Principles by Ray Dalio

สั่งซื้อหนังสือ “Principles by Ray Dalio” (คลิ๊ก)

PRINCIPLES : LIFE AND WORK

ผู้เขียน : RAY DALIO

สำนักพิมพ์ : เอฟพี เอดิชั่น

ผมส่งต่อหลักการเหล่านี้เพราะตอนนี้ผมอยู่ในช่วงชีวิตที่ต้องการช่วยให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จมากไปกว่าการที่ตัวเองประสบความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิม เนื่องจากหลักการเหล่านี้ได้ช่วยผมและคนอื่นๆอย่างมาก ผมจึงต้องการแบ่งปันสิ่งเหล่านี้กับคุณมันขึ้นอยู่กับคุณที่จะตัดสินใจว่าสิ่งเหล่านี้มีคุณค่ามากแค่ไหน และถ้ามันพอมีบ้าง คุณต้องการที่จะจัดการกับมัน

การมีหลักการที่ดีก็เหมือนกับการมีศูนย์อาหารที่ดีเพื่อความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนปฏิบัติตามหลักการที่ช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ดีแม้สิ่งที่พวกเขาเลือกที่จะประสบความสำเร็จนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก ดังนั้นหลักการของพวกเขาจึงต่างกันออกไป ความหวังของผมคือการอ่านหนังสือเล่มนี้จะกระตุ้นให้คุณและคนอื่นค้นพบกับหลักการของคุณเองจากสิ่งที่คุณคิดว่าดีที่สุดและเขียนมันลงไป การทำเช่นนั้นจะช่วยให้คุณและผู้อื่นมีความชัดเจนเกี่ยวกับหลักการของคุณและเข้าใจซึ้งกันและกันได้ดียิ่งขึ้นเมื่อคุณพบกับประสบการณ์ที่มากขึ้นและคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับมันมันจะช่วยขัดเกลาสิ่งเหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้นซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นและให้ผู้อื่นเข้าใจคุณได้ดีขึ้น

PART 1 : ผมมาจากไหน 

บทที่ 1 เสียงเรียกหาการผจญภัยของผม ปี 1994 – 1967

            ผมเกิดและเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางในลองไอส์แลนด์ ผมเป็นเด็กทั่วไปอยู่ในบ้านหลังทั่วไปแล้วก็เป็นนักเรียนที่แย่กว่านักเรียน ดีเอ็นเอของเราทำให้ทั้งคุณและผมมีจุดอ่อนจุดแข็งโดยธรรมชาติ จุดอ่อนที่สุดของผมก็คือเป็นคนที่ ท่องจำสิ่งต่างๆได้ไม่ค่อยดี ในขณะเดียวกันผมเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็นมากและรักที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆของตนเอง แม้ว่าจะยังเห็นได้ไม่ชัดในเวลานั้นก็ตาม

ผมไม่ชอบไปโรงเรียนไม่ใช่แค่เพราะว่ามันต้องใช้การจดจำอย่างมหาศาล แต่ผมไม่ได้รู้สึกสนใจกับหลายๆสิ่งที่ ครูคิดว่ามันสำคัญ จนกระทั่งช่วงที่มัธยมแม่ก็สั่งให้ผมไปที่ห้องและอ่านหนังสือก่อนจะออกไปเล่นได้แต่ผมก็ไม่เคยทำได้เลย พ่อของผมทำงานเลิกดึกมาก เขาเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบมาก ซึ่งต่อมาจะต้องมารับมือกับเด็กที่ขาดความรับผิดชอบ หลังจากที่แม่เสียผมใกล้ชิดกับพ่อมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ผมเริ่มจะมีครอบครัวของผมเองผมทั้งรักและชอบเค้าเลย เมื่อผมไม่ต้องการจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งผมจะต่อต้าน แต่เมื่อผมรู้สึกตื่นเต้นกับอะไรสักอย่างนึงแล้วอะไรก็ฉุดผมไว้ไม่อยู่

ตั้งแต่แปดขวบผมเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ เก็บหิมะบนถนน เด็กเช็ดโต๊ะ ผมรู้ว่าการมีงานเหล่านั้นและมีเงินพอที่จะทำอะไรสักอย่างได้ในช่วงปีใหม่อย่างอิสระ ได้สอนบทเรียนอันมีค่ามากมายซึ่งผมไม่สามารถเรียนรู้ได้จากที่โรงเรียน ในช่วงปีดังกล่าวทุกคนกำลังพูดถึงตลาดหุ้นเพราะมันสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าและมันทำเงินให้กับคนได้ รวมถึงคนที่เล่นกอล์ฟในสนามท้องถิ่นที่จะเรียกกันว่าลิง ดังนั้นผมจึงนำเอาเงินค่าแปลกกอล์ฟ จากการเป็นแคนดี้ไปเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น ผมได้ผลตอบแทนสามเท่า ซึ่งผมโชคดีมากแต่ผมก็ไม่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้เลย ผมคิดแค่ว่าการทำเงินจากตลาดหุ้นนั้นเป็นเรื่องง่ายดายดังนั้นผมเลยจึงติดเบ็ดเข้าเต็มๆ

ผมเป็นนักคิดที่มีแนวโน้มที่จะเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเสมอ โดยไม่ใช่แค่ในตลาดหุ้นแต่กลับทุกสิ่งทุกอย่าง ผมยังกลัวว่าความเบื่อหน่ายและอะไรที่มันธรรมดาพื้นๆมากกว่ากลัวความล้มเหลว สำหรับผมแล้วความยอดเยี่ยมนั้นดีกว่าความยอดแย่ แต่ความแย่นั้นดีกว่าอะไรที่มันธรรมดา เพราะอะไรที่แย่ๆมักจะทำให้ชีวิตมีสีสัน ในปีสุดท้ายของมัธยมปลายตลาดหุ้นยังคงเฟื่องฟูและผมกำลังทำเงินได้อย่างมากมาย แน่นอนว่าผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าปีนั้นเป็นปีที่ดีที่สุดของตลาดหุ้น หลังจากนั้นเกือบทุกอย่างของผมที่คิดว่าผมรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นก็ได้รับการพิสูจน์ว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด

บทที่ 2 ก้าวข้ามจุดเริ่มต้นแห่งการเปลี่ยนแปลง ปี 1967 – 1979

            ในช่วงระหว่างปีหกเจ็ดและเจ็ดเก้า ได้เกิดเหตุการณ์อันไม่คาดฝันที่ทำให้เศรษฐกิจแย่ลงจนราคาสินทรัพย์ตกอย่างไม่คาดคิดมาก่อน การใช้ชีวิตผ่านวิกฤตครั้งนี้ได้สอนผมว่าขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่คาดหวังให้อนาคตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นบางทีสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงอาจแตกต่างออกไปและไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง การเรียนในมหาวิทยาลัยก็ไม่เหมือนสมัยมัธยมปลายเสียทีเดียว ผมรักการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า เพราะผมจะได้เรียนในสิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่เพราะผมต้องเรียนเพื่อให้ได้ผลการเรียนที่ดี

ผมศึกษาวิชาการเงินเป็นวิชาเอกในมหาวิทยาลัยเพราะผมรักในตลาดหุ้น ในเวลานั้นฟิวเจอร์สของหุ้น พันธบัตร และค่าเงินยังไม่เกิด สัญญาซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้ามักเป็นสินค้าจริงจำพวกข้าวโพด ถั่วเหลือง ปศุสัตว์ และหมู ซึ่งนั่นคือตลาดที่ผมเริ่มต้นการซื้อขายและเรียนรู้เกี่ยวกับมัน ช่วงเวลานั้นเป็นปีที่ค่อนข้างยากลำบากมีการเกณฑ์ทหารในจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นและมีชายหนุ่มหลายคนต้องกลับบ้านมาในสภาพเป็นศพ สงครามเวียดนามได้แบ่งสองประเทศออกจากกัน พ่อของผมเป็นผู้ต่อต้านสงครามอย่างแรงกล้า แล้วคงเคืองมากหากผมจะต้องเข้าไปในสงคราม พ่อได้พาผมไปตรวจสุขภาพและม ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำนั่นจึงทำให้ผมได้รับการยกเว้น

ผมเรียนรู้ว่าสกุลเงินอื่นและแปรผันกับเงินเหรียญสหรัฐ รู้ว่าเงินเหรียญดอลลาร์สหรัฐแปรผันกับทองคำ รู้ว่าชาวอเมริกันไม่ได้มีสิทธิครอบครองทองคำ และรู้ว่าธนาคารกลางอื่นสามารถเปลี่ยนสกุลเงินตัวเองเป็นทองคำได้ ซึ่งเป็นการทำให้พวกเขาแน่ใจว่าจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ หากอเมริกาพิมพ์เงินเพิ่มออกมาเป็นจำนวนมาก

ผมสำเร็จการศึกษาด้วยเกรดเฉลี่ยที่เข้าขั้นสมบูรณ์ ซึ่งมันทำให้ผมได้ก้าวเข้าสู่โรงเรียนธุรกิจแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ช่วงกลางฤดูร้อนปีนั่นเองปัญหาสกุลเงินของสหรัฐเริ่มถึงจุดแตกหัก ระบบเงินตราทั่วโลกเริ่มต้นสู่การล้มละลายแต่นั้นก็ยังทำให้ผมรู้สึกถึงความไม่มั่นใจ ตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมาผมก็ยังได้รู้ได้เห็นว่าผู้วางนโยบายพยายามเรียกความมั่นใจให้ได้อย่างรวดเร็วก่อนที่สกุลเงินจะลดค่าลง บทเรียนนี้จะสอนผมว่าอย่าไว้ใจผู้ว่านโยบายรัฐบาลเมื่อเขายืนยันว่าจะไม่ยอมให้มีการลดค่าเงินเกิดขึ้น ในเช้าวันจันทร์ผมเดินเข้าไปในตลาดหลักทรัพย์ด้วยความคิดที่ว่าจะเกิดความโกลาหลที่นั่น ซึ่งก็ไม่ใช่มันเกิดความวุ่นวายก็จริงแต่ไม่ได้แบบที่ผมคิดเอาไว้แทนที่หุ้นจะตก มันก็ปีตัวสูงขึ้น และยังคงเพิ่มขึ้นทุกวันอย่างมีนัยยะ ใช้เวลาศึกษาเรื่องการลดค่าเงินที่เกิดขึ้นในอดีตผมได้เรียนรู้ว่าทุกสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้คือค่าเงินไม่มีความสัมพันธ์กับทองอีกต่อไป และความสัมพันธ์ที่เป็นสาเหตุของผลกระทบตามหลักการที่ทำให้การพัฒนาเป็นสิ่งที่เราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขณะเดียวกันต้องขอบคุณการพิมพ์เงินมาใช้และทำให้การใช้ทองคำมาเป็นมาตรฐานได้สิ้นสุดลง

อย่างไรก็ตามผมยังคงให้ความสนใจในการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากกว่าตลาดหุ้นที่กำลังร้อนแรง และในปีถัดมาตลาดหุ้นดิ่งลงเหว สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้สาเหตุมาจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของรัฐบาล ในการตอบสนองต่อวิกฤติหนี้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาจึงได้ใช้นโยบายรัดเข็มขัดที่ธนาคารกลางหลายแห่งทำเมื่อเกิดเงินเฟ้อและการเติบโตของประเทศมากจนเกินไป สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นสาเหตุของความตกต่ำที่สุดในตลาดหุ้นและทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงอย่างที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929

ผมเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ทำให้ผมมองเห็นว่าแทบทุกสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้งก่อนที่เราจะหาเหตุผลเชิงตรรกะว่าทำไมสิ่งนั้นถึงเกิดขึ้นได้

ในขณะนั้นเพื่อนร่วมห้องของผมเดทอยู่กับสาวคิวบา และเขาได้ทำนัดบอดให้กับผมเพื่อได้ออกเดทกับเพื่อนเธออีกคนหนึ่ง ชื่อว่า บาบารา เธอทำให้ผมใจสั่นตลอดเวลาเกือบสองปีก่อนที่เราจะย้ายมาอยู่ด้วยกัน และแบ่งปันชีวิตที่สุดยอดด้วยกันจนตอนนี้เธอก็ยังทำให้ผมหวั่นไหวอยู่ตลอดแต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวเกินไปที่จะพูดถึงเธอ

การก่อตั้ง Bridgewater อันที่จริงมันคือการเริ่มต้นใหม่ ผมได้ก่อตั้งธุรกิจร่วมกับบ็อบเพื่อนสมัยเรียน พร้อมด้วยเพื่อนอีกไม่กี่คนจากประเทศอื่น ตอนนี้เรากำลังสร้างสะพานข้ามแม่น้ำและเรามีกลุ่มเพื่อนที่ดี ผมทำงานที่อพาร์ตเมนต์สองห้องนอนของผม ผมทำงานร่วมกับเพื่อนคนหนึ่งที่เคยเล่นรักบี้ด้วยกัน และเราจ้างผู้ช่วยสาวที่ยอดเยี่ยมมาอีกคน ผมไล่ตามภารกิจพร้อมกับเพื่อนๆเพื่อช่วยให้ลูกค้าชนะตลาด สิ่งนั้นสนุกกว่ากันมีงานประจำทำเสียอีก ธุรกิจของผมมันทำให้ผมต้องไปต่างแดนแล้วทำให้ผมได้รู้จักกับคนที่น่าสนใจถ้าผมสามารถหาเงินได้จากการเดินทางในแต่ละครั้งมันก็จะยิ่งดีเข้าไปอีก

            การจำลองตลาดให้เหมือนกับเครื่องจักรกล ผมเริ่มเอาข้อมูลของตลาด สินค้าโภคภัณฑ์ สำหรับพวกมัน เพราะมันเป็นสิ่งที่จับต้องได้และมีปัญหาเรื่องการบิดเบือนราคาที่น้อยกว่าหุ้น ตลาดเหล่านี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับทุกอย่างเท่าที่จะสามารถจินตนาการได้ นี่ไม่ใช่การเรียนในทางทฤษฎี คนที่ฝึกฝนตนเองในธุรกิจแบบนี้แสดงให้เห็นว่ามีกระบวนการทางเกษตรกรรมทำงานกันอย่างไร และผมได้จัดเรียงอะไรก็ตามที่พวกเขาได้บอกผมให้เป็นโมเดลเพื่อใช้หาความสัมพันธ์ของสิ่งเหล่านั้นในแต่ละช่วงเวลา โมเดลเริ่มแรกนั้นใช้งานได้แสนง่ายดายแต่ผมก็รักที่จะสร้างและปรับปรุงมันให้ละเอียดขึ้น และดีพอเพียงเพื่อจะสร้างรายได้ให้แก่บริษัท

สร้างธุรกิจ ขณะที่ผมทำเงินได้ดี แต่งงานแล้วความสัมพันธ์ที่มีความหมายมันดีกว่ามากๆ สำหรับผมแล้วงานที่มีความหมายนั้นอยู่ในภารกิจที่ทำอยู่ตลอดเวลา แล้วความสัมพันธ์ที่มีความหมายก็คือสิ่งต่างๆที่ผมมีร่วมกับผู้คนที่ผมรู้สึกเป็นห่วงอย่างลึกซึ้ง แน่นอนว่าเงินไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อคุณได้เงินจำนวนที่เพียงพอต่อสิ่งที่คุณต้องการมันอย่างแท้จริงแล้ว

บทที่ 3 ก้นเหวของชีวิตผม ปี 1979 – 1982

             ช่วงนี้นับเป็นการผันผวนทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ปีหนึ่งเก้าสองเก้า อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวพุ่งทะยานขึ้นสูงส่งผลให้ตลาดหุ้น พันธบัตร และสินค้าโภคภัณฑ์  พังพินาศ มันเป็นช่วงเวลาแห่งความปั่นป่วนต่อเศรษฐกิจโลก ตลาดหุ้นหลายแห่งและตัวผมเองด้วย การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เหล่านี้เริ่มได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากวิกฤตการณ์น้ำมัน ความผันผวนของตลาดราคาน้ำมันดังกล่าวส่งผลให้เกิดสัญญาซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าเป็นครั้งแรก

 ขยายทีมงาน ผมได้พบกับผู้ชายที่ยอดเยี่ยมนามว่า พอล โคลแมน เขาเข้ามาร่วมงานกับเราและกลายเป็นเพื่อนที่ดีจากการร่วมงานกัน ผมให้ความเคารพในเรื่องสติปัญญาและค่านิยมต่างๆของเขา ดังนั้นผมจึงชวนเขาว่าเราสองคนมาพิชิตโลกด้วยกันเถอะ เราทำงานกันด้วยความท้าทายความคิดของกันและกัน และพยายามจะหาคำตอบที่ดีที่สุด เราถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องตลาดและปัจจัยอยู่เบื้องหลังจนดึกดื่น

 ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของผม อย่างที่คุณเห็นไม่มีอะไรเหมือนปีก่อนหน้ามันเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดครั้งนึงในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เราเข้าสู่หวงอำนาจของความหมายในคำว่าเสรีนิยม เริ่มบิดเบี้ยวกลายเป็นจ่ายเงินให้กับคนที่ไม่ได้ทำงาน ตามที่ผมเห็นนั้น เฟสอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก พวกเขาต้องทำสองอย่างพร้อมๆกันคือพิมพ์เงินเพื่อบรรเทานี่แหละทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ และแก้ส่วนที่ยากที่สุดของภาวะเงินเฟ้อ ปัญหาที่เลวร้ายลงเรื่อยๆทั้งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและความเลวร้ายของเศรษฐกิจ ผมมั่นใจว่าวิกฤติหนี้ที่นำโดยประเทศที่กำลังพัฒนาจะมาถึงแล้ว ผมแบ่งปันความคิดนี้กับลูกค้าของผมเนื่องจากมุมมองของผมมาจะเป็นที่ถกเถียง สรุปแล้วไม่มีใครสามารถหาข้อบกพร่องใดๆไหนข้อสรุปของผมได้เลยแม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะไม่เต็มใจรับข้อสรุปผม

เพราะผมเชื่อว่าโอกาสเป็นไปได้ในนั้น ผมจึงเลือกถือทองคำและพันธบัตร ในตอนแรกตลาดต่อต้านพกแต่ประสบการณ์ของผม ได้สอนว่าผมมีปัญหาในเรื่องจังหวะเวลามานานดังนั้นผมจึงเชื่อว่าผมกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และทำสิ่งที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อฤดูกาลมาถึงการเดิมพันในธนบัตรของผมก็เริ่มให้ผลตอบแทนและแนวคิดแปลกๆของผมก็เริ่มดูถูกที่ถูกทาง

 การหลอกลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา  เม็กซิโกผิดนัดชำระหนี้หลายๆประเทศเตรียมที่จะทวงหนี้คืนนี้เป็นข้อตกลงที่ใหญ่  เพราะผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ว่ากำลังจะเกิดขึ้นผมเริ่มได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก  รัฐสภาได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อพิจารณาเรื่องวิกฤติและเชิญผมไปเพื่อยืนยันแนวคิด ผมมั่นใจว่าเรากำลังมุ่งหน้าพิสูจน์สภาวะเศรษฐกิจถดถอย และอธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

หลังจากเม็กซิโกผิดสัญญาธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาตอบสนองต่อการล่มสลายทางเศรษฐกิจและการผิดนัดหนี้โดยการทำให้มีเงินเพิ่มเข้ามาในระบบมากขึ้นกว่าเดิม ตลาดหุ้นเริ่มพุ่งทะยานและเข้าสู่สภาวะตลาดกระทิงเป็นเวลานาน ที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมีความสุขในช่วงเวลาที่มีการเติบโตสูงสุดในประวัติศาสตร์ ประสบการณ์ของผมในช่วงเวลานี้เป็นเหมือนกันโดนไม้เบสบอลตีเป็นชุด การผิดพลาดอย่างมหันต์ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผิดพลาดต่อหน้าสาธารณชนเป็นเรื่องน่าอายประโยชน์อย่างเหลือเชื่อ และจุดนึงผมเสียเงินมากจนไม่สามารถจ่ายเงินให้กับคนที่ทำงานกับผมได้ผมต้องปล่อยให้พวกเขาไปทีละคนจนเหลือพนักงานเพียงแค่สองคนคือโคลแมนกับผม และในที่สุดโคลแมนก็ต้องไปทั้งน้ำตา

 การค้นหาวิธีผ่านปัญหาการลงทุนที่ยากลำบาก ข้อผิดพลาดที่นำไปสู่ความล้มเหลวของผมอย่างเห็นได้ชัดประการแรกคือผมรู้สึกมั่นใจเกินไปและปล่อยให้อารมณ์เป็นมากกว่าเหตุผล ผมเรียนรู้อีกครั้งว่าต้องให้ผมรู้และทำงานหนักมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถมั่นใจมากพอที่จะประกาศสิ่งต่างๆ ประการที่สองผมเห็นคุณค่าของการศึกษาประวัติศาสตร์อีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นมันคือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ผมควรตระหนักว่าสกุลเงินของตัวเองสามารถปรับโครงสร้างได้สำเร็จ ด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาล และเมื่อธนาคารกลางทั้งหลายรวมตัวช่วยกัน เมื่อมองไปที่ความล้มเหลวนี้ผมตระหนักว่าถ้าผมกำลังจะก้าวไปข้างหน้าและมีโอกาสน้อยที่จะผิดพลาดซ้ำสองผมต้องมองมาที่ตัวเองอย่างเป็นกลางและเริ่มต้นการเรียนรู้ที่ดีกว่าในการจัดการความก้าวร้าวตามธรรมชาติของผมที่มักแสดงให้เห็นเสมอเวลาที่ไล่ตามสิ่งที่ต้องการ

บทที่ 4 ถนนการทดลองของผม ปี 1983 – 1994

             ผมค่อยๆเพิ่มลูกค้ารายได้และทีมใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปความก้าวหน้าของผมก็เพิ่มขึ้นอย่างมากทั้งในแง่ของความรู้และความอดทน คอมพิวเตอร์เป็นหนึ่งในสิ่งที่มีค่ามากที่สุดสำหรับผมเพราะมันช่วยผมมากหากไม่มีพวกมันบริษัทอาจไม่มีวันประสบความสำเร็จเท่าที่มันควรจะเป็น ถ้ามีคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บข้อเท็จจริงทั้งหมดของโลกได้ถ้าเป็นไปตามโปรแกรมที่สมบูรณ์แบบมากพอที่จะประมวลผลความสำคัญระหว่างตัวเลขต่างๆทั้งหมดในโลกนี้ไม่แน่ว่าอนาคตของเราอาจมีการทำนายที่เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เมื่อใดก็ตามที่ผมเข้าเทรดในตลาดผมจะเขียนเกณฑ์ที่ผมใช้ในการตัดสินใจ จากนั้นเมื่อผมปิดสถานะผมสามารถบอกกับตัวเองได้ว่าเกณฑ์เหล่านี้ทำงานได้ดีเพียงใด จากนั้นมันก็เปลี่ยนการเขียนเกณฑ์เหล่านี้ให้อยู่ในรูปแบบของสูตรคำนวณ ผมจะเริ่มต้นด้วยสัญชาตญาณเหมือนที่ผมเคยทำแต่ผมจะเปลี่ยนมันให้เป็นตรรกะในรูปแบบของเกณฑ์การตัดสินใจ แล้วแฟนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นกระบวนการที่เป็นระบบ สร้างแผนความคิดเพื่อรับมือกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นในแต่ละสถานการณ์ จากนั้นผมจะประมวลผลข้อมูลย้อนหลังด้วยระบบที่ผมสร้างขึ้นมาดูว่าการตัดสินใจของผมมีผลอย่างไรในอดีตและถ้าผลลัพธ์มันไม่ดีพอผมก็จะปรับกฎการตัดสินใจให้เหมาะมากยิ่งขึ้น

 กอบกู้ Bridgewater ปีแปดสามบริษัทเรามีพนักงานหกคนจนถึงตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้ทำการตลาดใดๆ ชัดเจนว่ามีคนอยากได้บทวิเคราะห์วิจัยของผมมากขึ้นและผมตระหนักว่าเราควรขายมันเพื่อเป็นรายได้เสริมจากการให้คำปรึกษาและการเทรดของเรา ในตอนนั้นธุรกิจของเราประกอบด้วยส่วนหลักๆต่างๆได้แก่ การให้คำปรึกษา การบริหารความเสี่ยงธุรกิจ และการขายบทวิเคราะห์ เราทำงานร่วมกับบริษัทสถาบันการเงินและสถาบันของรัฐบาลทุกแห่งที่มีความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับตลาด ส่วนที่สำคัญที่สุดคือการแยกระหว่างกำไรที่เกิดจากธุรกิจหลักและผลกำไรขาดทุนจากการเก็งกำไรเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของราคา

ผมคิดว่าเราสามารถเป็นผู้จัดการกองทุนของสถาบันที่ประสบความสำเร็จได้ดังนั้นผมจึงนำไปเสนอ ให้กับผู้บริหารกองทุนบำเหน็จบำนาญของธนาคารโลกที่สำคัญที่สุด ศิลป์เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนในเวลานั้น แม้ว่าเราจะไม่มีสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การบริหารและไม่มีประวัติผลการดำเนินงานแต่อย่างใด แต่เธอก็ได้ให้บัญชีตราสารหนี้มูลค่าห้าล้านดอลลาร์สหรัฐแก่เราเพื่อให้ไปบริหาร นั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่สำหรับเราเนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัทที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

Bridgewater ในเวลาต่อมา ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับประสบการณ์เท่ากับตัวตน ความคิดสร้างสรรค์และสามัญสำนึก แต่สิ่งที่ผมคิดว่าสอดคล้องกับการก่อตั้งบริษัทที่เกิดขึ้นเพียงสองปีหลังจากผมเรียนจบและผมเชื่อว่าการมีความสามารถในการคิดเพื่อแก้ไขปัญหานั้นมีความสำคัญกว่าการมีความรู้เฉพาะทางในการทำอะไรสักอย่าง ดูเหมือนว่าคนหนุ่มสาวกำลังเริ่มสร้างสิ่งใหม่ๆที่เหมาะสมซึ่งน่าตื่นเต้น ผู้สูงอายุจะทำสิ่งต่างๆในรูปแบบเก่าแต่ผมที่ควรจะคิดอะไรให้เยอะกว่านี้เพราะการมอบหมายความรับผิดชอบให้กับคนที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนผลลัพธ์ที่ออกมามันก็จะไม่ดีเสมอไป บทเรียนที่เจ็บปวดอย่างยิ่งคุณจะได้อ่านหลังจากนี้ และมันได้สอนผมว่าการให้คุณค่ากับประสบการณ์น้อยเกินไปสามารถก่อให้เกิดความผิดพลาดได้ไม่ยาก

 การค้นหา จอกศักดิ์สิทธิ์แห่งการลงทุน จากความล้มเหลวของผมผมทำให้มันเป็น สิ่งที่ทำให้ผมมั่นใจว่าผมจะทำอะไรได้ดีเพียงใดมันก็ยังอาจผิดพลาดได้ การกระจายความเสี่ยงที่เหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงโดยไม่ต้องลดผลตอบแทนถ้าผมสามารถสร้างพอร์ตโฟลิโอที่มีแต่ผลตอบแทนที่มีคุณภาพซึ่งมาจากการกระจายความเสี่ยงได้อย่างถูกต้องผมก็จะสามารถเสนอผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและความเสี่ยงน้อยกว่าให้กับลูกค้าได้ในแบบที่เขาไม่สามารถหาได้แต่ที่อื่นเลย

การมีสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนไม่มีความสัมพันธ์กันเลยนั้นดีกว่าการลงทุนในสินทรัพย์เพียงชนิดเดียว และการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆในสัดส่วนที่เหมาะสมนั้นมีความสำคัญกว่าการเลือกสินทรัพย์ให้ถูกตัวเสียอีก แม้การกระจายลงทุนในหลายสินทรัพย์ แต่หากสินทรัพย์แต่ละชนิดมีความสัมพันธ์กันอีกมากๆการกระจายการลงทุนก็ไม่ได้ทำให้ความเสี่ยงลดลง ยิ่งสินทรัพย์ไม่มีความสัมพันธ์กันมากเท่าไหร่โอกาสที่จะขาดทุนยิ่งลดลง การเลือกสินทรัพย์ที่ถูกต้องอาจเป็นเรื่องสำคัญแต่การลงทุนในสินทรัพย์แต่ละอย่างด้วยอัตราส่วนที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องสำคัญกว่า และสินทรัพย์แต่ละอย่างก็ไม่ควรมีความสัมพันธ์กันเอง ระบบดังกล่าวที่ผมคิดค้นตอนนั้นผมเรียกมันว่า ระบบนักฆ่า เพราะมันได้สร้างกำไร ผลตอบแทนให้กับเราลูกค้าของเรา หรือมันอาจจะฆ่าเราเสียเองเพราะเราลืมบางอย่างที่สำคัญในการทดสอบไป ได้เปลี่ยนชื่อเป็น เพียวอัลฟ่า

บทที่ 5 จุดสูงสุดของความรู้ ปี 1995 – 2010

             ในเวลานี้บริษัทได้เติบโตขึ้นจนมีพนักงานสี่สิบสองคน และบริหารเงินที่มีมูลค่า มากกว่าสี่พันล้านดอลล่าร์ ซึ่งมากกว่าที่ผมเคยคิดไว้ การคิดอย่างเป็นอิสระและการสั้นๆเกี่ยวกับวิธีการวางเดิมพันของเรา เราทำความผิดพลาด เรานำความผิดพลาดเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อหาต้นตอของปัญหา ออกแบบวิธีการใหม่ๆที่ดีกว่าเดิมในการทำสิ่งต่างๆ ดำเนินการเปลี่ยนแปลงอย่างมีระบบ สร้างความผิดพลาด และทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ ด้วยวงจรซ้ำๆแบบนี้มันจะก่อให้เกิดวิวัฒนาการ

นอกจากนี้เรายังลงทุนในเรื่องของประสิทธิภาพในการคำนวณของระบบคอมพิวเตอร์ให้แรงมากขึ้น การที่ระบบของเราทำงานผ่านคอมพิวเตอร์เหล่านี้ช่วยให้เรามีเวลาเพียงพอในการทำสิ่งสำคัญๆอย่างการวิเคราะห์ตลาดจากระดับที่สูงขึ้นไปเพื่อให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ดีที่สุดนำเสนอกับลูกค้าของเราได้

 การค้นพบพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ คนที่ดูแลเงินทั้งหมดของตระกูล ถามผมว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่การลงทุนของมูลนิธิให้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐที่ห้าเปอร์เซ็นต์ได้หรือไม่ ตอบว่าก็อาจมีทรัพย์สินบางอย่างที่เป็นไปได้ จากการวิเคราะห์ของเราสินทรัพย์ใหม่ประเภทนี้จะมีประสิทธิภาพดียิ่งกว่าที่เราคาดไว้ อันที่จริงแล้วมันจะมีประสิทธิภาพที่โดดเด่นอย่างมากเพราะเราสามารถพัฒนามันให้ผลตอบแทนที่เหมือนกับหุ้นแต่มีความเสี่ยงน้อยกว่าและมีความสัมพันธ์เชิงลบกับพันธบัตรและหุ้นในกรอบเวลาที่ยาวนาน เราแสดงงานวิจัยชิ้นนี้ให้แก่ลูกค้าของเราและพวกเขาก็ชอบมันมาก หลังจากนั้นไม่นานเราก็กลายเป็นผู้จัดการกองทุนพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อระดับโลกแห่งแรก

 เป็นบริษัทที่ดีหรือเป็นสถาบันที่ยิ่งใหญ่ คนส่วนใหญ่คิดว่าความท้าทายในการเติบโตของธุรกิจขนาดใหญ่นั้นยากกว่าการเติบโตของธุรกิจขนาดเล็ก ผมไม่สามารถพูดได้ว่าความท้าทายเหล่านี้อันไหนง่ายหรืออันไหนยากกว่ากัน แต่ละช่วงมีความแตกต่างกัน ผมเองเชื่อว่าเราจำเป็นต้องพัฒนาบริษัทให้เป็นสถาบันที่จริงจังแทนที่จะเป็นเพียงแค่ผู้จัดการการลงทุนขนาดกลางแบบทั่วๆไป การทำเช่นนี้จะทำให้เราดีขึ้นในหลายทาง ทั้งในด้านเทคโนโลยีที่ดีขึ้นการควบคุมความปลอดภัยที่ดีขึ้น พนักงานเก่งๆมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้เรามีเสถียรภาพและยั่งยืนมากขึ้นซึ่งหมายถึงการจ้างคนเพิ่มขึ้น ทั้งในด้านเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานและส่วนอื่นๆรวมถึงเพิ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลและไอทีเพื่อช่วยในการฝึกอบรมและคอยสนับสนุนพวกเขา

 สร้างหลักการ ผมเขียนและใช้หลักการทำงานของผมชัดเจนขึ้นเช่นเดียวกับที่ผมเขียนหลักการของการลงทุนของผมเอาไว้ ในตอนแรกมันเป็นเพียงรูปแบบถ้อยคำประโยคปรัชญาที่ใช้ร่วมกันไดร์อีเมลไปทั่วทั้งบริษัท จากนั้นเมื่อใดก็ตามที่สิ่งใหม่ๆเข้ามาผมต้องทำการตัดสินใจ ผมจะพิจารณาหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจและเขียนหลักการของผมลงไป เพื่อให้ผู้คนสามารถเชื่อมโยงระหว่างสถานการณ์นั้นกับหลักการและการจัดการของผมและการทำงานของผม ยิ่งทำมากขึ้นยิ่งทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆว่ามันคือเรื่องที่เคยเกิดขึ้นซึ่งเป็นประเภทของเหตุการณ์ต่างๆ

ดังนั้นผมได้จัดเตรียมรายละเอียดเกี่ยวกับหลักการทำงานคร่าวคร่าว และแจกจ่ายให้กับผู้จัดการของบริษัทเพื่อให้พวกเขาสามารถถกเถียงในประเด็นต่างๆและทำให้มันสมเหตุสมผลกับพวกเขา มันคือฉบับร่าง ผมเขียนแบบนี้เอาไว้บันทึกข้อความของผมแต่มันจะถูกส่งออกไปเพื่อใช้รวบรวมความคิดเห็น สิ่งเหล่านี้เริ่มมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องในการรับมือกับสถานการณ์หลายๆแบบ และสร้างหลักการมาจัดการกับสถานการณ์เหล่านี้เพื่อให้ไปในทิศทางที่เดียวกันกับผู้บริหารและผู้จัดการคนอื่นๆของบริษัท

             ผู้บริหารที่ไม่เข้าใจรูปแบบการคิดที่แตกต่างกันของผู้คนจะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าคนที่ทำงานให้พวกเขาจะสามารถจัดการสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้อย่างไร มันเหมือนกับหัวหน้าคนงานที่ไม่เข้าใจอุปกรณ์ของเขาทำงานยังไง เขาเข้าใจนี้จะนำไปสู่การทดสอบทางจิตวิทยาเพื่อเรียนรู้วิธีคิดที่แตกต่างกันของผู้คน

             การค้นพบแบบทดสอบทางจิตวิทยา ผมเริ่มมองหาการทดสอบที่จะช่วยให้เราเข้าใจกันและกันได้ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ในตอนแรกสิ่งเหล่านี้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าเพราะนักจิตวิทยาส่วนใหญ่ที่ผมเจอไม่ค่อยชอบเกี่ยวกับการค้นหาความแตกต่างของสิ่งเหล่านี้ ผู้จัดการส่วนใหญ่ของบริษัทได้ทำการทดสอบแบบทดสอบจิตวิทยาซึ่งผลเหล่านั้นทำให้ผมประหลาดใจอย่างมากผมไม่เชื่อเลยว่าบางคนคิดแบบนั้นจริงๆ ตามแบบทดสอบที่อธิบายเอาไว้แต่เมื่อผมขอให้พวกเขาให้คะแนนว่าผลลัพธ์ตรงแค่ไหนด้วยสเกลการให้คะแนน โดยมากกว่าร้อยแปดสิบให้คะแนนไม่สี่ก็ห้าจะคะแนนเต็มห้า

 ทำให้ Bridgewater มั่นคงและล้ำหน้า ประมาณห้าปีหลังจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัทเราพบปัญหาใหม่มากมาย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ตั้งแต่เราเริ่มต้นบริษัทเรามักจะมีปัญหาเสมอ เพราะเราชอบทำสิ่งใหม่ๆทำผิดพลาดและเรียนรู้พัฒนาได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ องค์กรของเราต้องปรับปรุงอีกหลายจุดซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จะช่วยเริ่มต้นผมสามารถสลับไปมาระหว่างการจัดการการลงทุนและการจัดการธุรกิจได้ แต่ตอนนี้บริษัทใหญ่ขึ้นมากการบริหารจัดการบริษัทต้องการเวลามากกว่าที่ผมจะให้ได้

สำหรับผมแล้วความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการที่คุณสามารถทำให้ผู้อื่นทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีโดยไม่จำเป็นต้องมีคุณอยู่เลย ลำดับรองลงมาคือการทำสิ่งดีๆด้วยตัวคุณเอง และแย่ที่สุดคือทำสิ่งแย่ๆด้วยตัวคุณเอง ในขณะนี้ผมได้มาย้อนดูตัวเอง ผมพบว่าทั้งๆที่บริษัทประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมแต่ตัวผมเองกลับติดอยู่กับความสำเร็จลำดับที่สองคือทำสิ่งต่างๆได้ดีด้วยตัวผมเองเท่านั้น

 วิกฤตเศรษฐกิจและการเงินในปี 2008  การตระหนักได้ว่าผมมาถึงขีดสุดแล้วก็ไม่ทำให้สิ่งที่ถาโถมเข้ามาหาผมได้ช้าลงเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการลงทุนที่ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุดในประวัติศาสตร์ ผมรู้ว่าเราจำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจและการเคลื่อนไหวของตลาดที่สำคัญๆทั้งหมด ไม่ใช่เพราะสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับผมเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจหลักการนี้จะสามารถใช้ได้ผลตั้งแต่เหตุการณ์ในอดีตกับประเทศอื่นๆทั้งหมด ความกลัวที่จะผิดพลาดของผมช่วยผลักดันให้ผมไปหาผู้คนที่ฉลาดคนอื่นๆเพื่อหาจุดผิดพลาดในแนวคิดของผม ผมยังต้องการที่จะพูดคุยกับผู้คนกำหนดนโยบายสำคัญๆต่างๆเพื่อทำการทดสอบแนวคิดของผมเองและเพื่อให้พวกเขาตระหนักถึงสถานการณ์ที่ผมเห็น

เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เราคำนวณไม่สามารถหาใครแย้งข้อมูลของเราได้เราจริงจะทำพอร์ตการลงทุนของลูกค้าโดยปรับสมดุลพอร์ตให้มีผลตอบแทนแบบพอสมควร และมีการจัดการความเสี่ยงเอาไว้แบบแผนสำรองในกรณีที่เราผิดพลาดแม้ว่าเราคิดว่าเราเตรียมพร้อมแล้วก็ตาม เพื่อสรุปเรื่องนี้ให้สั้นลงแล้วได้วิเคราะห์ช่วงเวลานี้อย่างเต็มเปี่ยมเพื่อลูกค้าของเราเอง เพื่อการคาดการณ์ความเคลื่อนไหวของตลาดและเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น กองทุนเรือธงของเราสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าสิบสี่เปอร์เซ็นต์ ในปีสองพันแปดซึ่งเป็นปีที่นักลงทุนรายอื่นๆได้รับผลกระทบติดลบมากกว่าสามสิบเปอร์เซ็นต์ เมื่อมีคลื่นยักษ์รูปใหม่เข้ามาอีก ไม่กี่ปีข้างหน้าหรือมากกว่านั้น มันก็เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์ จะสร้างความเจ็บปวดอย่างมากยกเว้นแต่ว่าร่างกายเหล่านี้ได้รับการบันทึกในคอมพิวเตอร์ของผมแล้ว

             การช่วยเหลือเหล่าผู้กำหนดนโยบาย ผมคิดว่าบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับวิกฤติคือการทำงานมากขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะพลาดการเงินได้พูดคุยกันนะเศรษฐศาสตร์มหภาคและสร้างแบบจำลองที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นได้ เขาพูดถูกเราซึ่งเป็นคนภาคการเงินมองโลกแตกต่างจากนักเศรษฐศาสตร์มอง อันเป็นผลมาจากความสำเร็จของเรา เราผู้กำหนดนโยบายต่างๆเชื่อเรามากขึ้นซึ่งทำให้ผมมีโอกาสได้ติดต่อกับผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจระดับอาวุโสในสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกมากขึ้น บ่อยครั้งที่การแลกเปลี่ยนข้อมูลของเราจะมีเพียงด้านเดียว คือผมตอบคำถามกับพวกเขาและไม่ได้ถามอะไรที่จะทำให้พวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่น่าอึดอัดใจที่เผยข้อมูลที่เป็นความลับให้แก่ผม ผมได้เข้าพบกับผู้นำเหล่านี้โดยไม่มีการตัดสินและไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพวก ผมเข้าหาพวกเขาเหมือนผมเป็นแพทย์เพียงต้องการให้เกิดผลกระทบที่เป็นประโยชน์มากที่สุด

 ขึ้นจากใต้ดินสู่บนดิน การได้รับความสนใจอย่างมากจากประสบการณ์ความสำเร็จของผม เป็นสถานะที่ไม่ดีเท่าไหร่ ผมไม่ชอบการได้รับความสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งผมไม่ชอบการเข้าใจผิด เพราะผมไม่ได้รู้สึกว่ามันกำลังทำลายความสามารถของเราในการรับสมัครคนที่ดี ในเวลาเดียวกันผมก็ได้ตระหนักว่าเป็นเพราะเราไม่ได้ปล่อยให้สื่อต่างๆเห็นว่าจริงๆแล้วองค์กรของเราทำงานแบบไหนกันแน่ ผมจึงตัดสินใจเผยแพร่หลักการทั้งหมดของผมออกสู่สาธารณชน ซึ่งอธิบายตัวอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่เรากำลังทำอยู่และทำไมเราถึงทำแบบนั้น ผมเขียนใส่ไว้ในเว็บไซต์ของเราเพื่อให้ทุกคนสามารถอ่านและเข้าใจในหลักการนี้ได้

 เตรียมการให้บริษัทประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องมีผมอีกต่อไป ไม่ว่าเราจะใส่ความพยายามมากแค่ไหนในการคัดเลือกพนักงานใหม่และฝึกอบรมพวกเขาให้ทำงานด้วยแนวคิดแบบความสามารถนิยมของเรา แต่มันอาจจะยังไม่เพียงพอ วิธีการรับมือของผมคือมีขบวนการจ้าง การฝึกอบรม การทดสอบ การไล่ออก หรือการเลื่อนตำแหน่งที่รวดเร็ว เพื่อให้เราสามารถระบุได้เร็วที่สุดว่าใครที่ใช้และใครที่ไม่ใช่ ผมต้องทำซ้ำซ้อนขั้นตอนนี้อีกเป็นร้อยครั้งจนกว่าเปอร์เซ็นต์ของพนักงานที่ยอดเยี่ยมมีอัตราสูงพอที่เราต้องการ แผนของผมคือการก้าวออกไปจากการเป็นซีอีโอ และทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับคนที่จะขึ้นเป็นซีอีโอแทนผม ซึ่งทำให้ผมมีเวลามากขึ้นและได้ทำในสิ่งที่อยากทำในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ผู้บริหารในองค์กรต่างๆต้องเผชิญกับทางเลือกที่สำคัญได้ทุกวัน วิธีที่พวกเขาตัดสินใจเลือกทางเหล่านั้นจะกำหนดลักษณะขององค์กร คุณภาพของความสัมพันธ์และผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น

บทที่ 6 การส่งต่อความรู้ ปี 2011 – 2015

             สำหรับผมแล้วชีวิตมีสามช่วงเวลา ในช่วงเวลาที่หนึ่งเหล่านั้นพึ่งพาผู้อื่นและเรียนรู้ ในช่วงเวลาที่สองผู้อื่นนั้นพึ่งพาเราเหล่านั้นทำงาน ในช่วงเวลาที่สามเป็นช่วงสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครพึ่งพาเราแล้วเราไม่จำเป็นต้องทำงาน เรามีอิสระในการลิ้มลองชีวิต ผมเริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่สามพร้อมสติปัญญาและความมั่นคงทางอารมณ์ ผมไม่ตื่นเต้นกับประสบความสำเร็จอีกต่อไป แต่ผมกลับตื่นเต้นเมื่อคนที่ผมรักสามารถประสบความสำเร็จได้โดยปราศจากผม

ผมมีสองตำแหน่งที่จะต้องเปลี่ยนผ่าน นั่นคือหน้าที่ในการกำกับดูแลบริหารงานของบริษัทและในฐานะประธานเจ้าหน้าที่ที่บริหารและหน้าที่ดูแลบริหารการลงทุนในฐานะหัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุน แต่คำถามที่ใหญ่ที่สุดและเป็นคำถามที่ยากสำหรับผม คือควรปีกตัวจากการบริหารงานอย่างเต็มตัวหรืออยู่ต่อในหน้าที่ผู้ให้คำปรึกษา แล้วผมจึงตัดสินใจอยู่ต่อและทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาซึ่งหมายความว่าผมจะไม่แนะนำหรือหากต้องแนะนำก็จะทำในช่วงท้ายสุด และพร้อมที่จะให้คำปรึกษาเสมอ หุ้นส่วนชอบไอเดียนี้ของผมมา พวกเราต่างเห็นพ้องต้องกันว่าควรเริ่มต้นอย่างเร็วที่สุดเพื่อให้ผู้ที่จะมาทดแทนผมสั่งสมประสบการณ์และเราจะสามารถปรับตามความจำเป็นได้เพราะเราไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำอะไรมาบ้าง

 เรียนรู้ว่านักปั้นเป็นยังไง ทีมบริหารใหม่ต้องปรับตัวและทำงานกันอย่างหนักเป็นเวลากว่าปีครึ่ง และเราก็ได้วินิจฉัยปัญหาของทีมเหมือนกับวิศวกรที่วินิจฉัยปัญหาของเครื่องจักร เพื่อซ่อมแซมให้การทำงานออกมาดีที่สุด ด้วยความที่ทุกคนสามารถทำผลลัพธ์ได้ต่างกันออกมาโดยคำนึงถึงความชอบและความสามารถ จากการเฝ้าสังเกต ผู้ที่ปั้นคนได้ดี สิ่งที่ผมมีคล้ายกับพวกเขาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครสามารถเห็นสิ่งที่ตัวเองต้องการให้ประสบความสำเร็จได้ทั้งหมด แม้บางคนจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าคนอื่น แต่คนที่ทำได้ดีที่สุดคือคนที่สามารถมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลระหว่างที่ร่วมงานกับคนเก่งคนอื่นๆที่มีวิสัยทัศน์ที่แตกต่างกันออกไป

การค้นพบครั้งนี้ทำให้การตัดสินใจในการออกจากตำแหน่งบริหารของผมเป็นไปได้ด้วยดีแม้ว่าในอดีตผมจะเจอปัญหามาบ้าง ผมพยายามที่จะเข้าใจต้นเหตุและออกแบบวิธีการแก้ปัญหาของผม คนที่คิดไม่เหมือนผมก็มักจะตัดสินใจและแก้ไขปัญหาที่ต่างออกไป ฉะนั้นหน้าที่ของผมการเป็นผู้นำให้คำปรึกษาจะต้องช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในด้านนั้น

 เปลี่ยนความสามารถนิยมของเราให้เป็นระบบ ยิ่งผมทำการวิจัยอยู่กับผู้คนมันยิ่งชัดเจนว่ามีผู้คนมากมายหลายแบบและผู้คนรูปแบบเดียวกันในสถานการณ์แบบเดียวกันก็จะนำมาซึ่งผลลัพธ์แบบเดิม แต่หากเรารู้ว่าใครเป็นแบบไหนเราก็จะสามารถเข้าใจในสิ่งที่ได้รับจากพวกเขาได้ มันทำให้ผมเกิดแรงผลักดันมากกว่าเดิมในการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนเพื่อช่วยให้รอเข้าใจคนแต่ละรูปแบบและสามารถมอบหมายงานที่เหมาะสมแกคนเหล่านั้นได้ด้วยการใช้หลักฐานต่างๆประกอบการกระบวนการสร้างความสามารถนิยม เพื่อมอบหมายงานที่จะรับผิดชอบให้เข้ากันจุดแข็งในตัวตนของพวกเขามากยิ่งขึ้น

 การส่งต่อความรู้ ในช่วงท้ายของชีวิตการชนะสงครามและการได้รับรางวัลมากขึ้นมักจะกลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นน้อยลงสำหรับวีรบุรุษ แต่กลับตื่นเต้นกว่าเดิมเมื่อได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้ให้กับคนอื่น ผมยังเห็นอีกว่าการเป็นวีรบุรุษไม่ได้เท่อย่างที่ใครคิด เหล่าฮีโร่หลายคนถูกทำร้ายอับอายหรือถูกฆ่าแม่หลังจากที่พวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว อันที่จริงมันยากที่จะเห็นตรรกะในการเลือกบทบาทของวีรบุรุษแต่ผมสามารถเห็นความเชื่อมโยงที่เกี่ยวกันกับวิธีบางประเภทของคนที่เริ่มต้นและอยู่บนเส้นทางของวีรบุรุษ จัดงานสะท้อนของผมจะเห็นได้ว่าชีวิตของผมจะจบในเวลาอันสั้นและสิ่งที่ผมทิ้งเอาไว้จะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น และส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆมากกว่าแค่คนในบริษัทและครอบครัวของผม มันจะช่วยให้ผมเห็นชัดเจนว่าผมจำเป็นจะต้องส่งต่อสิ่งที่ผมมีอยู่เพื่อช่วยเหลือคนอื่นที่อยู่ข้างหลัง โดยเฉพาะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลักการทั้งหลายหนังสือเล่มนี้และเงินของผมด้วย

40  ปี Bridgewater เมื่อบริษัทได้ครบรอบปีที่สี่สิบไม่มีบริษัทใดในอุตสาหกรรมนี้ประสบความสำเร็จได้ถ้าเรา คนสำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางของเราตั้งแต่เริ่มแรกตลอดสี่สิบปีของเราได้ลุกขึ้นพูด แล้วคนที่ได้อธิบายถึงวิวัฒนาการของบริษัทผ่านสายตาของพวกเขาเพื่อบางสิ่งเปลี่ยนแปลงไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่คนอื่นๆยังคงเหมือนเดิม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวัฒนธรรมของเราในการมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศในการทำงานและความเป็นเลิศในความสัมพันธ์ที่ใช้ความจริงใจ และโปร่งใสให้กันและกัน พวกเขาเล่าว่าเราพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าและพยายามเรียนรู้อะไรใหม่ๆ ล้มเหลวเรียนรู้จากความล้มเหลวของเรา ปรับปรุงและพยายามอีกครั้งโดยทำขึ้นไปเรื่อยๆ แม้จะยังมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำแต่ในเวลานั้นเราก็คิดได้ว่าเรากำลังจะปิดฉากการเปลี่ยนผ่านของผมได้อย่างสวยงามผมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าปีหน้าจะยากเย็นแค่ไหน

บทที่ 7 ปีสุดท้ายกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ปี 2016 – 2017

             เราได้รู้ว่าการเปลี่ยนผ่านต่างๆของเราไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดนะ เป็นช่วงเวลาหลายเดือนที่มีปัญหาถาโถมเข้ามามากมายแบบที่เราไม่สามารถป้องกันได้ ผมไม่ได้เป็นซีอีโออีกแล้วดังนั้นมันจึงไม่เป็นหน้าที่ของผมในการบริหารบริษัทในฐานะประธานบริษัท หน้าที่ของผมคือการเฝ้าสังเกตการณ์ซีอีโอเพื่อให้มั่นใจว่าเขาสามารถบริหารบริษัทได้อย่างดี ดังนั้นในช่วงหลายสัปดาห์เราได้แลกเปลี่ยนมุมมองความคิดเห็นซึ่งกันและกันโดยผู้บริหารหลักเราได้ทำการเสนอแนวคิดและข้อเสนอแนะต่างๆต่อสมาชิกคณะกรรมการของบริษัท

การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดจะกระบวนการดังกล่าวได้มีการประกาศ ว่าเกรดจะหยุดบทบาทในการเป็นซีอีโอร่วม เพื่อให้เขาสามารถมุ่งความสนใจหน้าที่ในหัวหน้าฝ่ายการลงทุน ความล้มเหลวนี้เป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเกรซ และกลุ่มเองตระหนักได้ว่าผมให้เค้ารับภาระที่หนักเกินไปในการคาดหวังให้เขาทำหน้าที่ทั้งซีอีโอร่วมและหัวหน้าฝ่ายการลงทุนไปพร้อมๆกัน

ผมรู้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งตามวิธีของเขาเองผมรู้สึกดีใจที่เราทั้งสองคนผ่านเรื่องเหล่านี้ มันทำให้เราแข็งแกร่งมากขึ้นและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ระบบของเราที่ใช้ในการระบุและแก้ไขปัญหาสามารถทำงานได้เป็นอย่างดี ในขณะที่เราทั้งสองมีมุมมองที่แตกต่างกันในกรณีนี้ก็เป็นเรื่องที่ยืนยันความเชื่อของเราต่อกระบวนการตัดสินใจแบบความสามารถนิยมของเราที่เก็บรวบรวมความเห็นต่างๆมาวิเคราะห์จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่เราตัดสินใจเพียงคนเดียว เหลือตอนนี้ผมมีกระสุนอีกนัดหนึ่งเพื่อแก้ตัวอีกครั้งดังนั้นผมจึงเริ่มคิดระบบการกำกับดูแลในมุมที่ผมไม่เคยคิดมาก่อน

มันเป็นเรื่องง่ายๆเพียงแค่การตั้งระบบการกำกับดูแลว่าเป็นการตรวจสอบและการถ่วงดุลเพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยไม่ว่าใครก็ตามที่จะขึ้นเป็นผู้นำองค์กร ผมได้เรียนรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมากที่เราคิดว่าคนๆหนึ่งที่สามารถประสบความสำเร็จได้ในบทบาทหนึ่งจะสามารถประสบความสำเร็จในบทบาทอื่นๆได้หรือวิธีการทำงานของคนๆหนึ่งจะเหมาะกับอีกคนหนึ่งได้ด้วย มีความล้มเหลวหลายอย่างที่เราไม่เคยได้เจอแต่เราหวังว่าจะได้เจอบ้าง ซึ่งจะทำให้เกิดวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของเราในเรื่องการมีข้อผิดพลาด ได้ลองผิดลองถูกและเรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านั้น ผมขอขอบคุณการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่ทำให้เรา ได้ทำสิ่งต่างๆและในที่สุดเพียงแค่หนึ่งปีผมก็สามารถที่จะก้าวออกจากการเป็นซีอีโอเฉพาะกิจได้

บทที่ 8 ย้อนกลับไปจากมุมมองที่สูงขึ้น

             ขณะที่ผมมองย้อนกลับไปในประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านมาของผมสิ่งที่น่าสนใจก็คือการสะท้อนมุมมองของผมที่มีการเปลี่ยนแปลงไปมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมไม่วาจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการตลาดเรื่องทั่วไปในชีวิตหรือกระทั่งเรื่องใหญ่ๆ เรื่องคอขาดบาดตายที่ชีวิตของผมได้พบเจอมาไม่มากนัก เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆที่เคยพบเจอมาผมก็จัดคิดย้อนกลับไปถึงหลักการที่ผมจะตอบสนองต่อเหตุการณ์นั้นๆ และจัดการกับมันอย่างเหมาะสม แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่ผมไม่เคยเจอไม่เคยพบมาก่อนผมก็จะเซอร์ไพรส์ทุกความเจ็บปวดจากมัน เรียนรู้ความเจ็บปวดจากสถานการณ์ดังกล่าว ผมเรียนรู้ไม่ใช่เฉพาะกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเท่านั้น แต่ผมเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้อื่นจากสถานที่ และในช่วงเวลาที่แตกต่างกันด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกเคารพต่อประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก อาการกระหายที่จะเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับกลไกของความจริงที่ว่าทำงานอย่างไร จะปรารถนาและสร้างหลักการที่ยั่งยืนและเป็นสากลในการจัดการกับ

ในช่วงปีแรกของผมผมมองคนที่ประสบความสำเร็จมากๆและคิดว่าพวกเขาประสบความสำเร็จได้เพราะพวกเขาเป็นคนที่พิเศษ แต่หลังจากที่ผมได้รู้จักกับคนเหล่านั้นผมพบว่าจริงๆแล้วพวกเขาก็เหมือนกันกับผมนี่แหละเหมือนกับคนอื่นๆทุกคนพวกเขาทำผิดพลาดดิ้นรนกับจุดอ่อนของตัวเอง แต่ไม่ได้คิดว่าเขาเก่งหรือพิเศษกว่าคนอื่น เขาไม่รู้สึกว่ามีความสุขมากกว่าคนทั่วไปแถมเขาต้องสู้มากกว่าคนทั่วไปเสียอีก ข้อดีของการมีมากๆจะค่อยๆลดลงอย่างรวดเร็ว ในความเป็นจริงการมีมากมายนั้นแย่กว่าการมีพอเหมาะพอสมควร เพราะว่ามันจะมาพร้อมกับภาระที่หนักอึ้งการที่อยู่บนจุดสูงสุดทำให้คุณมีทางเลือกหลากหลายขึ้นแต่ก็ต้องการตัวคุณร่วมด้วยเช่นกัน

PART 2 : หลักการชีวิต    

บทที่ 1 โอบกอดและรับมือกับความจริง

            ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเข้าใจว่ากลไกของความจริงนั้นทำงานอย่างไร แล้วเราจะจัดการกับมันได้อย่างไร สภาวะของจิตใจของคุณที่นำพาคุณมาสู่ขั้นตอนเหล่านี้ทำให้เราต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมเชื่อมั่นอย่างมากว่าคุณจะสามารถฝึกฝนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยต่างๆ เกี่ยวกับการรับมือและเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ เพื่อให้สามารถสัมผัสกับความรู้สึกแบบเดียวกัน มีความสุขจากการเรียนรู้ที่ผิดพลาดเขาไว้

1.1 เป็นนักอภิสัจนิยม

ทำความเข้าใจการยอมรับและทำงานร่วมกับความเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่ดีและสวยงามผมได้กลายเป็น นักอภิสัจนิยม หรือผู้ที่ให้การศึกษาค้นคว้าว่าอะไรคือความจริงของโลกผมได้เรียนรู้และซาบซึ้งความสวยงามกับความจริงในทุกๆเรื่อง

  • ความฝัน + ความเป็นจริง + ความมุ่งมั่น = ชีวิตที่ประสบความสำเร็จ คนที่ประสบความสำเร็จคือบุคคลที่มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความเป็นจริงและเรียนรู้วิธีในการใช้หลักการเพื่อให้บรรลุในสิ่งที่ตนต้องการ

1.2 ความจริง หรือจะให้ชัดเจนกว่านั้นคือ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเป็นจริง เป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับการสร้างผลลัพธ์ที่ดี

การทำความเข้าใจและต่อสู้กับเรื่องที่เลวร้ายคือสิ่งที่สำคัญเพราะถ้ามันเป็นเรื่องที่ดี เราก็แทบไม่ต้องทำอะไรกับมันเลย

1.3 เป็นคนที่เปิดใจและโปร่งใสอย่างแท้จริง

ไม่มีใครเกิดมารู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้อง พวกเรารู้คนต้องค้นหาว่าอะไรถูกต้องด้วยตัวเอง หรือว่าเชื่อและทำตามคนอื่นๆสิ่งสำคัญคือการต้องรู้ว่าทางไหนสามารถทำให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่ากับเราได้ ซึ่งผมเชื่อว่า

  • การเปิดใจและโปร่งใสอย่าง แท้จริงนั้น เป็นสิ่งมีค่าที่ประเมินค่าไม่ได้เลยกับการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การเป็นคนที่โปร่งใสและมีใจเปิดกว้างอย่างแท้จริงนั้นจะช่วยเร่งขั้นตอนการเรียนรู้ได้อย่างมาก มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่คุณจะกลัวคำวิจารณ์เหล่านั้นแต่แน่นอนว่าถ้าคุณไม่พาตัวเองออกจากความกลัวและเปิดใจกับมัน คุณจะไม่มีทางเกิดการเรียนรู้ได้เลย
  • อย่าปล่อยให้ความกลัวในสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับคุณมาขวางทางคุณ คุณต้องทำสิ่งที่คุณคิดว่ามันแตกต่างและเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณ โดยคุณต้องเปิดใจเพียงพอที่จะพิจารณาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นและเรียนรู้จากมัน
  • การยอมรับความจริงอย่างแท้จริง และความโปร่งใสอย่างแท้จริงจะนำมาซึ่งการทำงานและความสัมพันธ์ที่มีความหมายมากขึ้น จากประสบการณ์ตรงของผมที่เฝ้าดูคนนับพันๆได้ลองทำตามแนวทางนี้ โดยส่วนใหญ่พบว่ามันคุ้มค่าและน่าพึงพอใจมาก เทียบกับที่เขาเหล่านี้มีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการใช้ชีวิตแบบก่อนหน้า

1.4 มองไปที่ธรรมชาติเพื่อเรียนรู้ว่าความจริงทำงานอย่างไร

กฎของความจริงทั้งหมดล้วนมาจากธรรมชาติ มนุษย์ไม่ได้เป็นผู้สร้างกฎเหล่านี้ขึ้นมา แต่การทำความเข้าใจกฎต่างๆเหล่านี้ช่วยส่งเสริมตัวเราให้เกิดวิวัฒนาการและบรรลุเป้าหมายของเราได้ ผมพบว่ามันทั้งน่าสนใจและมีค่ามากๆที่จะคอยสังเกตว่ากดอะไรที่คนเรามีเหมือนกัน และอะไรที่ทำให้เราแตกต่างการทำแบบนี้มีผลกระทบต่อแนวทางการใช้ชีวิตของผมอย่างมาก

ผมเห็นว่ามันเจ๋งแค่ไหนที่วิวัฒนาการของสมองทำให้เราสามารถสะท้อนถึงกลไกในการทำงานของความเป็นจริงในลักษณะนี้ได้ แล้วผู้คนล้วนแต่มีความสามารถที่แตกต่าง คุณภาพที่โดดเด่นที่สุดของมนุษย์คือความสามารถพิเศษของเราที่สามารถมองลงมาเห็นความจริงจากมุมมองในระดับที่สูงกว่า และสามารถวิเคราะห์ความเข้าใจต่างๆของมันได้ เมื่อพยายามทำความเข้าใจอะไรสักอย่างนึงคนเราสามารถใช้สองแนวทางในการเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ ซึ่งก็คือการมองจากบนลงล่าง ภาพใหญ่ไปภาพเล็ก และการมองจากล่างขึ้นบนภาพเล็กไปภาพใหญ่

  • อย่ายึดติดกับมุมมองของคุณว่าสิ่งต่างๆควรเป็นอย่างไร เพราะคุณจะพลาดการเรียนรู้ว่าจริงจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่เราจะไม่ปล่อยให้อคติของเรามาขัดขวางเป้าหมาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีเราจำเป็นต้องใช้การคิดวิเคราะห์มากกว่าการใช้อารมณ์
  • สิ่งที่ดีต้องดำเนินสอดคล้องไปตามกฎของความจริง และนำไปสู่วิวัฒนาการต่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวง และนี่คือสิ่งที่ได้รับการตอบแทนมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณทำอะไรสักอย่างที่คุณทั้งโลกให้คุณค่าคุณแทบไม่ต้องช่วยอะไรเลยแต่คุณจะได้รับการตอบแทนแน่นอน
  • วิวัฒนาการคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจักรวาล และมันเป็นสิ่งเดียวที่เป็นสิ่งถาวรและขับเคลื่อนทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกๆสิ่งตั้งแต่อนุภาคที่เล็กที่สุดไปถึงจักรวาลกำลังมีพัฒนาการขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ทุกสิ่งดูเหมือนจะตายและหายไปตามกาลเวลาแต่ความจริงก็คือสิ่งต่างๆทั้งหมดนี้ได้มีวิวัฒนาการและมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไป จงจำไว้ว่าพลังงานไม่มีทางถูกทำลายได้มันแค่เปลี่ยนรูปแบบ
  • ไม่ปรับตัวก็ต้องตาย วงจรของวิวัฒนาการนั้นเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งที่ไม่ใช่แค่เฉพาะกับคน แต่มันคือทุกอย่างซึ่งมันจะปรับทุกสิ่งทุกอย่างให้ถูกต้องด้วยตัวของมันเอง กุญแจสำคัญคือการเรียนรู้จากความล้มเหลวและพัฒนาอย่างรวดเร็ว

1.5 วิวัฒนาการ คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และคือรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

มันเป็นไปได้โดยสัญชาตญาณว่าทำไมเราทั้งหลายถึงรู้สึกแบบนั้นหรือนัยหนึ่งเรามีความต้องการโดยสัญชาตญาณที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อเอาไว้ช่วยเหลือเรา หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติคือระบบทั้งหมดซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดที่มีความสนใจแตกต่างกัน และสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่มีใครต้องบอกว่าใครทำอะไร

  • แรงจูงใจของแต่ละคนต้องสอดคล้องไปกับเป้าหมายของกลุ่ม ธรรมชาตินั้นสร้างแรงจูงใจให้กับคนแต่ละคนตามในสิ่งที่ตัวเองสนใจโดยผลลัพธ์คือการที่ทำให้ภาพรวมทั้งหมดเกิดการปรารถนา
  • ความจริง จะปรับทุกอย่างให้เหมาะสมไม่ใช่แค่ตัวคุณ การทำตามภาพรวมทั้งหมดคุณมีแนวโน้มว่าจะได้รับการตอบแทนที่ดี การคัดเลือกโดยธรรมชาติจะนำเราไปสู่การมีคุณภาพที่ดีขึ้น
  • การปรับตัวโดยผ่านการลองผิดลองถูกเป็นเรื่องที่ทรงคุณค่ายิ่ง ขั้นตอนการลองผิดลองถูกของการคัดเลือกโดยธรรมชาติทำให้เกิดการพัฒนาโดยไม่ต้องมีใครมาคอยแนะนำใดๆ
  • ตระหนักว่าคุณคือทุกสิ่งทุกอย่างหรือไม่เป็นอะไรเลยและตัดสินใจว่าคุณอยากเป็นอะไร มันเป็นเรื่องย้อนแย้งที่ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนคิดว่าเราคือทุกสิ่งทุกอย่างหรือเราไม่ได้เป็นอะไรเลย ด้วยสายตาของตัวเราเองเราคือทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อเราลองมองลงมาที่ตัวเราผ่านสายตาของธรรมชาตินั้นเราทุกคนต่างไม่มีความสำคัญใดๆเลย
  • คุณจะเป็นอะไรขึ้นอยู่กับว่ามุมมองของคุณเป็นอย่างไร ที่ที่คุณไปในชีวิตจะขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณมองสิ่งต่างๆ และสิ่งที่คุณรู้สึกเชื่อมโยงคุณจะต้องตัดสินใจว่าคุณจะใส่ความสนใจของคุณกับอะไร ที่มันมากไปกว่าตัวคุณเอง และสิ่งที่คุณเลือกจะทำเพื่อสิ่งเหล่านั้น นั่นเป็นเพราะคุณต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆที่จะบังคับให้คุณต้องเลือกเสมอ

1.6 เข้าใจบทเรียนพื้นฐานของธรรมชาติ

เมื่อผมเริ่มมองไปที่ความจริงผ่านมุมมองของการหาวิถีการทำงานจริงๆของมัน แทนที่จะคิดว่าสิ่งต่างๆควรจะแตกต่างออกไปผมกลับตระหนักว่าทุกสิ่งที่ตอนแรกดูเหมือนจะแย่ มันเป็นเพราะผมไม่ได้ตั้งแง่กับสิ่งต่างๆเหล่านี้เอาไว้เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมต้องการอยากให้มันเป็น

  • การทำให้วิวัฒนาการพัฒนาสูงสุด สมองส่วนที่มนุษย์มีการพัฒนามากกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่ทำให้พวกเราสามารถสะท้อนความคิดและทำให้เรามีวิวัฒนาการด้วยตัวเองได้ เพราะว่าเรามีความสามารถในการเรียนรู้และจดจำ ดังนั้นเราสามารถพัฒนาได้ไกลและไวกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
  • จำเอาไว้ว่าความสำเร็จต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่พวกเราไม่ชอบความเจ็บปวด แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่ธรรมชาติสร้างมาล้วนมีจุดประสงค์ของมัน การที่ธรรมชาติให้ความเจ็บปวดกับเราก็เพื่อจุดประสงค์บางอย่างเช่นกัน ดังนั้นแล้วจุดประสงค์มันคืออะไรคำตอบก็คือ มันช่วยเตือนให้เรา ช่วยแนะนำเรา
  • มันเป็นกฎพื้นฐานของธรรมชาติ การที่จะได้มาซึ่งความแข็งแกร่งคุณต้องก้าวผ่านขีดจำกัดก่อน ซึ่งมันคือความเจ็บปวด แต่คนส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงความเจ็บปวดเหล่านี้ตามสัญชาตญาณมันเป็นจริงทั้งในแง่ของการสร้างร่างกายของเราหรือเรื่องของจิตใจ แล้วมันยิ่งจริงเข้าไปใหญ่เมื่อคนเราต้องเผชิญกับความจริงที่เลวร้ายกับความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง

 1.7 ความเจ็บปวด + การคิดทบทวน = การพัฒนา

ไม่มีทางใดที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรากำลังไล่ตามเป้าหมายที่ทะเยอทะยานของเรา คุณโชคดีอย่างมากที่ความรู้สึกเจ็บปวดแบบนี้ถ้าใช้มันได้อย่างถูกต้อง เพราะมันเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังหาวิธีการเพื่อให้คุณได้ไปต่อ หลังจากเห็นว่ามีประสิทธิภาพมากแค่ไหนในการเผชิญกับความเป็นจริงที่เจ็บปวดซึ่งเกิดจากปัญหา ผมเชื่อว่าคุณจะไม่ต้องหาวิธีอื่นได้แล้วมันเป็นเพียงเรื่องของการทำมันจนเป็นนิสัย

  • เลือกที่จะเจ็บปวดแทนที่จะหนีมัน ถ้าคุณไม่ปล่อยให้ตัวเองดิสนีย์ความยากลำบากเหล่านี้และเลือกที่จะเผชิญหน้าควรจะมีพัฒนาการอย่างรวดเร็วซึ่งนั่นก็เป็นวิถีของมัน
  • ความรักที่เข้มงวด เป้าหมายของผมคือทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง ผมจึงมักปฏิเสธสิ่งที่พวกเขาต้องการนั่นจะทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะต่อสู้เพื่อสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองได้

 1.8 พิจารณาผลกระทบลำดับที่สองลำดับที่สามที่ตามมา

ผมได้พบว่าคนที่ส่วนใหญ่เวลาตัดสินใจทำอะไรแล้วละเลยผลกระทบที่เกิดขึ้นในระดับที่สองและลำดับต่อมา จะทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้เนื่องจากผลกระทบจากลำดับแรกนั้น มักจะมีความรู้สึกตรงกันข้ามกับผลกระทบที่เกิดจากลำดับที่สอง ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เกิดข้อผิดพลาดในการตัดสินใจ

1.9 เป็นเจ้าของผลลัพธ์ของตัวเอง

โดยส่วนใหญ่ชีวิตจะมีเรื่องให้คุณตัดสินใจมากมาย และมีโอกาสมากมายที่มักจะมาจากความผิดพลาดของคุณ หากคุณจัดการกับมันได้ดีคุณก็จะมีชีวิตที่ยอดเยี่ยมได้ แน่นอนว่าบางครั้งมีสิ่งที่อยู่เหนือความควบคุมของเรา ดังนั้นอย่ากังวลไปว่าคุณจะชอบสถานการณ์ของคุณหรือไม่ ชีวิตไม่ได้ให้สิ่งที่คุณชอบแต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณเชื่อมโยงกับสิ่งที่คุณต้องการกับสิ่งที่คุณต้องทำเพื่อให้ได้รับในสิ่งที่คุณต้องการอย่างไร

1.10 มองดูเครื่องจักรจากมุมมองด้านบน

ความสามารถที่โดดเด่นของมนุษย์คือการมองมาจากมุมมองระดับที่สูงกว่า ไม่ได้ใช้เพื่อทำความเข้าใจกับเรื่องของความจริงและความสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่างๆเท่านั้น แต่มันยังใช้ได้กับการมองลงไปในตัวของคุณเองและคนรอบข้างได้อีกด้วย

  • ให้คิดว่าตัวคุณเองเป็นเครื่องจักรที่ทำงานภายใต้เครื่องจักรขนาดใหญ่อีกที และรู้ว่าคุณมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรต่างๆของคุณ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น คุณมีเป้าหมายของคุณ ผมเรียกวิธีที่คุณจะทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของคุณว่า เครื่องจักรของคุณ ซึ่งประกอบไปด้วยการออกแบบ และคนเหล่านี้ก็รวมถึงตัวคุณและคนที่มาช่วยเหลือคุณ
  • เมื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์กับเป้าหมายแล้ว คุณสามารถกำหนดได้ว่าจะปรับเปลี่ยนเครื่องจักรของคุณอย่างไร การปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงการออกแบบ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของคุณได้
  • ต้องแยกแยะบทบาทระหว่างคุณในฐานะนักออกแบบเครื่องจักรของคุณ และคุณในฐานะที่เป็นคนงานในเครื่องจักรนั้น สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผู้คนที่ต้องทำคือมองภาพไปที่ตัวเองในสภาพแวดล้อมของตนเองในตอนนั้น
  • ความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คนส่วนใหญ่ทำ คือการไม่มองตัวเองและคนอื่นๆอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งทำให้พวกเขาต้องมาเจอกับจุดอ่อนของตัวเองและคนอื่นๆตลอดเวลา คนที่ทำเช่นนี้มักล้มเหลวเพราะพวกเขาติดอยู่ในหัวของตัวเอง หากพวกเขาเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ได้พวกเขาก็จะสามารถไปถึงศักยภาพของพวกเขาได้เช่นกัน
  • คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่สามารถก้าวข้ามตัวเองไปและมองสิ่งต่างๆอย่างตรงไปตรงมา และจัดการให้สิ่งต่างๆเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ พวกเขาสามารถใช้มุมมองแบบบุคคลภายนอก มองเข้ามาที่ตัวเองแทนที่จะถูกขังอยู่ในหัวของตัวเองกับอคติต่างๆ พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนว่าตัวเขาเป็นอย่างไร
  • การขอให้คนที่เชี่ยวชาญในเรื่องที่คุณไม่เก่งมาช่วยเหลือคุณนั่นเป็นทักษะที่ยอดเยี่ยม ซึ่งไม่ว่าจะยังไงคุณควรจะต้องพัฒนาทักษะเหล่านี้ คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนเก่งเรื่องนี้
  • เพราะว่ามันยากที่จะมองคนๆนึงอย่างถูกต้องทั้งหมดคุณจึงต้องพึ่งข้อมูลจากคนอื่นๆและหลักฐานทั้งหมดที่คุณมีว่าคนๆนั้นแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร ผมรู้ว่าชีวิตของผมเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดมากมาย และมีคำแนะนำที่ยอดเยี่ยมกลับมาเต็มไปหมด แต่มันเป็นเพียงการมองดูตัวเองจากมุมมองด้านบนเท่านั้น
  • ถ้าคุณเปิดใจมากพอและตั้งใจจริง คุณก็เกือบจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการแล้ว ผมขอให้คุณพิจารณาว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่สอดคล้องกับธรรมชาติของตัวคุณเองหรือไม่ แล้วมันจะมีเส้นทางมากมายที่เหมาะสมกับคุณอย่ายึดติดกับเส้นทางแค่เส้นเดียว

บทที่ 2 ใช้วิธีการ 5 ขั้นตอน เพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต

คุณสามารถใช้วิธีการ 5 ขั้นตอนที่ผมกำลังจะพูดถึงนี้เป็นตัวแทนของสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อบทที่แล้วเกี่ยวกับวงจรของการมีวิวัฒนาการ หากคุณสามารถทำตามได้ผมการันตีเลยว่าชีวิตของคุณจะต้องได้ในสิ่งที่คุณอยากได้แน่นอน มันสำคัญมากที่คุณจะทำกระบวนการต่างๆเหล่านี้ในสภาวะที่สมองของคุณโปร่งโล่งที่สุด มีเหตุมีผลมองลงมาเห็นตัวเองจากมุมมองด้านบน และซื่อสัตย์กับตัวเอง ถ้าคุณทำขั้นตอนกระบวนการต่างๆเหล่านี้ในขณะที่ยังมีอารมณ์ต่างๆอยู่ ให้หยุดก่อน แล้วถอยกลับไปเพื่อให้คุณมีเวลาที่จะสะท้อนความจริงให้ชัดเจนและถ้าจำเป็นให้หาคนที่มีความสงบมากพอมาช่วยแนะนำ

2.1 มีเป้าหมายที่ชัดเจน

  • จัดลำดับความสำคัญ แม้ว่าคุณสามารถมีแทบทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการได้ แต่คุณไม่สามารถมีทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการได้ การเลือกเป้าหมายมักหมายถึงการต้องปฏิเสธบางสิ่งบางอย่างที่คุณต้องการเพื่อที่จะเลือกสิ่งอื่นๆที่คุณต้องการมากกว่า อย่าปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ ทีไม่กล้าเลือก
  • อย่าสับสนระหว่างเป้าหมายกับความอยาก เป้าหมายที่เหมาะสมที่สุดคือสิ่งที่คุณต้องการจริงๆ ที่จะบรรลุมัน ส่วนความอยากคือสิ่งที่คุณ ต้องการ แต่มันจะทำให้คุณไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
  • ตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต โดยการหาจุดที่เหมาะสมระหว่างเป้าหมายของคุณ กับความอยากของคุณ อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกว่ามันใช่ เป็นทั้งสิ่งที่คุณอยาก คุณหลงใหล และเป็นเป้าหมายของคุณ
  • อย่าติดกับดักของความสำเร็จของตัวเอง การมีแนวทางความสำเร็จเป็นสิ่งที่สำคัญ
  • อย่าคิดว่าเป้าหมายที่คุณต้องการนั้นเป็นไปไม่ได้ จงกล้าหาญเขาไว้มันมีเส้นทางที่ดีที่สุดเสมอ งานของคุณคือต้องค้นหาเส้นทางเหล่านี้และมีความกล้าหาญพอที่จะเดินเข้าไป
  • จงจำไว้ว่าความคาดหวังที่ดีสร้างความสามารถที่ยอดเยี่ยมขึ้นมา ถ้าคุณกำจัดเป้าหมายของคุณไว้เฉพาะเรื่องที่คุณรู้ว่าคุณสามารถไปถึงเป้าหมายนั้นได้ แปลว่าคุณตั้งเป้าหมายของคุณไว้ต่ำเกินไป
  • แทบจะไม่มีอะไรหยุดให้คุณไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ ถ้าคุณมีความยืดหยุ่นและความรับผิดชอบต่อตัวเอง ความยืดหยุ่นจะทำให้คุณยอมรับสิ่งที่โลกความเป็นจริงสอนคุณ ส่วนความรับผิดชอบต่อตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญ
  • การรู้วิธีจัดการกับความล้มเหลวของคุณเป็นสิ่งที่สำคัญพอๆกับการเรียนรู้วิธีในการก้าวไปข้างหน้า บางครั้งคุณก็รู้ว่ากำลังจะตกลงไปในน้ำตกและมันก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ ชีวิตมักจะมอบความท้าทายมาให้เราเสมอ

            2.2 ระบุปัญหาอย่าทนกับปัญหาเหล่านั้น

  • มองปัญหาที่เจ็บปวดว่ามันคือสิ่งที่จะช่วยปรับปรุงศักยภาพที่มันกำลังกรีดร้องใส่คุณ แม้จะไม่รู้สึกว่าตอนแรกปัญหาทุกอย่างที่คุณพบคือโอกาส ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่คุณต้องน้ำมันออกมา
  • อย่าหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับปัญหา เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นรากฐานของความจริงที่ไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ เมื่อมีปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการขาดความรู้และความสามารถของตัวเอง ข้ามมันไปให้ได้ การเข้าใจจุดอ่อนของตัวเองไม่เหมือนกับการยอมจำนนต่อมัน มันเป็นคันแรกในการเอาชนะจุดอ่อนต่างๆเหล่านี้
  • ระบุปัญหาของคุณให้ชัด และต้องระบุอย่างแม่นยำเพราะปัญหาที่แตกต่างกันก็ต้องวิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน
  • อย่าสับสนระหว่างสาเหตุของปัญหากับปัญหาที่แท้จริง ผมไม่ได้นอนหลับเพียงพอนั่นไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ของปัญหา
  • แยกแยะปัญหาใหญ่ๆออกจากปัญหาได้เล็ก คุณมีเวลาและพลังงานที่จำกัดดังนั้นคุณต้องแน่ใจว่าการที่คุณลงทุนตรวจสอบปัญหาอย่างจริงจัง ถ้าใกล้ไขมันแล้วคุณจะได้รับผลตอบแทนกลับมาอย่างงาม แต่ในเวลาเดียวกันคุณก็ต้องแน่ใจว่าคุณให้เวลากับมันมากพอกับปัญหาเล็กๆด้วย
  • เมื่อคุณระบุปัญหาได้อย่าทนกับมัน การทนปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นมันก็เหมือนกับการไม่ยอมรับว่าเรามีปัญหา

            2.3 วิเคราะห์ปัญหาเพื่อหาต้นเหตุที่แท้จริงของมัน

  • มุ่งเน้นไปที่ คืออะไร ก่อนที่จะคิดว่าจะทำอย่างไรกับมัน มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดที่พบบ่อย ที่เราจะเปลี่ยนความสนใจจากการระบุปัญหาอยากไปเป็นการหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นในทันที การคิดเชิงกลยุทธ์จำเป็นต้องใช้ทั้งการวินิจฉัยปัญหาและการออกแบบการแก้ปัญหา
  • แยกแยะมูลเหตุใกล้ชิดออกจากต้นตอของปัญหา มูลเหตุใกล้ชิดคือการกระทำ ที่นำพาเราไปสู่ปัญหา ดังนั้นสิ่งนี้จะถูกอธิบายด้วยคำกริยา ส่วนต้นตอของปัญหามันจะมีความลึกซึ้งมากกว่านั้น
  • การได้รู้จักใครสักคนจริงๆ รวมถึงตัวคุณเองด้วย ก็จะทำให้คุณรู้ว่าคุณสามารถคาดหวังอะไร จากคนเหล่านั้นได้บ้าง คุณจะต้องก้าวข้ามความฝืนใจตัวเองเพื่อประเมินว่าผู้คนแต่ละคนเป็นอย่างไรถ้าคุณต้องการรายล้อมไปด้วยคนที่มีความสามารถ นั่นรวมถึงตัวคุณเองด้วย คนส่วนมากจะพบว่ามันยากลำบากที่จะต้องระบุและยอมรับข้อผิดพลาดรวมถึงจุดอ่อนต่างๆของตัวเอง ซึ่งบางครั้งพวกเขาก็มองไม่เห็นเพราะมันมีอีโก้ของพวกเขาเองต่างหาก

            2.4 ออกแบบแผนงาน

  • มองไปข้างหน้าก่อนจะก้าวไปข้างหน้า รำลึกถึงสิ่งต่างๆที่คุณผ่านมา ที่ทำให้คุณเป็นคุณจนทุกวันนี้ จากนั้นจินตนาการให้เห็นว่าภาพคุณและคนอื่นๆต้องทำอะไรบ้างในอนาคตเพื่อที่จะไปถึงเป้าหมายของคุณ
  • ให้คิดว่าปัญหาต่างๆมันคือจุดของผลผลิตที่มาจากเครื่องจักรของคุณ ฝึกการมองจากมุมมองที่สูงขึ้นโดยการมองไปที่เครื่องจักรของคุณ และคิดว่าจะทำอย่างไรให้เครื่องจักรของคุณมีผลผลิตที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม
  • จงจำไว้ว่ามันมีเส้นทางมากมายที่สามารถบรรลุเป้าหมายของคุณได้ คุณเพียงต้องหาให้เจอสักอันที่มันได้ผลกับคุณ
  • คิดซะว่าแผนของคุณก็เหมือนกับบทภาพยนตร์ที่เห็นว่าใครทำอะไรในช่วงเวลาต่างๆ การเขียนแผนงานกว้างของคุณขึ้นมาจากนั้นค่อยๆปรับแต่งมัน คุณควรที่จะเริ่มจากภาพใหญ่ก่อนจากนั้นก็ค่อยลงรายละเอียดเพื่อระบุสิ่งที่จำเป็น
  • เขียนแผนการของคุณให้ทุกๆคนเห็นและสามารถวัดความก้าวหน้าของคุณได้ ซึ่งรวมถึงรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับว่าใครต้องทำอะไรและเมื่อไร ส่วนในเรื่องงาน ล้วนเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน ดังนั้นอย่าเอามารวมกัน
  • จะมาไว้ว่ามันไม่ได้ใช้เวลามากที่เพื่อออกแบบแผนงานที่ดี แผนงานสามารถถูกร่างและกลั่นกรองออกมาได้ในไม่กี่ชั่วโมงหรืออาจใช้เวลาสักวัน แต่สิ่งที่สำคัญคือกระบวนการในการออกแบบเพราะมันจะกำหนดว่าสิ่งที่คุณทำนั้นมีประสิทธิภาพหรือไม่

            2.5 ผลักดันให้เสร็จ

  • นักวางแผนผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้ทำตามแผนของเขานั้นล้วนย้ำอยู่กับที่ คุณจำเป็นต้องผลักดันตัวเองให้มีวินัยต่อตัวเองเพื่อทำตามแผนของคุณ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่จะเชื่อมโยงระหว่างงานของคุณกับเป้าหมายที่คุณตั้งใจจะบรรลุมัน
  • นิสัยการทำงานที่ดีนั้นมักจะได้รับการประเมินข้าต่ำเกินไป คนที่ผลักดันตัวเองจนประสบความสำเร็จทุกคนล้วนแล้วแต่มีรายการสิ่งที่ต้องทำ ซึ่งมีการจัดลำดับความสำคัญอย่างเหมาะสม
  • สร้างตัวชี้วัดที่ชัดเจนเพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังดำเนินตามแผนการของคุณ ในโลกอุดมคติควรจะต้องมีใครสักคนที่คอยวัดผลและรายงานผลการดำเนินการของคุณอย่างตรงไปตรงมา ถ้าคุณไม่สามารถเดินตามเป้าหมายของคุณได้มันก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่คุณจำเป็นต้องวินิจฉัยและแก้ไขมัน

            2.6 จำไว้ว่าจุดอ่อนไม่ได้สำคัญอะไรถ้าคุณสามารถหาวิธีแก้ปัญหาเอาไว้ได้

  • มองไปที่รูปแบบของความผิดพลาดของคุณและระบุว่าขั้นตอนไหนที่คุณมักจะทำล้มเหลว
  • คนทุกคนต้องมีอย่างน้อยหนึ่งสิ่งสำคัญที่คอยขัดขวางไม่ให้พวกเขาสามารถประสบความสำเร็จได้ จงหามันให้เจอแล้วจัดการมันซะ

            2.7ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการคิดและความอ่อนน้อมถ่อมตนของตัวเองและผู้อื่น

คนบางคนเก่งมากที่สามารถรู้ได้ว่าควรต้องทำอย่างไรได้ด้วยตัวเองคนเดียว เพราะพวกเขามีวิธีการคิดที่ดีและมีสิ่งที่เขาต้องดูเยอะ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะมาจากที่เขาถูกฝึก หรือบางทีอาจจะโชคดีที่สิ่งเหล่านี้มาจากสามัญสำนึกของตัวเองตั้งแต่กำเนิดก็ได้ แทนที่คุณจะคอยหาคำตอบต่างๆด้วยตัวคุณเองการที่คุณมีทั้งความเปิดใจกว้างและมีวิธีการคิดที่ดีเป็นเรื่องที่ทรงพลังอย่างมาก

บทที่ 3 การเป็นคนที่เปิดใจอย่างแท้จริง

                 เนี่ยเป็นบทที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการอธิบายถึงวิธีการกำจัดอุปสรรคทั้งสองประการที่มีอยู่มากในตัวคน อุปสรรคเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่สมองสั่งการ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะพบเจออุปสรรคนี้

                3.1 รู้จักอุปสรรคทั้งสองประการในตัวคุณ

อุปสรรคอันใหญ่หลวงสองประการที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ คือความเย่อหยิ่งหรือที่เราเรียกกันว่าอีโก้ และจุดบอดหรือจุดที่ถูกมองข้ามเพราะอุปสรรคทั้งสองอย่างนี้ส่งผลให้คุณตัดสินใจได้ยากขึ้น

  • เข้าใจอีโก้ในตัวคุณ มันคือความอ่อนแอในตัวคุณที่จะทำให้คุณเป็นคนยอมรับความผิดพลาดและความอ่อนแอในตัวเองได้ยาก สิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดก็คือความรัก และสิ่งที่คุณกลัวมากที่สุดก็คือการสูญเสียความรักนั้นไป ซึ่งความคิดดังกล่าวจะอยู่ใต้จิตสำนึกของคุณ และมันอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะเท่านั้น แต่ว่าสมองของคุณไม่อาจรับรู้ถึงจิตใต้สำนึกในตัวคุณเองได้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะเข้าใจว่าสมองของคุณต้องการอะไรและคุณต้องควบคุมมันอย่างไร
  • มีคนสองคนสู้กันเพื่อควบคุมคุณอยู่ ความคิดของคนเราสามารถมีทางอารมณ์และเหตุผลในคราวเดียวกันได้โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งความขัดแย้งทางความคิดของตนเองนี่ถือเป็นเรื่องปกติมาก หากคุณสังเกตดีๆคุณจะสามารถมองเห็นความคิดที่แตกต่างกันในตัวของแต่ละคนได้
  • เข้าใจจุดบอดของตนเอง นอกเหนือจากอีโก้ในตัวคุณเองแล้ว ทุกคนต่างก็มีจุดบ่อในตนเองทั้งนั้น ซึ่งมันจะทำให้คุณมองเห็นสิ่งต่างๆในทางที่ผิด แล้วทุกคนต่างก็มีความสามารถในการได้ยินและการมองเห็นที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราต่างคนก็ต่างมองเห็นและเข้าใจในมุมมองของตนเอง

            3.2 ฝึกฝนตนเองให้เป็นคนเปิดรับสิ่งใหม่ๆ

ถ้าคุณรู้ว่าตัวคุณมีจุดบอร์ดแล้วเปิดใจที่จะพิจารณาและแก้ไขมัน ผลลัพธ์ก็จะดีกับตัวคุณเอง อุปสรรคและโอกาสต่างๆก็จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งยังทำให้คุณเป็นคนที่ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย การเปิดรับสิ่งใหม่ๆทำให้คุณหลุดพ้นจากความถูกควบคุมโดยอารมณ์ และใช้เหตุผลในการดำรงชีวิตและตัดสินใจมากขึ้น คุณจะสามารถ จัดการกับความรู้สึกของตนเองได้ดีขึ้น และเพิ่มคุณภาพชีวิตได้อีกด้วย

  • เชื่ออย่างจริงใจว่าคุณไม่สามารถรู้วิธีหรือเส้นทางที่ดีที่สุด และรู้ดีกว่าการจัดการกับสิ่งที่ไม่รู้สำคัญกว่าสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้ว คนส่วนมากตัดสินใจผิดพลาดเพราะพวกเขาไม่มั่นใจว่าพวกเขาถูก และไม่เปิดโอกาสให้ตนเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
  • ตระหนักไว้ว่าการตัดสินใจจะประกอบไปด้วยสองขั้นตอนคือเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้วค่อยตัดสินใจ
  • อย่ากังวลกับการทำให้ตัวเองดูดี จงกังวลกับการบรรลุเป้าหมาย คนทั่วไปพยายามบอกคนอื่นว่าเขามีคำตอบแล้วทั้งที่จริงๆแล้วไม่ใช่เลย นอกจากจะไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริงแล้วมันยังเป็นสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาของพวกเขาด้วย
  • ตระหนักไว้ว่าคุณไม่สามารถนำเสนอความคิดได้หากคุณไม่เปิดใจและเรียนรู้ เมื่อคนเราคิดแต่จะเสนอความคิดตนเองให้ผู้อื่นโดยไม่เปิดใจและเรียนรู้เลย ผลลัพธ์จะออกมาไม่ดี
  • ตระหนักไว้ว่าเพื่อไม่ให้มุมมองที่มาจากการมองเห็นสิ่งต่างๆผ่านสายตาของผู้อื่นคุณต้องหยุดการตัดสินคนอื่นชั่วคราว มีเพียงแต่เอาใจเขามาใส่ใจเราเท่านั้นที่สามารถประเมินมุมมองของผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง
  • จำไว้ว่าคุณกำลังมองหาคำตอบที่ดีที่สุด มันไม่ง่ายที่คำตอบที่ดีที่สุดจะมาจากความคิดของคุณเพียงคนเดียว หากคุณคิดอะไรไม่ออกให้ลองมองไปรอบๆตัวคุณ
  • ทำให้ชัดเจนเมื่อไหร่ก็ตามที่โต้แย้งกันหรือกำลังทำความเข้าใจบางสิ่ง และสิ่งนั้นคือสิ่งที่เหมาะสมกับความเชื่อของคุณและคนอื่น ถ้ามีมุมมองอื่นๆนอกเหนือจากบุคคลที่สามารถเชื่อถือได้ หรืออย่างน้อยก็สามารถเชื่อถือได้มากกว่าตัวคุณเอง คุณควรถามคำถามให้ตรงประเด็นเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการจะทราบ

            3.3 ชื่นชมในศิลปะของการไม่เห็นด้วยอย่างมีวิจารณญาณ

เมื่อคนสองคนมีความเชื่อที่ต่างกันมันจะต้องมีใครสักคนที่เป็นฝ่ายผิดและคนๆนั้นก็อาจจะเป็นคุณก็ได้ นี่เป็นเหตุผลที่ผมเชื่อว่าคุณควรชื่นชมและพัฒนาศิลปะของการไม่เห็นด้วยอย่างมีวิจารณญาณ เพราะคุณไม่จำเป็นต้องพยายามโน้มน้าวคนอื่นให้เห็นด้วยกับคุณ มันเป็นเพียงแค่การค้นหาความจริงและตัดสินใจทำอะไรอย่างต่อไปเท่านั้นเอง

การกระทำเช่นนี้บ่งบอกว่าคุณกำลังจะพยายามทำความเข้าใจความคิดของคนอื่นอยู่ พยายามตั้งคำถามให้มากกว่าการบอกกล่าวเฉยๆ อธิบายให้ผู้อื่นฟังโดยใช้เหตุผลเป็นหลัก ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจใดๆ และสนับสนุนให้ผู้อื่นทำแบบนี้เช่นกัน จงพึงระลึกไว้ว่าคุณไม่ได้ทะเลาะกับพวกเขาคุณเพียงแค่อธิบายในสิ่งที่ถูกต้องให้พวกเขาฟังเท่านั้น

ทำไมการไม่เห็นด้วยในความคิดของคนเราถึงเกิดขึ้นบ่อยๆ นั่นเพราะว่าสัญชาตญาณของมนุษย์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยเห็นด้วยกับความคิดเห็นของคนอื่น เป็นเพราะว่าสมองในส่วนควบคุมอารมณ์ของคุณเข้าใจผิดว่าการไม่เห็นด้วยจะทำให้คุณทั้งสองคนทะเลาะกัน จึงเห็นได้ว่าการเป็นคนเปิดรับความคิดเห็นของคนอื่นบางทีก็ไม่ง่ายเลย คุณจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ศิลปะในการพูดเมื่อคุณไม่เห็นด้วยกับคนอื่น

            3.4 พิจารณามุมมองของคนที่น่าเชื่อถือซึ่งเห็นต่างจากคุณ

เมื่อเราตั้งคำถามเพื่อถามผู้ที่มีความรู้ในประเด็นต่างๆและสนับสนุนให้เขามีการไตร่ตรองความไม่เห็นด้วยอย่างมีวิจารณญาณที่ผมสามารถฟังและถามคำถามได้ สิ่งนี้มันทำให้ความน่าจะเป็นที่ถูกต้องและการเรียนรู้ของผมสูงขึ้น

  • วางแผนสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เพื่อให้มันออกมาดีที่สุด ผมรู้สึกโชคดีเพราะผลงานวินิจฉัยโรคในครั้งนี้ทำให้ผมมีเวลามากพอที่จะทำใจและมั่นใจว่าคนที่เป็นห่วงผมสามารถอยู่ได้โดยไม่มีผม

            3.5 เข้าใจถึงคุณลักษณะของคนที่เปิดใจและปิดใจ

เป็นเรื่องง่ายมากที่จะอธิบายถึงลักษณะของคนที่ไม่ยอมเปิดใจและคนที่เปิดใจเพราะพฤติกรรมของคนทั้งสองกลุ่มนี้แตกต่างกันอย่างมาก ข้อมูลต่อไปนี้จะบอกให้คุณทราบว่าคุณเป็นคนที่เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆหรือไม่

คนที่ปิดใจ จะไม่อยากให้ใครขัดแย้งความคิดเห็นของเขาพวกเขามักจะผิดหวังเมื่อคนอื่นไม่เห็นด้วยกับเขาแทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงไม่เห็นด้วย ชอบที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองมากกว่าที่จะปรึกษาผู้อื่นทั้งๆที่คุณไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นสักเท่าไหร่ มุ่งเน้นการทำความเข้าใจตนเองมากกว่าที่จะเข้าใจผู้อื่นและเมื่อผู้อื่นไม่เห็นด้วยเขาจะคิดว่าผู้อื่นไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ

 คนที่เปิดใจ เป็นคนที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับการไม่เห็นด้วยของผู้อื่น เขาจะไม่โกรธเมื่อคนอื่นไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขา มักจะมีความเชื่อว่าความคิดของตนเองอาจจะผิดพลาดได้เสมอ และคำถามที่เขาถามก็เพราะเขาอยากจะรู้ถึงความคิดเห็นของคนอื่นจริงๆ มักจะรู้สึกกดดันเมื่อลองพิจารณาแนวคิดของตนเองผ่านมุมมองของคนอื่น

            3.6 เข้าใจถึงวิธีที่จะทำให้คุณเปิดใจอย่างแท้จริง

ไม่ว่าตอนนี้คุณจะเปิดใจแค่ไหน แต่ก็ยังมีสิ่งที่คุณสามารถเรียนรู้ได้อยู่เสมอนั่นก็คือวิธีการฝึกเปิดใจ

  • ใช้ความเจ็บปวดเป็นตัวนำทางไปสู่การย้อนมองตัวเองอย่างมีคุณภาพ ความเจ็บปวดทางจิตใจมักเกิดขึ้นกับความคิดที่คุณยึดติด นั้นถูกท้าทายโดยบุคคลหรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากว่ามีการชี้ให้เห็นจุดอ่อนของคุณรวมอยู่ด้วย
  • เปิดใจให้เป็นนิสัย ชีวิตที่คุณจะดำเนินไปในอนาคตนั่นคือผลที่มาจากนิสัยที่คุณพัฒนาขึ้นมาในตอนนี้
  • รู้จักจุดบอดของตัวเอง ถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ปิดใจแถมยังสร้างความคิดเห็นในเรื่องที่เป็นจุดบอร์ดของตัวเอง ลองถามความคิดของคนอื่นเพื่อเป็นตัวช่วยโดยเฉพาะคนที่มองเห็นในสิ่งที่คุณได้ละเลยไป
  • ถ้าเกิดว่าคนที่คุณเชื่อถือจำนวนมากพูดตรงกันว่าคุณกำลังทำบางอย่างผิด และคุณคือคนเดียวที่ไม่เห็นว่ามันเป็นเช่นนั้นนั่นเป็นเพราะคุณมีอคติ จะลำเอียงมันอาจจะเป็นไปได้ว่าคุณถูกและพวกเขาผิดแต่คุณควรเปลี่ยนจากหมดทะเลาะเป็นมดตั้งคำถามเพื่อเปรียบเทียบความเชื่อของคุณกับพวกเขา
  • นั่งสมาธิ ผมเชื่อว่ามันช่วยเพิ่มความเปิดใจมุมมองขั้นสูง แล้วความคิดสร้างสรรค์ ช่วยทำให้หลายอย่างช้าลง
  • พิจารณาหลักฐานและส่งเสริมให้ผู้อื่นทำตามเช่นกัน คนส่วนมากไม่พิจารณาข้อเท็จจริงบางอย่างอย่างรอบคอบ หรือสร้างข้อสรุปจากการชั่งน้ำหนักหลักฐานอย่างไม่ลำเอียง แต่พวกเขากลับตัดสินใจโดยใช้ความต้องการของจิตใต้สำนึก
  • ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อช่วยให้ผู้อื่นเปิดใจ การนิ่งสงบและมีเหตุผลในการนำเสนอมุมมองของคุณจะช่วยป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมีการตอบสนองแบบสู้หรือหนี
  • ใช้เครื่องมือการตัดสินใจโดยอ้างอิงจากหลักฐาน หลักการเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยให้คุณสามารถอยู่เหนือตัวตนขั้นต่ำ หรือความเป็นสัตว์ป่าของคุณ พร้อมนำสมองขั้นสูงดีกว่าและสามารถตัดสินใจดีกว่าเข้ามาควบคุม
  • รู้ว่าควรจะหยุดต่อสู้ตอนไหน และศรัทธาในกระบวนการตัดสินใจของคุณ การมีความคิดเป็นของตัวเองและต่อสู้เพื่อสิ่งที่คุณเชื่อมั่นนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่บางครั้งมันก็ฉลาดกว่าที่จะหยุดต่อสู้เพื่อมุมมองของคุณและก้าวต่อไปเพื่อยอมรับในสิ่งที่คนเหล่าที่น่าเชื่อถือคิดว่าดีที่สุด

บทที่ 4 เข้าใจว่าคนแต่ละคนมีการเชื่อมโยงของสมองที่แตกต่างกัน

                 เนื่องจากสมองแต่ละคนมีการเชื่อมโยงที่แตกต่างกันไป เราทุกคนจึงมีประสบการณ์ในการสัมภาษณ์กับความเป็นจริงในรูปแบบที่แตกต่างกัน และนี่คือสิ่งที่เราต้องรับรู้และจัดการกับมัน ดังนั้นถ้าคุณต้องการจะทราบว่าอะไรเป็นความจริงและควรจัดการกับมันอย่างไร คุณต้องสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับสมองของตัวคุณเองเสียก่อน

ในขณะที่การรู้จักตัวเองและซื่อสัตย์กับตัวเองเป็นหลักการพื้นฐานที่ผมเคยได้ยินมาก่อนหน้าที่ผมจะเริ่มหันมาศึกษาด้านสมอง แต่ผมก็นึกไม่ออกเลยว่าจะเริ่มหรือทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ดี จนกระทั่งเราค้นพบว่าคนแต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างกันได้อย่างไร ยิ่งเรารู้จักตัวเองได้ดียิ่งขึ้นเท่าไหร่เราก็จะสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และวิธีที่จะเปลี่ยนมัน รวมถึงสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้และสิ่งที่เราสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น ดังนั้นไม่ว่าคุณจะทำอะไรไม่ว่าจะเป็นด้วยตัวคุณเองในฐานะสมาชิกคนหนึ่งขององค์กรหรือเป็นผู้บริหาร คุณจำเป็นต้องเข้าใจว่าสมองของคุณแล้วคนอื่นถูกเชื่อมโยงไว้อย่างไร

                4.1 เข้าใจถึงพลังที่มาจากการรู้ว่าสมองของคุณและคนอื่นถูกเชื่อมโยงไว้อย่างไร

ความแตกต่างของเราไม่ได้เป็นผลมาจากการที่สื่อสารที่ไม่ดีแต่มันกลับกันความคิดที่แตกต่างกันของเราทำให้เกิดการสื่อสารที่บกพร่อง จากการสนทนากับผู้เชี่ยวชาญและจากการตั้งข้อสังเกตของผมเอง ผมได้เรียนรู้ว่าหลายๆความแตกต่างทางจิตวิทยาของเราเป็นเรื่องทางสรีระวิทยา

เรื่องนี้ถูกตอกย้ำกับผมแต่ที่ลูกชายของผมต้องต่อสู้เป็นเวลากว่าสามปีกับโรคอารมณ์สองขั้ว ซึ่งนอกจากความน่ากลัวและความผิดหวังในพฤติกรรมของเขาแล้ว ผมได้มาตระหนักว่ามันเกิดจากสารเคมีในสมองของเขา เมื่อผมเริ่มเข้าใจว่าทั้งหมดเป็นเรื่องทางสรีระ ก็มีหลายสิ่งที่เริ่มชัดเจนขึ้นสำหรับผม ในขณะที่ผมเคยโกรธและผิดหวังในตัวคนเนื่องจากการตัดสินใจของพวกเขา ผมมาเริ่มตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาที่จะมีพฤติกรรมไปในทางที่ดูเหมือนจะเป็นการต่อต้าน พวกเขาเพียงแค่ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นผลมาจากมุมมองที่เขามองโลกซึ่งขึ้นอยู่กับว่าสมองของเขาทำงานอย่างไร

ทุกคนเหมือนชุดตัวต่อเลโก้ซึ่งแต่ละชิ้นจะสะท้อนถึงการทำงานของส่วนต่างๆในสมอง ชิ้นส่วนเหล่านี้จะร่วมกันเพื่อกำหนดว่าแต่ละคนจะเป็นอย่างไรและถ้าคุณรู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไรแล้ว คุณก็จะสรุปได้ว่าคุณสามารถคาดหวังอะไรจากพวกเขาได้บ้าง

  • เราเกิดมาพร้อมกับคุณลักษณะที่สามารถช่วยให้เราทำร้ายเราทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับประยุกต์ใช้ คุณลักษณะส่วนใหญ่เป็นดาบสองคมซึ่งสามารถนำมาสู่ผลดีหรือผลร้าย ยิ่งคุณลักษณะมีความรุนแรงมากเท่าไหร่ผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่ดีก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราเกิดมาสมองของเราได้รับการจัดโปรแกรมไว้ล่วงหน้าที่มาพร้อมกับการเรียนรู้ที่เหมาะสมมาหลายร้อยปีแล้ว สมองเป็นสากลได้พัฒนาขึ้น จากด้านล่างขึ้นมาซึ่งหมายความว่าส่วนล่างของมันได้มีวิวัฒนาการที่เก่าแก่และส่วนบนที่สุดเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด ก้านสมองจะควบคุมกระบวนการทางจิตใต้สำนึกที่ทำให้เราและสัตว์ชนิดอื่นๆมีชีวิตอยู่ได้

            4.2 การทำงานและความสัมพันธ์ที่มีความหมาย ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งที่ดีที่เราเลือกสำหรับตัวเราเองเท่านั้น แต่มันถูกเข้าโปรแกรมทำพันธุกรรมในตัวของเราไว้แล้ว

นักประสาทวิทยา นักจิตวิทยา และนักวิวัฒนาการ เห็นพ้องกันว่าสมองของมนุษย์ได้รับการจัดโปรแกรมไว้ล่วงหน้าสำหรับความต้องการและความเพลิดเพลินในความร่วมมือทางสังคม สมองของเราต้องการมันและสามารถพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นเมื่อเราได้รับมา ความสัมพันธ์ที่มีความหมายที่เราได้รับความร่วมมือจากทางสังคมทำให้เรามีความสุข มีสุขภาพที่ดี แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

จนถึงขณะนี้การรู้ว่าสมองมีวิวัฒนาการมาอย่างไร เราอาจจะอนุมัติอดีตไปในอนาคตเพื่อจินตนาการว่ามันจะเป็นไปได้ถึงไหน เห็นได้ชัดว่าการวิวัฒนาการของสมองได้เปลี่ยนไปจากการไม่คิดและความสนใจตนเองไปสู่การมุ่งเน้นเรื่องนามธรรมและมีความสนใจสิ่งต่างๆมากขึ้น

            4.3 ทำความเข้าใจในการต่อสู้ของสมอง และวิธีการควบคุมมันเพื่อให้ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ

เนื้อหาในบทนี้จะสำรวจวิธีต่างๆที่สมองของคุณต่อสู้เพื่อควบคุมตัวคุณ แม้ผมจะอ้างถึงส่วนต่างๆของสมองแบบเฉพาะเจาะจงที่นักประสาทวิทยาเชื่อว่าส่งผลต่อการคิดและการเกิดอารมณ์แบบเฉพาะเจาะจงเช่นกัน แต่ในทางสรีระวิทยาที่เกิดขึ้นจริงนั้นมีความซับซ้อนกว่ามาก และนักวิทยาศาสตร์เพิ่งเริ่มที่จะเข้าใจมัน

  • จงตระหนักไว้ว่า จิตสำนึกกำลังต่อสู้กับจิตใต้สำนึก เพื่อให้แน่ใจว่าตัวคุณในระดับล่างไม่ได้กำลังทำลายความต้องการของตัวคุณเองในระดับบน แม้ว่าผมมักจะเห็นตัวคุณทั้งสองคนเวลาทำอะไรสักอย่างในตัวเองและคนอื่นๆ แต่ผมก็ยังไม่รู้อะไรมากนักจนกระทั่งผมได้รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงมีตัวตน ผมจึงได้เข้าใจพวกเขาอย่างจริงจัง
  • รู้ไว้ว่าการต่อสู้ที่ต่อเนื่องที่สุด คือระหว่างความรู้สึกและความคิด ไม่มีการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าระหว่างความรู้สึกของเราและความคิดเหตุผลของเรา หากคุณเข้าใจว่าการต่อสู้เหล่านั้นเกิดขึ้นคุณก็จะเข้าใจว่าทำไมมันจึงมีความสำคัญในการปรับสิ่งที่คุณได้รับจากจิตใต้สำนึกของคุณไปพร้อมกับสิ่งที่คุณได้รับจากจิตสำนึกของคุณ
  • ปรับความรู้สึกและความคิดของคุณ สำหรับคนส่วนใหญ่ชีวิตคือการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดระหว่างสองส่วนนี้ของสมอง ในขณะที่ปฏิกิริยา เกิดขึ้นและลดลง ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างผู้ที่นำทางวิวัฒนาการส่วนบุคคลของตนเองและความสามารถบรรลุเป้าหมายของพวกเขาได้ ก็คือการควบคุมสมองทั้งสองส่วนนี้
  • เลือกนิสัยของคุณให้ดี นิสัยเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดในกล่องเครื่องมือของคุณ มันจะถูกผลักดันก้อนเนื้อเยื่อขนาดเท่าลูกกอล์ฟที่เรียกว่าปมประสาทฐาน ถ้าคุณทำอะไรได้บ่อยพอสมควรเป็นเวลานานคุณจะสร้างนิสัยที่ควบคุมตัวคุณ นิสัยที่ดีคือนิสัยที่ช่วยให้คุณทำในสิ่งที่คุณต้องการ เดอะนิสัยที่ไม่ดีคือนิสัยที่ถูกควบคุมโดยตัวคุณระดับล่างและจะเป็นอุปสรรคต่อสิ่งที่คุณต้องการ คุณสามารถที่จะสร้างนิสัยที่ดีขึ้นได้หากคุณเข้าใจว่าสองส่วนของสมองนี้ทำงานอย่างไร
  • ฝึกตัวคุณเองในระดับล่างด้วยความเมตตาและความเพียรเพื่อสร้างนิสัยที่ถูกต้อง ผมเคยคิดว่าตัวตนระดับบนที่คุณต้องการจำเป็นจะต้องต่อสู้กับระดับล่างของคุณถึงจะสามารถควบคุมได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปผมได้เรียนรู้ว่ามันมีประสิทธิภาพมากกว่าที่จะฝึกจิตใต้สำนึกด้วยวิธีเดียวกันกับที่คุณจะใช้สอนเด็กเพื่อให้มีพฤติกรรมตามรูปแบบที่คุณต้องการ
  • ทำความเข้าใจกับความแตกต่างระหว่างความคิดสมองซีกขวาและสมองซีกซ้าย เช่นเดียวกับสมองของคุณที่มีจิตสำนึกส่วนบนและจิตสำนึกส่วนล่าง มันยังมีสมองอีกสองข้างที่เรียกว่าสี่ คนส่วนใหญ่มักจะได้รับคำสั่งจากด้านหนึ่งมากกว่าอีกด้านหนึ่งแล้วพวกเขาก็จะมีปัญหาในการทำความเข้าใจกับคนที่ได้รับคำสั่งจากด้านที่ตรงข้าม
  • ทำความเข้าใจว่าสมองสามารถเปลี่ยนหรือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ขนาดไหน สิ่งนี้นำเราไปสู่คำถามที่สำคัญว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เราทุกคนสามารถเรียนรู้ข้อมูลและทักษะใหม่ๆได้ แต่เราสามารถเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิธีการที่เราคิดได้หรือไม่คำตอบก็คือได้ ความสามารถของสมองในการปรับตัวเป็นสิ่งที่ช่วยให้สมองของคุณเปลี่ยนการเชื่อมโยงในสมองได้ นั่นหมายความว่าสมองมีความยืดหยุ่นอย่างไม่จำกัดหากคุณมีวิธีคิดที่ถนัด คุณอาจจะฝึกตัวเองให้ปฏิบัติในทางอื่นและพบว่ามันอาจจะทำได้ง่ายขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป

            4.4 ค้นหาว่าคุณและคนอื่นเป็นยังไง

ปัจจุบันการประเมินผลทางจิตวิทยามีความน่าเชื่อถือมากขึ้น มันมีความสำคัญในการช่วยสำรวจว่าผู้คนคิดอย่างไร

  • กลุ่มที่ชอบเข้าสังคมและไม่ชอบเข้าสังคม เข้าสังคมมักจะมุ่งเน้นไปที่โลกภายในของตัวเองและได้รับพลังงานจากความคิด ความทรงจำและประสบการณ์ ในขณะที่กลุ่มคนที่ชอบเข้าสังคมจะมุ่งเน้นไปที่โลกภายนอกรอบๆตัวและเขาจะได้รับพลังงานจากการได้อยู่กับผู้คน
  • การหยั่งรู้ และการรู้สึก บางคนมักจะเห็นภาพใหญ่และคนอื่นๆจะมองไปที่รายละเอียด วิธีการมองเหล่านี้แสดงให้เห็น ชัดเจนที่สุดด้วยความต่อเนื่องจากการหยั่งรู้ไปถึงการรู้สึก
  • ความคิด และความรู้สึก บางคนมักตัดสินใจโดยอาศัยการวิเคราะห์เชิงตรรกะจากข้อเท็จจริง โดยคำนึงถึงปัจจัยที่ไม่รู้และสามารถพิสูจน์ได้ทั้งหมดที่มีความสำคัญต่อสถานการณ์ที่กำหนด และใช้ตรรกะในการพิจารณาแนวทางที่ดีที่สุด
  • การวางแผน และการรับรู้ บางคนชอบที่จะมีชีวิตที่อยู่ในแบบที่วางแผนไว้อย่างเป็นระเบียบ ขณะที่คนอื่นๆจะชอบความยืดหยุ่นและความเป็นธรรมชาติ
  • ผู้สร้าง นักกลั่นกรอง นักก้าวหน้า นักปฏิบัติการ และผู้มีความยืดหยุ่น ด้วยการระบุความสามารถและความชอบซึ่งจะทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามีความพิเศษ ผู้สร้างมักจะสร้างแนวคิดใหม่ๆและแนวความคิดต้นฉบับ นักก้าวหน้าจะสื่อสารด้วยแนวคิดใหม่และนำพาไปข้างหน้า นักกลั่นกรองจะท้าทายแนวความคิดต่างๆพวกเขาจะวิเคราะห์โครงการและหาจุดบกพร่องโดยมุ่งเน้นไปที่วัตถุประสงค์และการวิเคราะห์ นักปฏิบัติการพวกเขาจะทำให้มั่นใจว่ากิจกรรมที่สำคัญจะสามารถดำเนินการและบรรลุเป้าหมายได้ตามที่วางแผนไว้ การรวมตัวกันของทั้งสี่ประเภทพวกเขาสามารถปรับรูปแบบของตัวเองเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถในการมองปัญหาได้จากหลายมุมมอง
  • การมุ่งเน้นไปที่งาน เทียบกับการมุ่งเน้นไปที่เป้าหมาย บางคนมุ่งเน้นไปที่งานประจำวันในขณะที่บางคนมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายและวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมายนั้น ผมได้พบว่าความแตกต่างเหล่านี้จะค่อนข้างคล้ายกับความแตกต่างระหว่างผู้ที่อยากรู้และผู้ที่รู้สึก
  • รายละเอียดบุคลิกภาพในที่ทำงาน แบบประเมินอื่นๆที่เราใช้คือรายละเอียดของบุคลิกภาพในที่ทำงาน ซึ่งเป็นแบบทดสอบตามข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริกา โดยแบบประเมินนี้จะคาดการณ์พฤติกรรม ความเหมาะสม แล้วความพึงพอใจของงานโดยแยกแยะลักษณะหรือคุณสมบัติที่สำคัญ การทดสอบนี้ช่วยให้เราเข้าใจได้ว่าผู้คนยึดติดในคุณค่าอะไรบ้างและจะยอมแลกคุณค่าเหล่านั้นกับอะไรบ้าง
  • นักปั้น คือกลุ่มคนที่สามารถเปลี่ยนจากการสร้างภาพในจิตใจให้ไปสู่การกระทำที่เป็นจริงได้ ผมใช้คำนี้เพื่อหมายถึงคนที่มากับวิสัยทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่า และสร้างพวกเขาออกมาได้อย่างสวยงาม โดยทั่วไปแล้วสามารถเข้าใจทั้งในภาพใหญ่และรายละเอียดที่ถูกต้องมากกว่าคนอื่นๆ คนที่มีแนวคิดเชื่อมโยงแบบนี้หาได้ยากมากแต่พวกเขาไม่สามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องทำงานกับคนอื่นๆ ที่มีความเหมาะสมซึ่งมีความคิดและพฤติกรรมที่จำเป็นต่อการทำงานให้มีประสิทธิภาพ

            4.5 การวางคนที่เหมาะสมลงไปในบทบาทที่เหมาะสมเพื่อสนับสนุนเป้าหมายของคุณ คือกุญแจสู่ความสำเร็จในสิ่งที่คุณเลือกที่จะบรรลุให้สำเร็จ

  • จัดการกับตัวเองและกำกับคนอื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่คุณต้องการ ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ คือการใช้ความคิดระดับบนในการจัดการกับอารมณ์ระดับล่างของคุณ วิธีที่ดีที่สุดในการทำเช่นนี้คือการพัฒนานิสัยให้เกิดขึ้นอย่างมีสติ ซึ่งทำให้คุณทำสิ่งดีๆจนเป็นนิสัย

เตรียมพร้อมให้ดีเพราะบทถัดไปผมจะนำทุกสิ่งที่คุณได้อ่านมาแล้วมารวมกันและแจกแจงข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ การตัดสินใจบางอย่างที่คุณควรทำด้วยตัวเอง และบางเรื่องคุณควรมอบให้กับคนอื่นที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่า ใช้ความรู้ของตัวเองเพื่อรับรู้สิ่งต่างๆ คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จไม่ว่าคุณจะพยายามทำอะไรก็ตาม

บทที่ 5 เรียนรู้วิธีการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ

ในฐานะของนักตัดสินใจมืออาชีพ ผมใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการเรียนรู้ว่าผมควรจะตัดสินใจอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด แล้วมองในมุมมองที่ตรงข้ามเสมอ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลในการตัดสินใจและให้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ผมพึ่งเข้าใจก็คือ กระบวนการที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการตัดสินใจในทุกๆวันคือจิตใต้สำนึก นั่นจึงทำให้การตัดสินใจเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและยากที่จะอธิบาย

ในเมื่อไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุด แต่มีกฎที่คนทั่วไปใช้ในการตัดสินใจโดยจะเริ่มต้นด้วย

                5.1 จงตระหนักว่า อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการตัดสินใจที่ดีคืออารมณ์ในทางลบ และการตัดสินใจประกอบด้วยสองสั้นตร เริ่มจากการศึกษาหาข้อมูลก่อนแล้วจึงตัดสินใจ

             การศึกษาหาข้อมูล ต้องทำก่อนที่จะตัดสินใจใดๆอย่างที่ได้กล่าวไว้ในบทที่หนึ่ง หัวสมองของคุณได้เก็บข้อมูลในการเรียนรู้ต่างๆ โดยจะเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก ความทรงจำและนิสัยของคุณ แต่ไม่ว่ามันจะถูกเก็บไว้ที่ไหนสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคุณต้องรู้ว่าอะไรที่จะเกิดขึ้นหรือผลกระทบที่จะตามมาเมื่อคุณได้ตัดสินใจไปแล้ว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคุณต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น

 การตัดสินใจ คือกระบวนการ เลือกว่าคุณจะใช้ความรู้ในด้านใดในการตัดสินใจ ทั้งข้อเท็จจริงที่มักจะถูกถามว่าอะไรและความเข้าใจของคุณภายใต้สาเหตุและปัญหาของสิ่งนั้น จากนั้นคุณจึงทำความคิดของคุณมาชั่งน้ำหนักดูเพื่อหาแนวทางในการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ต้องใช้เวลาวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ในทิศทางเดียวกันกับที่คุณต้องการ

            5.2 วิเคราะห์เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

             ในทุกๆวันคุณจะต้องเผชิญกับอะไรมากมายในชีวิตคุณ ให้เรียกสิ่งเหล่านั้นว่าจุด และคุณต้องบอกให้ได้ว่าจุดไหนสำคัญที่สุดและจุดไหนที่ไม่สำคัญ ที่เรามองว่าเล็กน้อยอาจจะเป็นสิ่งที่สำคัญก็ได้ สิ่งที่สำคัญคือการมองในระดับที่สูงขึ้นเพื่อจะได้ตัดสินใจได้ถูกและรวดเร็วเกี่ยวกับความเสี่ยงที่แท้จริงที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องลองค้นหาต้นตอของปัญหา

  • หนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถทำได้ คือการปรึกษาให้ถูกคน คุณต้องแน่ใจว่าคนที่คุณปรึกษาคือคนที่มีความรู้และเชื่อถือได้อย่างแท้จริง ดูให้แน่ใจว่าใครมีความรู้ด้านไหนแล้วค่อยปรึกษาเขา
  • อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณได้ยิน ความคิดเห็นของผู้คนมีมากมายแตกต่างกันไปตามความคิดของแต่ละคน แต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าความคิดเห็นนั้นเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิด
  • ทุกอย่างล้วนดูใหญ่ขึ้นเมื่อมองมันจากระยะประชิด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคนเราควรจะถอยหลังสักก้าวเพื่อพิจารณามุมมองต่างๆหรือผลัดกันตัดสินใจออกไปสักระยะจึงเป็นเรื่องดี
  • สิ่งที่ใหม่มักจะถูกประเมินค่าให้สูงเกินจริงเมื่อเทียบกับสิ่งที่ดี แต่สำหรับผมแล้วผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ฉลาดกว่าเมื่อคุณเลือกในสิ่งที่ดีแทนที่จะเป็นสิ่งใหม่
  • อย่าค้นหาจุดมากเกินไป จุดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูลที่มาจากช่วงเวลาหนึ่งที่เราได้ใช้สำหรับการวิเคราะห์ สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือคุณจำเป็นต้องรู้ว่าคุณได้เรียนรู้และได้รับข้อมูลของแต่ละจุดไปมากน้อยเพียงใดแล้ว

            5.3 วิเคราะห์เหตุการณ์ตามช่วงเวลา

การที่จะดูว่าแต่ละจุดเกี่ยวข้องกับเวลาอย่างไร คุณต้องเก็บข้อมูล วิเคราะห์และเรียบเรียงความแตกต่างของข้อมูลแต่ละประเภทซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย คนที่สามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ออกมาเป็นรูปแบบต่างๆได้นั้นหายาก

แต่ในที่สุดแล้วความสามารถที่คนควรมีมากที่สุดก็คือความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละช่วงเวลา หากคุณไม่ค่อยเก่งในการวิเคราะห์ในรูปแบบนี้คุณสามารถฝึกได้โดยการทำซ้ำ หรือคุณสามารถเพิ่มโอกาสในการฝึกฝนและประสบความสำเร็จได้โดยการทำตามหลักการที่จะกล่าวต่อไปนี้

  • จำข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการเปลี่ยนแปลง ระดับของสิ่งต่างๆและความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันไว้ เมื่อพิจารณาถึงอัตราการพัฒนาที่ยอมรับได้ของอะไรสักอย่าง มันจะแสดงถึงระดับความสัมพันธ์ของอัตราการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำคัญในชีวิตคุณจะต้องอยู่ในระดับที่มากกว่าค่าของเซลล์ที่เป็นค่าที่ยอมรับได้ หรือถ้าจะให้ดีต้องอยู่ประมาณเส้นที่ดีเยี่ยม
  • ไม่ต้องแม่นยำมากนัก ทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดในภาพใหญ่และใช้การประมาณการก็เพียงพอ หากเราประเมินความสัมพันธ์ระหว่างจุดแบบเขาข้าวแทนที่จะใช้เวลาอย่างมากเพื่อวิเคราะห์ ได้อย่างแม่นยำ ว่าอะไรคือสิ่งที่มีค่ามากกว่ากันมันอาจจะฟังดูงี่เง่าที่เราต้องใช้เวลาไปกับการทำสิ่งนี้แต่มันก็เป็นสิ่งที่ควรส่วนใหญ่ทำจริง ในภาพใหญ่คือระดับที่คุณจำเป็นต้องเข้าใจเกือบทุกสิ่งเพื่อที่จะตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
  • จำกฎ 80/20 และรู้ว่า 20 เปอร์เซ็นต์นั้นคืออะไร กฎนี้คือการที่คุณจะทำอย่างไรให้ผลลัพท์เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ในขณะที่คุณออกแรงเพียงแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์
  • เป็นคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ คนที่สมบูรณ์แบบมักจะใช้เวลาไปกับการหาทางแก้ไขจุดที่บกพร่องเพียงเล็กน้อย ในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าสำคัญ แต่ในการตัดสินใจโดยทั่วไปมักจะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องประมาณห้าถึงสิบปัจจัยเท่านั้น

            5.4 หาระดับของมุมมองอย่างมีประสิทธิภาพ

ความจริงนั้นมีอยู่มากมายหลายระดับ แล้วแต่ละระดับก็ต่างมีมุมมองที่แตกต่างกัน สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาต้องเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในสมองเพื่อที่จะสังเคราะห์การตัดสินใจและรู้ถึงวิธีในการจัดการกับปัญหาต่างๆ แล้วมองเห็นสิ่งต่างๆในระดับต่างๆรวมถึงจัดการกับมันตลอดเวลาโดยไม่สนว่าเราจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับมันหรือไม่ ไม่สนว่าเราจะทำมันได้ดีแค่ไหนและไม่สนว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องที่จับต้องได้

วิธีการสังเกตว่าคุณทำสิ่งนี้ดีแล้วหรือยัง ให้ดูที่คำของคุณในการพูดออกมาเพราะเรามีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงระดับมุมมองของเราเมื่อเราพูด

  • ใช้คำว่า ด้านบนของเส้น กับด้านล่างของเส้น เพื่อบรรทัดฐานว่าการสนทนาอยู่ระดับไหน บทสนทนาที่ด้านบนของเซลล์จะกล่าวถึงประเด็นหลัก ส่วนบทสนทนาที่อยู่ด้านล่างของเส้นจะกล่าวถึงประเด็นย่อย เมื่อเส้นของเหตุผลดูสับสนและมึนงงจะทำให้ผู้พูดให้ความสำคัญกับประเด็นย่อยและไม่สนใจประเด็นหลัก
  • จำไว้ว่าการตัดสินใจต้องทำในระดับมุมมองที่เหมาะสม แต่ก็ควรจะสอดคล้องกันกับระดับอื่นๆด้วย พวกคุณต้องเชื่อมต่อและปรับปรุงให้สอดคล้องกับข้อมูลที่คุณได้รวบรวมใหม่ในแต่ละระดับ เพื่อที่จะได้เห็นภาพที่สมบูรณ์ของสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับการวิเคราะห์ทั่วไป การตัดสินใจที่ดีการใช้เหตุผลในการตัดสินใจเพื่อทำให้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุดในระยะยาวเป็นความรู้ที่ผมได้รับจากการศึกษาของผมเอง

            5.5 ตรรกะ เหตุผล และสัญชาตญาณของคุณ คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการสังเคราะห์ข้อมูล และเข้าใจว่าควรทำอะไรต่อไป

อย่าหวังกับการพึ่งพาคนอื่น เป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่การทดสอบโดยนักจิตวิทยาหลายคนแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่มักทำตามความคิดส่วนอารมณ์มากกว่า ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจของเขานั้นอยู่ในเกณฑ์ที่แย่ เพราะไม่ได้ผ่านการคิดวิเคราะห์จากหลักการของเหตุผลเลย

แน่นอนว่าการตัดสินใจของคุณจะขึ้นอยู่กับคนหมู่มาก โดยไม่สนความคิดของคนหมู่มากนั้นจะเข้าท่าหรือไม่และอาจจะส่งผลเสียได้ในอนาคตด้วย เนื่องจากการตัดสินใจนั้นมาจากความคิดที่อาจไม่ผ่านการกลั่นกรองอย่างดี องค์ประกอบที่ประสบความสำเร็จมักตัดสินใจโดยมีพื้นฐานหลักการและเหตุผล มากกว่าการคาดหวังของคนในองค์กร

            5.6 ทำการตัดสินใจโดยการคำนวณค่าความคาดหวัง

ให้คิดว่าการตัดสินใจทุกครั้งเป็นการเดิมพัน ระหว่างความน่าจะเป็นที่ได้รางวัลเมื่อการตัดสินใจนั้นถูกต้อง และความน่าจะเป็นที่ได้รับการลงโทษเมื่อการตัดสินใจนั้นผิดพลาด โดยปกติแล้วการตัดสินใจที่ชนะมักมีค่าความคาดหวังเป็นบวก นั่นหมายถึงว่าความน่าจะเป็นที่จะได้รับรางวัลมีมากกว่าความน่าจะเป็นที่จะได้รับการลงโทษ ในขณะที่การตัดสินใจที่ดีที่สุดจะมีค่าความคาดหวังสูงที่สุด

แม้ว่าในชีวิตจริงเราจะไม่ได้คำนวณค่าความน่าจะเป็นอย่างจริงจัง แต่เราก็ใช้มันตามสัญชาตญาณของตนเอง ในขณะที่หลักการเดียวกันนี้เมื่ออยู่ในมุมมองที่ลบก็จะเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหมือนกัน เพื่อให้การคำนวณค่าความคาดหวังของคุณแม่นยำมากขึ้นคุณต้องจำเอาไว้ว่า

  • การเพิ่มความน่าจะเป็นที่จะถูกต้องนั้นสำคัญมาก แม้ว่ามีความน่าจะเป็นที่จะถูกต้องแล้วก็ตาม ผมมักจะสังเกตโดยดูการตัดสินใจของแต่ละคน เมื่อความน่าจะเป็นที่พวกเขาจะชนะเดิมพันมีมากกว่าครึ่ง สิ่งที่พวกเขามักจะพลาดหรือพวกเขาไม่ทราบว่าเขาควรจะเพิ่มอัตราความน่าจะเป็นอีกเท่าไรเพื่อให้ผลลัพธ์มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น คุณต้องทดสอบความคิดของคุณก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไปถึงแม้ว่าคุณจะมั่นใจว่าคุณคิดถูกต้องแล้วก็ตาม
  • ก็รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ไม่ควรจะวางเดิมพัน มีความสำคัญพอๆกับการรู้ว่าควรจะวางเดิมพันเท่าไหร่ คุณสามารถปรับปรุงสถิติเดิมพันของคุณได้ โดยการวางเดิมพันในจำนวนที่เหมาะสมและเวลาที่คุณมั่นใจที่สุดเท่านั้น
  • ตัวเลือกที่ดีที่สุดคือตัวเลือกที่มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย แต่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ไม่มีข้อเสียเลย ระวังผู้ที่ชอบเถียงกับทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาเห็นว่ามีอะไรที่ผิดสักนิดโดยปราศจากการไตร่ตรองหรือชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียได้แล้วล่ะก็ คนเช่นนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ตัดสินใจแย่

            5.7 จัดลำดับความสำคัญโดยการชั่งน้ำหนักของคุณค่าข้อมูลเพิ่มเติมเทียบกับค่าเสียโอกาสที่ไม่ได้ตัดสินใจ

การตัดสินใจที่ดีที่สุดนั้นบางครั้งก็เกิดขึ้นหลังจากการสอบถามหรือหาข้อมูลเพิ่มเติม เพียงแต่คุณต้องเรียงลำดับข้อมูลจากใหญ่เป็นเล็กก่อนที่จะทำการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งคนที่จะเรียงลำดับความสำคัญได้นั้นจะเข้าใจเรื่องต่อไปนี้

  • จุดที่ต้องทำของคุณต้องอยู่เหนือและถูกทำก่อนจุดที่อยากทำ แยกจุดที่ต้องทำของคุณออกจากจุดที่อยากทำ และอย่าให้ จุดที่อยากทำอยู่เป็นอันดับแรก
  • มีโอกาสที่คุณจะไม่มีเวลาจัดการกับสิ่งที่ไม่สำคัญ ซึ่งมันจะดีกว่าการที่คุณไม่มีเวลาจัดการกับสิ่งที่สำคัญ ผมมักจะได้ยินคำถามจากผู้คนว่า มันจะดีไหมถ้าทำแบบนั้น ซึ่งมันฟังดูเหมือนคุณกำลังไขว้เขวกับสิ่งที่สำคัญกว่าที่คุณต้องทำก่อนหน้านั้น
  • อย่าเข้าใจผิดว่าความเป็นไปได้คือความน่าจะเป็น ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น มันคือความน่าจะเป็นที่เป็นไปได้ และทุกสิ่งทุกอย่างต้องผ่านการชั่งน้ำหนักตามความน่าจะเป็นและจัดการลำดับความสำคัญ

            5.8 ทำให้มันง่ายขึ้น

กำจัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องออกเน้นรายละเอียดที่สำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างพวกมันแทน อย่างที่มีคนเคยพูดไว้ว่า คนโง่สามารถทำเรื่องง่ายๆให้กลายเป็นเรื่องที่อยากได้ฉันใด คนฉลาดก็ทำให้เรื่องที่อยากกลายเป็นเรื่องที่ง่ายได้ฉันนั้น หากคุณไม่สามารถทำอะไรที่เป็นธรรมชาติได้ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะทำมันไม่ได้ เพียงแต่อาจจะต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการฝึกฝนมากเป็นพิเศษเท่านั้นเอง หรือไม่เช่นนั้นคุณก็ร้องหาคนมาช่วยเพื่ออะไรมันจะง่ายขึ้น

            5.9 ใช้หลักการ

             การใช้หลักการเป็นวิธีที่ง่ายและช่วยในการตัดสินใจของคุณ ถึงแม้ว่าคุณจะคิดว่ามันเข้าใจง่ายสำหรับคุณแล้ว แต่มันก็เป็นเรื่องที่คุณควรจะตระหนักไว้เสมอว่า สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเพียงอีกเรื่องที่เกิดขึ้น สิ่งนี้จะช่วยให้คุณสามารถลดจำนวนการตัดสินใจที่ต้องทำลงอย่างมาก แล้วมันทำให้คุณทำได้ดีกว่าคนอื่นๆซึ่งหลักการง่ายๆดังต่อไปนี้ ใช้เวลาคิดให้มากขึ้นเพื่อจะได้ทราบถึงหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจของคุณ เขียนเกณฑ์แต่ละข้อเป็นหลักการ คำนึงถึงหลักเกณฑ์เหล่านี้เมื่อคุณมีผลลัพธ์ที่จะต้องประเมินและไตร่ตรองก่อนที่ผลลัพธ์ต่อไปจะมา

คุณสามารถใช้หลักการของคุณหรือของผู้อื่นก็ได้ เพราะคุณเพียงต้องการสิ่งที่ดีที่สุดเท่านั้น และหากคุณคิดแบบนี้ตลอดคุณก็จะเป็นนักคิดที่มีหลักการที่ดีคนนึงเลย

            5.10 ความน่าเชื่อถือของการตัดสินใจของคุณ

             ผมพบว่าความคิดหลากหลายมุมมองกับบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือสูงจะเต็มใจให้ข้อมูล ทำให้การเรียนรู้ของผมหลากหลายยิ่งขึ้นและตัดสินใจได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น ผมจึงอยากให้คุณลองตัดสินใจโดยใช้วิธีนี้ดูเพราะมันทำให้การตัดสินใจของผมดีขึ้นมากกว่าปกติ

การตัดสินใจที่ใช้หลักการและการตัดสินใจจากการให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นและนำไปสู่การตัดสินใจที่ดีกว่าปกติ ในขณะที่การตัดสินใจจากการให้น้ำหนักความน่าเชื่อถืออาจฟังดูยุ่งยากแต่คุณมักทำมันตลอดเวลาโดยที่คุณไม่รู้ตัว อย่างเช่นตอนที่คุณถามตัวเองว่าฉันควรจะฟังใครดี แต่มันก็จะเป็นเรื่องที่ดีหากคุณให้ความสำคัญกับมัน

            5.11 แปลงหลักการของคุณให้เป็นขั้นตอน และใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ

หากคุณทำได้คุณจะมีพลังในการตัดสินใจมากขึ้น ในหลายกรณีคุณสามารถทดสอบได้ว่าหลักการดังกล่าวมีผลอย่างไรในอดีตหรือในสถานการณ์ต่างๆ แล้วคุณจะสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในหลักการต่างๆได้เช่นกัน อีกทั้งยังช่วยให้คุณสามารถแยกแยะการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์ออกจากเหตุผลได้อีกด้วย

การพัฒนาการตัดสินใจโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวช่วยจะช่วยลดอีโก้ในตัวคุณ เพราะเมื่อคุณสามารถตัดสินใจโดยใช้คอมพิวเตอร์ได้แล้วคุณต้องสอนคนอื่น จากนั้นพวกเขาก็จะทำในสิ่งที่คุณบอกเขาว่าดี การตัดสินใจเช่นนี้ดีกว่าการที่คุณต้องตัดสินใจเพียงลำพังแน่นอน เนื่องจากคอมพิวเตอร์จะเชื่อมโยงคุณไปยังการตัดสินใจที่ดีที่ได้มีการรวบรวมข้อมูลไว้หมดแล้ว สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คุณได้รับข้อมูลเพียงพอและดีกว่าการที่คุณตัดสินใจด้วยตัวเอง

            5.12 อย่าไว้ใจปัญญาประดิษฐ์โดยไม่ได้เข้าใจถึงกลไกการทำงานของมันอย่างแท้จริง

ผมกังวลเกี่ยวกับอันตรายจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ในกรณีที่ผู้ใช้ยอมรับหรือยอมทำตามวิธีเหล่าเครื่องจักรคิดให้ โดยไม่สนใจถึงผลกระทบที่ตามมาและไม่มีความเข้าใจถึงหลักการคิดของมันอย่างแท้จริง แต่ถ้าเราป้อนข้อมูลลงคอมพิวเตอร์เฉพาะรูปแบบที่เราต้องการและปรับใช้มันในแต่ละการตัดสินใจได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจหลักการใดๆวิธีการแบบนี้ผมเรียกมันว่าการเลียนแบบ ที่สามารถใช้ได้เมื่อสิ่งเดียวกันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเหมือนกับเกมที่มีกฎตายตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งย่อมเปลี่ยนไปเสมอ ดังนั้นระบบนี้ก็อาจจะไม่สามารถใช้งานได้จริงเพราะชีวิตเราไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย

เชื่อว่าพวกมันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการตัดสินใจในอนาคต และกับเหตุการณ์ในปัจจุบันที่มีลักษณะเหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต การป้อนข้อมูลและตัวแปรที่เป็นไปได้เข้าไปในคอมพิวเตอร์เพื่อให้มันทำการประมวลผลและตัดสินใจ ในความเป็นจริงเราจะวิตกกังวลกับการทำความเข้าใจมากเกินไป และการคิดอย่างมีสติเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำความเข้าใจเท่านั้นซึ่งบางทีมันอาจจะเป็นเพียงพอแล้วสำหรับการกำหนดสูตรที่ใช้รับมือกับการเปลี่ยนแปลง และการคาดการณ์ในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผมว่ามันน่าตื่นเต้นมีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวต่ำ และเป็นประโยชน์ในการศึกษา เพราะเราได้เรียนรู้และทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเหตุและผล ซึ่งดีกว่าการทำตามขั้นตอนของคนอื่นที่เราไม่เข้าใจ

เรากำลังมุ่งหน้าสู่โลกใบใหม่ที่น่าตื่นเต้นและน่ากลัวซึ่งนั่นก็คือความเป็นจริงในทุกวันนี้ และผมเชื่อว่าเราทุกคนพร้อมที่จะรับมือกับมันมากกว่าจ้าที่ท่านให้มันเป็นเพียงความฝัน

PART 3 : หลักการทำงาน

องค์กรเป็นเครื่องจักร ที่ประกอบด้วยสองส่วนหลักๆคือนวัตกรรมและคน

            สิ่งหนึ่งย่อมส่งผลต่อเนื่องต่ออีกสิ่งเพราะว่าคนที่สร้างองค์กรจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบวัฒนธรรมองค์กรและวัฒนธรรมองค์กรจะกำหนดลักษณะของคนที่เหมาะสมต่อองค์กรนั้น

  • องค์กรที่ดีเลิศจะมีทั้งคนที่ดีเลิศและนวัตกรรมที่ดีเลิศ ไม่มีอะไรสำคัญกว่าหรือยากกว่าการทำให้องค์กรมีวัฒนธรรมและคนที่เหมาะสม
  • คนที่ดีเลิศจะมีทั้งคุณลักษณะที่เป็นเลิศและขีดความสามารถที่เป็นเลิศ คนที่มีคุณสมบัติเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นคนที่อันตรายและควรให้ออกไปจากองค์กร ส่วนคนที่มีคุณสมบัติทั้งสองอย่างนั้นหายากและต้องได้รับการยอมรับ
  • นวัตกรรมที่ดีเลิศจะนำปัญหาและความไม่เห็นด้วยต่างๆให้ปรากฏออกมา และแก้ไขมันให้ดี และผู้คนยังชื่นชอบการจินตนาการและการสร้างสิ่งที่เป็นเลิศที่ยังไม่เคยมีใครสร้างมาก่อน เพื่อมุ่งมั่นสู้งานที่มีความหมายและความสัมพันธ์ที่มีความหมายผ่านความจริงอย่างแท้จริงและความโปร่งใสอย่างแท้จริง

บทที่ 1 เชื่อในความจริงอย่างแท้จริงและความโปร่งใสอย่างแท้จริง

            การทำความเข้าใจว่าอะไรคือความจริงเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับความสำเร็จและความโปร่งใสตรงไปตรงมาต่อทุกสิ่งกระทั่งต่อข้อผิดพลาดและจุดอ่อนจะช่วยสร้างความเข้าใจที่จะนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไข ไม่ใช่เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น

การมีความจริงอย่างแท้จริงและความโปร่งใสอย่างแท้จริงกับเพื่อนร่วมงานและการคาดหวังให้เพื่อนร่วมงานทำเช่นเดียวกับคุณนั้น จะช่วยรับรองว่าปัญหาสำคัญจะเปิดเผยให้เห็นแทนที่จะถูกซุกซ่อนไว้นอกจากนี้ยังบังคับให้เกิดพฤติกรรมที่ดีและความคิดที่ดีอีกด้วย

การปรับใช่ความจริงอย่างแท้จริงและความโปร่งใสอย่างแท้จริง บางคนบอกกับผมว่าการปฏิบัติแนวทางนี้ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์เพราะมนุษย์จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองจากความจริงที่รุนแรงและบอกว่าระบบนี้ไม่ได้ผลในทางปฏิบัติแต่จะประสบการณ์และความสำเร็จของเราพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง แม้จะถูกที่ว่าแนวทางนี้ไม่ใช่แนวทางสำหรับคนส่วนใหญ่ที่คุ้นเคยแต่ก็ใช่ว่าจะฝืนธรรมชาติ

1.1 ตระหนักว่าไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวจากการรู้ความจริง การที่จะยอมรับแนวคิดนี้ได้คุณจะต้องเข้าใจด้วยว่าว่าเป็นเหตุใดความไม่จริงจึงน่ากลัวๆความจริงจากนั้นสร้างความคุ้นเคยด้วยการลองอยู่กับมัน

1.2 จงซื่อตรงและเรียกร้องความซื่อตรงจากผู้อื่น คนที่คิดอย่างหนึ่งแต่แสดงออกอย่างหนึ่งจะมีความขัดแย้งเรามักจะสูญเสียคุณค่าของตัวเอง ยากที่พวกเขาจะมีความสุขและเกิดเป็นไปไม่ได้เลยที่จะประสบความสำเร็จสูงสุด การทำให้สิ่งที่พูดกับสิ่งที่คิดและสิ่งที่คิดกับสิ่งที่พูดรู้สึกไปในแนวทางเดียวกันจะทำให้คุณมีความสุขมากกว่าและประสบความสำเร็จมากกว่า

  • ไม่วิจารณ์หรือกล่าวโทษกันลับหลัง แต่ให้กระทำต่อหน้า มันเป็นสิ่งที่ไม่สร้างสรรค์และแสดงถึงการขาดความจริงอย่างรุนแรง มันไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งยังบ่อนทำลายผู้ถูกวิจารณ์ลับหลังและทำลายบรรยากาศโดยรวม นอกจากความไม่สุจริตแล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดในลำดับต่อมาที่คุณจะกระทำในหมู่พวกเรา
  • ไม่ปล่อยให้ความจงรักภักดีต่อคน คาดขวางวิถีแห่งความจริงและความสุขขององค์กร ในบางบริษัทพนักงานจะปกปิดข้อผิดพลาดของนายจ้างและนายจ้างก็จะทำเช่นเดียวกันเป็นการตอบแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดพลาดและขัดขวางการปรับปรุงแก้ไข

1.3 สร้างสภาพแวดล้อมที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้าใจว่าอะไรเหมาะสม และไม่มีใครมีสิทธิ์สนับสนุนความคิดเห็นสำคัญโดยไม่แสดงตัวออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีลักษณะตามธรรมชาติของคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองและต่อสู้เพื่อหาคำตอบที่ดีที่สุดหรือไม่ แต่คุณสามารถส่งเสริมพวกเขาได้โดยการทำให้เกิดบรรยากาศที่ความคิดแรกของทุกคนคือการตั้งคำถามว่าเป็นเรื่องจริงหรือ

  • แสดงความคิดเห็น แสดงความรับผิดชอบ หรือออกไป การเปิดกว้างเป็นความรับผิดชอบอย่างนึงคุณไม่เพียงมีเอกสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นและต่อสู้เพื่อสิทธิ์ แต่ยังมีหน้าที่ที่ต้องทำเช่นนั้นด้วยซึ่งขยายความไปถึงหลักการต่างๆเช่นเดียวกัน
  • เปิดกว้างอย่างเต็มที่ ถกประเด็นกันจนกว่าคุณจะเข้ากันได้กับคนอื่นหรือจนกว่าคุณจะเข้าใจมุมมองของกันและกันและตัดสินว่าควรทำอย่างไร
  • อย่าซื้อกับความไม่ซื่อสัตย์ แม้ว่าผมวางมาตรฐานความซื่อสัตย์ไว้สูงมากแต่ผมก็ไม่มองมันแบบขาวกับดำ หรือทำผิดครั้งเดียวแล้วเลิกกันผมดูที่ความรุนแรง สถานการณ์ และรูปแบบ เพื่อพยายามทำความเข้าใจว่าผมกำลังจัดการกับคนที่โกหกเป็นนิสัย หรือกับคนที่มีความสุจริตเป็นพื้นฐานแต่บกพร่องไป

1.4 โปร่งใสอย่างแท้จริง จะบังคับให้ประเด็นต่างๆปรากฏออกมาทั้งปัญหาที่คนกำลังเผชิญและวิธีที่กำลังจะใช้จัดการ จะช่วยให้องค์กรสามารถดึงความสามารถและปัญญาของสมาชิกทุกคนมาใช้แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ คนที่คุ้นเคยวิธีนี้จะรู้ว่าการใช้ชีวิตในวัฒนธรรมความโปร่งใสอย่างแท้จริงเป็นเรื่องที่สุขใจกว่าการใช้ชีวิตอยู่ในหมอกโดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

  • ใช้ความโปร่งใสเพื่อช่วยให้เกิดความยุติธรรม ทุกคนต้องรับผิดชอบต่อความคิดของตนและทุกคนสามารถชั่งน้ำหนักได้ว่าใครควรรับผิดชอบเรื่องใด
  • เปิดเผยสิ่งที่อยากจะเปิดเผยมากที่สุด แม้ว่าอาจจะเป็นการดีกว่าที่จะจำกัดความโปร่งใสวัยกับสิ่งที่จะไม่ทำร้ายคุณแต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเปิดเผยสิ่งที่ยากจะเปิดมากที่สุด คำถามจึงไม่ใช่ว่าจะเปิดเผยหรือไม่แต่คือจะเปิดเผยอย่างไร
  • ข้อยกเว้นความโปร่งใสอย่างแท้จริงที่เกิดขึ้นไม่บ่อย จะเป็นการดีกว่าที่จะไม่โปร่งใสอย่างสิ้นเชิงในกรณีที่ไม่ปกติเหล่านี้คุณจะต้องหาวิธีที่จะรักษาวัฒนธรรมความโปร่งใสอย่างแท้จริงนี้ไว้โดยไม่ทำให้คุณและคนที่ห่วงใยต้องเสี่ยงเกินควร
  • ต้องแน่ใจว่าคนที่ได้รับความโปร่งใสอย่างแท้จริงจะตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนในการจัดการเรื่องนี้ดีและชั่งใจอย่างชาญฉลาด ต้องไม่ปล่อยให้คนที่มีสิทธิพิเศษในการได้รับข้อมูลนำข้อมูลไปใช้เพื่อสร้างความเสียหายให้บริษัท ดังนั้นต้องมีการวางกฎระเบียบต่างๆเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์นั้น
  • มอบความโปร่งใสให้คนที่จัดการได้ดี และไม่มอบให้กับคนที่จัดการได้ไม่ดีหรือไม่ก็ขจัด คนเหล่านั้นออกไปจากองค์กร เป็นสิทธิและความรับผิดชอบของผู้บริหารไม่ใช่สิทธิ์ของพนักงานทุกคน ที่จะกำหนดว่าควรมีข้อยกเว้นต่อความโปร่งใสอย่างแท้จริงเมื่อใด
  • ไม่เปิดเผยข้อมูลรายละเอียดอ่อนให้คู่แข่งขององค์กร เมื่อข้าศึกอยู่ภายในองค์กรคุณต้องเรียกพวกเขาออกมาแก้ปัญหาความขัดแย้งนี้ผ่านระบบขององค์กรเพื่อให้เกิดข้อยุติ หากข้าศึกอยู่ภายนอกองค์กรจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นเพื่อทำลายคุณแน่นอนว่าคุณจะต้องไม่เปิดเผยข้อมูลออกไป

1.5 ความสัมพันธ์ที่มีความหมายและการทำงานที่มีความหมาย จะส่งเสริมสินกันและกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีความจริงและความโปร่งใสอย่างแท้จริงมาสนับสนุน จะบรรลุความสัมพันธ์ที่มีความหมายมากที่สุดก็ต่อเมื่อคุณและคนอื่นสามารถพูดคุยอย่างเปิร์ทรถกันได้ทุกเรื่องเรียนรู้ร่วมกันและทำความเข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบต่อกันและกัน เพื่อสร้างความเป็นเลิศที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อคุณมีความสัมพันธ์ดังกล่าวกับคนที่คุณร่วมงานด้วยคุณจะช่วยฉุดดึงกันให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ท้าทาย

บทที่ 2 ปลูกฝังการทำงานที่มีความหมายและความสัมพันธ์ที่มีความหมาย

            ความสัมพันธ์ที่มีความหมายเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับการสร้างรักษาวัฒนธรรมแห่งความเป็นเลิศ เพราะมันสร้างความไว้วางใจและการสนับสนุนโดยที่ผู้คนต้องผลักดันกันและกันในการทำสิ่งที่ดี ถ้าคนส่วนใหญ่ชื่นชอบการมีสังคมที่ยอดเยี่ยมพวกเขาก็จะเอาใจใส่กัน ซึ่งจะทำให้ทั้งการทำงานและความสัมพันธ์ดีขึ้น ความสัมพันธ์ต้องเป็นความจริงใจไม่ใช่การบังคับ และในเวลาเดียวกันวัฒนธรรมของสังคมจะมีอิทธิพลบางอย่างมากต่อให้คนจะให้คุณค่าความสัมพันธ์และการปฏิบัติตนต่อกัน

            2.1 จงรักภักดีต่อภารกิจที่มีร่วมกัน ไม่ใช่กับคนที่ไม่ปฏิบัติตาม ความจงรักภักดีส่วนบุคคลเป็นเรื่องปกติที่ค่อนข้างสวยงามแต่ก็เป็นเรื่องปกติและค่อนข้างน่ากลัวเมื่อความจงรักภักดีส่วนบุคคลขัดแย้งกับผลประโยชน์ขององค์กร

            2.2 มีความชัดเจนในข้อตกลง หากต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีคุณจะต้องมีความชัดเจนต่อกันว่าอะไรคือผลต่างตอบแทนอะไรคือน้ำใจ อะไรคือความยุติธรรม และอะไรเป็นเพียงผลประโยชน์ธรรมดารวมทั้งวิธีที่คุณจะอยู่เคียงข้างกัน

  • ทำให้คนรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา นี่เป็นข้อกำหนดกันเอาใจเขามาใส่ใจเรา หมายถึงการอนุญาตให้คนอื่นทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ตราบเท่าที่ยังสอดคล้องกับหลักการ การเต็มใจให้ความปรารถนาของคนอื่นอยู่เหนือความปรารถนาของตัวคุณเอง หากการโต้แย้งของคนสองฝ่ายใช้แนวทางแสดงความเห็นต่างกันด้วยวิธีเช่นนี้ปัญหาพิพาทกันก็จะลดน้อยลงมาก
  • ทำให้คุณเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นธรรมกับความเอื้ออาทร ความเอื้ออาทรเป็นสิ่งที่ดีและการถือสิทธิ์เป็นสิ่งที่ไม่ดีซึ่งอาจจะสับสนกันได้ง่ายดังนั้นต้องชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไรการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับว่าอะไรคือสิ่งที่คุณเชื่อว่าเป็นสถานการณ์เฉพาะและอะไรคือสิ่งที่ควรทำมากที่สุด
  • รู้ว่าเส้นแบ่งอยู่ตรงไหนและเลือกอยู่ด้านของความยุติธรรม คุณควรคาดหวังว่าผู้คนจะประพฤติตนในลักษณะที่สอดคล้องกับความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพสูงและความสัมพันธ์ในระยะยาวโดยมีพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในระดับสูงเพื่อผลประโยชน์ของกันและกัน และมีความเข้าใจที่ชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบอะไรแต่ละคนควรทำงานโดยอยู่บนด้านของความยุติธรรม
  • การจ่ายค่าตอบแทนสำหรับการทำงาน แม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับเงื่อนไขแลกเปลี่ยนระหว่างบริษัทและพนักงานไปเสียทั้งหมด แต่ต้องมีความสมดุลในเรื่องของเงินด้วยเพื่อให้ความสัมพันธ์เป็นไปได้อย่างยั่งยืน ควรวางนโยบายที่กำหนดเงื่อนไขต่างตอบแทนนี้ให้ชัดเจน แต่ก็ไม่ควรเฉียบขาดเกินไปเมื่อต้องมีการเปลี่ยนแปลง

            2.3 ยอมรับว่าขนาดขององค์กรอาจเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ที่มีความหมาย เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการวัดความสัมพันธ์ที่มีความหมายบริษัทยิ่งโตขึ้นความไร้ตัวตนก็ยิ่งเพิ่มขึ้น แต่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ท้าทายที่ต้องคิดให้ตก

            2.4 พึงจำไว้ว่าคนส่วนใหญ่จะแสร้งทำเพื่อผลประโยชน์ของคุณในขณะที่ทำเพื่อตัวเอง คนส่วนใหญ่จะเลือกทางที่เพิ่มจำนวนเงินให้มากที่สุดและลดปริมาณงานที่ต้องทำให้เหลือน้อยที่สุด อย่ามองโลกสวยจงแสวงหาคนที่ให้ความสำคัญต่องานที่มีความหมายและความสัมพันธ์ที่มีความหมายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่ต้องยอมรับว่ามักจะมีคนที่ไม่แคร์สังคมหรือชุมชนจนทำให้เกิดความเสียหายด้วยเช่นกัน

            2.5 เห็นคุณค่าของคนซื่อสัตย์ที่มีความสามารถ และจะปฏิบัติต่อคุณอย่างดีแม้ในขณะที่คุณไม่ได้ตรวจสอบ คนเช่นนี้หายากความสัมพันธ์เช่นนี้ต้องใช้เวลาในการสร้างเนื้อสร้างได้เฉพาะเมื่อคุณปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี

บทที่ 3 สร้างวัฒนธรรมที่ยอมรับการทำผิดพลาดแต่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น

             ทุกคนย่อมผิดพลาดได้คนที่ประสบความสำเร็จเรียนรู้จากข้อผิดพลาดแต่คนที่ล้มเหลวจะไม่เรียนรู้ เมื่อคุณสร้างสภาพแวดล้อมที่ยอมให้คนทำผิดพลาดได้อย่างปลอดภัยพวกเขาจะเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ คุณจะเห็นความคืบหน้าอย่างรวดเร็วและความผิดพลาดที่สำคัญลดน้อยลง

ข้อผิดพลาดจะทำให้คุณเจ็บปวดแต่คุณไม่ควรพยายามที่จะปกป้องตนเองหรือผู้อื่นจากสิ่งนี้ ความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่คอยส่งสารว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องและเป็นครูที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยเตือนให้เราไม่ทำผิดอีกในการจัดการกับจุดอ่อนของตัวเองและคนอื่นให้ดีคุณต้องยอมรับจุดอ่อนนั้นอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผยเพื่อหาวิธีป้องกันไม่ให้จุดอ่อนนั้นทำร้ายคุณในอนาคต

            3.1 ยอมรับว่าความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการวิวัฒนาการธรรมชาติ ถ้าคุณไม่รังเกียจความผิดพลาดระหว่างเส้นทางไปสู่ความถูกต้องคุณจะได้เรียนรู้อะไรมากมายและเพิ่มประสิทธิภาพให้ตัวเอง แต่หากคุณไม่สามารถทนต่อความผิดพลาดได้คุณจะไม่เติบโตคุณจะทำให้ตัวเองและคนรอบข้างไม่มีความสุข

  • ล้มเหลวอย่างชาญฉลาด คนที่คุณเห็นว่าประสบความสำเร็จนั้นประสบความสำเร็จเฉพาะในสิ่งที่คุณกำลังให้ความสนใจผมรับรองได้เลยเพราะพวกเขาก็ล้มเหลวในเรื่องอื่นๆมากมายเช่นกัน คนที่ผมนับถือมากที่สุดคือคนที่ล้มเหลวอย่างชาญฉลาดซึ่งผมนับถือคนประเภทนี้มากกว่าคนที่ประสบความสำเร็จเสียอีก
  • อย่ารู้สึกไม่ดีกับความผิดพลาดของตัวเองและของคนอื่น จงรักความผิดพลาด คนมักรู้สึกไม่ดีกับความผิดพลาดของตัวเองเพราะคิดถึงแต่เพียงผลลัพธ์ที่เลวร้าย แต่ไม่ได้คิดถึงกระบวนการวิวัฒนาการที่ต้องมีความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งในนั้น

            3.2 อย่ากังวลกับการดูดี จงกังวลถึงการบรรลุเป้าหมายของตัวเอง เลิกสนใจความไม่มั่นใจแล้วรุดหน้าไปกับการทำให้เป้าหมายลุล่วง พิจารณาและเตือนตัวเองว่าคำติชมที่เที่ยงตรงคือข้อเสนอแนะที่มีคุณค่าที่สุดที่คุณจะรับได้

  • มีความสุขแม้ต้องเจอกับคำติและคำชม และก้าวต่อไปด้วยความถูกต้องและความไม่แน่นอน ความกังวลเกี่ยวกับคำติและคำชม หรือข้อคิดเห็นเชิงบวกและเชิงลบ จะขัดขวางกระบวนการทวนซ้ำที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ จำไว้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเป็นอดีตและไม่สำคัญอีกต่อไปนอกเสียจากว่าจะเป็นบทเรียนที่สำคัญในอนาคต

            3.3 สังเกตรูปแบบของความผิดพลาดเพื่อดูว่าเกิดขึ้นเพราะจุดอ่อนหรือไม่ เส้นทางสู่ความสำเร็จที่เร็วที่สุดเริ่มต้นด้วยการรู้ว่าจุดอ่อนของตัวเองคืออะไรและเพ่งดู

            3.4 อย่าลืมคิดทบทวนเมื่อรู้สึกเจ็บปวด จำไว้ว่าความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่อยู่ในหัวของคุณถ้าคุณอยากพัฒนาก็ต้องไปยังที่ที่ปัญหาและความเจ็บปวดซ่อนอยู่ เมื่อประจันหน้ากับความเจ็บปวดคุณจะเห็นสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเองและปัญหาที่คุณเผชิญอยู่ได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น การทบทวนและแก้ไขปัญหาจะทำให้คุณเกิดสติปัญญา ยิ่งเจ็บปวดมากและได้ท้าทายมากก็จะยิ่งดี

  • คิดทบทวนตัวเองและให้พนักงานของคุณคิดทบทวนด้วยตัวเอง เมื่อเผชิญความเจ็บปวดสัญชาตญาณของสัตว์คือไม่หนีก็สู้ จงสงบสติอารมณ์แล้วคิดทบทวนตัวเองแทน ความเจ็บปวดที่คุณรู้สึกเป็นเพราะสิ่งที่ขัดแย้งในตัวเอง ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะคุณประสบกับความเป็นจริงที่น่ากลัว
  • รู้ว่าไม่มีใครมองตัวเองโดยไม่ลำเอียง แม้ว่าเราทุกคนควรพยายามมองตัวเองอย่างเป็นกลางแต่ก็ไม่ควรคาดหวังว่าทุกคนจะทำเช่นนั้นได้ดีทุกคนต่างมีจุดบอดซึ่งคนให้นิยามตามความรู้สึกตัวเอง
  • ชี้ให้เห็นและส่งเสริมคุณค่าของการเรียนรู้จากความผิดพลาด เพื่อกระตุ้นให้คนนำข้อผิดพลาดของตนมาเปิดเผยและวิเคราะห์ตามความเป็นจริงผู้จัดการต้องส่งเสริมวัฒนธรรมที่ทำให้สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติ และมีวัฒนธรรมที่ลงโทษการปิดบังอำพรางความผิดพลาด

            3.5 รู้ว่าความผิดพลาดประเภทใดที่จะยอมรับได้และประเภทใดที่ยอมรับไม่ได้ และไม่ยอมให้ทำในสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ ในการพิจารณาประเภทความผิดพลาดที่คุณเต็มใจให้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูก ให้ชั่งน้ำหนักความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดเทียบกับประโยชน์จากการเรียนรู้ที่เพิ่มขึ้น

บทที่ 4 ค้นหาแล้วคงอยู่ในความสอดประสาน

             สำหรับองค์กรที่มีประสิทธิภาพผู้คนที่สร้างมันขึ้นมาจะต้องมีความสอดประสานกันในหลายระดับ นับตั้งแต่การมีเป้าหมายร่วมกันวิธีการปฏิบัติต่อกันตลอดจนสถานการณ์ในทางปฏิบัติว่าใครจะทำอะไรเมื่อไหร่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แต่ความสอดประสานไม่ใช่สิ่งที่จะมีอยู่ตลอดเวลาเนื่องด้วยต่างก็มีแนวทางไม่เหมือนกัน เราทุกคนต่างมองเห็นตัวเองและโลกในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ดังนั้นการตัดสินว่าอะไรถูกและอะไรคือสิ่งที่ต้องทำต้องอาศัยความต่อเนื่อง

            4.1 การยอมรับความขัดแย้งมีความสำคัญต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดี เนื่องจากเป็นวิธีที่ควรจะใช้ตัดสินได้ว่าหลักการต่างๆที่มีความสอดคล้องและความยุติธรรมขัดแย้งได้หรือไม่ เนื่องจากเป็นวิธีที่คนจะใช้ตัดสินได้ว่าหลักการต่างๆมีความสอดคล้องและยุติความขัดแย้งหรือไม่ ทุกคนมีหลักการและค่านิยมเป็นของตัวเองดังนั้นหากความสัมพันธ์นำมาซึ่งการเจรจาต่อรองหรือถกเถียงกันว่าควรอยู่ร่วมกันอย่างไรสิ่งที่คุณเรียนรู้จากกันและกันจะดึงพวกคุณเข้าหากันหรือไม่ก็พรรคพวกคุณออกจากกัน

  • ใช้เวลาและพลังงานทุ่มเทให้กับการค้นคว้าความสอดประสาน เพราะเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดที่คุณจะทำได้ ในระยะยาวจะช่วยประหยัดเวลาเพราะมันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพแต่สำคัญคือคุณต้องทำให้ดี ต้องจัดลำดับความสำคัญว่าอะไรและใครที่ต้องทำให้เกิดความสอดผสานเนื่องด้วยข้อจำกัดด้านเวลา ลำดับความสำคัญสูงสุดควรเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดกับฝ่ายต่างๆ

            4.2 เข้าใจวิธีการสอนประสานและความเห็นต่างอย่างสร้างสรรค์ การใช้ระบบความสามารถนิยมยากกว่าการใช้ระบบอัตตาธิปไตยแบบบนลงล่างที่สกัดกั้นความคิดเห็นที่แตกต่าง เมื่อฝ่ายที่เชื่อมั่นในความเห็นต่างยินดีที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกัน กุญแจสำคัญคือการรู้ว่าจะขยับจากความเห็นต่างไปสู่การตัดสินใจอย่างไรเป็นสิ่งที่สำคัญต้องมีเส้นทางที่ชัดเจนเพื่อให้รู้ว่าใครรับผิดชอบอะไร

  • เปิดเผยสิ่งที่อาจไม่สอดคล้องกัน หากคุณและคนอื่นๆไม่ได้หยิบยกมุมมองของตัวเองออกมาคุณก็จะไม่มีทางแก้ไขข้อพิพาทใด คุณสามารถเปิดเผยสิ่งที่เห็นต่างอย่างเป็นกันเองหรือเก็บไว้ในรายการที่ต้องทบทวนก็ได้
  • แยกแยะความแตกต่างระหว่างข้อร้องเรียนที่ไร้ประโยชน์กับข้อร้องเรียนที่นำไปสู่การปรับปรุง การร้องเรียนจำนวนมากไม่ได้คำนึงถึงภาพรวมหรืออาจมาจากมุมมองที่แคบ แต่การร้องเรียนที่สร้างสรรค์เป็นสิ่งที่อาจนำไปสู่การค้นพบที่สำคัญได้ผมจะให้ความสำคัญกับเรื่องแบบนี้
  • จำไว้ว่าทุกเรื่องราวมีอีกด้านหนึ่ง สติปัญญาคือความสามารถในการมองเห็นทั้งสองด้านและชั่งน้ำหนักให้เหมาะสม

            4.3 เปิดใจกว้างและแสดงความแน่วแน่ในเวลาเดียวกัน การทำให้เห็นความต่างอย่างสร้างสรรค์เกิดประสิทธิภาพจำเป็นต้องเปิดใจกว้าง และแสดงความแน่วแน่ แล้วประมวลผลข้อมูลให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อสร้างการเรียนรู้และปรับตัว

  • แยกแยะคนใจกว้างออกจากคนใจแคบ คนใจกว้างเรียนรู้จากการถามรู้ว่าตัวเองรู้น้อยและอาจจะผิด กระตือรือร้นที่จะอยู่รอบๆคนที่รู้มากกว่าตนเอง เพราะเป็นโอกาสที่จะได้เรียนรู้
  • อยากห้องแวะกับคนใจแคบ ไม่ว่าจะรู้มากแค่ไหนคนใจแคบจะทำให้คุณเสียเวลาหากต้องติดต่อด้วยพึงเข้าใจว่าคุณช่วยอะไรไม่ได้จนกว่าพวกเขาจะเปิดใจกว้าง
  • ระหว่างคนที่คิดว่าเป็นเรื่องน่าอายที่ไม่รู้ คนประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะกังวลเรื่องหน้าตามากกว่าการทำให้เป้าหมายบรรลุ ซึ่งสร้างความเสียหายได้เมื่อเวลาผ่านไป
  • ทำให้แน่ใจว่าคนที่มีอำนาจจะเปิดใจกว้างต่อคำถามและคำติชมจากคนอื่น ผู้ที่รับผิดชอบในการตัดสินใจจะต้องอธิบายความคิดเห็นเบื้องหลังได้อย่างเปิดเผยและโปร่งใสเพื่อให้คุณสามารถเข้าใจและประเมินได้
  • ตระหนักว่าการสร้างความสอดประสานเป็นความรับผิดชอบแบบสองทาง ทุกการสนทนาประกอบด้วยความรับผิดชอบในการแสดงออกและความรับผิดชอบในการฟังการตีความผิดพลาด ความเข้าใจผิดมักเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่ความยากลำบากในการสื่อสารเกิดขึ้นจากการมีวิธีคิดที่แตกต่าง
  • สนใจสาระมากกว่ารูปแบบ ถ้าคุณคิดว่ารูปแบบเป็นประเด็นให้แยกเป็นคนละประเด็นเพื่อสร้างความสอดประสาน
  • จงมีเหตุผลและคาดหวังเหตุผลจากคนอื่น คุณมีหน้าที่ที่จะต้องมีเหตุผลและนึกถึงคนอื่นเมื่อต้องแสดงความคิดเห็นของตัวเองและไม่ปล่อยให้ทัศนคติระดับต่ำของคุณเข้าควบคุม
  • การให้คำแนะนำและการตั้งคำถามไม่เหมือนกับการวิจารณ์ ดังนั้นอย่าทำราวกับเป็นการวิจารณ์ คนที่ให้คำแนะนำอาจจะไม่ได้บอกว่าจะมีการทำผิดพลาดแต่อาจเพียงแค่ทำให้แน่ใจว่าคู่สนทนาได้คำนึงแล้วถึงความเสี่ยงทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้น

            4.4 ถ้าเป็นการประชุมที่คุณต้องดำเนินการจงควบคุมการสนทนา มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้การประชุมเป็นไปอย่างไม่ปกติ แต่บ่อยครั้งเป็นเพราะขาดความชัดเจนในเรื่องของหัวข้อหรือระบบการอภิปราย

  • ทำให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้ควบคุมการประชุมและใครเป็นผู้ได้ประโยชน์ การประชุมทุกครั้งควรมุ่งเป้าไปที่การบรรลุเป้าหมายของใครบางคนบุคคลนั้นจะเป็นผู้รับผิดชอบการประชุมและตัดสินใจว่าต้องการได้อะไรและต้องทำอย่างไรจึงจะได้มา การประชุมที่ไม่มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจนมีความเสี่ยงสูงที่จะไร้ทิศทางและไร้ประโยชน์
  • จงชัดเจนในสิ่งที่จะพูดเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสน บ่อยครั้งที่ควรจะทวนซ้ำคำถามเพราะเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งผู้ถามและผู้ตอบมีความชัดเจนหมดจดในสิ่งที่ถามและสิ่งที่ตอบ
  • ระบุให้ชัดเจนว่าคุณจะสื่อสารประเภทใด โดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์และลำดับความสำคัญ คุณต้องเลือกคนที่เหมาะสมในจำนวนที่เหมาะสมอย่างรอบคอบเพื่อให้เหมาะสมกับการตัดสินใจที่ต้องดำเนินการในการอภิปรายใดๆ พยายามจำกัดการมีส่วนร่วมเฉพาะคนที่คุณให้ความสำคัญตามวัตถุประสงค์ให้ได้มากที่สุด
  • นำการอภิปรายโดยแสดงความเห็นอย่างแน่วแน่และใจเปิดกว้าง การปรองดองมุมมองที่แตกต่างกันอาจเป็นเรื่องที่ยากและกินเวลานานขึ้นอยู่กับว่าผู้นำการประชุมที่จะทำให้มุมมองที่ขัดแย้งเกิดความสมดุลและผลักดันให้ผ่านทางตันและตัดสินใจว่าจะใช้เวลาอย่างฉลาดได้อย่างไร
  • ควบคุมการสนทนาระดับต่างๆ เมื่อพิจารณาปัญหาหรือสถานการณ์ควรมีการอภิปรายสองระดับ คือสิ่งที่ต้องทำขนาดนั้นและหลักการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินได้ว่าเครื่องจักรควรทำงานอย่างไร
  • ระหว่างการออกนอกประเด็น วิธีหนึ่งที่จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหานี้คือการติดตามสถานการณ์สนทนาบนกระดานเพื่อให้ทุกคนสามารถเห็นว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน
  • บังคับใช้การสนทนาที่มีตรรกะเหตุผล คงความสงบและวิเคราะห์อยู่ตลอดเวลากันหยุดถกเถียงกันด้วยเหตุผลเป็นเรื่องยากกว่ากันหยุดการถกเถียงด้วยอารมณ์อีกทั้งอารมณ์อาจทำให้คนมองว่าไม่เห็นความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า
  • อย่าลืมมอบหมายความรับผิดชอบส่วนบุคคลผ่านการตัดสินใจของกลุ่ม บ่อยครั้งที่กลุ่มต่างๆจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างโดยไม่ได้มอบหมายหน้าที่รับผิดชอบส่วนบุคคลจึงทำให้ไม่มีความชัดเจนในการติดตามว่าใครทำอะไรดังนั้นควรต้องมีความชัดเจนในการมอบหมายความรับผิดชอบส่วนบุคคล
  • ใช้กฎสองนาทีเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดจังหวะอย่างต่อเนื่อง กฎสองนาทีกำหนดว่าคุณต้องให้เวลาสองนาทีต่อเนื่องให้คนอธิบายความเห็นของตนก่อนที่จะกระโดดเข้าสู่ความคิดเห็นของคุณ
  • ระวังนักพูดเร็ว การพูดเร็วจะได้ผลเป็นพิเศษกับผู้ฟังที่กังวลว่าตัวเองจะถูกมองเป็นคนโง่ อย่าเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นเป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องทำความเข้าใจสิ่งต่างๆและยาเดินหน้าต่อจนกว่าคุณจะเข้าใจสิ่งนั้นแล้ว
  • บรรลุผลสำเร็จในการสนทนา วัตถุประสงค์หลักของการสนทนาคือการบรรลุผลความสำเร็จ และเกิดความสอดประสานซึ่งจะนำไปสู่การตัดสินใจและหรือการดำเนินงาน
  • ใช้การสื่อสารให้เป็นประโยชน์ แม้ว่าการสื่อสารจะเปิดและมีความสำคัญมากแต่สิ่งที่ท้าทายคือการทำให้ประหยัดเวลา

            4.5 การร่วมมือกันที่ยอดเยี่ยมให้ความรู้สึกเหมือนเล่นดนตรีแจ๊ซ เล่นจีแจ๊ซไม่มีสคริปต์คุณต้องคิดไปเล่นไปบางครั้งคุณต้องนั่งพัก แล้วปล่อยให้คนอื่นขับเคลื่อน ในการเล่นที่ถูกที่ถูกเวลาคุณจะต้องฟังคนที่คุณกำลังเล่นด้วยอย่างจริงจังเพื่อให้เข้าใจได้ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน

  • 1+1 = 3 คนสองคนที่ทำงานร่วมกันได้ดีจะมีประสิทธิภาพเป็นสามเท่าของคนสามคนที่ทำงานต่างคนต่างทำ
  • 3 ถึง 5 ได้มากกว่า 20 คนเก่งๆเพียงสามถึงห้าคนซึ่งเป็นคนที่มีแนวความคิดแสวงหาคำตอบที่ถูกต้องด้วยการเปิดใจกว้างและนำไปสู่การได้คำตอบที่ดีที่สุด อาจมีการประชุมกลุ่มใหญ่บ้างแต่การที่มีคนทำงานร่วมกันมากเกินไปอาจจะเกิดการถูกความก้าวหน้าได้

            4.6 เมื่อคุณได้แนวร่วมแล้วจงถนอมไว้ แม้ว่าไม่มีใครในโลกที่จะแบ่งปันมุมมองกับคุณในทุกๆเรื่องแต่มีคนที่จะแบ่งปันคุณค่าที่สำคัญที่สุดให้คุณในแนวทางที่คุณเลือกใช้ชีวิต จงแน่ใจว่าคุณลงเอยกับการพบคนเหล่านั้น

            4.7 ถ้าพบว่าคุณไม่อาจไกล่เกลี่ยความแตกต่างที่สำคัญได้ โดยเฉพาะค่านิยม ลองพิจารณาว่าความสัมพันธ์นั้นมีคุณค่าพอที่จะรักษาไว้หรือไม่ ถ้าพบว่าคุณไม่อาจสอบผสานกับคนอื่นเรื่องการมีค่านิยมร่วมกันคุณควรพิจารณาดูว่าบุคคลนั้นมีคุณค่าพอที่จะรักษาไว้ในชีวิตหรือไม่ การขาดค่านิยมร่วมกันจะนำไปสู่ความเจ็บปวดมากมายและส่งผลร้ายตามมา

บทที่ 5 การตัดสินใจจากการให้น้ำหนักตามความน่าเชื่อถือ

             ในองค์กรทั่วไปการตัดสินใจส่วนใหญ่ใช้อำนาจเด็ดขาดของผู้บริหารจากระดับบนลงล่าง หรือไม่ก็ใช้อำนาจประชาธิปไตยที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและดำเนินการตามความเห็นที่ได้รับการสนับสนุนมากที่สุด ซึ่งทั้งสองกระบวนการล้วนเป็นแนวทางการตัดสินใจที่ด้อยค่าการตัดสินใจที่ดีที่สุดคือการตัดสินใจที่ให้คุณค่ากับความคิดตามความสามารถนิยม ซึ่งจะมีการให้น้ำหนักความคิดเห็นของแต่ละคนไม่เท่ากันคนที่มีความสามารถมากที่สุดจะทำงานท่ามกลางความไม่เห็นพ้อง ร่วมกับคนที่มีความสามารถคนอื่นๆที่มีความคิดอิสระเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นความจริงและสิ่งที่ต้องดำเนินการ

            5.1 ตระหนักว่าการมีระบบความสามารถนิยมที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงคุณค่าความคิดของแต่ละคน ลำดับขั้นของคุณสมบัตินั้นไม่เพียงสัมพันธ์กันกับระดับความสามารถนิยมเท่านั้นแต่จำเป็นมากเลยทีเดียวเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะถกเถียงกันได้ทุกเรื่องตลอดเวลาแล้วทำยังไงให้งานลุล่วงได้ การปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมมีแนวโน้มที่จะทำให้ความถูกต้องค่อยๆเลือนหายไปมากกว่านำไปสู่ความถูกต้อง แต่ในเวลาเดียวกันควรพิจารณามุมมองทั้งหมดด้วยใจเปิดกว้างโดยวางอยู่ในบริบทของประสบการณ์ที่เหมาะสมและประวัติผลงานของคนที่แสดงความคิดเห็นเหล่านั้น

  • ถ้ายังไม่สามารถทำอะไรได้สำเร็จ จงอย่าคิดว่าจะสามารถบอกคนอื่นได้ว่าควรทำอย่างไร ผมเห็นบางคนที่ล้มเหลวในบางเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าถือมั่นในความคิดตัวเองแม้ว่าความผิดนั้นจะแตกต่างไปจากคนที่ทำได้สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้คือความโง่และหยิ่งยโส
  • ทุกคนมีความคิดเห็นและบ่อยครั้งมักจะไม่ดี การออกความคิดเห็นนั้นเป็นเรื่องง่ายแต่น่าเสียดายที่ความคิดเห็นมากมายไม่มีคุณค่าหรือกระทั่งเป็นอันตรายรวมทั้งความคิดเห็นมากมายของคุณด้วย

            5.2 มองหาคนที่น่าเชื่อถือที่สุดที่มีความคิดแตกต่างจากคุณให้พบ แล้วพยายามทำความเข้าใจเหตุผลของพวกเขา การสนทนาแบบเปิดใจกว้างขวางกับคนที่น่าเชื่อถือมีความคิดเห็นแตกต่างจากคุณเป็นหนทางรวดเร็วที่สุดที่จะได้รับความรู้และเพิ่มความน่าจะเป็นในการทำสิ่งที่ถูกต้อง

  • พิจารณาความน่าเชื่อถือของคนเพื่อประเมินความเป็นไปได้ว่าความคิดเห็นของพวกเขาดี แม้ว่าเราจะเปิดใจกว้างแต่เราก็ต้องมีวิสัยทัศน์ด้วยเช่นกัน
  • ความคิดเห็นที่น่าเชื่อถือส่วนใหญ่มาจากคนสองประเภท คือคนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องที่ต้องตัดสินใจอย่างน้อยสามครั้ง แล้วคนที่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ของเหตุผลที่นำมาสู่ข้อสรุปของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แยกแยะว่าคนที่ไม่มีคุณสมบัติทั้งสองข้อนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ คนมีคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งมีความน่าเชื่อถืออยู่บ้าน แล้วคนที่มีคุณสมบัติทั้งสองข้อมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด
  • ถ้าคนที่ยังไม่เคยทำอะไรเลยแต่มีทฤษฎีที่ดูจะมีตรรกะและสามารถทดสอบได้ก็ลองทดสอบได้เลย พึงเข้าใจว่าคุณกำลังเล่นกับเรื่องความน่าจะเป็น
  • เหตุผลที่นำมาสู่ข้อสรุปของคนนั้น น่าสนใจกว่าข้อสรุปของเขา เป็นเรื่องปกติที่การสนทนาจะมีคนที่เสนอข้อสรุปของตัวเองมากกว่าอธิบายเหตุผลที่นำมาสู่ข้อสรุปนั้น
  • คนที่ไม่มีประสบการณ์อาจจะมีความคิดที่ดีได้เช่นกัน ซึ่งบางครั้งก็อาจจะดีกว่าของคนที่มีประสบการณ์ เพราะคนที่มีประสบการณ์จะติดอยู่กับวิธีการเดิมๆของตัวเองถ้าคุณมีวิจารณญาณที่ดีคุณจะบอกได้ว่าตอนไหนที่คนไม่มีประสบการณ์กำลังชี้แจงอย่างมีเหตุผล
  • ทุกคนควรแสดงความมั่นใจในความคิดเห็นของตัวเองอย่างชัดเจน คำแนะนำควรถูกเรียกว่าคำแนะนำ แสดงให้เห็นความเชื่อมั่นและหนักแน่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามาจากคนที่มีประวัติผลงานโชกโชนในเรื่องที่เป็นประเด็น

            5.3 คิดดูว่าถ้าคุณกำลังเล่นบทบาทอะไร แล้วคุณควรจะสอน ถามคำถาม หรือว่าถกเถียง บ่อยครั้งที่คนเกิดความไม่ลงรอยกันเนื่องจากไม่รู้หรือไม่คิดว่าจะทำอย่างไรจึงมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ แมวทุกคนจะมีสิทธิและหน้าที่ในการทำความเข้าใจในทุกสิ่งแต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎพื้นฐานการมีส่วนร่วม

  • สิ่งที่สำคัญกว่าคือนักเรียนต้องเข้าใจครูมากกว่าที่ครูจะเข้าใจนักเรียน แม้ว่าทั้งสองทางจะเป็นสิ่งสำคัญ ผมมักจะเห็นคนที่น่าเชื่อถือน้อยกว่ายืนกรานว่าคนที่น่าเชื่อถือมากกว่าจะต้องเข้าใจความคิดของตน และพิสูจน์ว่าเหตุใด จึงเป็นฝ่ายไม่ต้องก่อนที่จะรับฟังสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการพูด
  • เพิ่งตระหนักว่าแม่ทุกคนจะมีสิทธิและหน้าที่ในการพยายามทำความเข้าใจสิ่งต่างๆแต่ก็ต้องทำด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและเปิดใจกว้างอย่างแท้จริง เมื่อคุณมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าให้เริ่มต้นด้วยบทบาทนักเรียนในความสัมพันธ์ฉันท์คู่กับนักเรียนมีความอ่อนน้อมถ่อมตนและเปิดใจกว้าง

            5.4 ทำความเข้าใจถึงที่มาของความคิดเห็นของผู้คน ความคิดเห็นของคุณประกอบด้วยสองสิ่งคือข้อมูลและการประมวลผลหรือเหตุผลของคุณ การจัดการกับความคิดเห็นดิบจะทำให้คุณและคนอื่นสับสนการทำความเข้าใจถึงที่มาของความคิดเห็นจะช่วยให้คุณได้รับความจริง

  • คุณถามใครสักคนหนึ่ง คำถามเขาจะให้คุณมากกว่าหนึ่งคำตอบ ดังนั้นจงใช้เวลาคิดทบทวนก็คุณควรถามใคร ผมมักจะเห็นคนตั้งคำถามคนที่ไม่มีข้อมูลหรือไม่มีความน่าเชื่อถือแล้วก็ได้คำตอบมาตามที่พวกเขาเชื่อซึ่งแย่กว่าการไม่ได้รับคำตอบเลยเสียอีก
  • การสุ่มถามทุกคนเป็นเรื่องเสียเวลาและไม่ก่อเกิดผล จงอย่าถามคนที่ไม่ได้รับผิดชอบหรือแย่กว่านั้นคือโยนคำถามออกไปโดยไร้ทิศทางอย่างสิ้นเชิง
  • ระวังคำพูดที่เริ่มต้นด้วย ฉันคิดว่า เพียงเพราะเค้าคิดไม่ได้ หมายความว่าสิ่งที่เขาคิดจะถูกต้อง เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถประเมินตัวเองได้ถี่ถ้วน
  • ประเมินความน่าเชื่อถือโดยการตรวจสอบประวัติผลงานที่ผ่านมาของเขาอย่างเป็นระบบ ทุกวันไม่ได้เป็นวันไหม เมื่อเวลาผ่านไปหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าใครเชื่อถือได้และใครไม่น่าเชื่อถือจะปรากฏขึ้น

            5.5 การแสดงความไม่เห็นด้วยต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพ ลองนึกดูว่าจะยุ่งยากเพียงใดหากครูที่สอนนักเรียนในชั้นใหญ่เอาแต่ถามความคิดของนักเรียนแต่ละคนและอภิปรายกับทุกคนแทนที่จะถ่ายทอดมุมมองของตัวเองก่อนแล้วตั้งคำถามภายหลัง

  • รู้ว่าเมื่อใดควรหยุดอภิปรายและเดินหน้าหาข้อตกลงว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ การทำเรื่องใหญ่ให้ดีนั้นสำคัญกว่าการทำเรื่องเล็กให้สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อเกิดความไม่เห็นด้วยในประเด็นสำคัญก็ควรจะอภิปรายกันไม่เช่นนั้นจะนำไปสู่การให้ใครสักคนเป็นผู้ตัดสินใจ
  • ใช่การให้น้ำหนักตามความน่าเชื่อถือเป็นเครื่องมือแทนการมอบอำนาจตัดสินใจให้ฝ่ายที่มีหน้าที่รับผิดชอบ การตัดสินใจจากความน่าเชื่อถือผ่านการให้น้ำหนักแล้วเป็นหนทางที่ส่งเสริมและกระตุ้นการตัดสินใจของฝ่ายที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ใช่การปฏิเสธ
  • เนื่องจากคุณไม่มีเวลาตรวจสอบความคิดของทุกคนอย่างละเอียดด้วยตัวเอง ดังนั้นเลือกคนที่น่าเชื่อถืออย่างชาญฉลาด โดยทั่วไปแล้วแนวทางที่ดีที่สุดคือการเลือกคนที่น่าเชื่อถือ แล้วสำรวจตรวจสอบเหตุผลของพวกเขา
  • เมื่อคุณต้องรับผิดชอบการตัดสินใจ ให้เปรียบเทียบกันตัดสินใจจากการให้น้ำหนักตามความน่าเชื่อถือของคนหมู่มากกับสิ่งที่คุณเชื่อ หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นคุณควรมุ่งมั่นหาข้อยุติความไม่เห็นพ้องถ้าคุณกำลังจะตัดสินเพื่อความเห็นของคนส่วนใหญ่ที่ผ่านการให้น้ำหนักตามความน่าเชื่อถือมาแล้วนั้นผิด เพิ่งคิดให้รอบคอบก่อนดำเนินการต่อ

            5.6 ยอมรับว่าทุกคนมีสิทธิและความรับผิดชอบในการพยายามทำความเข้าใจเรื่องสำคัญ เราควรถามคำถามได้ตามปกติโดยรู้หน้าที่ตัวเองว่าต้องเปิดใจกว้างในการโต้แย้งที่จะตามมาด้วย บันทึกการโต้แย้งไว้เพื่อที่ว่าคุณจะไม่เกิดความสอดผสานหรือเข้าใจประเด็นต่างๆ คุณจะสามารถส่งบันทึกนั้นไปให้คนอื่นๆตัดสินได้ และแน่นอนว่า จำเอาไว้คุณกำลังทำงานอยู่ในระบบความสามารถนิยมพึงระวังเรื่องความน่าเชื่อถือของตัวคุณด้วย

  • การสื่อสารที่มุ่งได้คำตอบที่ดีที่สุดควรเกี่ยวโยงกับคนที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุด คนที่มีความเกี่ยวข้องมากที่สุดในการตรวจสอบ เป็นบุคคลสำคัญที่สุดที่จะต้องสอดประสาน ถ้าสอดประสานไม่ได้พวกคุณทั้งสองฝ่ายควรขยายการพูดคุยไปให้ถึงคนที่เหมาะสม
  • การสื่อสารที่มุ่งให้ความรู้หรือส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ควรเกี่ยวโยงกลุ่มคนในวงกว้างกว่าการสื่อสารที่มุ่งเพียงใดคำตอบที่ดีที่สุด คนที่มีประสบการณ์น้อยและความน่าเชื่อถือน้อยอาจไม่จำเป็นต้องตัดสินใจในประเด็นได้แต่ถ้าประเด็นที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาแล้วคุณไม่สอดประสานกับพวกเขา การขาดความเข้าใจในระยะยาวอาจส่งผลถึงขวัญกำลังใจในประสิทธิภาพขององค์กร
  • รับรู้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องตัดสินทุกเรื่อง ให้คิดถึงคนที่รับผิดชอบเรื่องนั้นนั้น คุณรู้เรื่องนั้นมากน้อยแค่ไหนและความน่าเชื่อถือของตัวคุณเองอย่าให้มีความคิดเห็นในสิ่งที่คุณไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนั้น

            5.7 ใส่ใจว่าระบบการตัดสินใจมีความเป็นธรรมหรือไม่มากกว่าที่จะใส่ใจว่าคุณได้รับสิ่งที่ต้องการหรือไม่ องค์กรคือชุมชนที่มีค่านิยมและเป้าหมายร่วมกันขวัญและกำลังใจจากการทำงานอย่างราบรื่นต้องเป็นสิ่งที่สำคัญกว่าความต้องการเป็นผู้ที่ถูกต้อง ระบบความสามารถนิยมจะมีความสำคัญมากกว่าความสูงของสมาชิกคนใดคนหนึ่งแม้ว่าสมาชิกคนนั้นจะเป็นคุณก็ตาม

บทที่ 6 รู้วิธีไปให้ไกลกว่าความไม่เห็นด้วย

             ไม่บ่อยครั้งที่ความเห็นต่างจะยุติลงด้วยความพอใจเท่าเทียมกันของทั้งสองฝ่าย ถ้าคุณไม่อาจหาข้อยุติได้ด้วยตัวเองระบบกฎหมายก็มีขั้นตอนและหลักเกณฑ์ที่ช่วยระบุว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและต้องทำอะไรบ้าง และเมื่อมีการตัดสินเรื่องจะยุติ แม้ว่าคุณคนใดคนหนึ่งจะไม่ได้รับสิ่งที่ตัวเองต้องการก็ตามนั่นเป็นวิถีของชีวิต

            6.1 จำไว้ว่าแม้จะมีความเห็นด้วยรวมกันก็ไม่สามารถละเลยหลักการไปได้ หลักการเหมือนกฎหมายคุณไม่สามารถฝ่าฝืนได้เพียงเพราะคุณและคนอื่นเห็นพ้องที่จะฝ่าฝืน

  • ทุกคนต้องมีมาตรฐานพฤติกรรมเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่เกิดข้อพิพาททั้งสองฝ่ายต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต และแสดงความแน่วแน่ และได้รับการเอาใจใส่อย่างเท่าเทียม

            6.2 ทำให้แน่ใจว่าผู้คนไม่สับสน ระหว่างสิทธิในการแสดงความไม่พอใจ การให้คำแนะนำ และการถกเถียงอย่างเปิดเผย กับสิทธิในการตัดสินใจ เป้าหมายสูงสุดคือการคิดอย่างอิสระและอภิปรายอย่างเปิดกว้างคือการให้ผู้ทำการตัดสินใจมีมุมมองทางเลือกไม่ได้หมายความว่าอำนาจตัดสินใจจะเปลี่ยนมือไปสู่ผู้ที่กำลังตรวจสอบ

  • เมื่อท้าทายการตัดสินใจ แล้วหรือผู้ตัดสินใจ ให้พิจารณาบริบทที่กว้างขึ้น เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมองการตัดสินใจของแต่ละคนในบริบทที่กว้างที่สุด

            6.3 อย่าปล่อยความขัดแย้งสำคัญทิ้งไว้โดยไม่แก้ไข แม่กาหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันจะเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าในระยะสั้นแต่ผลที่ตามมาในการทำเช่นนั้นอาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวงในระยะยาวเราต้องการแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างจริงจังโดยไม่ผ่านการประนีประนอม แต่โดยการค้นหาข้อสรุปที่สำคัญและถูกต้อง

  • อย่าปล่อยให้สิ่งเล็กน้อยทำให้แตกคอ ทั้งที่ควรผูกพันกันจากการร่วมทำสิ่งยิ่งใหญ่ เกือบทุกกลุ่มที่เห็นพ้องร่วมกันในเรื่องใหญ่ๆจะลงเอยด้วยการต่อสู้กันในเรื่องที่เล็กน้อยกว่าและกลายเป็นศัตรูกันทั้งๆที่พวกเขาผูกพันกันจากสิ่งที่ยิ่งใหญ่
  • อย่าชะงักอยู่ในความไม่เห็นด้วย เมื่อมีนิสัยเปิดใจกว้างและแสดงออกอย่างแน่วแน่คุณจะสามารถแก้ปัญหาความไม่เห็นด้วยส่วนใหญ่ได้

            6.4 เมื่อมีการตัดสินแล้วทุกคนควรสนับสนุน แม้บางคนอาจไม่เห็นด้วยก็ตาม กลุ่มที่ไม่ได้ในสิ่งที่พวกตนต้องการและยังคงงัดคอกันมากกว่าที่จะทำตามสิ่งที่กลุ่มได้ตัดสินใจแล้วล้วนมีจุดหมายปลายทางที่ความล้มเหลว กลุ่มที่มีความสำคัญมากกว่าบุคคลอย่าประพฤติในทางที่เป็นการบ่อนทำลายเส้นทางที่มีการเลือกแล้ว

  • มองสิ่งต่างๆจากระดับที่สูงขึ้นไป คุณควรจะก้าวไประดับที่สูงขึ้นแล้วมองลงมายังตัวเองในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือคุณต้องหยุดคิดถึงแต่ตัวเอง
  • ไม่ปล่อยให้ระบบความสามารถนิยมกลายเป็นอนาธิปไตย ในระบบนี้มั่นใจได้เลยว่าจะมีการโต้แย้งกันมากกว่าในองค์กรทั่วไปแต่ถ้าสุดโต่งเกินไปการถกเถียงและการมุ่งเน้นที่ข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยๆก็อาจเป็นการบ่อนทำลายความมีประสิทธิภาพของระบบความสามารถนิยมได้
  • ไม่ยอมให้ฝูงชนรวมตัวกันสร้างกฎเถื่อน จุดประสงค์ส่วนหนึ่งของการมีระบบการให้น้ำหนักตามความน่าเชื่อถือคือเพื่อขจัดอารมณ์ความรู้สึกออกจากการตัดสินใจ

            6.5 จำไว้ว่าถ้าระบบความสามารถนิยมขัดกับความเป็นอยู่ดีมีสุขขององค์กร จะเกิดความยากลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นั้นเป็นเรื่องของการปฏิบัติอย่างจริงจังอย่างที่คุณรู้ผมเชื่อว่าสิ่งที่ดีต้องทำงานได้ดีและการมีองค์กรที่ทำงานได้ดีนั้นมีความสำคัญยิ่ง

  • ประกาศใช้กฎอัยการศึกเฉพาะกรณีพิเศษหรือร้ายแรงเมื่อต้องระงับการใช้หลักการ แม้ว่าหลักการเหล่านี้จะมีอยู่เพื่อความอยู่ดีมีสุขของสังคมบริษัทแต่อาจจะมีบางครั้งที่การยึดติดกับหลักการก็อาจเป็นภัยต่อความมีอยู่ดีมีสุขของบริษัทได้
  • อย่าไว้ใจคนที่โต้เถียงเพื่อให้ระงับใช้ระบบความสามารถนิยมเพื่อเป็นการที่ดีต่อองค์กร เมื่อโต้แย้งดังกล่าวชนะระบบจะอ่อนลงอย่าปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

            6.6 จำไว้ว่าถ้าคนที่มีอำนาจไม่ต้องการปฏิบัติตามหลักการ วิธีดำเนินการตามหลักการจะล้มเหลวท้ายที่สุดอำนาจจะปกครองนี่คือความจริงของทุกระบบ เราจึงต้องให้อำนาจที่สนับสนุนหลักการกับคนที่ให้ความสำคัญต่อแนวทางการดำเนินการตามหลักการมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวและเราต้องรับมือ กับคนด้วยความสมเหตุสมผลและรอบคอบเพื่อให้คนหมู่มากเกิดความต้องการและต่อสู้เพื่อระบบที่อิงหลักการ

บทที่ 7 จำไว้ว่า ใคร สำคัญกว่า อะไร

คนเรามักจะพลาดกับการมองแต่สิ่งที่ต้องทำและมองข้ามคำถามว่าใครควรจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการประเมินสิ่งที่ทำ มันเป็นการทำงานแบบเดินถอยหลังหากคุณไม่รู้ว่าคุณจะต้องการคนแบบไหนในการทำงานให้ออกมาดีแต่ถ้าคุณรู้จักคนที่คุณมอบหมายงานดีพอคุณก็จะสามารถที่จะคาดการณ์ผลลัพธ์ได้

            7.1 เข้าใจว่าการตัดสินใจที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณคือการเลือกคนที่จะมารับผิดชอบ หากคุณมอบเป้าหมายให้กับตัวแทนที่สามารถดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ดี และถ้าคุณให้ความชัดเจนกับพวกเขาว่าความรับผิดชอบที่ต้องทำเพื่อจะบรรลุเป้าหมายคืออะไรพวกเขาควรจะต้องให้ผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์กับคุณได้

  • เข้าใจว่าสิ่งสำคัญที่สุดของผู้ที่เข้ามารับผิดชอบคือการรับผิดชอบเป้าหมาย ผลลัพธ์ และเครื่องจักรในระดับสูง คนที่สามารถรับผิดชอบฝ่ายหนึ่งใดใครสักคนที่สามารถออกแบบ ว่าจ้างคนและคัดคนเพื่อบรรลุเป้าหมายแล้วผมก็สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีออกมา คนเหล่านี้คือคนสำคัญที่จะช่วยเลือกและบริหารได้อย่างดี

            7.2 เข้าใจว่ากลุ่มที่รับผิดชอบจะต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบในผลลัพธ์ที่เกิด หากคุณสามารถรับมือกับผลลัพธ์แห่งความล้มเหลวได้คุณคือตัวเลือกอันดับหนึ่งในการเป็นหัวหน้าของฝ่ายรับผิดชอบ เมื่อมอบหมายหน้าที่ให้กับใครไปรับผิดชอบคุณจะต้องมั่นใจว่าผลประโยชน์ของเขานั้นเป็นไปตามความรับผิดชอบที่เขาทำและพวกเขาต้องรับมือกับผลลัพธ์ที่พวกเขาทำด้วย

  • คุณจะต้องให้ทุกคนมีบุคคลที่ต้องรายงาน ขณะเจ้าของบริษัทยังมีหัวหน้าในที่นี้คือผู้ลงทุนที่ลงทุนเงินในบริษัทเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของตนแต่หากเจ้าของบริษัทนั้นลงทุนเองพวกเขาก็จะต้องทำให้ลูกค้าและลูกน้องมีความสุข

            7.3 อย่าลืมแรงจูงใจในการทำ แรงผลักดันของสิ่งเหล่านี้มาจากคนบางคนที่มีความสามารถเฉพาะทางและทำงานแบบเฉพาะ การที่เปลี่ยนคนเป็นเปลี่ยนวิธีการพัฒนาสิ่งต่างๆก็ไม่ต่างอะไรกับการที่ใช้คนไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานอะไรได้มาทำงานแทนคนที่มีความสร้างสรรค์ คุณจะไม่มีผลงานที่สร้างสรรค์ออกมาเลย

บทที่ 8 จ้างให้ถูกคน เพราะผลลัพธ์ในการจ้างคนผิดมันช่างมหาศาล

             ไม่ว่าคุณจะมองหาคนลักษณะไหนสิ่งที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถทำได้ก็คือการเข้าใจว่าการจ้างคนเป็นเกมเดิมพันที่มีเดิมพันสูง และต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เราจะต้องใช้เวลาความพยายาม และเงินทุนที่ใช้ในการว่าจ้างและพัฒนาพนักงานใหม่ๆ ก่อนที่เราจะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาสามารถเข้ากับองค์กรของเราได้มากน้อยแค่ไหน และเม็ดเงินมหาศาลเหล่านั้นจะสูญเปล่าไปกับการฝึกฝนหรือไม่ บางครั้งก็เกิดความเสียหายที่อาจจะจับได้ยาก

            8.1 เลือกคนให้เหมาะสมกับการออกแบบ ไม่ว่าคุณจะออกแบบอย่างไรต้องนึกถึงภาพอย่างชัดเจนว่าจะต้องใช้คุณสมบัติอะไรจากแต่ละคนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์จากการทำงานได้ดีที่สุด อยากออกแบบงานให้เข้ากับคนเพราะสุดท้ายมันจะเปลี่ยนเป็นข้อผิดพลาดเรื่องนี้มักจะเกิดขึ้นเมื่อใครบางคนที่คุณคาดหวังไว้อย่างสูงไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้จึงพยายามคิดงานอื่นๆที่คนนั้นสามารถทำได้แทนผู้บริหารหลายคนมักลืมข้อด้อยและขอเด่นของตัวเองและชอบเอาตัวเข้าไปสู่บทบาทที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง

  • คิดถึงค่านิยม ความ 3 ารถ และทักษะที่คุณกำลังตามหา ค่านิยมคือความเชื่อที่กำหนดความเข้ากันได้ของผู้คน ความสามารถคือวิธีการคิดและวิธีการแสดงออกคนบางคนเป็นนักเรียนนักรูและสามารถวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนทักษะเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้
  • หาคนที่ใช่โดยใช้ระบบและหลักการวิทยาศาสตร์ ขั้นตอนการคัดเลือกคนนั้นจะต้องเป็นระบบและมีหลักฐานอ้างอิงคุณจะต้องมีเครื่องจักรที่จ้างคนซึ่งมีระบุเป้าหมายอย่างชัดเจนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สามารถนำมาเปรียบเทียบได้
  • ต้องได้ยินเสียงคลิก หาคนที่ใช่ให้เหมาะสมกับงานที่ใช้ จำไว้ว่าเป้าหมายของคุณคือการมอบหน้าที่ให้คนที่เหมาะสมในการทำงานที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสม หากคุณทำได้ดีคุณจะได้ยินเสียงของ ในหัวคุณทันที ถ้าคุณที่คุณจ้างมาเหมาะสมกับตำแหน่งนั้น
  • จ้างคนที่โดดเด่นไม่ใช่จ้างแค่ใครก็ได้ หลายคนมักจะถูกจ้างเพราะเป็นแค่คนเคยทำงานนี้มาก่อน หากคุณไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นที่จะจ้างใครเข้ามาก็อย่าไปจ้าง เพราะคุณทั้งสองอาจทำให้ต่างฝ่ายต่างมีความทุกข์ใจ
  • อย่าใช้อำนาจรับคนมาทำงานโดยมิชอบ เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เลยหากคุณใช้อำนาจในการช่วยให้ใครบางคนเข้ามารับตำแหน่ง เพราะนี่เป็นการดูถูกระบบที่ยึดหลักความรู้ความสามารถในการทำงานมันไม่ดีต่อผู้สมัครงานด้วยเพราะแปลว่าเขาไม่ได้รับตำแหน่งด้วยความสามารถของตนเอง

            8.2 จำไว้ว่าแต่ละคนต่างกัน มีมุมมองและวิธีการคิดที่ต่างกันออกไป ทำให้แต่ละคนเหมาะสมกับตำแหน่งงานที่ไม่เหมือนกัน การคิดในบางรูปแบบสามารถส่งผลดีหรือไม่ดีต่อเป้าหมายของคุณได้สิ่งที่เราต้องการคือการเข้าใจวิธีการคิดของแต่ละบุคคลและการต่อยอดมันให้ดีที่สุดบางคนคุณลักษณะก็อาจจะเหมาะกับตำแหน่งงานที่ไม่เหมือนกัน หากคุณไม่ถนัดในการคิดนั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่สามารถทำงานในตำแหน่งที่ต้องใช้ความคิดไม่ได้ ดังนั้นมันจำเป็นที่คุณจะต้องทำงานกับคนที่เน้นการคิดและเรียนรู้ที่จะคิดในมุมมองอื่นด้วย

  • เข้าใจการใช้และการตีความของการประเมินบุคลิกภาพ การประเมินอุปนิสัยใจคอเป็นเครื่องมือที่มีคุณค่ามากในการเข้าใจภาพรวมของคนๆหนึ่ง ทั้งจากความสามารถและความชอบ ในบางครั้งสิ่งเหล่านี้น่าเชื่อถือกว่าการสัมภาษณ์งาน
  • จำไว้ว่าคนแต่ละคนจะเลือกคนที่มีลักษณะเหมือนตัวของพวกเขา เพราะฉะนั้นเลือกคนสัมภาษณ์ที่สามารถบอกได้ว่าคุณกำลังต้องการอะไร ถ้าคุณต้องการคนที่มีคุณสมบัติหลากหลายมาทำงานให้กับคุณให้รวบรวมกลุ่มของคนที่มีคุณสมบัติต่างๆที่คุณต้องการนำมาเป็นผู้ทำการสัมภาษณ์ อย่าเลือกคนที่มีวิธีการตัดสินในแบบที่คุณไม่ต้องการ
  • มองหาคนที่เต็มใจมองตนเองอย่างเป็นกลาง ทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อเสียกุญแจที่นำไปสู่ความสำเร็จคือการเข้าใจข้อเสียของคนๆนั้นแล้วหาวิธีเติมเต็มในส่วนที่เขาขาด บุคคลที่ขาดความสามารถนี้จะล้มเหลวเรื้อรัง
  • จำไว้ว่าโดยปกติแล้วผู้คนจะไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองได้มาก โดยเฉพาะในช่วงปีสองปีแรกคนส่วนมากชอบคิดว่าเวลามีใครคนหนึ่งทำผิดพลาดคนๆนั้นจะเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงตัวเองจากความผิดพลาดนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสา

            8.3 คิดเสียว่าให้จัดการทีมของคุณเหมือนกับโค้ชกีฬา ไม่มีใครที่มีความสามารถในการทำให้เกิดความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ต้องใช้ความสามารถที่ทุกคนมีเพื่อทำให้เกิดความสำเร็จนั้นๆ ทีมควรดำเนินการเช่นเดียวกับนักกีฬาอาชีพที่ต้องใช้ทักษะที่แตกต่างในการเล่นตำแหน่งที่แตกต่างกัน ภายในทีมจำเป็นต้องมีความคิดเป็นเลิศในแต่ละด้าน เมื่อทีมงานดำเนินงานด้วยมาตรฐานระดับสูงและมีค่านิยมร่วมกันความสัมพันธ์ที่แสนจะพิเศษจะถูกพัฒนาขึ้น

            8.4 ให้ความสำคัญกับผลงานที่ผ่านมาของพวกเขา คุณสามารถจะรู้จักทุกๆคนได้ดีพอสมควรถ้าคุณทำการบ้านมาดีพอคุณต้องเข้าใจค่านิยมในตัวของพวกเขาความสามารถของพวกเขาและสิ่งที่เขาสามารถทำได้

  • อย่าลืมหาข้อมูลของผู้สมัครก่อน อย่าเพิ่งเชื่อข้อมูลของผู้สมัคร คุยกับคนที่น่าเชื่อถือและมีข้อมูลเกี่ยวกับผู้สมัครโดยสามารถค้นข้อมูลได้จากเอกสารส่วนตัว หรือแม้แต่การสอบถามจากหัวหน้างานคนเก่า
  • จำไว้ว่าผลการเรียนในสถานศึกษาไม่สามารถบอกได้ว่าผู้สมัครมีคุณสมบัติที่คุณกำลังมองหา ถ้าเราพูดถึงการประเมินเรื่องสามัญสำนึก วิสัยทัศน์ หรือความสามารถในการตัดสินใจของผู้สมัครผลการเรียนจะไม่สามารถบอกอะไรได้มากและเนื่องจากคุณสมบัติเหล่านี้มีความสำคัญที่สุดดังนั้นคุณต้องมองให้ลึกกว่าผลการเรียนของผู้สมัครว่าเขาอาจมีคุณสมบัติเหล่านี้
  • มันเป็นเรื่องที่ดีที่สุดที่เราจะมีคนที่สามารถคิดและมองภาพใหญ่ได้ชัดเจน แต่เข้าใจว่าประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและประวัติการทำงานที่ดีเลิศก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน คนที่ฉลาดและเป็นคนที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆมักจะเป็นคนที่มีวิธีแก้ปัญหาที่ดีมากๆและผมก็ผิดหวังกับคนประเภทนี้บ่อยครั้งแต่ในอีกแง่หนึ่งบางครั้งผมก็ได้ค้นพบคนที่มีความสามารถในด้านนั้นๆที่ผมสามารถเชื่อและพึ่งพาได้
  • ระวังนักอุดมคติ คนที่เป็นนักอุดมคติซึ่งมีแนวคิดว่าผู้คนควรทำอะไรโดยปราศจากการเข้าใจว่าคนแต่ละคนนั้นจริงๆแล้วเป็นอย่างไรจะส่งผลกระทบในแง่ลบมากกว่าบวก
  • อย่าคิดว่าคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานที่เขาทำ จะทำให้งานที่คุณกำลังทำให้นั้นประสบความสำเร็จ ไม่ว่าคุณจะเก่งในการคัดเลือกคนเข้ามาทำงานขนาดไหนมันจะมีกลุ่มคนที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างที่คุณหวังเสมอ
  • ต้องมั่นใจว่าคนของคุณมีคุณลักษณะที่ดีและมีความสามารถ เพราะถ้าเค้ามีความสามารถแต่ไม่มีคุณลักษณะที่ดี คนแบบนั้นจะเป็นคนที่สามารถสร้างความเสียหายได้เพราะความสามารถของคนเหล่านี้จะสร้างผลเชิงลบที่ละเล็กที่ละน้อยให้กับวัฒนธรรมองค์กร

            8.5 อย่าจ้างคนแค่เพื่อเอามามาทำงานในสิ่งที่เขาถนัด แต่จางคนที่คุณอยากแชร์ชีวิตส่วนตัวกับเขา การเปลี่ยนพนักงานบ่อยเป็นการใช้เวลาที่ไม่เป็นประโยชน์และไม่มีประสิทธิภาพ เพราะมันต้องใช้ทรัพยากรกว่าจะรู้จักกันและรวมถึงรู้จักองค์กร ดังนั้นจ้างคนที่คุณต้องการแบ่งปันภารกิจระยะยาวร่วมกัน

  • มองหาคนที่เป็นนักถามที่ดี คนฉลาดส่วนมากจะเป็นคนที่ถามคำถามที่ผ่านการคัดกรองมาก่อน มากกว่าที่จะคิดว่าตัวเองมีคำตอบอยู่แล้ว คำถามที่ดีเป็นตัวบ่งบอกความสำเร็จในอนาคตได้ดีกว่าคำตอบที่ดี
  • แสดงส่วนที่ไม่ดี ให้เขาเห็นงานที่ต้องทำตามความจริงโดยเฉพาะส่วนที่แย่ที่สุดแสดงให้เขาดูถึงหลักการที่อยู่ในภาระ กิจกรรมต่างๆ รวมถึงส่วนที่ยากที่สุดด้วย
  • ทำงานกับคนที่เขาเข้ากับคุณได้ และในเวลาเดียวกันสามารถท้าทายกับคุณได้ด้วย คุณต้องการคนที่คุณสามารถแชร์ความสนใจและไลฟ์สไตล์ให้กันได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถผลักดันและท้าทายซึ่งกันและกันได้

            8.6 ในขณะที่คุณกำลังคิดถึงสิ่งที่คนคนนั้นจะมาช่วยคุณได้ คุณต้องให้ความมั่นคงและโอกาสกับเขาด้วย ให้ค่าตอบแทนมากพอที่พวกเขาจะไม่ต้องมาเครียดเรื่องรายรับ แต่อย่ามากจนเกินไป คุณต้องกระตุ้นให้คนที่ทำงานกับคุณแสดงความสามารถและทำให้เขาไม่รักทิ้งความฝันของตัวเอง โดยที่ต้องเข้าใจว่าการทำงานไม่ใช่เพียงเพื่อเงิน

  • จ่ายเงินให้กับคนไม่ใช่เพราะตำแหน่ง จ่ายพิเศษให้เพิ่มอีกสักนิด และสร้างระบบโบนัสผลตอบแทนอื่นๆเพื่อที่เขาจะได้มีกำลังใจในการทำงาน อย่าจ่ายเพียงเพราะชื่อตำแหน่งของเขา
  • ประสิทธิภาพของเขาต้องดูว่าคู่ควรกับสิ่งที่เราจ่ายไป  แม้ว่าเราจะไม่มีทางรู้ได้ว่าควรวัดประสิทธิภาพยังไงเพื่อให้ได้การวัดผลที่ดี แต่คุณก็ควรสร้างตัววัดหลายๆแบบ
  • จ่ายให้มากกว่าคำว่ายุติธรรม เป็นคนใจกว้างหรือยอมจ่ายมากขึ้นเล็กน้อยกับคนอื่น ซึ่งผมเองได้ใช้เรื่องนี้กับทั้งในเรื่องงานและความสัมพันธ์
  • โฟกัสไปที่การทำให้เค้กชิ้นใหญ่ขึ้น ไม่ใช่โฟกัสไปที่การตัดแบ่งเค้กให้กับตัวเองหรือใครคนใดคนหนึ่งมากที่สุดการประนีประนอมที่ดีคือการที่ต่างคนต่างก็อยากให้ผลประโยชน์แก่กันและกัน

            8.7 จำไว้ว่าในการร่วมงานกันการเห็นอกเห็นใจและมีน้ำใจนั้นสำคัญกว่าเงินทอง คนบางคนที่มีเงินน้อยและให้น้อยอาจมีน้ำใจมากกว่าคนที่รวยที่ให้เยอะ บางคนก็ตอบสนองต่อความมีน้ำใจในขณะที่บางคนตอบสนองต่อเงิน ถ้าคุณต้องการคนรูปแบบแรกคุณจะต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความมีน้ำใจเสมอ

  • จงมีน้ำใจกับผู้อื่นและคาดหวังน้ำใจกลับมา หากคุณไม่มีน้ำใจกับผู้อื่นผู้อื่นก็จะไม่มีน้ำใจกับคุณ แล้วคุณก็จะไม่มีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ

            8.8 คนดีๆหายากคิดให้ดีว่าจะรักษาพวกเขาไว้อย่างไร คุณจะต้องทำตามขั้นตอนที่ได้บอกไปก่อนหน้า กานต์มั่นใจว่าการพัฒนาส่วนบุคคลของพวกเขาจะดำเนินไปอย่างเหมาะสมก็เป็นสิ่งสำคัญด้วย การขอคำแนะนำอย่างใกล้ชิดจากที่ปรึกษาเป็นสิ่งที่ควรทำทุกปี

บทที่ 9 ฝึกฝน ทดสอบ ประเมิน และคัดแยกคนอย่างสม่ำเสมอ

             ทั้งคนของคุณและกันออกแบบของคุณต้องพัฒนาให้เครื่องจักรของคุณดีขึ้น เมื่อคุณพัฒนาได้ถูกทางผลตอบแทนที่จะได้เพิ่มแบบทวีคูณเมื่อผู้คนเริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจะสามารถคิดอย่างอิสระตึกตรองและช่วยปรับแต่งเครื่องจักรของคุณได้ดีขึ้น เมื่อพวกเขามีวิวัฒนาการเร็วขึ้นผลลัพธ์ของคุณก็จะดีขึ้น

การมีส่วนร่วมในการวิวัฒนาการของพนักงานจะต้องเริ่มต้นด้วยการประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา ตามด้วยแผนการลดจุดด้อยของพวกเขาด้วยการฝึกฝนอบรมหรือเปลี่ยนงานให้เหมาะสมกับจุดแข็งและความชอบของพวกเขา

            9.1 เข้าใจว่าคุณและคนที่คุณบริหารจะต้องผ่านกระบวนการวิวัฒนาการส่วนบุคคล ไม่มีใครได้รับการยกเว้นจากกระบวนการนี้ ซึ่งผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน แม้การที่ผู้จัดการจะให้ข้อเสนอแนะที่อาจทำใจยอมรับได้ยากสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน แต่ในระยะยาวสิ่งนี้จะทำให้คนมีความสุขและองค์กรประสบความสำเร็จมากขึ้น

  • ยอมรับว่าวิวัฒนาการส่วนบุคคลควรมีความรวดเร็ว และเป็นผลจากการค้นพบจุดแข็ง และจุดอ่อน ส่งผลให้เส้นทางอาชีพไม่ได้มีการวางแผนตามเริ่มแรก กระบวนการวิวัฒนาการคือการค้นพบความชอบและไม่ชอบของผู้คนรวมถึงจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา พวกเขาควรมีอิสระที่จะเรียนรู้ และรำลึกด้วยตัวเองขณะฝึกสอนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดที่ไม่สามารถยอมรับได้
  • ทำความเข้าใจว่าเป็นการฝึกอบรมเป็นแนวทางในกระบวนการวิวัฒนาการส่วนบุคคล ผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องเปิดใจให้กว้างกระบวนการนี้ต้องการให้พวกเขาระงับอัตตาของตนเอง ในขณะที่พวกเขาค้นพบสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีและสิ่งที่พวกเขาทำได้ไม่ดีและตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับมัน
  • สอนคนของคุณให้ตกปลา แทนที่จะให้ปลาเฉยๆ แม้ว่าจะหมายถึงการปล่อยให้พวกเขาทำผิดพลาดบ้าง บางครั้งคุณต้องยืนมองและปล่อยให้ใครบางคนทำพลาดเพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ เป็นสัญญาณที่ไม่ดีถ้าคุณบอกคนอื่นว่าควรทำอะไรการจัดการแบบเข้าไปคลุกวงในมักจะสะท้อนถึงความไม่เป็นมืออาชีพในการจัดการ
  • ยอมรับว่าประสบการณ์สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเองในแบบที่หนังสือไม่มีทางทำได้ มีความแตกต่างกันมากระหว่างการเรียนรู้จากหนังสือที่ต้องใช้ความจำและการเรียนรู้แบบลงมือทำจริงหรือแบบมีส่วนร่วม เหมือนนักเรียนแพทย์ที่กำลังเรียนรู้การทำงานในห้องผ่าตัด

            9.2 ให้ข้อเสนอแนะอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะควรสะท้อนถึงสิ่งที่ประสบความสำเร็จและสิ่งที่ไม่เป็นไปตามสถานการณ์จริง แทนที่จะเป็นการพยายามยกย่องชมเชยและวิพากษ์วิจารณ์ โปรดจำเอาไว้ว่าคุณมีหน้าที่รับผิดชอบในการบรรลุเป้าหมายและต้องการให้เครื่องจักรทำงานตามที่ตั้งใจไว้

            9.3 ประเมินอย่างตรงไปตรงมาและไม่ใช่ประเมินแบบเห็นอกเห็นใจ การประเมินความสามารถอย่างตรงไปตรงมาก็เหมือนการโจมตี จับตาดูภาพใหญ่ และให้คำแนะนำแก่บุคคลที่คุณกำลังประเมินเพื่อทำเช่นเดียวกัน

  • ในท้ายที่สุด ความถูกต้องและความเมตตาก็เป็นสิ่งเดียวกัน สิ่งที่อาจดูดีแต่ไม่ถูกต้องเป็นอันตรายต่อบุคคลและคนอื่นๆในองค์กรเช่นกัน
  • ย้อนมองคำชมเชยและคำติชมของคุณ บัญชีให้เห็นความอ่อนแอหรือข้อผิดพลาดที่อยู่ระหว่างการสนทนาถึงการประเมินโดยรวมของผู้เข้ารับการฝึกอบรม
  • คิดถึงความถูกต้องไม่ใช่ความหมายโดยนัย คนที่ได้รับความคิดเห็นที่สำคัญมักจะมุ่งมั่นหมกมุ่นอยู่กับความหมายโดยนัยของข้อเสนอแทนที่จะหาความจริง นี่เป็นข้อผิดพลาด
  • ทำการประเมินผลที่ถูกต้อง คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด และความจริงคือสิ่งที่เป็นรากฐานแห่งความเป็นเลิศ ดังนั้นให้ประเมินผลบุคลากรของคุณอย่างแม่นยำและถูกต้อง
  • เรียนรู้จากความสำเร็จและจากความล้มเหลว ความจริงไม่จำเป็นต้องคิดเชิงลบตลอดเวลา ให้พวกเขาเห็นตัวอย่างของงานที่ทำได้ดีและเป็นเหตุผลแห่งความสำเร็จของพวกเขา สิ่งนี้จะสนับสนุนการกระทำที่นำไปสู่ผลลัพธ์และสร้างแบบอย่างสำหรับผู้ที่เรียนรู้
  • รู้ว่าทุกคนคิดอย่างไรและสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่มีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เป็นจริง แสดงให้เห็นว่าทำไมคุณต้องแม่นยำในการกำหนดลักษณะเฉพาะผลการกระทำของบางคน มิฉะนั้นคุณจะไม่มีวันรู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ

            9.4 รับรู้ว่าความรักที่เข้มงวดนั้นเป็นทางความรักที่ยากที่สุด และสำคัญที่สุดที่จะให้ ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณสามารถมอบให้ใครก็ได้คือพลังที่จะประสบความสำเร็จ การให้โอกาสแก่ผู้คนในการต่อสู้แทนที่จะให้สิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น

  • จงรู้ไว้ว่าขณะที่คนส่วนใหญ่ชอบคำชม การวิจารณ์อย่างถูกต้องอาจมีคุณค่ายิ่งกว่า การเปลี่ยนแปลงส่วนบุคคลที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดเกิดจากการประสบความเจ็บปวดจากความผิดพลาดกับคนไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นอีก แต่ในขณะเดียวกันมันเป็นสิ่งที่จะต้องมีความชัดเจนว่าสิ่งไหนที่พวกเขากำลังทำได้ดี มันสำคัญมากที่จะต้องชี้ให้เห็นว่าอะไรคือจุดอ่อนของตัวเขาเองและให้พวกเขาทบทวนมัน

            9.5 อย่าสอนข้อสังเกตของคุณเกี่ยวกับคน สำรวจพวกเขายังเปิดเผยโดยมีเป้าหมายเพื่อหาวิธีที่คุณและคนของคุณสร้างขึ้น เพื่อให้คนที่เหมาะสมสามารถทำงานได้ถูกต้อง

  • สร้างการสังเคราะห์จากข้อมูลเฉพาะขึ้นมา การแปลงข้อมูลจำนวนมากให้เป็นภาพที่ถูกต้อง มีคนจำนวนมากให้การประเมินผลของผู้คนโดยไม่เชื่อมกับข้อมูลเฉพาะ คุณต้องทำงานจากข้อมูลเฉพาะขึ้นและดูรูปแบบไหนข้อมูล จะช่วยให้คุณสามารถสร้างภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นว่าบุคคลนั้นเป็นอย่างไรรวมทั้งตรวจสอบสิ่งที่พวกเขาทำ
  • ค้นหาจุด การสังเกตทุกคนอาจช่วยบอกคุณบางอย่างได้ว่าพวกเขาทำงานอย่างไร มันจะมีค่ามากเมื่อถึงเวลาที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลรายบุคคล
  • อย่าค้นหาจุดมากเกินไป จำไว้ว่าจุดเป็นเพียงจุด สิ่งที่สำคัญคือการนำมารวมกัน เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งมีคำอธิบายที่เป็นไปได้หลายอย่างแต่รูปแบบพฤติกรรมของข้อมูลสามารถบอกคุณได้ว่า เหตุผลของสิ่งนั้นคืออะไร
  • ใช้เครื่องมือในการประเมินผล เช่นเเบบสำรวจผลการดำเนินงาน ตัวชี้วัดและความเห็นอย่างเป็นทางการเพื่อจัดทำรายงานผลการปฏิบัติงานทุกด้าน เป็นการยากที่จะมีการสนทนาที่เปิดกว้างโดยปราศจากความรู้สึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพหากไม่มีข้อมูลที่จะพูดถึง

            9.6 ทำกระบวนการเรียนรู้ให้เปิดกว้าง มีวิวัฒนาการและทำมันซ้ำๆซ้ำๆ คุณควรประเมินแต่ละคนในหลายๆส่วน ทำอย่างนี้ต่อเนื่อง หลังจากหลายเดือนของการพูดคุยและการทดสอบในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว คุณและคนที่รายงานต่อคุณควรจะบอกได้ว่าเขาหรือเธอเป็นอย่างไร เหมาะสมกับบทบาทไหนและควรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาอย่างไร

  • ทำให้ตัวชี้วัดของคุณชัดเจนและเป็นกลาง เพื่อช่วยในการสร้างเครื่องจักรที่มีการเคลื่อนไหวตลอดชีพของคุณ กฎระเบียบที่ชัดแจ้งและตัวชี้วัดที่ชัดเจนจะช่วยติดตามว่าผู้คนกำลังปฏิบัติตามกฎนั้นอย่างไร รวมถึงเทียบผลที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งพิจารณาตามสูตรของผลลัพธ์ในตัววัดเหล่านั้น
  • ส่งเสริมให้คนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานของตนอย่างชัดเจน ความสามารถในการเห็นตัวเองจากระดับที่สูงขึ้นเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการวิวัฒนาการส่วนบุคคลและบรรลุเป้าหมายของคุณ
  • มองภาพรวม ในการประเมินใครสักคนเป้าหมายคือการดูรูปแบบและทำความเข้าใจกับภาพทั้งหมด ไม่มีใครสามารถประสบความสำเร็จได้ในทุกทาง
  • สำหรับการประเมินประสิทธิภาพให้เริ่มต้นจากกรณีเฉพาะเจาะจง ค้นหารูปแบบและทำความเข้าใจกับบุคคลที่กำลังตรวจสอบโดยการดูหลักฐานร่วมกัน ในขณะที่ข้อเสนอแนะควรมีอย่างต่อเนื่องวัตถุประสงค์ของการทำแบบนี้คือการรวบรวมหลักฐานที่สะสมไว้ในสิ่งที่บุคคลมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของตน หากความคิดเห็นที่ต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่าเขาคนนั้นทำงานได้ดี มันก็จะเป็นเหมือนการทบทวนอย่างต่อเนื่อง
  • โปรดจำไว้ว่าเมื่อพูดถึงการประเมินผู้คนข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสองข้อที่อาจเกิดขึ้นได้คือมั่นใจในการประเมินของคุณมากเกินไปและการไม่เข้าใจในผลการประเมิน ถ้าคุณเชื่อว่ามีบางอย่างที่เป็นจริงเกี่ยวกับใคร คุณเป็นผู้รับผิดชอบในการตรวจสอบให้แน่ใจว่า เป็นความจริง แต่ในวัฒนธรรมแห่งความเป็นจริงและความโปร่งใสคุณต้องแบ่งปันข้อมูลของคุณและปล่อยให้คนอื่นแสดงออก
  • ติดตามข้อมูลเกี่ยวกับการประเมินด้วยวิธีที่ปราศจากลำดับชั้น ความเข้าใจผิดและความไม่พอใจที่เพิ่มขึ้นรวมถึงพฤติกรรมที่แย่ลง จะบั่นทอนประสิทธิภาพของสิ่งแวดล้อมและความสัมพันธ์ระหว่างคน คุณสามารถหลีกเลี่ยงได้ด้วยการรวบรวมข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
  • เรียนรู้เกี่ยวกับคนของคุณและให้พวกเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับคุณผ่านบทสนทนาที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความผิดพลาดและสาเหตุ คุณต้องชัดเจนในการถ่ายทอดการประเมินผลของคุณไปยังผู้รายงานตรงต่อคุณ และเปิดกว้างในการฟังคำตอบกลับของพวกเขา เพื่อให้คุณสามารถทำงานที่กำหนดเส้นทางการฝึกอบรมและอาชีพของพวกเขาร่วมกัน
  • ทำความเข้าใจที่มั่นใจได้ว่าผู้คนทำงานได้ดีโดยไม่ต้องเฝ้าดูทุกอย่างที่ทุกคนกำลังทำอยู่ตลอดเวลา คุณเพียงแค่ต้องรู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรและลองสุ่มตัวอย่างการดูตัวอย่างที่มากพอทางสถิติจะแสดงให้คุณเห็นว่าบุคคลใดมีลักษณะอย่างไร และสิ่งที่คุณคาดหวังได้จากคนเหล่านี้
  • เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นยาก การเปลี่ยนแปลงอาจเป็นเรื่องยาก แต่เพื่อที่จะเรียนรู้และเติบโตก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆคุณต้องเปลี่ยนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลง
  • ช่วยคนอื่นผ่านความเจ็บปวดที่มาจากการสำรวจจุดอ่อนของพวกเขา การวิเคราะห์เพื่อความสะดวกในการสื่อสารปล่อยความคิดต่างๆลงก่อน และมองว่าความเจ็บปวดของพวกเขาคือความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับการเรียนรู้และวิวัฒนาการส่วนบุคคล

            9.7 รู้วิธีการทำงานและความสามารถในการตัดสินใจของคนๆนั้น ว่าวิธีการดำเนินการงานดังกล่าวจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้อย่างไร มีความสำคัญมากกว่าการรู้ว่าพวกเขาทำอะไร การรู้ว่าควรเป็นอย่างไรเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะจัดการกับความรับผิดชอบในอนาคตได้แค่ไหน ผมได้สำรวจความคิดของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาเพื่อไม่ให้พวกเขาหลุดไป การทำเช่นนี้ได้สอนผลเกี่ยวกับวิธีการประเมินตรรกะของผู้อื่นและวิธีการใช้เหตุผลที่ดีกว่า เมื่อทั้งผลลัพธ์และความคิดที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาไม่ดี รวมถึงมันเกิดขึ้นหลายครั้งแต่ผมก็ไม่ต้องการให้พวกเขาคิดแบบนั้นอีกต่อไป

  • ถ้ามีคนทำงานได้ไม่ดี ให้พิจารณาว่าเป็นเพราะการเรียนรู้ไม่เพียงพอหรือความสามารถที่ไม่เพียงพอ จุดอ่อนที่เกิดขึ้นจากการขาดประสบการณ์หรือฝึกอบรมสามารถแก้ไขได้ ในขณะที่จุดอ่อนที่เกิดขึ้นจากการขาดความสามารถอาจไม่สามารถแก้ไขได้
  • การฝึกฝนทดสอบพนักงานที่ผลงานไม่ดีเพื่อดูว่าเขาหรือเธอสามารถใช้ทักษะที่จำเป็นได้หรือไม่ โดยไม่พยายามที่จะประเมินความสามารถของแต่ละคนเป็นความผิดพลาดที่พบบ่อยครั้ง ทักษะสามารถทดสอบได้ง่ายดังนั้นควรตรวจสอบง่ายเช่นเดียวกัน

            9.8 เข้าใจผู้อื่นเกี่ยวกับจุดอ่อน และเข้าใจว่าจุดอ่อนเหล่านั้นอาจเป็นความจริง เมื่อคุณยอมรับเรื่องนี้ได้นี่เป็นสัญญาณที่ดีว่าคุณได้มาถึงความจริง ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมในการเดินทางไปถึงจุดนี้ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ นี่คือหนึ่งในเหตุผลหลักที่บุคคลได้รับการประเมินต้องมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมในกระบวนการนี้

  • เมื่อตัดสินคนโปรดจำไว้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องไปถึงจุดที่เกินความสงสัย ความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบเป็นไปไม่ได้ และการเสียเวลาที่จะพยายามทั้งหยุดยั้งขั้นตอนการพัฒนาอีกด้วย แต่ควรพยายามทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาความเข้าใจระหว่างกันและกัน
  • คุณควรที่จะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งปีเพื่อเรียนรู้ว่าใครเป็นอย่างไรและเหมาะสมกับงานหรือไม่ คุณจะสามารถประเมินได้คร่าวคร่าวถึงความสามารถของบุคคลในช่วงเวลาประมาณหกถึงสิบสองเดือน โดยผ่านการติดตามอย่างใกล้ชิด การทดสอบจำนวนมากและทำความเข้าใจกับมัน
  • ดำเนินการประเมินบุคคลตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง เมื่อคุณทำความรู้จักกับคนของคุณดีขึ้น คุณจะสามารถฝึกและสั่งการได้ดีขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือคุณจะสามารถประเมินคุณค่าและความสามารถหลักได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
  • ประเมินพนักงานด้วยความตั้งใจเดียวกับที่คุณประเมินผู้สมัคร ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าแปลกใจเวลาพูดสัมภาษณ์สามารถวิจารณ์ผู้สมัครได้อย่างอิสระและมั่นใจโดยไม่ได้รู้ดีนัก แต่จะไม่วิพากษ์วิจารณ์พนักงานที่มีจุดอ่อนคล้ายๆกันแม้ว่าจะมีหลักฐาน นั่นเป็นเพราะพวกเขามองว่าการวิจารณ์เป็นเรื่องที่อันตรายและรู้สึกปลอดภัยมากกว่าถ้าจะวิจารณ์คนนอก

            9.9 ฝึกอบรม ปกป้อง หรือเอาออก แต่อย่าฟื้นฟูพวกเขา โปรดจำไว้ว่าถ้าคุณคาดหวังว่าคนจะดีขึ้นมากในอนาคตอันใกล้กว่าที่เคยเป็นมาก่อน คุณอาจจะทำผิดพลาดอย่างร้ายแรง ผู้ที่ทำงานแบบเดิมเดิมก็ยังคงทำแบบเดิมต่อไป เพราะพวกเขาไม่สามารถพัฒนาไปสู่ความรับผิดชอบได้เร็วพอ บางคนอาจทำได้ดีในตำแหน่งอื่น ซึ่งในกรณีนี้ควรจะกำหนดหน้าที่ใหม่ภายในบริษัท แต่สำหรับคนที่ไม่เหมาะสมก็ควรออกไป

  • อย่าเก็บสะสมคน มันเลวร้ายมากที่จะทำให้ใครบางคนทำงานที่ไม่เหมาะสมกับตัวเอง มากกว่าที่จะไล่พวกเขาออกหรือกำหนดงานไม่ให้พวกเขา
  • ยอมที่จะไล่คนที่รักออก การไล่คนที่คุณชอบออกเป็นเรื่องยากมาก การตัดคนที่มีความสัมพันธ์ที่มีความหมายแต่ทำงานไม่ได้เรื่องมักจะยากและจบกับความสัมพันธ์ยาก
  • เมื่อมีคนที่ไม่มีพื้นที่ให้พิจารณาว่ามีพื้นที่ที่จะเหมาะสมพอหรือไม่หรือคุณต้องการให้พวกเขาออกจากบริษัท รับรู้ว่าถ้าพวกเขาล้มเหลวในงานนั้นเป็นเพราะคุณสมบัติที่เขามี คุณจะต้องเข้าใจว่าคุณสมบัติเหล่านี้เป็นอย่างไรและต้องแน่ใจว่าไม่มีการนำไปประยุกต์ใช้กับบทบาทใหม่ เมื่อใครบางคนล้มเหลวกับหน้าที่ เป็นสิ่งสำคัญที่เขาจะเข้าใจว่าทำไมและอะไรคือเหตุผล เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเดิมในหน้าที่ใหม่
  • ระมัดระวังในการยอมให้ผู้คนถอยหลังหรือรถตำแหน่งกลับไปสู่อีกหน้าที่หนึ่งหลังจากเขาล้มเหลว คุณต้องการให้คนพัฒนาตนเองและทดสอบกับงานไหม ถ้าคุณไม่ต้องการที่จะกำจัดขนที่ดีเพียงเพราะเขาหรือเธอพยายามทำในสิ่งใหม่และล้มเหลว แต่ในทางกลับกันถ้าคุณดูคนส่วนใหญ่ในสถานการณ์เช่นนี้ โดยมากคุณจะเสียใจที่ให้พวกเขาถอยหลังหรือลดตำแหน่งงานลง

            9.10 โปรดจำไว้ว่าการย้ายคนเป็นสิ่งที่ดี และสามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากคนใดในลักษณะที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนโดยรวม ทั้งผู้จัดการที่ได้รับผลกระทบ ควรเข้าใจกันอยู่เสมอว่าบทบาทใหม่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะจะทำให้คนทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการมอบหมายงานอื่นสามารถสร้างความมุ่งมั่นได้

  • ให้ผู้คนทำหน้าที่ครบถ้วนก่อนจะเริ่มทำหน้าที่ใหม่ ควรมีการติดตามผลตลอดแต่ไม่ควรขัดจังหวะ เว้นแต่จะมีเหตุผลเร่งด่วน

            9.11 ยาลดเกณฑ์มาตรฐาน หากบุคคลใดไม่สามารถปฏิบัติงานได้ภายใต้ความต้องการด้านความเป็นเลิศของเรา ผ่านความจริงและความโปร่งใสอย่างแท้จริงในกรอบเวลาที่ยอมรับได้ เขาหรือเธอควรออกไปจากบริษัท

บทที่ 10 การบริหารให้คนควบคุมเครื่องจักรเพื่อบรรลุเป้าหมาย

ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไรเมื่ออยู่ในระดับที่สูงขึ้น คุณแค่เพียงตั้งเป้าหมายและสร้างเครื่องจักรเพื่อช่วยให้คุณก้าวไปสู่เป้าหมายเหล่านั้นได้สำเร็จ ผมจะไม่พูดเฉพาะเจาะจงว่าคุณควรตั้งเป้าหมายอะไรให้องค์กรของคุณ นอกจากจะมอบหลักเกณฑ์ในระดับสูงของการตั้งเป้าหมายที่พูดไว้ในหลักการชีวิต ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งกับตัวบุคคลและองค์กร แต่ผมจะชี้ว่าการบริหารองค์กรของคุณ คุณและผู้ร่วมงานจะต้องชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายขั้นต้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตโดยคำนึงถึงค่าใช้จ่าย การพัฒนาความพึงพอใจของลูกค้า การช่วยเหลือคนที่ยากลำบาก อะไรก็ตามที่จะเป็นบันไดช่วยให้คุณก้าวไปสู่เป้าหมายระดับสูงและมีคุณค่าสำหรับคุณ

            10.1 ย้อนกลับมาดูเครื่องจักรของคุณและตัวของคุณเองจากระดับที่สูงขึ้น ความคิดระดับสูงไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำโดยคนที่อยู่ในระดับสูงกว่า มันเป็นเพียงการมองจากด้านบนลงล่าง การมีมุมมองแบบภาพใหญ่ช่วยให้คุณมีความเข้าใจมากขึ้นกว่าการที่คุณเพียงมองไปรอบบ้านของคุณผ่านสายตาตัวเอง

  • เปรียบเทียบผลลัพธ์กับเป้าหมายของคุณเสมอ คุณจะต้องพยายามเดินสู่เป้าหมาย และประเมินเครื่องจักรของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพราะผลลัพธ์คือสิ่งที่สะท้อนประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร
  • เข้าใจว่าผู้บริหารที่ดีคือนักวิศวกรรมองค์กร ผู้บริหารที่ดีไม่ใช่นักปรัชญา นักแสดง แต่พวกเขาคือวิศวกร พวกเขามององค์กรเป็นเครื่องจักรและทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนามัน
  • สร้างตัวชี้วัดที่ดี ตัวชี้วัดจะสามารถแสดงให้เราเห็นถึงศักยภาพการทำงานของเครื่องจักรโดยให้ตัวเลขและส่งสัญญาณไฟเตือนเราบนแผงควบคุม คุณจะมีมุมมองที่สมบูรณ์และแม่นยำเกี่ยวกับสิ่งที่คนของคุณกำลังทำอยู่และทำงานได้ดีจากการใช้ตัวชี้วัดเพียงอย่างเดียว
  • ระวังการพะวงสิ่งที่จะเกิดขึ้นมากเกินไปจนลืมเครื่องจักร หากคุณมุ่งความสนใจไปกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นรายบุคคล สุดท้ายคุณจะแย่ แต่ถ้าคุณใส่ใจการสร้าง และจัดการเครื่องจักรของคุณ คุณก็จะประสบความสำเร็จ
  • อย่าไปลงของเล่นใหม่ๆ ของเล่นใหม่ๆเหล่านี้อาจเป็นกลลวงที่จะทำให้คุณไขว้เขวไปจากการคิดแบบเครื่องจักร ดังนั้นคุณจะต้องระวังและไม่ยอมให้ตัวเองหลงใหลไปกับมัน

            10.2 จำไว้ว่าสำหรับทุกปัญหาที่คุณเจอ วิธีการเผชิญกับมันของคุณจะต้องมีสองจุดประสงค์ คือเพื่อเข้าใกล้เป้าหมาย และเพื่อฝึกฝนทดสอบเครื่องจักรของคุณ อย่าลืมว่าเป้าหมายที่สองสำคัญกว่าเป้าหมายแรกเพราะเป็นวิธีการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่ง และสามารถนำไปใช้กับทุกปัญหา คนส่วนใหญ่มักมุ่งไปที่ข้อแรกมากกว่าซึ่งเป็นข้อผิดพลาด

  • ทุกอย่างคือกรณีศึกษา ลองนึกถึงปัญหาและหลักการในการแก้ไขปัญหาแบบนั้น
  • เมื่อเกิดปัญหาให้พูดคุยกันสองประเด็น ในระดับเครื่องจักร และในกรณีตรงหน้า อย่าทำพลาดด้วยการพูดคุยเฉพาะกรณีที่อยู่ตรงหน้า เพราะจะกลายเป็นว่าคุณกำลังลงมาบริหารแบบใกล้ชิดทุกรายละเอียด
  • เมื่อสร้างกฎจงอธิบายหลักการเบื้องหลังด้วย คุณคงไม่ต้องการให้เพื่อนร่วมงานของคุณทำตามกฎชุมชนเพียงลมปาก พวกเขาควรต้องรู้หลักการที่ทำให้พวกเขาต้องการที่จะปฏิบัติตามและให้คนอื่นๆที่อยู่ในความรับผิดชอบปฏิบัติตามพวกเขาพร้อมกับพยายามทำให้สมบูรณ์แบบ
  • นโยบายของคุณควรเป็นส่วนขยายตามหลักการของคุณโดยธรรมชาติ หลักการคือโครงสร้างลำดับชั้น บางส่วนมีความสำคัญและบางส่วนก็มีความสำคัญน้อยกว่า
  • หลักการและนโยบายที่ดีมีไว้เพื่อนำไปสู่แนวทางที่ดี แต่จำไว้ว่ากฎทุกข้อมีข้อยกเว้นเสมอ มันคือความท้าทายหากหลักเกณฑ์และนโยบายขัดแย้งกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกับการมีสิทธิ์ที่จะเปลี่ยนแปลงมันการเปลี่ยนแปลงนโยบายต้องได้รับการอนุมัติโดยผู้ก่อตั้งนโยบาย

            10.3 การเข้าใจความแตกต่างระหว่างการบริหารแบบใกล้ชิดทุกรายละเอียด และการไม่บริหาร ผู้บริหารที่ดีจะบริหารมากกว่าลงมือทำ การบริหารแบบใกล้ชิดทุกรายละเอียดมันเป็นการบอกคนที่ทำงานให้กับคุณถึงงานที่ต้องทำหรือทำงานให้กับพวกเขา ส่วนการไม่บริหารคือการทำให้พวกเขาทำงานโดยไม่ต้องดูแลและมีส่วนร่วม เพื่อให้ประสบความสำเร็จคุณจะต้องเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้และจัดการในระดับที่เหมาะสม

  • ผู้บริหารที่ดีต้องแน่ใจว่าพวกเขามีความรับผิดชอบในการทำสิ่งที่ทำอยู่ได้ดี พวกเขาสามารถทำได้โดยบริหารคนอื่นให้ดี ลงมาทำงานที่ไม่ได้เป็นส่วนรับผิดชอบเพราะคนอื่นไม่สามารถทำงานได้ดีหรือเพิ่มในสิ่งที่ไม่สามารถจัดการได้ดี
  • บริหารผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณให้รู้สึกเหมือนการเล่นสกีด้วยกัน เช่นเดียวกับผู้ฝึกสอนสกี คุณจำเป็นต้องมีการติดต่อที่ใกล้ชิดกับคนของคุณบนทางลาด เพื่อให้คุณสามารถประเมินจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขาได้ในขณะที่พวกเขากำลังทำงาน
  • นักเล่นสกีจะเก่งเป็นโค้ชสกีที่ดีกว่านักสกีมือสมัครเล่น ความเชื่อมั่นสามารถนำมาใช้กับการบริหารได้ด้วยยิ่งประวัติของคุณดีคุณก็จะสามารถเพิ่มคุณค่าได้มากขึ้นในฐานะโค้ช
  • คุณควรสามารถอธิบายรายละเอียดได้ ผู้บริหารที่ยิ่งใหญ่ต้องรู้ความแตกต่าง พวกเขามุ่งมั่นที่จะจ้างฝึกอบรมและดูแลคนในแบบที่คนคนนั้นจะสามารถจัดการสิ่งต่างๆได้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยตนเอง

            10.4 จงรู้ว่าคนของคุณชอบหรือไม่ชอบอะไร เพราะคนของคุณคือทรัพยากรที่สำคัญที่สุด การรู้เข้าใจในรายละเอียดจะบอกให้คุณทราบว่างานใดที่คนๆนั้นสามารถทำได้และไม่สามารถทำอะไรได้ดีพวกเขาควรหลีกเลี่ยงในสิ่งได้และควรฝึกฝนอย่างไร และข้อมูลเหล่านี้จะเปลี่ยนเมื่อคนคนนั้นพัฒนาขึ้น

  • ตรวจสอบกับคนที่สำคัญต่อคุณและองค์กรว่าเป็นอย่างไรบ้างเสมอ ปัญหาเหล่านี้อาจเป็นปัญหาที่คุณไม่รู้หรืออาจเข้าใจผิดโดยหัวหน้าตัวเองไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตามเป็นสิ่ง ที่จำเป็นอย่างยิ่งคือการรู้ปัญหาเหล่านั้น
  • เรียนรู้ว่าคุณมีความมั่นใจมากแค่ไหนในคนของคุณ อย่าคิดไปเอง ผู้จัดการไม่ควรมอบหน้าที่ให้กับคนที่พวกเขาไม่รู้จักดี เพราะบางงานต้องใช้เวลาเรียนรู้ เกี่ยวกับลูกน้องถึงมั่นใจว่าเขาสามารถทำงานนั้นได้ดี
  • มีส่วนร่วมโดยคำนึงถึงความมั่นใจของคุณ การบริหารส่วนใหญ่ประกอบการค้นหาและตรวจสอบทุกอย่างที่คุณต้องรับผิดชอบพร้อมระบุสัญญาณที่น่าสงสัยจากสิ่งที่คุณเห็นคุณควรเปลี่ยนระดับการค้นหาสิ่งต่างๆ ในสิ่งที่ดูน่าสงสัยให้น้อยลงเมื่อคุณเริ่มมีความมั่นใจขึ้น

            10.5 กำหนดความรับผิดชอบอย่างชัดเจน ขจัดความสับสนเกี่ยวกับความคาดหวัง และทำให้แน่ใจว่าผู้คนมองว่าความล้มเหลวของตนในการบรรลุผลงานเป็นความล้มเหลวส่วนบุคคล คนที่สำคัญที่สุดในทีมคือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจโดยรวม

  • จำว่าใครรับผิดชอบอะไร แม้ว่าจะฟังดูเป็นเรื่องที่ชัดเจนอยู่แล้วแต่ผู้คนมักลืมหน้าที่ของตัวเอง
  • ระวังงานไถล งานไถลคือเมื่อตัวเนื้องานถูกเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีการคิดอย่างชัดเจนและมีการขอความเห็น เนื่องจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปหรือความจำเป็นชั่วคราว

            10.6 สำรวจให้ลึกในการเรียนรู้สิ่งที่คุณคาดหวังได้จากเครื่องจักรของคุณ คอยตรวจสอบผู้ที่รายงานตรงต่อคุณตลอดเวลา เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาต้องการเผชิญหน้ากับปัญหาและความผิดพลาดเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขาและคนอื่นๆ การตั้งคำถามไม่ควรจะมาจากบนลงล่าง แต่คนที่ทำงานให้คุณควรท้าทายคุณตลอดเวลาเพื่อให้คุณสามารถทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณทำได้

  • สร้างระดับความเข้าใจ เมื่อจัดการปัญหาคุณจะต้องได้รับความเข้าใจอย่างเพียงพอเกี่ยวกับคน และปัญหาต่างๆรอบตัวคุณเพื่อตัดสินใจอย่างรอบคอบ
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ห่างไกลเกินไป คุณจำเป็นต้องหาทางเพื่อให้ได้รับข้อมูลจากคนที่เหมาะสม การออกแบบระบบการทำงานของคุณต้องสร้างขึ้นเพื่อทำสิ่งเหล่านี้ ถ้าทำไม่ได้การบริหารของคุณจะมีความเสี่ยง
  • การใช้อัพเดทรายวันเป็นเครื่องมือในการตามติดสิ่งที่ลูกน้องกำลังคิดและทำ การอัปเดตเหล่านี้จะทำให้คุณรู้และดูความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น ทำให้สามารถเห็นได้ว่าเขาทำงานร่วมกันอย่างไร
  • สอบถามเพื่อให้คุณทราบว่าปัญหามีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น เมื่อปัญหาเริ่มก่อตัวก็ควรที่จะรู้ก่อนที่ปัญหาจะใหญ่เกินแก้ไข
  • สอบถามไปถึงคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าคนที่รายงานตรงต่อคุณ คุณไม่สามารถเข้าใจการบริหารของคนที่รายงานตรงต่อคุณได้ เว้นแต่คุณจะสอบถามผู้ที่ทำงานกับเขาโดยตรงและสังเกตพฤติกรรมของเขา
  • ให้คนที่อยู่ภายใต้การบริหารของคนที่รายงานตรงต่อคุณสามารถนำปัญหามาปรึกษาคุณได้ เป็นวิธีที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อรูปแบบความรับผิดชอบของคนที่อยู่ในระดับสูง
  • อย่าคิดว่าคำตอบของผู้อื่นถูกเสมอ คำตอบของผู้คนอาจเป็นเพียงทฤษฎีที่ไม่ถูกต้องหรือพูดเพียงเพื่อปั่นหู ดังนั้นคุณจำเป็นต้องตรวจสอบซ้ำเป็นครั้งคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดความน่าสงสัย
  • ฝึกหูของคุณไว้ เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะได้ยินแต่คำพูดเดิมที่บ่งบอกว่ามีคนกำลังคิดถึงสิ่งที่ไม่ดีหรือไม่สามารถใช้หลักการได้อย่างเหมาะสม
  • ทำให้การถามของคุณเป็นเรื่องสาธารณะมากกว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นการช่วยรับประกันคุณภาพของการถาม แล้วมันก็จะทำให้เกิดวัฒนธรรมแห่งความจริงและความโปร่งใส
  • ยินดีที่จะโดนตั้งคำถาม สิ่งที่สำคัญคือต้องยินดีกับการถูกตั้งคำถาม เพราะไม่มีใครเห็นตัวเองได้ เมื่อคุณกำลังถูกตรวจสอบคุณจำเป็นต้องสงบความรู้สึกเอาไว้ การทำงานด้วยตัวเองผ่านการตรวจสอบที่ยากลำบาก จะสร้างอุปนิสัยและความใจเย็นของคุณ
  • โปรดจำไว้ว่าคนที่มองเห็นสิ่งต่างๆและคิดเพียงวิธีเดียวมักจะมีปัญหาในการสื่อสารกับผู้ที่เห็นสิ่งต่างๆและคิดไปทางอื่น มันจะต้องใช้ความอดทนและความคิดที่เปิดกว้างพร้อมกับต้องหาคนที่สามารถช่วยอธิบายเพิ่มเติมอีกด้วย
  • ดึงสิ่งที่น่าสงสัยมาตรวจสอบให้หมด ซึ่งเป็นการกระทำที่คุ้มค่าเพราะสถานการณ์เล็กๆจะสามารถเป็นต้นเหตุของปัญหาที่อย่าซ่อนอยู่ได้ การแก้ไขมุมมองที่ต่างกันอาจสามารถยับยั้งปัญหาที่อาจจะก่อให้เกิดความคิดเห็นไม่ตรงกัน และในการสร้างวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับความคิดเป็นเลิศ ต้องมีการชี้ปัญหาแม้กระทั่งปัญหาเล็กๆก็เป็นสิ่งจำเป็น
  • จำไว้ว่าวิธีการย่อมมีมากกว่าหนึ่ง ประเมินว่าฝ่ายที่มีความรับผิดชอบทำหน้าที่อย่างไร ไม่ควรขึ้นอยู่กับว่าพวกเขากำลังทำไปตามทางของคุณหรือไม่ แต่ควรดูว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่

            10.7 คิดให้เหมือนเจ้าของ และคาดหวังว่าคนรอบข้างก็คิดเช่นเดียวกับคุณ ในความเป็นจริงแล้วหากคุณไม่อยากจะเจอผลลัพธ์จากการกระทำของตัวเองคุณก็จะต้องรับผิดชอบน้อยลง คุณต้องมั่นใจว่าโครงสร้างรายได้และการลงโทษนั้นผลักดันให้คนรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองเต็มที่ เมื่อคนเข้าใจว่าความเป็นอยู่ของตัวเองมีส่วนโดยตรงกับชุมชน ความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของก็จะพุ่งสูงขึ้น

  • การลาพักร้อนไม่ได้แปลว่าคุณจะสามารถละทิ้งหน้าที่ตัวเองได้ การคิดเหมือนเจ้าของธุรกิจแปลว่าคุณจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และขณะที่คุณพักร้อนมันคือความรับผิดชอบของคุณที่จะต้องดูแลให้มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรที่ผิดพลาดเกิดขึ้น
  • บังคับตัวเองและผู้ร่วมงานให้ทำสิ่งยาก มันเป็นกฎทางธรรมชาติของโลก คุณจะต้องผลักดันตัวเองหากคุณต้องการที่จะแกล้ง แล้วคนของคุณจะต้องทำงานร่วมกันดังเทรนเนอร์ในยิมเพื่อช่วยให้ต่างฝ่ายต่างพร้อมมากขึ้น

            10.8 เข้าใจและเผชิญกับปัญหาตัวตายตัวแทน คนที่เป็นกุญแจสำคัญขององค์กรจะต้องมีคนที่สามารถรับผิดชอบหน้าที่แทนได้ และเป็นเรื่องที่ดีหากคนเหล่านั้นถูกฝึกฝนให้เป็นผู้รับไม้ต่อโดยทำงานเป็นเหมือนเด็กฝึกงานในช่วงที่คุณให้ช่วยทำงานเหล่านั้น

            10.9 อย่าปฏิบัติต่อทุกคนเท่ากัน แต่ให้ปฏิบัติอย่างเหมาะสม มักมีการกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมและไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไม่เท่าเทียมกัน แต่เพื่อที่จะปฏิบัติต่อผู้คนอย่างถูกต้อง คุณจะต้องปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างแตกต่างกัน นั่นเป็นเพราะคนแต่ละคนมีสภาพแวดล้อมของพวกเขาแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญคือต้องปฏิบัติต่อผู้คนตามกฎเกณฑ์เดียวกัน

  • อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกบีบ การยอมปล่อยให้สิ่งที่คุณเคยเชื่อมั่นสั่นคลอน แล้วมันเป็นการป่าวประกาศว่ากฎของเกมได้เปลี่ยนไปแล้ว การต่อสู้สำหรับสิ่งที่ถูกต้องอาจจะยากในช่วงเวลาสั้นๆ
  • ใส่ใจคนที่ทำงานให้คุณ หากคุณไม่ได้ร่วมงานกับคนที่คุณแคร์และเคารพก็น่าจะแปลว่างานนี้ไม่เหมาะกับคุณ ผมพร้อมที่จะช่วยเหลือคนที่ต้องการผมจริงๆ และเมื่อชุมชนปฏิบัติกับผมแบบนี้ มันก็เป็นสิ่งที่ทรงพลังและน่าชื่นใจ การยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือในยามที่เจอเรื่องแย่ๆจึงเป็นสิ่งจำเป็น

            10.10 เข้าใจและรู้ว่าการเป็นผู้นำที่ดีไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปคิด สิ่งหนึ่งที่ผู้นำไม่ควรทำในความคิดของผมคือการชักใยและครอบงำ เพราะบางครั้งผู้นำจะใช้อารมณ์เพื่อกระตุ้นให้คนทำสิ่งที่พวกเขาจะไม่ทำหากได้ไตร่ตรองเมื่อต้องรับมือกับคนที่ชาญฉลาดในอุดมการณ์ความคิด เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฟังเหตุผลของพวกเขามากกว่าอารมณ์พื้นฐาน

  • จงอ่อนแอและเข้มแข็งในเวลาเดียวกัน บางครั้งการถามเพื่อเข้าใจสิ่งใดอาจถูกมองว่าอ่อนแอและไม่มีความเด็ดขาด แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ มันจำเป็นหากต้องการเป็นคนที่ฉลาดและจำเป็นอย่างมากเพื่อที่จะแข็งแกร่งและเด็ดขาดในอนาคต
  • อย่าไปกังวลว่าลูกน้องจะชอบคุณใหม่และอย่าคาดหวังว่าพวกเขาจะชี้แนะ อย่าไปกังวลว่าลูกน้องจะชอบคุณใหม่และอย่าคาดหวังว่าพวกเขาจะชี้แนะพวกคุณควรทำอย่างไร คุณเพียงต้องกังวลกับการตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยตระหนักว่าไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ต้องมีคนไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว มันคือธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการให้คุณเชื่อความคิดเห็นของเขา
  • อย่าออกคำสั่งและพยายามให้ทุกคนทำตามแต่พยายามให้ทุกคนเข้าใจเองแหละเข้าใจผู้อื่น หากคุณต้องการให้ทุกคนทำตามไม่ว่าจะเหตุผลอะไรคุณจะต้องเจอกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว และเมื่อคุณเป็นเพียงคนเดียวที่คิดผลลัพธ์ก็จะออกมาแบบไม่ดีนัก ผู้บริหารจอมเผด็จการจะไม่พัฒนาผู้ใต้บังคับบัญชา

            10.11 ไว้ใจตัวเองและคนของคุณ และขอบคุณพวกเขาที่ไว้ใจคุณ การไว้ใจคนๆนึงคือการเข้าใจตัวเขาและสภาพแวดล้อมมากพอที่จะเข้าใจขีดความสามารถที่แตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน บางคนอาจไม่ชอบที่ต้องรับผิดชอบ แล้วคุณก็ไม่อยากจะต้องมานั่งบอกตลอดเวลาว่าต้องทำอะไร ให้เหตุผลพวกเขาเพื่อให้เขาเข้าใจคุณค่าและสิ่งที่กำลังทำอยู่แต่อย่าปล่อยให้พวกเขาทำตามอำเภอใจ

  • หากคุณเห็นด้วยกับใครบางคนว่าบางสิ่งจะต้องทำในรูปแบบนั้นๆ ต้องมั่นใจว่าจะทำแบบนั้นจริงๆยกเว้นคุณจะมานั่งทำความเข้าใจกันว่าต้องทำวิธีอื่น คนมักมุ่งไปทำสิ่งที่อยากทำมากกว่าสิ่งที่ต้องทำ ทำให้พวกเขามักลืมเป้าหมายและคุณจะต้องชี้แนะพวกเขา นี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไมต้องให้คนของคุณอัพเดตงานให้ฟังตลอดเวลา
  • แยกให้ออกระหว่างความล้มเหลวจากการที่ใครบ้าง ไม่ทำตามสัญญาหรือการล้มเหลวเพราะไม่มีสัญญาตั้งแต่ต้น หากคุณไม่ประกาศสิ่งที่ต้องการให้ชัดเจนคุณจะไม่สามารถโทษใครได้ถ้าคนๆนั้นไม่ทำตามในสิ่งที่คุณต้องการ
  • หลีกเลี่ยงที่จะถูกดูดเข้าไป ปรากฏการณ์ดูดมีความคล้ายคลึงกับงานไถลเพราะมันเกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบของผู้บริหารที่ลื่นไถลไปในพื้นที่ที่ควรปล่อยให้คนอื่นทำ
  • ระวังผู้ที่สับสนระหว่างเป้าหมายกับงาน เพราะหากพวกเขาแยกไม่ได้คุณก็จะไว้ใจกับความรับผิดชอบเหล่านี้ไม่ได้ หากจำเป็นก็จะมีข้อมูลสนับสนุนว่ามีงานอะไรที่ทำแล้วเสร็จไปบ้างเพื่อบรรลุเป้าหมาย ส่วนคนที่เห็นแต่งงานแล้วลืมเป้าหมายจะพูดเพียงงานที่ได้ทำไปแล้ว
  • ระวังพวกไม่ตั้งใจแล้วไม่ลงมือทำโดยอ้างแต่ทฤษฎี การอ้างอิงทฤษฎีเกิดขึ้นเมื่อคนคิดว่าคนอื่นหรือตัวเองจะต้องสามารถทำได้ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะทำได้ไหม จำไว้ว่าสิ่งที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จจริงๆคือคุณจะต้องเชื่อใจกลุ่มที่รับผิดชอบที่มีผลรองรับในงานนั้นๆ

            10.12 แบบแผนให้ชัดเจนและมีตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อดูว่าคุณกำลังทำตามแบบแผนอย่างถูกต้องหรือไม่ ทุกคนควรรู้แผนและการวางโครงสร้างของหน่วยงานตัวเอง และหากคุณเรื่องที่จะเปลี่ยนแปลงแผนของคุณจะต้องแจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับรู้ และฟังความคิดเห็นของเขาก่อนที่จะเบนไปทางอื่นอย่างเต็มที่ ซึ่งการทำแบบนี้จะช่วยให้คนมีส่วนร่วมกับแผ่นไม้หรือแสดงถึงความไม่มั่นใจในแผนและเสนอแนะได้

  • ทำความเข้าใจกับทุกอย่างก่อนจะเดินหน้า ก่อนจะเดินหน้ากับแผนงานไม่ให้ใช้เวลาสักนิดหน่อยย้อนกลับไปมองว่าเครื่องจักรทำงานเป็นอย่างไร บางครั้งบางคนอาจมีปัญหากับการมองไปในอนาคต เพราะลืมว่าใครหรืออะไรที่ก่อให้เกิดปัญหา ขอให้เขาเล่าเรื่องราวมาว่าถึงจุดนี้ได้อย่างไร

            10.13 ยกระดับเมื่อคุณไม่สามารถรับมือกับความรับผิดชอบของคุณได้อย่างเพียงพอ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนที่ทำงานให้คุณในเชิงรุกและทำเช่นเดียวกับคุณ การยกระดับแปลว่าคุณไม่เชื่อว่าคุณสามารถที่จะรับมือกับปัญหาและคุณกำลังยกหน้าที่ความรับผิดชอบให้กับคนอื่น คนที่คุณยกระดับปัญหาไปให้คือคนที่คุณอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา และเขาสามารถตัดสินใจได้ว่าจะช่วยฝึกคุณทำเอง ให้คนอื่นทำให้ หรือทำอย่างอื่น

บทที่ 11 เข้าใจและไม่เพิกเฉยต่อปัญหา

             ระหว่างทางที่จะไปสู่เป้าหมายของคุณแน่นอนคุณจะต้องเจอกับปัญหาและหากคุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จ คุณจะต้องเผชิญกับมันและไม่เมินเฉย การคิดถึงแนวทางการแก้ปัญหาของปัญหาที่อยากอาจทำให้คนรู้สึกกังวล แต่การไม่คิดถึงมันเลยถือเป็นการไม่จัดการกับมันแล้วจะทำให้คุณกังวลมากกว่ายิ่งขึ้นไปอีก

            11.1 หากคุณไม่กังวล คุณควรที่จะกังวล และหากคุณกังวล คุณก็ไม่ต้องกังวลหรอก เพราะการกังวลถึงสิ่งที่จะผิดพลาดจะสามารถปกป้องคุณได้ และการไม่กังวลว่าเกิดอะไรขึ้นจะทำให้คุณไม่เตรียมการอะไรเลย

            11.2 การออกแบบและตรวจสอบเครื่องจักร ทำเพื่อดูว่าสิ่งต่างๆนั้นดีพอหรือไม่ดีพอ หรือควรทำเอง การทำเช่นนี้มักจะทำโดยคนที่เหมาะสม ซึ่งหมายถึงคนที่มีความสามารถในการตรวจสอบ คนที่ไม่สามารถทนงานที่ไม่มีมาตรฐานใดและคนที่สามารถวิเคราะห์เก่ง โดยทั้งหมดนี้จะต้องมีการวัดผลที่ดี

  • มอบหมายให้คนทำหน้าที่คาดการณ์ปัญหาให้เวลาเข้าตรวจสอบและให้ความมั่นใจว่าเขามีอิสระในการทำงาน เพื่อให้เขาสามารถตรวจสอบปัญหาได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร หากไม่มีสิ่งเหล่านี้คุณจะไม่สามารถไว้ใจคนที่มาบอกปัญหากับคุณได้เลย
  • ระวังโรค กบ ในน้ำเดือด เพราะหากคุณโยนกบลงไปในหม้อที่มีแต่น้ำเดือด มันจะกระโดดออกทันที แต่ถ้าคุณใส่มันลงไปในน้ำที่อุณหภูมิห้องและค่อยๆทำให้น้ำร้อนขึ้นมันก็จะอยู่ในหม้อจนกว่ามันจะตาย
  • ระวังการคิดแบบกลุ่มเพียงเพราะไม่มีใครกังวลไม่ได้แปลว่าไม่มีอะไรผิดแปลกไป ถ้าคุณเห็นอะไรที่รับไม่ได้อย่าคิดไปเองว่าทุกคนรู้ แล้วไม่พูดไม่ได้แปลว่าไม่ใช่ปัญหา นี่เป็นกับดักที่ใครหลายคนตกลงไปและเป็นกับดักที่อันตราย
  • เพื่อเข้าใจปัญหาลองเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ที่จะออกมาพร้อมกับเป้าหมายของคุณ นี่แปลว่าการเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เครื่องจักรทำงานกับผลลัพธ์ที่คุณคิดไว้อาจแตกต่างกัน หากคุณต้องการให้มีการปรับปรุง คุณก็ต้องรู้ว่าอะไรคือต้นเหตุ เพื่อไปแก้ไขมัน
  • ลองชิมซุปดู ทำการเปรียบเทียบทุกผลลัพธ์ที่เขามีหน้าที่รับผิดชอบ คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบจะถูกเรียกว่านักชิม
  • ให้มีคนมองหาปัญหาให้เยอะที่สุด สนับสนุนให้คนนำปัญหามาให้คุณรับรู้ ถ้าทุกคนรอบตัวคุณรู้ถึงความรับผิดชอบของพื้นที่ตัวเอง และไม่มีใครกลัวที่จะพูด คุณก็จะเรียนรู้ปัญหาในตอนที่มันยังง่ายต่อการแก้ไขและยังไม่เกิดความเสียหายมาก ทำความเข้าใจกับคนที่ทำงานในส่วนที่สำคัญที่สุด
  • เปิดโอกาส มันคือความรับผิดชอบของคุณที่จะทำให้เรื่องการสื่อสารระหว่างลูกน้องของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น โดยการสนับสนุนให้พวกเขามีโอกาสในการบอกเล่า
  • เข้าใจว่าคนที่รับหน้าที่คงจะเป็นคนที่เข้าใจงานนั้นดีที่สุด อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะมีมุมมองที่คุณต้องเข้าใจเพราะฉะนั้นพยายามมองผ่านมุมมองของพวกเขา

            11.3 เจาะจงกับปัญหาอย่าพูดภาพรวม ให้เจาะจงไปเลยว่าผู้ที่ให้คำปรึกษากับลูกค้าคนไหนทำได้ไม่ดี และทำไมถึงทำได้ไม่ดีเริ่มจากการเจาะจงและคอยสังเกตพฤติกรรม

  • ระวังการใช้คำว่าเราหรือพวกเขา เพราะมันเป็นการปกปิดนาทีส่วนบุคคล ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเองแต่มันเกิดขึ้นเพราะมีใครบางคนทำหรือไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง อย่ามองข้ามความผิดส่วนบุคคลด้วยการไม่เจาะจง

            11.4 อย่ากลัวที่จะแก้สิ่งที่อยาก บางคนก็ยอมรับปัญหาที่แก้ไม่ได้เพราะมองว่ามันยากเกินที่จะแก้ไข แต่การแก้ปัญหาที่ยากง่ายกว่าการไม่แกมันเลย เพราะการที่จะไม่แก้ปัญหาเลยจะนำไปสู่ความเครียด งานที่เพิ่มขึ้นและผลลัพธ์ที่ไม่ดีอาจทำให้คุณถูกไล่ออกได้

  • การเข้าใจว่าปัญหาที่มีการวางแผนแนวทางแก้ไขที่ดีนั้นต่างจากปัญหาที่ไม่มีแนวทางแก้ไข ปัญหาที่ไม่ได้ถูกระบุไว้เป็นปัญหาที่แย่ที่สุด ปัญหาที่ถูกชี้ชัดแต่ไม่มีแผนการแก้ไขนั้นดีกว่าแบบแรกแต่ยังแย่อยู่ ปัญหาที่ถูกระบุออกมาและมีแนวทางแก้ไขนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า และปัญหาที่ถูกแก้ไขเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
  • พยายามมองปัญหาที่คุณเจอในแบบเครื่องจักร ระบุปัญหาให้ชัดเจนจากนั้นประเมินว่าจะต้องนำไปชี้แจงให้ใคร และสุดท้ายเวลาที่เหมาะสมในการที่จะนำไปพูดคุยนั้นคือเมื่อไหร่

บทที่ 12 การวิเคราะห์ปัญหาเพื่อไปสู่ต้นตอของปัญหา

             ปัญหาที่ผมพบบ่อยที่สุดจากคนที่พยายามแก้ปัญหาของตัวเอง มาแก้ปัญหาแบบเฉพาะเจาะจงปัญหามากกว่าที่จะวิเคราะห์ว่าเครื่องจักรทำงานอย่างไรเพื่อให้สามารถที่จะพัฒนาได้ พวกเขาแก้ปัญหาโดยที่ไม่ยอมมองบ่อเกิดของปัญหา ซึ่งจะทำให้ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า การวิเคราะห์ที่ละเอียดอาจใช้เวลาแต่จะส่งผลดีอย่างมากในอนาคต หลักการต่อไปนี้จะบอกเราว่าทำอย่างไรถึงจะมีการวิเคราะห์ที่ดีโดยเริ่มจากการมองภาพรวม

12.1 หากต้องการวิเคราะห์ได้ดี คุณต้องถามคำถามเหล่านี้ ผลลัพธ์ที่ได้ดีหรือไม่ ใครเป็นผู้รับผิดชอบผลลัพธ์ หากผลลัพธ์ไม่ดีมันเป็นเพราะคนนั้นไม่มีความสามารถมากพอหรือการออกแบบนั้นไม่ดี ถ้าคุณถามคำถามเหล่านี้ได้ถูกต้องคุณก็จะสามารถวิเคราะห์ได้ดี และต่อไปนี้คือวิธีการที่จะได้รับคำตอบเพื่อคำถามในภาพใหญ่ คำถามเหล่านี้จะช่วยให้คุณได้รับคำตอบที่คุณกำลังมองหาในแต่ละตอน และใครมีส่วนรับผิดชอบสำหรับผลลัพธ์ ถ้าคุณไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าผลลัพธ์นั้นไม่ดีและไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำคุณน่าจะกำลังแย่แล้วแหละ เป้าหมายคือการมาสู่คำตอบนี้ แต่การที่จะมาถึงจุดนี้คุณอาจจะต้องตรวจสอบว่าเครื่องจักรของคุณทำงานอย่างไรและสรุปคำตอบจากตรงนั้น

คุณอาจจะมีภาพในหัวเรียบร้อยว่าใครควรทำอะไร และมีหลักการที่พูดว่า ควรทำอย่างไรและควรมีเหตุผลอย่างไร

  • ถามตัวเองว่าใครควรทำอะไรที่ต่างออกไป  ผมมักได้ยินคนที่บ่นเกี่ยวกับผลลัพธ์โดยไม่พยายามทำความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องจักรที่สร้างผลลัพธ์เงินนั้น หลายกรณีสิ่งเหล่านี้มาจากคนที่มองแต่ข้อเสียของการตัดสินใจแต่ไม่มองข้อดีของมัน แล้วไม่รู้ว่ากลุ่มที่รับผิดชอบมีการตัดสินใจอย่างไร
  • ระบุขั้นตอนว่าขั้นตอนใดในห้าขั้นตอนที่เกิดข้อผิดพลาด  มันคือขั้นตอนได้ในห้าขั้นตอนนี่เขาพลาดขั้นตอนไหน แต่ละขั้นตอนจะต้องใช้ทักษะที่แตกต่างกันออกไป ในการแก้ไขปัญหา
  • ระบุหลักการที่ถูกมองข้าม  ระบุหลักการที่สามารถนำมาใช้กับปัญหาเบื้องต้นลองทบทวนดูว่ามันสามารถช่วยได้หรือไม่ ลองคิดเอาเองว่าหลักการใดสามารถนำมาใช้กับปัญหาที่คล้ายคลึงกันนี้ได้
  • หลีกเลี่ยงที่จะเป็นคนที่วิจารณ์อะไรที่เกิดขึ้นไปแล้ว ประเมินสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตโดยไม่ใช่จากสิ่งที่คุณรู้ตอนนี้ แต่เป็นสิ่งที่คุณรู้ว่าในช่วงเวลานั้นที่ปัญหาเกิดขึ้นทุกการตัดสินใจมีทั้งข้อดีและข้อเสีย คุณไม่สามารถที่จะประเมินทางเลือกเหล่านั้นได้หากไม่รู้จริง
  • อย่าสับสนระหว่างคุณภาพของสถานการณ์ของใครบางคนกับคุณภาพของวิธีจัดการของพวกเขากับสถานการณ์นั้น อันนึงอาจจะดี อันนึงอาจจะแย่ มันง่ายที่จะสับสนว่าอะไรเป็นอะไร แต่ความสับสนดังกล่าวนั้นมักจะก่อให้เกิดขึ้นในองค์กรที่กำลังทำสิ่งใหม่ๆ แล้วเติบโตอย่างรวดเร็วแต่ยังไม่ชินกับมัน
  • การระบุในสิ่งที่ไม่มีใครว่าจะต้องทำอะไรไม่ได้แปลว่าคุณรู้ว่าจะต้องทำอะไร คุณสามารถที่จะระบุปัญหาได้แต่มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเลยที่คุณจะไม่มีการวิเคราะห์ปัญหาที่สมบูรณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่มีคุณภาพ
  • จำเอาไว้ว่าบ่อเกิดของปัญหาไม่ใช่การกระทำแต่เป็นเหตุผล ให้ถามไปเรื่อยเรื่อยว่าทำไม เพราะส่วนใหญ่สิ่งที่ทำหรือสิ่งที่ไม่ได้ทำมักเกิดจากการมีใครบ้างคนตัดสินใจจะทำงานหรือไม่ทำงานในวิธีแบบที่เป็นปกติ ต้นเหตุของปัญหาส่วนใหญ่สามารถชี้กลับไปที่ใครบางคนที่มีพฤติกรรมที่ทำซ้ำไปซ้ำมา
  • เพื่อแยกแยะว่าปัญหาระหว่างด้านการทำงานและปัญหาความสามารถ ลองนึกภาพว่าคนๆนั้นสามารถปฏิบัติงานได้หรือไม่ถ้าเกิดมีความสามารถมากพอ ลองย้อนกลับไปมองว่าถ้าเกิดคนที่ทำงานในแต่ละหน่วยงานทำอย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่ยังเกิดปัญหาเดิมเกิดขึ้นน่าจะเป็นเพราะความสามารถในการทำงานที่ยังไม่ดีพอ
  • ให้จำไว้ว่าผู้บริหารมักล้มเหลวหรือไปไม่ถึงเป้าหมาย เพราะสิ่งหนึ่งในข้อเหล่านี้ พวกเขาอยู่ห่างเกินไป พวกเขามองไม่ออกว่าอะไรคือคุณภาพไม่ดี พวกเขามองไม่ออกว่าอะไรไม่ดีเพราะชินไปแล้ว เพราะพวกเขามีอีโก้สูงในการทำงานและไม่สามารถที่จะยอมรับได้ว่าไม่สามารถแก้ปัญหาของตัวเองได้ พวกเขากลัวสิ่งที่จะตามมาหากยอมรับว่าล้มเหลว

            12.2 สรุปปัญหาตลอดเวลาด้วยการวิเคราะห์อย่างต่อเนื่อง หากคุณไม่ยอมมองผลลัพธ์ที่ไม่ดีเมื่อมันเกิดขึ้น คุณก็จะไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดขึ้นจากระบบหรือมีอะไรกำลังเปลี่ยนแปลงเพราะกาลเวลา

            12.3 ให้จำไว้ว่าการวิเคราะห์ควรมาพร้อมผลลัพธ์ เพราะถ้าไม่มีผลลัพธ์มันก็จะไม่มีประโยชน์อะไร อย่างน้อยการวิเคราะห์ก็ต้องใช้ทฤษฎีเกี่ยวกับบ่อเกิดของปัญหาและเจาะจงว่าจะต้องใช้ข้อมูลอะไรเพื่อค้นคว้าเพิ่ม

  • จำไว้ว่าหากคุณมีคนเดิมทำแต่สิ่งเดิมๆคุณก็จะได้ผลลัพธ์เดิมเดิม ความบ้าคือการทำในสิ่งเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีกและคาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกมา อย่าไปหลงกลเพราะมันจะทำให้คุณไม่สามารถออกจากวังวนนี้ได้

            12.4 ใช้เทคนิคเจาะลึกรายละเอียด เพื่อทำความเข้าใจในส่วนงานที่กำลังก่อปัญหา มีเพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของต้นเหตุทั้งหมดเท่านั้นที่ก่อให้เกิดปัญหาถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์จากปัญหาทั้งหมด การเจาะลึกปัญหาแบบนี้จะนำไปสู่ขั้นตอนสองส่วน ซึ่งจะนำไปสู่การออกแบบและขั้นตอนการทำงาน และหากทำได้ดีสองขั้นตอนนี้จะสามารถทำได้ภายในสี่ชั่วโมง ในวันสำคัญอย่างมากที่ขั้นตอนเหล่านี้จะต้องทำโดยแยกออกจากกัน เพื่อไม่ให้ไปในทิศทางที่มากเกินไปในเวลาเดียวกัน

            12.5 ให้เข้าใจว่าการวิเคราะห์นั้นเป็นพื้นฐานของการพัฒนาและความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ หากทุกคน เปิดใจพร้อมที่จะพูดคุยกันคุณจะเจอกับแนวทางการแก้ปัญหาที่ดีมาก แล้วคุณก็จะได้รู้จักกันมากขึ้นด้วย นี่คือโอกาสที่ทำให้คุณสามารถเข้าใจคนของคุณได้มากขึ้นและช่วยให้เขาเติบโต

บทที่ 13 การออกแบบวิธีการพัฒนาเครื่องจักรเพื่อแก้ไขปัญหา

             เมื่อคุณสามารถที่จะระบุปัญหาที่ทำให้คุณไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ คุณจะต้องสร้างวิธีการแก้ปัญหาเหล่านั้น การออกแบบจะต้องขึ้นอยู่กับความเข้าใจที่ลึกซึ้งและถูกต้อง

            13.1 สร้างเครื่องจักรของคุณ แทนที่จะสร้างเครื่องจักรโดยการสังเกตสิ่งที่คุณกำลังทำ โดยทั่วไปจะใช้เวลาในการสร้างเครื่องจักรประมาณสองเท่าในการแก้ปัญหา แต่มันก็คุ้มที่จะเสียเวลา เนื่องจากการเรียนรู้และประสิทธิภาพที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

            13.2 การจัดการระบบหลักการและวิธีการดำเนินการ ถ้าคุณมีหลักการที่ดีสามารถชี้แนวทางสำหรับสิ่งที่คุณให้คุณค่าและการตัดสินใจแบบวันต่อวัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องมีวิธีที่เป็นระบบในการตรวจสอบว่ามันใช้ได้เพราะมันจะไม่เกิดประโยชน์มากนัก

  • สร้างเครื่องจักรที่สามารถตัดสินใจได้ดีผ่านกระบวนการคิดที่คุณใช้ เวลาที่ผมต้องตัดสินใจด้านการลงทุน ผมสังเกตว่าผมมักใช้หลักการที่ผมคิด ผมถามตัวเองว่าผมจะรับมือกับสถานการณ์พวกนั้นได้อย่างไร แล้วผมก็สร้างให้มันเป็นอัลกอลิทึ่ม และนี่ก็เป็นสิ่งที่ผมกำลังทำสำหรับการบริหาร โดยที่ผมติดเป็นนิสัยในการทำเช่นนี้กับการตัดสินใจทุกอย่างในชีวิตของผม

            13.3 จำไว้ว่าแผนการที่ดีต้องเหมือนบทภาพยนตร์ นี่คือการวาดภาพในหัวเครื่องจักรของคุณ ตระหนักว่าบางคนก็สามารถที่จะนึกภาพได้ดีในขณะที่หลายคนก็อาจจะทำไม่ได้ คุณก็ต้องรู้ทักษะของตัวเองและคนรอบข้างของคุณเพื่อสามารถใช้ทักษะเหล่านี้ให้ได้เต็มที่ในการสร้างแผนการของคุณ

  • วางตัวเองอยู่ในสถานะที่เจ็บปวด เพื่อให้เข้าใจว่าคุณกำลังออกแบบเพื่ออะไร ทั้งแบบที่ได้พบเจอโดยตรงหรือทางอ้อม แทรกตัวเองเข้าไปในกระบวนการทำงานของพื้นที่ที่คุณกำลังมองหาเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่
  • นึกภาพเครื่องจักรอื่นๆและผลลัพธ์ของมันแล้วค่อยเลือก นักออกแบบที่ดีสามารถมองเห็นเครื่องจักรและผลลัพธ์ในแบบต่างๆได้ ก่อนอื่นพวกเขาจะจินตนาการ แล้วค่อยดูว่าผลลัพธ์ไหนแต่สถานการณ์นั้นเป็นอย่างไรแล้วจึงค่อยเลือก
  • ลองจินตนาการถึงผลลัพธ์ลำดับที่สองหรือสามที่ตามมา ไม่ใช่เพียงแค่ผลลัพธ์แรก ผลลัพธ์แรกอาจจะเป็นสิ่งที่คุณต้องการในขณะที่ผลลัพธ์ที่สองที่สามารถเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกันเลยทีเดียวดังนั้นการมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์แรกสามารถทำให้ตัดสินใจผิดได้
  • ใช่การประชุมเพื่อช่วยให้องค์กรของคุณทำงานเหมือนนาฬิกาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การประชุมที่กำหนดเป็นประจำจะเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม โดยทำให้มั่นใจได้ว่าไม่ควรละเลยการตอบโต้ที่สำคัญ และสิ่งที่ต้องทำเพื่อขจัดความจำเป็นในการประสานงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ
  • จำไว้ว่าเครื่องจักรที่ดีต้องเข้าใจมนุษย์ว่าไม่สมบูรณ์แบบ การออกแบบเช่นนี้จะทำให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีแม้ว่าจะมีใครทำผิดพลาด

            13.4 การเข้าใจว่าการออกแบบเป็นขั้นตอนที่วนซ้ำเป็นวงจรระหว่างสิ่งที่ไม่ดีในตอนนี้ กับสิ่งที่ดีหลังจากนั้น เป็นช่วงเวลาที่พยายามแก้ไข ช่วงเวลาที่พยายามแก้ไขคือช่วงเวลาที่คุณลองทำวิธีต่างๆกับคนแต่ละคน แล้วดูว่ามันสามารถนำมาใช้ได้ไหม และเป็นช่วงเวลาที่คุณจะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดและก้าวต่อไปเพื่อออกแบบระบบที่เที่สุด

  • เข้าใจอนุภาพของการชำระล้าง ในธรรมชาติการชำระล่างคือสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อชำระล้างสิ่งที่เกิดขึ้นมาเยอะเกินไปในช่วงเวลาที่มีความสงบสุข ในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ในองค์กรที่ทำให้ต้องจัดการ ค่าใช้จ่ายและเหลือเพียงพนักงานที่จำเป็นเพื่ออยู่รอดนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ดูยิ่งใหญ่และย่ำแย่ในเวลาเดียวกัน

            13.5 การสร้างองค์กรด้วยเป้าหมายมากกว่าแค่งาน การมอบหมายหน้าที่ที่ชัดเจนพร้อมกับทรัพยากรที่จำเป็นในการบรรลุเป้าหมาย ทำให้การวิเคราะห์การใช้ทรัพยากรนั้นง่ายขึ้น และสามารถที่จะหลีกเลี่ยงการเพิกเฉยต่อหน้าที่ได้

  • สร้างองค์กรจากบนลงล่าง การสร้างองค์กรนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการสร้างตึก เพราะพื้นฐานโครงสร้างนั้นอยู่ด้านบน ฉะนั้นคุณควรที่จะต้องจ้างผู้บริหารก่อนที่คุณจะจ้างพนักงานคนอื่นๆ และผู้บริหารควรจะต้องช่วยออกแบบเครื่องจักรและช่วยเลือกคนที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรนั้น
  • จำไว้ว่าทุกคนจะต้องมีคนที่มีความน่าเชื่อถือและมีมาตรฐานที่สูงคอยดูแล หากไม่มีการเฝ้าดูก็อาจจะทำให้เกิดการควบคุมคุณภาพที่ไม่ถึงเกณฑ์ มีการอบรมพนักงานที่ไม่ถึงเกณฑ์ ห้ามไว้ใจใครว่าเขาจะทำงานของตัวเองได้ดี
  • คุณจะต้องมั่นใจว่าทุกคนเป็นหัวหน้าของแต่ละฝ่ายมีทักษะ และสามารถที่จะบริหารลูกน้อง มีความเข้าใจในงานของตัวเองอย่างลึกซึ้ง เพราะแต่ละฝ่ายต้องใช้ความรู้และทักษะที่แตกต่างกันไป
  • ในการออกแบบองค์กรให้จำไว้ว่าขั้นตอนห้าขั้นตอนนั้นเป็นหนทางสู่ความสำเร็จ แล้วแต่ละคนก็เก่งในแต่ละขั้นตอนที่ไม่เหมือนกัน ควรมอบหมายให้แต่ละคนทำขั้นตอนนี้โดยมองที่ความสามารถส่วนตัว ไม่มีใครสามารถทำได้ดีทั้งหมด ในทีมควรจะมีคนที่มีทักษะเหล่านี้และรู้ว่าใครควรทำหน้าที่อะไร
  • อย่าปรับองค์กรให้เข้ากับคน เราควรคิดว่าองค์กรจะเป็นอย่างไรแล้วจะหาใครที่เหมาะสมกับองค์กรมากกว่า หน้าที่การงานควรที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่คุณสะสางไม่ใช่สร้างจากคนที่คุณอยากให้มาทำงานหรือว่าใครว่าง
  • คำนึงถึงความพอดีไว้เสมอ เป้าหมายของคุณจะต้องมีขนาดพอดีกับทรัพยากรที่คุณมี องค์กรอาจจะไม่ได้ใหญ่มากพอที่จะมีทั้งฝ่ายขายและฝ่ายวิเคราะ
  • จัดระเบียบหน่วยงานและแผนกย่อยต่างๆโดยใช้กฎแรงดึงดูด บางกลุ่มก็มีธรรมชาติที่คล้ายกันและดึงดูดให้เข้าหากัน ซึ่งแรงดึงดูดนี้จะขึ้นอยู่กับเป้าหมาย
  • จึงทำให้แต่ละหน่วยงานสามารถพึ่งพาตัวเองให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เขาสามารถควบคุมทรัพยากรที่ต้องใช้เพื่อก้าวสู่เป้าหมาย เราทำแบบนี้เพราะว่าเราไม่อยากให้เกิดปัญหาที่ทำให้แต่ละฝ่ายต้องแย่งทรัพยากรกันจนทำให้การทำงานล่าช้า
  • อัตราส่วนของผู้บริหารอาวุโสต่อระดับบริหารรองลงมาและต่อจัดการทั่วไปควรมีจำกัดเพื่อรักษาคุณภาพการสื่อสารและความเข้าใจซึ่งกันและกัน แน่นอนว่าอัตราส่วนที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ที่รายงานโดยตรงของคุณ การรายงานต่อพวกเขา ความซับซ้อนของงานที่พวกเขากำลังทำ
  • ให้รวบรวมการส่งมอบตำแหน่งและการฝึกไว้ในการออกแบบของคุณ หากต้องการแน่ใจว่าองค์กรของคุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่คุณต้องการได้ คุณจะต้องสร้างเครื่องจักรที่สามารถทำงานได้ดีโดยที่ไม่มีคุณ
  • อย่าสนใจแค่งานของคุณแต่ให้สนใจว่างานของคุณเป็นอย่างไรถ้าคุณไม่อยู่แล้ว คุณจะต้องกำหนดคนที่สามารถจะทำแทนคุณและทำงานของคุณได้ในช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อดูว่าสามารถทำงานในตำแหน่งคุณได้จริงหรือไม่ เรื่องดังกล่าวควรที่จะนำมาเป็นเอกสารเพื่อให้คนที่เหมาะสมสามารถดำรงตำแหน่งแทนได้ และแน่นอนว่าการทดสอบที่เต็มไปด้วยความกดดันจะช่วยให้คุณเรียนรู้และปรับตัวซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
  • ใช้วิธีทำสองรอบมากกว่าตรวจสอบสองรอบ เพื่อเช็คงานที่สำคัญมากต่อการบรรลุเป้าหมายนั้นทำอย่างถูกต้อง การตรวจสอบสองครั้งนั้นสามารถทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้มากกว่าการทำสองรอบ สิ่งก็คือให้คนสองคนทำหน้าที่เดียวกันเพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่แตกต่างกันถึงสองผลลัพธ์ ซึ่งจะไม่เพียงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แต่คุณสามารถเห็นความแตกต่างในทักษะและการทำงานของคนอื่นได้
  • ใช่ที่ปรึกษาอย่างชาญฉลาดและระวังที่จะเสพติดการใช้ที่ปรึกษา คุณควรจะต้องระวังการใช้ที่ปรึกษาในการทำงานที่ควรจะต้องทำโดยพนักงานของคุณเอง เพราะมันจะทำให้เสียค่าใช้จ่ายในระยะยาวและทำลายวัฒนธรรมของคุณ

            13.6 สร้างแผนภูมิองค์กรให้มีลักษณะคล้ายพีระมิดด้วยเส้นตรงที่ไม่ข้ามกัน องค์กรทั้งหมดควรมีลักษณะเป็นพีระมิดที่ลดลั่น แต่จำนวนชั้นจะต้องจำกัดเพื่อลดลำดับชั้น

  • มีส่วนร่วมกับบุคคลที่เป็นจุดสูงสุดของพีระมิด เมื่อเผชิญกับปัญหาข้ามแผนกหรือแผนกย่อย ลองจินตนาการแผนผังองค์กรที่เป็นพีระมิดที่มีลายพีระมิด เมื่อเกิดปัญหาหลายฝ่ายที่ไม่อยู่ในพีระมิดเดียวกันก็ควรที่จะต้องให้ผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของแต่ละพีระมิด มีความสามารถและความรู้มากพอ เป็นผู้ที่จะเจรจาตัดสินใจ
  • อย่าทำงานให้กับคนในฝ่ายอื่นหรือคนที่ทำงานในฝ่ายอื่นมาทำงานให้คุณหากคุณยังไม่ได้พูดคุยกับหัวหน้าของฝ่ายนั้น หากเกิดปัญหาเช่นนี้ต้องแก้ไขปัญหาโดยหัวหน้าของแต่ละพีระมิด
  • ระวังปัญหาไถลของหน่วยงาน กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อแผนกสนับสนุนเกิดข้อผิดพลาดในการให้การสนับสนุนเนื่องจากคำสั่ง เพื่อกำหนดว่าควรสนับสนุนสิ่งที่สนับสนุนอย่างไร

            13.7 สร้างเกาะป้องกันเมื่อจำเป็นและจำไว้ว่าดีกว่าไม่มีอะไรป้องกันเลย ให้จำไว้ว่าการสร้างเกาะป้องกันคือการช่วยให้คนสามารถทำตามและทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี มันทำมาเพื่อช่วยให้คนสร้างกำแพง ที่ไม่มีทักษะในการจำเป็นสำหรับงาน คุณก็ควรที่จะไหลเข้าออกและมองหาคนที่เหมาะสมกว่า

  • อย่าคาดหวังว่าคนจะรับรู้และชดเชยจุดบอดของตัวเอง ผมมักเจอคนที่มีแนวคิดที่ผิดและตัดสินใจผิดแม้ว่าเคยทำพลาดมาก่อน ทั้งที่พวกเขารู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่มีเหตุผลและอาจส่งผลเสียได้
  • ดูรูปแบบของใบโคลเวอร์ ในสถานการณ์ที่คุณไม่สามารถที่จะหาผู้รับผิดชอบได้สำหรับตำแหน่งได้ ให้หาคนจำนวนสองถึงสามคนที่น่าเชื่อถือและให้ความสำคัญอย่างมากในการสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ลองออกแบบโครงสร้างที่พวกเขาสามารถตรวจสอบกันเองได้ แม้ว่าไม่ใช่ทางเลือกแต่ระบบนี้ก็สามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่คุณต้องการและตรวจสอบแก้ไข

            13.8 ให้คงกลยุทธ์เหมือนเดิมในขณะที่ทำการเปลี่ยนแปลงวิธีที่เหมาะสมตามสถานการณ์ที่กำหนด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับองค์กร เหมือนที่เกิดขึ้นในครอบครัวและชุมชนต่างๆ เพื่อรักษามันจึงมีการส่งต่อวัฒนธรรมและเหตุผลของสิ่งเหล่านั้น และแน่นอนว่าการมีส่งต่อคุณค่าและ แผนกลยุทธ์ให้กับผู้นำคนต่อไปและพนักงานบริษัทรุ่นต่อไปด้วย

  • อย่าเอาความสะดวกมาก่อนแผนกลยุทธ์ ผู้บริหารที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะใส่ใจกับปัญหาที่มีอยู่แล้ว กับปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น พวกเขาจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดของแผนกลยุทธ์ เพราะพวกเขาจะกังวลว่าไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
  • คิดระหว่างภาพรวมและรายละเอียดและให้เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเน้นไปที่รายละเอียดอย่างเดียวคุณจะต้องประเมินว่าอะไรเป็นสิ่งที่สำคัญและไม่สำคัญในแต่ละระดับ

            13.9 มีการควบคุมที่ดีเพื่อให้ไม่หลงกลจากความไม่ซื่อสัตย์ของคนอื่น อย่าคิดว่าทุกคนจะทำงานเพื่อผลประโยชน์ของคุณมากกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง มีผู้คนจำนวนมากพร้อมที่จะโกง เมื่อต้องมีทางเลือกระหว่างการซื่อสัตย์ต่อคุณหรือได้ผลประโยชน์สำหรับตัวเอง คนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะหาผลประโยชน์ให้กับตัวเอง

  • จงสอบสวนและบอกให้คนรอบข้างรู้ว่าคุณกำลังจะสอบสวน การตรวจสอบและอธิบายให้คนที่คุณจะสอบสวนได้รู้เพื่อไม่ให้เกิดการตกใจ การควบคุมความปลอดภัยไม่ควรดำเนินโดยบุคคลที่ถูกตรวจสอบ
  • โปรดจำไว้ว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องมีกฎหมายเว้นแต่คุณจะมีตำรวจ คนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบควรรายงานให้กับผู้ที่อยู่นอกเหนือหน่วยงานที่ได้รับการตรวจสอบ และขั้นตอนการตรวจสอบไม่ควรเปิดเผยแก่ผู้ได้รับการตรวจสอบ
  • ระวังเรื่องการอนุมัติ เมื่อบทบาทของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบหรือตรวจสอบธุรกรรมจำนวนมาก หรือสิ่งที่คนอื่นกำลังทำอยู่มีความเสี่ยงในการอนุมัติ
  • จำไว้ว่าคนที่ต้องใช้เงินของคุณจะไม่ใช้เงินของคุณอย่างชาญฉลาด เพราะว่ามันไม่ใช่เงินของเรา และการที่จะได้รู้ราคาที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ยาก
  • เชือดไก่ให้ลิงดู ออกแบบกฎของคุณอย่างตั้งใจและบังคับใช้อย่างไรพวกที่มีนิสัยชอบโกงก็ต้องหาวิธีโกงจนได้ และหากคุณเจอคนที่ทำผิดกฎคุณควรจะต้องทำให้ทุกคนเห็นการลงโทษ

            13.10 มีบรรทัดฐานรายงานที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เป็นไปได้และมีการจำแนกหน้าที่ความรับผิดชอบ วิธีการนี้สามารถใช้ได้ภายในและระหว่างหน่วยงาน การรายงานซ้ำซากก่อให้เกิดความสับสน ทำให้การระบุสิ่งสำคัญยากขึ้น ทำให้ลืมจุดมุ่งหมายและทำให้ไม่มั่นใจว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบและต้องแก้ไข

  • มอบหมายงานตามการออกแบบระบบงานและความสามารถของคนไม่ใช่ตำแหน่ง เพียงเพราะใครบางคนเป็นผู้รับผิดชอบไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่จะทำทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ดังกล่าว
  • คิดเสมอว่าจะสร้างผลลัพธ์แบบทวีคูณได้อย่างไร การใช้อัตราทดในองค์กรไม่เหมือนกับการใช้อัตราทดในการลงทุน เพราะคุณกำลังมองหาวิธีเพื่อบรรลุเป้าหมายให้ได้มากขึ้นด้วยการลงทุนเพียงน้อยนิด
  • ยอมรับว่าการหาคนที่ฉลาดเพียงไม่กี่คนและให้เทคโนโลยีที่ดีที่สุด ดีกว่าการหาคนที่ธรรมดาหลายๆคนที่ไม่มีอยู่ก่อนที่ดี คนเก่งและเทคโนโลยีที่ดีจะช่วยเพิ่มผลงาน และหากนำทั้งสองมารวมกันในเครื่องจักรที่ถูกออกแบบมาอย่างดีพวกเขาจะสามารถพัฒนามันได้อย่างก้าวกระโดด
  • ใช่ผู้ที่มีประโยชน์ ผู้ที่มีประโยชน์คือคนที่มีความสามารถทางด้านทฤษฎีและภาคปฏิบัติ และนำมาใช้งานได้อย่างยอดเยี่ยม การกำหนดงานและคอยจัดการผู้ที่มีประโยชน์ จะใช้เวลาเพียงสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นในการดำเนินการ

            13.11 จำไว้ว่าทุกอย่างจะต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่าที่คุณคาดไว้ ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามแบบแผนเพราะเราไม่เคยวางแผนเผื่อเวลาเกิดอะไรไม่ได้คาดการณ์ไว้ โดยส่วนตัวแล้วผมชอบคาดการณ์ว่าแผนการต่างๆจะต้องใช้เวลาเป็นเท่าตัวกว่าที่ผมจะคาดการณ์และมีค่าใช้จ่ายเป็นเท่าตัว เพราะว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมมักเจอในความเป็นจริง

บทที่ 14 ทำสิ่งที่คุณควรทำ

             วิธีการที่จะนำพาทุกคนให้มาร่วมมือกันคือปัจจัยหลัก และนี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเรียกว่าความเป็นผู้นำ อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผู้นำจะต้องทำเพื่อผลักดันองค์กรของตัวเองให้ได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องจ้างคนที่เต็มใจจะทำงานเพื่อประสบความสำเร็จ แม้ว่ามันจะดูเท่ที่คิดไอเดียใหม่ๆได้ แต่ความสำเร็จส่วนใหญ่มาจากการทำสิ่งเดิมซ้ำซ้ำและมักเป็นสิ่งที่ไม่สวยงาม

            14.1 ทำงานเพื่อเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นของคุณและองค์กรของคุณ และลองคิดดูว่างานของคุณจะสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างไร หากคุณมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จในเป้าหมายและเข้าใจว่าจำเป็นต้องทำสิ่งที่คุณไม่อยากทำเพื่อบรรลุจุดหมาย คุณก็จะมีมุมมองที่เหมาะสมและสามารถถูกผลักดันได้อย่างถูกต้อง

  • ประสานงานและพยายามสร้างแรงดึงดูดให้ผู้อื่นเสมอ การบริหารงานกลุ่มเพื่อผลักดันให้ได้ผลลัพธ์สามารถทำได้โดยใช้อารมณ์หรือความคิดก็ได้ แม้ว่าเราทุกคนจะมีเหตุผลส่วนตัวในการทำงาน แต่ก็มีข้อได้เปรียบและความลำบากในการที่จะผลักดันชุมชน ยากที่สุดคือการประสานงาน
  • อย่าทำก่อนคิด ใช้เวลาคิดแผนการ เวลาที่คุณใช้ในการคิดแผนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องเลยกับระยะเวลาที่ใช้ในการทำแผน และมันจะทำให้มีผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
  • มองหาวิธีการแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์และรอบคอบ เมื่อพบเจอกับปัญหาหรือมีอะไรที่ต้องทำเยอะเกินไป คนมักคิดว่าเขาต้องทำงานให้หนักขึ้น แต่หากบางอย่างมันดูยากเกินไป ก็อาจจะต้องย้อนกลับมามองและพูดคุยกับผู้อื่น เพราะมันอาจจะมีวิธีการที่จะรับมือได้ดีกว่านี้

            14.2 ให้เข้าใจว่าทุกคนมีอะไรต้องทำเยอะมาก สำหรับคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงอาจจะสามารถต่อสู้กับปัญหาได้ดีกว่า และคนที่มีความรู้ความสามารถมากกว่าก็สามารถจะใช้ความรู้ของตัวเองเพื่อไปในระดับที่สูงกว่า และย้อนมองตัวเอง เพื่อที่จะจัดการปัญหาและออกแบบวิธีการทำงานโดยคำนึงถึงความเป็นจริงให้มากที่สุด และเลือกวิธีที่สมเหตุสมผลที่สุด

  • อย่าไปท้อแท้ หากไม่มีอะไรแย่ๆเกิดขึ้นกับคุณในตอนนี้ ก็ให้รอแล้วมันจะเกิดขึ้น นี่คือความเป็นจริง แนวทางการใช้ชีวิตของผมคือดูว่าอะไรเป็นอะไร และสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือ การเข้าใจว่าจะต้องทำอย่างไร และไม่เสียเวลาบ่นว่าอยากให้ทุกอย่างมันแตกต่างออกไป

            14.3 ใช้เช็คลิสต์ เมื่อคนเราถูกมอบหมายงานก็มักอยากทำให้มันอยู่บนเช็คลิสต์ เพราะเวลาขีดฆ่ามันก็เป็นเหมือนกันตักเตือนว่าเราต้องทำอะไร และเป็นการยืนยันว่าเราได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง

  • อย่าสับสนระหว่างเช็กลิสต์และหน้าที่ส่วนตัว ทุกคนควรจะทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีไม่ใช่ทำได้แค่สิ่งที่อยู่บนเช็คลิสต์

            14.4 มีเวลาเพื่อพักผ่อนและซ่อมแซม หากคุณทำสิ่งที่คุณทำต่อเรื่อยๆ คุณก็จะหมดไฟ และการทำงานก็จะหยุดลง สร้างเวลาพักผ่อนให้เหมือนกับเวลาที่คุณใช้ในการทำงาน

            14.5 ลั่นระฆัง เมื่อคุณและทีมคุณได้ผลักดันจนประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมาย ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องเฉลิมฉลอง

บทที่ 15 การใช้เครื่องมือและขั้นตอนการทำงานเพื่อกำหนดวิธีการทำงาน

             ลองนั่งคิดดูว่าการอ่านหนังสือเล่มนี้มีผลกับคุณมากเพียงใด หรือการอ่านหนังสือทั่วไปมันมีค่ากับคุณแค่ไหน กี่ครั้งแล้วที่คุณอ่านหนังสือที่บรรยายถึงการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่คุณอยากจะทำแต่คุณก็ล้มเหลวทุกครั้ง คุณคิดว่าคุณจะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ไหมจากหนังสือเล่มนี้ หากผมไม่มีเครื่องมือและขั้นตอนที่จะช่วยคุณถ้าให้เดาก็คงยาก และนี่คือเหตุผลที่ผมวางแผนให้เครื่องมือที่ผมได้อธิบายไปในบทนำได้เผยแพร่สู่สาธารณะ

            15.1 มีหลักการที่เป็นระบบฝังลึกอยู่ในเครื่องมือ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมากสำหรับแนวคิดความสามารถนิยม คนที่มีหน้าที่ในการบริหารองค์กรจะต้องถูกประเมิน และหากจำเป็นก็จะต้องใช้หลักฐานเพื่อทำตามกฎระเบียบเหมือนกับทุกๆคนในองค์กร จุดแข็งและจุดอ่อนของเขาก็จะต้องถูกนำมาพิจารณาเหมือนกับทุกๆคน การเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับทุกคนจึงสำคัญมาก

  • เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมอย่างแท้จริง คุณจะต้องเรียนรู้จากภายในตัวเองหรือเรียนรู้แบบซ้ำซ้ำให้เป็นนิสัย โชคดีอย่างมากที่เทคโนโลยีทำให้วิถีการเรียนรู้อย่างนี้ง่ายกว่ายุคที่ต้องอ่านหนังสือเพื่อเรียนรู้ข้อมูลต่างๆ แต่อย่าเข้าใจผิดเพราะหนังสือก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทรงพลังเช่นกัน
  • ใช้เครื่องมือเพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลและนำมาวิเคราะห์เพื่อสรุปและนำไปใช้ การเรียนรู้จะเกิดขึ้นและนำมาพัฒนาวิธีการทำงาน เพราะใครก็สามารถที่จะสื่อสารแนวคิดเบื้องหลังอัลกอริทึ่มได้ และสามารถประเมินคุณภาพของตรรกะและความเป็นธรรมพร้อมมีส่วนในการที่จะปรับมัน
  • สร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนความมั่นใจและความเท่าเทียม โดยการมีหลักการที่นำมาใช้อย่างชัดเจนในเครื่องมือและแนวทางการทำงานเพราะเมื่อสรุปงานก็สามารถที่จะติดตามเหตุผลและข้อมูลเบื้องหลังได้ ในทุกๆองค์กรมักมีปัญหาเมื่อมีบางคนถูกตัดสินว่าไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมาก็ให้เกิดการโต้เถียงว่าการตัดสินใจเหล่านั้นผิด และเมื่อเกิดขึ้นกฎและข้อมูลที่เป็นระบบที่วางไว้อย่างชัดเจนจะช่วยให้การโต้เถียงน้อยลงและสร้างความเชื่อมั่นได้มากขึ้นว่ามีความเป็นธรรม

บทที่ 16 โอ้พระเจ้า อย่ามองข้ามเรื่องการปกครองเด็ดขาด

สิ่งที่ผมได้กล่าวไปแล้วจะไม่มีประโยชน์ถ้าคุณไม่มีการปกครองที่ดี การปกครองคือระบบกำกับดูแลที่จะเอาคนและกระบวนการต่างๆออกไปหากไม่สามารถทำงานได้ดี เป็นกระบวนการที่คอยตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจเพื่อให้มั่นใจว่าหลักการและผลประโยชน์สูงสุดของชุมชนโดยรวมจะอยู่เหนือผลประโยชน์ของบุคคลหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากอำนาจคือกด อำนาจต้องอยู่ในมือของคนที่มีความสามารถในบทบาทสำคัญ มีคุณธรรม ทำงานได้ดี คอยตรวจสอบและปรับสมดุลอำนาจของผู้อื่น

            16.1 เพื่อให้ประสบความสำเร็จ ทุกองค์กรต้องมีการตรวจสอบและการถ่วงดุล การตรวจสอบ หมายถึงการตรวจสอบคนว่าทำงานได้ดีหรือไม่ และการถ่วงดุลคือการถ่วงดุลทางอำนาจ แม้กระทั่งผู้ที่มีน้ำใจมากที่สุดก็มักจะกลายเป็นคนเผด็จการมากขึ้น ผู้นำส่วนใหญ่ไม่ได้ใจดีพอที่จะยึดถือผลประโยชน์ขององค์กรเหนือกว่าผลประโยชน์ของตัวเอง

  • แนวคิดความสามารถนิยมไม่ใช่ปัจจัยเดียวในการกำหนดความรับผิดชอบและอำนาจ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ที่เหมาะสมด้วย
  • จะต้องมั่นใจว่าไม่มีใครมีอำนาจเหนือระบบหรือมีความสำคัญจนถูกทดแทนไม่ได้ เด๋วขีดความสามารถนิยมเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการปกครองที่ควรมีความแข็งแกร่งกว่าบุคคลอื่นใดได้ สามารถควบคุมทิศทางของผู้นำมากกว่าที่จะเป็นในแบบตรงกันข้าม
  • ระวังการกำหนดศักดินา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมสำหรับทีมงานและหน่วยงานที่รู้สึกถึงความกลมเกลียวเพื่อจุดประสงค์ ความจงรักภักดีต่อเจ้านายหรือหัวหน้าแผนกร่วมกัน แต่ไม่ควรปล่อยให้ขัดแย้งกับความภักดีขององค์กรโดยรวม
  • คุณจะต้องมั่นใจว่าโครงสร้างและกฎขององค์กรถูกออกแบบมาเพื่อความสามารถในการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจการทำงานของระบบได้ดี ทุกองค์กรควรมีวิธีการทำที่แตกต่างกันออกไป ขณะที่แนวคิดความสามารถนิยมของบริษัทเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วน แต่ก็ต้องมีคนที่ควบคุมดูแล และสามารถไว้ใจได้ เข้าถึงข้อมูลได้ มีหน้าที่ที่ต้องตัดสินใจ
  • คุณจะต้องมั่นใจว่าบรรทัดฐานในการรายงานนั้นชัดเจน แม้จะเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับองค์กรแต่มันก็สำคัญอย่างมากถ้าเกิดจะรายงานอะไรก็ตามกับคณะกรรมการ การรายงานนี้ควรเป็นอิสระแยกจากการรายงานต่อผู้บริหาร และควรมีการร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย
  • ต้องชัดเจนว่าใครมีอำนาจในการตัดสินใจ คุณจะต้องทำให้ชัดเจนว่าอำนาจในการตัดสินใจเป็นของใคร และต้องตัดสินใจเมื่อไหร่หากเกิดข้อขัดแย้งหากไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนที่ทำการประเมิน มีเวลาที่จะได้รับทราบข้อมูลอย่างเต็มที่เกี่ยวกับวิธีการตรวจสอบของบุคคลที่กำลังตรวจสอบ มีความสามารถในการประเมินผล และไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อการดำเนินการกำกับดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประเมินผลให้ดีเราจะต้องปรับระดับความเข้าใจและต้องใช้เวลา บางคนที่มีความสามารถและความกล้าลงโทษคนที่รับผิด ในขณะที่ส่วนใหญ่ไม่กล้าพอ แต่การมีความสามารถและความกล้าหาญนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และบุคคลที่ทำการประเมินจะต้องไม่มีส่วนได้เสีย
  • ผู้ที่ตัดสินใจจะต้องเข้าถึงข้อมูลได้เพื่อทำการตัดสินใจและจะต้องน่าเชื่อถือเพื่อจะดูแลข้อมูลเหล่านั้นได้ เราอาจตั้งคณะกรรมการส่งเสริมที่อาจจะเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน และสามารถแนะนำต่อคณะกรรมการได้ ด้วยการให้ข้อมูลที่มากพอในการที่จะตัดสินโดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลลับ

            16.2 จำไว้ว่าในแนวความคิดความสามารถนิยม ผู้บริหารแค่คนเดียวไม่ดีเท่ากับกลุ่มผู้นำที่ยอดเยี่ยม การพึ่งพาแค่คนๆเดียวในการทำงานนั้นเสี่ยงเกินไป และเป็นการจำกัดความเชี่ยวชาญแบบเฉพาะเจาะจงอีกด้วย ไม่มีใครเก่งไปหมดทุกอย่างและล้มเหลวในการทำการตรวจสอบและการถ่วงดุลอำนาจอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังสร้างปัญหาคืองานเยอะเกินไป

            16.3 ไม่มีระบบการปกครองในที่หลักการ กฎ การตรวจสอบ และการถ่วงดุลสามารถที่จะทดแทนการร่วมงานกันที่ดีได้ การถ่วงดุลจะไม่มีค่ามากนักถ้าหากคนที่มีอำนาจหน้าที่ขาดความสามารถและไม่มีความต้องการทำงานเพื่อผลประโยชน์ของชุมชนตามหลักการที่ได้ตกลงไว้ ผู้นำองค์กรจะต้องมีความรู้ความสามารถและทักษะในการสร้างความสัมพันธ์การทำงานที่มีประสิทธิภาพ และความมุ่งมั่นในการทำตามแนวคิดความสามารถนิยม

สั่งซื้อหนังสือ “Principles by Ray Dalio” (คลิ๊ก)