สั่งซื้อหนังสือ “The Top Secret เดอะ ท็อป ซีเคร็ต” (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ The Top Secret เดอะ ท็อป ซีเคร็ต

กฎแรงดึงดูดของโลก ความลับของแสง ไปจนถึงปริศนาแรงโน้มถ่วง ที่นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามค้นหาอยู่ในปัจจุบัน นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมากมาย แต่เมื่อ 2500 ปีผ่านไปพิสูจน์ได้ว่า พระพุทธองค์ทรงตัดสินพระทัยถูกต้อง เพราะถึงทุกวันนี้จิตใจของมนุษย์ก็ไม่ได้สูงขึ้นเลย และอาจจะมีกิเลสตัณหามากยิ่งกว่าผู้คนในสมัยพุทธกาลด้วยซ้ำไป

จนเมื่อเข้าสู่กึ่งพุทธกาล ชาวโลกก็ได้ของขวัญชิ้นใหม่คือ การค้นพบกฎแรงดึงดูดของความคิด เมื่อผู้คนต่าง ๆ ได้ทดลองนำกฎนี้ไปใช้ปรากฏว่ามันเกิดขึ้นจริง ความคิดมีแรงดึงดูดจริง ๆ เป็นไปได้อย่างไร เป็นที่น่าตื่นเต้นกันไปทั่วโลก การค้นพบนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น มนุษย์ได้ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอีกครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อรู้ว่าความคิดมีแรงดึงดูด

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมาเพื่ออ่านคู่กับหนังสือชื่อก้องโลกเดอะซีเคร็ต ซึ่งได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ความคิดทำให้เกิดอะไร และเดอะท็อปซีเคร็ตจะมาอธิบายต่อว่า ความคิดทำให้เกิดได้อย่างไร ซึ่งจะเป็นคำตอบต่อมาได้ว่า ความคิดทำให้เกิดแรงดึงดูดได้เมื่อไหร่และที่ไหน

นับว่าเป็นความโชคดีของมนุษย์ยุคปัจจุบัน ที่การค้นพบความจริงของธรรมชาติในทศวรรษนี้ เริ่มมีทิศทางโน้มเข้าหานามธรรมแห่งจิตของมนุษย์ เพราะจะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ที่แท้จริง และการค้นพบกฎแรงดึงดูดความคิด เป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่ทำให้มนุษย์พัฒนาจิตใจครั้งยิ่งใหญ่

บทที่ 1

จากเดอะซีเคร็ต ถึงเดอะท็อปซีเคร็ต

ธรรมชาติได้ให้สติปัญญา และความเฉลียวฉลาดแก่มนุษย์ มนุษย์จึงเป็นผู้สรรค์สร้างสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้บนโลกนี้อย่างอัศจรรย์ ในหลายยุคหลายสมัยจวบจนปัจจุบัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง มนุษย์เองก็เป็นสัตว์โลกที่มีการทะเลาะเบาะแว้ง เบียดเบียน ทำร้ายกัน จนถึงขนาดฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กัน มากกว่าสัตว์โลกอื่น ๆ ที่มีสติปัญญาน้อยกว่ามนุษย์มาก

มนุษย์จึงเป็นสัตว์โลกที่ชาญฉลาด สามารถทำความดีได้อย่างสุด ๆ และทำความชั่วได้อย่างสุด ๆ เช่นเดียวกัน เมื่อความเจริญทางวัตถุมีมากขึ้นเท่าใด ความเสื่อมทางจิตใจของมนุษย์ ก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ในหนังสือเดอะซีเคร็ตได้สรุปความลับที่สำคัญไว้ว่า ถ้าต้องการสิ่งใดให้อธิษฐานขอ เพื่อให้จักรวาลรับรู้สิ่งที่ต้องการ หลังจากนั้นให้เชื่อว่าได้รับสิ่งนั้นแล้ว และจุดที่สำคัญที่สุดคือรับหมายถึง การสร้างความรู้สึก ความพอใจ ปลาบปลื้มยินดี ราวกับว่าได้รับสิ่งนั้นมาครอบครองแล้วจริง ๆ

หนังสือเดอะท็อปซีเคร็ตจะนำกระบวนการทำงานของขอ เชื่อ รับมาอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น โดยผ่านหลักธรรมวิทยาศาสตร์ หรือหลักพุทธศาสตร์

การขอนั้นก็คือ การตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนา หรือประทับความปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้ในจิต

ส่วนการเชื่อนั้นต้องอาศัยพลังแห่งศรัทธาคือ การเห็นคุณค่าของสิ่งนั้น พอใจ และมั่นใจในสิ่งนั้น มีใจยึดเหนี่ยวและมุ่งมั่น มุ่งหามุ่งไปตามสิ่งนั้น ทำให้เกิดพลัง

และการรับหรือภาพแห่งความรู้สึกคือ ภาพที่ได้เห็นแล้วล่วงหน้าว่าเกิดขึ้นจริงจนรู้สึกยินดีปรีดา และมีความสุขกับภาพนั้น

โดยกระบวนการดังกล่าวทั้ง 3 ขั้นตอนนี้คือ ขอ เชื่อ รับเกี่ยวข้องกับการทำงานของพลังจิต

ดังนั้น จึงสรุปว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์เพราะมีสติสัมปชัญญะ หนังสือเดอะซีเคร็ตเปิดเผยความลับว่าความคิดมีแรงดึงดูด แต่หนังสือเดอะท็อปซีเคร็ตอธิบายกระบวนการทำงานของพลังความคิดว่า มีแรงดึงดูดอย่างไร เพิ่มเติมจากที่ยังไม่ชัดเจนในเดอะซีเคร็ต โดยวิเคราะห์ในเชิงจิตวิทยาและหลักพุทธศาสตร์ สิ่งต่าง ๆ ที่นำมาเปิดเผยในเดอะซีเคร็ต ยังไม่ลึกซึ้งเท่ากับสิ่งที่พระพุทธองค์นำมาเปิดเผยต่อมหาชนเมื่อ 2,500 กว่าปีมาแล้ว

การขอ ในพระพุทธศาสนาคือ การตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ปรารถนา มิใช่ขอจากจักรวาล

การเชื่อ ต้องอาศัยพลังแห่งศรัทธา และเชื่ออย่างมีปัญญา สำคัญที่สุดคือการเชื่อมั่นในตนเอง

ส่วนการรับคือ การสร้างภาพแห่งความรู้สึกขึ้นมาให้รู้สึกยินดีปรีดา และมีความสุขกับภาพนั้น การขอ เชื่อ รับในเดอะซีเคร็ตบอกไว้ว่า สำเร็จได้เพราะพลังความคิด แต่ในเดอะท็อปซีเคร็ตจะอธิบายให้ชัดเจนลึกซึ้งไปถึงพลังจิต ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความคิด กระบวนการทำงานของความรักในเดอะซีเคร็ต จะมีผลสูงสุดก็เพราะการฝึกจิตด้วยการเจริญสติ หากสามารถใช้จิตทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ ก็จะสมปรารถนาทุกประการ

บทที่ 2

ภาพแห่งความรู้สึก

ภาพแห่งความรู้สึกคือ กระบวนการการทำงานในขั้นตอนที่ 3 ต่อจากขอและเชื่อ ซึ่งก็คือรับ รับก็เปรียบได้กับภาพแห่งความรู้สึกที่มีผลต่อแรงดึงดูด ซึ่งจะทำให้สิ่งที่ทุกคนปรารถนาเกิดเป็นจริง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของภาพนั้นชัดเจนมากน้อยเพียงใด ถ้าชัดเจนมากโอกาสที่จะประสบความสำเร็จตามความปรารถนาก็เป็นไปได้มาก

ภาพแห่งความรู้สึกคือภาพในใจที่ใส่ความรู้สึกเข้าไปด้วย ทุกคนสามารถจินตนาการภาพในใจได้ แต่น้อยคนนักที่จะรู้เคล็ดลับของการใส่ความรู้สึกเข้าไป และภาพในจินตนาการที่จะเกิดแรงดึงดูดได้ ต้องเป็นภาพแห่งความรู้สึกเท่านั้น เช่น คนที่จินตนาการถึงบ้านในฝัน ต้องใส่ความรู้สึกเข้าไปว่า ตัวเองได้ไปอยู่ในบ้านนั้นจริง ๆ และเมื่อจินตนาการซ้ำกันบ่อย ๆ ภาพนั้นจะชัดเจนมีสีสันขึ้นเองโดยอัตโนมัติ และสร้างปรากฏการณ์ย้อนกลับขึ้นไปในโลกแห่งความจริง

เทคนิคการฝึกสร้างภาพในใจที่ง่ายที่สุดก็คือ การเล่นตัวต่อภาพ แบบจำลองสิ่งต่าง ๆ ตัวอักษรพิศวงหรือสแครบเบิล เป็นต้น เด็กที่ฝึกแบบนี้บ่อย ๆ เมื่อเติบโตขึ้นเขาจะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นภาพแห่งความรู้สึก และคิดย้อนกลับได้เองโดยอัตโนมัติ พลังจินตนาการสำคัญที่สุด รูปธรรมทั้งหลายมาจากการสร้างสรรค์ของความคิด สถาปนิกที่วาดวิมานในอากาศ สามารถสร้างบ้านทั้งหลังให้ออกมาเหมือนกับวิมานที่ฝันไว้

คนเรามักจะคิดกันว่าเงินคือพระเจ้า เพราะเงินเท่านั้นที่จะทำให้ภาพในฝันเป็นจริงได้ ความจริงแล้วพระเจ้าทรงอยู่ในจิตของทุกคน และมีพลังอำนาจเหนือกว่าเงินอย่างเทียบกันไม่ได้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกคนล่วงรู้ความลับนี้ ร้อยทั้งร้อยจะเลือกพลังความคิด เพราะเขารู้ดีว่าถ้ามีพลังนี้ จะเอาอะไรก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่ได้ทั้งนั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าเลือกทรัพย์สมบัติแต่เกิดมาเป็นคนที่ไม่มีความคิด เชื่อได้ว่าไม่นานนักทรัพย์สินก็จะค่อย ๆ ร่อยหรอและหมดไปอย่างถาวร

ดังนั้น ภาพแห่งความรู้สึกคือภาพในจินตนาการ ที่ใส่ความรู้สึกเข้าไปด้วย การรับเปรียบได้กับภาพแห่งความรู้สึก ยิ่งภาพนั้นชัดเจนเพียงใด โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็จะสูงขึ้น ชัยชนะอยู่กับคนที่เชื่อว่าจะชนะ หากเชื่อในผลที่ต้องการให้เกิดขึ้นก็จะเกิดขึ้นจริง ๆ การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ก็เหมือนกับการเขียนบทชีวิตให้ตัวเอง มุ่งที่เป้าหมายหรือผลลัพธ์ก่อน แล้วค่อยย้อนกลับมาหาเหตุ โดยกำหนดแนวทางที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น และขอให้เชื่อว่าจะทำได้จริง ๆ รูปธรรมทั้งหลายสร้างสรรค์ขึ้นมาจากความคิด เหมือนสถาปนิกวาดวิมานในอากาศ การจินตนาการภาพลงในจิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเชื่อมั่น เมื่อภาพชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนั้นก็จะดำเนินไปเองโดยอัตโนมัติ

บทที่ 3

เส้นทางสู่ความสำเร็จ

คนเก่งทุกคนบนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติใด ภาษาไหน มีพื้นฐานครอบครัวอย่างไร สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือความมั่นใจในความสำเร็จ มนุษย์อยู่ได้เพราะความหวัง ถ้าขาดความหวังก็ขาดกำลังใจ ยากที่จะใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่มีแต่การแข่งขัน การต่อสู้แย่งชิงเพื่อความอยู่รอด

การเอาชนะใจตนเองยากที่สุด ถ้าสามารถทำได้จะต่อสู้กับอะไรบนโลกนี้ก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ และเครื่องมือที่สำคัญคือ การรู้จักสร้างภาพในใจ ยิ่งกำหนดเป้าหมายเป็นภาพแห่งความรู้สึกที่ชัดเจนมากเท่าใด ก็จะสามารถเอาชนะใจตนเองได้มากเท่านั้น

เคล็ดลับของการสร้างภาพแห่งความรู้สึกก็คือประสบการณ์ ภาพในใจที่แจ่มชัดเวลาจะทำอะไรหรือแข่งอะไร ผู้มีประสบการณ์มักจะได้เปรียบ เพราะภาพในใจชัดเจนกว่าคนที่ไม่มีประสบการณ์ อีกอย่างหนึ่งคือภาพในจินตนาการที่เคลื่อนไหว จะประทับลงในจิตใต้สำนึกได้ง่ายกว่าภาพนิ่ง ดังนั้น การจินตนาการภาพควรเป็นภาพเคลื่อนไหวเสมอถ้าทำได้

ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่คนเก่งทุกคนมีเหมือนกันก็คือ ความมั่นใจในความสำเร็จ จงมั่นใจเชื่อใจในความสำเร็จของตัวเอง การเอาชนะใจตนเองยากที่สุด แต่ถ้าสามารถทำได้จะต่อสู้กับอะไรบนโลกนี้ก็ไม่มีทางพ่ายแพ้ เคล็ดลับของอัจฉริยะคือ ต้องสร้างภาพในจินตนาการก่อนเสมอ ยิ่งกำหนดเป้าหมายเป็นภาพแห่งความรู้สึกที่ชัดเจนมากเท่าใด โอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็มีสูงมากเท่านั้น เมื่อภาพแห่งความสำเร็จซึ่งเป็นเป้าหมายในใจชัด อุปสรรคใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก ประสบการณ์ช่วยให้จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกได้ง่ายขึ้น เพราะเคยผ่านพบมาก่อนแล้ว ภาพในจินตนาการที่เคลื่อนไหว จะประทับลงในจิตใต้สำนึกได้ง่ายกว่าภาพนิ่ง การเล่นกีฬา การทำงาน การเรียน หากสามารถสร้างภาพแห่งความรู้สึกได้ชัดเจน ทุกอย่างก็เป็นเรื่องไม่ยาก

บทที่ 4

สุดยอดความลับ

ต้นกำเนิดของน้ำตกขนาดใหญ่อยู่ที่ตาน้ำเล็ก ๆ จำนวนมากบนยอดเขา รวมกันเป็นแอ่งลำธาร แม่น้ำเมื่อไหลผ่านแก่งหินในจังหวะที่เหมาะสม ก็จะคลายพลังงานศักย์ออกมากลายเป็นน้ำตก เช่นเดียวกับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เกิดขึ้นมาจากความคิดเล็ก ๆ จำนวนมากรวมกันเป็นความรู้สึก ฝังลึกล่องไหลไปตามกาลเวลา เมื่อสถานที่และเหตุปัจจัยเหมาะสม ก็จะคลายศักยภาพออกมากลายเป็นความสำเร็จที่มองเห็นได้ สัมผัสได้

คนส่วนใหญ่จะมองไปที่ความสำเร็จปลายเหตุ โดยละเลยที่จะหาต้นเหตุ ถ้าเพียงสละเวลาสักนิดเพ่งพินิจพิจารณาความคิดความรู้สึกของตัวเอง เพื่อสืบสาวไล่เรียงไปที่ต้นเหตุ จะพบกับความจริงอันมหัศจรรย์ว่า ชีวิตมีทิศทางที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ไปตามรางแห่งความรู้สึก และต้นกำเนิดจริง ๆ ของความรู้สึกก็คือความคิดนั่นเอง

ในวันหนึ่งหนึ่งคนเรามีความคิดผุดขึ้นประมาณ 60,000 ครั้ง ธรรมชาติจึงสกัดความคิดนั้นไว้ไม่ให้แสดงผลได้ง่ายจนเกินไป เพราะคนเราคิดดีและไม่ดีปะปนกันไปทั้งวัน ความคิดเป็นดาบสองคม ถ้าใช้ในทางที่ดีก็จะเกิดประโยชน์มหาศาล แต่ถ้าคิดไม่ดีก็จะเกิดโทษมหันต์ จากพัฒนาการของโลกที่ผ่านมา แสดงว่ามนุษย์คิดดีมากกว่าไม่ดี อารยธรรมจึงเจริญขึ้น ถ้ามนุษย์ไม่รู้จักคิด โลกก็คงไม่แตกต่างไปจากเมื่อ 2 ล้านปีที่ผ่านมา

แต่ทั้งนี้ต้องแยกให้ออก ระหว่างการเพ้อฝันแบบคนไข้ทางจิต จินตนาการแบบนั้นเกิดในระหว่างการขาดสติสัมปชัญญะ ซึ่งไม่มีทางเป็นจริงได้เลย การแปลงความคิดให้เป็นความรู้สึก ต้องเกิดในสภาวะที่มีสติสัมปชัญญะสูงกว่าปกติ สมาธิจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ในการกำหนดพลังของความคิด

สมองกับจิตเป็นคนละส่วนกัน สมองเป็นโครงสร้างกายภาพทางชีววิทยาที่ทำให้เกิดความคิดเกิดการประมวลผล แต่จิตเป็นส่วนของวิญญาณความรู้สึกความคิดกับความรู้สึกแตกต่างกัน และตรงนี้เองที่เป็นเส้นแบ่งระหว่างคอมพิวเตอร์กับมนุษย์ คอมพิวเตอร์ไม่มีทางจับความรู้สึกได้ นามต้องจับด้วยนามเท่านั้น ความรู้สึกต้องจับด้วยสติสัมปชัญญะ

กฎที่สำคัญของแรงดึงดูดความคิดข้อหนึ่งคือ อย่าท้อที่จะคิดบวก ความคิดที่จะเปลี่ยนเป็นภาพแห่งความรู้สึกได้ ต้องใช้ตัวต่อของความคิดจำนวนมากหลาย ๆ ครั้ง และที่สำคัญต้องเป็นความคิดเชิงบวกเหมือนกันด้วย ความคิดที่มีพลังมากที่สุดคือ ความคิดในปัจจุบันขณะเท่านั้น เปรียบเสมือนการขับรถ ระยะที่สำคัญที่สุดคือ 10 เมตรจากหน้ารถ ไม่ว่าจะขับไปไกลนับพันกิโลเมตร ถ้าไม่มีสติจดจ่ออยู่ที่ 10 เมตรจากหน้ารถก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้ การขับรถไปสู่เป้าหมายนั้น แม้ถนนหนทางจะมืดมิดเพียงใด ขอให้มีไฟหน้าส่องสว่างไปแค่ 10 เมตร ก็จะถึงเป้าหมายที่ห่างออกไปได้

ดังนั้น สุดยอดความลับคือ ชีวิตมีทิศทางที่กำหนดไว้แล้วตามรางแห่งความรู้สึก ความรู้สึกเป็นเรื่องของจิต ความคิดเป็นเรื่องของสมอง แต่ทั้งสองสิ่งนี้เกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น เพราะความรู้สึกเกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของความคิดจำนวนมากนั่นเอง ความคิดเป็นดาบสองคม คิดดีก็มีประโยชน์มหาศาล คิดไม่ดีก็เกิดโทษมหันต์ ความคิดสามารถส่งพลังออกมาภายนอกได้ก็ต่อเมื่อ ความคิดนั้นได้เปลี่ยนแปลงเป็นความรู้สึกแล้ว

หลายความคิดมาต่อรวมกันเป็นภาพแห่งความรู้สึก หลายความรู้สึกหลอมรวมกันกลายเป็นอารมณ์ ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง จะก่อให้เกิดอุปนิสัย อุปนิสัยหลาย ๆ อย่างรวมกันจะกลายเป็นเจตนารมณ์ ซึ่งเหมือนการสะสมของสันดอนแม่น้ำ ถึงขั้นนี้จะแก้ไขได้ยาก มนุษย์มีสิ่งล้ำค่าอย่างหนึ่ง ที่จะคอยดูแลควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ตลอดไปถึงความคิด สิ่งนั้นคือสติสัมปชัญญะ

ความคิดบวกจะมีแรงดึงดูด ความคิดบวกทำให้พบเจอแต่สิ่งที่ดี ๆ รวมทั้งได้รู้จักคบหากับมิตรสหายที่ดี สุขภาพร่างกายดี ในทางตรงกันข้าม ความคิดลบก็จะมีแรงดึงดูดความคิดลบ หากคิดไม่ดีโอกาสที่จะได้พบกับสิ่งไม่ดีก็มีมากขึ้น รวมไปถึงศัตรูและแม้สุขภาพร่างกายของตนเองก็เช่นกัน ในทุกสิ่งมีทั้งลบและบวก ต้องค้นให้พบบวกและนำออกมาใช้ ส่วนสิ่งที่เป็นลบก็ควรหลีกเลี่ยง ผู้ที่คิดบวกอยู่เสมอจะเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่ แม้แต่ในสิ่งที่เป็นลบก็ตาม

บทที่ 5

พลังจิตใต้สำนึก

ในแต่ละวันคนเราต้องใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ยามหลับสมองก็ยังประมวลผลของความคิดที่เกิดขึ้นมาอยู่ทั้งคืน ถ้าในแต่ละวันคิดไม่ดี คิดลบอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลที่สมองรวบรวมแล้วส่งไปที่จิตใต้สำนึกก็จะเป็นความรู้สึกลบ พลังแห่งความรู้สึกนั้นจะเข้มข้นกว่าความคิดมาก เพราะเป็นข้อมูลที่ถูกบีบอัดมาจากความคิดนับพันนับหมื่นความคิด ในแต่ละวันจึงต้องพยายามระวังคำพูด หรือความคิดที่มีความหมายทางลบแฝงอยู่ เพราะจะทำให้เกิดความรู้สึกทางลบขึ้นเล็ก ๆ ทุกครั้งที่พูด คิด หรือทำ และในที่สุดมันจะหล่อหลอมกันเป็นพลังแห่งความรู้สึกลบ ซึ่งจะก่อให้เกิดผลรุนแรงกว่าที่คาด

จิตใต้สำนึกเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์และมีพลังเหลือเฟือ แต่มีจุดอ่อนคือมันจะบันทึกตามที่ใจรู้สึก ถ้ามันบันทึกข้อมูลหรือความรู้สึกผิด ๆ มันจะทำลายแทนที่จะช่วย ช่วงเวลาก่อนนอนมีความสำคัญมาก เพราะขณะที่นอนหลับจิตใต้สำนึกจะเปิดเป็นระยะ ๆ ในทางพระพุทธศาสนาบอกว่า ระหว่างหลับจะเกิดภวังคจิตยาวนานกว่าตอนตื่น ดังนั้น ก่อนนอนทุกคืนจงคิดจินตนาการภาพในฝันให้ชัดเจนที่สุด และหลับไปพร้อมกับความคิดนั้น ต้องมีสักครั้งที่จิตใต้สำนึกเปิดรับเข้าไปพอดี

จิตใต้สำนึกบันดาลสิ่งที่เป็นนามธรรม จิตใต้สำนึกคือพลังจักรวาล มีพลังแฝงนับแสนนับล้านเท่าของจิตสำนึก และสามารถติดต่อกับจิตใต้สำนึกของคนอื่น ๆ ได้ด้วย เป็นตัวควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบฮอร์โมนของร่างกาย สัญชาตญาณ จินตนาการ อารมณ์ ความเชื่อมั่น แรงบันดาลใจ หรือแม้กระทั่งการเกิดใหม่ และมีความสามารถที่เหนือมิติที่ 4 ดังนั้น จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมจึงสามารถดลบันดาลสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นได้ราวปาฏิหาริย์

จินตนาการสำคัญต่อจิตใต้สำนึก ในเมื่อจิตใต้สำนึกไม่มีการเชื่อมต่อกับทวารทางกายภาพทั้ง 5 เพื่อรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจริงในโลกสามมิติ เช่นเดียวกับที่จิตสำนึกมี ดังนั้น จิตใต้สำนึกจะรับรู้ผ่านภาพจินตนาการในใจหรือความฝันเท่านั้น ถ้าผู้ใดขาดจินตนาการความก้าวหน้าก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เพราะจิตใต้สำนึกขาดข้อมูลในการนำมาวิเคราะห์

เคล็ดลับการเพิ่มพลังให้จิตใต้สำนึก จงป้อนข้อมูลให้จิตใต้สำนึก โดยผ่านจินตนาการไปเรื่อย ๆ แม้ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นความจริงได้ก็ตาม แต่จิตใต้สำนึกจะเก็บข้อมูลนั้นไว้ สะสมมากขึ้น ๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งมันจะระเบิดพลังออกมา เปรียบเสมือนการฟักไข่ต้องอดทนและให้เวลากลับมัน พอถึงจุดที่เหมาะสมทุกอย่างจะปรากฏขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง จิตใต้สำนึกมีพลังมากมายแฝงอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังแห่งความรู้สึก ถ้าใครพบความลับของการดึงความรู้สึกออกมาจากจิตใต้สำนึกได้ เขาจะกลายเป็นอัจฉริยะบุคคลทันที

วิธีใช้จิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกบันทึกสิ่งที่เป็นความรู้สึกหรือนามธรรม จิตใต้สำนึกไม่เข้าใจคำว่าไม่อยาก หรือไม่ต้องการ หรืออย่า เช่น ไม่อยากจนจิตใต้สำนึกก็จะบันทึกความรู้สึกว่าจน ไม่ต้องการตกงานก็บันทึกว่าตกงาน พรุ่งนี้อย่าตื่นสายก็บันทึกว่าตื่นสาย เป็นต้น ความลับก็คืออย่าไปคิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ อะไรลบ ๆ ทิ้งมันไปให้หมด คิดแต่เรื่องบวก ทุกสิ่งในโลกมีลบก็ต้องมีบวกเป็นคู่กันเสมอ ให้เน้นความคิดไปที่เฉพาะส่วนบวกอยู่ตลอดเวลา ฝึกพูดบวกให้บ่อยจนกลายเป็นนิสัย แล้วจะพบว่าสิ่งดี ๆ เข้ามาสู่ชีวิตอย่างมากมายจนเกินจะบรรยาย

จิตใต้สำนึกคือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อย ๆ จนตกตะกอนแล้ว จิตใต้สำนึกไม่ได้เชื่อมต่อกับทวารทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ดังนั้น จึงไม่รับรู้ว่าเห็นอะไร ได้ยินอะไร และจะบันทึกเฉพาะส่วนที่เป็นความรู้สึก พร้อมกับภาพในจินตนาการเท่านั้น จิตใต้สำนึกจะไม่เข้าใจสมมติบัญญัติของโลก เช่น จำนวนเงิน แต่จะบันทึกไว้ในรูปของความรู้สึกแทน ดังนั้น คนที่ทำบุญ 10 บาทด้วยความรู้สึกศรัทธาเต็มเปี่ยม กับคนที่ทำบุญ 100,000 บาทด้วยศรัทธาเท่ากัน ข้อมูลที่บันทึกไว้ในจิตใต้สำนึกก็จะเท่ากัน

จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวของคนเปรียบเสมือนจอรับภาพ ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหน ก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล จิตใต้สำนึกจะแยกไม่ออกระหว่างภาพในจินตนาการ กับภาพจากประสบการณ์จริง การที่สร้างจินตนาการภาพในใจขึ้นมา ก็เหมือนกับเป็นการบอกให้จิตใต้สำนึกบันทึกภาพนี้ไว้ แล้วบันดาลให้เกิดขึ้นจริงต่อไป

บทที่ 6

กับดักของความอยาก

ความอยากหรือพระพุทธศาสนาเรียกว่าตัณหา เป็นตัวการปิดกั้นศักยภาพการทำงานของพลังจิตใต้สำนึก ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ เพราะความอยากทำให้เกิดความวิตกกังวล รุ่มร้อนไม่สงบ และผลที่สุดจะตามมาด้วยความไม่เชื่อมั่น เกิดความลังเลสงสัย ดังนั้น ต้องลดอยาก หยุดอยาก และไม่คิดอยาก ความจริงแล้วในทางพระพุทธศาสนาบอกไว้ว่า ทั้งความอยาก (ภวตัณหา) และไม่อยาก (วิภวตัณหา) ล้วนเป็นทุกข์

การจะหลุดพ้นจากวังวนแห่งกรรมนี้ได้ ต้องตัดความอยากออกให้หมด เพราะเมื่อสุขเวทนาจากความอยาก ก็ต้องทุกขเวทนาจากความไม่อยาก และสองสิ่งนี้สามารถกลับขั้วไปมาได้ตลอดเวลา ชีวิตจึงมีทั้งสุขและทุกข์ มีสุขเพราะไปเปรียบกับทุกข์ ทุกข์เพราะไปเทียบกับสุข กระบวนการดังกล่าวเป็นศิลปะการคิด ที่อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ของโลกทุกคนค้นพบ ศิลปะการคิดขั้นสุดยอดคือ ดูเหมือนจะอยากแต่ไม่คิดอยาก แม้แต่การมองคนอื่น ถ้ามองด้วยความอยาก อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จะต้องมีบวกหรือลบเกิดขึ้นทันที แต่ถ้ามองคนอื่นอย่างที่เขาเป็น ไม่ใช่อย่างที่อยากให้เป็น เมื่อนั้นจะเกิดปัญญา เห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริงไม่มีบวกไม่มีลบ

เคล็ดลับอีกข้อของการสกัดความอยากก็คือ อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย เพราะเมื่อใดที่แสดงถึงความอยากได้เป้าหมาย ก็จะเกิดกิเลสขึ้นมาทันที เช่น เป้าหมายคือชนะการแข่งขัน ก็ให้อธิษฐานขอสิ่งที่จะทำให้ไปถึงชัยชนะแทน เช่น ขอให้มีพลังกาย พลังใจ พลังสติปัญญาในการแข่งขัน การอธิษฐานแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความอยาก ความอยากก็คือการเอาพลังจิตมุ่งคิดไปที่ผลลัพธ์ มีแต่จะสร้างความคับข้องใจ ตึงเครียด วิตกกังวล ซึ่งจะไปรบกวนกำลังของสติสัมปชัญญะ

จำให้แม่นถึงกฎ 4 ข้อของความลับขั้นสุดยอด

  1. ตั้งจิตอธิษฐานขอโดยปราศจากความอยาก (ตัณหา) เพื่อป้องกันความกระวนกระวายใจ
  2. มีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ขอว่าเป็นจริงได้ โดยไม่มีข้อลังเลสงสัย
  3. จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่า สิ่งนั้นได้มาแล้วด้วยความรู้สึกปรีดาปราโมทย์ และมีความสุข
  4. เตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ

จากกฎทั้ง 4 ข้อจะเห็นได้ว่า เหตุการณ์ที่จิตใต้สำนึกช่วยได้มากที่สุดคือ ต้องเป็นผู้ร่วมแสดงในเหตุการณ์นั้นด้วย

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของโลกทุกคน จะต้องมีงานอดิเรกที่ตัวเองโปรดปราน แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจความลับสุดยอดนี้ แต่เมื่อใดก็ตามที่กำลังติดกับดักของความอยาก งานอดิเรกคือสิ่งที่จะฉุดเขาขึ้นมาจากกับดักนั้น ความพยายามก็เป็นตัวระงับความอยากได้ เพราะต้องการความสำเร็จจึงต้องพยายาม แต่อย่าใช้คำว่าอยาก เพียงแต่ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำให้ดีที่สุด ความพยายามจะดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาช่วย จงช่วยตัวเองก่อน แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยท่าน

ดังนั้น กับดักของความอยากคือ ความอยากปิดกั้นการทำงานของพลังจิตใต้สำนึก ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ความอยากและความไม่อยากล้วนเป็นทุกข์ เพราะถ้าอยากสิ่งใดก็ต้องไม่อยากในสิ่งตรงกันข้ามเสมอ ความอยากมีคุณสมบัติเป็นลบในตัวของมันเอง และลบจะดึงดูดลบเท่านั้น

อย่าอธิษฐานขอที่เป้าหมาย ตั้งจิตอธิษฐานโดยปราศจากความอยาก เชื่อมั่นในสิ่งที่อธิษฐานโดยไม่มีความลังเลสงสัย จินตนาการภาพแห่งความรู้สึกว่าได้สิ่งนั้นมาแล้ว ด้วยความปรีดาปราโมทย์ และเตรียมทั้งกายและใจให้พร้อม ให้ทำราวกับว่าผ่านเหตุการณ์นั้นไปแล้ว แล้วนึกย้อนมาถึงเหตุการณ์นั้น ๆ ความอยากก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะประสบความสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่คิดอยาก

บทที่ 7

หล่มลึกแห่งความกลัว

ความกลัวเป็นตัวขัดขวางศักยภาพการทำงานของจิตอย่างรุนแรง ถ้าไม่กลัวเสียอย่างจิตจะเป็นอิสระ และมีพลังสามารถทำอะไรได้มากมายมหาศาล คนที่ไม่กลัวจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนขี้กลัว เหตุที่คนเราเกิดความกลัว เพราะไม่เข้าใจถึงเหตุผลและความจริง จินตนาการเกินเลยไปจนเกิดภาพหลอนขึ้นในใจ เช่น ในความมืดแม้คนที่คิดว่าผีไม่มีจริง แต่เมื่ออยู่ในบรรยากาศที่วังเวง บางครั้งความรู้สึกกลัวผีก็ผุดขึ้นมา เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะจินตนาการล้วน ๆ เนื่องจากความมืดทำให้มองไม่เห็นความจริง พอไฟสว่างเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้นความกลัวก็หายไป

ผู้ใดที่สามารถกำจัดความกลัวออกไปได้ จะมีความรู้สึกว่ารักตนเองและผู้อื่นมากยิ่งขึ้น มีความมั่นใจในตนเอง จิตใจหนักแน่น ไม่มีอารมณ์เชิงลบ และมีความสุข ความกลัวคืออุปสรรคสำคัญที่สุดสำหรับความสำเร็จ เพราะเมื่อใดที่กลัวว่าจะทำไม่ได้ เหมือนกับการเดินบนไม้กระดานระหว่างดาดฟ้าตึก ในที่สุดก็จะพลาดจริง ๆ คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตเขาไม่กลัวว่าจะทำไม่ได้ เคล็ดลับข้อหนึ่งในการพิชิตความกลัวก็คือ อย่ากลัวล่วงหน้า การนำเงินในอนาคตมาสะสมล่วงหน้าอาจจะมีประโยชน์ แต่การเอาความกลัวในอนาคตมาสะสมมีแต่โทษ จงอยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดีที่สุด พรุ่งนี้จะดูแลตัวของมันเอง

ถ้าเทียบระหว่างความโกรธกับความกลัว ความกลัวจะมีพลังสูงกว่าความโกรธ เพราะมันจะซึมลึกและครองใจอยู่นานเป็นเดือน เป็นปี หรือตลอดชีวิตของคนบางคน ความกลัวเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในชีวิตมากกว่าความโกรธ เพราะความคิดในเชิงบวกจะหายไปทั้งหมด แต่ขณะโกรธยังพอเหลือความคิดเชิงบวกอยู่บ้าง ความกลัวทำให้มองไม่เห็นเป้าหมาย แต่ความโกรธยังพอมองเห็นเป้าหมาย ไม่เฉพาะมนุษย์สิ่งมีชีวิตทุกชนิด บุคลิกภาพจะสะท้อนถึงความกลัวออกมา สิงโตมันจะดูเชื่อง ๆ ซึม ๆ แม้มีเหตุการณ์อะไรที่น่าตกใจมันก็เฉย ๆ ตรงกันข้ามกับสุนัขแค่เสียงใบไม้ไหวก็เห่าหอนด้วยความตระหนก จึงมีคำกล่าวของโบราณว่า สุนัขเห่ามักจะไม่กัด แต่สุนัขที่ไม่เห่ามันจะกล้าเข้ามากัดเพราะมันไม่กลัว

ดังนั้น หล่มลึกแห่งความกลัวคือ ความกลัวเป็นตัวขัดขวางศักยภาพการทำงานของจิตอย่างรุนแรง เป็นบ่อเกิดของความวิตกกังวล ซึ่งสามารถทำลายทั้งสุขภาพกายและใจ ความกลัวจะสัมพันธ์กับระดับของการขาดสติ ซึ่งกลัวมากยิ่งขาดสติ ยิ่งขาดสติก็ยิ่งกลัว ผู้ที่ฝึกเจริญสติอยู่เสมอความกลัวจะลดลงโดยอัตโนมัติ ความกลัวทำให้มองเห็นปัญหายุ่งยากเกินจริง ทั้งที่จริงปัญหานั้นอาจจะไม่ยากเย็น หรือหนักหนาสาหัสเหมือนรู้สึกในขณะที่กลัวก็ได้

เหตุที่คนเราเกิดความกลัวเพราะไม่เข้าใจเหตุผลและความจริง วิธีเอาชนะความกลัวคือให้มองไปที่สาเหตุ แล้วใช้ปัญญาพิเคราะห์ ทำเช่นนี้บ่อย ๆ จะรู้เหตุรู้ผล ความกลัวจะลดน้อยลง ความกลัวจะเป็นความคิดลบ เมื่อกลัวบ่อย ๆ จะทำให้จินตนาการเห็นภาพที่เลวร้ายที่สุด และจิตใต้สำนึกจะบันทึกภาพนั้น แน่นอนว่าภาพแห่งความรู้สึกที่ชัดเจน ก็จะเหนี่ยวนำให้เกิดเหตุการณ์ที่กลัวนั้นเกิดขึ้นจริง อย่ากลัวเหตุการณ์ในอนาคต อยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วพรุ่งนี้จะดูแลตัวของมันเอง

บทที่ 8

หลุมพรางความเชื่อ

ความเชื่อเป็นหลักเกณฑ์ข้อที่ 2 ในเดอะซีเคร็ต ที่ให้เชื่อมั่นในสิ่งที่ขอว่าได้มันมาแล้ว แต่ในอีกความหมายหนึ่งของความชั่วคือ ความศรัทธา ความมั่นใจ เชื่อมั่นในความคิด หรือความเข้าใจของตนเองว่าถูกต้องโดยไม่มีข้อลังเลสงสัย พลังแห่งศรัทธานี้มีส่วนสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนไปสู่การคิด พูด ทำอันทรงพลัง เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตทั้งทางโลกและทางธรรม ในความเป็นจริงชีวิตมนุษย์มีอะไรที่คาดหมายไม่ได้มากมาย ทำให้มนุษย์สร้างความหวั่นแรงขึ้นในใจ สิ่งใดที่จะช่วยให้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป ก็จะยึดไว้เป็นที่พึ่งทางใจ

ความเชื่อบางอย่างก็เป็นกุศโลบายในสมัยก่อนที่อธิบายได้ เช่น อย่าหันหัวเตียงไปทางทิศตะวันตก เพราะสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า ไม่มีพัดลม ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ขณะนั้นบ้านด้านตะวันตกจะรับแสงแดดตลอดบ่ายจนถึงค่ำ ทำให้มีการคลายความร้อนออกมาทั้งคืน การนอนเอาศีรษะไปติดด้านตะวันตกนั้น จะทำให้นอนไม่สบาย ปวดศีรษะ และส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

ความเชื่อกับความกลัวก็สำคัญ การที่คนกลัวผีก็เพราะเชื่อว่าผีมีจริง คนที่กลัวแพ้ก็เพราะเชื่อว่าจะแพ้ ให้เชื่อในทางบวกไว้ก่อน และถ้าเป็นไปได้ให้เปลี่ยนความรู้สึกจากลบเป็นบวก เช่น ถ้าเชื่อว่าจะทำไม่ได้ให้เปลี่ยนเป็นเชื่อว่าทำได้ คนที่เชื่อว่าทำได้จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ

ความเชื่อมีอิทธิพลมากกว่าความคิด ลำพังการคิดบวกไม่ส่งพลังอะไรออกมาเท่าใดนัก แต่พอเริ่มเชื่อเมื่อไหร่ พลังทั้งหมดจะหลั่งไหลออกมา ผลักดันให้มีทิศทางไปตามนั้นทันที เช่น บางคนคิดว่าตัวเองจะรวย คิดเท่าไหร่ก็ไม่รวยสักที เพราะเขาไม่เชื่อนั่นเอง ความเชื่อมีทั้งบวกและลบ เช่นเดียวกับความคิด เมื่อใดก็ตามที่สามารถนำเฉพาะด้านบวกมาใช้ เมื่อนั้นจะพบว่าอนาคตเป็นสิ่งที่กำหนดได้ เพราะพลังงานมีต้นกำเนิดมาจากความเชื่อนั้นมากมายมหาศาลจริง ๆ

ดังนั้น ความเชื่อคือความศรัทธา ความมั่นใจ พลังแห่งความศรัทธามีส่วนสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจ และเป็นกำลังใจในการขับเคลื่อนไปสู่การคิด พูด ทำที่ทรงพลัง และนำไปสู่ความสำเร็จ ในทางพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไรโดยง่าย แต่ให้ลงมือปฏิบัติและพิสูจน์ด้วยตนเอง เพื่อจะได้รู้ผลประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง ความเชื่อถ่ายทอดติดต่อกันระหว่างบุคคลได้ง่าย พ่อแม่ที่เชื่อว่าลูกทำได้ ลูกก็จะเชื่อว่าตัวเองทำได้ ความเชื่อมีพลังมากกว่าความคิด การคิดบวกอาจจะยังไม่ส่งผลต่อชีวิตเท่าไรนัก แต่พอเริ่มเชื่อในความคิดบวกนั้น ก็จะส่งผลให้ความคิดเป็นจริงได้ ภายในเวลาอันรวดเร็ว

บทที่ 9

เคล็ดลับผลการคิด

ในเดอะซีเคร็ตทฤษฎีหลักของหนังสือคือ เรื่องความคิดมีพลัง ถ้าคิดถึงสิ่งใดก็จะดูดสิ่งนี้เข้ามาหา ถ้าคิดดีก็จะมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิต ถ้าคิดไม่ดีสิ่งไม่ดีก็จะมาสู่ชีวิต การคิดลบบางครั้งก็ช่วยให้รอดพ้นอันตราย และเมื่อมนุษย์โยงความคิดลบเข้ากับการหลีกเลี่ยงอันตราย จึงฝังเข้าไปในจิตส่วนลึกว่า ถ้าพบอะไรที่ไม่ปลอดภัยให้คิดลบไว้ก่อน การมองโลกในแง่ลบคือการป้องกันตนเอง แต่บางครั้งก็ไม่มีเหตุผล ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลย

ดึงส่วนบวกออกมาใช้ ทำอะไรก็สำเร็จ คนที่มีพรสวรรค์ในการดึงส่วนบวกของคนอื่นออกมา แม้ว่าจะตกอยู่ในหมู่โจร ก็จะเป็นที่รักยิ่งของหมู่โจร เพราะในลบย่อมมีบวก ในบวกย่อมมีลบ เพียงแต่ว่าจะดึงส่วนไหนออกมาเท่านั้นเอง ในทางกลับกัน คนที่ชอบดึงส่วนลบของคนอื่น แม้จะได้เข้าไปอยู่ในหมู่กัลยาณมิตร บางทีก็เป็นที่เอือมระอาของเพื่อนฝูง

ความคิดบวกมีผลต่อการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนอื่นได้ เช่น ในขณะที่ขายสินค้าถ้าคิดบวกว่าลูกค้าจะไม่ขโมยของ ความคิดนั้นจะไปเหนี่ยวนำเซลล์ของลูกค้าให้คิดแบบเดียวกัน แต่เมื่อใดก็ตามที่คิดลบว่าลูกค้าต้องขโมยของ จะสื่อไปถึงเซลล์ประสาทของลูกค้าทันที และแน่นอนว่าเขาจะคิดแบบที่คิด

ถ้ากำลังเผชิญกับคนคิดลบที่มีพลังมากกว่า วิธีเอาชนะก็คือเติมพลังบวกใส่เข้าไปในตัวเขาเรื่อย ๆ เพื่อทำให้สภาพลบกลายเป็นกลางทุกวัน ๆ ในที่สุดจะได้รับชนะอย่างแน่นอน แต่ถ้าพลังลบนั้นมากมายเหลือเกิน จนพลังบวกสู้ไม่ไหวแน่ ๆ เหมือนกับการพยายามเอาชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ แต่ให้ไปจนหมดแล้วก็ยังเอาชนะไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นควรปลีกตัวออกมาเสียก่อนจะดีกว่า

สุดยอดศิลปะของการใช้ชีวิตก็คือ พยายามมองหาคนดี ๆ สังคมดี ๆ แล้วเอาตัวเข้าไปอยู่ ณ ที่นั้นสิ่งดี ๆ จะทำให้เจริญก้าวหน้าโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าบังเอิญต้องไปฝึกอยู่ท่ามกลางคนคิดลบ ต้องพยายามตีตัวออกมาให้เร็วที่สุด ถ้าทำไม่ได้อย่างน้อยก็อย่าให้ความคิดลบนั้นเข้ามาฝังในจิต ในทางกลับกัน หากเลือกคบบัณฑิตคบเพื่อนที่ดี คนเหล่านี้จะช่วยนำให้คิดบวก สร้างสรรค์แต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า คบคนพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตบัณฑิตพาไปหาผล

อย่าคิดเปลี่ยนผู้อื่น แต่ให้เปลี่ยนตัวเอง บุคลิกภาพของคนไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ถูกหล่อหลอมขึ้นมาจากเหตุปัจจัยมากมาย ตั้งแต่กรรมพันธุ์ การเลี้ยงดู ประสบการณ์ชีวิต เป็นต้น ไม่สามารถนำความรู้สึกจากที่ได้เห็นเพียงชั่วเวลาไม่นาน ไปตัดสินความเป็นบวกลบในคนคนหนึ่งได้ โดยที่ไม่ล่วงรู้ถึงชีวิตทั้งหมดของเขาที่ผ่านมา ทุกคนมีทั้งส่วนบวกและส่วนลบอยู่ในตัว พยายามฝึกมองไปที่ส่วนบวก นักบริหารที่เก่ง ๆ จะสามารถวางคนลงไปที่ตำแหน่งต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม เพราะเขามองถึงจุดบวกของแต่ละคนนั่นเอง

ดังนั้น ถ้าคิดดีสิ่งดี ๆ ก็จะเกิดขึ้นในชีวิต ข้อคิดไม่ดีสิ่งไม่ดีก็จะมาสู่ชีวิต ผู้นำจะต้องคิดบวกเท่านั้น จึงจะสามารถดึงพลังด้านบวกของผู้ใต้บังคับบัญชาขึ้นมาได้ กฎแรงดึงดูดของความคิดสามารถนำมาใช้ได้ทุกระดับ ตั้งแต่การปกครอง การทหาร การบริหารธุรกิจ หรือแม้แต่ชีวิตประจำวัน อย่างการเลือกคู่ การครองคู่ การคบมิตร หากได้เจอเพื่อนที่ดีก็จะดึงดูดให้คิดดีไปด้วย แต่ถ้าเจอเพื่อนคิดไม่ดี ก็จะเหนี่ยวนำให้ลบตามไปด้วย ดังนั้น จึงควรเลือกคบเพื่อนที่ดี และหลีกหนีเพื่อนที่ไม่ดี เมื่อมีความคิดลบเกิดขึ้น ให้มีสติรู้เท่าทัน เปลี่ยนความคิดลบนั้นให้เป็นบวกทันที ศิลปะของการคิดคือ ให้เห็นตามความเป็นจริง คนเราย่อมมีทั้งบวกและลบอยู่ในตัว จงระวังในสิ่งที่เป็นลบ และชื่นชมในสิ่งที่เป็นบวก

บทที่ 10

11 เคล็ดลับกำจัดจุดอ่อน

จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือ ความรู้สึก เพราะมันจะฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก ไม่ใช่สมอง วิธีกำจัดความคิดลบไม่ยาก เพราะความคิดลบออกในจิตสำนึก ซึ่งสามารถบังคับสมองให้คิดไปในทางตรงกันข้ามได้ แต่สิ่งที่ยากคือจะกำจัดความรู้สึกลบออกจากใจได้อย่างไร ความรู้สึกต้องตัดด้วยความรู้สึก พลังของความคิดไม่มีอำนาจพอที่จะไปสกัดความรู้สึกได้ทันท่วงที และสิ่งหนึ่งที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการกำจัดความรู้สึกลบอย่างได้ผลก็คือ

  1. การให้อภัย เป็นการสกัดความรู้สึกลบอย่างเด็ดขาด ความรู้สึกโกรธแค้นจะหายไป แต่ทั้งนี้ต้องเป็นการให้อภัยจากความรู้สึกไม่ใช่ความคิด อาจจะคิดให้อภัย แต่ความรู้สึกลึก ๆ ยังอาฆาตพยาบาท กรรมเก่านั้นก็ยังฝังตัวอยู่ รอการแสดงผลต่อไปในอนาคต การให้อภัยคือการกำจัดจุดอ่อนด้านลบในตัวได้อย่างชะงัด หลายคนมักเข้าใจผิดว่า การเอาชนะศัตรูต้องรู้สึกลบกับศัตรู ความจริงแล้วตรงกันข้าม ยิ่งอยากเอาชนะยิ่งต้องรู้สึกบวกกับศัตรู เพราะข้อหนึ่งจะเป็นการลดความร้อนรุ่มภายในตัวเอง และข้อสองจะทำให้พบทางแก้ปัญหาด้วยปัญญา ที่ได้ผลเกินความคาดหมาย
  2. การแผ่เมตตา การตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกลบเสมอไป จงคิดว่าเขากำลังมีปัญหาบางอย่างที่คับข้องใจ ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง หรือกลัวที่จะไม่ได้รับการยอมรับ เป็นต้น แทนที่จะโกรธ ควรเห็นใจและสงสารเขา วิธีกำจัดจุดอ่อนที่ดีที่สุด เมื่อตกเป็นฝ่ายถูกกระทำคือ การแผ่เมตตา
  3. ให้ความรัก ซึ่งเป็นยาขนานเอกในการสกัดความรู้สึกลบได้อย่างชะงัด หลายคนในภาพของครอบครัวมาไว้ที่ทำงาน เมื่อใดที่เกิดความรู้สึกท้อหรือเครียดกับงาน หันไปมองภาพนั้นสักหนึ่งนาที ความรู้สึกลบจางลงไปได้อย่างมหัศจรรย์
  4. การแสดงออกในเชิงบวก การบังคับตัวเองให้แสดงออกในทิศทางบวก ในขณะที่รู้สึกลบก็ได้ผลเหมือนกัน เทคนิคนี้แม้แต่เจ้าพ่อในฝ่ายอธรรมก็นำมาใช้ ขณะที่เขาได้ข่าวที่ทำให้โกรธหรือเครียดแค้น แต่กลับหัวเราะออกมา แม้จะเป็นแค่การแค่นหัวเราะก็ตาม การหัวเราะทำให้ความร้อนรุ่มในตัวเขาลดลง เป็นกลวิธีหนึ่งที่ทำให้เขามีคุณสมบัติเหนือปกติ จงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำได้
  5. การยอมรับจุดที่แย่ที่สุด การกำจัดความรู้สึกลบอีกแบบคือ กำหนดจุดที่เป็นศูนย์ เช่น พิจารณาจุดเลวร้ายที่สุดของเหตุการณ์นั้นคืออะไร และทำใจยอมรับเสียถ้ามันเกิดขึ้น อย่างไรก็กำไรเสมอ เพราะเกิดมาก็ไม่มีอะไรติดตัวมาด้วย ตอนตายก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ เมื่อยอมรับจุดที่เลวร้ายที่สุด ความรู้สึกหลังจากนั้นจะเป็นบวกตลอดไป เพราะฐานของความคิดมันลงไปอยู่ตรงจุดที่ต่ำสุดแล้ว
  6. การถอยตั้งหลัก เทคนิคการถอยไปตั้งหลักก็ใช้ได้ผล ในบางสถานการณ์เมื่อรู้สึกว่าชีวิตติดลบสุด ๆ แล้ว ให้หยุดแล้วถอยออกมาตั้งหลัก ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ ผ่านไปด้วยตัวของมันเอง
  7. การปลีกวิเวก การเลิกยุ่งเกี่ยวกับทุกอย่าง เป็นวิธีที่ใช้ได้ผล ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อต้องประสบอุปสรรคมากมาย ขณะเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศจีน ท่านหยุดปัญหาทุกอย่าง ด้วยการเข้าไปนั่งสมาธิอยู่นิ่ง ๆ ในถ้ำถึง 9 ปี
  8. การระบายความรู้สึก ขณะที่มีความทุกข์ใจ การระบายความรู้สึกก็ช่วยได้เยอะ เพียงแต่ต้องหาใครสักคนที่วางใจได้ และเล่าให้เขาหรือเธอฟัง เมื่อรู้สึกว่ามีใครสักคนที่เข้าใจ เห็นอกเห็นใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกส่วนบวก จะสามารถเข้ามาทำลายส่วนลบที่มีอยู่ในตัวได้
  9. การดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง สุขภาพกายที่ดีก็ช่วยกำจัดจุดอ่อนของความรู้สึกได้ สมองที่ดีต้องอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง ถ้าร่างกายอ่อนแอแล้วยังรู้สึกลบ เป็นเรื่องอันตรายมาก
  10. ทำงานอดิเรก เป็นเคล็ดลับขั้นสุดยอดของปุถุชนผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต บริษัทบางแห่งจะตั้งคำถามเกี่ยวกับงานอดิเรก เป็นคำถามที่สำคัญในการตัดสินคัดเลือกเข้าทำงาน ใครที่ตอบว่าไม่มีงานอดิเรกเลยจะถูกมองว่าผิดปกติ และยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะเขาจะไม่สามารถใช้ศักยภาพสูงสุดของจิตได้เลย
  11. ความสำนึกรู้คุณ ความรู้สึกบวกที่สำคัญมาก ในการช่วยกำจัดความรู้สึกลบออกไปได้คือ ความรู้สึกสำนึกในคุณค่าหรือบุญคุณ สาเหตุหนึ่งที่ตะวันตกพัฒนาไปอย่างมากคือ ความรู้สึกขอบคุณพระเจ้าขณะรับประทานอาหารทุก ๆ มื้อ พวกเขาจะมีความรู้สึกขอบคุณพระเจ้าอยู่ตลอด ความรู้สึกขอบคุณนี่เองที่เป็นกำลังทำให้มีสิ่งต่าง ๆ ตามมาอย่างไม่สิ้นสุด การสำนึกในบุญคุณจะทำให้รู้สึกบวกโดยอัตโนมัติ เกิดสติสัมปชัญญะ และมองเห็นคุณค่าในทางบวกของสิ่งนั้น อันจะนำพาให้ไปพบกับความบวกของสิ่งอื่น ๆ ต่อไปไม่สิ้นสุด กฎแรงดึงดูดของความคิดบอกไว้ว่า สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดกัน ถ้ามีความรู้สึกสำนึกรู้คุณอยู่ในใจ ก็จะดึงดูดให้ได้พบกับคนที่รู้จักบุญคุณเข้ามาในชีวิต

ดังนั้น จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของมนุษย์คือ ความรู้สึก เพราะมันสำนึกอยู่ในจิตใต้สำนึก ถ้าคิดลบสามารถเปลี่ยน หรือบังคับให้สมองคิดไปในทางตรงกันข้ามได้ แต่เป็นการยากที่จะเปลี่ยน หรือบังคับความรู้สึกลบให้กลายเป็นบวกได้ เพราะความรู้สึกเกิดจากจิตสำนึก ผนวกกับพลังแห่งจิตใต้สำนึกที่ทรงอนุภาพ จึงทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงยากกว่าความคิด

บทที่ 11

ธรรมะวิเคราะห์

ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์สามารถตรวจสอบไปได้ไกลถึงขอบจักรวาล แม้ดวงดาวที่อยู่ห่างนับล้านปีแสง ก็แสดงออกมาให้เห็นเป็นรูปได้ มนุษย์สามารถสำรวจไปยังดินแดนอันไกลโพ้น จนล่วงรู้ไปหมดว่า จักรวาลมีต้นกำเนิดอย่างไร แต่เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ ที่สิ่งใกล้ตัวอย่างจิต นักวิทยาศาสตร์กลับรู้กระบวนการทำงานของจิตน้อยมาก

ความมหัศจรรย์ของจิตลึกล้ำ และชวนให้ค้นหาความจริงไม่น้อยไปกว่าการสำรวจความลึกลับของจักรวาล ถ้าพบกับความจริงแท้แล้วจะรู้ว่า จักรวาลก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตเท่านั้น จิตเป็นตัวสร้างจักรวาล

การคิดลบและอารมณ์ต่าง ๆ เช่น กลัว เกลียด อิจฉาริษยา รัก โลภ โกรธ หลง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีเหตุและปัจจัยมาจากพลังแห่งกรรม ที่สะสมอยู่ในภวังคจิต ทับซ้อนกันมานับร้อยนับพันชาติภพนั่นเอง อารมณ์เป็นผลของความรู้สึก การรู้จักฝึกสติตามหลักวิปัสสนากรรมฐานคุมความรู้สึก อารมณ์ก็จะไม่เกิด เป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม ตัดกรรมเสียแต่ต้นใจ ดีกว่าปล่อยให้ไฟแห่งอารมณ์โหมกระพือ แล้วค่อยมาดับอาจจะสายเกินไป

ในเมื่อความคิดเป็นผลสะท้อนออกมาจากจิต ความคิดส่วนใหญ่จะต้องมีกิเลสตัณหาเจือปนมาด้วยเสมอ เพราะจิตของคนเราล้วนไม่บริสุทธิ์ ยกเว้นพระอรหันต์ ที่มีสติสัมปชัญญะไวพอที่จะสกัด ไม่ให้เจตสิกก่อตัวขึ้นมาเป็นดวงจิตเพื่อรับอารมณ์ ความคิดที่จะมีพลังขนาดย้อนกลับเข้าไปฝังในภวังคจิตได้ ต้องเป็นความคิดในขณะเกิดสมาธิเท่านั้น สมาธิคือกุญแจที่จะเปิดประตูแห่งจิตใต้สำนึก

ความคิดคือกรรมปัจจุบัน ความรู้สึกคือกรรมเก่า ความคิดลบไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คนเราเกิดมาพร้อมกับภวังคจิตที่จะเปลี่ยนเป็นวิถีจิต แล้วโน้มนำให้คิดลบหรือบวกตามกรรมเก่าของแต่ละคน การพยายามคิดบวกทวนกระแสความคิดลบก็คือ การเอาชนะกรรมเก่านั่นเอง เมื่อใดที่รู้สึกเชิงลบ แสดงว่ากรรมเก่ากำลังทำงาน สามารถระงับได้ด้วยการกำหนดสติ เปลี่ยนความคิดซึ่งเป็นกรรมปัจจุบันให้เป็นบวก

พลังความรู้สึกรุนแรงกว่าพลังความคิด การตัดสินใจครั้งสำคัญ ๆ ของมนุษย์จะมาจากความรู้สึกไม่ใช่ความคิด ความสามารถในการตัดสินใจจากความรู้สึก เป็นคนที่สะท้อนมาจากกรรมเก่าในจิตใต้สำนึก และเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตของคนคนหนึ่ง ที่ว่ากันว่าเป็นไปตามพรหมลิขิต ซึ่งความจริงน่าจะเรียกว่าความรู้สึกลิขิตมากกว่า

บทที่ 12

เปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวบนพื้นโลก ที่สามารถนำความดีและความชั่วติดตัวไปในภพหน้า และความดีนั้นยังถูกจารึกไว้ในภพนี้ ให้อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง สัตว์ร่วมโลกอื่น ๆ ไม่มีสติสัมปชัญญะ การกระทำของมันเป็นไปตามสัญชาตญาณ สุขหรือทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น เป็นเพียงความรู้สึกที่เกิดจากการชดใช้กรรม และเมื่อเสียชีวิตก็ไม่ได้สร้างกรรมใหม่อะไรมากมาย ไม่มีอะไรค้างคาอยู่บนโลก เพราะส่วนใหญ่การกระทำของสัตว์เหล่านี้ปราศจากเจตนา

มนุษย์มีความคิด แม้ว่าความรู้สึก เวทนา ตัณหา ทั้งหลายเป็นผลมาจากแรงขับที่ซ่อนอยู่ในภวังคจิตและพันธุกรรม แต่ธรรมชาติได้มอบสติและความคิดให้มนุษย์ เป็นอาวุธที่ใช้ควบคุมความรู้สึกเหล่านั้น คนเราฝืนความรู้สึกไม่ได้ แต่สามารถฝืนความคิดได้ ความคิดก็เหมือนคมมีด ถ้าใช้ถูกวิธีจะมีประโยชน์อนันต์ แต่ใช้ผิดก็จะเป็นโทษอย่างมหันต์ มนุษย์ทุกคนมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากกรรมเก่าทั้งสิ้น ในเมื่อห้ามความรู้สึกไม่ได้ มันจะเกิดก็ให้มันเกิด แต่ธรรมชาติได้ให้สมอง และความคิดกับมนุษย์ เพื่อเป็นตัวช่วยในการสร้างกรรมใหม่ ซึ่งจะดีหรือชั่วก็ขึ้นอยู่กับวิธีคิดเท่านั้นเอง

ปัจจุบันกาลสำคัญที่สุด สามารถควบคุมความคิดให้เป็นบวกได้ ทุกคนต้องมีส่วนบวกอยู่ในตัว แม้ความรู้สึกที่เป็นลบก็สามารถดับได้ด้วยความคิดที่เป็นบวกได้ เหมือนน้ำจำนวนมากที่สามารถนำมาดับไฟได้ การคิดบวกต่างจากโมหะหรือความหลง การคิดบวกเกิดในสภาวะที่มีสติสัมปชัญญะสูง แต่ความหลงเกิดขึ้นในสภาวะที่ขาดสติ เห็นผิดเป็นชอบ การคิดบวกคือเห็นทุกสิ่งตามความเป็นจริง วางใจให้ว่าง เมื่อใจว่าง ไม่ว่าจะเอาไปตัดสินอะไรว่าเป็นบวก หรือลบก็ถูกต้องเสมอ เหมือนกับตาชั่งที่เข็มอยู่ตรงจุดศูนย์ จะชั่งอะไรก็ถูกไปหมด

เมื่อคิดบวก นอกจากจะทำให้จิตใจสดชื่นเย็นสบายแล้ว ยังทำให้เกิดกำลังของสติสัมปชัญญะที่สูงขึ้น อันจะช่วยป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นเดิมกลับมาทำร้ายได้อีก กฎแห่งแรงดึงดูดครอบคลุมไปทุกเรื่อง ความลับนี้เพิ่งจะถูกเปิดเผยในช่วงระยะเวลาเพียง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการปฏิวัติสังคมครั้งยิ่งใหญ่ การค้นพบที่ยิ่งใหญ่นี้จะเปลี่ยนโลก ให้เข้าสู่คลื่นลูกที่ 4 กว่ากฎแรงดึงดูดของนิวตัน ที่ทำให้โลกเกิดการปฏิวัติ เป็นสังคมอุตสาหกรรมได้ต้องใช้เวลาไปถึง 200 ปี ขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับการค้นพบนี้ และพยายามอธิบายออกมาในรูปของหนังสือ ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ เป็นต้น อย่างมากมาย แต่ก็ยังมีคนเข้าใจกฎนี้อย่างถ่องแท้ไม่มากนัก

บทที่ 13

มุ่งสู่นิพพาน

ถ้านักวิทยาศาสตร์ค้นพบวิธีที่จะทำให้มนุษย์สงเคราะห์แสงได้ ดูดซึมคาร์บอนจากอากาศมาสร้างเป็นอาหารได้เองเหมือนกับพืช มนุษย์ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความหิว หรือความอยากอีกต่อไป แต่มีข้อแม้ว่า มนุษย์คนนั้นจะต้องเลิกกินอาหารทางปากตลอดชีวิต เพราะถ้าเผลอกินเข้าไปปฏิกิริยาเคมีของการย่อย จะสวนทางกับปฏิกิริยาเคมีของการสร้าง ในกระบวนการสังเคราะห์แสง คนคนนั้นจะเสียชีวิตทันที ถามว่าจะเอาไหม จะยอมแลกรสชาติเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อร่อยลิ้นกับความที่ไม่ต้องอยากอาหารอีกต่อไปไหม 9 ใน 10 คนของมนุษย์ปุถุชนไม่ยอมแน่นอน ที่เหลืออีก 1 คนยังลังเล

คนเรามักยึดติดกับสุขเวทนา ตัณหาที่ได้จากทวารทั้งหกจนลืมไปว่า ความว่างต่างหากคือความสุขที่แท้จริง ในขณะที่สิ่งเร้าต่าง ๆ เข้ากระทบทางทวารหกอย่างต่อเนื่องมาทั้งวัน ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดกลับเป็นตอนที่ได้นอนอย่างสงบ ปิดทวาร เงียบ สบาย และหลับลึกไปจนถึงเช้า ความทุกข์ที่มนุษย์ได้รับจากกิเลสตัณหา ส่งผลรุนแรงมากมายนัก ทุก ๆ วันผู้คนเกือบ 50 ล้านคนบนโลกนี้ จะต้องกินยานอนหลับก่อนนอน

การหลงในสุขเวทนาของผัสสะแห่งทวารเหล่านี้ ก็ไม่ต่างไปจากการติดยาเสพติด ที่ต้องเพิ่มขนาดความถี่ และความเข้มของสิ่งเร้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเมื่อเกิดสุขเวทนาครั้งแรกจะเกิดสัญญา (จำได้หมายรู้) สังขาร (การปรุงแต่งของจิตที่คิด) วิญญาณ (รู้ตัว) มารับรู้และมีอาการชิน ถ้าผัสสะในครั้งต่อไปซ้ำแบบเดิม สุขเวทนาที่ได้รับจะลดลง ก่อให้เกิดกิเลส ตัณหา ความต้องการอยากจะได้รับผัสสะแปลก ๆ ใหม่ ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อเกิดปัญญาหยั่งรู้ เห็นโทษของกิเลสตัณหาที่ได้รับจากผัสสะแห่งทวาร จะรู้ว่ามันก็คือยาพิษดี ๆ นี่เอง การสกัดตัณหาไม่ง่าย สิ่งที่จะสกัดกิเลสตัณหาได้มีเพียงสิ่งเดียวคือสติสัมปชัญญะ

สติสัมปชัญญะเป็นตัวเฝ้าทวารทั้งขาเข้าและขาออก ขาเข้าก็คือสกัดไม่ให้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเข้าไปก่อให้เกิดเวทนา กิเลส ตัณหาในใจ ขาออกก็คือ คอยป้องกันไม่ให้ความรู้สึกรัก โลภ โกรธ หลงออกจากใจผ่านทวารห้ามาแสดงอิทธิพลภายนอก หรือถ้าจะแสดง สติจะเป็นตัวกำกับการแสดงให้แสดงออกในทางที่ถูกที่ควรและเหมาะสม

สติสัมปชัญญะนี่เอง ที่ใช้เป็นตัวจับความรู้สึกลบจากกรรมเก่าได้ แล้วใช้ความคิดบวกซึ่งเป็นกรรมปัจจุบันเข้าไปปิดทับ ค่อย ๆ ใช้จิตสำนึกเปลี่ยนความรู้สึกจากลบเป็นบวก จะพบว่าวิถีชีวิตเปลี่ยนไปตามความรู้สึกใหม่นั้น สิ่งที่เดอะท็อปซีเคร็ตพยายามเปิดเผยสุดยอดความลับที่เหนือกว่าเดอะซีเคร็ตก็คือ ความสุขที่ได้จากเดอะท็อปซีเคร็ตสามารถเป็นได้ถึงความสุขในระดับโลกุตระ อยู่คนละระดับกับเดอะซีเคร็ตที่เป็นความสุขในระดับโลกียะ

การจะเข้าถึงความสุขทางธรรม ไม่ต้องมีเงินถึงแสนล้านบาท ไม่มีเงินสักบาทก็เข้าถึงได้ ตรงกันข้ามกับคนที่มีเงินถึงล้านล้านบาท ถ้าไม่เริ่มฝึกสติเสียแต่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ เป็นความโชคดีมหาศาลที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะมนุษย์เท่านั้นที่สามารถฝึกสติให้ถึงระดับที่ตัดกรรมได้ และโชคดีเป็นครั้งที่ 2 ที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เพราะหนทางแห่งการฝึกเจริญสติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานมีเพียงทางเดียว และพระพุทธองค์ก็ตรัสบอกหนทางนั้นไว้อย่างชัดเจนที่สุด จึงไม่ควรพลาดโอกาสอันสำคัญนี้ โอกาสที่จะพบสิ่งมีค่าที่สุดในจักรวาล และควรเริ่มตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป.

สั่งซื้อหนังสือ “The Top Secret เดอะ ท็อป ซีเคร็ต” (คลิ๊ก)