สรุปหนังสือ RICH DAD’S CASHFLOW QUADRANT

พ่อรวยสอนลูก 2 เงินสี่ด้าน

เส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงินที่ทุกคนใฝ่ฝัน

สั่งซื้อหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก 2 เงินสี่ด้าน” (คลิ๊ก)

คำนำ

เป้าหมายชีวิตคืออะไร

ที่จริงเราสามารถค้นพบคำตอบของคำถามนี้ได้ ด้วยแนวคิดที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ผ่านคำสอนของพระเวียดนามรูปหนึ่งท่าน ติช นัต ฮันน์ ท่านบอกว่าเส้นทางก็คือจุดหมาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การค้นหาเส้นทางของตัวเองก็คือการค้นหาเป้าหมายในชีวิต เส้นทางไม่ใช่อาชีพที่เป็น ไม่ใช่จำนวนเงินที่หาได้ ไม่ใช่ตำแหน่ง และไม่ใช่ความสำเร็จหรือความล้มเหลว การค้นหาเส้นทางของตัวเองหมายถึง การค้นหาว่าเกิดมาเพื่ออะไร เป้าหมายชีวิตคืออะไร มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร และอะไรคือสิ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของตัวเอง

หนังสือเล่มนี้ เป็นหนังสือที่สำคัญมากเล่มหนึ่งซึ่งได้กล่าวถึงการค้นหาเส้นทางของตัวเอง คนเราจะค้นพบเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ การที่จะพัฒนาคนคนหนึ่ง จำเป็นต้องพัฒนาทั้งในด้านความคิด ร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณไปพร้อม ๆ กัน เด็กที่เรียนเก่งในโรงเรียนหลายคนทำไมถึงล้มเหลวในชีวิต ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะโรงเรียน หรือการศึกษาตามแบบแผนนั้น สอนแค่เรื่องการพัฒนาความคิดเบื้องต้นเท่านั้น

การศึกษาที่ใช้อยู่สร้างสภาวะแวดล้อมที่ดีสำหรับเด็กเรียนเก่ง การศึกษาตามแบบแผนทำลายจิตวิญญาณ แต่กลับส่งเสริมและกระตุ้นความกลัวให้มีมากขึ้น โดยเฉพาะความกลัวต่อการทำผิด ความกลัวต่อความล้มเหลว และความกลัวที่จะให้มีงานทำ การศึกษาแบบนี้ปลูกฝังให้กลายเป็นลูกจ้างในด้าน E และ S โรงเรียนไม่ได้ไม่ใช่สถานที่สำหรับคนที่ต้องการเป็น B และ I

วิธีค้นหาตัวเอง เส้นทางของชีวิตมักไม่ได้เกิดจากการคิด อ่าน แต่เส้นทางของชีวิตมักถูกค้นพบโดยจิตใจของตัวเราเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนเราจะไม่มีทาง พบกับเส้นทางของตัวเองด้วยระบบการศึกษาตามแบบแผน เพราะจะว่าไปก็มีหลายคนที่ทำได้ และค้นพบเส้นทางของตัวเองตั้งแต่สมัยยังอยู่ในโรงเรียน แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่พบกับเส้นทางของตัวเองด้วยกระบวนการศึกษาแบบเดิม

ทำไมเส้นทางชีวิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ทำงานหาเงินได้เยอะแต่เกลียดงานของตัวเอง ที่แย่กว่านั้นก็คือ คนบางคนหาเงินได้น้อยแถมยังเกลียดงานของตัวเองอีก คนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ทำงานเพื่อเงินด้วยกันทั้งนั้น นี่คือจุดอ่อนของระบบการศึกษาตามแบบแผน คนนับล้านที่เรียนจบจากโรงเรียน กลายเป็นคนที่ต้องติดอยู่ในกับดักของงานที่พวกเขาไม่ชอบ พวกเขารู้ดีว่ามีบางสิ่งบางอย่างหายไปจากชีวิตของพวกเขา คนจำนวนมากติดอยู่ในกับดักทางการเงิน หาเงินได้เพียงแค่พอเลี้ยงชีวิตรอด อยากทำเงินให้ได้มากขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ด้วยเหตุที่ไม่เคยตระหนักถึงชีวิตในด้านอื่น คนส่วนใหญ่เลือกที่จะกลับไปเรียนต่อ และมองหาอาชีพใหม่ หรืองานใหม่ที่ให้เงินเดือนเพิ่มขึ้น ในด้าน E และ S โดยไม่เคยคิดถึงโลกของ B และ I ที่อยู่อีกด้านหนึ่งเลย

การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมันไม่ใช่การทำงานหนักในด้านความคิดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยความแข็งแกร่งทางด้านอารมณ์และจิตวิญญาณด้วย การพัฒนาด้านอารมณ์และจิตวิญญาณ สองสิ่งนี้คือตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ตัวอย่างเช่น บอกคนอ้วนว่าจงกินให้น้อยลง และออกกำลังให้มากขึ้น การควบคุมน้ำหนักและการออกกำลังกายถึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่คนอ้วนก็ต้องการเติมเต็มความว่างในอารมณ์และจิตใจ เมื่อคนกลุ่มนี้เข้าโปรแกรมการควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกาย มันจึงเป็นเพียงความพยายามในด้านความคิดและร่างกายเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการพัฒนาเรื่องของอารมณ์และจิตใจเลย จึงทำให้พวกเขาทนได้ชั่วคราว สุดท้ายก็จะกลับมามีน้ำหนักตัวมากกว่าตอนเริ่มลดและควบคุมอาหารเสียอีก

ทำไมนักเรียนเกรด A ถึงล้มเหลว คนเราสามารถพัฒนาความคิดให้สูงขึ้นได้ แต่หากว่าเขาไม่ได้รับการฝึกฝนด้านอารมณ์ พวกเขาจะไปได้ไม่ไกล เพราะความกลัวจะคอยหยุดยั้งพวกเขาไม่ให้ทำในสิ่งที่ต้องทำ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้นักเรียนเกรด A จำนวนไม่น้อย เป็นอัมพาตทางการคิดวิเคราะห์ กล่าวคือได้แต่ศึกษาลงลึกในรายละเอียดแต่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง มีสาเหตุมาจากระบบการศึกษาที่ลงโทษนักเรียนที่ทำผิด คนที่ไม่ทำความผิดหรือผิดน้อยที่สุด ก็คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย และคนที่มักทำผิดก็คือคนที่พยายามที่จะลองเรียนรู้เพื่อเอาชนะเกมของชีวิต หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เหตุผลคนส่วนใหญ่ยังไม่ประสบความสำเร็จก็เพราะ พวกเขายังล้มเหลวมากไม่พอ

การค้นพบเส้นทางของตัวเองอาจไม่ใช่เรื่องง่าย คนเรามีเรื่องต้องสูญเสียตลอดเวลา และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้อะไรกลับคืนมา เมื่อเราสูญเสียมันไปแล้ว แต่ถ้ารู้สึกว่าด้านที่อยู่นั้นไม่ใช่ด้านที่เหมาะสม หรือเส้นทางที่คุณกำลังเดินนั้นไม่ใช่เส้นทางที่ชีวิตอยากเป็น แนะนำให้ลองฟังเสียงหัวใจตนเอง และลองมองหาเส้นทางชีวิตที่เหมาะสม คำพูดเหล่านี้คือตัวชี้วัดว่า น่าจะได้เวลาที่ออกตามหาตัวเองแล้ว เช่น ฉันเหมือนต้องทำงานกับคนที่ตายแล้ว ฉันรักงานของฉันแต่ฉันอยากได้เงินมากกว่านี้ ฉันอยากให้ถึงวันหยุดเร็ว ๆ จัง ฉันอยากมีอะไรที่เป็นของตัวเองบ้าง ถึงเวลาเลิกงานหรือยัง เป็นต้น

บทนำ

อยู่ด้านไหนของเงิน 4 ด้าน

เงิน 4 ด้าน

ในโลกทางการเงินเราสามารถแบ่งคนออกเป็น 4 กลุ่ม ตามวิธีการสร้างรายได้ ทุกคนล้วนอยู่ในด้านใดด้านหนึ่งของเงินสีด้านด้วยกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับว่ารายได้มาจากอะไร หากเป็นมนุษย์เงินเดือนคือลูกจ้างอยู่ทางฝั่งซ้าย คนอีกกลุ่มที่อยู่ฝั่งซ้ายเช่นเดียวกับลูกจ้างก็คือคนทำธุรกิจขนาดเล็กหรือประกอบอาชีพอิสระ ส่วนด้านขวาเป็นด้านของคนที่มีรายได้จากการเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นนักลงทุน เงิน 4 ได้เป็นวิธีการแบ่งคนออกเป็น 4 กลุ่มตามรูปแบบรายได้ที่พวกเขาได้รับ คนทั้ง 4 กลุ่มนี้มีลักษณะนิสัยและความคิดทางการเงินที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในยุคของข้อมูลข่าวสาร ยุคที่ความรวดเร็วของข่าวสารทำให้ทุกคนมีโอกาสประสบความสำเร็จในทางการเงินได้มากขึ้น คนที่มีความรู้ความชำนาญจากการเป็นเจ้าของธุรกิจและนักลงทุนเท่านั้น ที่จะสามารถมองเห็นโอกาสที่ว่านี้ได้ หากต้องการพบความสำเร็จในยุคนี้คงจำเป็นต้องมีข้อมูลทั้ง 4 ด้าน

ตอนที่ 1 เงินสี่ด้าน

บทที่ 1 ทำไมไม่หางานทำ

ตอนปี 1985 ผู้เขียนกับภรรยาตกอับถึงขั้นไม่มีบ้านอยู่ งานก็ไม่มีทำ เงินก็มีเหลือติดบัญชีอยู่เล็กน้อย ส่วนบัตรเครดิตก็ใช้เต็มวงเงินจนหมด หลังจากนั้น 2 สัปดาห์เพื่อนคนหนึ่งทราบเธอจึงยื่นมือเข้ามาช่วย ด้วยการชวนไปอาศัยอยู่ในห้องใต้ถุนบ้านของเธอ อาศัยอยู่ในที่นั่นนานถึง 9 เดือน จนวันหนึ่งญาติรู้ข่าวจึงถามว่า ทำไมไม่หางานทำ เมื่อคิดถึงเป้าหมาย ความมั่นคงของงานไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ และนั่นคือแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ใช้ชีวิตผ่านแต่ละวันไปได้ ตระหนักอยู่เสมอว่ากำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออะไร แถมยังมีความไม่แน่ใจอยู่บ้างว่าจะไปถึงจุดหมายได้หรือไม่

จนกระทั่งปี 1989 จึงได้กลายเป็นเศรษฐี หลายคนพูดว่าประสบความสำเร็จทางการเงินแต่บอกได้เลยว่านี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ฝัน ในปี 1994 เป็นปีที่ไม่ต้องทำงานอีกเลย แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะเป็นอย่างไร ทั้งสองคนมีอิสรภาพทางการเงิน

ไม่จำเป็นต้องใช้เงินต่อเงิน ปริญญาอาจเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการประกอบอาชีพในสมัยก่อน แต่ในปัจจุบันคนเหล่านี้ร่ำรวย และประสบความสำเร็จด้วยการเป็นเจ้าของกิจการ ที่พวกเขาสร้างขึ้น ถ้าไม่ใช้เงินแล้วต้องใช้ความฝัน ความมุ่งมั่น ความพร้อมที่จะเรียนรู้ และความสามารถในการใช้สมองอย่างชาญฉลาด รวมไปถึงการรู้ว่าจะทำเงินได้ดีที่สุด จากด้านไหนของเงิน 4 ด้าน รายได้มาจากด้านไหนของมัน

เงิน 4 ด้านหมายถึงรายได้จากการทำงาน 4 ประเภท ถ้ามีรายได้จากการรับเงินเดือนคือลูกจ้าง ถ้ามีรายได้จากการทำงานให้ตัวเองคือผู้ประกอบอาชีพอิสระ ถ้ามีรายได้จากกิจการที่เป็นเจ้าของคือเจ้าของธุรกิจ ถ้ามีรายได้จากการลงทุนหรือใช้เงินทำเงินให้มากขึ้นคือนักลงทุน เงินที่ได้จากแต่ละด้านนั้นต้องใช้วิธีคิดและวิธีการที่แตกต่างกัน แม้จะเป็นคนคนเดียวกัน เมื่อต้องอยู่ในด้านที่แตกต่างออกไป วิธีคิดก็จะเปลี่ยนไป ซึ่งทุกคนสามารถหาเงินได้จากทั้ง 4 ด้าน

ทุกคนมีความสามารถที่จะหารายได้จากช่องทางใดก็ได้ใน 4 ประเภทนี้ การที่เราเลือกยึดอาชีพใดอาชีพหนึ่งเป็นแหล่งสร้างรายได้หลัก ไม่ใช่เพราะพื้นฐานการศึกษาได้จากโรงเรียน แต่เป็นเพราะตัวตน อุปนิสัย ค่านิยม จุดแข็ง จุดอ่อน ความสนใจที่ประกอบกันขึ้น สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้เลือกมีรายได้จากแหล่งที่แตกต่างกัน เช่น แพทย์อาจมีรายได้หลักจากการเป็นลูกจ้างโรงพยาบาลเอกชน เขายังอาจมีรายได้จากการประกอบอาชีพอิสระ ด้วยการเปิดคลินิกที่บ้านหลังเลิกงานและวันหยุด คนนี้อาจจะชอบเป็นเจ้าของกิจการโดยอาจสร้างโรงพยาบาลเล็ก ๆ ขึ้นแล้วจ้างแพทย์ พยาบาล และพนักงานอื่น ๆ มาประจำเพื่อทำงานแทน และคนนี้ต้องการเป็นนักลงทุนเขาก็สามารถหาเงินได้จากการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ซื้อที่ดิน บ้าน ทรัพย์สินต่าง ๆ วิธีการสร้างรายได้ที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการหารายได้ด้วยวิธีการไหนก็ตาม สิ่งที่เป็นตัวกำหนดก็คือค่านิยมหลัก จุดแข็ง จุดอ่อน และความใส่ใจที่อยู่ในตัวเราทุกคน ทั้ง 4 ด้านมีทั้งคนรวยและคนจน ไม่ว่าจะเลือกอาชีพไหน หรือมีรายได้จากทางใด จงจำไว้ว่ามีโอกาสที่จะได้เป็นทั้งคนรวยและคนจนอยู่เสมอ แต่ละทางไม่จำเป็นต้องเท่ากัน เมื่อเข้าใจความแตกต่างของแต่ละด้าน จะรู้ได้ทันทีว่าด้านใดที่เหมาะที่สุดสำหรับตัวเอง

วิธีหารายได้ที่ต่างกัน เงินเป็นสิ่งสำคัญแต่คงไม่ต้องการทำงานเพื่อเงินไปตลอดชีวิต ต้องการใช้เงินให้ทำงานหนักแทน ไม่ต้องตกเป็นทาสของเงินไปตลอดชีวิต เพราะเหตุนี้เงิน 4 ด้านจึงสำคัญ เพราะมันช่วยแยกแยะวิธีให้เงินทำงาน ออกจากวิธีการทำงานเพื่อเงินได้อย่างชัดเจน ชีวิตคนเรานั้นสำคัญกว่าเงิน แต่เงินเป็นเครื่องช่วยสนับสนุนชีวิตให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย ชีวิตคนเราไม่ได้มีเวลามากมายเท่าไหร่นัก ทำไมจึงต้องเสียเวลาทั้งชีวิตทำงานเพื่อเงิน ทำไมไม่เรียนรู้วิธีใช้เงินและให้คนอื่นทำงานให้ จะได้มีเวลาทำอย่างอื่นที่มีความสำคัญต่อชีวิต เลือกด้านที่ต้องการจะเป็น เข้าใจว่าตัวเองชอบและไม่ชอบอะไร มีจุดแข็งจุดอ่อนตรงไหน นิสัยส่วนตัวเป็นอย่างไร และต้องตัดสินใจเลือกได้ในที่สุดว่า อยากเป็นคนในด้านไหน

แค่องศาที่แตกต่าง ความแตกต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนในแต่ละด้าน ซึ่งสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงเมื่อเวลาผ่านไป วิธีทำไม่ได้สำคัญเท่าวิธีคิด และมันไม่สำคัญว่าทำอะไร แต่มันสำคัญมากกว่าว่าคิดอะไร ในช่วงชีวิตที่ได้พบเจอกับความแตกต่างอย่างสุดขั้วของคนใน 2 ฝั่ง และเลือกทางเดินสำหรับตัวเองได้อย่างถูกต้อง มีอะไรที่มากกว่าเงิน 4 ด้าน โลกทางการเงิน 4 แบบที่แตกต่างกัน ในเงิน 4 ด้านนั้นไม่มีด้านไหนดีที่สุด และเปรียบเทียบไม่ได้ว่าด้านไหนดีกว่ากัน เพราะแต่ละด้านต่างมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง ทุกคนเมื่อโตขึ้นประสบการณ์มากขึ้นย่อมเป็นธรรมดาที่จะมีความคิดอ่านที่เปลี่ยนแปลงไป คนที่พึ่งเรียนจบใหม่ก็ย่อมต้องยินดีที่ได้มีงานทำ แต่พอทำไปได้สักพักก็อาจจะเริ่มเบื่อ และมองว่าความก้าวหน้าในงานประจำไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการ อายุและประสบการณ์ที่มากขึ้น ทำให้เริ่มมองหาเส้นทางใหม่ที่น่าจะดีกว่า ท้าทายกว่า มีความสุข และมีรางวัลตอบแทนมากกว่า

บทที่ 2 เงินแต่ละด้านคนแต่ละแบบ

วิธีตอบสนองที่แตกต่างกัน ที่ทำให้อยู่ในด้านใดด้านหนึ่งของเงินสี่ด้าน หรืออาจจะมากกว่าหนึ่งด้าน

เมื่อความกลัวที่จะเสียเงิน และความกลัวล้มเหลวทำให้เจ็บปวด และอารมณ์ที่ผูกติดอยู่กับเงินทุกคนจะตอบสนองในแบบที่แตกต่างกันออกไป และวิธีตอบสนองทำให้การตัดสินใจว่า จะสร้างรายได้จากทางไหน ถ้าอยากประสบความสำเร็จในด้านใด ๆ ก็ตามของเงิน 4 ด้าน ต้องมีมากกว่าทักษะ ต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ที่แตกต่าง ซึ่งทำให้ผู้คนมุ่งที่จะเข้าไปอยู่ในด้านใดของเงิน 4 ด้าน จงทำความเข้าใจกับมัน แล้วชีวิตจะง่ายมาก แต่การเปลี่ยนไปอยู่อีกด้านมันไม่ง่าย เหมือนกับการเปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนอาชีพ คือการเปลี่ยนแก่นแท้ของตัวเอง เป็นการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองโลก การเปลี่ยนตัวเองสำหรับบางคนทำได้ง่าย แต่บางคนนั้นยากมาก เพราะบางคนยินดีรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง เหมือนดักแด้ที่กลายเป็นผีเสื้อ ไม่ได้มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่เปลี่ยน แม้เธอจะยังคงเป็นเพื่อนกับเพื่อนเก่า ๆ ได้ แต่ดักแด้ก็ทำเหมือนที่ผีเสื้อทำไม่ได้ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาก คนจำนวนมากจึงไม่อยากที่จะทำมัน

แก่นแท้ที่แตกต่างของคนอยู่ในด้าน E, S, B หรือ I ถ้ายังไม่รู้จักเขาดีพอวิธีหนึ่งก็คือฟังสิ่งที่พวกเขาพูด ไม่ใช่แค่ฟังคำพูด แต่ฟังให้รู้ถึงแก่นแท้ของคน สิ่งที่มาจากจิตวิญญาณของเขานั่นเอง

คำพูดของคนด้าน E อาจบอกว่างานที่ปลอดภัยและมั่นคงได้เงินเดือนดี ๆ และมีสวัสดิการที่ยอดเยี่ยม แก่นแท้ที่แตกต่างกุญแจสำคัญก็คือ พวกเขาต้องการความรู้สึกมั่นคง และอยากเห็นมันเป็นลายลักษณ์อักษร ความไม่แน่นอนทำให้พวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาจะมีความสุขได้ ก็ต่อเมื่อทุกสิ่งมีความแน่นอน ไม่ได้สนใจเรื่องของเงินมากนัก ความคิดเรื่องความมั่นคงสำคัญกว่าเงินเสมอ คำว่าลูกจ้างในที่นี้อาจหมายถึงประธานบริษัทหรือภารโรงก็ได้ ทั้งนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวงานที่ทำ แต่ขึ้นอยู่กับสัญญาที่พวกเขาเซ็นกับบริษัทที่เป็นนายจ้าง

คำพูดของคนด้าน S อาจบอกว่า ค่าจ้าง ค่าคอมมิชชั่น ไม่เจอใครทำงานถูกใจเลย มีเวลาให้โปรเจ็กต์นี้มากเลยนะ  คนด้าน S ประกอบอาชีพอิสระคนกลุ่มนี้มักเอาเงินเป็นตัวตั้ง ถ้าคนด้าน S ทำงานหนักเขาก็ต้องการให้คนอื่นจ้างเงินเขาหนัก ๆ ด้วย ในทางตรงกันข้ามพวกเขาก็เข้าใจดีว่า ถ้าไม่ทำงานหนักก็ไม่สมควรจะได้รับเงินมาก ๆ ดังนั้น ถ้าเป็นเรื่องของเงิน คนด้านนี้จะมีจิตวิญญาณที่กระเหียนกระหือรืออย่างยิ่ง ความรู้สึกกลัวพยายามควบคุมสถานการณ์ และทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด ความเป็นตัวของตัวเอง อิสรภาพในการทำสิ่งต่าง ๆ ในแนวทางของตัวเอง ได้รับการยอมรับนับถือในฐานะผู้เชียวชาญในสายงานนั้น ๆ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าเงิน มักมีปัญหาในการจ้างคนอื่นมาทำงานแทนตัวเอง เพียงเพราะว่าในใจของพวกเขาไม่มีใครดีพอสำหรับงานนั้น มักลังเลที่จะจ่าย หรือเทรนคนอื่น เพราะเมื่อเทรนด์ขึ้นมาแล้วคนที่ถูกเทรนก็มักจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง ซึ่งทำให้คนด้าน S ยอมที่จะทำงานหนัก โดยทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง

คำพูดของคนด้าน B อาจบอกว่า กำลังหาประธานบริษัทคนใหม่มาบริหารบริษัท คนด้าน B ที่แท้จริงชอบที่จะรายล้อมตัวเอง ด้วยคนฉลาด ๆ จากทั้ง 4 ด้าน ความเป็นผู้นำคือการถึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวคนออกมา แก่นแท้ของความเป็นผู้นำและทักษะในการทำธุรกิจ พวก B ที่ประสบความสำเร็จต้องมีทั้ง 2 อย่าง เพราะทั้งธุรกิจและความเป็นผู้นำ เป็นเรื่องของทั้งศาสตร์และศิลป์ ทักษะด้านเทคนิค เช่น การอ่านงบการเงิน การตลาด การขาย การบัญชี การจัดการ การผลิต การเจรจาต่อรอง เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับคนอื่น และนำคนอื่นทักษะหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเป็นคนด้าน B ที่ยิ่งใหญ่คือ ต้องเป็นนายของคำพูด ต้องรู้ว่าคำไหนใช้ได้ผลกับคนประเภทไหน จงฟังถ้อยคำที่คนอื่นพูดอย่างตั้งใจ เพื่อให้รู้ว่าต้องใช้คำพูดแบบไหน และเมื่อไหร่ ในการสื่อสารกับคนคนนั้นมีประสิทธิภาพที่สุด

ความแตกต่างระหว่างธุรกิจประเภท S กับประเภท B

คนที่เป็นคนด้าน B แท้ ๆ สามารถที่จะทิ้งธุรกิจของตัวเองไปเป็นปี ๆ หรือมากกว่านั้น เมื่อกลับมาอีกครั้งธุรกิจนั้นอาจทำกำไรได้มากกว่าเดิม และไปได้สวยกว่าเดิมเสียอีก

คนด้าน S ทิ้งธุรกิจไปแค่ปีเดียวหรือมากกว่านั้น ก็มีโอกาสสูงมากที่ธุรกิจนั้นจะไม่เหลืออยู่ให้เขาบริหารอีกต่อไป

คนด้าน S เป็นเจ้าของอาชีพ ส่วนคนด้าน B เป็นเจ้าของระบบ ที่จ้างคนเก่ง ๆ มาบริหารระบบนั้น คนด้าน S ตัวเขาเองคือระบบ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงทิ้งธุรกิจไปไม่ได้

การจะประสบความสำเร็จในด้าน B ต้องมีสิ่งต่อไปนี้

  1. ความเป็นเจ้าของหรือความสามารถในการควบคุมระบบ
  2. ความสามารถในการเป็นผู้นำของคนอื่น

คำพูดของคนด้าน I อาจบอกว่ากระแสเงินสดมาจากอัตราผลตอบแทน หรืออัตราผลตอบแทนสุทธิ คนด้าน I นักลงทุนใช้เงินทำเงิน พวกเขาไม่ต้องทำงานเพราะเงินทำงานให้พวกเขา เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นของคนรวย ไม่ว่าใครจะทำเงินในด้านไหน ถ้าเขาหวังว่าสักวันจะรวย สุดท้ายเขาก็ต้องมาอยู่ในด้าน I มีเฉพาะด้าน I เท่านั้น ที่จะแปรเปลี่ยนความรวยเป็นความมั่งคั่งได้

OPT และ OPM ความลับสู่ความร่ำรวยและมั่งคั่งคือ

OPT เวลาของคนอื่น (Other People’s Time)

OPM เงินของคนอื่น (Other People’s Money)

OPT และ OPM มักถูกใช้มากในคนด้าน B และ I โดยมากแล้วคนที่อยู่ในด้าน E กับด้าน S คือพวก OP หรือคนอื่น (Other People) ซึ่งเวลาและเงินของพวกเขาถูกเอาไปใช้

ในการออกแบบธุรกิจประเภท B ความความสำเร็จหมายถึงการสร้างระบบเพิ่มขึ้น และจ้างคนให้มากขึ้น พูดอีกอย่างก็คือ ทำงานน้อยลงให้ได้เงินมากขึ้น และมีเวลาหาความสุขมากขึ้น การจะประสบความสำเร็จในฝั่งขวาได้นั้น ต้องมีสภาวะทางจิตใจที่แตกต่างและมีทักษะด้านเทคนิคที่แตกต่าง ถ้าใครมีความยืดหยุ่นพอที่จะเปลี่ยนแปลง เขาอาจจะได้พบกับกระบวนการในการบรรลุความมั่นคง และอิสรภาพทางการเงินง่ายขึ้น สำหรับคนอื่นกระบวนการนี้อาจยากเกิน เพราะคนจำนวนมากถูกแช่แข็งไว้ในอีกด้านหนึ่งของเงิน และถูกล็อคสภาพจิตใจไว้เพียงแบบเดียว

แนวทางสู่อิสรภาพ เงินสี่ด้านไม่ใช่กฎเกณฑ์ มันเป็นเพียงแนวทางสู่อิสรภาพสำหรับคนที่ต้องการใช้มัน ซึ่งนิยามของคำว่ามั่งคั่งคือ จำนวนชีวิตที่มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องใช้แรงกายทำงาน และสามารถรักษาคุณภาพชีวิตในระดับเดิมไว้ได้ ท้ายที่สุดแล้วสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าทำเงินได้เท่าไหร่ แต่อยู่ที่มีเงินเก็บเท่าไหร่ และเงินนั้นทำงานให้ได้นานเท่าไหร่

คนที่ทำเงินได้มากมาย ทุก ๆ ครั้งที่พวกเขาหาเงินได้ พวกเขาก็เอาไปช้อปปิ้ง พวกเขาชอบซื้อบ้านหลังใหญ่ ๆ หรือรถคันใหม่ ซึ่งกลายเป็นหนี้สินระยะยาว และทำให้ต้องทำงานหนักขึ้น ไม่มีอะไรเหลือเป็นทรัพย์สินเลย การเงินที่เส้นสีแดง คนจำนวนมากไม่ว่าจะรวยหรือจน มักใช้ชีวิตอยู่ที่เส้นสีแดงทางการเงินเสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะมีเงินเท่าไหร่ เพราะเขาก็ใช้จ่ายมันออกไปอย่างรวดเร็ว

เงินทำเงิน ไม่ว่าคนเราจะทำเงินได้สักเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วก็ต้องเอาเงินนั้นมาไว้ในด้าน I เพราะด้าน I คือด้านที่เงินทำเงิน ส่วนรูปแบบอื่นของการลงทุน คนเรามักลงทุนในการศึกษา การศึกษาตามแบบแผนเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งมีการศึกษามากเท่าไหร่ โอกาสที่จะทำเงินได้ก็มีมากเท่านั้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับอาชีพที่เลือกทำ การให้ความภักดีและพยายามทำงานหนักเพื่อนายจ้าง ถือเป็นการลงทุนอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งลูกจ้างได้รับการตอบแทนก็คือ เงินบำนาญเพื่อเลี้ยงตัวเองไปจนตลอดชีวิต นี่คือรูปแบบของการลงทุนที่ได้รับความนิยมในยุคอุตสาหกรรม แต่ล้าสมัยเสียแล้วในยุคของข้อมูลข่าวสารนี้

คนจำนวนมากลงทุนสร้างครอบครัวใหญ่ ๆ โดยหวังว่าลูกหลานจะเลี้ยงดูพวกเขาในวัยชรา การลงทุนในรูปแบบนี้ เป็นบรรทัดฐานของสังคมในอดีต โครงการเกษียณอายุทั้งหลายของรัฐบาล เช่น ประกันสังคมและประกันสุขภาพ ซึ่งมักหักจากเงินเดือนของพนักงานไว้แต่แรกแล้ว ในรูปแบบของภาษีประกันสังคม ถือเป็นการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นโดยกฎหมาย ยังมีพาหนะแห่งการลงทุนสำหรับการเกษียณอายุอีกมากมาย ซึ่งเรียกรวม ๆ ว่าโครงการเกษียณอายุส่วนบุคคล โดยมากแล้วรัฐบาลกลางจะให้การสนับสนุน ด้านภาษีกับทางฝ่ายนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อสนับสนุนให้เข้ามาร่วมโครงการดังกล่าว

รายได้จากการลงทุน การจะได้เป็นคนในด้าน I ได้จึงต้องดูว่าคน ๆ นั้นสร้างรายได้ได้แค่ไหนโดยไม่ต้องทำงาน ความได้เปรียบของรายได้ด้าน I ความโดดเด่นของคนที่ทำเงินจากด้าน I เมื่อเทียบกับด้านอื่น ๆ ก็คือคนด้าน I  มุ่งเน้นที่จะใช้เงินทำเงิน ซึ่งถ้าทำได้ดีก็สามารถที่จะใช้เงินทำงานให้พวกเขา และครอบครัวของพวกเขาไปตลอดชีวิต หนึ่งในเหตุผลที่คนรวยยิ่งรวยขึ้น เพราะพวกเขาทำเงินได้เป็นล้าน ๆ เหรียญ และจ่ายภาษีน้อยหรือไม่ต้องจ่ายเลยอย่างถูกกฎหมาย นั่นเพราะว่าเงินที่พวกเขาทำได้อยู่ในรายได้ประเภทสินทรัพย์ ไม่ใช่รายการประเภทรายได้ พวกเขาทำเงินในฐานะนักลงทุนไม่ใช่ลูกจ้าง

แล้วทำไมคนไม่มาเป็นนักลงทุนกันมากกว่านี้ คำตอบนี้คือคำคำเดียวคือ เสี่ยง คนจำนวนมากไม่ชอบที่จะต้องเอาเงินของตัวเองที่หามาได้ด้วยความลำบากยากเย็นไปมอบให้คนอื่น โดยมีโอกาสที่จะไม่ได้มันกลับมาเลย คนจำนวนมากกลัวที่จะสูญเสีย จึงเลือกที่จะไม่ลงทุน แม้ว่าจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากขนาดไหนก็ตาม ความกลัวเสียเงินแบ่งนักลงทุนออกได้เป็น 4 จำพวกได้แก่

  1. คนที่หลีกหนีความเสี่ยงทุกวิถีทาง และชอบที่จะทำทุกอย่างให้ปลอดภัยไว้ก่อน จึงเก็บเงินไว้ที่ธนาคาร
  2. คนที่มอบหน้าที่ในการลงทุนให้คนอื่นทำงานแทน เช่น พวกที่ปรึกษาทางการเงิน หรือผู้จัดการกองทุน
  3. นักพนัน
  4. นักลงทุน

ความแตกต่างระหว่างนักพนันกับนักลงทุนนั้นสังเกตได้ง่ายมาก สำหรับนักพนัน การลงทุนคือเกมแห่งโอกาส แต่สำหรับนักลงทุน การลงทุนคือเกมแห่งทักษะความชำนาญ และสำหรับคนที่เอาเงินไปให้คนอื่นลงทุน การลงทุนคือเกมที่พวกเขาไม่อยากเรียนรู้ สิ่งสำคัญสำหรับคนพวกนี้ก็คือต้องเลือกที่ปรึกษาการลงทุนอย่างระมัดระวัง เนื่องจากคนจำนวนมากในฝั่งซ้ายของเงินสี่ด้านมักมองหาความมั่นคง ตลาดหุ้นจึงตอบสนองต่อคนเหล่านี้ในแบบเดียวกัน จึงได้ยินคำเหล่านี้อยู่เสมอ

  1. การกระจายการลงทุน คือ กลยุทธ์แห่งการไม่เสียเงิน ไม่ใช่กลยุทธ์การลงทุนเพื่อชัยชนะ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหรือร่ำรวยจะไม่กระจายการลงทุน แต่พวกเขาจะมุ่งเน้นไปในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
  2. หุ้นบลูชิป นักลงทุนที่ในใจชอบความมั่นคงมากจะซื้อ เพราะพวกเขาคิดว่าหุ้นพวกนี้ปลอดภัยกว่า แต่ตลาดหุ้นไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัย หุ้นเหล่านี้จึงไม่สามารถปกป้องเงินได้เวลาตลาดร่วงลง
  3. กองทุนรวม คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องการลงทุน มักเอาเงินไปให้ผู้จัดการกองทุนบริหาร เพราะมันทำให้พวกเขารู้สึกมั่นคงกว่า โดยหวังว่าพวกนั้นจะทำงานได้ดีกว่าตัวเอง นี่เป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดสำหรับคนที่ไม่คิดจะเป็นนักลงทุนมืออาชีพ แต่ปัญหาก็คือ ไม่ได้หมายความว่ากองทุนรวมจะเสี่ยงน้อยกว่าแต่อย่างใด การเรียนรู้ที่จะจัดการความเสี่ยง การลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูง ๆ โดยมีความเสี่ยงต่ำเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ ช่วงแรก ๆ อาจล้มบ้างอะไรบ้าง แต่พอฝึกไปได้สักพักก็จะไม่พลาดอีก และการลงทุนก็กลายเป็นธรรมชาติ คนกล้าเสี่ยงคือคนที่เปลี่ยนโลก ในยุคข้อมูลข่าวสารความว่า ทุกคนต้องรู้จักที่จะเลี้ยงตัวเองให้ได้ รู้จักโต และรู้จักรับผิดชอบต่อวัยเกษียณของตัวเอง อิสรภาพทางการเงินอาจจะเป็นของฟรี แต่มันไม่อาจได้มาด้วยราคาถูก ๆ อิสรภาพมีราคาของมันเสมอ และมันคุ้มค่าที่จะจ่าย

ความลับสำคัญก็คือการไม่ต้องใช้เงินเลยในการที่จะเป็นอิสระทางการเงิน ไม่ต้องมีการศึกษาตามแบบแผน และไม่ต้องเสี่ยงด้วยซ้ำ ราคาของอิสรภาพคือความฝัน ความปรารถนา และความสามารถที่จะเอาชนะความผิดหวังท้อแท้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเส้นทาง

บทที่ 3 ทำไมคนถึงเลือกความมั่นคงมากกว่าอิสรภาพ

เราจำนวนมากถูกสอนไว้ตั้งแต่วันแรก ๆ ของชีวิตที่หางานที่มั่นคง แทนที่จะหางานทำให้การเงินของตัวเองมีความมั่นคง หรือมุ่งหมายอิสรภาพทางการเงิน และด้วยสาเหตุนั้นพวกเราส่วนใหญ่จึงแทบไม่ได้เรียนรู้จากการหาเงินเลย ไม่ว่าจะที่โรงเรียนหรือที่บ้าน แทบจะเป็นธรรมชาติที่จะเกาะติดกับความคิดเรื่องความมั่นคงในอาชีพ แทนที่จะมองหาอิสรภาพทางการเงิน เลยทำให้ติดกับดักหนี้สิน คนเรามักมีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย และการเป็นหนี้ ซึ่งหมายความว่าพวกเขายิ่งต้องผูกติดตัวเองไว้กับงานประจำ หรือวิชาชีพของตัวเอง เพื่อให้มีเงินในการชำระหนี้

กับดักความสำเร็จ เมื่อเขาประสบความสำเร็จมากขึ้น พวกเขาก็ไม่ต้องทำงานหนัก แค่สร้างคนฉลาด ๆ มาทำงานให้ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อทำงานหนักในฝั่งขวาของเงินสี่ด้าน คือด้าน B และ I แต่การทำงานหนักในฝั่งซ้าย ด้วยความที่ทำงานหนัก ทำให้เขาได้เลื่อนตำแหน่งและมีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้น ทำงานหนักในด้าน E และด้าน S ความสำเร็จทำให้มีเวลาน้อยลงเรื่อย ๆ แม้ว่าจะมีเงินเยอะขึ้นก็ตาม ความสำเร็จในด้าน B และ I จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะทางเกี่ยวกับเงิน เรียกว่าความฉลาดทางการเงิน ไม่ได้ตัดสินกันตรงที่ใครทำเงินได้มากเท่าไหร่ แต่ตัดสินกันตรงที่ใครเก็บเงินได้มากเท่าไหร่ เงินทำงานหนักมากเท่าไหน และจะเก็บเงินนั้นไว้อีกกี่ชั่วอายุคน

ค่าใช้จ่ายก้อนโต 2 ก้อน เหตุผลที่คนพลาดท่าทางการเงินคือค่าใช้จ่าย ซึ่งค่าใช้จ่าย 2 ตัวที่สูงที่สุดคือ ภาษีและดอกเบี้ยจากหนี้สิน คนจำนวนมากมุ่งค้นหาอิสรภาพและความสุข คนส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกฝึกมาให้ทำงานในด้าน B และ I  พวกเขาถูกฝึกมาให้หางานที่มั่นคงทำ คนจำนวนมากจำกัดตัวเองไว้ในฝั่งซ้ายของเงินสี่ด้าน โชคไม่ดีที่ความมั่นคงและอิสรภาพทางการเงินมักไม่อยู่ในด้าน E หรือ S ความมั่นคงและอิสรภาพที่แท้จริงอยู่ในฝั่งขวาของเงินสี่ด้านเท่านั้น ประโยชน์อย่างหนึ่งของเงินสี่ด้านก็คือ มันทำให้รู้จักสังเกตแบบแผนของชีวิต

ในบรรดาเส้นทางชีวิตทุกวิถีทางคือ เส้นทางที่การเป็น S ให้ผลตอบแทนงดงามมากและเสี่ยงมากด้วย ด้านนี้เป็นด้านที่หนักที่สุดกว่าทุก ๆ ด้าน อัตราการล้มเหลวที่เกิดขึ้นนั้นสูงมาก และการประสบความสำเร็จอาจแย่ยิ่งกว่าความล้มเหลวเสียอีก ถ้าประสบความสำเร็จจะต้องทำงานงานหนักยิ่งกว่าคนในด้านอื่น ๆ และทำไปอีกนานมาก ๆ พวก S ฉลาด ๆ หลายคนขายธุรกิจเมื่อถึงจุดสูงสุด ก่อนที่ตัวเองจะหมดไฟ โดยขายให้กับคนที่ยังมีไฟและมีเงิน จากนั้นพวกเขาก็หาเวลาพักผ่อน ก่อนที่จะเริ่มต้นทำอะไรอย่างอื่นต่อไป พวกเขาทำในสิ่งที่เป็นของตัวเอง และรักในสิ่งที่ทำ กุญแจสำคัญก็คือ ต้องรู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะออก

สำหรับคนที่มีรายได้จากด้าน E พวกเขาไม่ได้รับการยกเว้นภาษีอะไรทั้งสิ้น ทุกวันนี้ในอเมริกา การเป็นลูกจ้างหมายถึงเป็นหุ้นส่วน 50/50 กับรัฐบาล ซึ่งหมายความว่า รัฐบาลจะเป็นส่วนแบ่ง 50% จากรายได้ที่ลูกจ้างทำให้ และหักออกก่อนที่ลูกจ้างจะได้เห็นสลิปเงินเดือน ใครเสียภาษีมากที่สุด คนรวยไม่ได้จ่ายภาษีเงินได้มากนัก เพราะพวกเขาไม่ได้มีรายได้ในฐานะลูกจ้างสักเท่าไหร่ พวกคนที่รวยมาก ๆ รู้ดีว่าการหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีอย่างถูกกฎหมายที่ดีที่สุดคือ ให้สร้างรายได้จากด้าน B หรือด้าน I

หนี้สินและภาษีเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้สึกมั่นคง และไม่ได้รับอิสรภาพทางการเงิน เส้นทางสู่ความมั่งคั่งหรืออิสรภาพพบได้ทางฝั่งขวาของเงินสี่ด้าน ต้องก้าวข้ามความมั่นคงทางการเงิน และรู้ถึงความแตกต่างระหว่างความมั่นคงทางการเงิน กับอิสรภาพทางการเงิน นอกจากทำงานในด้าน E และ S แล้ว ควรศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับด้าน B หรือด้าน I ไว้ด้วย การมีความมั่นใจในทั้งสองฝั่งของเงิน 4 ด้านทำให้รู้สึกมั่นคงขึ้น แม้จะมีมีเงินน้อยก็ตาม เพราะความรู้คือพลัง และเมื่อโอกาสมาถึง ก็จะพร้อมที่จะคว้ามันด้วยความมั่นใจ

เส้นทางที่เลือกเดิน เป็นแบบแผนที่แตกต่างกัน มักขึ้นอยู่กับเส้นทางการเงินที่แต่ละคนเลือก โชคไม่ดีที่คนส่วนใหญ่เลือกเส้นทางของความมั่นคงในหน้าที่การงาน พอเศรษฐกิจเริ่มจะสั่นคลอนพวกเขาก็ต้องยิ่งเน้นงานที่มั่นคงมากขึ้นกว่าเดิม และวิ่งไล่ไขว่คว้ามันไปตลอดชีวิต ความลับสำคัญก็คือ นักลงทุนที่แท้จริงมักทำเงินได้ดีในช่วงตลาดแย่ เพราะการเปลี่ยนแปลงหมายถึงการถ่ายโอนความมั่งคั่งจากคนหนึ่งมาสู่อีกคนหนึ่ง

เส้นทางที่ผู้เขียนแนะนำคือด้าน B เพราะว่า

  1. ประสบการณ์และการศึกษา ถ้าประสบความสำเร็จในฐานะ B มาก่อน มีโอกาสมากกว่าที่จะพัฒนาตัวเองเป็นพวก I ที่มีคุณภาพ หากพัฒนาตัวเองจนมีสำนึกทางธุรกิจที่ดีเยี่ยม ย่อมจะเป็นนักลงทุนได้ดีกว่า จะสามารถจำแนกได้ว่าใครเป็นพวก B ที่เก่ง นักลงทุนตัวจริงจะลงทุนในธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีระบบธุรกิจที่มั่นคง
  2. กระแสเงินสด ความจริงก็คือการลงทุนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ทั้งเงินลงทุนและความรู้อย่างเข้มข้น การพัฒนาทักษะเพื่อเป็นพวก B ที่ประสบความสำเร็จ จะช่วยให้มีกระแสเงินสดที่จำเป็นต้องใช้ในการลงทุน ข่าวดีก็คือเดี๋ยวนี้ก็ประสบความสำเร็จในด้าน B ง่ายกว่าเมื่อก่อนเยอะ เพราะมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย แม้จะไม่ง่ายเท่ากับการไปทำงานเป็นลูกจ้าง เพื่อให้ได้ค่าแรงงานขั้นต่ำ แต่ ณ วันนี้ระบบต่าง ๆ มีพร้อมอยู่แล้วสำหรับคนที่ต้องการประสบความสำเร็จในด้าน B

บทที่ 4 ระบบธุรกิจ 3 ประเภท

ในการย้ายไปสู่ด้าน B จงจำเอาไว้ว่าเป้าหมายคือการเป็นเจ้าของระบบ และมีคนบริหารระบบนั้นให้ จึงต้องพัฒนาระบบธุรกิจขึ้นมาเองก็ได้ หรือจะมองหาธุรกิจที่ดี ๆ แล้วไปซื้อมาก็ได้ จงมองระบบเหมือนกับสะพาน ที่เชื่อมให้ก้าวข้ามจากฝั่งซ้ายมาสู่ฝั่งขวาได้อย่างปลอดภัย มันคือสะพานสู่อิสรภาพทางการเงิน ในปัจจุบันมีระบบธุรกิจ 3 ประเภท ที่คนมักใช้กันคือ

  1. องค์กรดั้งเดิมแบบ C คือพัฒนาระบบขึ้นมาเอง เรื่องที่ยากสำหรับการสร้างบริษัทก็คือ ต้องมีตัวแปร 2 อย่างได้แก่ ระบบและคนที่จะมาสร้างระบบ ถ้าอย่างใดอย่างหนึ่งมีปัญหา โอกาสล้มเหลวก็มีมาก บางทีมันก็ยากที่จะรู้ว่าสิ่งที่กำลังมีปัญหาคือคนหรือระบบกันแน่ on the job training เป็นวิธีที่ครอบครัวใช้ฝึกสอนลูกหลานรุ่นต่อไปที่จะมารับช่วงต่อธุรกิจ
  2. แฟรนไชส์ คือซื้อระบบที่มีอยู่แล้ว เหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากสร้างหรือไม่รู้ว่าจะสร้างระบบธุรกิจของตัวเองอย่างไร
  3. ตลาดแบบเครือข่าย คือจ่ายเงินเพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่มีอยู่แล้ว

ระบบธุรกิจแต่ละประเภทมีข้อดีข้อด้อยอยู่ในตัว แต่ทุกระบบต่างก็ทำในสิ่งเดียวกัน ถ้าบริหารได้ดีไม่ว่าระบบไหน ก็จะทำรายได้ให้ได้อย่างสม่ำเสมอ ความสำเร็จเป็นครูที่ไม่ดี จะเรียนรู้เรื่องของตัวเองได้ดีที่สุดเวลาล้มเหลว ดังนั้นอย่ากลัวที่จะล้มเหลว ความล้มเหลวคือส่วนหนึ่งของกระบวนการสู่ความสำเร็จ

มีอยู่ 3 วิธีที่จะเข้ามาอยู่ในด้าน B ได้

  1. หาพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงคือคนที่ได้ทำในสิ่งที่อยากจะทำมาแล้ว และประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น จงอย่าหาที่ปรึกษา เพราะที่ปรึกษาคือคนที่บอกว่าต้องทำอะไร ต้องทำอย่างไร โดยที่ตัวเขาเองอาจไม่เคยทำสิ่งนั้นเลย
  2. ซื้อแฟรนไชส์ ซื้อระบบปฏิบัติการซึ่งผ่านการทดลองและพิสูจน์มาแล้ว แทนที่จะต้องเหนื่อยกับการสร้างระบบขึ้นมาเอง สามารถเอาเวลาไปมุ่งเน้นในการสร้างคน ซื้อระบบได้ช่วยขจัดตัวแปรสำคัญประการหนึ่งนั่นคือ ธนาคารหลายแห่งจะให้สินเชื่อกับแฟรนไชส์ แต่จะไม่ปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจเล็ก ๆ ที่กำลังก่อตั้งขึ้น คำเตือนก็คือแฟรนไชส์นั้นเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่มีจิตใจในด้าน S ซึ่งต้องการจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ถ้าซื้อระบบแฟรนไชส์ก็เหมือนพวก E ที่ทำทุกอย่างตามที่เขาบอกให้ทำ ถ้าอยากทำในแบบของตัวเองก็ขอให้ทำเมื่อได้สร้างระบบและพัฒนาคนขึ้นมาจนอยู่ตัวแล้วเท่านั้น
  3. การเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดแบบเครือข่าย เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การตลาดแบบเป็นลำดับขั้น หรือระบบขายตรง ด้วยค่าธรรมเนียมในการเข้าสู่ระบบที่สมเหตุสมผลที่สุด ไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่มีอยู่แล้วได้ และเริ่มต้นธุรกิจได้ทันที ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าของอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ องค์กรเหล่านี้เกือบจะดำเนินการไปได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องมาปวดหัวกับเอกสารกองโต กระบวนการเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการสั่งสินค้า การจัดจำหน่าย บัญชี การติดตามผล สามารถจัดการได้โดยอัตโนมัติ ด้วยซอฟต์แวร์สำหรับการตลาดแบบเครือข่ายโดยเฉพาะ ผู้จัดจำหน่ายใหม่ ๆ สามารถทุ่มเทความพยายามไปเพื่อสร้างธุรกิจ แทนที่จะต้องกังวลอยู่กับเรื่องน่าปวดหัวที่ธุรกิจขนาดเล็กทั่ว ๆ ไปต้องเจอ แม้จะมีเงินน้อย พวกเขาก็สามารถลงทุนโดยใช้ความพยายามสัก 5 ปี ก่อนที่จะมีรายได้ที่ไม่ต้องออกแรง เพื่อที่จะเอาไปลงทุน การตลาดแบบเครือข่ายมี 2 สิ่งที่ต้องเรียนรู้
  4. การประสบความสำเร็จ ต้องเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธให้ได้ และอย่ากังวลว่าคนอื่นจะพูดหรือคิดถึงคุณอย่างไร
  5. การจะประสบความสำเร็จ ต้องเรียนรู้ว่าจะนำคนอื่นอย่างไร การทำงานกับคนหลากหลายประเภท เป็นเรื่องที่เข้าใจยากที่สุดในการทำธุรกิจ การที่จะสามารถเข้ากับคนได้ และเป็นเรื่องแรงบันดาลใจให้คนอื่น ถือเป็นทักษะอันประเมินค่ามิได้ และเป็นทักษะที่เรียนรู้กันได้

การย้ายตัวเองจากฝั่งซ้ายมาสู่ฝั่งขวา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำมากนัก แต่ขึ้นอยู่กับตัวตนของตนเองเป็นสำคัญ จงคิดถึงระบบธุรกิจในฐานะสะพานที่จะเชื่อมให้ก้าวข้ามจากฝั่งซ้ายมาสู่ฝั่งขวาของเงินสี่ด้านอย่างปลอดภัย

บทที่ 5 นักลงทุน 5 ระดับ

ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่รู้ว่าพวกเขาควรจะลงทุน ปัญหาคือพวกเขาเชื่อว่าการลงทุนเป็นเรื่องที่เสี่ยง ที่จริงแล้วการลงทุนจะเสี่ยงก็ต่อเมื่อไม่เคยศึกษาเรื่องการเงิน ไม่มีประสบการณ์ และไม่มีแนวทางการเรียนรู้ที่จะลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการลงทุนก็เปรียบได้กับกุญแจสู่อิสรภาพทางการเงิน สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ลงทุนหรือลงทุนอย่างย่ำแย่ มีอยู่ 5 ประการคือ

  1. ต้องทำงานหนักตลอดชีวิต
  2. เป็นกังวลเรื่องเงินตลอดชีวิต
  3. 3. ต้องพึ่งพาคนอื่น เช่น ครอบครัว เงินบำนาญจากบริษัทหรือรัฐบาล ให้พวกเขาดูแลตลอดชีวิต
  4. ขอบเขตของชีวิตถูกจำกัดด้วยเงินที่มี
  5. ไม่มีวันรู้ว่าอิสรภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร

มีนักลงทุนอยู่ 5 ประเภทหรือ 5 ระดับในด้าน I

ระดับ 1 พวกไร้ความฉลาดทางการเงินโดยสิ้นเชิง มีคนจำนวนมากทำเงินได้มากมายแต่อยู่ในระดับนี้ พวกเขาทำเงินได้เยอะแยะ และใช้จ่ายมากกว่าที่หามาได้

ระดับ 2 พวกคนออมเงิน คือ คนเสียเงิน คนจำนวนมากเชื่อว่าการออมเงินเป็นเรื่องฉลาด ปัญหาก็คือทุกวันนี้เงินไม่ใช่เงินอีกต่อไป จำไว้ว่าคนออมเงิน คนที่ลงทุนในพันธบัตร และส่วนใหญ่คนที่ออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ คือ คนที่เอาเงินของตัวเองไปดองไว้เฉย ๆ โดยคิดว่าตัวเองกำลังจะลงทุนในระยะยาว แต่นักลงทุนมืออาชีพจะเคลื่อนย้ายเงินทุนของตัวเองเสมอ พวกมืออาชีพจะลงทุนในสินทรัพย์ แล้วจึงเอาเงินออกมาใช้ โดยไม่ต้องขายสินทรัพย์นั้นก่อน จะเอาเงินไปซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนที่เอาเงินไปดองไว้จึงขาดทุนมากที่สุด

ระดับ 3 พวกฉันยุ่งเกินไป นี่คือนักลงทุนที่ยุ่งจนไม่มีเวลาเรียนรู้เรื่องการลงทุน เอาเงินของตัวเองไปให้คนอื่นบริหาร ให้ผู้เชียวชาญบริหารโดยหวังและภาวนาว่าผู้เชียวชาญเหล่านั้นจะเชี่ยวชาญจริง ๆ มีการลงทุนรูปแบบของแชร์ลูกโซ่บางประเภทที่ถูกกฎหมาย นั่นคือประกันสังคมและตลาดหุ้น การลงทุนแบบนี้จะยังคงได้ผล ตราบใดที่มีเงินใหม่เติมเข้ามาเรื่อย ๆ แต่วันใดที่เงินหยุดไหลเข้า รูปแบบที่ว่าจะทำให้โครงการประกันสังคมรวมทั้งวอลสตรีทเจ๊งทันที

ระดับ 4 พวกฉันเป็นมืออาชีพ นี่คือนักลงทุนประเภทฉันทำเอง ในด้าน S มักได้รับการศึกษาด้านเงินอย่างเป็นทางการมาน้อยมาก หรืออาจไม่เคยศึกษามาเลย

ระดับ 5 นักทุนนิยม นี่คือระดับของคนที่รวยที่สุดในโลก คือ เจ้าของธุรกิจด้าน B ซึ่งมีการลงทุนในด้าน I นักทุนนิยมตัวจริงต่างไม่เคยมีเงิน พวกเขาจึงต้องรู้ว่าจะหาเงินทุนได้อย่างไร และจะเอาเงินของคนอื่นมาทำเงินมากมายให้ตัวเอง ก่อนที่จะแบ่งให้คนอื่นต่อ ๆ ไปได้อย่างไร ถ้าเป็นนักลงทุนตัวจริง มันไม่สำคัญว่าตลาดกำลังขึ้นหรือลง นักลงทุนตัวจริงย่อมทำได้ดีเสมอไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร

ในโลกแห่งเงิน มักได้ยินคำว่า ผลตอบแทนของเงินลงทุน หรือ ROI จะมีความแตกต่างขึ้นอยู่กับว่าคุยกับใคร ในความหมายของผู้เขียน ROI ย่อมาจาก Return on Information หรือผลตอบแทนในข้อมูลข่าวสาร ซึ่งหมายความว่ายิ่งมีข้อมูลมากเท่าไหร่ ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนมากขึ้น โดยมีความเสี่ยงน้อยลงเท่านั้น ทันทีที่คนคนหนึ่งรู้ว่าจะทำเงินโดยไม่ต้องใช้เงิน ทำเงินจากเงินคนอื่น หรือเงินของธนาคารได้อย่างไร คน ๆ นั้นอาจจะเข้าไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง เป็นโลกที่ตรงข้ามกับโลกแห่งการทำงานหนัก จ่ายภาษีมาก และผลตอบแทนต่อการลงทุนต่ำอย่างด้าน E และ S โดยสิ้นเชิง

บทที่ 6 เงินเป็นสิ่งที่มองเห็นด้วยตาเปล่าไม่เห็น

อสังหาริมทรัพย์ชิ้นไหนก็คืออสังหาริมทรัพย์ทั้งนั้น ใบหุ้นของบริษัทไหนก็คือใบหุ้นเหมือนกัน พวกนั้นเป็นสิ่งที่มองเห็น แต่ที่สำคัญกว่าคือสิ่งที่มองไม่เห็น นั่นเป็นข้อตกลงซื้อขาย ข้อตกลงทางการเงิน สภาพตลาด การบริหารจัดการ ปัจจัยความเสี่ยง กระแสเงินสด โครงสร้าง องค์กร กฎหมายภาษี และเรื่องอื่นอีกเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ เรื่องที่จะทำให้การธุรกิจนั้นดีหรือไม่ดี

จากร้ายกลายเป็นดี เมื่อใครบางคนบอกว่าทำไม่ได้ อาจไม่ได้หมายความว่าเราทำไม่ได้ แต่ตัวเขาต่างหากที่ทำไม่ได้ ทุก ๆ วันมีเงินเป็นล้านล้านเหรียญ หมุนเวียนไปทั่วโลกด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และยังมีเงินอีกมากมายถูกสร้างขึ้น และอยู่ในโลกทุกวันนี้ ซึ่งหมายความว่าทุกยุคสมัยที่ผ่านมา ปัญหาก็คือมองไม่เห็นเงินเหล่านั้น ทุกวันนี้ทุกอย่างเป็นอิเล็กทรอนิกส์หมดเลย คนที่พยายามมองหาเงินด้วยตาจึงมองไม่เห็น เพื่อรอให้ใครมาคว้าเอาไป เงินจำนวนนั้นเป็นของคนที่รู้ว่าจะจัดการ ดูแลรักษา และทำให้มันงอกเงยได้อย่างไร ถ้ารู้ว่าจะจัดการเงินอย่างไร เงินจะมุ่งไปหาและกองลงตรงหน้า จะมีคนมาขอให้ช่วยเอามันไป และถ้าไม่รู้จะจัดการเงินอย่างไร เงินจะหนีไป

ฝึกให้ใจมองเห็นเงิน ขั้นตอนแรกของการฝึกสมองให้เห็นเงินคือ ความรู้ทางการเงินนั่นเอง เริ่มจากความสามารถที่จะเข้าใจคำศัพท์ และระบบตัวเลขของทุนนิยม นี่คือจุดเริ่มต้นของความรู้ทางการเงิน ซึ่งเป็นพื้นฐานของความชาญฉลาดทางการเงิน

ขั้นตอนต่อไป ต้องรู้ว่าความเสี่ยงแท้จริงคือ การไม่มีการศึกษาต่างหากที่เสี่ยง แต่ถ้าศึกษาหาความรู้เรื่องการเงินมาดี มีที่ปรึกษาเก่ง ๆ อาจจะให้คำแนะนำทางการเงินที่ลึกซึ้งกับได้ จำไว้เสมอว่าที่ปรึกษาอย่างมากก็ฉลาดพอ ๆ กับเรา คนส่วนใหญ่ลงทุนและบริหารเงิน โดยฟังคำแนะนำของคนอื่นมากกว่าตัวเอง และนั่นทำให้เสี่ยง เกมทุนนิยมก็คือการเป็นหนี้ใครกันแน่ ยิ่งเป็นหนี้คนอื่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจนลงเท่านั้น เราทุกคนล้วนเป็นหนี้ใครบางคน ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อหนี้สินเกิดความไม่สมดุล โชคไม่ดีที่คนจนบนโลกนี้ถูกเกมนั้นเหยียบย่ำซ้ำเติม จนเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว โลกนี้มีแต่จะหากินเอากับคนจน คนอ่อนแอ และคนไม่รู้เรื่องการเงิน

ถ้าเป็นหนี้มาก ๆ โลกนี้จะเอาทุกสิ่งทุกอย่างไป รวมทั้งเวลา งาน บ้าน ชีวิต ความมั่นใจ และแม้แต่ศักดิ์ศรี ถ้าเป็นหนี้และต้องรับความเสี่ยงก็ต้องได้เงิน ตัวเลขทางการเงินเท่านั้นที่จะต้องบอกได้ว่าอะไรเป็นสินทรัพย์หรือหนี้สิน การศึกษาความรู้ทางการเงินถึงเป็นเรื่องสำคัญมาก คนมากมายได้ธุรกิจดี ๆ หรืออสังหาริมทรัพย์เยี่ยม ๆ ไป แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนมันให้กลายเป็นฝันร้าย เหมือนกับชีวิตของคนจำนวนมาก พวกเขาเอาเงินที่หามาอย่างยากลำบาก ไปสร้างเป็นหนี้สินที่ต้องชดใช้ไปตลอดชีวิต

ชีวิตของคนส่วนมากถูกตัดสินออกโดยความคิดเห็น การที่คนเราจะเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ ต้องเปลี่ยนมุมมองของตัวเองเสียก่อน แล้วค่อยมองหาข้อเท็จจริง ความมืดบอดทางการเงิน เกิดขึ้นกับคนที่อ่านงบการเงินไม่เป็น ทำให้คนที่พึ่งพาความคิดเห็นของคนอื่น ที่จริงแล้วเงินเป็นเรื่องของความคิด ซึ่งใช้ใจมองเห็นได้ชัดเจนกว่าใช้ตามอง การเรียนรู้เกมของเงินและวิธีเล่นของเกมเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางสู่อิสรภาพทางการเงิน

ตอนที่ 2 ดึงสิ่งที่ดีที่สุดในตัวออกมา

บทที่ 7 ตัวตนใหม่ของคุณ

ถ้ารับเงินในฐานะลูกจ้าง ก็จะชินว่าต้องหาเงินด้วยวิธีนั้น ถ้าชินกับการได้เงินด้วยการประกอบอาชีพอิสระ มันก็ยากที่จะเลิกทำเงินด้วยวิธีดังกล่าว อุปสรรคสำคัญที่สุดของการย้ายจากฝั่งซ้ายมาอยู่ฝั่งขวาก็คือ การยึดติดกับวิธีการหาเงินแบบเดิม ๆ เป็นไปตามแบบแผนในเรื่องของเงิน ซึ่งคนเรามักปฏิบัติไปตามธรรมชาติของตัวเอง เมื่อคนคนหนึ่งรู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้เงิน พวก E จะหางานทำโดยอัตโนมัติพวก S จะทำอะไรด้วยตัวคนเดียว พวก B จะสร้างหรือซื้อระบบที่ทำเงินได้ และพวก I จะมองหาโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ที่จะสร้างเงิน

เมื่อคนเราย้ายด้าน สมมุติว่าจากด้าน มาสู่ด้าน B ด้านหนึ่งในตัวที่ยังคงยึดติดอยู่กับ E หรือกลัวว่าชีวิตจะถึงกาลอวสานถ้าปราศจากความมั่นคง จะเริ่มต่อต้าน ทั้งเตะ ทั้งถีบเหมือนคนที่กำลังจมน้ำ พยายามตะเกียกตะกายสุดชีวิต เพื่อให้ได้อากาศบริสุทธิ์ หรือคนที่หิวโซพร้อมจะหยิบทุกอย่างเข้าปากเพื่อให้มีชีวิตรอด ด้านหนึ่งในตัวที่ยังคงมองหาความมั่นคง กำลังต่อสู้อีกด้านที่ต้องการอิสรภาพที่มี แต่ตัวเองเท่านั้นที่จะตัดสินใจว่าจะให้ด้านไหนชนะ ต้องเลือกว่าจะสร้างธุรกิจขึ้นมา หรือกลับไปหางานทำ และทำอย่างนั้นไปตลอดชีวิต วิธีที่ดีที่สุดในการก้าวไปข้างหน้าก็คือ ทำให้ไฟลุกโชนในหัวใจอยู่เสมอ จงจำไว้ว่าตั้งใจจะทำอะไรแล้วหนทางจะง่ายลง ความปรารถนาต่างหากที่จะช่วยสร้างธุรกิจไม่ใช่ความกลัว

พวกเราส่วนใหญ่มีศักยภาพพอที่จะประสบความสำเร็จในด้านใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่ามุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จขนาดไหน ปัญหาของการเปลี่ยนด้านมักมาจากสภาวะในอดีต พวกเราส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่ใช้ความกลัวเป็นตัวกระตุ้นให้คิด และทำในสิ่งต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ถ้าลูกได้เกรดไม่ดีลูกจะหางานที่มั่นคง ปลอดภัย และมีสวัสดิการดี ๆ ไม่ได้ ทุกวันนี้คนจำนวนมากเรียนจบด้วยเกรดที่ดี แต่งานที่ดีและมั่นคงกลับมีน้อยลง ยิ่งงานที่มีสวัสดิการและบำนาญดี ๆ ยิ่งหายากเข้าไปใหญ่ ถึงเวลาต้องสร้างธุรกิจของตัวเอง แทนที่จะหางานทำ ซึ่งเป็นการใส่ใจกับธุระของคนอื่น

บทที่ 8 ฉันจะรวยได้อย่างไร

หนทางง่าย ๆ สู่ความมั่งคั่งในชีวิตจริง พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าโลกจะก้าวล้ำไปอย่างไร หลักการที่นำไปสู่ความร่ำรวยก็ยังคงเรียบง่าย และไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าเดิม นี่เป็นเรื่องสามัญสำนึก ทว่าบ่อยครั้งพอเป็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ สามัญสำนึกก็กลับกลายเป็นเรื่องยากไป สิ่งที่คนรวยทำเป็นเรื่องง่าย หนึ่งในเหตุผลที่คนเรียนไม่เก่งแต่กลับกลายเป็นคนรวยก็คือ การสร้างความร่ำรวยในภาคปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องง่าย ไม่จำเป็นว่าต้องเข้าเรียนก่อนถึงจะรวยได้ เพราะภาคปฏิบัติของการสร้างความร่ำรวยไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นเข็ญใจแต่อย่างใด

หนังสือคลาสสิคที่ผู้เขียนขอแนะนำให้อ่านคือ คิดอย่างไรให้รวย (Think and Grow Rich) เขียนโดยนโปเลียน ฮิลล์ มีเหตุผลอยู่ว่าเหตุใดหนังสือเล่มนี้จึงชื่อคิดอย่างไรให้รวย ไม่ใช่ทำงานหนักให้รวย หรือหางานทำให้รวย ความจริงคือผู้คนที่ทำงานอย่างหนักที่สุดลงท้ายแล้วก็ไม่รวย ถ้าอยากรวยก็ต้องคิดในแบบของตัวเอง มากกว่าที่จะเชื่อตามฝูงชน สิ่งสำคัญที่บรรดาคนรวยต่างก็มีคือ พวกเขาคิดแตกต่างจากคนอื่น เพื่อจะย้ายจากฝั่งซ้ายไปยังฝั่งขวาของเงิน 4 ด้าน มันไม่ได้อยู่ที่การเปลี่ยนสิ่งที่ทำ แต่ต้องเริ่มเปลี่ยนที่ความคิดก่อน ต้องคิดตามบทบาทที่จะเป็น จากนั้นก็จะรู้เองว่าต้องทำอะไร

ในสามคำนี้ เป็น ทำ มี เป้าหมายก็คือคำว่า มี เป้าหมายอย่างเช่น การมีรูปร่างที่ดี การมีความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ หรือการมีเงินเป็นล้าน ๆ เมื่อคนกำหนดเป้าหมาย และสิ่งที่ตัวเองอยากมีแล้ว พวกเขาก็จะเริ่มเขียนลำดับรายการที่ต้องทำเพื่อบรรลุเป้าหมาย นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึงมีรายการที่ต้องทำ พวกเขาวางเป้าหมาย จากนั้นก็เริ่มลงมือทำ การย้ายจากฝั่งซ้ายของเงินสี่ด้านไปยังฝั่งขวาไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการกระทำมากมายนัก สิ่งที่พวกเขาคิด และตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาต่างหากที่สำคัญ ความมั่นคงเป็นเรื่องสำคัญของลูกจ้าง ความสมบูรณ์แบบเป็นเรื่องสำคัญของเจ้าของกิจการส่วนตัว

พวกเราต้องรู้จักทำงาน ดูแลเงิน และต้องลงทุนในแบบฉบับของผู้ใหญ่ การเป็นผู้ใหญ่หมายถึงรู้ว่าต้องทำอย่างไร และต้องลงมือทำด้วย ถึงแม้เราอาจรู้สึกไม่อยากทำก็ตามทีความสำเร็จในด้าน B หรือด้าน I จำเป็นต้องอาศัยมากกว่าความรู้ทางเทคนิค หรือทางวิชาการโดยทั่วไป ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงอารมณ์ ทั้งความคิด ความรู้สึก ความเชื่อรวมทั้งทัศนคติด้วย จำไว้ว่าสิ่งที่คนรวยทำไม่มีอะไรยาก ความแตกต่างอยู่ที่ตัวตนที่เป็น ซึ่งจะเห็นได้จากความคิด และบทสนทนาที่อยู่ภายในตัวของพวกเขาเอง ถึงต้องห้ามไม่ให้พูดว่า ฉันซื้อมันไม่ไหว, ฉันทำไม่ได้หรอก, ปลอดภัยไว้ก่อน, อย่าเสียเงิน, แล้วถ้าเจ๊งยาวไม่มีฟื้นล่ะ ห้ามไม่พูดอย่างนั้นเพราะเชื่อสุดใจว่า คำพูดเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สิ่งที่คนพูดและคิดจะเป็นเรื่องจริง

การทำกำไรและขาดทุนเป็นเรื่องของอารมณ์ ต้องรู้จักวางเฉยกับกำไรและขาดทุน เพราะมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของเกม เพื่อกำจัดความไม่มั่นใจในตัว จึงเรียนรู้ที่จะสร้างความคิด และคำพูดที่กระตุ้นตัวเองเป็นต้นว่า เย็นไว้ คิดดี ๆ เปิดใจให้กว้างเข้าไว้ เดินหน้าต่อไป ถ้ามีอะไรขอคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์ จงเชื่อมั่นและมีศรัทธาว่าสิ่งดี ๆ ที่สุดกำลังจะเข้ามาสู่ชีวิต เส้นทางจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งของเงิน 4 ด้าน เป็นการเดินทางที่อยู่ในตัวเรา เป็นการเดินทางไปสู่ความเชื่อ และทักษะทางเทคนิคอันใหม่ กระบวนการมันคล้ายคลึงกับการหัดขี่จักรยาน ในตอนแรกอาจล้มลุกคลุกคลาน รู้สึกงุ่นง่านและรำคาญตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีเพื่อน ๆ อยู่ด้วย แต่ผ่านไปสักพักก็สามารถขี่ได้โดยอัตโนมัติ และไม่ล้มอีกต่อไป ถึงแม้ต่อจากนั้นจะล้มลงอีกครั้ง มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะรู้ดีว่าสามารถลุกขึ้นมาแล้วขี่ต่อไปได้

บทที่ 9 จงเป็นธนาคารอย่าเป็นลูกจ้างธนาคาร

ในสูตร เป็น ทำ มี เน้นหนักไปที่ส่วนของการเป็น เพราะหากปราศจากกรอบความคิด และทัศนคติที่เหมาะสม ก็จะไม่สามารถเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในทุกวันนี้ได้ เมื่อเป็นคนที่มีทักษะ และกรอบความคิดตามแบบของคนในฝั่งขวาของเงินสีด้าน จะตระหนักถึงโอกาสที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง เตรียมพร้อมที่จะทำ และสิ่งนี้จะนำไปสู่การมี ความสำเร็จในด้านการเงิน มีคำกล่าวว่า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าเกิดขึ้นเกิดอะไรขึ้นในชีวิต แต่อยู่ที่ว่าเราให้ความหมายกับสิ่งนั้นอย่างไร หนึ่งในกุญแจไปสู่ความสำเร็จและความสุขในชีวิตคือ ต้องมีความยืดหยุ่นพอที่จะตอบสนองอย่างเหมาะสม ต่อการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่เข้ามาในชีวิต

ในด้าน B และด้าน I ยังสามารถทำอะไรสร้างสรรค์เพื่อสร้างเงินขึ้นมาด้วยมือเปล่าได้อีกมาก เพียงแต่เล่นบทบาทของธนาคารเท่านั้น สำหรับคนที่คิดจะย้ายไปยังด้าน B และ I  ให้เริ่มต้นทีละน้อยค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นจึงค่อยจับงานใหญ่ขึ้น เมื่อมีความมั่นใจและประสบการณ์มากขึ้น เมื่อประสบการณ์เพิ่มขึ้นและมีชื่อเสียงดี การลงทุนที่ใหญ่ขึ้นก็ใช้เงินน้อยลง หลายครั้งก็ทำเงินได้มากมายโดยที่ไม่ต้องควักเงินเลย นั่นก็เพราะประสบการณ์นั้นล้ำค่า ถ้ารู้วิธีเอาเงินมาต่อเงิน คนจะกำเงินแล้วแห่มาหาเอง เริ่มต้นจากเล็ก ๆ ค่อยเป็นค่อยไป ประสบการณ์สำคัญกว่าเงิน

ในทางทฤษฎีแล้ว ตัวเลขและธุรกรรมในฝั่งขวาของเงิน 4 ด้านเป็นเรื่องพื้น ๆ ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรือธุรกิจก็ตามที การจะมีความมั่งคั่งทางการเงินได้หมายถึง ต้องสามารถคิดต่างจากคนอื่น คิดจากด้านต่าง ๆ ของเงิน 4 ด้านได้ รวมทั้งกล้าทำสิ่งที่แตกต่างได้ด้วย สิ่งที่ยากที่สุดอันหนึ่งสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับแนวคิดแบบนี้ก็คือ คนจำนวนมากมายที่จะบอกว่าทำไม่ได้หรอก ถ้าสามารถเอาชนะกรอบที่จำกัดความคิดนั้นได้ และหาคนที่จะบอกว่า รู้ว่าจะทำได้อย่างไรและยินดีจะสอนให้ ชีวิตก็จะง่ายขึ้นมาก

คลื่นลูกใหญ่ที่อยู่ในตลาดเกิดจากพลังอารมณ์ของมนุษย์ 2 อย่างได้แก่ ความโลภและความกลัว เมื่อใดที่อารมณ์พวกนี้พังทลายลง คนก็ขาดทุนย่อยยับ อารมณ์ต่อไปที่จะเกิดขึ้นก็คือความสิ้นหวัง แม้กระทั่งในตอนที่เศรษฐกิจเฟื่องฟูดี ก็ยังมีคนนับล้านที่อยู่ในสภาพสิ้นหวัง ในระดับที่แตกต่างกันไป พวกเขาอาจมีงานทำแต่ลึก ๆ ในใจก็รู้ว่าตัวว่าการเงินของตนเองไม่ได้ดีขึ้นเลย พวกเรากำลังเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลง และมีโอกาสมากมายสำหรับบางคน นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดสำหรับอีกหลาย ๆ คนเช่นกัน ไม่มีใครบอกว่ามันยุติธรรม และนี่ก็ไม่ใช่ประเทศแห่งความยุติธรรมด้วย

ประเทศของเราเป็นประเทศแห่งเสรี มีคนที่ทำงานหนักขึ้น ฉลาดขึ้น กระหายความสำเร็จยิ่งขึ้น มีความสามารถสูงขึ้น หรือปรารถนาจะมีชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น ๆ มากขึ้น ความให้เปรียบอันหนึ่งของการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมเสรีก็คือ การมีเสรีภาพที่จะเลือก มีทางเลือกใหญ่ ๆ อยู่ 2 ทาง ทางเลือกหนึ่งคือความมั่นคง ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคืออิสรภาพ ถ้าเลือกความมั่นคงจะต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงลิบ ในรูปของดอกเบี้ยที่โหดร้าย และภาษีที่มากเกินควร ถ้าเลือกอิสรภาพ จำเป็นต้องเรียนรู้เกมทั้งหมดและเล่นอย่างฉลาด ขณะที่พวกเราเดินหน้าเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสาร ทุกคนจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากด้านที่แตกต่างกันของเงิน 4 ด้าน ในยุคนี้ข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุด อย่างที่ เอริค โฮฟเฟอร์ เคยกล่าวไว้ว่า ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่เรียนรู้จึงอยู่รอด แต่มีที่ไม่รู้จักเรียนรู้จะพบว่าตัวเองไม่มีความพร้อมอย่างเต็มที่ ที่จะรับมือกับโลกที่ไม่มีอยู่อีกต่อไป

ตอนที่ 3 วิธีการเป็นคนในด้าน B และด้าน I ประสบความสำเร็จ

บทที่ 10 หัดเดินแบบทารก

พวกเราส่วนมากเคยได้ยินคำพูดที่ว่า การเดินทางนับหมื่นไมล์เริ่มต้นด้วยก้าวแรก แต่อยากจะเปลี่ยนเป็น การเดินทางนับหมื่นไมล์เริ่มต้นด้วยการหัดเดิน คนมากมายพยายามก้าวกระโดดไปข้างหน้า แทนที่จะเริ่มต้นจากการหัดเดินแบบเดียวกับทารก แทนที่จะก้าวกระโดดไปข้างหน้า ให้เริ่มจากการค่อย ๆ หัดเดินทีละก้าว ความสำเร็จทางการเงินในระยะยาว ไม่ได้วัดกันที่ช่วงก้าวว่ายาวแค่ไหน แต่อยู่ที่จำนวนก้าว  จำนวนปี รวมทั้งทิศทางที่ก้าวไป และนี่คือสิ่งที่ตัดสินความสำเร็จหรือล้มเหลว ในความพยายามใด ๆ คนจำนวนมากพยายามทำอะไรมากมายจนเกินไป จากนั้นก็ต้องล้มเลิก สำหรับบางคนขั้นตอนเหล่านี้อาจดูมากมายเกินจะรับไหว และมันก็จะเป็นเช่นนั้นหากว่าพยายามทำทั้งหมดภายใน 1 สัปดาห์ ดังนั้นขอให้เริ่มต้นด้วยการหัดเดินแบบทารก

การย้ายจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งนั้น เป็นมากกว่าเรื่องของจิตใจ หากแต่เกี่ยวพันกับการเรียนรู้ในทางอารมณ์ด้วย หลังจากที่ได้หัดก้าวเดินแบบทารกแล้ว 6 เดือนถึง 1 ปีถึงจะเดินได้คล่อง และจากนั้นจึงค่อยวิ่ง ต้องเดินให้ได้ก่อนที่จะวิ่งนี่คือแนวทาง ความกลัวหรือความสงสัยในตัวเองทำให้ติดอยู่ในด้านเดิม ลงมือปฏิบัติเดินหน้าไปสู่ด้าน B และด้าน I ได้สำเร็จ การปฎิบัติตามขั้นตอนทั้ง 7 จะช่วยเปิดโลกใบใหม่ ซึ่งเป็นโลกแห่งความเป็นไปได้ และการเปลี่ยนแปลงต่อจากนั้นก็เพียงแต่ก้าวเตาะแตะแบบทารกต่อไปเรื่อย ๆ การเรียนรู้ที่แท้จริงต้องเป็นการเรียนรู้ทั้งทางความคิด ทางอารมณ์ และทางร่างกาย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมต้องปฏิบัติจึงจะชนะได้ ถ้าลงมือทำและเกิดผิดพลาดอย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นทางความคิด ทางอารมณ์ หรือทางร่างกายก็ตาม คนที่คอยแต่จะมองหาคำตอบที่ถูกต้อง มักป่วยเป็นโรคอัมพาตทางการวิเคราะห์ ที่สุดแล้วหนทางที่พวกเราเรียนรู้ก็คือผ่านการทำผิดพลาด คนที่เกิดมายากจนสามารถพลิกกลับขึ้นมารวยมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ

  1. พวกเขายึดถือมุมมองและแผนการในระยะยาว
  2. พวกเขาเชื่อมั่นในการเลื่อนความพึงพอใจออกไปในอนาคต

3 พวกเขาใช้พลังของการทบต้นให้เป็นประโยชน์

การศึกษาพบว่าคนกลุ่มนี้คิดและวางแผนสำหรับระยะยาว รู้ว่าจะประสบความสำเร็จทางการเงินได้ในที่สุด ด้วยการยึดมั่นกับความฝัน หรือจินตนาการ พวกเขายินดีเสียสละบางสิ่งบางอย่างในระยะสั้น เพื่อความสำเร็จในระยะยาว ซึ่งเป็นที่มาของการเลื่อนความพึงพอใจออกไปในอนาคต

สิ่งที่ทำให้คนรวยกลายเป็นคนจนมีคุณสมบัติ 3 ประการ

  1. หนึ่งพวกเขามีมุมมองระยะสั้น
  2. พวกเขาต้องการได้รับความพึงพอใจในปัจจุบันทันที
  3. พวกเขาใช้พลังของการทบต้นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง

พวกเราส่วนใหญ่เคยได้ยินว่า คนที่เขียนเป้าหมายออกมามักทำมันให้สำเร็จจนได้ แม้การมีความฝันอันยิ่งใหญ่ที่วางไว้ในระยะยาวจะเป็นเรื่องดี แต่การบรรลุความฝันพวกนั้น ก็เป็นกระบวนการที่สร้างขึ้นจากก้าวเล็ก ๆ มากมาย และแทนที่จะพยายามดิ้นรนไขว่คว้าจนเกินกำลัง ควรไขว่คว้าให้น้อยเข้าไว้ พอใจกับก้าวเล็ก ๆ เพราะแต่ละก้าวก็เพียงพอแล้วที่จะขยับเข้าสู่ความฝัน และเป้าหมายที่วางไว้ เพราะฉะนั้นฝันให้ใหญ่และค่อย ๆ ทำไปวันละน้อย ให้วางเป้าหมายประจำวันที่สามารถทำได้ และส่งผลตอบรับในทางบวก เพื่อช่วยดึงให้เดินหน้าไปสู่เป้าหมายใหญ่ จะเริ่มต้นคิดเหมือนกับคนรวยได้ ให้เริ่มต้นจากเล็ก ๆ และแสวงหาการศึกษาก่อนเสมอ ปัญหาทางการเงินและความยากจน เป็นปัญหาที่สร้างความวิตกกังวลอย่างแท้จริงเรียกว่า วังวนทางจิตใจและอารมณ์ ที่ตรึงผู้คนเอาไว้ในสนามแข่งหนู หากไม่สามารถปลดห่วงทางจิตใจและอารมณ์ได้ รูปแบบนี้ก็จะยังคงอยู่ตลอดไป

7 ขั้นตอนสู่การค้นหาเส้นทางด่วนทางการเงิน

บทที่ 11 ขั้นตอนที่ 1 ถึงเวลาใส่ใจธุระของตัวเอง

ย้อนไปในช่วงต้นของชีวิต คนส่วนมากถูกสอนให้ใส่ใจธุระของคนอื่น และทำให้คนอื่นรวย คนที่ทำตามคำแนะนำเหล่านี้อย่างหน้ามืดตามัว มักจะกลายเป็น

  1. ลูกจ้างที่ทำให้เจ้านายและเจ้าของบริษัทรวย
  2. ลูกหนี้ที่ทำให้ธนาคารและผู้ปล่อยกู้รวย
  3. ผู้เสียภาษีที่ทำให้รัฐบาลรวย
  4. ผู้บริโภคที่ทำให้ธุรกิจอื่น ๆ รวย

แทนที่จะหาเส้นทางด่วนทางการเงินของตัวเอง พวกเขากลับคอยแต่ไปช่วยคนอื่น ๆ หา และแทนที่จะใส่ใจธุระของตัวเอง พวกเขากลับทำงานอยู่จนชั่วชีวิต เพื่อดูแลธุระของคนอื่น ๆ

ลงมือปฏิบัติ

เพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ทำตามขั้นตอนปฏิบัติต่อไปนี้

  1. กรอกงบการเงินส่วนตัว ก่อนที่จะไปถึงจุดหมายได้ ต้องรู้ว่ากำลังอยู่จุดไหน นี่คือขั้นตอนแรกที่จะควบคุมชีวิต
  2. วางเป้าหมายทางการเงินระยะยาว ว่าอยากไปถึงจุดไหนในอีก 5 ปีต่อจากนี้

ถึงตรงนี้รู้แล้วว่าการเงินในวันนี้อยู่ที่จุดไหน และได้ตั้งเป้าหมายไว้แล้ว จำเป็นต้องควบคุมกระแสเงินสด เพื่อไปเพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้

บทที่ 12 ขั้นตอนที่ 2 ควบคุมกระแสเงินสด

หลายคนเชื่อว่าเพียงแค่หาเงินมากขึ้น จะช่วยแก้ปัญหาทางการเงินได้ แต่โดยมากแล้วมันกลับกลายเป็นปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เหตุผลหลักที่คนส่วนใหญ่มีปัญหาทางการเงิน เป็นเพราะพวกเขาไม่เคยได้รับการสอนศาสตร์แห่งการบริหารกระแสเงินสด พวกเขาจึงมีปัญหาทางการเงิน และแก้ปัญหาด้วยการทำงานให้หนักขึ้น ด้วยความเชื่อว่าเงินที่มากขึ้นจะช่วยสะสางปัญหานี้ได้ ทักษะที่สำคัญที่สุดขั้นตอนต่อไปในฐานะ CEO ของชีวิตตัวเองก็คือ ควบคุมกระแสเงินสดให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้แล้ว ต่อให้หาเงินมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะไม่ทำให้รวยขึ้น ที่จริงแล้วการหาเงินได้มากขึ้น กับทำให้คนส่วนใหญ่จนลงเสียด้วยซ้ำ เพราะพวกเขามักได้ใจ และจับจ่ายใช้สอยหนักมือขึ้น ยิ่งได้เงินเดือนเพิ่มก็ยิ่งจมลึกลงไปในภาระหนี้มากขึ้น ต้องจดจำไว้เสมอว่า ภาระผูกพันหรือหนี้สินแต่ละอย่าง เป็นทรัพย์สินของคนอื่น หนี้ดีคือหนี้ที่มีคนจ่ายแทนเรา ส่วนหนี้แย่คือหนี้ที่เราต้องจ่ายเอง จากหยาดเหงื่อและหยดน้ำตา

การทำงบการเงิน 2 ชุดไม่เพียงใช้ได้กับสินทรัพย์และหนี้สิน แต่ยังใช้ได้กับรายได้และค่าใช้จ่ายอีกด้วย หนี้สินเกือบทุกอย่างควงคู่มาพร้อมกับสินทรัพย์ แต่พวกมันจะไม่ปรากฏอยู่ในงบการเงินชุดเดียวกัน ส่วนค่าใช้จ่ายก็ควงคู่มาพร้อมกับรายได้ และเช่นกันพวกมันก็จะไม่ปรากฏอยู่ในงบการเงินชุดเดียวกัน หลักคิดของงบการเงิน 2 ชุด สามารถแสดงให้เห็นเส้นทางด่วนทางการเงินและสนามแข่งหนู เส้นทางด่วนทางการเงินและสนามแข่งหนู ทั้งสองสิ่งนี้อาศัยซึ่งกันและกัน จำเป็นต้องนั่งลงวางแผนควบคุมการใช้จ่าย และลดหนี้สินตลอดจนลดภาระผูกพันลงให้เหลือน้อยที่สุด ใช้ชีวิตอย่าให้เกินฐานะ จากนั้นจึงค่อยยกระดับฐานะให้ดีขึ้น

บทที่ 13 ขั้นตอนที่ 3 รู้ความแตกต่างระหว่างความเสี่ยงกับการสุ่มเสี่ยง

การบริหารกระแสเงินสดที่เหมาะสม เริ่มต้นจากการรู้ความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์และหนี้สิน คนที่มักพูดว่าการลงทุนเป็นเรื่องเสี่ยง ไม่ใช่เพราะการลงทุนเป็นเรื่องเสี่ยงโดยตัวของมันเอง แต่เป็นเพราะตัวเขาขาดความรู้และการฝึกฝนในทางการเงินอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จึงทำให้การลงทุนกลายเป็นเรื่องเสี่ยงไป ทิศทางของกระแสเงินสดคือทุกสิ่งทุกอย่าง คำนิยามความฉลาดทางการเงินคือ ความสามารถที่จะเปลี่ยนเงินสด หรือแรงงานให้กลายเป็นสินทรัพย์ ที่สร้างกระแสเงินสด คนรวยจึงพุ่งเป้าไปที่การสะสมสินทรัพย์ ไม่ใช่การทำงานหนัก ความเสี่ยงทางการเงินสูงหมายถึง รายได้และค่าใช้จ่ายแทบจะเท่ากันอยู่ตลอดทุกเดือน

บทที่ 14 ขั้นตอนที่ 4 ตัดสินใจว่าอยากเป็นนักลงทุนประเภทไหน

ทำไมนักลงทุนบางคนจึงทำกำไรได้มากกว่าคนอื่น ๆ ทั้งที่เสี่ยงน้อยกว่า มีการแบ่งนักลงทุนออกเป็น 3 ประเภทดังนี้

ประเภท A นักลงทุนที่มองหาปัญหา พวกเขามองหาปัญหาที่เกิดขึ้นจากคนที่ติดอยู่ในปัญหาด้านการเงิน มีทักษะที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการเป็นเจ้าของธุรกิจและนักลงทุน พวกเขาก็ใช้ทักษะเหล่านั้นในการแก้ปัญหาที่พวกขาดทักษะก่อขึ้น

ประเภท B นักลงทุนที่มองหาคำตอบ พวกเขามองหาที่ปรึกษาที่ปฏิบัติได้อย่างที่สอนคนอื่น และหลีกให้ไกลจากพวกที่เอาแต่จะขายคำแนะนำ และรวยจากค่าคอมมิชชั่นและค่าธรรมเนียม

ประเภท C นักลงทุนที่มองหาผู้เชี่ยวชาญที่จะมาบอกว่าควรทำอะไร เป็นพวกที่ขาดการศึกษาในเรื่องการเงิน และคอยมองหาผู้ที่จะมาบอกว่าพวกเขาควรลงทุนอะไร

วิธีไปสู่เส้นทางด่วนได้เร็วขึ้น ถ้าเริ่มต้นจากเล็ก ๆ และเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาก็จะร่ำรวยมหาศาล โดยแก้ไขปัญหาได้เก่งขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับคนที่ต้องการค้นหาเส้นทางด่วนทางการเงิน ให้เริ่มต้นโดย

  1. ใส่ใจกับธุระของตัวเอง
  2. ควบคุมกระแสเงินสด
  3. รู้ความแตกต่างระหว่างความเสี่ยงและการสุ่มเสี่ยง
  4. รู้ความแตกต่างระหว่างนักลงทุนประเภท A, B และ C

อย่ากระจายการลงทุนอย่างที่นักลงทุนประเภท B ได้รับคำแนะนำ เมื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหาระดับหนึ่ง ผู้คนจะกำเงินลงทุนเข้ามาหา จากนั้นถ้าเก่งและเชื่อใจได้ ก็จะไปถึงเส้นทางด่วนทางการเงินได้เร็วขึ้น

บทที่ 15 ขั้นตอนที่ 5 หาพี่เลี้ยง

พี่เลี้ยงคือ คนที่จะบอกคุณว่าอะไรสำคัญ และอะไรไม่สำคัญ เลือกพี่เลี้ยงอย่างฉลาด และให้ระวังคนที่ไปขอคำแนะนำด้วย ทางที่ดีควรหาคนที่เคยเดินทางไปถึงจุดที่อยากไปมาแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงควรสรรหาครู และพี่เลี้ยงอย่างชาญฉลาด เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งที่สามารถทำได้

ลงมือปฏิบัติ

  1. หาพี่เลี้ยง ค้นหาคนที่อยู่ในแวดวงการลงทุนและธุรกิจ ซึ่งสามารถจะมาเป็นพี่เลี้ยงให้ได้
  2. 2. อนาคตขึ้นอยู่กับคนที่คลุกคลีอยู่ด้วย เขียนชื่อคน 6 คนที่ใช้เวลาอยู่ด้วยมากที่สุดออกมา จำไว้ว่าหลักเกณฑ์ก็คือ เวลาที่ใช้ไปกับพวกเขาไม่ใช่สถานภาพความสัมพันธ์ เพื่อการเปลี่ยนแปลงอนาคตของตัวเอง และจะทำเช่นนั้นได้ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงความคิดและผู้คนที่ใช้เวลาด้วย
  3. ในรายชื่อ 6 คนที่เขียนออกมา ให้ระบุด้านที่พวกเขาอยู่ต่อท้ายจากชื่อ
  4. ขั้นตอนต่อไปคือระบุระดับของนักลงทุนให้กับแต่ละคน
  5. ดูที่เงิน 4 ด้าน และเขียนอักษรแรกของชื่อคนที่คลุกคลีด้วยลงไปในด้านที่เหมาะสม จากนั้นเขียนอักษรแรกของชื่อคุณลงไปในด้านที่คุณอยู่ในปัจจุบัน ถัดไปให้เขียนอักษรของคุณลงไปในด้านที่คุณต้องการย้ายเข้าไปในอนาคต ถ้าอักษรทั้งหลายกระจุกอยู่ในด้านเดียวกัน ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนที่มีความสุข เนื่องจากถูกแวดล้อมด้วยคนที่มีความคิดเหมือน ๆ กัน แต่ถ้าอักษรไม่ได้อยู่ในด้านเดียวกัน ก็น่าจะลองคิดถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตดูบ้าง

บทที่ 16 ขั้นตอนที่ 6 เปลี่ยนความผิดหวังให้เป็นความแข็งแกร่ง

ความผิดหวังทำให้คนเราเจ็บปวด และผลักมันไปไว้ที่คนอื่นด้วยการตำหนิ หากจะเรียนรู้การขายก็ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นให้ได้ บทเรียนอันล้ำค่าในระหว่างที่เรียนรู้วิธีการขายซึ่งก็คือ การเปลี่ยนความผิดหวังให้กลายเป็นสินทรัพย์ไม่ใช่เป็นหนี้สิน เมื่อพบคนที่รู้สึกหวาดกลัวสิ่งใหม่ ๆ ส่วนมากแล้วเหตุผลก็คือ พวกเขากลัวความผิดหวัง พวกเขากลัวว่าอาจทำอะไรผิดพลาด หรือถูกปฏิเสธ หากพร้อมที่จะเริ่มต้นการเดินทางไปสู่เส้นทางด่วนทางการเงิน คำแนะนำและคำกระตุ้นที่ทำให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นั่นคือ ให้เตรียมพร้อมรับความผิดหวัง ความผิดหวังเป็นส่วนสำคัญของการเรียนรู้ พวกเราต้องพัฒนาทักษะนิสัยขึ้นมาจากความผิดหวัง เช่นเดียวกับที่เราเรียนรู้จากความผิดพลาด ต่อไปนี้เป็นข้อแนะนำ

คิดไว้ก่อนว่าจะผิดหวัง

เตรียมพี่เลี้ยงไว้ให้พร้อม

มีเมตตาต่อตัวเองไว้

พูดความจริง

ลงมือปฏิบัติ

  1. ทำผิดพลาด ให้เริ่มต้นด้วยการหัดเดินแบบทารก จำไว้ว่าการพ่ายแพ้เป็นส่วนหนึ่งของชัยชนะ
  2. เริ่มต้นจากเล็ก ๆ ถ้าพบสิ่งที่อยากจะลงทุนให้ลงเงินแต่เพียงเล็กน้อยก่อน
  3. ที่สำคัญคือลงมือปฏิบัติ การอ่าน ดู หรือว่าฟัง ล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญต่อการเรียนรู้ แต่ก็ต้องลงมือทำด้วย

บทที่ 17 ขั้นตอนที่ 7 พลังแห่งศรัทธา

การที่เรียนไม่เก่ง ไม่ใช่นักเรียนดีเด่น ไม่เก่งเลข และไม่ว่าจะจนหรือรวย หรือมีเหตุผลใด ๆ ที่ทำให้อาจเคยดูแคลนตัวเองไปบ้าง ในระยะยาวแล้วจุดอ่อนเหล่านั้นไม่ได้มีผลอะไรเลย หากมันจะมีผลก็เป็นเพียงเพราะคิดว่ามันมีเท่านั้น สำหรับคนที่อยากขึ้นมาอยู่บนทางด่วนทางการเงิน อาจมีบางครั้งบางคราวที่ลังเลสงสัยในความสามารถของตัวเอง ความคิดในเบื้องลึกคือสิ่งสะท้อนจิตวิญญาณของเรา สะท้อนอัตตา ความไม่รักตัวเอง การปฏิบัติต่อตัวเอง และความคิดเห็นต่อตัวเอง โดยภาพรวมทุก ๆ คำที่พูดคือเสียงสะท้อนของตัวตนข้างใน บ่งบอกว่าคิดอย่างไรกับตัวเอง แม้ว่าเขากำลังพูดกับคนอื่นอยู่ก็ตาม

คนที่พร้อมจะย้ายจากด้านหนึ่งมาสู่อีกด้านหนึ่ง ให้ระวังคำพูดของตัวเอง ระวังคำพูดที่มาจากหัวใจ จากท้อง จากจิตวิญญาณ ให้ระวังความคิดและคำพูดที่มาจากอารมณ์ด้วย ถ้าไม่ระวังอารมณ์ ไม่ระวังความคิดของตัวเอง ก็จะไม่มีทางเอาตัวรอดได้ในเส้นทางนี้ เมื่อมีความจริงก็ต้องมีความเท็จ ถ้าหลอกตัวเองก็จะไม่มีทางไปถึงจุดหมายได้ ให้เงี่ยหูฟังความลังเลสงสัยในตัวเอง ความกลัว ความคิดที่คอยสร้างขีดจำกัดให้ตัวเอง และจงขุดคุ้ยเข้าไปให้แก่นแท้ของความจริงนั้น

จำไว้ว่าคนเพียงคนเดียวที่มีสิทธิ์เลือกว่าจะคิด และจะเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับตัวคุณก็คือ ตัวคุณเอง ดังนั้นรางวัลของการเลือกเดินบนเส้นทางนี้ ไม่ใช่เพียงอิสรภาพที่มาจากเงิน แต่ยังรวมถึงความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวเอง ที่จะได้รับแม้ว่าอาจจะไม่เก่งไปเสียทุกอย่าง ก็ขอให้ใช้เวลาเพื่อพัฒนา และเรียนรู้สิ่งที่ควรจะเรียนรู้ แล้วโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อย่าวิ่งหนีจากสิ่งที่ควรเรียนรู้ จงเผชิญหน้ากับความกลัว และความลังเลสงสัย แล้วโลกใบใหม่จะเปิดออกต้อนรับ

บทที่ 18 สรุปปิดท้าย

การพัฒนาตัวเองทั้ง 7 ขั้นตอนที่ว่านี้ จะช่วยให้ขึ้นมาอยู่บนทางด่วนทางการเงิน ทุก ๆ ขั้นตอนดังกล่าวจะช่วยกรุยทางไปสู่อิสรภาพทางการเงินได้ ต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเองอย่างยิ่ง ถ้าไม่ใช่นักลงทุนระยะยาว ขอให้พาตัวเองไปสู่จุดนั้นให้ได้โดยเร็ว จงนั่งลงแล้วเขียนแผนในการควบคุมนิสัยการใช้เงินของตัวเอง ต้องทำหนี้สินให้เหลือน้อยที่สุด ใช้ชีวิตตามฐานะ แล้วยกระดับฐานะให้สูงขึ้น หาคำตอบให้ได้ว่าที่ผ่านมาใช้เงินลงทุนไปเดือนละเท่าไหร่ ลงทุนมาแล้วกี่เดือน ต้องทำอัตราผลตอบแทนเท่าไหร่ จึงจะไปถึงเป้าหมาย นั่นคือการเกษียณตัวเองโดยสร้างกระแสเงินสด จนทำให้ได้รับอิสรภาพทางการเงิน

การมีแผนระยะยาวในการลดหนี้สินจากการบริโภค ควบคู่ไปกับการกันเงินส่วนหนึ่งไว้เสมอ จะช่วยให้ได้เปรียบตั้งแต่ต้น หากเริ่มต้นลงทุนให้เร็ว และใส่ใจในทุก ๆ สิ่งที่กระทำ ถึงตรงนี้แล้วต้องทำทุกอย่างให้ง่ายเข้าไว้อย่าเพ้อฝัน เหตุผลที่แนะนำเงิน 4 ด้าน นักลงทุน 5 ระดับ รวมทั้งในเรื่องของนักลงทุน 3 ประเภท ก็เพื่อให้ได้พิจารณาตัวเองว่าเป็นใคร สนใจอะไร และอยากจะเป็นคนแบบไหน

ในท้ายที่สุดเชื่อว่าไม่ว่าใครก็สามารถมีเส้นทางเฉพาะของตนเอง เพื่อไปสู่ทางด่วนทางการเงินได้ ไม่ว่าจะเลือกอยู่ในด้านใดของเงิน หน้าที่ของเจ้านายคือหางานให้ทำ ถ้าอยากรวยต้องทำเอง การใส่ใจกับธุระของตัวเองอาจยากบ้าง สับสนบ้าง โดยเฉพาะในช่วงแรก ๆ ไม่ว่าจะรู้อะไรมาแล้วเท่าไหร่ ก็ยังมีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้เสมอ นี่คือกระบวนการที่ต้องทำไปตลอดชีวิต แต่ข่าวดีก็คือ ส่วนที่ยากที่สุดคือตอนเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อตั้งใจแน่วแน่ที่จะลงมือทำ แล้วชีวิตจะง่ายลงเรื่อย ๆ การใส่ใจกับธุระของตัวเองนั้นไม่ยากเลย แค่ใช้สามัญสำนึกเท่านั้นเอง.