สรุปหนังสือ Rich Dad, Poor Dad
พ่อรวยสอนลูก
พ่อรวยสอนอะไรที่พ่อจนไม่เคยสอน
บทนำ ความจำเป็น
โรงเรียนเตรียมความพร้อมให้ลูกอย่างไรบ้าง ขยันเรียน สอบได้คะแนนดี ๆ จบไปจะได้มีเงินดี ๆ ทำ มีเงินเดือนเยอะ ๆ พ่อแม่ชอบสอนแบบนี้ การบอกให้ลูกขยันเรียนแล้วจะได้งานที่มั่นคงเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอเสียแล้ว เด็กสมัยนี้ต้องรู้มากกว่านั้น ไม่ใช่แบบที่โรงเรียนกำลังสอนกันอยู่ทุกวันนี้
มีสูตรการเงินที่คนรวยใช้ แต่โรงเรียนหรือพ่อแม่ไม่ได้บอกหรือสอนเรื่องนี้ ในเรื่องของการบริหารการเงิน บัญชีและการลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตเลย จึงทำให้ต้องวนเวียนอยู่ในสนามแข่งหนู ตามคำนิยามของผู้เขียน ซึ่งหมายถึง สถานการณ์ของการดิ้นรนทางการเงินของบรรดาลูกจ้าง ที่เหมือนการวิ่งสาละวนไปอย่างไร้จุดหมายด้วยอาการตะเกียกตะกายของหนู เพื่อหาหนทางหลุดพ้นจากความคับข้องใจ ที่ต้องทำงานรับเงินเดือนไปวัน ๆ เพราะไม่มีใครสอนเรื่องการเงินและชีวิตจึงดำเนินไปอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนอยู่ในสนามแข่งหนูอย่างไม่มีทางออก
หนทางที่จุดหลุดไปจากสนามแข่งหนูคือ การมีความรู้เรื่องบัญชีและการลงทุน ซึ่งหลายคนเห็นว่าเป็นวิชาที่ยากที่สุด เพื่อก้าวเข้าสู่ทางด่วน จึงเป็นเป้าหมายแรกของคนอยากรวย ซึ่งทุกคนมีสิทธิ์รวยได้ถ้าต้องการ ถ้าปัจจุบันยังทำงานประจำ เป็นคนทำสวน หรือกำลังตกงาน จงหาเวลาเรียนรู้เรื่องการงาน สอนคนที่รักให้รู้จักการจัดการเรื่องการเงิน และจำไว้เสมอว่าความรู้และไหวพริบทางการเงินเท่านั้น ที่จะช่วยแก้ปัญหาการเงินได้
โลกและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็วกว่าเมื่อก่อน ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่นอนที่สุดคือการเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้น จะเปลี่ยนไปทางไหนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนมีทางเหลือกพื้นฐานสองทางคือ หนึ่งใช้ชีวิตแบบปลอดภัยไว้ก่อน หรือสองใช้ชีวิตอย่างฉลาดด้วยการสอนตัวเองและลูกให้มีความรู้เรื่องการเงิน เพื่อปลุกอัจฉริยะทางการเงินที่มีอยู่ในตัวให้ตื่นขึ้นมา
บทที่ 1 พ่อรวย-พ่อจน
พ่อทั้งสองของผู้เขียนต่างก็เป็นคนดี มีผู้เคารพนับถือมาก แต่มีคำสอนเรื่องการดำรงชีวิตที่แตกต่างกันสุดขั้ว ผู้เขียนได้รับฟังคำสอนที่แตกต่างกันทั้ง 2 ด้านตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ทำให้ผู้เขียนต้องรู้จักวิเคราะห์พิจารณาในคำสอนตั้งแต่เด็ก
พ่อแท้ ๆ ของผู้เขียน มีการศึกษาดี ฉลาดจบปริญญาเอก ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน มีตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมการศึกษาของรัฐฮาวาย แต่ประสบปัญหาการเงินตลอดชีวิต ทิ้งภาระหนี้สินให้ครอบครัว และมีความคิดที่ว่า ความรักเงินเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย คนรวยควรเสียภาษีมาก ๆ เพื่อช่วยคนจน เรียนมาก ๆ จะได้ทำงานกับบริษัทมั่นคง พ่อไม่รวยเพราะพ่อมีลูก ห้ามพูดเรื่องเงินตอนทานข้าว เรื่องเงินทองต้องปลอดภัยไว้ก่อน บ้านเป็นการลงทุนและทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุด ชำระหนี้เป็นอันดับแรก ประหยัดทุกบาททุกสตางค์เพื่อสะสมเงิน สอนวิธีเขียนประวัติส่วนตัวอย่างไรจึงจะได้งานทำ ชาตินี้ไม่มีวันรวยแน่ เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ เรียนเพื่อทำงานให้ได้เงินเดือนสูง ๆ พ่อไม่ทำงานเพื่อเงิน ในหนังสือผู้เขียนเรียกว่า Poor Dad
ผู้เขียนมีเพื่อนที่สนิทมากตั้งแต่เด็ก ๆ ชื่อ ไมค์ และพ่อของไมค์เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในกิจการหลายๆ อย่าง จนมีอาณาจักรที่ใหญ่โต ซึ่งเป็นคนเรียนไม่จบชั้นมัธยม แต่ก็ประสบความสำเร็จในการงาน เงินเดือนสูง เป็นคนที่รวยที่สุดในฮาวาย ทิ้งมรดกหลายสิบล้านให้ครอบครัว มีความคิดที่ว่า การขาดเงินเป็นบ่อเกิดของความชั่วร้าย ภาษีทำโทษคนขยันให้รางวัลคนขี้เกียจ เรียนมาก ๆ จะได้ซื้อบริษัทที่มั่นคง พ่อต้องรวยเพราะพ่อมีลูก ชอบคุยเรื่องเงินตอนทานข้าว ต้องรู้จักวิธีจัดการกับความเสี่ยง บ้านเป็นหนี้สินที่ใหญ่ที่สุดและไม่ใช่การลงทุน สอนวิธีเขียนแผนธุรกิจอย่างไรจึงจะสร้างงาน คนรวยเขาไม่ทำกันอย่างนั้นหรอก เงินคืออำนาจ เรียนเพื่อรู้วิธีใช้เงินทำงานให้เรา เงินทำงานให้พ่อ ในหนังสือผู้เขียนเรียกว่า Rich Dad
ซึ่งแนวทางที่แตกต่างของพ่อรวยกับพ่อจน คือการปลูกฝังความคิดการปลูกฝังพื้นฐานด้านการเงินของพ่อ แม่ไปสู่ลูก โดยคนส่วนใหญ่จะสอนว่า “เรียนให้เก่ง เรียนให้สูง ๆ จะได้มีงานที่มั่นคงทำ” และที่น่าเศร้าใจเป็นอย่างมาก ทุกโรงเรียนไม่เคยสอนความรู้ด้านการบริหารการเงินเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ผู้คนขาดความรู้ทางการเงิน แม้ว่าจะได้รับการศึกษาที่สูง แต่ถ้าขาดความรู้เรื่องการเงินอนาคตจะเป็นอย่างไร ต้องพึ่งพาครอบครัวและรัฐบาลซึ่งกำลังอ่อนแอเพราะขาดเงิน ประเทศจะเป็นอย่างไรถ้าปล่อยให้เด็กเรียนการเงินจากพ่อแม่ผู้ซึ่งจนหรือกำลังจะจน
ผู้เขียนเลือกที่จะไม่ฟังพ่อผู้มีการศึกษาดีเลิศ แต่เริ่มเรียนรู้จากพ่อของเพื่อน ซึ่งสรุปได้เพียง 6 บท และเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดระยะเวลา 30 ปี ซึ่งบทเรียนเหล่านี้ไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นแนวคิดที่จะช่วยให้มีฐานะดีขึ้น เงินคืออำนาจ แต่ที่มีอำนาจมากกว่าเงินคือการศึกษาวิชาการเงิน เงินได้มาแล้วก็เสียไป แต่ความรู้ความเข้าใจว่าเงินทำงานอย่างไรจะช่วยให้เรามีดำนาจเหนือมัน และใช้มันสร้างความร่ำรวยได้ ความคิดบวกอย่างเดียวไม่เพียงพอ เพราะไม่เคยเข้าใจว่าเงินทำงานอย่างไร จึงต้องใช้ชีวิตทั้งชีวิตทำงานเพื่อเงิน ไม่ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม แต่ความรู้ทางการเงินจะช่วยให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
บทเรียน
บทที่ 2 บทเรียนที่ 1 : คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน
เมื่อปี 1956 ตอนนี้ผู้เขียนอายุได้ 9 ขวบ โชคดีที่ได้เข้าไปเรียนโรงเรียนเดียวกับพวกลูกคนรวย ผู้เขียนได้รู้จักกับไมค์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขา เลยได้รู้จักพ่อของไมค์ซึ่งในหนังสือนี้เรียกว่า พ่อรวย และขอร้องให้สอนวิธีหาเงิน พ่อรวยสอนว่า “ถ้าเธออยากทำงานเพื่อเงิน เธอไปเรียนเอาที่โรงเรียน แต่ถ้าอยากเรียนวิธีใช้เงินทำงานให้เรา ฉันจะสอน การเรียนรู้วิธีใช้เงินทำงาน เป็นวิชาที่ต้องเรียนกันชั่วชีวิต การขาดเงินนั้น แย่พอ ๆ กับการผูกติดกับเงินนั่นแหละ อย่าให้อารมณ์เป็นตัวกำหนดการกระทำ รับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ แต่ต้องใช้สมองกำหนดการกระทำ
การพูดจากอารมณ์ “ต้องหางานทำให้ได้ ฉันจะสอนให้เธอเป็นนาย ไม่ใช่เป็นทาสของเงิน ที่สุดแล้วเราทุกคนเป็นลูกจ้าง แต่ในระดับที่แตกต่างกัน ฉันอยากให้เธอหลีกเลี่ยงกับดัก ซึ่งถูกสร้างขึ้นด้วยความกลัวและความโลภ ถ้าเราควบคุมความต้องการได้ เราจะมีเวลาคิดไตร่ตรองมากขึ้น หลายคนตั้งตารอวันเงินเดือนออก รอวันเงินเดือนขึ้น เพราะความกลัวและความต้องการ เราควรมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ความฝันและความสุข ไม่ใช่นอนก่ายหน้าผากกังวลว่าจะมีเงินให้ใช้ครบเดือนหรือไม่ ความเขลาไม่ใส่ใจเรื่องเงิน ทำให้เกิดความกลัวและความโลภ จำไว้ว่าการได้งานทำคือการแก้ปัญหาระยะสั้น ทุกคนคิดแค่วันเงินเดือนออก ปล่อยให้เงินมีอำนาจเหนือชีวิตพวกเขาจึงมีลักษณะคล้ายกันคือตื่นแต่เช้าไปทำงาน ไม่เคยหยุดคิดเลยว่า ‘มีวิธีอื่นที่ดีกว่ามั้ย’ “
ความคิดที่มาจากอารมณ์ที่ได้ยินบ่อย ๆ “ทุกคนต้องทำงาน คนรวยขี้โกง ผมควรจะได้ขึ้นเงินเดือนมิฉะนั้นจะลาออก ฉันชอบงานนี้เพราะมั่นคง
ความคิดที่ใช้สมอง “ฉันมองข้ามอะไรไปหรือเปล่า “
คนจน และคนชั้นกลางทำงานเพื่อเงิน แต่คนรวยใช้เงินทำงาน สิ่งที่ควบคุมให้ต้องตื่นเช้าไปทำงานทุกวัน คือ ความกลัว และ ความโลภ
วงจรของความกลัวและโลภ กลัวไม่มีเงิน “ยอมทำงานหนัก “เกิดความโลภตอนมีเงิน “ใช้เงินตามอารมณ์ “สร้างหนี้ “กลัวไม่มีเงิน วนไป
วงจรของสนามแข่งหนู ตื่นเช้าไปทำงาน “ได้เงินเดือน “ใช้หนี้หมด “สร้างหนี้ “กลัวไม่มีเงินใช้หนี้ “ตื่นเช้าไปทำงาน วนไป
คนส่วนใหญ่ใช้ความกลัว และความโลภเป็นกำแพงกั้นไม่ให้ตนเองเดินไปข้างหน้า เหมือนกับการคิดว่าการทำงานเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมั่นคง นี่คือกับดักขนาดมหึมาที่ต้องหลีกหนีให้พ้น การมีชีวิตอยู่กับความกลัวเป็นสิ่งเลวร้ายมาก เราควรจะมีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง ความฝัน และความสุข อย่าคิดว่าการมีงานทำจะทำให้ชีวิตมั่นคง อย่าให้เงินควบคุมชีวิต
การทำงานเพื่อรอเงินเดือนออก เป็นความคิดที่เหมือนกับลาที่ถูกล่อให้วิ่งตามแครอท ที่ไม่รู้ว่ากำลังเดินไปสู่ทางไหน ได้เพียงแต่หวังว่าพรุ่งนี้จะมีแครอทให้วิ่งตามก็เพียงพอ และที่เลวร้ายไปกว่านั้น โรงเรียนทุกโรงเรียนได้แต่สอนให้ทำงานเพื่อเงิน แต่ไม่เคยสอนวิชาการควบคุมอำนาจเงินแม้แต่น้อย บทเรียนแรกที่ต้องทำคือ การยอมรับกับตนเองว่ารู้สึกอย่างไร บ่อยครั้งที่คนเราตอบสนองต่ออารมณ์ของตนเองมากกว่าการใช้เหตุผล เพราะเหตุนี้จึงถูกอำนาจของเงินควบคุมอย่างเห็นได้ชัด
หากเราเรียนรู้วิธีใช้เงินทำงาน การที่ไม่ต้องคิดแต่เรื่องค่าจ้าง จะทำให้มีอิสระทางความคิด และสามารถมองหาโอกาสอื่น ๆ การเริ่มธุรกิจทำให้มีอิสระทางความคิดไม่ต้องง้อนายจ้าง ที่ดีที่สุดคือไม่ต้องไปนั่งเฝ้ามันทุกวันด้วยซ้ำ
บทที่ 3 บทเรียนที่ 2 : ทำไมต้องรู้เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ
คนจำนวนมากกำลังให้ความสำคัญต่อเงินมากเกินไป แทนที่จะห่วงสิ่งที่มีค่ากว่านั้นนั่นคือการศึกษา การที่รู้จักเตรียมตัวให้เป็นคนที่ยืดหยุ่น เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ต่างหากที่จะทำให้ร่ำรวยขึ้น สิ่งสำคัญในชีวิตนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่การทำเงิน แต่คือการรักษาเงิน การมีเงินมาก ๆ นั้นไม่สำคัญเท่ากับการรู้จักรักษามันไว้ให้อยู่กับเราตลอดไป
คงเคยเห็นคนถูกลอตเตอรี่ที่รวยเพียงชั่วข้ามคืน แต่อีกไม่นานพวกเขาเหล่านั้น ก็จะกลับมาจนเหมือนเดิม ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? เพราะว่าพวกเขาขาดความรู้ทางการเงิน การมีเงินมากมายไม่ได้แปลว่าคน ๆ นั้น จะเป็นคนรวยอย่างแท้จริง คนที่มีความรู้ทางการเงิน ที่รู้จักการรักษาเงิน รู้จักการใช้เงินทำงานต่างหากคือ คนที่รวยอย่างแท้จริง ถ้าอยากรวยต้องมีความรู้ทางการเงิน พ่อรวยเคยสอนวิธีการง่าย ๆ ที่ทำให้เด็กสองคนกลายเป็นเศรษฐี
กฎข้อแรก ต้องรู้ว่าอะไรคือทรัพย์สิน อะไรคือหนี้สิน และจงซื้อทรัพย์สินหากต้องการรวย
ทรัพย์สิน คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า
หนี้สิน คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า
การที่จะแยกว่าอะไรคือ ทรัพย์สิน และอะไรคือ หนี้สิน มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ทำให้คนมากมายแยกไม่ได้ก็คือ การโดนปลูกฝังทางความคิดของพ่อ-แม่ตั้งแต่เด็กว่า งานที่มั่นคงคือทางออกของความจนบ้านคือทรัพย์สิน แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ กลับมีผลเสียดังนี้
1.บ้านคือสิ่งที่เราไม่เคยได้เป็นเจ้าของอย่างแท้จริง
2.แม้จะนำดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านมาหักลดหย่อนภาษีได้ แต่ก็ต้องใช้เงินไปจับจ่ายใช้สอยซื้อข้าวของต่าง ๆ อยู่ดี
3.ภาษีโรงเรือน
4.มูลค่าบ้านไม่สูงขึ้นเสมอไป
5.ที่ร้ายที่สุดคือการเสียโอกาส เพราะใช้เงินสดก้อนใหญ่ไปกับการซื้อบ้าน ซึ่งข้อเสียนั้นมีผลเสียดังนี้
5.1 สูญเสียเวลา ที่น่าจะทำให้ทรัพย์สินอื่นเติบโตขึ้น
5.2 สูญเสียทุน เงินก้อนที่จะได้ใช้ลงทุน แทนที่จะหมดไปกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับบ้าน
5.3 สูญเสียโอกาสที่จะได้ประสบการณ์ด้านการลงทุน ทำให้ไม่มีเงินไปลงทุนในสิ่งอื่น ๆ จึงเป็นผลทำให้ขาดประสบการณ์ด้านการลงทุน
คนรวยพยายามสร้างทรัพย์สิน ที่สร้างเงินเข้ากระเป๋าตลอดเวลา และพยายามลดรายจ่ายให้น้อยลง แต่คนจนกลับไม่เคยสร้างทรัพย์สิน ที่สร้างเงินเข้ากระเป๋าเลย จะมีเงินเข้ากระเป๋าก็เพียงแค่เงินเดือนเท่านั้น และยังสร้างหนี้สินเพิ่มมากขึ้นไปอีก ความมั่งคั่งที่แท้จริงวัดจากจำนวนวันที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน คนรวยสร้างทรัพย์สิน คนจนเพิ่มรายจ่าย คนชั้นกลางซื้อหนี้สิน โดยคิดไปเองว่าคือทรัพย์สิน
บทที่ 4 บทเรียนที่ 3 : เพิ่มทรัพย์สิน-ทำธุรกิจของตนเอง
สร้างธุรกิจของตนเอง คนรวยให้ความสำคัญกับการสร้างทรัพย์สิน ในขณะที่คนทั่วไปให้ความสนใจแต่รายได้ อุปสรรคทางการเงิน ส่วนหนึ่งมาจากการที่ยอมทำงานเพื่อคนอื่นตลอดชีวิต และจบลงโดยไม่เหลืออะไรให้ตัวเองเลย ทำไมต้องสร้างธุรกิจของตนเอง? คนส่วนใหญ่แม้กระทั่งนักบัญชีคิดว่ามูลค่าสุทธิของทรัพย์สินนั้นคงตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ในโลกของความเป็นจริงทรัพย์สินเหล่านั้นมีมูลค่าไม่แท้จริงเลย ดังเช่น รถยนต์ที่ทุกคนเชื่อว่ามันคือทรัพย์สินที่คงอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าของมันกลับลดลงแบบครึ่งต่อครึ่ง
ดังนั้น การสร้างธุรกิจของตนเอง เป็นการสร้างทรัพย์สินที่แท้จริง และเป็นการสร้างกระแสเงินสดให้กับตนเองได้อย่างแท้จริง ทรัพย์สินที่ควรจะสนใจไขว่คว้า และสอนลูกสอนหลานให้รู้จัก แยกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ดังนี้
1.ธุรกิจที่ไม่ต้องนั่งเฝ้า และไม่ต้องลงมือทำเอง แม้จะเป็นเจ้าของ แต่ก็มีคนจัดการให้มันดำเนินไป เพราะถ้าต้องเข้ามาทำงานทุกวัน จะไม่ถือว่าเป็นธุรกิจ แต่จะกลายเป็นงานไป
2.หุ้น
3.พันธบัตร
4.กองทุนรวม
4.อสังหาริมทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสด
5.ตั๋วสัญญาใช้เงิน
6.ค่าลิขสิทธิ์ทางปัญญา เช่น หนังสือ สิ่งประดิษฐ์ เพลง สิ่งที่มีมูลค่า สร้างรายได้ หรือสามารถเพิ่มมูลค่าได้
ปกป้องผลประโยชน์ของนิติบุคคล ความลับของคนรวยคือ การใช้บริษัทจำกัด จงทำทุกสิ่งอย่างชาญฉลาด แล้วจะไม่มีใครเอาเปรียบหรือรังแกได้ บริษัทจำกัดหักรายจ่ายทั้งหมดของบริษัทก่อน เหลือเท่าไหร่ค่อยคิดภาษี แต่ส่วนบุคคลธรรมดาจ่ายภาษีก่อนได้รับเงินเดือน บริษัทจำกัดช่วยปกป้องผลประโยชน์ของคนรวย
ความฉลาดทางการเงิน 4 ด้านที่ต้องมีถ้าอยากรวย
1.ความรู้ด้านบัญชี มีความสามารถในการเข้าใจตัวเลขบัญชีอย่างแม่นยำ (ยิ่งเงินเยอะยิ่งต้องแม่น) เป็นความรู้ที่จะบอกถึงจุดแข็ง จุดอ่อนของธุรกิจ
2.ความรู้ด้านการลงทุน รู้วิธีการ “ใช้เงินทำงาน”
3.ความรู้ ความเข้าใจตลาด เข้าใจอุปสงค์ อุปทาน เข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มเป้าหมาย
เข้าใจความต้องการของลูกค้า มองเห็นจังหวะในการลงทุนที่เหมาะสม
4.ความรู้ด้านกฎหมายและ กฎเกณฑ์ ปกป้องสิทธิประโยชน์ด้านภาษี ปกป้องธุรกิจ และทรัพย์สิน
คนรวยสร้างเงินได้เอง “ทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพและพรสวรรค์ แต่มีความกลัว ความไม่มั่นใจในตนเองมาบดบังอัจฉริยะภาพเหล่านั้น”
คนทั่วไป มีทางออกของปัญหาด้านการเงินคือ ทำงานหนัก เก็บออม และกู้ยืม
คนรวย มีทางออกของปัญหาด้านการเงินคือ มีความฉลาดทางการเงิน 4 ด้าน
ที่คนรวยสามารถสร้างเงินเองได้เป็นเพราะว่า คนรวยมีความคิด และความรู้ด้านการเงินที่มากไปด้วยประสบการณ์ ยิ่งชำนาญด้านการเงินมากเท่าไหร่ ข้อเสนอดีๆ ก็จะยิ่งวิ่งมาหามากเท่านั้น โอกาสการลงทุนดีๆ มักมองไม่เห็นด้วยตา แต่เห็นได้ด้วยความคิด
นักลงทุน 2 ประเภท
นักลงทุนทั่วไป ลงทุนอะไรที่ง่าย ตรงไปตรงมา ลงทุนตามคำแนะนำคนอื่น เหมือนกับการซื้อคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปตามห้างสรรพสินค้า
นักลงทุนที่สร้างการลงทุนได้เอง (มืออาชีพ) ได้ผลตอบแทนตามความต้องการ เป็นเหมือนการเลือกซื้อชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์มาประกอบเอง
ทำยังไงถึงจะเป็นนักลงทุนมืออาชีพได้? นักลงทุนมืออาชีพจะต้องพัฒนาความสามารถหลักๆ ด้วยกัน 3 ด้าน
1.ความสามารถในการมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น
2.ความสามารถในการหาเงินทุนได้เอง
3.ความสามารถในการบริหารคนเก่ง
สิ่งที่ผู้เขียนได้เตือนไว้สำหรับนักลงทุน คือ อย่าลงทุนในสิ่งที่ไม่เข้าใจเด็ดขาด การลงทุนในบรษัทเล็ก ๆ มีความเสี่ยงสูง คิดว่าถ้าชอบเข้าใจและรู้จักมันดี ความเสี่ยงก็จะหมดไป ไม่สนับสนุนให้มีบริษัทของตนเองถ้าไม่ชอบ เพราะมันจะเป็นภาระอันใหญ่หลวง ฉะนั้นถามใจตัวเองดูก่อนว่าชอบทำจริง ๆ หรือเปล่าก่อนลงมือทำ แต่ถ้าไม่ชอบขอแนะนำให้ทำงานประจำไป แล้วค่อย ๆ สร้างธุรกิจด้วยการลงทุนในทรัพย์สินที่เพิ่มพูน รายได้ทุกบาททุกสตางค์ที่ใส่ลงไปในช่องทรัพย์สิน จงอย่าให้มันไหลออก ให้เงินนั้นทำงานให้ และมันสามารถทำงานให้ตลอด 24 ชั่วโมงตลอดชาติ เพราะฉะนั้นจงมุ่งมั่นทำงานประจำให้เต็มที่ พร้อม ๆ กับสร้างช่องทรัพย์สินให้ใหญ่โตขึ้น เมื่อมีสภาพคล่องมากขึ้น จะซื้อความสะดวกสบายให้ตัวเองบ้างก็ได้ คนรวยจะสร้างช่องทรัพย์สินของเขาขึ้นมาก่อน พอมันทำรายได้ให้มากพอ จึงนำรายได้นั้นไปซื้อความสะดวกสบาย ความสบายหรือสิ่งฟุ่มเฟือยเป็นรางวัลอย่างหนึ่ง จากผลของการลงทุนในกล่องทรัพย์สิน เพราะต้องรอจนกว่าเงินลงทุนจะงอกงาม เป็นกอบเป็นกำมากพอที่จะซื้อได้
บทที่ 5 บทเรียนที่ 4 : ที่มาของภาษี และประโยชน์ของนิติบุคคล
ประวัติศาสตร์มิได้เน้นความจริงที่ว่า แนวคิดการเก็บภาษีเมื่อแรกเริ่มนั้น จุดประสงค์ก็เพื่อเรียกเก็บจากคนรวยเท่านั้น เหตุที่คนชั้นกลางและคนจนยอมรับเรื่องนี้ได้ ก็เพราะเข้าใจว่าภาษีมีขึ้นเพื่อเรียกเก็บจากคนรวยเท่านั้น ด้วยความเข้าใจนี้ทำให้รัฐบาลได้รับคะแนนจากเสียงส่วนใหญ่ จนสามารถนำแนวคิดนี้ออกมาเป็นกฎหมายได้ แต่ในความเป็นจริงภาษีกลับเป็นเครื่องมือทำร้ายประชาชน ที่ลงคะแนนสนับสนุนโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
เมื่อรัฐบาลได้ลิ้มรสความหอมหวานของเงินภาษีก็เริ่มติดใจ ด้วยลักษณะองค์กรการว่าจ้างข้าราชการอื่น ๆ เพื่อให้มีองค์กรใหญ่โต มีผู้คนทำงานมากมาย ยิ่งมีองค์กรใหญ่ยิ่งมีอำนาจ ก็ยิ่งมีคนนับหน้าถือตา ได้รับคำชมเชยว่าทำงานดี ยิ่งองค์กรของรัฐบาลใหญ่ขึ้น ก็ต้องใช้เงินภาษีของประชาชนมากขึ้น เมื่อศึกษาประวัติที่มาของการเก็บภาษี จะเห็นชัดเจนว่าแนวคิดนี้เป็นที่ยอมรับ นี่คือการเอาเงินคนรวยมาช่วยคนจน ขณะเดียวกันคนรวยเริ่มเห็นทางออกที่จะไม่ต้องเสียภาษี โดยการใช้บริษัทเข้ามาเกี่ยวข้อง
สิ่งที่นักสังคมนิยมยึดมั่น กลายเป็นบทลงโทษตนเองในที่สุด สาเหตุเพราะขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องการเงิน คนรวยมีวิธีหลีกเลี่ยงภาษีเสมอ คนที่โดนภาษีเต็ม ๆ จึงกลายเป็นคนชั้นกลางและคนจน เงินภาษีดูจะทำให้ทุกคนพอใจ เงินก้อนมหาศาลไหลเข้าบัญชีรัฐบาล ข้าราชการก็มีความสุข นายทุนก็มีความสุข เพราะโรงงานได้คำสั่งซื้อสินค้าจากรัฐบาลมากมาย ปัญหาเริ่มเกิดตรงงบประมาณของรัฐ ข้าราชการมักคิดว่าต้องใช้งบประมาณปีนี้ให้หมด มิเช่นนั้นจะไม่ได้งบเท่านี้อีกแล้ว และใคร ๆ ก็จะมองว่าใช้เงินไม่มีประสิทธิภาพ ใช้เงินไม่เป็น คราวนี้งบประมาณก็จะโตขึ้นทุก ๆ ปี เพราะข้าราชการต้องใช้ให้หมดทุกปี ภาษีที่เคยเรียกเก็บจากคนรวยทำท่าไม่พอใช้ จึงต้องขอเก็บภาษีจากคนชั้นกลางเรื่อยไปถึงคนจน ที่เคยยกมือสนับสนุนให้มีการเก็บภาษีด้วย
หลักสำคัญของไหวพริบทางการเงิน 4 อย่าง
- ความรู้ทางบัญชี ถ้าต้องการสร้างอาณาจักร ต้องสร้างด้วยความถูกต้อง มิฉะนั้นอาณาจักรจะล่มสลายในไม่ช้าอย่างน้อย ๆ ควรจะอ่านงบการเงินเป็น เพราะจะทำให้เข้าใจจุดอ่อน จุดแข็งของธุรกิจ
- ความรู้เกี่ยวกับการลงทุน หรือที่เรียกว่าศิลปะของการใช้เงินทำงาน หมายถึงความรู้ความเข้าใจ เทคนิคและสูตรต่าง ๆ เป็นการใช้สมองซีกขวาหรือซีกของการสร้างสรรค์
- ความเข้าใจตลาด เข้าใจเรื่องอุปสงค์อุปทาน เข้าใจเทคนิคต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด
- ความรู้เรื่องกฎหมาย ความรู้เรื่องภาษีสำหรับบริษัท สามารถทำให้รวยเร็วขึ้น ซึ่งประโยชน์ของภาษีนั้นมีอยู่ 2 ประการคือ
ประการแรกประโยชน์ของภาษี บริษัทสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ขณะที่บุคคลธรรมดาทำไม่ได้ เช่น นำเงินไปใช้ก่อนถูกหักภาษี
ประการที่ 2 ความคุ้มครองภายใต้กฎหมาย ปัจจุบันเราอยู่ในสังคมที่นิยม ใช้กฎหมายในเกือบทุก ๆ เรื่อง ส่วนเรื่องไหวพริบทางการเงินคือ ความรู้ความเข้าใจเรื่องทั้ง 4 ที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ถ้าอยากรวยต้องมีสิ่งเหล่านี้
บทที่ 6 บทเรียนที่ 5 : วิธีทำเงินของคนรวย
ทันทีที่จบจากมหาวิทยาลัย พวกเราทุกคนรู้ดีว่าปริญญาหรือคะแนนที่ได้มานั้น ไม่มีผลต่อชีวิตจริงนักในโลกแห่งความเป็นจริง ต้องมีมากกว่าคะแนนดี ๆ นั่นคือ มีความกล้า มุทะลุ ไหวพริบ ความเพียร และความอึด ในที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้ก็ต่างหากที่มีผลต่ออนาคต ซึ่งในอนาคตจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย เพราะฉะนั้นจะต้องมีความรู้เรื่องการเงิน จึงจะมีโอกาสเจริญก้าวหน้าไปอีกไกล และต้องมีไหวพริบทางการเงินซึ่งประกอบด้วยทักษะ 4 ข้อใหญ่ต่อไปนี้
- ความเข้าใจและความสามารถในการอ่านตัวเลข
- กลยุทธ์ในการลงทุนศิลปะในการคำนวณ
- ตลาดอุปสงค์-อุปทาน (Supply-Demand) คือผลจากความต้องการของตลาด มีคนต้องการซื้อ และมีคนพร้อมที่จะขาย
- กฎเกณฑ์ ความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎระเบียบทางบัญชี บริษัท นิติบุคคล รัฐและกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้บังคับในประเทศ
ซึ่งไหวพริบทางการเงินทั้ง 4 ข้อนี้คือ พื้นฐานสำคัญที่จำเป็นสำหรับการสร้างความมั่งมี ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เหตุผล 5 ข้อที่อยากให้เรียนเรื่องนี้คือ
- ชักชวนให้ได้เรียนรู้มากขึ้น
- เพื่อให้เห็นว่าถ้ามีพื้นฐานดีการทำเงินไม่ใช่เรื่องยาก
- เพื่อให้เห็นว่าทุกคนมีสิทธิ์ร่ำรวยได้
- เพื่อให้เห็นว่ามีวิธีมากมายที่จะได้เงินล้าน
- เพื่อให้เห็นว่าไม่ใช่วิชาที่ยากเกินกว่าคนอย่างเราจะเข้าใจได้
การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ๆ และมีความเสี่ยงสูง จึงมีให้เฉพาะนักลงทุนที่เข้าใจการเล่นเกมเป็นอย่างดี จริง ๆ แล้วการเสนอทางการลงทุนที่เสี่ยงสูง ให้แก่คนที่ไม่มีความรู้เป็นสิ่งไม่ควรทำ แต่เรามักจะได้พบเห็นอยู่เสมอ ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งรู้มากยิ่งรู้มากก็ยิ่งเห็นโอกาส และบอกได้ทันทีว่าอะไรดีอะไรไม่ดี ยิ่งเรียนมากก็ยิ่งทำเงินได้มากขึ้น และมีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ สูตรสำเร็จคือการปลูกเมล็ดทรัพย์สินเมล็ดเล็ก ๆ บางเมล็ดเติบโตเจริญงอกงาม แต่บางเมล็ดก็ล้มตายจากไป
การจะเป็นนักลงทุนที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีความรู้ และมีประสบการณ์ในทรัพย์สินที่จะลงทุน เพราะนี่ไม่ใช่การพนัน แต่ถ้าเอาเงินไปซื้อโดยไม่ได้ศึกษา แล้วได้แต่ภาวนานั่นเป็นการพนัน แน่นอนว่าความเสี่ยงไม่หายไป แต่ไหวพริบทางการเงินช่วยให้มีความเป็นไปได้มากขึ้น ซึ่งความเป็นนักลงทุนนั้นมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ
ประเภทแรก เป็นประเภทที่พบเป็นส่วนมากคือ พวกที่ลงทุนในตลาดที่มีอยู่ได้แก่ พวกนายหน้าซื้อขายหุ้น พวกขายอสังหาริมทรัพย์ นักการเงิน สิ่งที่ซื้อก็เช่น กองทุนรวม หุ้น พันธบัตร เป็นการลงทุนแบบตรงไปตรงมา
ประเภทที่ 2 เป็นพวกชอบสร้างสรรค์ เป็นนักลงทุนมืออาชีพ อาจจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะประกอบได้อย่างเหมาะเจาะ หรืออาจจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยก็ได้ เพราะชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ย่อมมาจากความรู้ และการฝึกฝนจนชำนาญ มิฉะนั้นหากพ่ายแพ้ได้เช่นกัน
นอกจากนั้นยังต้องมีอีก 3 สิ่งต่อไปนี้
- ทำอย่างไรจึงจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
- 2. ทำอย่างไรจึงจะได้เงินมาทำทุน สามารถหาเงินทุนได้โดยไม่ต้องพึ่งธนาคาร ตัวอย่าง ผู้เขียนเคยซื้ออพาร์ตเมนต์ราคา 1.2 ล้านเหรียญ โดยมีเพียงแค่สัญญาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น เพราะรู้ว่ามูลค่าบ้านแท้จริงคือ 2 ล้านเหรียญ จึงหาคนซื้อได้ทันทีพร้อมเงินดาวน์ 100,000 เหรียญ บวกอีก 50,000 เหรียญเข้ากระเป๋าฟรี ๆ ในฐานะที่ทำให้ผู้ซื้อพอใจ
- ทำอย่างไรจึงจะได้คนฉลาดมาเป็นลูกจ้าง คนฉลาดต้องรู้จักจ้างคนที่ฉลาดกว่า ปรึกษาคนที่รู้มากกว่า
สิ่งที่ต้องเรียนรู้มีมากมาย หากไม่ชอบหรือไม่สนใจ ขอแนะนำว่านักลงทุนประเภทแรกอาจจะเหมาะมากกว่า ความรู้เป็นสมบัติความไม่รู้เป็นความเสี่ยง และความเสี่ยงมีอยู่ทั่วไป เรียนรู้ที่จะจัดการกับความเสี่ยงดีกว่าที่จะหลบอยู่ร่ำไป
บทที่ 7 บทเรียนที่ 6 : ทำงานเพื่อเรียนรู้-อย่าทำงานเพื่อเงิน
โดยทั่วไปโรงเรียนและสถานที่ทำงานต่าง ๆ มักเชื่อว่าการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องเป็นสิ่งดี เป็นเหตุผลว่าทำไมหมอแต่ละคนจึงต้องหาวิชาที่มุ่งเน้นให้ชำนาญในทางใดทางหนึ่ง เช่น หมอผ่าตัดกระดูกหรือหมอเด็ก เช่นเดียวกับนักบัญชี สถาปนิก ทนาย นักบิน และอื่น ๆ มีคนพูดว่าการงานคือการอยู่แบบเกือบถังแตก น่าเสียดายที่หลายคนหมายความแค่นั้นจริง ๆ โรงเรียนไม่เคยสอนว่าความรู้ทางการเงินเป็นไหวพริบ เป็นสิ่งจำเป็น และคนจำนวนมากจึงได้แต่ทำงานเพื่อให้ได้เงิน มาจ่ายภาระต่าง ๆ อีกทฤษฎีหนึ่งที่เคยได้ยินคือ ลูกจ้างทำงานพอที่จะไม่ให้ถูกไล่ออก และนายจ้างก็จ่ายค่าจ้างพอที่จะไม่ให้ลูกจ้างลาออก ดูจากตัวเลขอัตราเงินเดือนแล้ว ทฤษฎีนี้ค่อนข้างใช้ได้ที่เดียว ผลลัพธ์ก็คือลูกจ้างไม่เคยก้าวไปทางไหนได้ไกล พวกเขาจะติดอยู่กับความมั่นคงของงาน เงินเดือน และผลตอบแทน ซึ่งเป็นเพียงรางวัลระยะสั้นแต่อาจจะกลายเป็นปัญหาระยะยาว
ผู้เขียนอยากแนะนำให้ทำงานเพื่อประสบการณ์ และการเรียนรู้ที่จะได้รับ มากกว่าเพื่อค่าตอบแทนที่ได้รับ มองไปข้างหน้าว่าต้องการฝึกประสบการณ์ เรียนรู้ทักษะด้านไหน อะไรที่จะช่วยให้หลุดออกไปจากสนามแข่งหนู ถ้าติดกับอยู่ในสนามนี้ จะวิ่งวุ่นเพื่อหาเงินมาจ่ายบิลต่าง ๆ เดือนแล้วเดือนเล่าอยู่ในกรงใบเก่าใบนี้ ที่เรียกว่างานมั่นคง ปัจจุบันในหลาย ๆ ประเทศที่ค่ายาและค่ารักษาพยาบาลเป็นบริการสังคมที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน ในประเทศเหล่านั้นการให้ยาและการรักษาพยาบาล ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจว่าใครควรจะอยู่ และใครควรจะตาย องค์ประกอบการตัดสินใจก็คือ คนไข้มีเงินมากเท่าไหร่ และอายุมากแค่ไหน คนอายุน้อยกว่าจะได้รับการรักษา คนมีเงินจะมีโอกาสมากกว่าคนจน เช่นเดียวกันคนมีเงินมีโอกาสได้รับการศึกษาที่ดี มีชีวิตที่ยืนยาวกว่า และคนจนกว่าก็คงอยู่ได้ไม่นาน
คนที่อยากมีรายได้เพิ่ม แทนที่จะทำงานเพื่อเงินและความมั่นคง ให้หางานที่สองทำเพื่อเพิ่มทักษะให้ตัวเอง เช่น ทำงานกับบริษัทขายแบบเครือข่าย หากต้องการเพิ่มทักษะด้านการขาย บริษัทเหล่านี้มีการฝึกอบรมที่ดีมาก ที่ช่วยให้พนักงานเลิกกลัวการถูกปฏิเสธ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของความล้มเหลว คนจำนวนมากเก่งแต่จน หรือมีรายได้น้อยกว่าความสามารถที่มีมากนัก เพราะคนเหล่านี้มุ่งแต่จะฝึกฝนทักษะในการทำ ไม่สนใจวิธีขายและการส่งมอบ แทนที่จะมุ่งเน้นความรู้ความชำนาญ ทำไมไม่ใฝ่หาความรู้แทนที่จะหาแต่เงิน
ทักษะเฉพาะด้านที่สำคัญในการทำธุรกิจคือ การขายและความเข้าใจเรื่องการตลาด ความสามารถในการขาย นั่นคือการสื่อสารกับมนุษย์ผู้อื่น ทักษะพื้นฐานที่ต้องฝึกให้ชำนาญคือการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูด เขียน ต่อรอง ล้วนเป็นสิ่งสำคัญและมีผลต่อความสำเร็จ นอกจากรู้จักฝักใฝ่พัฒนาตัวเอง และเป็นนักขายนักการตลาดที่ดีแล้ว ยังควรเป็นนักเรียนและครูที่ดีด้วย คนที่รวยจริง ๆ ต้องรู้จักการให้เช่นเดียวกับการรับ ปัญหาการเงินหลาย ๆ ครั้งมาจากการไม่รู้จักให้ บางครั้งคนจนมีฐานะยากจน เพราะไม่เคยเป็นครูและนักเรียนที่ดี
ลงมือทำ
บทที่ 8 ฟันฝ่าอุปสรรค
แม้ว่าจะมีความรู้และไหวพริบทางการเงิน แต่บางคนก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่สามารถทำให้ช่องทรัพย์สินโตขึ้น และเพิ่มกระแสเงินสดให้มากพอได้ ทั้งนี้มีสาเหตุมาจาก
สาเหตุข้อที่ 1 ความกลัว ต้องเอาชนะความกลัวว่าจะต้องเสียเงิน ทุกคนรวมทั้งคนรวยก็มีความกลัวว่าจะเสียเงินกันทั้งนั้น ประเด็นคือจะจัดการกับความกลัวนี้อย่างไรต่างหาก จะจัดการอย่างไรถ้าต้องเสียเงิน ถ้าต้องล้มเหลวทุกอย่างในชีวิต ทั้งหมดขึ้นอยู่ว่าจะมีวิธีจัดการอย่างไร คนจนกับคนรวยต่างกันตรงวิธีจัดการกับความกลัวนี่เอง สำหรับผู้ชนะความพ่ายแพ้เป็นแรงกระตุ้นให้เอาชนะ แต่สำหรับผู้แพ้ความพ่ายแพ้เอาชนะพวกเขา ความล้มเหลวทำให้เกิดผู้ชนะ และความล้มเหลวย่อมเอาชนะผู้แพ้เสมอ นี่คือความลับของผู้ชนะที่ผู้แพ้ไม่ค่อยรู้ ผู้ชนะจึงไม่เคยกลัวแพ้ ไม่เกรงความล้มเหลว
ถ้ามีเงินน้อยแต่อยากรวย สิ่งแรกที่ต้องทำคือโฟกัสไม่ใช่บาลานซ์ ความสมดุลไม่ทำให้ไปไหนได้ไกล ความสำเร็จเริ่มจากความไม่สมบูรณ์ ถ้าต้องการรวยต้องโฟกัส วางไข่ทีละหลาย ๆ ฟองลงในตะกร้าเพียงไม่กี่ใบ
ถ้ากลัวเสียเงินควรลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ถ้าอายุเกิน 25 ปีและกลัวความเสี่ยง จงลงทุนแบบระมัดระวังและเริ่มโดยเร็วที่สุด เพราะจะต้องใช้เวลานานมากกว่าจะได้เก็บเกี่ยวผลกำไร
ถ้าฝันที่จะออกจากสนามแข่งหนูไปสู่อิสรภาพ จงถามตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรกับความล้มเหลว ถ้ามันเป็นแรงกระตุ้นให้อยากเอาชนะอาจจะเหมาะกับการลงทุนแบบรวดเร็ว ถ้าความล้มเหลวทำให้อารมณ์เสีย อาจจะเหมาะสมที่จะลงทุนแบบสมดุล และปราศจากความเสี่ยง เหมาะที่จะทำงานประจำ การทำให้ช่องทรัพย์สินขยายใหญ่ ด้วยเวลาอันรวดเร็วนั้นเล่นยากกว่า เพราะต้องมีทั้งความกล้า ไหวพริบ และการจัดการกับความพ่ายแพ้ที่ถูกต้อง
สาเหตุข้อที่ 2 ความคิดด้านลบ จงขจัดความคิดด้านลบ คนจำนวนมากพกแต่ความคิดด้านลบ แท้จริงแล้วทุกคนมีความคิดด้านลบอยู่ในตัวกันคนละนิดคนละหน่อย โดยเฉพาะในยามที่กลัวหรือไม่มีความมั่นใจ ความไม่มั่นใจทำให้กังวลและไม่กล้าลงมือทำอะไร ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่กล้าเดินหน้า นอนไม่หลับ คิดไม่ตก และในที่สุดก็จะยืนอยู่กับที่ มองโอกาสดี ๆ ผ่านเลยไปต่อหน้าต่อตา คนส่วนมากไม่มีโอกาสรวยเพราะถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการลงทุน พวกเขาจะคิดแต่สิ่งเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น เพราะความคิดด้านลบนี้ มีอยู่ในตัวเราทุกคนอยู่เป็นธรรมชาติ ต้องใช้ความกล้ามากทีเดียว ที่จะทำให้คน ๆ นั้นเข้มแข็งดั่งหินผา โดยไม่ยอมให้เสียงนกเสียงกา มาทำลายความตั้งใจของตนเอง ประเด็นที่ต้องการชี้ให้เห็นก็คือความไม่แน่ใจ หรือความคิดด้านลบ ที่ทำให้หลายคนไม่มีโอกาสรวย
สาเหตุข้อที่ 3 ความขี้เกียจ เชื่อไหมว่าคนที่ยุ่งที่สุดส่วนมากจะเป็นคนขี้เกียจที่สุด ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ากำลังหลีกเลี่ยงสิ่งสำคัญบางอย่าง นี่แหละคือความขี้เกียจ โดยทำตัวให้ดูยุ่งเข้าไว้ การจะแก้โรคขี้เกียจนี้ได้จะต้องหัดโลภเข้าไว้ ตั้งแต่เล็ก ๆ จะถูกสอนว่าความโลภเป็นสิ่งไม่ดี แต่มนุษย์ทุกคนมีความโลภเป็นธรรมชาติ ก็จะพยายามเก็บกดมันไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะไม่อยากเป็นคนไม่ดีอย่างที่ผู้ใหญ่บอก ทำอย่างไรจึงจะดี สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนหลุดจากสนามแข่งหนูได้นั้น เริ่มจากถามคำถามเดียว ที่ถามตัวเองว่าทำอย่างไรจึงจะอยู่ได้โดยไม่ต้องทำงาน แล้วก็คิดถึงหนทางต่าง ๆ นานา
ส่วนที่ยากที่สุดตอนนั้นก็คือ การต่อสู้กับความรู้สึกของพ่อแม่ ที่พยายามหว่านล้อมให้คิดถึงคนอื่น ซึ่งมันทำให้รู้สึกผิดที่โลภมาก และคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว หากปราศจากกิเลส ขาดความต้องการที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น โลกจะพัฒนาได้อย่างไร เทคโนโลยีใหม่ ๆ ล้วนเกิดจากความต้องการของมนุษย์ทั้งสิ้น คราวนี้เมื่อไหร่ที่พบว่าตัวเองกำลังหลีกเลี่ยงสิ่งที่ควรจะทำ ก็ให้ถามตัวเองว่าแล้วจะได้อะไรจากการกระทำนี้บ้าง เติมความอยากให้ตัวเองสักนิด จงทำในสิ่งที่จิตสำนึกบอกว่าถูกต้อง เพราะยังไงก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่ดี ไม่ว่าจะลงมือทำหรือไม่ทำก็ตาม
สาเหตุข้อที่ 4 นิสัย อุปนิสัยมีผลต่อชีวิตคนมากกว่าการศึกษา คนรวยมีนิสัยจ่ายให้ตัวเองก่อน เมื่อได้เงินมาไม่ว่าจะมากหรือน้อย จะจ่ายเพื่อเพิ่มช่องทรัพย์สินของตัวเองก่อน หลังจากจ่ายให้ตัวเองแล้ว ทีนี้ก็จะมีความกดดันที่จะต้องหาเงินมาจ่ายภาษีและเจ้าหนี้ทั้งหลายให้ได้ ความกดดันนี้จะทำให้คิดแสวงหาแหล่งรายได้ ความกดดันจะกลายเป็นแรงจูงใจให้หางาน ตั้งบริษัทของตัวเอง เล่นหุ้น ทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เจ้าหนี้มาโวยวายใส่หน้า ความกดดันทำให้คิดหนักขึ้นกระตือรือล้น พยายามคิดหาหนทาง และในที่สุดก็ทำให้ฉลาดขึ้น ถ้าจ่ายให้ตัวเองหลังสุด ก็จะไม่มีความกดดัน และจะไม่มีอะไรเหลือเลย
สาเหตุข้อที่ 5 ความหยิ่งทะนงตน สิ่งนี้คืออัตตาบวกความโง่ ความรู้ทำให้ได้เงิน ความไม่รู้ทำให้เสียเงิน คนส่วนมากสร้างความทะนงตนขึ้นมาเพื่อปิดบังความโง่ คนพวกนี้มั่วไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้อะไรเลยในโลกของการลงทุนและการเงิน มีคนจำนวนมากที่ไม่รู้จริง ต้องการเพียงจะขายสินค้าเหมือนนายหน้าขายรถมือสอง เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้อะไรจงขวนขวายหาความรู้ จากหนังสือหรือจากผู้ที่มีความรู้ มีประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ
บทที่ 9 เริ่มต้นอย่างไรดี
วิธีการหาเงินล้านต้องใช้ไหวพริบทางการเงิน ซึ่งจริง ๆ แล้วมีอยู่ในตัวกันทุกคน แต่วัฒนธรรมและการศึกษาในเยาว์วัย ทำให้เจ้าสิ่งนี้ไม่มีโอกาสได้ผุดได้เกิด ผู้ใหญ่มักมองว่าเงินเป็นกิเลส เป็นความโลภที่มนุษย์ทุกคนควรละทิ้ง โรงเรียนสอนให้ทำงานเพื่อเงิน แต่ไม่เคยสอนวิธีใช้เงินทำงานให้ โรงเรียนสอนให้ขยันทำงาน ปฏิบัติหน้าที่เป็นลูกจ้างที่ดี เป็นพลเมืองที่ดี แล้วนายจ้างจะดูแล รัฐบาลจะช่วยเหลือในยามชรา ด้วยเงินประกันสังคมที่เด็กรุ่นลูกจะต้องจ่ายให้แก่รัฐบาลนั่นเอง
เป้าหมายชีวิตคือการทำงานหนักเพื่อเงิน ใช้เงิน และเมื่อขาดเงินก็สามารถยืมมาได้อีก ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย คนส่วนใหญ่ร้อยละ 90 มีเป้าหมายชีวิตเช่นนี้ ถ้าไม่อยากเป็นเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ มีข้อแนะนำซึ่งเป็นบัญญัติ 10 ประการที่จะช่วยให้มีพลังมีดังนี้
ประการที่ 1 พลังใจ เพื่อเอาชนะความจริงที่ขวางหน้า หลายคนอยากรวยแต่เมื่อหันมามองความจริง เขากลับท้อและคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ เป็นลูกจ้างขยันทำงานไปวัน ๆ ดูจะง่ายกว่าเยอะ พลังใจที่มุ่งมั่นนี้ มาจากความรู้สึกทั้งอยากและไม่อยาก ตัวอย่างความไม่อยาก เช่น ไม่อยากทำงานไปตลอดชีวิต ไม่อยากมีงานมั่นคง ไม่ชอบเป็นลูกจ้าง เป็นต้น สำหรับความอยาก เช่น อยากมีอิสระที่จะเดินทางและอยู่ที่ไหนก็ได้ในโลกถ้าชอบ อยากมีโอกาสทำสิ่งนี้ขณะที่ยังหนุ่มแน่น อยากเป็นอิสระ มีเวลา มีชีวิตเป็นของตัวเอง เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือพลังใจคือความต้องการอันแรงกล้า แต่ถ้าขาดพลังใจอะไร ๆ ในชีวิตก็กลายเป็นเรื่องยากไปหมด
ประการที่ 2 เสรีภาพในการเลือก เหตุที่คนส่วนมากต้องการอยู่ในประเทศเสรี เพราะต้องการมีอิสระในการเลือก การเงินก็เหมือนกันทุกครั้งที่มีเงินอยู่ในมือ มีสิทธิจะเลือกอนาคตว่าจะเป็นคนรวย คนชั้นกลาง หรือคนจน นิสัยการใช้เงินสะท้อนให้เห็นตัวตน คนจำนวนมากเลือกที่จะไม่รวยร้อยละ 90 คิดว่าความรวยเป็นเรื่องยุ่งยากเกินไปสำหรับพวกเขา คนพวกนี้จึงชอบพูดว่า ไม่สนเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรอก หรือไม่เห็นอยากรวยเลย จะคิดให้ปวดหัวทำไมอายุยังน้อยแค่นี้ หรือให้แฟนดูแลเรื่องการเงินไม่ยุ่งหรอก
คำพูดเหล่านี้ทำให้เสียประโยชน์ 2 อย่างคือ
1.เวลาซึ่งเป็นสิ่งมีค่าที่สุดและ
- คือการเรียนรู้ ไม่มีเงินใช่ว่าจะต้องหยุดแสวงหาความรู้ ชีวิตเป็นของตนเอง และมีสิทธิ์เลือกใช้เวลา ใช้เงิน และใช้สมองอย่างไรก็ได้ คนที่คิดว่าตนเองฉลาดและเก่งแล้ว อีกมุมหนึ่งก็คือคนที่ไม่กล้าเสี่ยง กลัวความผิดพลาด แต่อย่าลืมว่าเมื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ ต้องกล้าที่จะทำผิด เพราะความผิดพลาดทำให้เรียนรู้ได้ดีที่สุด คนฉลาดที่แท้จริงมักจะชอบฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยใจที่เปิดกว้าง พร้อมที่จะนำความคิดจากหลาย ๆ ด้านมาวิเคราะห์ประกอบเป็นความคิดใหม่ การฟังเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าพูด อย่าลืมว่าสมองคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด และสมควรได้รับการลงทุนมากที่สุดด้วย
ประการที่ 3 เลือกคบเพื่อน คบเพื่อนด้วยความระมัดระวัง ประโยชน์ที่ได้จากเครือข่าย คำเตือนอย่าสนใจคำพูดของเพื่อนที่ไม่มีเงิน และเพื่อนที่ชอบคิดด้านลบ แม้เขาจะเป็นเพื่อนที่ดีมากแค่ไหนก็ตาม คนพวกนี้จะบอกเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ และมักจะมีคนเชื่อที่เขาพูดเสมอเสียด้วย นักลงทุนฉลาด ๆ จะไม่รอตลาด ถ้าพลาดหนนี้เขาจะมองหาคลื่นลูกใหม่ และเตรียมตัวตั้งรับทันที นักลงทุนเก่ง ๆ มักจะซื้อตอนทึ่หุ้นยังไม่เป็นที่นิยม ขายเมื่อได้กำไร แล้วก็ย้ายไปมองตัวอื่น เขารู้ว่าจะทำกำไรได้เมื่อเข้าไปซื้อ ไม่ใช่เมื่อจะขาย เทคนิคนี้เรียกว่าเล่นหุ้นวงใน (insider trading) ก็ไม่ผิด การซื้อหุ้นเพราะได้รู้ข้อมูลบางอย่างก่อนคนอื่นโดยทั่วไปนั้นผิดกฎหมาย แต่บางกรณีก็ไม่ถือว่าผิดขึ้นอยู่กับว่าอยู่วงในมากแค่ไหน นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงควรคบเพื่อนรวย ๆ ที่อยู่วงในเอาไว้บ้าง ราคาหุ้นขึ้นลงอยู่กับข้อมูลจากคนวงใน เหล่านี้คือประโยชน์ที่ได้จากการคบเพื่อน และเป็นส่วนหนึ่งของไหวพริบทางการเงิน
ประการที่ 4 สร้างสูตรและเรียนรู้สูตรใหม่ ๆ ประโยชน์จากการเรียนให้เร็วที่สุด ควรระวังว่าจะเรียนอะไร เอาความรู้และข้อมูลอะไรใส่ลงไปในสมองในแต่ละวัน เพราะข้อมูลและความรู้เหล่านี้มีผลต่อความคิดและการกระทำ จะเลือกเรียนอะไรควรคิดให้รอบคอบ ไม่ใช่คนอื่นเขาเรียนกันก็เลยอยากเรียนบ้าง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ สูตรเดียวที่สอนในโรงเรียนถ้าเป็นเรื่องเงินคือ ทำงานเพื่อเงิน เป็นสูตรสำเร็จที่คนทั้งโลกเรียนและจำขึ้นใจ ทุกวันนี้จึงทำงานเพื่อให้ได้เงินเอามาชำระหนี้ พอถึงสิ้นเดือนก็เอาสมุดบัญชีไปปรับตัวเลข ดูสิว่ามีเงินเหลือในบัญชีเท่าไหร่ ถ้ารู้สึกเบื่อหน่ายกับสูตรสำเร็จนี้ หรือคิดว่าสูตรนี้ไม่ได้ทำให้ประสบความสำเร็จ ง่ายนิดเดียวเปลี่ยนสูตร มองหาสูตรใหม่ ๆ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เสมอ โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างปัจจุบัน ความได้เปรียบไม่ได้อยู่ที่รู้อะไร แต่อยู่ที่ว่าเรียนได้เร็วแค่ไหน ความสามารถอยู่ตรงนี้ต่างหาก ที่สำคัญที่สุดคงต้องเรียนรู้สูตรใหม่ ๆ ในเวลาอันสั้น สูตรในการทำเงิน การทำงานหนักเพื่อเงิน เป็นสูตรเก่าดึกดำบรรพ์ไปเสียแล้ว
ประการที่ 5 ชำระหนี้ให้ตัวเองเป็นอันดับแรก ประโยชน์จากการควบคุมตัวเองได้เสียก่อน ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้แม้มีเงินก็จ่ายหมด ในทั้งหมดข้อนี้ทำยากที่สุด แต่เป็นข้อที่แยกคนจนกับคนรวยออกอย่างชัดเจน ถ้าไม่มีความอดทน ไม่รู้จักควบคุมตัวเองไม่มีทางรวยได้กฎของการชำระหนี้ให้ตัวเองก็มี 2 ด้วยกันคือ
ข้อ 1. อย่าก่อหนี้จำนวนมากเกินไป จำกัดรายจ่ายให้น้อยลง ขยายช่องทรัพย์สิน
ข้อ 2. ถ้าเงินขาดมือ อ้าแขนรับความกดดันที่เกิดขึ้น แต่อย่าถอนเงินสดหรือขายหุ้น ใช้ความกดดันนั้นให้เป็นประโยชน์ ช่วยให้เกิดความคิดในการทำเงินเพื่อมาชำระหนี้ สร้างความคิดความสามารถใหม่ ๆ และเพิ่มไหวพริบทางการเงินให้แก่ตัวเอง
ไม่ได้ขอให้อยู่อย่างอดอยาก ปราศจากสิ่งอำนวยความสะดวกนานาประการ ควรใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหากมีไหวพริบทางการเงินจะมีสิ่งดี ๆ ในชีวิต
ประการที่ 6 เลี้ยงนายหน้าให้ดี ประโยชน์จากคำแนะนำที่ดี ในยุคของทางด่วนข้อมูลอย่างปัจจุบัน นายหน้าควรจะเพียบพร้อมด้วยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และช่วยสอนวิทยายุทธต่าง ๆ ให้ได้ พยายามหานายหน้าที่คำนึงถึงประโยชน์ พร้อมที่จะให้คำแนะนำและความรู้ เขาจะเป็นทรัพย์สินที่มีค่า จงให้ความยุติธรรมแล้วเขาจะให้กลับเช่นเดียวกัน
ทักษะอย่างหนึ่งที่ได้กล่าวไว้คือ การบริหารคน ผู้บริหารบางคนชอบบริหารคนที่ต่ำกว่าหรือฉลาดน้อยกว่า ผู้บริหารระดับกลางหลายคนไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่ง เพราะไม่รู้จักวิธีทำงานกับคนที่สูงกว่า การบริหารคนที่ดีคือ รู้จักรักษาคนฉลาดหรือเก่งกว่าในบางเรื่องไว้ให้ดี
ประการที่ 7 จงเป็นผู้ให้ ประโยชน์จากการได้เปล่า การทำตนเป็นผู้ให้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างช่องทรัพย์สิน นักลงทุนมีระดับมักจะถามว่า จะได้เงินคืนเร็วแค่ไหน นอกจากนี้เขายังต้องการรู้ว่า มีผลตอบแทนอื่นใดพ่วงท้ายมาอีกบ้าง ดังนั้นผลตอบแทนการลงทุน (ROI) จึงเป็นเรื่องสำคัญ การลงทุนทุกครั้งจะต้องได้ผลตอบแทนอะไรบางอย่าง และต้องเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงไม่มากนัก หรือเป็นความเสี่ยงที่จัดการได้ ดังนั้นนักลงทุนที่ฉลาด ควรมองหาอะไรที่มากกว่าผลตอบแทนจากการลงทุน นั่นคือทรัพย์สินที่ได้หลังจากได้เงินลงทุนคืนครบแล้ว นี่แหละคือไหวพริบทางการเงิน
ประการที่ 8 ทรัพย์สินซื้อความฟุ่มเฟือย ประโยชน์จากการโฟกัส สิ่งที่ทำยากที่สุดในการขยายช่องทรัพย์สินก็คือ การควบคุมตนเอง เพราะภายนอกล้วนมีแต่สิ่งเย้ายวนต่าง ๆ นานา เรียกว่ามีมารผจญอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าไม่เข้มแข็งยอมจำนนต่อสิ่งยั่วยวนต่าง ๆ นี่คือที่มาของความยากจน และปัญหาทางการเงิน ทุกคนไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้วิธีการทำงานเพื่อให้ได้เงิน ที่จริงควรจะเรียนวิธีใช้เงินทำเงินให้เราด้วย ทุกวันนี้เรามักจะคิดถึงการกู้เงินมากกว่าการทำเงิน เพราะวิธีแรกนั้นง่ายกว่าในระยะสั้น แต่ยากกว่าในระยะยาว เป็นนิสัยไม่ดีที่ติดง่ายที่สุด อย่าลืมว่าถนนที่วิ่งง่ายมักจะกลายเป็นยาก แต่ถนนที่วิ่งยากมักจะกลายเป็นง่ายในเวลาต่อมา เริ่มสอนลูกสอนหลาน และคนที่คุณรักเรื่องไหวพริบทางการเงินเสียแต่เนิ่น ๆ ถ้าขาดไหวพริบทางการเงิน เงินจะฉลาดกว่าเพราะมันจะทำให้ต้องทำงานเพื่อเงินไปตลอดชีวิต
ประการที่ 9 ความจำเป็นต้องมีพระเอกในดวงใจ ประโยชน์ของจินตนาการ การเลียนแบบฮีโร่หรือคนที่เราชื่นชมบูชาให้พลังพิเศษ รู้ว่าวอร์เรนบัฟเฟตต์ลงทุนในอะไรบ้าง ก็จะอ่านความเห็นของเขา เข้าใจวิธีเลือกหุ้นของปีเตอร์ ลินซ์ อ่านเรื่องของโดนัลด์ ทรัมป์ เพื่อพยายามศึกษาวิธีต่อรองธุรกรรมซื้อขายของเขา จะคิดว่าเป็นคนใดคนหนึ่งเมื่อต้องต่อรองในธุรกิจ จะคิดว่าตนเองเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อต้องวิเคราะห์แนวโน้มของหุ้น ก็จะมานั่งมองมันราวกับเป็นปีเตอร์ ลินซ์ วิธีนี้ทำให้มีพลังพิเศษเหมือนแรงดลใจ ที่ทำให้รู้สึกว่าไม่มีอะไรยากเกินไป ในเมื่อเขาทำได้เราก็ต้องทำได้
ประการที่ 10 สอนผู้อื่นแล้วจะได้รับตอบแทน อานิสงส์ของการให้ การให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ให้แม้จะขาดเงินในมือ ให้ความรัก ให้ความเป็นมิตร ให้รอยยิ้ม ในบางขณะอาจทำยากแต่เชื่อเถอะว่าได้ผลเสมอ เพราะเชื่อทฤษฎีของการให้และรับ ให้เพราะต้องการรับ เมื่อต้องการเงินเพิ่มจากการให้แล้วก็ได้รับกลับมาในจำนวนที่มากกว่า ต้องการขายเริ่มจากการช่วยเพื่อนขายและก็ได้รับตอบแทนมา ต้องการมีเครือข่ายแนะนำให้คนโน้นรู้จักคนนี้ ในที่สุดก็มีเครือข่ายกับคนจำนวนมาก เหมือนคำพูดที่ว่าพระเจ้าไม่จำเป็นต้องได้อะไร แต่มนุษย์ต้องรู้จักให้ มีพลังแอบแฝงอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลก อาจต้องการต่อสู้เพียงลำพังโดยไม่คิดจะพึ่งใคร แต่มันไม่ง่ายกว่าหรือถ้ารู้จักเอาพลังแอบแฝงนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพียงแค่รู้จักให้แล้วก็จะได้รับพลังนั้นมากกว่าที่ให้ไปหลายเท่า
บทที่ 10 ข้อควรทำ
บางคนคิดแต่ไม่ทำ บางคนก็ชอบทำแต่ไม่คิด หากเป็นคนที่ถนัดลงมือทำมากกว่าคิด จะขอสรุปสั้น ๆ ดังนี้
- หยุดทุกอย่าง วางมือจากสิ่งที่ทำสักพัก แล้วใคร่ครวญดูสิว่าอะไรที่ทำแล้วได้ผล และอะไรที่ทำแล้วไม่เคยได้ผล
- มองหาความคิดใหม่ ออกไปหาสูตรการลงทุนใหม่ ๆ ตามร้านหนังสือ
- หาคนมีประสบการณ์หรือเคยลงทุนแบบที่กำลังสนใจ เลี้ยงข้าวเขาสักมื้อก็จะได้ความรู้อีกมากมาย
- สมัครเข้าสัมมนาอบรมหรือเรียนพิเศษ หาการอบรมต่าง ๆ ได้จากหนังสือพิมพ์ บางแห่งไม่เสียค่าใช้จ่าย
- เสนอราคา ทุกครั้งที่ผู้เขียนเจออสังหาริมทรัพย์ที่พอใจ จะเสนอราคาเข้าไปทันที
- เดินหรือวิ่งออกกำลังหรือขับรถผ่านบางพื้นที่ สักเดือนละครั้งครั้งละประมาณ 10 นาที เมื่อผ่านไปจะเห็นความเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงนั้นจะทำให้เกิดผลกำไร
- เรื่องการเล่นหุ้น หลักในการมองหามูลค่าในหุ้น อสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวม บริษัทเกิดใหม่ บ้าน ล้วนมีหลักการเดียวกันทั้งนั้น วิธีการก็ไม่ต่างกัน ต้องรู้ว่าต้องการอะไร และต้องออกไปเดินหาสิ่งนั้น
- ทำไมผู้บริโภคจึงไม่รวย เมื่อตลาดลดราคาสินค้า เช่น กระดาษทิชชู่ ผู้บริโภคจะรีบซื้อเก็บกักตุนไว้มากมาย แต่เวลาตลาดหุ้นลดราคา ที่เราเรียกกันว่าหุ้นลงหรือหุ้นปรับราคา ผู้บริโภคต่างเดินหนี เมื่อตลาดขึ้นราคาสินค้า ผู้บริโภคหันไปซื้อตลอดอื่น เวลาตลาดหุ้นขึ้นราคาผู้บริโภคจึงเริ่มเข้าซื้อ
- หาให้ถูกที่
- มองหาคนต้องการซื้อก่อน แล้วจึงหาคนต้องการขาย
- เรียนจากประวัติศาสตร์ บริษัทใหญ่ ๆ ในตลาดหุ้นล้วนเริ่มจากบริษัทเล็ก ๆ
- ลงมือทำ มีหลายอย่างที่เคยทำ และยังคงทำอยู่เพื่อจะได้เจอโอกาสดี ๆ ประเด็นสำคัญตรงนี้คือต้องลงมือทำ ถ้าอยากประสบความสำเร็จทางการเงิน ต้องทำเดี๋ยวนี้
บทส่งท้าย วางแผนส่งลูกเรียน
ความรู้ทางการเงิน ซึ่งมีผลต่อการแก้ปัญหาชีวิต ถ้าปราศจากความรู้หรือไหวพริบที่กล่าวมานี้ ทุกคนดำเนินชีวิตโดยใช้สูตรเดียวกันหมดคือ ทำงาน เก็บออม กู้ยืม และจ่ายภาษีจำนวนมาก ปัจจุบันจำเป็นต้องมีสูตรที่ดีกว่านี้ ทุกวันนี้จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องการเงินมากขึ้นเพื่อความอยู่รอด ความคิดที่ว่าต้องใช้เงินสร้างเงินนั้นเป็นความคิดของคนที่ยังไม่รู้แจ้ง ไม่ใช่เพราะเขาไม่ฉลาดแต่ยังขาดความรู้ในศาสตร์แขนงนี้เท่านั้นเอง ที่เรียกว่าวิชาการใช้เงินทำงาน อย่าลืมว่าเงินก็คือความคิด ถ้าต้องการเงินมากขึ้นก็ต้องเปลี่ยนวิธีคิด หลายคนที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มจากความคิดเล็ก ๆ ที่กลายเป็นใหญ่ในเวลาต่อมา การลงทุนก็เช่นกัน เริ่มจากเงินจำนวนเล็กน้อย เติบโตเป็นเงินก้อนใหญ่ขึ้น การศึกษาและความรู้เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มตั้งแต่เนิ่น ๆ หาซื้อหนังสือมาอ่าน เข้าสัมมนา ฝึกฝน เริ่มจากเงินจำนวนน้อย ๆ สิ่งที่อยู่ในหัว จะเป็นตัวกำหนดว่าอะไรควรจะอยู่ในมือ เงินก็คือความคิดอันหนึ่ง มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อเรื่องเขาตั้งไว้ว่า คิดแล้วรวยไม่ใช่ทำงานหนักแล้วรวย ต้องเรียนวิธีใช้เงินทำงานให้แล้วชีวิตจะสบายขึ้น อยู่อย่างระมัดระวังอย่างเดียวไม่ได้แล้ว ต้องอยู่อย่างฉลาดด้วย
ลงมือทำ
พระเจ้าประทานของขวัญสองอย่างให้เราคือ สมองและเวลา ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้สองสิ่งนี้อย่างไร เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ที่ใช้ไปจะกำหนดชีวิต ใช้อย่างโง่เขลาแปลว่าเลือกที่จะยากจน ใช้ซื้อหนี้สินแปลว่าเลือกเป็นคนชั้นกลางคือไม่รวย แต่ถ้าใช้ซื้อวิชาเพิ่มความรู้ในการขยายช่องทรัพย์สิน เลือกที่จะมีอนาคตอันมั่นคง ทุกวันที่จ่ายคือการตัดสินใจว่าจะจนหรือมี เตรียมความพร้อมให้ลูกหลานด้วยการให้ความรู้เรื่องการเงินแก่พวกเขา ชีวิตของตัวเองและลูก ๆ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เลือกในวันนี้ไม่ใช่พรุ่งนี้ ขอให้มีความสุขและมั่งคั่งกับของขวัญชิ้นสำคัญที่สุดในชีวิต.