า อาจพบเจอความล้มเหลว ส่วนองค์ 3 ก็คือจุดสิ้นสุดแบบหวานปนขม อาจประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง อาจมีผู้คนที่รัก แต่ตอนจบใกล้เข้ามาแล้ว ม่านกำลังจะปิดลง
จริงอยู่ว่าคนสูงวัยมีเครือข่ายสังคมเล็กลงอย่างมาก เมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาอายุน้อยกว่านั้น อย่างไรก็ตาม สาเหตุไม่ใช่ความโดดเดี่ยวและความแตกแยก แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจและน่ายินดีกว่านั้นนั่นคือ มันเกิดจากสิ่งที่เลือกเมื่อมีอายุมากขึ้น หรือเมื่อตระหนักถึงจุดจบในท้ายที่สุด จะสะท้อนกลุ่มเพื่อนของตัวเองอย่างไรก็ตาม เมื่อจุดสิ้นสุดกลายเป็นสิ่งที่เด่นชัด หรือเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เข้าสู่องค์สามของชีวิต จะลงมือตัดทอนตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่ม่านจะปิดลง
ยกระดับ จุดสิ้นสุดนำเสนอทั้งข่าวดีและข่าวร้าย เกี่ยวกับพฤติกรรมและวิจารณญาณ จุดสิ้นสุดช่วยในการตีความ แต่บางครั้งมันก็สามารถบิดเบือนความทรงจำ และทำให้การรับรู้ผิดเพี้ยนไปด้วย การให้ความสำคัญกับช่วงเวลาสุดท้ายมากเกินไป และละเลยทั้งหมด แต่จุดสิ้นสุดอาจมอบพลังบวกได้เช่นกัน มันช่วยปลุกพลังเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย มันช่วยให้ตัดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิต และช่วยยกระดับ ไม่ใช่ผ่านการแสวงหาความสุขแบบเรียบง่าย แต่ผ่านพลังงานซับซ้อนกว่าของความสะเทือนอารมณ์ การปิดฉากบทสรุปและจุดสุดท้าย เปิดเผยให้เห็นสิ่งสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ นั่นคือสุดท้ายแล้วทุกคนย่อมแสวงหาความหมาย
ส่วนที่ 3 ความพร้อมเพรียงและความคิด
บทที่ 6 ทำอย่างพร้อมเพรียงทั้งช้าและเร็ว
มนุษย์แทบไม่เคยอยู่ตัวคนเดียว สิ่งที่ทำส่วนใหญ่ในชีวิต ไม่ว่าจะในที่ทำงาน ที่โรงเรียน หรือที่บ้าน ล้วนเป็นการทำร่วมกับคนอื่นทั้งนั้น ความสามารถในการเอาตัวรอด หรือแม้แต่ใช้ชีวิตนั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถในการประสานงานกับคนอื่น ในช่วงเวลาต่าง ๆ จริงอยู่ว่าจังหวะเวลาของแต่ละคนถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง แต่จังหวะเวลาของกลุ่มก็สำคัญมากพอ ๆ กัน ความสามารถในการทำสิ่งต่าง ๆ พร้อมเพรียงกับคนอื่น ซึ่งเกิดขึ้นเพราะการค้นพบของกาลิเลโอเมื่อหลายร้อยปีก่อน ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความก้าวหน้าของมนุษย์
แต่เวลาที่เป็นมาตรฐาน เป็นเพียงส่วนประกอบแรกกลุ่มคน ที่ต้องอาศัยการทำงานอย่างพร้อมเพียงกัน เพื่อความสำเร็จ เช่น คณะนักร้องประสานเสียง ทีมแข่งเรือพาย ล้วนมีคุณสมบัติที่เป็นไปตามหลักการจังหวะเวลาของกลุ่ม 3 ข้อนั่นคือ มีมาตรฐานจากภายนอกกลุ่มเป็นตัวกำหนด จังหวะความเร็ว มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ซึ่งช่วยให้สมาชิกในกลุ่มเป็นหนึ่งเดียวกัน และมีความพร้อมเพียง ซึ่งต้องอาศัยความสุข และช่วยเพิ่มความสุขในเวลาเดียวกัน พูดอีกอย่างก็คือ สมาชิกในกลุ่มต้องทำสิ่งต่าง ๆ อย่างพร้อมเพรียงกันใน 3 ระดับนั่นคือ ต้องพร้อมเพียงกับผู้นำ พร้อมเพียงกับเพื่อนสมาชิก และพร้อมเพียงกับจังหวะหัวใจ
พร้อมเพรียงกับผู้นำ การแข่งเรือพายเป็นหนึ่งในกีฬาแข่งขันความเร็ว เพียงไม่กี่ชนิดที่นักกีฬาหันหลังเข้าเส้นชัย มีสมาชิกเพียงคนเดียวในทีมที่หันหน้า และในทีมหญิงของมหาวิทยาลัย จอร์จ วอชิงตัน ซึ่งเข้าร่วมการแข่งขันเอ็นซีเอเอ ดิวิชั่น 1 บุคคลนั้นก็คือ ลิเดีย บาร์เบอร์ หัวหน้าฝีพาย นั่งอยู่ตรงท้ายเรือ มีไมโครโฟนแบบคาดรัดหัวอยู่กับศีรษะ เธอตะโกนออกคำสั่งแก่ฝีพาย 8 คน ตามธรรมเนียมแต่เดิม หัวหน้าฝีพายจะเป็นคนตัวเล็ก และมีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เรือบรรทุกน้ำหนักน้อยลง เธอเป็นส่วนผสมอันดุดันเข้มข้น ระหว่างสมาชิกและความเป็นผู้นำ ซึ่งเธอนำมันมาใช้บังคับเรือในหลาย ๆ วิธี บาร์เบอร์ เป็นผู้กำหนดจังหวะ ส่งผลให้เธอเป็นผู้นำของทีมฝีพาย เธอเป็นคนร้องบอกจังหวะของการพาย ตลอดเวลาที่เหลือของการแข่งขัน หน้าที่ของเธอคือการคัดท้ายเรือ บริหารกลยุทธ์การแข่งขัน และที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้ทีมมีแรงจูงใจ และพายเรืออย่างพร้อมเพรียงกันอยู่เสมอ
พร้อมเพรียงกับเพื่อนสมาชิก ในปี 1995 นักจิตวิทยาสังคม 2 คนชื่อ รอยบาว ไมสเตอร์และ มาร์ก แลรี ได้เสนอสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า สมมุติฐานความเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม (belongingness hypothesis) โดยระบุว่าความต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ถือเป็นแรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์ และการกระทำหลายอย่างของมนุษย์ ก็เกิดขึ้นเพื่อรองรับความเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม หากปราศจากสิ่งนี้ก็จะนำไปสู่ผลกระทบด้านลบ หากมีสิ่งนี้ก็จะนำไปสู่ความสมบูรณ์แข็งแรงและความพึงพอใจ
ทุกวันนี้ความพึงพอใจที่คงอยู่มานานของการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ช่วยกำหนดเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ของตัวเองให้สอดคล้องกับคนอื่น นักวิชาการจำนวนมากค้นพบว่า ความสมานฉันท์ทางสังคม (social cohesion) นำไปสู่ความพร้อมเพรียงกันที่มากขึ้น แต่ถึงแม้จะมีแรงขับในการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มมาแต่กำเนิด บางครั้งการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มก็ต้องอาศัยความพยายามมากพอสมควร เมื่อเป็นเรื่องของการประสานงานเป็นกลุ่ม การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มจะเกิดขึ้นใน 3 รูปแบบได้แก่ รหัส เครื่องแต่งกาย และการสัมผัส
ความพร้อมเพรียงกับจังหวะหัวใจ การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในกิจกรรมไม่กี่อย่างของชีวิตที่ดีอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง โดยเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์มหาศาล แต่อาศัยต้นทุนเพียงเล็กน้อย การออกกำลังกายช่วยให้มีอายุยืนมากขึ้น ช่วยป้องกันโรคหัวใจ และโรคเบาหวาน ช่วยลดน้ำหนัก และทำให้แข็งแรงขึ้น อีกทั้งยังมีประโยชน์ทางจิตวิทยาอย่างมหาศาล สำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า มันอาจมีประสิทธิภาพมากพอ ๆ กับยารักษาสำหรับคนสุขภาพดี มันคือสิ่งที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นทันทีและให้ผลยาวนาน
การร้องเพลงประสานเสียง อาจเป็นการออกกำลังกายแบบใหม่ก็ได้ งานวิจัยเกี่ยวกับประโยชน์ของการร้องเพลงเป็นกลุ่มได้ผลลัพธ์น่าทึ่งทีเดียว การร้องเพลงประสานเสียงทำให้อัตราการเต้นของหัวใจสงบลง และทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนดอร์ฟินเพิ่มขึ้น ผลสืบเนื่องของการร้องเพลงในกลุ่มก็คือ เกิดวงจรของความรู้สึกดี และการประสานงานที่ดีขึ้น ความรู้สึกดีส่งเสริมความสมานฉันท์ทางสังคม ทำให้การทำสิ่งต่าง ๆ อย่างพร้อมเพรียงเป็นเรื่องง่ายดายมากขึ้น การที่สมาชิก 9 คนอาจกลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างมีชีวิตชีวา และการที่ความสุขล้นอาจเข้ามาแทนที่ความพยายาม
โดยเป็นผลสืบเนื่องมาจากเรื่องนี้ แสดงให้เห็นถึงความต้องการทางฝังรากลึก จะทำสิ่งต่าง ๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน นักวิชาการบางคนเสนอข้อคิดเห็นว่า มีความปรารถนาโดยกำเนิด ที่จะรู้สึกพร้อมเพรียงกับคนอื่น
บทที่ 7 คิดแบบบ่งบอกเวลา
ภาษาส่วนใหญ่ของโลก มีการผันคำกิริยาไปตามกาลเวลา โดยเฉพาะอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อถ่ายทอดความหมาย และเปิดเผยความคิด ข้อความเกือบทั้งหมดที่เอ่ยออกมา ล้วนมีเวลาเจือปนอยู่ และในบางแง่มุมความคิดก็เกี่ยวข้องกับเวลาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดเกี่ยวกับตัวเอง ลองนึกถึงอดีตดูก็ได้ มีคนชอบบอกว่าอย่าหมกมุ่นกับอดีต แต่งานวิจัยได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า การใช้ความคิดในรูปอดีตกาล อาจทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น
ความอาลัยอาวรณ์ ซึ่งหมายถึงการครุ่นคิดและรู้สึกโหยหาอดีต เคยถูกมองว่าเป็นโรค หรือความบกพร่องที่ทำให้หันเหความสนใจออกจากเป้าหมายปัจจุบัน เช่นเดียวกับความสะเทือนอารมณ์ ความอาลัยอาวรณ์ถึงเป็นอารมณ์ทางสังคม โดยพื้นฐานแบบหวานปนขม ที่มีแง่มุมด้านบวกเด่นกว่าการคิดแบบอดีตกาล ขอให้เกิดหน้าต่างสำหรับส่องมองข้างในตัวเอง หรือประตูสู่ตัวตนที่แท้จริง มันทำให้ปัจจุบันเป็นสิ่งที่มีความหมาย เมื่อบันทึกช่วงเวลาทั่วไปของวันนี้เอาไว้ ย่อมสามารถทำให้ปัจจุบันกลายเป็นปัจจุบันสำหรับอนาคตได้
ทั้งหมดนี้บอกให้รู้ว่า เส้นทางสู่ชีวิตที่มีความหมาย และความสำคัญไม่ใช่การอยู่กับปัจจุบัน แต่เป็นการประสานการรับรู้เวลาเข้ากับองค์รวม ที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด ซึ่งช่วยให้เข้าใจว่าตัวเองเป็นใคร และทำไมถึงอยู่ที่นี่ ความท้าทายของมนุษย์คือ การรวมอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน.