สรุปหนังสือ THE NAKED CEO เปลือยความคิดซีอีโอ

หนังสือเล่มนี้จะแบ่งปันหลักการต่าง ๆ ในการทำงานและการนำ จงกล้าที่จะกระโจนเข้าไปหาประสบการณ์ แม้จะสะดุดหรือล้มเหลวไม่ใช่สิ่งสำคัญ ทุกคนจะต้องเคยกันทั้งนั้น แต่จะไม่มีวันมีชีวิตอยู่กับความกลัวที่จะล้มเหลว ทุกคนล้วนเคยทำความผิดมาทั้งนั้น แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้เรียนรู้จากมัน เป้าหมายบางอย่างต้องใช้เวลาในการบรรลุความสำเร็จ จำไว้เสมอว่าในที่สุดจะทำได้เสมอ หากว่ามันมีความสำคัญมากพอ นี่ไม่ใช่หนังสือที่จะให้คำตอบทุกอย่าง คำตอบจะมาจากประสบการณ์ของตัวเองเท่านั้น เพราะเส้นทางชีวิตทุกคนแตกต่างกัน และการเป็นผู้นำนั้นเป็นเรื่องส่วนตัว

หนังสือเล่มนี้เป็นแนวทางเท่านั้น ยิ่งเปิดใจเท่าใด ก็จะได้พบสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้นจากมัน หนังสือเล่มนี้นำพาให้เดินจากสถานศึกษาสู่สถานที่ทำงาน จนถึงการเป็นผู้นำและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะมีประสบการณ์การทำงานมากแค่ไหน หรืออยู่ในระยะใดของการเป็นผู้นำ ในขณะนี้ จะได้พบบางอย่างที่มีคุณค่าในหนังสือเล่มนี้ โดยจะได้เรียนรู้ในอีกมุมมอง ขณะที่ประสบการณ์เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะยังเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เพิ่งทำงาน กำลังจะเปลี่ยนงาน หรือเป็นพ่อแม่ มีบางอย่างให้อยู่ในหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน.

ภาคที่ 1

กล้าที่จะฝัน

หลายครั้งในชีวิตการทำงาน อาจรู้สึกว่าถูกกดดันให้ต้องเปลี่ยนตัวตน เพื่อจะได้เป็นไปตามความคาดหวังของผู้อื่น จงอย่าทำเช่นนั้น คนมากมายที่สูญเสียความกล้าความบ้าบิ่นของวัยเด็ก พยายามเปลี่ยนตัวตนของตนเอง หรือเลิกล้มความฝันเพราะรู้สึกว่า ต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่เสียที สุดท้ายคนเหล่านี้จะกลายเป็นคนที่หวาดกลัวความล้มเหลว มัวแต่ยึดเกาะกับสิ่งที่คิดว่ามั่นคง นั่นแหละคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ที่สามารถทำกับตัวเอง

เมื่อมีความเป็นเด็ก มีจินตนาการ สิ่งเหล่านี้มีส่วนอย่างมากต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ถูกต้องแน่นอนว่า ต้องมีความเคารพในผู้อื่น สุภาพ เป็นกันเอง มีวินัย เรียนรู้ที่จะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ แต่จงอย่ารู้สึกว่าการเป็นผู้ใหญ่หมายถึง ต้องสละตัวตนหรือสิ่งที่ต้องการจริง ๆ ในชีวิต จงทำให้การฝันเป็นนิสัย และคงความบ้าบิ่น และไฟในตัวไว้เสมอ เพื่อทำให้ความฝันเหล่านั้นเป็นจริง

จงเป็นตัวของตัวเอง ความสามารถในการเป็นตัวตนที่จริงแท้ของตนเอง เป็นสิ่งที่คนให้ความสำคัญน้อย และมักจะมองข้ามมากที่สุด จนทำให้ต้องสูญเสียสิ่งที่ทำให้พวกเขามีความพิเศษไม่เหมือนใคร นั่นก็คือตัวตนของพวกเขาเอง ความจริงข้อหนึ่งก็คือ การเป็นตัวตนที่แท้จริงของตนเองคือ กุญแจสู่ชีวิตที่ดีทั้งในด้านส่วนตัวและการงาน ภาพลักษณ์ภายนอกที่สร้างขึ้นเป็นสิ่งที่อันตราย และเป็นงานที่เหนื่อยด้วย

สิ่งที่เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานต้องการนั้น ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย พวกเขาแค่อยากได้คนที่สามารถร่วมงานกันด้วยดี และอยู่ด้วยกันได้อย่างสบายใจ เต็มใจที่จะรับคำสั่ง และกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เท่านั้นเองจริง ๆ และพวกเขาจะสามารถเห็นว่า มีคุณสมบัติเหล่านี้หรือไม่ ต่อเมื่อแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเท่านั้น

คนเราทุกคนมีพลังงานจำกัด ไม่ว่าพลังกายหรือพลังใจ เพราะฉะนั้นในชีวิตการทำงานหรือส่วนตัว จึงควรเก็บพลังไว้เพื่อใช้กับสิ่งที่สำคัญ หรือสิ่งที่จะทำให้เป็นที่เคารพ ในฐานะพนักงานหรือเพื่อนร่วมงานที่มีประสิทธิภาพ อย่าใช้พลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์กับการพยายามฝืนเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน หรือเลียนแบบคนอื่นมันจะทำให้เหนื่อยเปล่า และสุดท้ายจะเป็นผลเสียต่อประสิทธิภาพในการทำงานด้วย

แน่นอนคนที่ไม่ชอบมักย่อมมีอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็จะได้รับความเคารพ และไว้วางใจในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน และในการบรรลุความฝัน คนที่เป็นตัวตนที่จริงแท้ของตนเอง จะได้รับความเคารพจากผู้อื่นเสมอ แม้อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบหรือถูกใจเสมอไป แต่ถ้าต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว จงเลือกที่จะเป็นที่เคารพเสมอ

ตลอดชีวิตจะได้เจอกับเหตุการณ์ที่ดี เหตุการณ์ที่เลวร้าย เหตุการณ์ที่น่าเกลียด ปฏิกิริยาที่มีต่อเหตุการณ์เหล่านั้นนี่เอง ที่จะบ่งบอกว่าเป็นใคร มีอุปนิสัยอย่างไร มีจุดแข็งหรือจุดอ่อนอะไรบ้างที่จะต้องปรับปรุง ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งรู้จักตัวเองมากขึ้นเท่านั้น  เพราะฉะนั้นจงเปิดรับประสบการณ์ชีวิตให้มากที่สุดตั้งแต่เดี๋ยวนี้

เมื่อแสดงคุณลักษณะทั้งในด้านบวกหรือด้านลบออกมา การทำเช่นนี้จะช่วยให้คนเข้าใจว่า คนอื่นมองอย่างไร และทำไมพวกเขาจึงมีปฏิกิริยาเช่นนั้น เมื่อแสดงกิริยาบางอย่างออกมา นี่คือการเริ่มพัฒนาความตระหนักรู้ในตัวเอง (self-awareness) การเข้าใจว่าพฤติกรรมมีผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากต่อการเข้าใจแก่นแท้ของตัวตน การตระหนักรู้ในตัวเองคือหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้นำที่ดี ซึ่งจะมีดังนี้

หยุดทำตัวเหมือนชาวบ้าน ความจริงแล้วความก้าวหน้าของคนคนเดียว ที่จะต้องใส่ใจก็คือความก้าวหน้าของตัวเอง จงอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น พยายามทำตัวเองให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้เท่านั้นเป็นพอ

ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อตัวเอง คนเราสามารถเรียนรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับคนคนหนึ่งได้ จากวิธีที่เขาปฏิบัติต่อผู้อื่น

ความซื่อสัตย์สุจริตคือนโยบายที่ดีที่สุด จงซื่อสัตย์และเปิดเผยต่อคนรอบข้าง คนที่เปิดเผยและซื่อสัตย์คือ คนที่มักจะได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบภาระหน้าที่ในตำแหน่งสูงมากที่สุด

รู้จักปล่อยวาง ท่ามกลางชีวิตที่มีขึ้นมีลงเหมือนสายน้ำ จงหลีกเลี่ยงการตำหนิติเตียนตนเองมากเกินไป เมื่อผิดพลาดในหลายสถานการณ์คนเรามักจะมองความผิดพลาดใหญ่โตเกินจริง จงให้อภัยตนเอง แล้วมุ่งกับการคิดหาวิธีแก้ไขให้ดีขึ้น

เลิกกังวลว่าใครจะชอบหรือไม่ ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม ยังไงก็ไม่มีวันที่จะเป็นที่รักของทุกคนได้ เพราะฉะนั้นขอให้เลิกกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร เมื่อได้รับความเห็นหรือการตอบสนองในเชิงลบ จงใช้มันในการทำให้แกร่งขึ้น และเป็นคนดียิ่งขึ้น

ผ่อนคลายจากความเครียด หายใจลึก ๆ การกังวลว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่ออยู่ในสถานการณ์สำคัญที่มีความกดดันสูงเป็นสิ่งปกติ ในทุกสถานการณ์ชีวิต เวลาที่หวนนึกถึงสถานการณ์ที่เคยคิดว่าเลวร้ายจนทนไม่ไหว มักจะหัวเราะขันว่าช่างจริงจังกับมันเสียเหลือเกินในตอนนั้น

แสดง DNA ที่เป็นเอกลักษณ์ออกมา เคยหยุดคิดสักนิดไหมว่า มันยอดแค่ไหนที่เราเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือน ท่ามกลางคนนับพันล้านบนโลก หลายคนก็ยังเพียรพยายามที่จะเลียนแบบผู้อื่น แสดงให้คนเห็นว่าอะไรทำให้เป็นคนน่าสนใจ และเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร

เลิกพยายามเอาอกเอาใจทุกคน การพยายามเอาอกเอาใจทุกคน นอกจากจะเหนื่อยแล้ว ยังอาจเป็นการเสียแรงเปล่าด้วย การทำให้คนอื่นมีความสุขเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องยอมเป็นคนสุดท้ายเสมอ

ทำตามสัญชาตญาณ เคยทำอะไรบางอย่างและตำหนิตัวเองในภายหลัง เพราะตระหนักว่าสิ่งที่ทำนั้นผิดหรือไม่ นั่นแหละคือสัญชาตญาณ เพราะฉะนั้นจงหยุดและเงี่ยหูฟังมัน

ความฝันไม่ได้เป็นจริงในชั่วข้ามคืน ความใฝ่ฝันของคนเราไม่ใช่เป็นเพียงความคิด หรือจินตนาการสนุก ๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นทัศนะคติ นิสัย เสียงเรียกร้องให้ทำอะไรบางอย่าง และเป้าหมายที่จะก้าวไปให้ถึงด้วย ในการบรรลุความฝัน จะต้องมีวิสัยทัศน์ มีไฟอันร้อนแรง และการทำงานหนัก ความฝันที่ต้องการทำให้เกิดขึ้นจริงนั้น คือความฝันที่จะอยู่ในความคิดตลอดเวลา เป็นความฝันที่ไม่เคยลืม

จงอย่ากลัวที่จะฝัน เพียงแต่ยอมรับว่าหากต้องการมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยความตื่นเต้นแล้ว จะต้องทำอะไรผิดพลาดบ้าง อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง จงเข้าใจว่าการเดินตามฝันนั้น มักจะนำไปสู่โลกที่ไม่คุ้นเคยห่างไกลจาก comfort zone หรือที่ที่รู้สึกสบายใจ นอกจากนี้ยังอาจทำให้ต้องฝืนทำบางสิ่งบางอย่าง ที่ไม่ใช่นิสัยด้วย หากเข้าใจว่านี่คือเรื่องปกติ การก้าวเข้าไปสู่ดินแดนที่ไม่คุ้นเคย จะกลายเป็นความตื่นเต้น ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป

การลงมือทำให้ความฝันเป็นจริง จะทดสอบความมุ่งมั่น มันจะท้าทายความอดทน สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจและจดจำไว้ก็คือ ความฝันที่ยิ่งใหญ่ส่วนใหญ่ จะต้องใช้เวลาในการทำให้มันเป็นจริง หากยังไม่แน่ใจว่าความฝันคืออะไร จะต้องเปิดใจกว้างกับโลกรอบตัว ฟังและถามตัวเองว่ากำลังมองหาอะไร อะไรที่ทำให้มีความสุข แล้วจะพบความฝันหรือวิสัยทัศน์ ณ ที่ใดที่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือแต่การวางแผน ที่จะบรรลุความฝันนั้นเท่านั้น

วิธีทำฝันให้เป็นจริง ทุกคนต่างรู้ดีว่าความฝันส่วนใหญ่ไม่ได้กลายเป็นจริงในชั่วข้ามคืน เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะให้โอกาสตัวเองมากที่สุด ในการจะบรรลุความฝันที่ยิ่งใหญ่ สิ่งสำคัญคือ จะต้องเรียนรู้วิธีการกำหนดเป้าหมาย เป้าหมายคือองค์ประกอบสำคัญ ในการสร้างวินัย เพื่อที่จะไปถึงความฝันที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น ซึ่งจะทำได้โดย

ระบุเป้าหมาย เพื่อช่วยให้เป้าหมายดูเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ให้เขียนเป้าหมายลงในกระดาษ และติดไว้เหนือโต๊ะทำงาน จากนั้นให้ติดรูปภาพเกี่ยวกับความฝันเข้าไป ยิ่งมีภาพเป้าหมายรายล้อมรอบตัวมากเท่าใด มันก็จะยิ่งช่วยเตือนให้เดินหน้าต่อไปสู่ความฝัน โดยไม่พลัดหลงออกนอกเส้นทางมากขึ้นเท่านั้น

เป้าหมายจะต้องสามารถเป็นจริงได้ การพยายามบรรลุเป้าหมายที่ไม่น่าเป็นไปได้ เป็นสิ่งที่เสียแรงเปล่า และยังอาจทำให้สูญเสียความมั่นใจด้วย

สร้างภาพของความสำเร็จ ใช้จินตนาการในการนึกภาพขณะที่บรรลุความฝัน การทำเช่นนี้จะไม่เพียงแต่สร้างแรงกระตุ้น และทำให้สามารถจดจ่อกับสิ่งที่ต้องการเท่านั้น แต่ยังช่วยในการคิดหาวิธีใหม่ ๆ ในการบรรลุความสำเร็จด้วย

ขอคำปรึกษาและการสนับสนุน ใครบ้างที่มีประสบการณ์หรือคุณสมบัติที่จะช่วยเหลือได้ ถ้ารู้ ให้เริ่มคุยและขอคำแนะนำ หรือคำปรึกษาจากคนเหล่านั้น จะไม่มีวันรู้เลยว่า พวกเขายินดีที่จะแบ่งปันความรู้ หรือประสบการณ์ของพวกเขา หากไม่ลองขอดู

อยู่ในโลกความจริง การกำหนดกรอบเวลาที่ตั้งอยู่บนความเป็นจริงเป็นสิ่งสำคัญ ต้องกำหนดกรอบเวลาและพยายามยึดไว้ให้มั่น หากถึงเวลาที่ระบุแล้ว แต่ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย นั่นคือจุดที่จะต้องตัดสินใจแล้วว่า ควรจะยืดเวลาออกไป หรือเป้าหมายเป็นไปไม่ได้กันแน่

แตกเป้าหมายใหญ่เป็นเป้าหมายย่อย บางครั้งเป้าหมายอาจยิ่งใหญ่เกินกำลัง แต่เมื่อแตกออกเป็นเป้าหมายที่เล็กลง อาจเห็นความเป็นไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ไม่ย่อท้อ บ่อยครั้งการบรรลุเป้าหมายเป็นสิ่งท้าทายยิ่ง อาจต้องพยายามลองทางโน้นทางนี้เพื่อจะไปให้ถึง

รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ควรยืดหยุ่น ความยืดหยุ่นอาจมาในรูปของการขอคำแนะนำจากหลาย ๆ คน การเพิ่มขั้นตอนไปสู่เป้าหมาย หรือการปรับเป้าหมายให้เหมาะสมขึ้น

เฉลิมฉลองความสำเร็จ เมื่อตั้งใจที่จะทำบางอย่างให้สำเร็จ และตอนนี้ทำสำเร็จแล้ว จงฉลอง การให้รางวัลกับตัวเองหลังจากการทำงานอย่างหนัก เพื่อบรรลุเป้าจะสร้างความรู้สึกที่ดี

กล่องดำแห่งชีวิต ความมั่นใจในตัวเองจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ และความสำเร็จที่ได้รับมาระหว่างทาง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าในชีวิตการทำงานหรือส่วนตัว บางครั้งอาจถูกใครบางคนทำให้สูญเสียความมั่นใจ ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม นี่คือความจริงที่โหดร้าย ซึ่งจะต้องเตรียมรับมือ

ทุกคนคงเคยได้ยินเรื่องกล่องดำในเครื่องบินมาแล้ว ถ้ายังไม่เคยกล่องดำก็คือเทคโนโลยีชิ้นหนึ่ง ที่จะคอยบันทึกและเก็บข้อมูลสำคัญ เกี่ยวกับการทำงานของเครื่องบิน ขณะที่บินอยู่ ขอให้สร้างกล่องดำขึ้นในใจ โดยมีแนวคิดแบบเดียวกัน ทว่าข้อมูลอันมีค่าที่กล่องดำที่บันทึก และเก็บไว้อย่างดีนั้นคือ ความมั่นใจในตัวเอง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะมีความมั่นใจในตนเอง เพราะฉะนั้นจงเริ่มสร้างกล่องดำเสียแต่วันนี้ เพื่อเก็บรักษาและปกป้องความมั่นใจ และนำออกมาใช้เมื่อต้องการ กล่องดำนี้จะทำให้ความเชื่อในตนเองไม่มีวันสั่นคลอน

วิธีสร้างความมั่นใจ เคล็ดลับบางอย่างในการสร้างและปกป้องกล่องดำคือ

คิดบวก เมื่อไหร่ที่ความคิดเชิงลบเริ่มเข้ามาครอบงำ จงขจัดมันทิ้ง แล้วเอาความคิดเชิงบวกใส่เข้ามาแทน ต้องสร้างนิสัยของการมีความคิดบวก

ทำบวก หลังจากที่สร้างวินัยให้ความคิดแล้ว ก้าวต่อไปคือจดจ่อกับการลงมือทำ เช่น การออกความเห็นในเชิงบวก เมื่อมีปัญหาในที่ประชุม พูดให้กำลังใจเพื่อนร่วมงาน และน้อมรับความพ่ายแพ้ด้วยความองอาจ

กล้าเสี่ยง จงกล้าทำสิ่งใหม่ ๆ และไม่กลัวที่จะเสี่ยง หลังจากคิดคำนวณอย่างรอบคอบแล้ว ความจริงแล้วการเสี่ยงอย่างถูกต้อง และมีมาตรการคอยรองรับ จะสามารถให้ประสบการณ์เปิดโลกได้

มีอารมณ์ขัน ชีวิตสั้นนัก ควรจะใช้ให้คุ้ม สนุกกับชีวิต อย่าจริงจังมากมายกับตัวเองจนไม่สามารถหัวเราะได้ทุกวัน

รวบรวมประสบการณ์ในอดีต จัดการรวบรวมประสบการณ์ในอดีตตั้งแต่วันนี้ ให้ทำการสรุปประสบการณ์ดี ๆ และความสำเร็จสำคัญในปีนั้น แล้วเขียนออกมา จงภาคภูมิใจกับความสำเร็จขณะที่นั่งเขียน

ความรู้ให้อำนาจ ในสิ่งแวดล้อมของการทำงาน การขาดซึ่งความรู้อาจเป็นปัญหาได้ ความรู้ทำให้มีอำนาจมหาศาล

คงไว้ซึ่งโมเมนตัม การมีส่วนในการสร้างผลงาน จะทำให้รู้สึกว่างานนั้น ๆ สำเร็จลงแล้ว และนั่นแหละคือตอนที่พร้อมจะรับความท้าทายใหม่ต่อไป ความสำเร็จจะสร้างโมเมนตัมที่ดี ซึ่งจะนำไปสู่บทบาทใหม่

ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง การที่สิ่งเล็ก ๆ ไม่สลักสำคัญ สามารถบานปลายกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่โตจนเอาไม่อยู่ สาเหตุสำคัญก็คือศัตรูที่เรียกว่า การผัดวันประกันพรุ่งนั่นเอง

รู้สึกขอบคุณ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความมั่นใจในตัวเองก็คือ การจดจ่อกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ลองสำรวจตัวเองเพื่อดูว่ามีอะไรที่ดี ที่ใช่ รวมทั้งความสำเร็จต่าง ๆ ที่มีแล้วรู้สึกขอบคุณ

ภาคที่ 2

สร้างจักรวาลของตัวเอง

ในมุมมองของการทำงาน การสร้างจักรวาลก็คือ การตอกย้ำความเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวลงในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท อาจจะทำให้ก้าวหน้าไปด้วยการนำลักษณะเฉพาะตัว จินตนาการ และวิสัยทัศน์ไปใช้กับงาน จะท้าทายสภาพปัจจุบัน (status quo) นี่คือสิ่งที่จะต้องทำ คุณสมบัติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ การนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงาน จะช่วยสร้างคุณประโยชน์ที่ไม่มีใครเคยเห็น หรือคาดการณ์มาก่อน

ในชีวิตการทำงาน จำไว้ว่าแม้ทักษะหรือความชำนาญหลักจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่หลายคนก็อาจมีเหมือนกัน สิ่งที่จะเป็นจุดขายที่เป็นเอกลักษณ์โดยเฉพาะคือ ลักษณะเฉพาะตัวต่างหากที่น่าสนใจ ก็คือเวลาที่ได้ยินใครพูดถึงบุคคลที่พวกเขาประทับใจ และความสำเร็จในชีวิตของคนเหล่านั้น มักจะได้ยินเขาบอกว่าคนคนนั้นมีราศีความเป็นผู้นำ มันหมายความว่าบุคคลผู้นั้นประสบความสำเร็จ ในการสร้างจักรวาลของตัวเองขึ้น และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเพราะการนั้น พวกเขาได้สร้างพลังงานที่ทำให้คนตื่นเต้นและมีไฟขึ้นมา ด้วยเหตุนี้จึงมองว่าพวกเขามีราศีความเป็นผู้นำที่ดึงดูดคน หากต้องการให้คนมองแบบนั้น สิ่งที่ต้องมีคือความเป็นตัวของตัวเอง ทำตามความฝัน จินตนาการ และวิสัยทัศน์ จงเดินตามดวงดาวที่ส่องนำทาง มันจะนำพาไปสร้างจักรวาล

การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์สำหรับมือใหม่ คนบางคนจะสามารถสร้างสัมพันธ์กับคนในสิ่งแวดล้อมใหม่ได้อย่างสบาย ๆ ในขณะที่บางคนจะรู้สึกอึดอัด ถ้าหากเป็นพวกหลังจงอย่ารอที่จะแก้ปัญหานี้จนถึงตอนทำงาน ให้เริ่มเสียตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนอยู่ สามารถพัฒนาวิธีเพิ่มความมั่นใจในตัวเอง ที่จะทำให้สื่อสารและสร้างเครือข่ายสายสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ แต่ได้ผล เช่น รู้จักทักทายสวัสดีเพื่อนบ้าน เวลาที่ออกจากบ้านในตอนเช้า หรือกับคนที่นั่งข้างในห้องบรรยาย แม้ปฏิกิริยาที่ได้รับจะไม่น่าพอใจเสมอไป แต่อย่าถือสา นี่คือแบบฝึกหัดในการเอาชนะความกลัวอย่างไม่มีเหตุผล หรือความเก้อเขินในกรณีที่คนไม่ตอบสนอง หากพยายามทำลายสิ่งกีดขวางที่ไม่จำเป็นกับผู้อื่นไปเรื่อย ๆ มันจะกลายเป็นนิสัย แล้วต่อไปก็จะสามารถทำโดยอัตโนมัติ

สิ่งสำคัญที่จะต้องเข้าใจก็คือ การสร้างเครือข่ายสายสัมพันธ์ ไม่ใช่การพูดคุยกับใครเพื่อที่จะได้ประโยชน์ คนที่รู้จักการสร้างความสัมพันธ์ จะทำเพื่อให้ไม่ใช่เพื่อรับ ส่วนใหญ่แล้วการช่วยเหลือคนโดยไม่เห็นแก่ตนเอง มักจะได้รับการตอบแทนกลับ

วิธีสร้างเครือข่ายสายสัมพันธ์ โอกาสที่จะสร้างเครือข่ายสายสัมพันธ์มีอยู่ทุกที่ การสร้างและคงไว้ซึ่งสัมพันธ์ภาพที่ดี เป็นสิ่งสำคัญต่อหน้าที่การงานในปัจจุบันและในอนาคตด้วย

มิตรภาพมีอยู่รอบตัว ลองคิดถึงคนที่รู้จักอยู่แล้ว พวกเขาจะต้องมีพ่อ แม่ เพื่อน หรือเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นที่นับถือในสาขาอาชีพต่าง ๆ

เชื่อมโยงด้วยสื่อสังคม เว็บไซต์เครือข่ายสังคมสามารถอัพโหลดชื่อคนที่ติดต่อในบัญชีอีเมล แล้วลิงค์อินจะทำการจับคู่คนเหล่านั้นกับฐานข้อมูลของเว็บไซต์ให้เอง จากนั้นก็สามารถใช้ชื่อค้นหาเพื่อนนักเรียน เพื่อนร่วมงาน และบุคคลในสาขาอาชีพต่าง ๆ ที่ต้องการติดต่อด้วยได้ ในเชิงกลยุทธ์แล้ว สามารถค้นหาเพื่อนของเพื่อน หรือคนรู้จักของคนรู้จัก เพื่อหาบุคคลน่าสนใจที่อยากรู้จักได้

ทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นในอินเทอร์เน็ตเท่านั้น นอกจากทางอินเตอร์เน็ตแล้ว ควรมองหาโอกาสในการเข้าร่วมสัมมนา เวิร์คช็อป หรือกิจกรรมสังคมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรม หรือในสิ่งที่สนใจเป็นการส่วนตัว ในงานต่าง ๆ เหล่านี้ จะได้พบกับมืออาชีพ ซึ่งมีทักษะหรือความสนใจ ซึ่งจะไม่มีวันพบในชีวิตประจำวัน

ความประมาทหมายถึงความสำคัญ ในการใช้ชีวิตที่มีการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จะต้องทำสิ่งที่มีความหมาย ต้องเอาชนะความอึดอัด ต้องกล้า และรู้ว่าความประมาทเป็นเพียงสัญญาณที่บอกว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นคุ้มค่าที่จะทำ

ทำนามบัตร นามบัตรจะเป็นเครื่องเตือนความจำของคนได้อย่างดี และยังทำให้พวกเขาสามารถติดต่อได้ในอนาคตหากต้องการด้วย

เป็นตัวตนที่แท้จริง มันควรต้องเป็นพฤติกรรมที่สำคัญที่สุด ทั้งในชีวิตส่วนตัวและการงาน หากคนที่พบเขารู้สึกว่าไว้เนื้อเชื่อใจได้ โอกาสที่พวกเขาจะคงความสัมพันธ์ และคอยช่วยแนะนำกับคนอื่น ๆ จะมีมากขึ้น

จำไว้ว่าไม่ใช่พระเอก เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นในชีวิต จะเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่า คนที่เอาแต่พูดถึงตัวเองมากเกินไป มักจะไม่เป็นที่ต้อนรับนัก สามารถสร้างเครือข่ายสายสัมพันธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอาจเป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักแสดงความสนใจในสิ่งที่คนอื่นพูดอย่างจริงใจ และเสริมการสนทนาด้วยการค่อย ๆ เอาตัวแทรกเข้าไปอย่างละมุนละม่อม

ความสำคัญของความประทับใจครั้งที่ 2 หลังจากที่ได้รู้จักกันแล้ว ความคิดหนึ่งที่เข้าท่าก็คือ ส่งอีเมลหรือจดหมายสั้น ๆ ที่เขียนด้วยลายมือตัวเองไปถึงพวกเขา นี่คือวิธีที่ดีในการสร้างความประทับใจไม่รู้ลืม

สร้างเรซูเมที่คนจะอ่าน โดยพื้นฐานแล้วเรซูเมคือโอกาสเดียวที่จะบอกว่าคือใคร เพราะฉะนั้นจะต้องประทับลักษณะเฉพาะตัวลงไป พยายามหาทางที่จะแสดงให้คนเห็นถึงชีวิต ลักษณะเฉพาะตัว และทักษะพิเศษ เรซูเม่ควรจะทำให้บริษัทเห็นภาพของจักรวาลที่สร้างขึ้นจนถึงวันนั้น ๆ และจักรวาลที่ต้องการจะสร้างให้กับบริษัทที่จะจ้างต่อไป เพื่อทำให้พวกเขายอมเปิดประตูเชื้อเชิญ

วิธีการสร้างเรซูเมที่คนจะอ่าน ต่อไปนี้คือแนวทางที่จะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับเรซูเมว่ามันจะได้รับการอ่านหรือทิ้งลงถังขยะ ฉะนั้นนี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเขียนแค่ให้เสร็จ ๆ ไปเท่านั้น แต่ควรจะทุ่มเวลาเพื่อสร้างเอกสารที่สามารถภาคภูมิใจ โดยจะต้องทบทวนทุกครั้ง เพื่อให้เหมาะสมกับงานแต่ละตำแหน่งที่สมัครด้วย

การแนะนำตัวเอง ส่วนแนะนำตัวในเรซูเมคือ กุญแจสำคัญในการสร้างความสงสัยใคร่รู้ เพราะฉะนั้นทันทีที่ใส่ข้อมูลทั่วไป และสถานที่ติดต่อแล้ว ควรจะระบุอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายด้านการงาน ตำแหน่งงานในปัจจุบัน ทักษะพิเศษ และจุดแข็ง รวมถึงความใฝ่ฝันและเป้าหมายในอนาคตด้วย

ใส่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติที่ระบุ โฆษณาหางานบางอันจะระบุคุณสมบัติที่ต้องการไว้ การเขียนประสบการณ์ที่มี โดยพยายามปรับแปลงให้เข้ากับคุณสมบัติ หรือเกณฑ์ที่ระบุไว้เป็นสิ่งสำคัญมาก

สั้น กระชับ หากบริษัทไม่ได้ระบุจำนวนคำ กฎที่ควรจำไว้ก็คือเขียนให้กระชับได้ใจความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพิ่งเริ่มทำงานคือ มีความยาวไม่เกิน 2 หน้า จำไว้เสมอว่ากำลังสรุปทักษะและประสบการณ์ที่มี

อะไรที่ไม่ต้องใส่ การใส่รายละเอียดส่วนตัว เช่น วันเกิด สถานการณ์สมรส ปัญหาสุขภาพหรือความพิการเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น จำไว้ว่างานอดิเรกหรือความสนใจ อาจไม่เกี่ยวข้องหากดูผิวเผิน แต่ความจริงแล้วมันอาจแสดงให้เห็นได้อย่างดีว่า เป็นคนมีความสามารถรอบด้าน หรือมีความน่าสนใจแค่ไหน

หลีกเลี่ยงคำที่ใช้กันซ้ำซาก จำไว้ว่าคนเราแทบทุกคนจะบอกว่า ตนมีความคิดสร้างสรรค์ กระตือรือร้น ไฟแรง และอื่น ๆ ทำนองนี้ จงถามตัวเองว่าสามารถหาคำอื่นที่ดีกว่า มาแทนคำที่คนส่วนมากชอบอ้างกันหรือไม่ จะต้องใช้คำพูดของตัวเอง หากต้องการพิสูจน์ว่าเป็นของแท้

ตรวจทาน คำผิดคำเดียวก็อาจส่งเรซูเมลงถังขยะได้ ดังนั้น การตรวจทานจึงเป็นสิ่งสำคัญ

แนบจดหมายปะหน้า (นอกจากมีระบุว่าไม่ต้อง) จดหมายปะหน้าที่ดีสามารถทำให้บริษัทอ่านหรือไม่อ่านเรซูเมได้ จดหมายควรประกอบด้วย 4 ส่วนสั้น ๆ ดังต่อไปนี้

  1. ชื่อตำแหน่งงาน และหมายเลขอ้างอิง (ถ้ามี)
  2. สรุปสั้น ๆ 1 ย่อหน้าถึงเหตุผลที่สนใจงานตำแหน่งดังกล่าว และทำไมจึงเหมาะกับงานนั้น
  3. ในย่อหน้าที่ยาวกว่าเล็กน้อย ให้อ้างถึงคุณสมบัติที่บริษัทต้องการ จากนั้นอธิบายว่ามีคุณสมบัติตรงกับที่ระบุอย่างไร

จากนั้นสรุปเหตุผลที่อยากทำงานกับบริษัทนั้น ๆ และทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะทุ่มเทกับการทำงาน

ให้ที่อยู่ที่ติดต่อได้ง่าย ให้รายละเอียดของสถานที่ และหมายเลขโทรศัพท์ที่จะติดต่อได้อย่างชัดเจน จะต้องสามารถรับโทรศัพท์หมายเลขที่ระบุ หรือตรวจเช็คอีเมลที่ให้ไว้ได้เสมอ

ตรวจทานโปรไฟล์ในอินเทอร์เน็ต นายจ้างจำนวนมากจะเข้าไปสอดส่องกิจกรรมในโลกไซเบอร์ หากพวกเขาตั้งใจจะรับเข้าทำงาน ควรจะเข้าไปตรวจโปรไฟล์ใน facebook instagram twitter (หรือเครือข่ายสังคมอื่น ๆ ที่ใช้) แล้วถามตัวเองว่า อยากให้เจ้านายเห็นภาพหรือความเห็นหรือไม่ ถ้าคำตอบคือ ไม่ จงลบทิ้งเสีย

ภาคที่ 3

ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องของคน

เมื่อเข้าทำงานใหม่ กำลังก้าวไปในสิ่งแวดล้อมที่ลงตัวมานานแล้ว คนในบริษัทล้วนชินกับสิ่งแวดล้อมนั้น ในที่ทำงานคนเราจะทำเรื่องโง่เง่าได้เร็วมาก เพราะฉะนั้นจงให้เวลากับตัวเอง คอยทดสอบทักษะการสื่อสารกับคนรอบข้าง สังเกตพฤติกรรมและภาษากายของพวกเขา คอยดูว่าคนประเภทไหนที่พวกเขาเข้าได้ดีและไม่ดี คอยฟังและคอยสังเกตว่า แต่ละคนมีวิธีถ่ายทอดหรือตอบสนองต่อคำสั่งอย่างไร นี่คือสิ่งที่ต้องพยายามเรียนรู้ตั้งแต่แรกเริ่มเกี่ยวกับทีมงาน เพราะมันจะช่วยให้ชนะใจ และได้รับความนับถือจากพวกเขา

ไม่ใช่ว่าทุกคนจะตอบสนองในแบบเดียวกัน บางคนอาจเปิดกว้างเชิญชวน และกระตือรือร้นที่จะรู้จัก บางคนอาจทำตัวห่างเหิน และมุ่งกับการทำงานของตัวเองมากกว่า เมื่อเจอคนประเภทหลังอย่าถือเป็นเรื่องส่วนตัว ในช่วงวันหรือสัปดาห์แรก ๆ ของการทำงาน เจ้านายหรือผู้จัดการจะคอยสังเกตว่า เป็นคนที่จะทำงานด้วยได้ง่าย และเข้ากับคนได้ดีหรือไม่ การหลีกเลี่ยงการถูกมองว่าเป็นคนที่มีปัญหา เช่น คนที่รู้ไปเสียทุกอย่าง คนที่เฉื่อยแฉะไม่มีไฟ หรือคนที่ฟังคนไม่เป็น หากเจ้านายสังเกตเห็นว่า เป็นคนแบบนี้ หรือมีใครบางคนบอกกับเจ้านาย รับรองว่าเขาจะต้องเสียเวลาอันมีค่าเรียกเข้าไปพูด ซึ่งมันคงเป็นเรื่องที่ไม่พึงปรารถนาเป็นแน่

วันแรกในที่ทำงานใหม่ ในวันแรกของการทำงาน หัวหน้าหรือผู้จัดการแผนกคงจะพาไปแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมงานหลัก ๆ ที่จะทำงานด้วย จงให้ความเคารพกับผู้อื่น สุภาพ และที่สำคัญกว่าอื่นใดคือเป็นตัวของตัวเอง สิ่งที่ควรโฟกัสระหว่างการแนะนำตัวมีเพียงเท่านี้ การทำเช่นนี้ตั้งแต่วันแรก จะทำให้เป็นภาพที่ดีในใจของผู้ร่วมงาน สิ่งที่นายจ้างจะคาดหวังในช่วงวันหรือสัปดาห์แรก ๆ คือความสามารถและความกระตือรือร้นในการซึมซับข้อมูล และการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน จงระวังเรื่องการสร้างคำถาม รวมถึงจำนวนคำถามที่ถามด้วย เพราะความตื่นเต้นอาจทำให้ตั้งหน้าตั้งตาถามไปหมดทุกอย่างได้ ปกติแล้วบริษัทจะแจกเอกสารที่จะช่วยให้เข้าใจในเบื้องต้นเกี่ยวกับธุรกิจ เพราะฉะนั้นให้ศึกษาข้อมูลเหล่านี้เสียก่อน อย่ามัวแต่ใช้เวลากับการตั้งคำถาม จำไว้ว่าทุกคนรอบตัวต่างก็วุ่นกับงานของตน เพราะฉะนั้นจงให้ความเคารพต่อเวลาของพวกเขา

การอยู่รอดในวันแรกของการทำงาน ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางอย่างคือ

แต่งตัวอย่างไรดี เมื่อไปสัมภาษณ์งาน ให้สังเกตดูว่าคนในออฟฟิศแต่งตัวกันอย่างไร

ไปแต่เช้าหรือตรงเวลา หากใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ให้ลองเดินทางไปที่บริษัทล่วงหน้าก่อนวันทำงานจริง เพื่อจะได้จับเวลาการเดินทางได้

สร้างความประทับใจแรก ความประทับใจมาจากความสามารถในการฟังและสังเกต จงสุภาพและให้ความเคารพกับทุกคนที่พบ และมองหาโอกาสที่จะแสดงให้คนเห็นว่า มีความพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน หรือทีมงานด้วยความเต็มใจ

มีความมั่นใจ จงจำไว้เสมอว่าทุกอย่างในวันนี้ จะกลายเป็นความทรงจำที่น่าตื่นเต้น และเป็นประสบการณ์ที่จะช่วยให้เติบโตต่อไป

มีความเป็นมิตร พยายามทำให้คนมองว่า เป็นเด็กใหม่ที่เป็นมิตร มีอัธยาศัยดี อย่างไรก็ตามเนื่องจากยังไม่รู้วัฒนธรรมของที่ทำงานใหม่ ดังนั้น จึงควรทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่และเป็นมืออาชีพ แบบเดียวกับที่ทำระหว่างสัมภาษณ์ไว้ก่อน จนกว่าจะรู้จักเพื่อนร่วมงานอย่างแท้จริง

คิดก่อนถาม หากมีแนวคิดใดที่ไม่เข้าใจ หรืองานใดที่ไม่รู้ว่าจะลงมือทำอย่างไร ให้ใช้เวลาตรึกตรองให้รู้แน่เสียก่อนว่า สิ่งที่ไม่เข้าใจคืออะไร การทำเช่นนี้ทำให้สามารถแตกประเด็นออกเป็นคำถาม หรือหัวข้อได้อย่างมีเหตุมีผล

เรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่เป็นได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในงานแรกจะได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง ขอให้คงทัศนะคตินี้ไว้ จงจินตนาการว่าคือฟองน้ำที่จะดูดซับทุกสิ่งรอบตัว ไม่ว่าคน ประเด็นต่าง ๆ การเมือง หรือลำดับชั้นในที่ทำงาน

อัพเดทโปรไฟล์ของตัวเองในสื่อสังคม อย่าลืมอัพเดทตำแหน่งใหม่ในโปรไฟล์ของตัวเองในลิงค์อิน ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงกับคนอื่น ๆ ในวงการเดียวกัน การทำเช่นนี้จะทำให้คนอื่น ๆ มีโอกาสรู้จักมากขึ้น แม้ว่าจะเคยเจอตัวจริง ๆ ก็ตาม

จดจำและเรียกชื่อคน ชื่อ/นามสกุลของคนคนหนึ่งเป็นมากกว่าแค่ฉลากหรือป้ายผลิตภัณฑ์ มันสามารถบอกเรื่องราวน่าทึ่งมากมายเกี่ยวกับคนผู้นั้น การถามชื่อคนเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสม สามารถเป็นการเปิดฉากสนทนา และทำให้รู้จักกับคนได้ลึกซึ้งลงไปอีกขั้นได้ เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ความสุภาพ และการแสดงความเคารพเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้ได้รู้เรื่องราว ที่น่าทึ่งของชีวิตคนบางคนได้ด้วย

เมื่อเริ่มงานใหม่จะมีชื่อมากมายที่ต้องจดจำ ทุกเช้าให้ท้าทายตัวเองให้จำชื่อคนให้ได้มากที่สุดในวันนั้น จากนั้นก็เดินผ่านคนเหล่านั้น โดยตั้งใจเพื่อเอ่ยชื่อของพวกเขาเวลากล่าวสวัสดี

การจำชื่อคน ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางอย่าง ในการจำชื่อคนคือ

ตั้งใจฟัง เวลาที่มีคนแนะนำตัว ให้พยายามจำชื่อเขาให้ได้ คนบางคนอาจจำชื่อคนได้แม่นโดยธรรมชาติ ในขณะที่บางคนต้องพยายามสักหน่อย ให้พัฒนาเทคนิคในการจำ เช่น ทวนชื่อซ้ำ ๆ ในใจ วิธีนี้จะช่วยให้นึกขึ้นได้เมื่อต้องการ

ถามซ้ำ หากได้ยินชื่อผู้แนะนำตัวไม่ชัดในตอนแรก ให้ถามจนแน่ใจตั้งแต่แรก

แสดงความสนใจ สามารถแสดงความสนใจได้ โดยการถามเกี่ยวกับชื่อของคู่สนทนา เช่น ชื่อ/สกุลของเขามีพื้นเพมาจากไหน

เชื่อมโยงชื่อกับภาพในใจ ถ้าสามารถสร้างภาพในใจขึ้น สำหรับชื่อคนที่เพิ่งรู้จัก จะจำชื่อเขาได้ง่ายขึ้น เมื่อพบกันครั้งต่อไป

ขอนามบัตร การแลกเปลี่ยนนามบัตรกัน จะช่วยในการจดจำรายละเอียด ของคนผู้นั้นได้อย่างดี

เรียกชื่อให้ถูกกาลเทศะ การเรียกชื่อพร่ำเพรื่อมากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการพยายามมากเกินไป และไม่จริงใจ การเรียกชื่อคนควรจะเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความเคารพ ไม่ใช่ใช้เป็นเทคนิคในการขายของ

การโน้มน้าวคน ชีวิตการทำงานเป้าหมายสูงสุดอย่างหนึ่งก็คือ การทำให้คนยอมรับในความคิดหรือคำสั่ง นี่คือกุญแจสำคัญของการที่จะทำให้โดดเด่นจากกลุ่ม และอยู่ในความทรงจำของคน การจะทำให้คนเห็นด้วย สิ่งสำคัญก็คือจะต้องมีทักษะในการโน้มน้าว ทักษะนี้จะพัฒนาขึ้นตามประสบการณ์ แต่แม้จะมีตำแหน่งสูงขึ้น มันก็ยังเป็นความท้าทายในแต่ละวันอยู่ดี

การโน้มน้าวความคิดเพื่อที่จะได้รับคำตอบที่ต้องการ เป็นความท้าทายของผู้นำอยู่เสมอ การโน้มน้าวคนยังเป็นศิลปะที่บางคนมีอยู่ในตัวโดยธรรมชาติ ในขณะที่บางคนต้องพยายามอย่างมากด้วย หากเป็นคนประเภทหลัง สิ่งแรกที่ควรจะโฟกัสตั้งแต่เริ่มทำงานใหม่ ๆ ก็คือการสร้างฐานที่จะทำให้คนเห็นพร้องกับความคิด หากสามารถโน้มน้าวให้คนเห็นด้วยกับความท้าทายเล็ก ๆ น้อย ๆ และทำให้พวกเขาเห็นว่ามาถูกทาง โอกาสที่พวกเขาจะเห็นด้วยในครั้งต่อไปจะมีมากขึ้น

นอกจากนี้ยังจะต้องสามารถนำเสนอไอเดียได้เหมือนกับการเล่าเรื่องราวสนุก ๆ จะต้องเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี สามารถดึงความสนใจ ด้วยการเปิดเรื่องที่น่าตื่นเต้น มีเนื้อหาที่กระชับ และการสรุปที่จับใจ

การโน้มน้าวให้ผู้อื่นเห็นด้วย ทักษะในการโน้มน้าวและการเป็นผู้นำนั้น ต้องรู้จักให้เพื่อที่จะได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมงานเสียก่อนโดย

ให้ความเคารพ ในชีวิตการทำงานหลายครั้ง ที่จะต้องทำให้คนหลายประเภทที่มีระดับความอาวุโสต่าง ๆ กันเห็นด้วย เพราะฉะนั้นจะต้องโฟกัสกับความสำคัญ ในการให้ความเคารพและมารยาท

รู้จักกลุ่มผู้ฟัง การรู้จักข้อมูลของกลุ่มผู้ฟัง จะเป็นฐานที่มั่นคง ซึ่งจะทำให้ได้คำตอบที่ต้องการ

มีความเชื่อ จะต้องมีความเชื่อในสิ่งที่กำลังบอกกับคนอื่น จงนำเสนอสาสน์ด้วยความมั่นใจเสมอ

อ่านสัญญาณ ต้องรับฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด ฟังว่าปัจจัยอะไรที่พวกเขาเห็นว่าสำคัญต่อการตัดสินใจ และมุ่งกับปัจจัยเหล่านั้น เมื่อนำเสนอไอเดียหรือความเห็นกับพวกเขา

สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ เล่าถึงความคิดหรือไอเดียอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีอารัมภบท ใจความสำคัญ และบทสรุปที่ชัดเจน สังเกตดูว่าคนให้ความสนใจหรือไม่ และเปลี่ยนวิธีการนำเสนอ เมื่อเห็นว่าวิธีการไม่ได้ผล

ทำการบ้าน ค้นคว้าหาข้อมูล วิเคราะห์ไอเดียอย่างถี่ถ้วน และเตรียมตัวตอบคำถามของคนอื่น ๆ เพราะฉะนั้นจะต้องรู้จักข้อเท็จจริงต่าง ๆ พร้อมทั้งข้อดีและข้อเสีย ของสิ่งที่ต้องการให้คนอื่นเห็นด้วย

ให้หลักฐาน มีตัวอย่างที่พิสูจน์ได้ว่า ไอเดียเป็นประโยชน์ต่องานของทีม หรือว่าเคยมีการใช้ไอเดียที่คล้ายกันนี้กับงานอื่น และมีผลลัพธ์ที่ดีหรือเปล่า

มีความอดทน การโน้มน้าวคนอาจต้องใช้ทั้งเวลาและพลังงาน ผู้ที่จะทำการเปลี่ยนทิศทางจะต้องมีความยืดหยุ่น ลุกขึ้นได้เมื่อล้มและมีความมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ จนกว่างานจะสำเร็จ

ภาคที่ 4

การทำให้ดีที่สุดเท่าที่เป็นได้

การทำให้ดีที่สุดเท่าที่เป็นได้ ไม่ใช่สิ่งที่หยุดนิ่งกับที่ จะต้องคอยผลักดันขอบเขตความสามารถให้ดีขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ด้วยการทำงานหนักเท่าที่สามารถทำได้ คนเราจะมองออกเมื่อใครบางคนไม่ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ การทำอะไรครึ่ง ๆ กลาง ๆ แบบขอไปที เป็นตัวทำลายความเคารพนับถือที่ผู้อื่นมีให้ได้เป็นอย่างดี อาจไม่สามารถทำทุกอย่างได้ถูกต้องหมด แต่ถ้าผู้จัดการหรือเพื่อนร่วมงานรู้ว่า ได้พยายามจนสุดความสามารถแล้ว พวกเขาจะเห็น สิ่งสำคัญคือจะต้องแสดงให้เห็นถึงศีลธรรมจรรยา และทัศนคติที่ดีในการทำงาน ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือความเต็มใจที่จะรับคำสั่ง และหน้าที่รับผิดชอบ แม้ว่าการทำดีที่สุดจะไม่ได้ให้ผลอย่างที่ต้องการ

ความคาดหวังของผู้จัดการหรือเพื่อนร่วมงาน พวกเขาอาจบอกตรง ๆ ว่างงานที่ทำยังไม่ดีพอ หรืออาจไม่พูดอะไร แต่จะพบว่างานถูกแก้ไขจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม จงใส่ใจกับความเห็นตอบกลับของผู้อื่น ปรับวิธีการและไม่ย่อท้อ หากวิธีนี้ไม่ได้ผลและดูเหมือนพวกเขายังไม่พอใจ ให้ขอคุยกับพวกเขา และอย่าน้อยใจกับความเห็นหรือคำวิพากษ์วิจารณ์ จงยอมรับ เปิดใจกว้าง ทุกบาดแผลที่ได้รับจะทำให้เติบโตขึ้น

จงอย่าทำผิดพลาดด้วยการมัวแต่อิ่มอกอิ่มใจกับความสำเร็จ เพราะมันจะทำให้รู้สึกย่ามใจ ทุก 2-3 สัปดาห์ให้ถามผู้จัดการว่า ต้องการให้ทำอะไรเพิ่มหรือไม่ หากไม่ก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้แน่ใจว่าคอยมองหาประสบการณ์ และพัฒนาทักษะใหม่ ๆ เพิ่มอยู่เสมอ แน่นอนว่าสามารถพักเอาแรงสักครู่หากทุกอย่างลงตัว และรู้สึกพอใจกับมัน จงอย่าอิ่มเอมอยู่ในเขตสบายนานเกินไป ไม่มีอะไรดีไปกว่าการล้มตัวลงนอนในตอนกลางคืน โดยรู้ว่าได้ทำดีที่สุดแล้วในวันนั้น หรือได้เอาชนะความท้าทายสำคัญ ซึ่งทำให้มีความรู้สึกว่าได้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย และคนจะมองเห็นแน่นอน

โอกาสและการสร้างความโดดเด่น ใช่ว่าทุกโอกาสในการสร้างความโดดเด่นประทับใจจะปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างชัดเจน โอกาสอาจเป็นเหมือนเพชรในตม ซึ่งจะค้นพบได้จากการทำงานหนัก การเปิดใจกว้าง และความมุ่งมั่นในการมองหาประสบการณ์ใหม่ ๆ เท่านั้น เมื่อทำงานกุญแจสำคัญคือ อย่าทำให้คนมองว่าจำกัดตัวเองอยู่กับหน้าที่หรือตำแหน่งเท่านั้น ความกดดันของงานในแต่ละวัน และงานมากมายที่มีอยู่แล้ว อาจทำให้อิดออดที่จะรับงานอื่นที่นอกเหนือหน้าที่

การจำกัดตัวเองจะรั้งไว้ไม่ให้ก้าวหน้าในชีวิตการทำงาน จงขจัดความกลัวทิ้งจากความคิด โดยตระหนักว่าผลเสียของการปฏิเสธโอกาสอยู่เสมอนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายกว่ามาก จะทำลายความมั่นใจในตัวเอง ทำให้ทักษะแคบลง จำกัดความสามารถในการเชื่อมโยงกับคน และประสบการณ์ใหม่ ๆ ผู้นำล้วนถูกกล่อมเกลาขึ้นจากประสบการณ์ทั้งที่ดีและไม่ดี เพราะฉะนั้นถ้าต้องการเป็นผู้นำ จงกระโจนเข้าหาโอกาสที่ผ่านเข้ามา และจัดการกับความกลัว ในที่สุดมันจะกลายเป็นนิสัย

วิธีหาโอกาสและเปล่งประกาย วิธีที่ดีที่สุดในการคว้าโอกาสและเปล่งประกาย ไม่ว่าจะในหน้าที่การงานปัจจุบัน หรือเมื่อหางานใหม่ ต้องมีความสามารถในการมองเห็นโอกาส มีความยืดหยุ่น สามารถลุกขึ้นได้เมื่อล้มเหลว และพร้อมที่จะทำงานหนัก ในการเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประโยชน์

จงเป็นคนของสาธารณะ จงให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาทำ และหาเวลาในการทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อมของพวกเขา

เป็นผู้ที่คนเข้าหา จงพยายามสร้างความไว้วางใจและความเชื่อมั่น จงเป็นคนที่คนจะเข้ามาพูดคุยเพื่อทดสอบไอเดียหรือเล่าถึงปัญหา มิตรภาพที่แท้จริงจะเปิดประตูสู่โลกใหม่

ใช้เวลาในการวิเคราะห์ ทำไมคือคำถามที่ดีที่สุดที่จะถามได้ จะสามารถค้นพบโอกาสมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ หากให้เวลาตัวเองในการคิดหาว่าทำไมสิ่งต่าง ๆ จึงเป็นอย่างที่มันเป็น พยายามหาคำตอบที่เป็นไปได้ว่า จะสามารถปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้นอย่างไร

ไม่ต้องรอให้เอ่ยปาก ผู้ที่ยินดีพูดถึงความคิด ไอเดีย หรือโครงการริเริ่มใหม่ ๆ ให้ฟังโดยที่ไม่ต้องเอ่ยปากขอ แม้พวกเขาจะไม่ได้รับการตอบสนองอย่างที่ต้องการทุกครั้ง แต่จะมีโอกาสใหม่ ๆ ให้กับพวกเขาในไม่ช้าก็เร็ว

ประโยชน์ไม่คาดฝันจากการพบกันโดยบังเอิญ จงให้ความสนใจกับผู้คน ไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

คิดนอกกรอบ เมื่อมองหางานใหม่ ให้พิจารณาวิธีที่ใช้ติดต่อกับนายจ้าง ยังมีวิธีใดบ้างหรือไม่ จงใช้ความเป็นเอกลักษณ์ทำให้โดดเด่นขึ้นมา

การปฏิเสธ หนึ่งในอันตรายของการเป็นพนักงานน้องใหม่ไฟแรงก็คือ การที่เพื่อนร่วมงานบางคนมักจะใช้ประโยชน์จากความกระตือรือร้น ที่จะเอาอกเอาใจคนด้วยการขอให้สละเวลาทำงานมากขึ้น หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจะพบว่า กำลังตกอยู่ในความคาดหวัง และแรงกดดันในการทำงาน ที่นอกเหนือจากงานที่ผู้จัดการโดยตรงมอบหมายให้ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ การรับงานมากเกินไปและไม่สามารถทำให้สำเร็จ เพราะฉะนั้นจงหลีกเลี่ยงการสร้างความคาดหวังแบบผิด ๆ ในทุกกรณี การเป็นลูกทีมที่กระตือรือร้น และให้ความร่วมมือเป็นสิ่งสำคัญก็ตาม แต่ในที่สุดจะต้องมีเวลาที่ต้องเรียนรู้ที่จะพูดว่าไม่บ้าง

การปฏิเสธโดยไม่ให้เสียน้ำใจ การปฏิเสธคำขอของเพื่อนร่วมงาน โดยไม่ถูกมองว่าไม่ให้ความร่วมมือ หรือเป็นตัวปัญหาเป็นเรื่องยาก ตัวอย่างเหตุการณ์ 3 แบบที่จะเป็นประโยชน์มีดังนี้

เมื่อคำขอมาจากคนในระดับเดียวกันหรือเหนือกว่า การปฏิเสธไม่ใช่การตอบสนองที่พึงปรารถนา ดังนั้น จึงต้องมีเหตุผลที่ดีว่า ทำไมจึงไม่สามารถทำงานนั้น ๆ ให้พูดกับพวกเขาด้วยความสุภาพแต่หนักแน่นว่า ขณะนี้กำลังทำอะไร งานนั้นมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างไร และผู้สั่งที่กำลังรองานอยู่คือใคร หากถูกขอโดยไม่ทันตั้งตัวให้บอกว่า ขอเช็คตารางงานหรือถามผู้จัดการโดยตรงก่อนว่ารับได้หรือไม่เพื่อความแน่ใจ คนขอจะมีปฏิกิริยาต่างกันไป พวกเขาอาจโกรธหรือทำให้รู้สึกละอายใจ แต่จงหนักแน่นและทำให้ได้ นี่คือบททดสอบหนึ่งที่จะต้องเรียนรู้

เมื่อคำขอมาจากผู้อยู่ในตำแหน่งอาวุโส เวลาที่คนในตำแหน่งอาวุโสแต่ไม่ใช่เจ้านายโดยตรงขอให้ทำอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะมีงานที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว หรือมีเส้นตายส่งงานกระชั้นชิดเพียงใดก็ตาม ให้ฟังอย่างถี่ถ้วน เพราะอาจต้องทำงานนั้น อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงก็ได้ อย่างไรก็ตามจะต้องบอกกับนายโดยตรง เพื่อเขาจะได้รู้ว่างานที่ได้รับมอบหมายอยู่ก่อน อาจจะเสร็จช้าลง หากเจ้านายโดยตรงมีปัญหากับคำขอ ก็เป็นหน้าที่ของเขาที่ต้องจัดการ

หากคนขอให้ทำงานที่ไม่เห็นด้วย สิทธิในการปฏิเสธเป็นสิ่งที่ลงทุนลงแรงเพื่อจะได้มา ความหมายก็คือยิ่งมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีกิตติศัพท์ว่าเป็นเพื่อนร่วมทีมที่มีค่า ทำให้เพื่อนร่วมงานให้ความเคารพ และรับฟังความคิดเห็นมากขึ้น ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้ามีเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่า งานนั้นมีปัญหาให้เสนอแนะทางเลือกอื่นอย่างสร้างสรรค์

วิธีการปฏิเสธในที่ทำงาน การปฏิเสธคนเป็นสิ่งที่ไม่เคยสอนกันในมหาวิทยาลัย และไม่ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่สามารถทำได้โดยธรรมชาติ ในที่ทำงานโดยทั่วไปแล้ว คนเรามักจะต้องการเอาอกเอาใจ หรือทำให้ผู้อื่นพึงพอใจ ดังนั้นจึงมักจะตอบตกลงกับสิ่งที่บางครั้งควรจะปฏิเสธ ต่อไปนี้คือวิธีที่จะช่วยได้

เข้าใจว่าทำไมการปฏิเสธจึงเป็นเรื่องยาก ปกติแล้วคนเราจะไม่ต้องการให้คนมองว่าหยาบคาย ขวางโลก ไม่ให้ความร่วมมือ บางครั้งอาจตอบตกลงเพราะไม่อยากทำให้คนโกรธ หรือเพื่อความสงบสุขในที่ทำงาน แต่การทำเช่นนี้อาจกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีได้ ในการเป็นมืออาชีพจะต้องถามตัวเองว่า อะไรแย่กว่ากันระหว่างการตอบตกลงซึ่งอาจทำให้มีงานมากขึ้นจนไม่สามารถจัดการได้ หรือการตอบปฏิเสธซึ่งอาจทำให้คนโกรธ ยิ่งมีประสบการณ์มากเท่าใด คำตอบก็จะยิ่งชัดเจนขึ้นเท่านั้น

สร้างชื่อเสียง ต้องพิสูจน์ให้คนรอบข้างเห็นว่า เป็นคนมีศีลธรรมจรรยาในการทำงาน ก่อนที่จะสามารถพูดปฏิเสธได้อย่างสบายใจ ยิ่งตอบตกลงมากเท่าใดในตอนแรก ในที่สุดจะสามารถปฏิเสธได้มากขึ้นเท่านั้น

ทำความเข้าใจว่าพวกเขาต้องการอะไรกันแน่ จงอย่าปฏิเสธโดยให้เหตุผลเพียงว่ามีงานยุ่งมาก ควรถามเพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่า ต้องทำอะไรบ้าง ถ้าจำเป็นให้ขอเวลาสำหรับคิด และจะตอบกลับหลังจากที่ทบทวนสถานการณ์ดูแล้ว

เสนอทางเลือก เมื่อไม่สามารถรับงานได้ ให้พยายามหาทางอื่นในการช่วยแก้ปัญหาของผู้ขอ อาจเสนอรับแค่บางส่วนก็ได้

จำไว้ว่าทีมงานมีประโยชน์ บางทีทีมงานหรือเพื่อนร่วมงาน อาจต้องการโอกาสทำงานพิเศษนั้น เพื่อแสดงฝีมือก็ได้ ลองถามพวกเขาดู ถ้าพวกเขาต้องการอาจเสนอตัวแทนให้กับผู้ที่ขอความช่วยเหลือก็ได้

สื่อสาร การสื่อสารอย่างชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญในทุกด้านของชีวิต รวมทั้งตอนที่ต้องปฏิเสธใครบางคนด้วย

อย่าท้าทาย ไม่ว่าจะหงุดหงิดกับคำขอของคนเพียงใดก็ตาม จงควบคุมสติอารมณ์เสมอ  จงคิดก่อนพูด เมื่อตอบจงควบคุมน้ำเสียงไม่โพล่งเสียงดัง หรือกรอกตาด้วยความเบื่อหน่าย ภาษากายคือความจริงที่คนจะเห็น

ปฏิเสธด้วยตัวเอง ในโลกทุกวันนี้ มักจะได้เห็นการสื่อสารแบบหลบหน้า ด้วยอีเมลหรือการส่งข้อความตรง หลีกเลี่ยงการทำเช่นนี้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความพยายามในการหาโอกาสที่จะพูดกับเขาตรง ๆ ด้วยตัวเอง เป็นการส่งสาสน์ที่จริงใจแบบมืออาชีพ

เมื่อไหร่ที่ได้เวลาออกจากงาน ทราบได้อย่างไรว่า ถึงเวลาแล้วที่ควรออกจากงาน คำแนะนำคือออกเมื่อรู้สึกว่าไม่ได้เรียนรู้ พัฒนา และไม่ได้รับประสบการณ์ใหม่จากงานอีกแล้ว นี่ควรจะเป็นเหตุผลสำคัญของการตัดสินใจ และเป็นปัจจัยหลักเบื้องต้นที่ผลักดันให้ออกจากงาน ควรลาออกเมื่อได้เรียนรู้งานนั้นอย่างถ่องแท้ และทำได้อย่างดีมากแล้ว เมื่อได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ซึ่งเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้กับคนบางคนแล้ว และเมื่อรู้สึกชอบงานแล้ว อย่างน้อยในระดับหนึ่ง นี่คือสิ่งสำคัญมาก

เมื่อไหร่ที่แรงดึงกลายเป็นแรงผลัก ต่อไปนี้คือแรงผลัก 3 แรงที่อาจคิดว่าเป็นแรงดึง

รู้สึกปลอดภัย การมีความสุขกับการทำงานเป็นสิ่งที่ยอดมาก แต่ไม่ควรอยู่ต่อเพียงเพราะรู้สึกปลอดภัย การหางานที่อยู่นอกเขตสบายเป็นที่ที่ปลอดภัยกว่า และยังจะทำให้รู้สึกพึงพอใจมากกว่าด้วย

ได้เงินดี การได้เงินเดือนดีเป็นความรู้สึกที่เยี่ยมยอดเสมอ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มทำงานครั้งแรก อย่างไรก็ตามไม่เห็นด้วยถ้าบอกว่า การได้เงินเดือนดี ๆ เป็นแรงกระตุ้นที่คุ้มค่า ในการเกาะติดกับงานใดงานหนึ่ง เงินควรจะเป็นเพียงผลที่ได้จากการทำงาน แต่ไม่ควรเป็นแรงกระตุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยังหนุ่มยังสาว หรือยังไม่มีภาระทางการเงิน

ชอบเพื่อนร่วมงาน การได้ทำงานกับคนดี ๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่การเรียนรู้จากงานควรมาก่อนมิตรภาพกับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน จงแน่ใจว่าลาออกด้วยเหตุผลที่ดีในระดับการงาน จงแน่ใจว่าออกอย่างมีศักดิ์ศรี และด้วยมารยาทที่ดี

เมื่อไหร่ที่ถึงเวลาออกจากงาน หากกำลังตัดสินใจที่จะออกจากงาน ลองพิจารณาถึงคำแนะนำต่อไปนี้

รู้ว่าอะไรที่ไม่ชอบ การรู้ว่าอะไรที่ไม่ชอบในงาน จะช่วยให้ตัดสินใจว่าควรออกจากงานหรือไม่ อาจเป็นเพราะหน้าที่รับผิดชอบบางอย่างที่ไม่ชอบ วัฒนธรรมขององค์กร หรือผลประโยชน์ที่ได้จากงาน เมื่อทราบแล้วจะสามารถชั่งน้ำหนัก และตัดสินใจได้ดีขึ้น

ยังมีโอกาสพัฒนาต่อไปหรือไม่ หลังจากสามารถระบุเหตุผลที่ต้องการลาออกแล้ว ให้ลองชั่งน้ำหนักของเหตุผลกับคำถาม เช่น ได้เรียนรู้อะไรบ้างจากงาน คำตอบจะบอกว่าควรลาออกตอนนี้ หรือควรรออีกนิด

จงแก้ไขหากออกเพราะมีเรื่องที่ไม่พอใจเพียงข้อเดียว หากต้องการออกจากงานเพราะปัญหาอย่างเดียวที่อยู่เหนือการควบคุม อย่าออกจนกว่าได้จัดการกับมันจนเป็นที่พอใจแล้ว หรือได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว ควรจัดการกับข้อขัดแย้งในที่ทำงานก่อนจะเดินหน้าต่อไป อาจต้องพบกับปัญหาแบบเดียวกันนี้ ซึ่งจะผุดขึ้นอีกตลอดชีวิตการทำงานก็ได้ จำไว้ว่าการสร้างความสุข และการยอมรับงานที่บางครั้งไม่ชอบเป็นสิ่งสำคัญ

โทรหาคนในครอบครัวหรือเพื่อน เมื่อมีปัญหาในที่ทำงาน บางครั้งเพื่อนหรือคนในครอบครัวจะสามารถให้มุมมองใหม่ได้

มองภาพรวม สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้เสมอ ทุกครั้งที่เจอความยากลำบากคือ ถอยออกมาและมองว่ามันเป็นแค่งานหนึ่งเท่านั้น มันไม่ใช่สิ่งที่กำหนดตัวตนในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นจงอย่าปล่อยให้มันทำให้รู้สึกแย่ จงมองภาพรวมและคงทัศนคตินี้ไว้

พยายามอีกหน่อย หากพบว่าไม่สนุกกับงานที่ทำ ควรจะทำต่อไปจนกว่าจะรู้สึกดีกับมัน ลาออกต่อเมื่อเป็นผู้ชนะแล้วเท่านั้น

คิดถึงการสัมภาษณ์ครั้งต่อไปเสียแต่ตอนนี้ นายจ้างคนต่อไปจะต้องถามถึงเหตุผล ที่ลาออกจากงานล่าสุดอย่างแน่นอน ต้องจัดการกับสถานการณ์และสัมพันธภาพ เพื่อจะสามารถตอบคำถามดังกล่าวด้วยความมั่นใจ และตรวจสอบได้

ภาคที่ 5

เส้นทางสู่การเป็นผู้นำ

ทุกวันที่ทำงานคือ ก้าวสำคัญอีกก้าวในเส้นทางสู่การเป็นผู้นำ แม้หลายประสบการณ์จะดูเหมือนไม่สลักสำคัญในตอนนั้นก็ตาม แต่มันจะเป็นส่วนหนึ่งที่กล่อมเกลาความเป็นผู้นำในอนาคต หากไม่มีความรักในสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแท้จริงไม่เป็นไร นี่เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเป็นเช่นนั้นให้มุ่งกับการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่มีประโยชน์ โดยเริ่มต้นจากนิสัยในการค้นหา สิ่งที่รักที่จะทำอย่างแท้จริง หากพยายามมากพอจะได้พบในที่สุด

ถ้ารู้ว่าสิ่งที่รักหรือหลงใหลคืออะไร จงทำความเข้าใจกับมันอย่างถ่องแท้ และมีความกล้าที่จะรวมมันเข้ามาในเส้นทางการทำงาน หรือตั้งต้นไล่ล่ามันโดยตรงทันที ซึ่งหากเลือกที่จะทำเช่นนั้น เชื่อว่าการมุ่งสู่ความเป็นผู้นำจะก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ ด้วยตัวของมันเอง เพราะว่านั่นคืออาชีพที่รัก

การเป็นผู้นำเป็นสิ่งที่เป็นส่วนตัว จะสร้างชื่อเสียงด้วยวิธีของตนเอง อย่างไรก็ตาม แต่ยังมีของคนอื่น ๆ ที่สามารถให้ข้อคิดที่ชาญฉลาด และประสบการณ์ที่ได้มาอย่างยากเย็นด้วย

สร้างความมั่นใจในตัวเองในฐานะผู้นำ ความมั่นใจเป็นวินัยอย่างหนึ่ง ความมั่นใจก็คือการค้นหาความเชื่อภายในใจว่า สามารถจัดการกับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยรู้ว่ายังไงโลกก็ไม่สิ้นสูญ ถ้าทำผิดพลาด หรือไม่บรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ ความมั่นใจเป็นสภาพทางจิต ที่สามารถปลูกฝังจากประสบการณ์ต่าง ๆ เคล็ดลับก็คือการสร้างนิสัย กล้าเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบาก เมื่อมีการฝึกฝนเพียงพอ การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ลำบากก็จะเหมือนกับการนั่งดูหนังซ้ำ ประโยชน์ที่จะได้จากการจัดการกับสถานการณ์ลำบากก็คือ จะรู้วิธีในการจัดการกับมัน เพราะเคยทำมาก่อน และได้เรียนรู้แล้ว ปัญญามาจากประสบการณ์ที่สะสมกันมา ดังนั้น การเริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จึงเป็นสิ่งที่มีเหตุผล

สรุป

ชีวิตที่ยิ่งใหญ่

ปัญหาในทุกวันนี้ก็คือ คนเราพูดเรื่องการสอน หรือให้คำแนะนำมากมาย ซึ่งไม่ตรงกับสิ่งที่ทำกันในโลกธุรกิจเลย จะสามารถนำสิ่งที่สอนในชั้นไปใช้ในสิ่งที่เรียกว่าโลกความจริงได้อย่างไร ซึ่งสามารถฝันถึงชีวิตที่ยิ่งใหญ่ ชีวิตในแบบที่ต้องการ ทำในสิ่งที่รัก และเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย จะต้องมีความตั้งใจที่แน่วแน่ ความไม่ย่อท้อ และความเต็มใจที่จะยืดอกรับ สิ่งที่ไม่ปรารถนาตามทาง ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ยากลำบาก หรือน่าลิงโลดเพียงใดก็ตาม จงเป็นตัวตนที่จริงแท้

จงทำให้ทุกความผิดที่ทำมีความหมาย บังคับให้ตัวเองหัวเราะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก ปัญหาทุกอย่างจะดูเล็กลงกว่าที่มันเป็นอยู่เมื่อเวลาผ่านไป จงสร้างความมั่นใจหล่อเลี้ยงมันไว้ จากนั้นก็ช่วยคนอื่นสร้าง จงอย่าละทิ้งความมั่นใจ แม้ในยามที่คนบางคนอาจเสื่อมศรัทธาลงบ้าง สามารถปะติดปะต่อความสัมพันธ์ขึ้นใหม่ได้ ตราบใดที่เปิดใจกว้าง และมองโลกในแง่ดี

จะต้องมีความสุขกับการเดินทางของตัวเองก่อน จึงจะช่วยคนอื่นได้อย่างแท้จริง พูดก็คือบางทีอาจต้องเห็นแก่ตัวเสียก่อน ก่อนที่จะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับคนอื่นได้อย่างแท้จริง บ่อยครั้งที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นได้อย่างแท้จริง ต่อเมื่อเข้าใจในคุณค่าของตัวเองก่อนเท่านั้น จุดประสงค์ในที่นี้ก็คือ การรู้สึกสบายกับการเป็นตัวของตัวเอง นี่คือเป้าหมายที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง

จงเต็มใจที่จะขึ้นรถไฟเหาะที่น่าตื่นเต้น หวาดเสียว ด้วยความกล้าที่จะล้มเหลว ระหว่างที่มันนำไปสู่จุดหมายปลายทาง จงตัดสินใจออกเดินทาง และท้าทายในการผจญภัยของตัวเอง เพื่อออกไปตามหาชีวิตที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว.