MIRACLE MORNING

สรุปหนังสือ : MIRACLE MORNING ทุกสิ่งในชีวิตจะดีขึ้น เมื่อตื่นเช้า

คนเราทุกคนมีศักยภาพ ในการที่จะทำให้ตนเองได้รับในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ ความสุข สุขภาพที่แข็งแรง ทรัพย์สินเงินทอง อิสรภาพ และความรัก การที่จะบรรลุผลสำเร็จในทุก ๆ ด้านของชีวิตนั้น สามารถทำได้ไม่ยากนัก นั่นคือการทุ่มเทเพื่อใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในแต่ละวัน ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญคือขึ้นกับว่าตื่นนอน และใช้เวลาในช่วงเช้าอย่างไร ซึ่งขั้นตอนเล็ก ๆ ที่แสนง่ายเหล่านี้ ทำให้สามารถเริ่มต้นวันใหม่ กลายเป็นบุคคลที่สามารถสร้างสรรค์ความสำเร็จได้ตามที่ต้องการ และได้รับอย่างแท้จริงในทุก ๆ ด้านของชีวิต

ไม่ว่า ณ ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงเวลาของชีวิตที่กำลังรุ่งสุด ๆ กำลังประสบความสำเร็จขั้นสูงสุด หรือกำลังตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก และดิ้นรนเพื่อหาทางออกก็ตาม ทุกคนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นก็คือ ทุกคนต่างต้องการพัฒนาชีวิต และตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อสัมผัสประสบการณ์ของการบรรลุเป้าหมาย ในระดับที่ลึกซึ้งที่สูงกว่าเดิม ในขณะเดียวกันก็ช่วยทำให้กลับมาใส่ใจบางแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตที่เคยละเลยไป ซึ่งจะทำให้ชีวิตโดยรวมมีความสมดุลมากยิ่งขึ้น การปรับปรุงพัฒนาทั้งทางด้านสุขภาพ ความสุข ความสัมพันธ์ การเงิน และจิตวิญญาณ หรือแง่มุมอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ เป็นวิธีหนึ่งที่สร้างเสริมพลัง เพื่อให้สามารถเอาชนะความท้าทาย ที่ดูเหมือนว่าจะยิ่งใหญ่มากเกินกว่าจะเอาชนะได้ และทำให้เกิดการพัฒนาตนเองครั้งสำคัญ รวมถึงพลิกสภาวะแวดล้อมรอบตัวให้เป็นไปในอีกรูปแบบหนึ่งที่ปรารถนา ในระยะเวลาอันรวดเร็วอีกด้วย

เรื่องราวของผู้เขียน และสาเหตุที่ว่าทำไมเรื่องราวจึงมีความสำคัญ ในปี ค.ศ. 1999 มันยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของผู้เขียน ในตอนนั้นอายุได้ 20 ปี เพิ่งเรียนผ่านมหาวิทยาลัยชั้นปี 1 และเพิ่งใช้เวลาประมาณปีครึ่งจนกลายเป็นดาวรุ่ง ตัวแทนขายในบริษัทระดับ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำลายสถิติและมีรายได้สูงเกินกว่าที่ฝันไว้ นอกจากนี้ยังมีความรักที่หวานชื่นกับแฟนสาว มีครอบครัวที่อบอุ่นซึ่งคอยช่วยและสนับสนุน ในเวลานั้นชีวิตกำลังรุ่งสุด ๆ จึงไม่มีทางที่จะทราบเลยว่าในคืนนั้น โลกทั้งใบกำลังจะจบลง ในขณะที่กำลังมีความสุขเต็มที่จากงานเลี้ยงในคืนนั้น ไม่ได้คิดเรื่องการนอนหลับเลยแม้แต่น้อย เพราะกำลังขับรถฟอร์ดมัสแตงสีขาว หลังจากที่ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่ดีที่สุดในชีวิตเสร็จสิ้นไป และได้รับการชื่นชมโดยการที่แขกทุกคนลุกขึ้นปรบมือให้เป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งแน่นอนว่ารู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก

ความจริงที่ไม่อาจจินตนาการได้ ผู้เขียนไม่ได้สังเกตเห็นแสงไฟหน้ารถบรรทุกเชฟโรเลตคันใหญ่ที่พุ่งตรงมา แต่มีไฟส่องมาจริง ๆ เพียงชั่วเวลาสั้น ๆ ที่ไม่คาดคิด แล้วชนโครมเข้าอย่างจังกับรถฟอร์ดของผู้เขียน ทำให้เลือดไหลออกทุก ๆ ที่ ร่างกายถูกทำลายอย่างหนัก สมองเสียหายอย่างถาวร เมื่อไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวด ทางร่างกายอันแสนสาหัส ร่างกายก็หยุดการทำงาน ความดันเลือดลดต่ำลง เมื่อทีมกู้ภัยฉุกเฉินมาถึง จึงเอาร่างที่เต็มไปด้วยเลือดออกจากซากรถยนต์ ผู้เขียนที่สูญเสียเลือดมากจนหัวใจหยุดเต้น และหยุดหายใจ ในทางการแพทย์นั้นเขาได้ตายไปแล้ว หน่วยแพทย์ฉุกเฉินได้นำตัวไปที่เฮลิคอปเตอร์กู้ภัยทันที และตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่เพื่อช่วยรักษาชีวิตไว้ และ 6 นาทีหลังจากนั้น พวกเขาก็ประสบความสำเร็จ หัวใจเริ่มเต้นอีกครั้ง เริ่มสูดออกซิเจนเข้าไป ผู้เขียนรอดชีวิตแล้ว แต่ยังอยู่ในอาการโคม่าประมาณ 6 วัน และตื่นขึ้นมาเพื่อรับทราบข่าวว่า ไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป จากการที่กระดูกหัก 11 ชิ้น และแฟนสาวบอกเลิกตั้งแต่ตอนที่อยู่โรงพยาบาล ในขณะที่ต้องเริ่มต้นต่อสู้กับความท้าทายที่ว่า ชีวิตไม่ได้ง่ายเหมือนเดิมอีกต่อไป เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้ จึงมุ่งมั่นไปที่การก้าวไปข้างหน้า ทุ่มเทชีวิตทั้งหมดเพื่อปลดปล่อยศักยภาพ และทำความฝันให้สำเร็จ อีกทั้งยังสามารถค้นพบวิธีในการช่วยให้คนอื่น ๆ สามารถทำได้เช่นกัน

พาชีวิตก้าวไปข้างหน้า ผู้เขียนได้บอกเล่าเรื่องราวในชีวิต พร้อมข้อพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าในตอนนี้ทุกคนจะอยู่จุดไหนของชีวิต หรือความท้าทายที่กำลังเผชิญจะลำบากมากเพียงใดก็ตาม ก็สามารถเอาชนะและบรรลุเป้าหมายที่ใฝ่ฝันไว้ได้ หากการที่เขารอดชีวิตจากความตาย ซึ่งแม้ในตอนนั้นจะไม่สามารถเดินได้อีก รวมถึงภาวะวิกฤติทางการเงิน และภาวะโรคซึมเศร้า จนกระทั่งไม่อยากลุกจากเตียงในตอนเช้าเพื่อสร้างชีวิตที่ใฝ่ฝัน แต่สุดท้ายก็ลุกขึ้นมาก้าวเดินต่อไปได้ ดังนั้นจึงไม่มีข้ออ้างใด ๆ ในการที่จะไม่ก้าวข้ามอุปสรรค และข้อจำกัดต่าง ๆ ที่พยายามฉุดรั้งให้ห่างจากการบรรลุเป้าหมาย และได้รับทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ต้องการในชีวิต สิ่งสำคัญคือการยอมรับแนวความคิดที่ว่า ใครก็ตามสามารถเอาชนะ หรือประสบความสำเร็จเป็นตัวอย่าง แสดงให้เห็นว่าสิ่งใดก็ตาม ย้ำว่าอะไรก็ได้ จำเป็นต้องเอาชนะ หรือต้องการเพื่อประสบความสำเร็จในสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่ว่าอดีตและปัจจุบันจะเป็นอย่างไรก็ตาม คือต้องเริ่มต้นด้วยการยอมรับความรับผิดชอบต่อทุก ๆ เรื่องของชีวิต และปฏิเสธที่จะกล่าวโทษผู้อื่น ระดับในการยอมรับทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เท่ากับระดับอำนาจในการเปลี่ยนแปลง และสร้างสรรค์สิ่งใดก็ได้ในชีวิตนั่นเอง

เวลาของคุณ เรื่องราวชีวิตของคุณ ไม่ว่าในตอนนี้กำลังยืนอยู่ ณ จุดใดของชีวิต แต่สิ่งนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น และเป็นสิ่งซึ่งควรยืนอยู่ จงเริ่มตระหนักให้ได้ว่า จะต้องเรียนรู้สิ่งใดบ้าง เพื่อจะได้กลายเป็นคนในแบบที่ใฝ่ฝัน เพื่อสร้างชีวิตที่ต้องการอย่างแท้จริง ในยามที่ชีวิตยากลำบากและท้าทาย ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสในการเรียนรู้ เติบโต และกลายเป็นคนในแบบที่ดีขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ข่าวดีก็คือทุกคนมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง หรือสร้างสรรค์สิ่งใดก็ได้ในชีวิต โดยเริ่มต้น ณ บัดนี้ ทั้งนี้ผู้เขียนไม่ได้หมายความว่า ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเป็นพิเศษเลยก็ได้ แต่สามารถดึงดูดและสร้างสรรค์สิ่งที่ต้องการในชีวิตได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยการพัฒนาตนเองให้กลายเป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำสิ่งนั้น และนี่คือสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ การช่วยให้กลายเป็นคนที่ใฝ่ฝัน เพื่อสามารถสร้างสรรค์ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการในชีวิต โดยปราศจากอุปสรรคหรือข้อจำกัดใด ๆ ทั้งสิ้น

บทที่ 1

ได้เวลาตื่นขึ้นเพื่อปลดปล่อยศักยภาพขั้นสูงสุด

เหตุใดเมื่อเวลาที่เด็กทารกเกิดมา ทุกคนมักจะพูดกับพวกเขาว่า มหัศจรรย์แห่งชีวิต แต่เมื่อโตขึ้นกลับยอมรับการใช้ชีวิตแบบธรรมดา ๆ ทั่วไป ในระหว่างทางของการใช้ชีวิต ได้สูญเสียการมองเห็นความมหัศจรรย์แห่งชีวิต ที่ติดตัวมาโดยตลอดไปหรือ คนส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนนิยามใหม่ของสิ่งใด ๆ ก็ตาม และทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว เนื่องจากการมีชีวิตต่ำกว่าที่ต้องการอย่างแท้จริง ได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่อย่างเต็มที่ที่สุดไหม และสร้างความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นไปตามที่ต้องการอย่างแท้จริงในทุก ๆ ด้านของชีวิตไหม และมีเรื่องใดในชีวิตหรือไม่ ที่กำลังอยู่ในจุดต่ำกว่าที่ต้องการ กำลังกำหนดความคาดหวังต่ำกว่าระดับความสามารถที่แท้จริง และรู้สึกพอใจและโอเคกับสิ่งที่เป็น สิ่งที่มี สิ่งที่ทำอยู่ในปัจจุบัน หรือว่าตอนนี้พร้อมไหมที่จะหยุดการกำหนดความคาดหวังดังกล่าว แล้วเริ่มใช้ชีวิตในแบบที่ดีที่สุด ในแบบที่วาดฝันไว้

สร้างชีวิตระดับ 10 หากต้องการที่จะวัดความสำเร็จ ความพึงพอใจ และการปลดปล่อยศักยภาพในด้านใดด้านหนึ่งของชีวิต ในระดับ 1-10 เชื่อมั่นว่าทุกคนก็คงต้องการที่จะอยู่ในระดับ 10 การที่จะบรรลุความสำเร็จในระดับ 10 ในทุก ๆ ด้านของชีวิตนั้น ไม่เพียงแต่สามารถที่จะเป็นจริงได้ แต่ยังทำได้ง่ายอีกด้วย เพราะจริง ๆ คือการทุ่มเทเพื่อใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในแต่ละวัน จะทำให้กลายเป็นบุคคลในระดับ 10 ซึ่งสามารถสร้างสรรค์ ดึงดูด บรรลุเป้าหมาย และรักษาความสำเร็จในระดับ 10 นี้ได้ในทุก ๆ ด้าน ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เริ่มต้นมาจากว่า ตื่นนอนและใช้เวลาในช่วงเช้าอย่างไร ซึ่งขั้นตอนเล็ก ๆ ที่แสนง่ายเหล่านี้ ทำให้สามารถเริ่มต้นวันใหม่ โดยทำให้กลายเป็นบุคคล ที่สามารถสร้างสรรค์ความสำเร็จได้ตามที่ต้องการ

หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นบนหลักการพื้นฐาน 3 ประการคือ

  1. สามารถที่จะมีคุณค่า พึงได้รับในสิ่งที่ทำ สามารถสร้างสรรค์และรักษาการมีสุขภาพ ความมั่งคั่ง ความสุข ความรัก และความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมในชีวิต เหมือนกับทุก ๆ คนบนโลกใบนี้
  2. เพื่อช่วยให้ออกจากชีวิตซึ่งต่ำกว่าที่ควรได้รับ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม และขณะเดียวกัน ก็สร้างระดับความสำเร็จที่ต้องการ ทั้งในชีวิตส่วนตัว การทำงาน และการเงิน
  3. การปฏิบัติตัวตอนตื่นนอน และกิจวัตรประจำวันยามเช้าในแต่ละวัน ส่งผลต่อระดับความสำเร็จในทุก ๆ ด้านของชีวิตเป็นอย่างมาก ดังนั้นการเปลี่ยนวิธีการนอนตื่นเช้า ใช้เวลายามเช้าอันแสนง่าย จะช่วยเปลี่ยนเร็วกว่าที่คาดคิดว่าจะทำได้อีกด้วย

เทคนิค The Life S.A.V.E.R.S. อันทรงพลัง 6 ประการ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นประโยชน์ และประสานได้ดีกับหลัก Miracle Morning  ชีวิตดีขึ้นเมื่อตื่นเช้า อีกทั้งยังได้รับการยืนยันว่า จะช่วยไม่ให้ต้องพลาดจากชีวิตที่พิเศษเหนือคนทั่วไปตามที่ควรได้รับ

บทที่ 2

จุดกำเนิดของหลัก : เกิดขึ้นจากความสิ้นหวัง

ผู้เขียนบอกว่าตัวเองนั้นโชคดี ที่ได้เจอกับจุดตกต่ำที่สุดของชีวิตถึง 2 ครั้ง ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน โดยเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ท้าทายมากที่สุดในชีวิต ทำให้กลายเป็นบุคคลในแบบที่ปรารถนา ได้สร้างชีวิตในแบบที่ต้องการ ได้นำมาใช้เพื่อช่วยเหลือคนอื่น ๆ ให้สามารถเอาชนะ และก้าวพ้นขีดจำกัดของตัวพวกเขาเอง อีกทั้งยังบรรลุมากกว่าที่พวกเขาคาดหวังไว้ว่าจะเป็นไปได้

จุดตกต่ำที่สุดของชีวิตครั้งแรก ผู้เขียนต้องเผชิญกับความตายเมื่อตอนอายุ 20 ปี เขาประสบอุบัติเหตุรถยนต์ชนกับรถกระบะ ที่ผู้ขับเมาสุราและได้เสียชีวิตแล้ว จากนั้นได้ฟื้นค้นชีพกลับมา

จุดตกต่ำที่สุดของชีวิตครั้งที่ 2 ผู้เขียนมีหนี้สินท่วมตัว และยังอยู่ในภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง ในปี ค.ศ. 2008 ในตอนที่เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาอยู่ในภาวะตกต่ำขั้นรุนแรงที่สุด หลังจากที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุแล้ว และเริ่มกลับมาเริ่มต้นหน้าที่การงาน จนสามารถสร้างเกียรติประวัติของอาชีพการเป็นตัวแทนขายที่ยอดเยี่ยม และเริ่มประสบความสำเร็จในการเป็นโค้ชซึ่งมีรายได้ 6 หลัก เพียงชั่วข้ามคืนธุรกิจซึ่งกำลังประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ที่อุตส่าห์สร้างขึ้นมาก็ประสบกับภาวะขาดทุน ทำให้รายรับเกินกว่าครึ่งหนึ่งมลายหายไปในทันที ด้วยภาวะที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว และการขาดชำระหนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต จึงกลายเป็นโรคซึมเศร้าดิ่งลงสู่จุดต่ำที่สุดของชีวิต

ทำไมการเป็นหนี้จึงเลวร้ายกว่าความตาย หากถามว่าระหว่างอุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือการเป็นหนี้อะไรคือสิ่งที่ยากลำบากกว่ากัน สามารถตอบได้โดยไม่ลังเลว่า ต้องเป็นอย่างที่สองแน่นอน เพราะว่าหลังจากประสบอุบัติเหตุ ยังมีผู้คนแวดล้อมรอบกาย ที่ช่วยดูแลเอาใจใส่ตอนที่อยู่โรงพยาบาล แน่นอนว่าในเหตุการณ์ครั้งที่ 2 จะไม่ได้พบกับสิ่งเหล่านี้เลย เพราะทุก ๆ คนต่างก็มีปัญหาของตัวเองที่ต้องจัดการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ในทุก ๆ ด้านของชีวิต ทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และการเงิน

ยามเช้าที่พลิกชีวิต แต่แล้วในช่วงเช้าของวันหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ผู้เขียนทำตามคำแนะนำของเพื่อน ที่ให้ออกไปวิ่งเผื่อว่าสมองจะปลอดโปร่งขึ้นมาบ้าง แม้ว่าเขาเองไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรเป็นพิเศษสำหรับการวิ่งครั้งนี้ แต่กลับเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ ทรงพลัง ลึกซึ้ง และเริ่มเปลี่ยนชีวิตนับจากวันนั้นเป็นต้นมา

คู่ขนานของความสำเร็จคือการพัฒนาตนเอง ทุกคนต่างก็ต้องการความสำเร็จที่ระดับ 10 ในทุก ๆ ด้านของชีวิต สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่นอกตัว จะเป็นภาพสะท้อนของภายใน ระดับความสำเร็จก็จะเป็นเหมือนเส้นคู่ขนาน กับระดับของการพัฒนาตนเอง ความสำเร็จคือสิ่งที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา โดยการที่ทุ่มเทเวลาในแต่ละวันเพื่อพัฒนาตนเอง ให้เป็นบุคคลในแบบที่ใฝ่ฝัน เพื่อสรรสร้างชีวิตในแบบที่ต้องการได้

ความท้าทายแรก : หาเวลา การตั้งคำมั่นสัญญาที่จะพัฒนาตนเอง เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ความท้าทายหลักก็คือการหาเวลา จนกระทั่งความคิดที่จะหาเวลาพิเศษเพื่อพัฒนาตนเองนั้น ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย จึงตัดสินใจตั้งมั่นที่จะหาเวลาอย่างจริงจัง ซึ่งจริง ๆ ก็คือการสร้างเวลาขึ้นมา เพื่อพัฒนาตนเองในแต่ละวัน โดยตัวเลือกมีดังต่อไปนี้

ช่วงเย็น แท้จริงแล้วมีไม่กี่คืนที่ร่างกายและจิตใจจะพร้อมที่สุด เพราะมักจะมีล้ามากจนรู้สึกว่าการจะตั้งใจใช้เวลาอย่างเต็มที่ อาจกลายเป็นสิ่งที่ท้าทายมากกว่าที่คิดไว้ ที่สำคัญคือเป็นคนที่ไม่ค่อยจะสม่ำเสมอ ทำให้การมีสภาวะจิตใจที่เหมาะสมต่อการพัฒนาตนเอง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก

ช่วงบ่าย อาจจะเป็นช่วงหลังพักเที่ยง หรือช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ ก็แค่หาเวลาพิเศษ แต่ความเป็นจริงก็ไม่สามารถหาเวลาพิเศษนั้นได้เลย และเป็นเรื่องยากที่จะทำได้จริง

ตอนเช้า ด้วยการที่ให้คำมั่นสัญญากับตัวเองว่า จะทำบางสิ่งเพื่อพัฒนาตนเองในตอนเช้า ทำให้ผู้เขียนมีโอกาสได้เริ่มต้นวันนั้นด้วยแรงกระตุ้นเชิงบวก โดยสามารถที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ในช่วงเช้า ทำให้รู้สึกกระตือรือร้นมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และรู้สึกมีพลังใจในการต่อสู้กับเวลาทั้งวันที่เหลือ กล่าวกันว่า 1 ชั่วโมงแรกก็คือหางเสือของทั้งวันนั้น ถ้าขี้เกียจหรือรู้สึกแย่ในสิ่งที่ทำ ในช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกหลังจากตื่นนอนแล้ว ในวันนั้นก็มีแนวโน้มที่จะขี้เกียจ และไม่ได้ใส่ใจอะไร ในทางตรงข้ามหากสามารถทำให้ชั่วโมงแรก เกิดประโยชน์มากที่สุด ก็มีแนวโน้มจะทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิผลตลอดทั้งวันเช่นกัน ดังนั้นการพัฒนาตนเองในช่วงเช้า จะไม่มีข้ออ้างใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากช่วงเวลาระหว่างวันได้ ในทำนองเดียวกัน หากทำตั้งแต่ในช่วงเช้า ก่อนที่ช่วงเวลาต่อจากนั้นและการงานต่าง ๆ ในวันนั้นจะเป็นอุปสรรคไม่ให้สามารถทำกิจกรรมเพื่อการพัฒนาตนเองได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็รับประกันได้ว่ากิจกรรมเพื่อพัฒนาตนเอง จะสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวันอย่างแน่นอน

ความท้าทายที่ 2 การทำสิ่งที่ส่งผลกระทบมากที่สุด อะไรคือสิ่งที่จะลงมือทำในชั่วโมงแรก ที่จะให้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และพัฒนาชีวิตได้อย่างรวดเร็วที่สุด ดังนั้นผู้เขียนเลยดึงกระดาษเปล่ามา 1 แผ่น และลงมือเขียนการปฏิบัติเพื่อพัฒนาตนเอง ซึ่งจะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตมากที่สุด โดยต้องเป็นสิ่งที่เคยเรียนรู้มาแล้ว แต่ยังไม่เคยได้ลงมือทำสักที หรือถ้าเคยทำก็ต้องไม่สม่ำเสมอ และสิ่งที่เขียนออกมาคือกิจกรรมต่าง ๆ  6 อย่างอันได้แก่ การทำสมาธิ การตั้งสัตย์ปฏิญาณ การเขียนบันทึกเรื่องราว การสร้างภาพจินตนาการ รวมถึงการอ่าน และการออกกำลังกาย จากนั้นได้เลือกกิจกรรม 6 อย่างที่คิดว่าจะส่งผลที่รวดเร็ว และทันทีต่อชีวิต กำหนดให้ต้องทำอย่างละ 10 นาที

ยามเช้าที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งชีวิต หลังจากที่แปรงฟันล้างหน้า จากนั้นก็เริ่มทำทีละอย่าง ทีละขั้นตอนดังต่อไปนี้

  1. ความสงบ โดยนั่งนิ่ง ๆ สวดมนต์ ทำสมาธิ และจดจ่อกับลมหายใจ ประมาณ 10 นาที จะรู้สึกได้ว่าความเครียดที่สะสมอยู่ค่อย ๆ มลายหายไป ทำให้รู้สึกได้ถึงความสงบไปทั่วทั้งร่างกายและจิตใจ เริ่มผ่อนคลาย
  2. การอ่าน ใช้เวลาอ่านหนังสือประมาณ 10 นาที และเลือกเอา 2-3 แนวคิดที่น่าสนใจอยากจะนำไปลองปฏิบัติในวันนั้น โดยเตือนตัวเองว่าจริง ๆ แล้วจะนำไปปฏิบัติจริงเพียงแค่ 1 แนวคิด เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต
  3. การตั้งคำปฏิญาณ เขียนคำปฏิญาณของตัวเอง โดยจดลงไปว่าต้องการอะไร ต้องการจะเป็นคนแบบไหน และสิ่งที่สัญญาว่าจะลงมือทำเพื่อเปลี่ยนชีวิตในช่วงเวลานั้น รู้สึกว่าตัวเองมีกำลังใจมากขึ้น
  4. การสร้างภาพจินตนาการ ให้หยิบแผ่นกระดานช่วยจินตนาการออกมา ใช้เวลาประมาณ 10 นาที ในการใช้สมาธิจากรูปหนึ่งไปยังอีกรูปหนึ่ง โดยหยุดที่แต่ละรูป แล้วปิดตาและใช้สมาธิ ให้สัมผัสกับรูปนั้น ๆ อย่างลึกซึ้งว่า จะทำให้รูปนั้นเกิดขึ้นจริงในชีวิตได้อย่างไร ในตอนนั้นจะรู้สึกมีแรงบันดาลใจมากขึ้น
  5. การเขียนบันทึกเรื่องราว เรื่องนี้เหมือนกับคนอื่น ๆ อีกมากมายที่ว่าไม่สามารถเขียนบันทึกได้เกิน 2-3 วันเลย เต็มที่สุดก็แค่ 1 สัปดาห์ การเขียนสิ่งที่อยากจะขอบคุณลงไป กลับช่วยเพิ่มพลังและจิตวิญญาณในตัวเอง รู้สึกขอบคุณอย่างแท้จริง
  6. การออกกำลังกาย สุดท้ายก็ลุกขึ้นจากโซฟา โดยนึกถึงสิ่งที่โทนี่ ร็อบบินส์พูดเสมอว่า ขยับร่างกายสักนิดชีวิตแจ่มใส ถึงตอนนี้จะรู้สึกว่าตนเองมีพลังพร้อมเต็มที่ และได้สัมผัสประสบการณ์ของช่วงเวลาที่เงียบสงบ มีกำลังใจ มีพลัง มีแรงบันดาลใจ รู้สึกขอบคุณ พร้อมทั้งมีพลังพร้อมเต็มที่ที่มากที่สุด และตอนนี้เป็นเวลาเพียงแค่ 6 โมงเช้าเท่านั้น

ปาฏิหาริย์อันยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นประมาณ 2-3 สัปดาห์ ผู้เขียนยังคงดำเนินกิจวัตรยามเช้าดังกล่าวข้างต้น โดยการตื่นตอนตี 5 และใช้เวลา 60 นาทีอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาตนเอง ได้พบว่าความเครียดลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีพลังกาย พลังใจ ความสดใส และมีสมาธิมากขึ้น รู้สึกมีความสุข มีกำลังใจ และมีแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง ความคิดต่าง ๆ ที่ทำให้รู้สึกซึมเศร้าเริ่มเลือนหายไปจากความทรงจำ

เป็นการเคลื่อนไหวหรือแค่ปลุกให้ตื่น การตื่นขึ้นมาทุก ๆ วัน และให้ของขวัญในการพัฒนาตนเอง สามารถส่งผลต่อโลกใบนี้ได้โดยการที่แต่ละคน จะกลายเป็นบุคคลในแบบที่ใฝ่ฝัน เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตในแบบที่ต้องการ มีอิทธิพลเชิงบวกซึ่งกันและกัน และเปลี่ยนโลกรอบ    ๆ รอบตัวได้ในที่สุด หรืออะไรก็ตามแต่ที่ทำให้นึกถึงภารกิจนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดสิ่งนี้ได้ให้พลังในการเปลี่ยนแปลงชีวิต ครอบครัว ชุมชน และสังคม รวมไปถึงโลกด้วยการตื่นขึ้นมาในทุก ๆ วัน และปรับเปลี่ยนตัวเอง

วิธีการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีชีวิตชีวา ในการช่วยคนแต่ละคน และองค์กรต่าง ๆ ในการปรับปรุงพัฒนาผลลัพธ์ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อองค์กร ในช่วงเช้าจะเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด

บทที่ 3

วิธีเปลี่ยนแปลงตนเอง

และตั้งปณิธานทำสิ่งที่แตกต่าง

ทุก ๆ วันตื่นขึ้นมา ทุกคนต่างก็พบกับความท้าทายแบบเดียวกันคือ การเอาชนะกับสิ่งที่ธรรมดา ๆ ทั่วไป และพยายามดำเนินชีวิตโดยใช้ศักยภาพที่มีอย่างเต็มที่ที่สุด ซึ่งนี่คือความท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ คือการก้าวข้ามข้ออ้างต่าง ๆ ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดกับตัวเอง และสร้างชีวิตระดับ 10 ตามที่ต้องการอย่างแท้จริง ซึ่งไร้ขีดจำกัดใด ๆ แต่ทว่าเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากที่คนส่วนใหญ่ ไม่เคยได้ดำเนินชีวิตในแบบที่ใกล้เคียงกับชีวิตเช่นนั้นเลย มีผู้คนประมาณ 95% ของสังคม ที่ใช้ชีวิตในแบบที่ห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาต้องการ

ดังนั้น คำถามสำคัญที่ควรเริ่มต้นแสวงหา และค้นพบคำตอบให้ได้ก็คือ ณ เวลานี้อะไรคือสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อจะมั่นใจได้ว่าในที่สุดแล้ว จะไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนไปตลอดชีวิต เหมือนกับคนกลุ่ม 95% ในสังคม

ก้าวข้ามกลุ่มคนส่วนใหญ่และเข้าร่วมกลุ่มคน 5% ที่ระดับสูงสุด นี่คือ 3 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะทำให้ก้าวข้ามไปได้มีดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 ยอมรับว่าสังคมมีคน 95% ที่ไม่สามารถสร้าง หรือใช้ชีวิตตามที่ต้องการได้ ก่อนอื่นต้องเข้าใจและยอมรับความจริงที่ว่า คนจำนวน 95% ในสังคมไม่เคยสร้าง และดำเนินชีวิตในแบบที่พวกเขาต้องการได้ ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า หากในตอนนี้ไม่ตกลงที่จะคิด และใช้ชีวิตที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ แสดงว่ากำลังยอมทนที่จะใช้ชีวิตแบบธรรมดา ๆ ที่ต้องเจอกับการต่อสู้ดิ้นรน ความล้มเหลว และความเศร้าโศกเสียใจ เฉกเช่นคนส่วนใหญ่ในสังคม เป็นเรื่องที่ทราบกันว่า ผู้คนส่วนมากกำลังใช้ชีวิตต่ำกว่าระดับของศักยภาพที่มี และเมื่อยอมรับในประเด็นนี้ สิ่งสำคัญก็คือต้องค้นหาว่าอะไรคือ สาเหตุของการที่ผู้คนต่างยังคงต้องต่อสู้ดิ้นรน และใช้ชีวิตในรูปแบบธรรมดาทั่ว ๆ ไปเช่นนี้ต่อไป

ขั้นตอนที่ 2 ระบุสาเหตุของการเป็นคนธรรมดา ๆ ขั้นตอนต่อจากนี้คือการทำความเข้าใจ สาเหตุว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะการรู้สาเหตุของการใช้ชีวิตทั้งชีวิตในแบบธรรมดาทั่ว ๆ ไป จะช่วยป้องกันไม่ให้ภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวเองได้ ต่อจากนี้เป็นสิ่งที่เชื่อว่าคือสาเหตุสำคัญ และส่งผลต่อการใช้ชีวิตแบบธรรมดา ๆ ทั่วไป และไม่ได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ สาเหตุเหล่านี้เกิดขึ้น และยังคงส่งผลใหญ่ที่สุดต่อชีวิต สาเหตุของการที่ยังเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป และวิธีการแก้ไขเพื่อกลายเป็นคนที่มีศักยภาพเต็มที่ อาจจะเพราะว่า

  1. อาการกลับไปคิดถึงตัวตนในอดีต สาเหตุหนึ่งของการใช้ชีวิตแบบธรรมดา ๆ คือภาวะที่เรียกว่าอาการกลับไปคิดถึงตัวตนในอดีต โดยจิตใต้สำนึกของคนเราจะติดกระจกมองด้านหลัง ซึ่งเป็นตัวจำกัดศักยภาพอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ใช้ชีวิตหรือกลับไปนึกถึงอดีตอยู่เป็นประจำ โดยมักเชื่ออย่างผิด ๆ มาโดยตลอดว่า ตัวตนในอดีตก็คือตัวตนในปัจจุบัน ดังนั้นจึงจำกัดศักยภาพของตัวเองในปัจจุบัน โดยยึดติดกับพื้นฐานเดิม ๆ ของตัวตนในอดีต

หากต้องการข้ามผ่านตัวตนในอดีต และข้อจำกัดต่าง ๆ สิ่งแรกก็คือต้องหยุดที่จะหันไปมองตัวตนในอดีต และเริ่มจินตนาการถึงชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยศักยภาพอันไร้ขอบเขต ดังนั้น อย่าสร้างข้อจำกัดที่ไม่จำเป็นในสิ่งที่ต้องการในชีวิต แต่ต้องคิดให้ใหญ่ขึ้นกว่าจินตนาการที่เคยมี ให้นึกภาพถึงขั้นสูงสุด ทำภาพสิ่งที่ต้องการให้ชัดเจน และกำหนดตัวเองให้มีความเชื่อว่าสิ่งนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ โดยการให้ความสนใจไปที่สิ่งนั้นกับตัวเองทุก ๆ วัน และค่อย ๆ ทำอย่างต่อเนื่อง ให้สิ่งที่ตั้งใจไว้ปรากฏเป็นความจริงให้ได้ ทั้งนี้ขอให้จำไว้เสมอว่า จุดที่ยืนอยู่ ณ เวลานี้เป็นผลมาจากในอดีต แต่จุดที่กำลังจะเดินไป ขึ้นอยู่กับตัวตนในแบบที่อยากเป็น นับจากตอนนี้เป็นต้นไป

  1. ขาดจุดมุ่งหมายในชีวิต คนธรรมดา ๆ ยังใช้ชีวิตให้รอดไปในแต่ละวัน ๆ โดยไม่มีเป้าหมายที่เหนือไปกว่าการเอาชีวิตตนเองให้รอดเท่านั้น คนส่วนใหญ่จึงใส่ใจกับการทำให้ตัวเองผ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นเท่านั้น โดยเลือกใช้เส้นทางชีวิตที่จะเจอแรงต้านให้น้อยที่สุด และตลอดเส้นทางจะพยายามมุ่งหาความพึงพอใจในระยะสั้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ในการเอาชนะสาเหตุของการเป็นคนธรรมดา ๆ จำเป็นต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิตในด้านใดก็ได้ที่ต้องการ แต่ต้องเป็นสิ่งที่ดังก้องอยู่ในใจ และสร้างแรงบันดาลใจให้ตื่นขึ้นมาในทุก ๆ วัน และดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับเป้าหมาย

ทั้งนี้โปรดระลึกไว้เสมอว่า สามารถเปลี่ยนจุดมุ่งหมายในชีวิตได้ตลอดเวลา เพราะตัวเองก็เติบโตและมีพัฒนาการมากขึ้น ดังนั้น จุดมุ่งหมายในชีวิตก็เช่นกัน นอกจากนี้ไม่จำเป็นว่าจะต้องเข้าใจได้ทั้งหมดว่า จุดมุ่งหมายในชีวิตคืออะไร ขอเพียงแค่เริ่มคิดมันขึ้นมา สร้างขึ้นมา ตัดสินใจว่าต้องการให้มันเป็นอย่างไร จำไว้ว่าเมื่อตั้งมั่นกับตัวเอง เพื่อจุดมุ่งหมายในชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหญ่กว่าปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่อย่างมากมาย ดังนั้น ปัญหาดังกล่าวจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญไปโดยปริยาย และจะสามารถเอาชนะได้โดยง่ายอย่างแน่นอน

  1. พิจารณาแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า มักทำเช่นนี้เนื่องจากเข้าใจผิดว่า ทางเลือกที่เลือกการกระทำที่ทำ จะส่งผลกระทบแค่ไหนในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ หรือภายใต้สถานะการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ ก่อนอื่นต้องตระหนักให้ได้ว่า ผลกระทบและผลที่ตามมาที่แท้จริงของทางเลือก การกระทำรวมถึงความคิดในแต่ละสิ่งนั้น มีความยิ่งใหญ่และสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะว่าในแต่ละความคิด ทางเลือก และการกระทำ ล้วนแล้วแต่เป็นตัวกำหนดว่าจะกลายเป็นคนแบบไหน และกำหนดคุณภาพชีวิตในท้ายที่สุด

ในทางตรงกันข้าม หากเลือกที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง และทำเช่นนั้นจนบรรลุผลสำเร็จ โดยเฉพาะในสิ่งที่ไม่ได้รู้สึกชอบ นั่นแสดงว่ากำลังพัฒนาการมีวินัยในตนเองเป็นพิเศษ ขอให้จำไว้เสมอว่า การเป็นคนในแบบที่ต้องการนั้น มีความสำคัญมากกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมาก และในทำนองเดียวกัน สิ่งที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ จะเป็นตัวกำหนดการเป็นคนในแบบที่กำลังจะเป็นด้วยเช่นกัน

  1. ขาดซึ่งความรับผิดชอบส่วนตน ความเชื่อมโยงระหว่างความสำเร็จและความรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ทั้งนี้ความรับผิดชอบส่วนตนคือการแสดงความรับผิดชอบ ในการกระทำหรือผลลัพธ์ต่อบุคคลอื่น ๆ สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ และในชีวิตเกือบทั้งหมดจะต้องมีความรับผิดชอบเสมอ นอกจากนี้ความรับผิดชอบส่วนตนยังนำมาซึ่งวินัยในการดำเนินชีวิต และทำให้มีความก้าวหน้า ปรับปรุงและพัฒนาตนเองจนสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน

ทั้งนี้เนื่องจากทุกคนต่างก็เติบโตขึ้น และต่อสู้เพื่อให้ตนเองบรรลุขั้นแห่งความสำเร็จ และเป้าหมายในชีวิต จึงต้องรับผิดชอบต่อการสร้างระบบของความรับผิดชอบด้วยตัวเอง ข้อเท็จจริงก็คือ ในทางสถิติแล้วมีคนจำนวนกว่า 95% ที่อ่านหนังสือแล้วแต่ไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่ได้เรียนรู้มา เพราะว่าพวกเขาไม่มีความรับผิดชอบส่วนตนในการลงมือทำนั่นเอง แต่ว่าในประเด็นนี้ มีวิธีเพื่อเปลี่ยนแปลงปัญหานี้นั่นคือ หาเพื่อนร่วมกันรับผิดชอบ

การหาเพื่อนร่วมกันรับผิดชอบ เป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง ในการตั้งทีมร่วมกับเพื่อน เพื่ออ่าน เพื่อร่วมกันรับผิดชอบ ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน หรือคนในครอบครัวผู้ที่สามารถแบ่งปันหลักการเหล่านี้ได้ ด้วยวิธีนี้ก็จะมีคนที่ให้คำมั่นสัญญากับตนเองเช่นกันว่า จะนำพาชีวิตของเขาหรือของเธอไปสู่ความสำเร็จในขั้นที่สูงขึ้นไป ดังนั้นทั้งสองคนจะช่วยกันสนับสนุนส่งเสริมกำลังใจ และแสดงความรับผิดชอบซึ่งกันและกันด้วย

  1. แวดล้อมด้วยกลุ่มคนประเภทธรรมดา ๆ เหมือนกัน งานวิจัยได้ระบุว่า ตัวตนของเรานั้นจะเหมือนกับกลุ่มบุคคลโดยเฉลี่ย 5 คนที่ใช้เวลาด้วยมากที่สุด โดยใครก็ตามที่ใช้เวลาด้วยนั้นอาจจะเป็นปัจจัยเดียวกับที่กำหนดว่า จะเป็นคนเช่นใดและจะมีคุณภาพในการดำเนินชีวิตอย่างไร เรื่องนี้นับได้ว่าเป็นความจริงในทุก ๆ ด้านทั้งความสำเร็จ สุขภาพ ความสุข น้ำหนัก และรายได้ ดังนั้น ขอให้มองหาคนที่เชื่อมั่น ชื่นชม และสามารถช่วยให้ไปถึงเป้าหมายในชีวิตที่ต้องการ ทั้งนี้ต้องมองหาคนแบบนี้อย่างจริงจัง เพื่อเป็นการเพิ่มกลุ่มคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองเช่นเดียวกัน
  2. ขาดการพัฒนาตนเอง จิม โรห์น เป็นหนึ่งในเมนเทอร์ที่ยิ่งใหญ่ เขาสอนเรื่องหลักปรัชญาต่าง ๆ ที่เปลี่ยนชีวิตให้กับคนทั่วไป ซึ่งไม่มีแนวคิดใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าแนวคิดที่ว่า ระดับความสำเร็จมักจะไม่มากเกินไปจากระดับของการพัฒนาตนเอง เพราะความสำเร็จคือสิ่งที่ได้รับอิทธิพลมาจากต้นแบบที่ต้องการจะเป็น ในทางตรงกันข้ามระดับความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมใดของชีวิต มักจะไม่ได้มากเกินไป แต่จะสอดคล้องไปกับระดับในการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าในอดีตจะเคยประสบกับอะไรมาก็ตาม ตอนนี้สภาพชีวิตแบบใหม่กำลังรอคอยให้ได้พัฒนาตนเอง เพื่อให้กลายเป็นบุคคลที่ต้องการ จะสามารถดึงดูดสร้างสรรค์ และดำเนินชีวิตแบบนั้นได้
  3. ขาดความเร่งด่วน คิดแต่ว่าสักวันหนึ่ง (จะดีขึ้นเอง) การกล่าวว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน ที่จะต้องลุกขึ้นมาปรับปรุงหรือพัฒนาตัวเอง เพราะธรรมชาติของมนุษย์จะใช้ชีวิตบนทัศนคติที่ว่า สักวันหนึ่งจะดีขึ้นเอง และคิดเสมอว่าท้ายที่สุดชีวิต จะมีทางออกของปัญหาหรือดีขึ้นเองอย่างแน่นอน แล้วในความเป็นจริงทางออกนั้นมีพร้อมสำหรับทุกคนหรือเปล่า นอกจากนี้การมีทัศนะคติที่ว่า สักวันหนึ่งจะดีขึ้นเองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และนำไปสู่การผัดวันประกันพรุ่ง การไม่ได้ปลดปล่อยศักยภาพ โปรดระลึกถึงความจริงเรื่องหนึ่งซึ่งก็คือ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่มีความสำคัญมากกว่าช่วงอื่น ๆ ของชีวิต เพราะสิ่งที่ทำในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดคนที่จะกลายเป็นในอนาคต และคน ๆ นั้นจะเป็นผู้กำหนดคุณภาพ และทิศทางของชีวิตตัวเองทั้งหมดด้วย หากวันนี้ยังไม่ได้ไม่ให้สัญญากับตัวเองว่า จะเริ่มต้นทำบางอย่างเพื่อให้กลายเป็นบุคคลที่ต้องการ เพื่อสร้างสรรค์ชีวิตที่พิเศษสุดอย่างที่ต้องการแล้ว ก็จะไม่มีความแตกต่างอะไรจากเดิมแน่นอน

ขั้นตอนที่ 3 ตัดสินใจว่าจะเริ่มต้นทำสิ่งที่แตกต่างจากวันนี้เป็นต้นไป ต้องตัดสินใจวันนี้ว่าพร้อมที่จะทำการเปลี่ยนแปลง เพื่อจะได้มั่นใจว่าจะสามารถสร้างสรรค์ และออกแบบชีวิตตามที่ต้องการ เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งตนเองและการงานอาชีพ ไปสู่ระดับที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน วันที่ตัดสินใจว่าจะไม่ยอมรับสภาพของการเป็นคนธรรมดา ๆ ต่อไป ทุกอย่างในชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง วันนี้จึงเป็นวันที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่มีเวลาอื่นใดที่สำคัญยิ่งไปกว่า ณ เวลานี้ เพราะการใช้ชีวิตในแบบที่กำลังเป็นอยู่ จะขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตัดสินใจนอกจากนี้ สิ่งที่ลงมือทำจะเป็นตัวกำหนดแบบอย่างจากนี้ไปตลอดทั้งชีวิต

ดังนั้น ความจริงก็คือ หากไม่เปลี่ยนแปลงตอนนี้ชีวิตก็จะไม่เปลี่ยน หากไม่มีอะไรที่ดีขึ้นชีวิตก็ไม่มีทางดีขึ้นไปกว่านี้ และถ้าไม่ทุ่มเทเวลาอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาตนเอง ชีวิตก็จะไม่มีอะไรพัฒนา แน่นอนว่าสุดท้ายก็ยังคงตื่นนอนเช่นทุกวัน และเป็นอยู่แบบเดิมเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ การให้นิยามของการมีชีวิตอันแสนพิเศษ ชีวิตที่มีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตนเอง และใช้ชีวิตตามแบบฉบับของตัวเอง ด้วยอิสรภาพในการจะลงมือทำ หรือเลือกที่จะเป็นอะไรก็ได้ และมีทุก ๆ สิ่งที่ต้องการ ดังนั้น จึงไม่มีข้ออ้างใด ๆ และไม่มีสิ่งที่ต้องรู้สึกเสียใจ เพราะต่อจากนี้ทุกสิ่งในชีวิตจะดีขึ้น จะมีแต่ชีวิตที่มหัศจรรย์ ทรงคุณค่า และน่าตื่นเต้น

บทที่ 4

ปัจจัยอะไรที่ทำให้ตื่นนอนตอนเช้านี้

ทำไมจึงรู้สึกรำคาญใจ เวลาที่ลุกขึ้นจากที่นอนในตอนเช้าของวันนี้ ลองนึกถึงเหตุผล แล้วที่ผ่าน ๆ มาทำไมต้องตื่นนอนตอนเช้าด้วย ทำไมต้องเอาตัวเองออกจากที่นอนนุ่ม ๆ ผ้าห่มอุ่น ๆ ด้วย การลุกขึ้นจากที่นอนเป็นสิ่งที่ต้องการจริงหรือ หรือเป็นเพราะว่าลุกจากที่นอนสายมากแล้ว จนกระทั่งสุดท้ายจำเป็นต้องลุกขึ้นมา ยังพอใจที่จะนอนต่อบนเตียงอย่างไม่รู้สึกตัวมากกว่าการดำเนินชีวิตอย่างมีสติและกระตือรือร้น และสร้างรูปแบบชีวิตในแบบที่บอกไว้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ คนส่วนมากมักจะถอดใจ และกลับไปใช้ชีวิตในระดับเดียวกับคนส่วนใหญ่ทั่ว ๆ ไป รวมถึงการไม่พยายามใช้ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่

อย่ารอให้สายเกินไป โอกาสจะหลุดมือ ความจริงเกี่ยวกับการตื่นนอน หากตื่นสายมากจนกระทั่งรู้สึกว่าจำเป็นต้องตื่น แสดงว่ารอคอยจนกระทั่งถึงช่วงเวลาสุดท้าย เท่าที่จะเป็นไปได้แล้วจึงลุกขึ้นจากที่นอนและเริ่มวันใหม่ การทำเช่นนี้ที่จริงแล้วเป็นการต่อต้านการดำเนินชีวิตของตัวเอง นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ที่ทนทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้า ได้ให้ความเห็นว่า ช่วงเวลาตอนเช้าเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุด เพราะพวกเขาตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว ในบางครั้งอาจเป็นเพราะหน้าที่การงาน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ และต้องออกจากบ้านไปทำงาน แท้จริงแล้วความรู้สึกทั้งหมดจะเป็นเสมือนวงเวียนหมุนไปเรื่อย ๆ นั่นคือเริ่มต้นจากการตื่นนอนด้วยความสิ้นหวัง และใช้เวลาทั้งวันหลังจากนั้นไปกับความรู้สึกเช่นนั้น และสุดท้ายก็เข้านอนด้วยความกังวลหรือซึมเศร้า แล้วก็วนเวียนอยู่กับความเศร้าโศกเช่นนี้ในวันต่อ ๆ ไป

ในทางตรงกันข้าม หากในแต่ละวันเมื่อตื่นนอนขึ้นมาด้วยความมุ่งมาดปรารถนาและมีจุดมุ่งหมาย นั่นคือกำลังเข้าสู่คนกลุ่มน้อย ซึ่งมีแต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จ และได้ใช้ชีวิตตามความฝัน และที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดก็คือจะมีความสุข ดังนั้นด้วยการเปลี่ยนแนวทางการตื่นนอนตอนเช้า จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง ต้องเรียนรู้ด้วยตนเองว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งหมดได้ โดยการเรียนรู้วิธีการตั้งใจเพื่อตื่นนอนอย่างมีสติ ในตอนเช้าวันรุ่งขึ้นด้วยความปรารถนา และความกระตือรือร้นอย่างแท้จริงเท่านั้น

ดังนั้น ไม่มีวันใดที่ดีไปกว่าวันนี้อีกแล้ว ที่จะหยุดสิ่งที่เคยเป็น เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองไปสู่คนที่ต้องการจะเป็น และยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตให้เป็นในแบบที่ต้องการ ช่วยให้ได้เป็นคนในแบบที่ฝัน ผู้ซึ่งสามารถสร้างสรรค์ ดึงดูด และรักษารูปแบบการดำเนินชีวิต ในแบบที่ต้องการมาตลอดได้โดยทันที

ที่จริงแล้วต้องการนอนเท่าไหร่กัน ปริมาณการนอนที่ดีนั้นจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล และขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ พันธุกรรม สุขภาพโดยรวม การออกกำลังกาย เป็นต้นการนอนพักผ่อนวันละ 7 ชั่วโมง อาจจะเป็นระยะเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด ในขณะที่อีกคนหนึ่งอาจจะมีความสุข และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างดี หากได้นอนวันละ 9 ชั่วโมงก็เป็นได้ จากข้อมูลของสมาคมการนอนหลับแห่งชาติ (National Sleep Foundation) พบว่ามีงานวิจัยบางส่วนในเรื่องการนอนเป็นระยะเวลานานประมาณ 9 ชั่วโมงขึ้นไป มีส่วนสำคัญต่อการเจ็บป่วย ได้แก่โรคภัยไข้เจ็บและอุบัติเหตุ และการเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น งานวิจัยนี้ยังระบุอีกว่า ปัจจัยบางประการเช่นภาวะซึมเศร้า มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการนอนหลับเป็นเวลานาน ๆ

ตื่นนอนอย่างไรให้เปี่ยมด้วยพลัง (แม้จะนอนน้อย) จากการทดลองเกี่ยวกับระยะเวลาการนอนหลับที่แตกต่างกัน รวมถึงการเรียนรู้จากผู้คนต่าง ๆ พบว่า แท้จริงแล้วการที่วิธีการนอนหลับจะส่งผลต่อร่างกายอย่างไรนั้น ก็เป็นผลมาจากความเชื่อส่วนตัวเกี่ยวกับระยะเวลาการนอนหลับที่ต้องการ ในทางตรงกันข้าม ความรู้สึกตอนที่ตื่นขึ้นมา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อคืนนอนกี่ชั่วโมง แต่เป็นผลจากการที่บอกกับตัวเองว่า จะลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความรู้สึกอย่างไรต่างหาก  ความเชื่อมโยงถึงกันระหว่างร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก และเชื่อว่าควรต้องรับผิดชอบในทุก ๆ ด้านของชีวิต รวมถึงพลังในการตื่นนอนให้ได้ทุกเช้า ด้วยความรู้สึกกระฉับกระเฉง ไม่ว่าจะนอนพักผ่อนกี่ชั่วโมงก็ตาม

เคล็ดลับในการทำให้ทุกเช้ามีความรู้สึกเหมือนเช้าวันพิเศษ ลองนึกย้อนกลับไปตอนเช้าวันไหนก็ตามที่รู้สึกตื่นเต้นมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นโอกาสใดก็ตาม ที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเวลาตื่นนอนตอนเช้า รู้สึกอย่างไรบ้างเวลาที่เช้าวันนั้นมาถึง ในเช้าของวันเหล่านั้นซึ่งตั้งตารอที่จะรีบตื่นขึ้นมาด้วยซ้ำ รู้สึกกระฉับกระเฉง มีพลัง ตื่นเต้นจริง ๆ ดีดตัวเองออกมาจากที่นอน และพุ่งไปข้างหน้าพร้อมเก็บเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้น จะเป็นอย่างไรหากทุก ๆ วันเป็นแบบนั้น แล้วทำไมมันไม่ควรจะเป็นอย่างนั้น ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

บทที่ 5

กลยุทธ์ 5 ขั้นตอนเพื่อตื่นนอนโดยไม่งีบหลับอีก

ไม่มีใครหรอกที่ชอบการตื่นแต่เช้า แต่ทุก ๆ คนชอบความรู้สึกของการจะได้ตื่นเช้า ก็เหมือนกับการออกกำลังกาย ที่ต้องต่อสู้โดยการลากสังขารไปฟิตเนส แต่ก็ชอบความรู้สึกช่วงแรกที่ตั้งใจอยากจะออกกำลังกายให้ได้ ดังนั้นการตื่นนอนแต่เช้าโดยเฉพาะการทำโดยมีจุดมุ่งหมาย ย่อมเป็นการเริ่มต้นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังกายพลังใจในวันนั้น

เพิ่มระดับแรงกระตุ้นในการตื่นนอน เวลาที่เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเช้าแต่ละวัน ก็เหมือนถูกปลุกให้ตื่นจากช่วงหลับลึก ดังนั้น การต้องลุกออกจากที่นอนแสนสบาย จึงเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจน้อยที่สุดเท่าที่อยากจะทำ ความท้าทายก็คือจะทำให้ตัวเองมีแรงกระตุ้นอย่างไร ที่จะพอทำให้ลุกขึ้นจากที่นอนแต่เช้า และทำให้วันนั้นเป็นวันที่พิเศษไปจากเดิม คำตอบนั้นง่ายมากนั่นคือค่อย ๆ ทำไปทีละขั้นตอน โดย 5 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่จะทำให้ตื่นนอนในตอนเช้ามีดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 ตั้งปณิธานก่อนเข้านอน กุญแจสำคัญประการแรกสำหรับการตื่นนอนคือ การจำให้ดีว่าความคิดแรกของยามเช้า คือความคิดสุดท้ายของคืนวันก่อนหน้า เช่น ทุกคนคงเคยมีค่ำคืนที่นอนไม่ค่อยหลับ เพราะรู้สึกตื่นเต้นที่จะพบเจอสิ่งต่าง ๆ ในวันรุ่งขึ้น เมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น จะลืมตาขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้น และตื่นเต้นที่จะลุกขึ้นจากที่นอน เพื่อพร้อมรับวันสำคัญนี้

ในทางตรงกันข้าม ถ้าความคิดสุดท้ายก่อนเข้านอนเป็นดังเช่นว่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีเวลานอนแค่ 6 ชั่วโมงเท่านั้นก็ต้องตื่นขึ้นมา แล้วพรุ่งนี้ต้องล้าแน่ ๆ ดังนั้นเมื่อนาฬิกาปลุกดังขึ้น ความคิดแรกก็คือนี่มัน 6 ชั่วโมงแล้วหรือไม่นะยังอยากนอนต่อ

ดังนั้น กุญแจสำคัญก็คือ ต้องกำหนดจิตใจอย่างมีสติในทุก ๆ คืน เพื่อสร้างความคาดหวังเชิงบวกในวันถัดไป

ขั้นตอนที่ 2 วางนาฬิกาปลุกคนละมุมห้องกับที่นอน ย้ายนาฬิกาปลุกไปให้ไกลจากที่นอน ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะจะบังคับให้ต้องลุกขึ้นจากที่นอน และร่างกายจะได้เคลื่อนไหวซึ่งทำให้เกิดพลังงาน เป็นการทำให้ตื่นนอนโดยธรรมชาตินั่นเอง ในทางตรงกันข้ามหากวางนาฬิกาปลุกไว้ใกล้ตัว เมื่อตื่นจะยังสะลึมสะลือ เวลาที่เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น และเป็นการยากที่จะทำให้ตื่นได้ การบังคับตัวเองให้ลุกขึ้นมาเพื่อปิดนาฬิกาปลุก จะเป็นการเพิ่มระดับแรงกระตุ้นในการตื่นนอน จากระดับ 1 เป็นระดับ 2

ขั้นตอนที่ 3 แปรงฟัน ช่วงที่ผ่านมา 2-3 นาทีแรก ทำกิจกรรมที่ยังไม่ได้เกี่ยวข้องกับสติมากนัก และเน้นให้ร่างกายตื่นขึ้นเป็นหลัก ดังนั้น ให้เดินตรงไปที่อ่างน้ำเพื่อแปรงฟัน และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ๆ (หรือเย็นก็ได้) กิจกรรมง่าย ๆ เช่นนี้ จะเพิ่มระดับแรงกระตุ้นในการตื่นนอน จากระดับ 2 เป็นระดับ 3 หรืออาจจะ 4 ก็เป็นได้

ขั้นตอนที่ 4 ดื่มน้ำ 1 แก้วเต็ม การเติมน้ำเข้าไปในร่างกายในตอนเช้าเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ๆ เพราะเมื่อคืนนี้ร่างกายขาดน้ำเป็นเวลากว่า 6-8 ชั่วโมง โดยธรรมชาติแล้วร่างกายจะสูญเสียน้ำไปอย่างช้า ๆ และอาการขาดน้ำนี่แหละที่เป็นสาเหตุให้เกิดอาการอ่อนล้า ดังที่ทราบกันดีว่าในช่วงระหว่างวัน เวลาที่เหนื่อยล้าสิ่งที่ต้องการก็คือน้ำ ไม่ใช่การนอนหลับ หลังจากที่ดื่มน้ำและร่างกายเริ่มสดชื่นแล้ว ระดับแรงกระตุ้นในการตื่นนอนจะเพิ่มขึ้นไปจากระดับ 3 หรือ 4 เป็นระดับ 4 หรือ 5

ขั้นตอนที่ 5 เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังกาย สุดท้ายคือการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อพร้อมในการออกจากห้องนอน และเริ่มเปลี่ยนชีวิตด้วยกิจกรรมยามเช้า คนบางคนอาจจะเลือกที่จะเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการอาบน้ำตอนเช้า แต่ควรใช้เวลาตอนเช้าในการอาบเหงื่อ ด้วยการออกกำลังกายเป็นอันดับแรก การออกกำลังกายยามเช้าเป็นสิ่งสำคัญ ในการปลูกศักยภาพในตัวออกมาด้วย เพราะด้วยกิจกรรมจะทำให้สถานะทางร่างกาย จิตใจ และอารมณ์พุ่งขึ้นสูงสุด ซึ่งจะทำให้เอาชนะสิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นได้อย่างดี จะพบว่าใช้เวลาไปเพียง 5 นาทีสำหรับ 5 ขั้นตอนง่าย ๆ และเมื่อทำเสร็จแล้วตอนนี้ ระดับแรงกระตุ้นในการตื่นนอนน่าจะอยู่ที่ระดับ 5-6

บทที่ 6

The Life S.A.V.E.R.S. หลักปฏิบัติ 6 ประการ

เพื่อช่วยให้ออกจากชีวิตที่ใช้ศักยภาพไม่เต็มที่

รู้สึกเครียด ทุกสิ่งรุมเร้า ผิดหวังไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง และทุกข์ใจ คำเหล่านี้แสดงออกถึงความรู้สึกเศร้าใจ ราวกับว่าเป็นความโชคไม่ดีเสียเหลือเกิน แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งก็นับว่า เป็นคำนิยามที่ตรงความหมาย และเหมาะสมกับความรู้สึกของคนซึ่งใช้ชีวิตธรรมดา ๆ ทั่วไป ที่จะรู้สึกแบบนี้ได้บ่อยครั้ง

ช่องว่างของศักยภาพ เคยรู้สึกว่าสภาพชีวิตที่ต้องการ และการเป็นบุคคลในแบบที่ใฝ่ฝันนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อมไหม รู้สึกว่ากำลังไล่ตามศักยภาพของตัวเอง ซึ่งก็ทราบดีว่ามันอยู่ตรงนั้น มองเห็นชัดเจน แต่ยังไม่เคยคว้าได้เลย ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในด้านที่มีช่องว่างทางศักยภาพ ช่องว่างที่แยกออกจากบุคคลที่สามารถจะเป็นได้ มักจะรู้สึกผิดหวังกับตัวเอง ขาดแรงบันดาลใจ ขาดความพยายาม และไร้ผลลัพธ์ที่ต่อเนื่องในด้านใดด้านหนึ่ง หรือมากกว่านั้นของชีวิต โดยใช้เวลาในการคิดมากเกินไปว่า จะทำอะไรดีเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการแต่ไม่ลงมือทำสักที ที่จริงแล้วรู้ดีว่าต้องทำอะไรเพียงแต่ไม่ลงมือทำสิ่งนั้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ก็คือช่องว่างทางศักยภาพ  ซึ่งแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล เครื่องมือ 6 ชนิดที่ทำให้สามารถเดินทางไปจากจุดที่อยู่ในปัจจุบัน โดยเริ่มจากการยอมรับในสิ่งที่ทราบว่าทำให้เป็นจริงได้ และเริ่มพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นบุคคลที่ทราบดีว่า จะสามารถเป็นเช่นนั้นได้

ชีวิตไม่เป็นอย่างที่คิด พวกเราส่วนมากมักจะยุ่งวุ่นวายกับการพยายามจัดการรักษา หรือแม้แต่จะทำให้สถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตอยู่รอดได้ โดยแทบไม่ได้ใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือชีวิตของตัวเราเอง ชีวิตก็คือตัวตนที่อยู่ในระดับที่ลึกที่สุด ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบ ทัศนคติ และความนึกคิดภายใน ซึ่งสามารถมอบพลังในการปรับเปลี่ยน แผ่ขยาย หรือแม้แต่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทุก ๆ ช่วงเวลาของชีวิต ชีวิตคนเรายังประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ทางร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และจิตวิญญาณ หรือที่เรียกว่า P.I.E.S. ซึ่งหลอมรวมกันในตัวมนุษย์ทุกคน โดยทางร่างกาย (Physical) ก็คือร่างกาย สุขภาพ และพลังกาย ทางด้านสติปัญญา (Intelligence) ก็คือการประสานกันระหว่างจิตใจ สติปัญญา และความคิด ส่วนด้านอารมณ์ (Emotional) ก็คืออารมณ์ ความรู้สึก และทัศนคติ สำหรับด้านจิตวิญญาณ (Spiritual) ก็คือสิ่งที่สัมผัสไม่ได้ เช่น จิตวิญญาณ ตัวตน รวมถึงพลังขั้นสูงที่มองไม่เห็น ซึ่งควบคุมสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมด

นักปราชญ์และผู้รู้เคยสอนว่า โลกภายนอกเป็นสิ่งสะท้อนโลกภายใน ดังนั้นการให้ความสัมคัญกับเวลา และความทุ่มเทในแต่ละวัน เพื่อพัฒนา P.I.E.S. และทำให้กลายเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้น จะทำให้สถานะการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตพัฒนาไปโดยอัตโนมัติ

ถึงเวลาพบกับชีวิตที่พิเศษ และเต็มเปี่ยมด้วยศักยภาพ สำหรับผู้คนส่วนใหญ่พวกเขาไม่มีโอกาสได้พบกับชีวิตที่พิเศษ และเต็มเปี่ยมด้วยศักยภาพที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริงในระดับ 10 เพราะแต่ละวันพวกเขาถูกรุมเร้า และใช้เวลามากเกินไปกับสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ทำให้กินเวลาส่วนใหญ่ไปเกือบหมด จนละเลยสิ่งที่สำคัญหรือเรื่องที่สำคัญมากที่สุดไป เพื่อไม่ให้ชีวิตระดับ 10 ถูกละเลย และถูกจำกัดด้วยความต้องการมากมายในชีวิตไปมากกว่านี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องจัดลำดับสิ่งสำคัญทั้งหมด และทุ่มเทเวลาในแต่ละวันเพื่อการพัฒนาตนเอง เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงโลกภายในซึ่งก็คือชีวิต แล้วจากนั้นโลกภายนอกอันหมายถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต ก็จะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น ควบคู่กันไปด้วยเช่นกัน จากนี้ไปคือ The Life S.A.V.E.R.S. หลักปฏิบัติ 6 ประการ เพื่อชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม

S – ความสงบนิ่ง (Silence) เป็นวิธีปฏิบัติประการแรก อาจจะเป็นหนึ่งในเรื่องที่สำคัญมากที่สุด ต่อการพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตที่วุ่นวายเร่งรีบ และถูกบังคับให้ตื่นตัวตลอดเวลา หมายถึงพลังที่ตั้งใจที่จะทำให้จิตใจสงบ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตโดยคำว่าตั้งใจ สามารถอธิบายได้ง่ายที่สุดคือ การที่อยู่ในห้วงเวลาแห่งความสงบ เพื่อให้จิตใจรู้สึกดียิ่งขึ้น โดยมิใช่เพียงแค่ทำเพื่อให้เกิดความเงียบเท่านั้น เริ่มต้นในแต่ละวันด้วยจิตใจที่นิ่งสดใสและปรารถนาดี ซึ่งจะทำให้มีสมาธิในเรื่องที่สำคัญกับชีวิต และแม้แต่ช่วงเวลาสำคัญ กำลังเข้าสู่การพบกับความสุขที่แท้จริง แน่นอนว่าวิธีนี้ ย่อมตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้คนส่วนมากทำกัน ดังนั้นสิ่งสำคัญคือ จะต้องไม่อยู่ที่เตียงนอน เพื่อปฏิบัติตามวิธีแรกนี้ แต่ควรออกจากห้องนอน ทำกิจกรรมที่ทำในช่วงเวลาของความสงบนิ่งมีดังนี้

การทำสมาธิ สาระสำคัญของการทำสมาธิก็คือ ความสงบนิ่งหรือการทำให้จิตใจมีความตั้งมั่นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ประโยชน์ทางด้านสุขภาพที่ได้รับเป็นพิเศษจากการทำสมาธิ จากงานวิจัยมากมายได้ระบุชัดเจนว่า การทำสมาธิย่อมเป็นประโยชน์มากกว่าการรับประทานยา โดยเชื่อมโยงการปฏิบัติสมาธิกับการพัฒนาระบบการเผาผลาญในร่างกาย ความดันโลหิต การทำงานของสมอง และระบบอื่น ๆ ในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาความเครียด และความเจ็บปวด นอนหลับได้ดีขึ้น มีสมาธิและตั้งใจมากขึ้น ตลอดจนมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การทำสมาธิยังใช้เวลาไม่นานมาก สามารถได้รับประโยชน์จากการทำสมาธิด้วยเวลาเพียงแค่ 2-3 นาทีต่อวันเท่านั้น ไม่มีเส้นทางใดเพียงเส้นทางหนึ่งโดยเฉพาะ เมื่ออยู่ในช่วงแห่งความสงบนิ่ง อาจจะสวดมนต์ นั่งสมาธิ และขอบคุณถึงสิ่งต่าง ๆ หรือแม้แต่จะคิดอะไรบางอย่างลึกซึ้ง ช่วงเวลาแห่งความสงบนิ่ง ควรมีระยะเวลาประมาณ 5 นาที พิจารณาเพื่อขอบคุณต่อสิ่งต่าง ๆ ไม่ค่อยหายใจลึก ๆ ประมาณ 5 นาที นี่ช่างเป็นวิธีที่สุขสงบ และสมบูรณ์แบบ ในการเริ่มต้นวันใหม่ได้อย่างดีเยี่ยมจริง ๆ

A – คำปฏิญาณ (Affirmation) นับว่าเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่มีประสิทธิผลมากที่สุด ในการที่จะทำให้กลายเป็นคนในแบบที่ต้องการ เพื่อจะประสบความสำเร็จในทุก ๆ สิ่งที่ปรารถนาในชีวิต เพราะคำปฏิญาณจะให้โอกาสในการออกแบบ และพัฒนาทัศนคติ ความคิด ความเชื่อ สิ่งที่มุ่งเน้นที่ต้องการ เพื่อนำพาตัวเองไปสู่ชีวิตในระดับที่สูงขึ้นจากที่เป็นอยู่ในตอนนี้ การที่พูดกับตัวเองจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อระดับความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต ทั้งความมั่นใจ สุขภาพ ความสุข ความมั่งคั่ง ความสัมพันธ์ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้คำปฏิญาณจึงอาจจะเป็นประโยชน์ หรือต่อต้านชีวิตก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้มันอย่างไรเวลาที่ออกแบบ และเขียนคำปฏิญาณเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการจะประสบความสำเร็จ คนที่ใฝ่ฝันและให้สัญญาว่าจะประกาศเป็นประจำทุกวัน จงเขียนคำปฏิญาณสำหรับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตที่ต้องการ ให้มันดีขึ้นจากสภาพปัจจุบันด้วย โดยเริ่มใช้คำปฏิญาณในด้านสุขภาพ การเงิน ความสัมพันธ์ ความสุขโดยภาพรวม ความมั่นใจ และเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องการให้ความเชื่อ ทัศนคติ และอุปนิสัย ได้รับการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เพราะไม่มีเรื่องใดที่มีข้อจำกัด

5 ขั้นตอนง่าย ๆ ในการสร้างคำปฏิญาณด้วยตนเอง สามารถทำได้ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 ระบุให้ชัดเจนว่าอะไรคือสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง จุดมุ่งหมายของการเขียนคำปฏิญาณคือ การตั้งโปรแกรมในจิตใจด้วยความเชื่อ ทัศนคติ และพฤติกรรม หรืออุปนิสัยที่มีความสำคัญต่อตัวเอง เพื่อที่จะสามารถดึงดูด สร้าง และรักษาระดับความสำเร็จที่ต้องการ แน่นอนว่าคือระดับ 10 ในทุก ๆ เรื่องของชีวิต ดังนั้นสิ่งสำคัญอันดับแรกคือ คำปฎิญาณจะต้องระบุชัดเจนว่า ต้องการให้ชีวิตในอุดมคตินั้นเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม

ขั้นตอนที่ 2 ถามคำถามว่าทำไมจึงต้องการ ทุก ๆ คนต้องการมีความสุข สุขภาพที่แข็งแรง และประสบความสำเร็จ แต่ความต้องการเหล่านี้ แทบจะไม่ใช่กลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ ในการจะทำให้ได้มาด้วยซ้ำ สำหรับผู้ที่เอาชนะกับดักของการเป็นคนธรรมดา ๆ และได้รับสิ่งที่ต้องการในชีวิต จะต้องการทราบสาเหตุในระดับที่มากเป็นพิเศษ เพื่อเป็นแรงผลักดันสิ่งสำคัญที่สุดคือ การคิดถึงสาเหตุในระดับที่ลึกสุดของทุกเรื่อง ที่ต้องการความเข้าใจอย่างถ่องแท้ที่สุดว่า ทำไมจะช่วยให้มีจุดมุ่งหมายที่แน่วแน่ และไม่มีสิ่งใดมาหยุดยั้งได้

ขั้นตอนที่ 3 ระบุให้ชัดเจนถึงรูปแบบของอนาคตที่ให้คำมั่นว่าจะสร้างขึ้นมา โลกภายนอกของชีวิตจะดียิ่งขึ้น เพียงแค่ลงทุนเวลามากมาย เพื่อพัฒนาตนเอง การเป็นคนที่ต้องการ การทำสิ่งที่ต้องทำ เป็นข้อกำหนดพื้นฐาน สำหรับการที่จะมีสิ่งที่ต้องการ ดังนั้น ขอให้ระบุชัดเจนถึงตัวตนในอนาคตในแบบที่ต้องการ และให้คำมั่นสัญญาว่าจะเป็นเช่นนั้น เพื่อนำพาให้ชีวิต ธุรกิจ สุขภาพ การแต่งงาน เป็นต้น ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นต่อไป

ขั้นตอนที่ 4 ระบุให้ชัดเจนถึงสิ่งที่ให้คำมั่นว่าจะทำเพื่อให้บรรลุความสำเร็จ ต้องการทำอะไรบ้าง เพื่อทำให้วิสัยทัศน์เรื่องชีวิต ในแบบที่ต้องการ สามารถเป็นความจริงขึ้นมาได้ การเริ่มกิจกรรมในระดับเล็ก ๆ ก่อนเป็นสิ่งสำคัญมาก จึงควรเป็นขั้นตอนที่สามารถเริ่มต้นทำได้ขึ้นไปเรื่อย ๆ การรู้สึกว่าตนเองบรรลุเป้าหมายทีละเล็กทีละน้อยตลอดเส้นทาง จะทำให้รู้สึกดีโดยไม่รู้สึกท้อแท้จากความคาดหวังที่สูงจนเกินไป กว่าที่จะสามารถรักษาให้คงอยู่ตลอดไปอย่างต่อเนื่องได้ ทั้งนี้สามารถสร้างเป้าหมายสูงสุดได้ โดยการเขียนเป้าหมายประจำวันหรือประจำสัปดาห์ และตัดสินใจได้เองว่าควรจะเพิ่มขึ้นเมื่อใด

ขั้นตอนที่ 5 เพิ่มข้อความ และหลักปรัชญาที่สร้างแรงบันดาลใจ เมื่อใดก็ตามที่มองเห็นหรือได้ยินข้อความที่สร้างแรงบันดาลใจ หรือพบกับหลักปรัชญา หรือกลยุทธ์ที่เสริมพลังใจ  และคิดกับตัวเองว่า นี่มันเป็นเรื่องของการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ ขอให้ใส่เพิ่มสิ่งนั้นเข้าไปในคำปฏิญาณ และด้วยการให้ความสำคัญในเรื่องนี้ในทุก ๆ วัน ก็จะเริ่มผสมผสานหลักปรัชญา และกลยุทธ์เข้าไปในวิธีคิด และการใช้ชีวิตซึ่งจะส่งผลต่อการปรับปรุงผลลัพธ์ และคุณภาพของชีวิตในที่สุด

V – การสร้างภาพจินตนาการ (Visualization) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของการทำให้เห็นเป็นภาพเชิงสร้างสรรค์ หรือการซักซ้อมทางจิตใจ หมายถึงการปฏิบัติเพื่อเสาะหาการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกในโลกภายนอก โดยการใช้จินตนาการเพื่อสร้างภาพในจิตใจ เกี่ยวกับพฤติกรรมและผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง ที่จะเกิดขึ้นในชีวิต

จะสร้างจินตนาการสำหรับอะไรบ้าง คนส่วนใหญ่จะถูกจำกัดด้วยภาพจำในอดีต โดยฉายความล้มเหลว และสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจ วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไรก็ดี การสร้างภาพจินตนาการจะช่วยออกแบบสิ่งที่ต้องการในอนาคตที่อยู่ในใจ และช่วยทำให้มั่นใจว่า จะเป็นแรงผลักดันไปสู่อนาคตที่ต้องการ ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นไปด้วยแรงกระตุ้น น่าตื่นเต้น และปราศจากข้อจำกัด การสร้างภาพจินตนาการ ด้วยขั้นตอนง่าย ๆ 3 ขั้นตอน หลังจากที่อ่านคำปฏิญาณ ปิดตา และทำใจสงบนิ่ง หายใจลึก ๆ จากนั้นใช้เวลาประมาณ 5 นาที ในการสร้างภาพจินตนาการ ในวันที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งทำทุกอย่างด้วยความสบายใจ เชื่อมั่น และสนุกสนาน

ขั้นตอนที่ 1 เตรียมตัวให้พร้อม บางคนอาจเปิดฟังดนตรีเบา ๆ ประกอบ นั่งสบาย ๆ

ขั้นตอนที่ 2 สร้างภาพจินตนาการสิ่งที่ต้องการ

ขั้นตอนที่ 3 จินตนาการคนที่อยากเป็น และสิ่งที่ต้องทำ

สร้างกระดานแสดงภาพในอนาคต เป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง หรือจะทำกับเพื่อน ๆ คนสำคัญหรือแม้แต่ลูก ๆ ของคุณก็ได้ เพราะเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เห็นเป็นรูปธรรม และเป็นหลักยึดในช่วงที่ทำการสร้างภาพจินตนาการ การมองกระดานทุกวันอาจจะเพิ่มแรงกระตุ้น และช่วยให้ยังใส่ใจและมุ่งมั่นในเป้าหมาย แต่ต้องไม่ลืมว่า การลงมือทำเท่านั้น ที่จะทำให้ได้ผลกับผลลัพธ์ที่แท้จริงได้

E – ออกกำลังกาย (Exercise) ควรเป็นกิจกรรมสำคัญของกิจวัตรประจำวัน เมื่อใดก็ตามที่ออกกำลังกายประมาณ 2-3 นาทีทุก ๆ เช้า จะเป็นการกระตุ้นพลังงาน เสริมสร้างสุขภาพ ปรับปรุงความมั่นใจตนเอง และสภาวะทางอารมณ์ นอกจากนี้ยังช่วยให้มีความคิดที่ปลอดโปร่ง และมีสมาธิที่นานขึ้น ประโยชน์ของการออกกำลังกายในตอนเช้ามีมากมายจนมิอาจละเลยได้ ตั้งแต่ทำให้ตื่นตัวและอารมณ์แจ่มใส จนช่วยรักษาระดับพลังงานให้อยู่ในระดับสูงตลอดทั้งวัน ดังนั้น การออกกำลังกายหลังจากตื่นนอนขึ้นมา สามารถช่วยพัฒนาชีวิตได้ในหลายด้าน

R – การอ่าน (Reading) นับว่าเป็นเส้นทางลัดที่ช่วยเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ ด้านของชีวิตนอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้มาซึ่งความรู้ แนวคิด และกลยุทธ์ที่ต้องการ เพื่อบรรลุความสำเร็จในระดับ 10 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ ก็ตามในชีวิตได้โดยทันที การอ่านเปรียบเสมือนกุญแจไปสู่การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งได้ลองทำสิ่งที่ต้องการมาแล้ว ดังนั้น จึงไม่ต้องเสียเวลาทดลองอีกครั้ง ทั้งนี้เส้นทางที่รวดเดียวที่สุด ในการบรรลุทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ ทำตามแบบบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งได้ทำได้ตามเป้าหมายนั้นแล้ว และด้วยหนังสือจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนในทุก ๆ หัวข้อจึงไม่มีข้อจำกัดใด ๆ ที่จะขวางกั้นจากการได้มาซึ่งความรู้ โดยการอ่านหนังสือในทุก ๆ วัน

ควรอ่านหนังสือมากแค่ไหน ควรให้คำมั่นกับตัวเองว่าจะอ่านหนังสือให้ได้อย่างน้อย 10 หน้าต่อวัน ลองคำนวณเล่น ๆ ว่าการอ่านหนังสือ 10 หน้าต่อวันไม่ได้ทำร้ายใครอย่างแน่นอน แต่กลับจะสร้างให้แกร่งขึ้นด้วยซ้ำ จะใช้เวลาเพียง 10-15 นาทีเท่านั้นสำหรับการอ่านหนังสือ หรืออาจจะ 15-30 นาทีกรณีที่อ่านหนังสือช้า

S – เขียน (Scribing) เป็นวิธีปฏิบัติสุดท้าย และเป็นคำที่มีความหมายเดียวกับคำว่า Writing การเขียนบันทึก เป็นหนึ่งในรูปแบบของการเขียน ก็คือการเขียนบันทึกโดยการรวบรวมความคิดในหัว แล้วเรียบร้อยออกมาผ่านการเขียน ก็จะได้แนวคิดอันแสนวิเศษมากมายที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งจะช่วยให้สามารถจัดระเบียบแนวคิดความคิด ให้ได้แนวคิดใหม่ ๆ การตกผลึกทางความคิด ความสำเร็จ และบทเรียน รวมถึงโอกาสการเติบโต หรือแม้แต่การพัฒนาตนเองด้วย

การอ่านทบทวนบันทึก พิจารณาการกระทำ กิจกรรม และความคืบหน้าที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกชื่นชมในตัวเอง ที่สามารถบรรลุเป้าหมายสำเร็จในเรื่องต่าง ๆ และที่สำคัญมากที่สุดก็คือ ได้ทบทวนบทเรียนในชีวิตที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งหลายประเด็นเป็นสิ่งที่อาจจะลืมไปบ้างแล้ว

มองไปที่ช่องว่างทางศักยภาพ มันทำร้ายหรือช่วยกันแน่ มนุษย์เรานั้นโดยธรรมชาติแล้วจะมีสิ่งที่เรียกว่า มองที่ช่องว่างของศักยภาพตัวเอง โดยมักจะใส่ใจต่อปัญหาระหว่างสิ่งที่เป็นอยู่กับสิ่งที่อยากเป็น ปัญหาก็คือการมองว่า ตัวเองยังมีช่องว่างอยู่ตลอดเวลานั้น อาจกลายเป็นสิ่งที่บั่นทอนความเชื่อมั่น และภาพลักษณ์ของตัวเองได้ ซึ่งจะทำให้รู้สึกว่ายังมีไม่มากพอ ยังไม่ประสบความสำเร็จมากพอ หรือแม้แต่ยังไม่ดีพอ หรืออย่างน้อยที่สุดคือ ยังไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็นนั่นเอง

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างน่าประหลาดใจก็คือ การมองที่ช่องว่างของตัวเอง ที่เป็นเหตุผลสำคัญของการเป็นคนที่ประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน เพราะความปรารถนาที่ไม่มีวันพอ มีการพยายามจะปิดช่องว่างดังกล่าว กลับเป็นเชื้อไฟอันแรงกล้าที่ทำให้พวกเขามุ่งไปสู่ความเป็นเลิศ และช่วยผลักดันให้ไปสู่ความสำเร็จ สำหรับช่องว่างที่ว่านั้น อาจเป็นประโยชน์และทำให้เป็นคนที่มีประสิทธิภาพ อาจเกิดจากมุมมองเชิงบวก เชิงรุก รวมถึงการคิดว่า “ฉันให้คำมั่นสัญญากับตัวเอง และรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะปลดปล่อยศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่ โดยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิ่งนั้นเลยแม้แต่น้อย” น่าเสียดายที่ว่าคนที่คิดได้เช่นนี้มีจำนวนไม่มากนัก เพราะคนทั่ว ๆ ไปรวมถึงคนที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงโดยทั่ว ๆ ไป มักจะใส่ใจต่อช่องว่างในตัวพวกเขาในทางลบเท่านั้น

การทำสิ่งใดก็ตามย่อมจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากก่อน ที่ต่อมาจะเริ่มรู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายทุก ๆ ประสบการณ์ใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากลำบาก ก่อนจะเริ่มสบายขึ้น ดังนั้น ยิ่งฝึกการใช้ The Life S.A.V.E.R.S. 6 ประการมากเพียงใด ก็จะรู้สึกว่าจะปฏิบัติได้อย่างเป็นธรรมชาติ และเป็นเรื่องปกติมากเพียงนั้น

บทที่ 7

ตื่นเช้าสักนิดเปลี่ยนชีวิตได้ภายใน 6 นาที

บางทีคำถามหรือสิ่งที่ผู้คนมักจะกังวลมากที่สุด เท่าที่ได้รับเกี่ยวกับหลัก Miracle Morning ชีวิตดีขึ้นเมื่อตื่นเช้าก็คือ จะต้องใช้เวลาปฏิบัตินานแค่ไหน ระดับความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต ถูกจำกัดโดยระดับของการพัฒนาตนเองที่มีไม่มากพอ ดังนั้น ความท้าทายอันยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือ การหาเวลาเพื่อลงมือทำให้เกิดเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ การที่ใช้เวลาอย่างน้อยที่สุด 6 นาทีต่อวัน เพื่อทำให้กลายเป็นบุคคลที่ใฝ่ฝัน และสร้างระดับความสำเร็จ อีกทั้งความสุขตามที่ต้องการในชีวิตนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล แต่ยังเป็นสิ่งที่ต้องลงมือทำอย่างแท้จริง แม้จะมีข้อจำกัดทางด้านเวลาก็ตาม จินตนาการว่าช่วงเวลา 6 นาทีในทุก ๆ เช้าจะเป็นเช่นนี้

นาทีที่ 1 นึกภาพว่ากำลังตื่นนอนขึ้นมาอย่างมีความสุขในตอนเช้า หาวนอนเต็มที่ บิดตัวไปมา และยิ้มอย่างเต็มที่ แทนที่จะเร่งรีบ ตื่นเต้น เครียด และรู้สึกว่าทุกสิ่งถาโถมเข้ามาตลอดเวลา แต่ได้ใช้ช่วงเวลานาทีแรกของวันไปกับการนั่งเฉย ๆ เงียบ ๆ ตั้งใจให้ตนเองสัมผัสได้ถึงความสงบนิ่งอย่างแท้จริง นั่งนิ่ง ๆ สงบ และหายใจลึก ๆ ช้า ๆ หรือภาวนา

นาทีที่ 2 จากนั้นให้หยิบคำปฏิญาณประจำวันออกมา เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยย้ำเตือนถึงศักยภาพที่ไม่มีขีดจำกัด และลำดับสิ่งสำคัญต่าง ๆ ในชีวิตจากนั้นให้อ่านดัง ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะการที่ใส่ใจต่อสิ่งที่สำคัญมากที่สุดในชีวิต จะทำให้ระดับแรงกระตุ้นภายในมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย

นาทีที่ 3 นาทีนี้ขอให้ปิดตา หรือมองไปที่กระดานที่เขียนวิสัยทัศน์ในชีวิต และลองจินตนาการข้อความให้กลายเป็นภาพ เพราะการสร้างภาพจินตนาการจะช่วยสรุปรวบยอดสิ่งที่จะเกิดขึ้น และความรู้สึกเมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว

นาทีที่ 4 ในนาทีนี้ขอให้ใช้เวลาในการเขียนขอบคุณต่อสิ่งต่าง ๆ สิ่งที่ภาคภูมิใจ หรือผลลัพธ์ของสิ่งที่ตั้งใจจะลงมือทำในวันนั้น

นาทีที่ 5 จากนั้นให้หยิบหนังสือด้านการพัฒนาตนเอง และใช้เวลา 1 นาทีที่มหัศจรรย์นี้ ในการอ่านเนื้อหาสัก 1-2 หน้า แล้วจะได้แนวคิดใหม่ ๆ หรือสิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน

นาทีที่ 6 สุดท้ายขอให้ลุกขึ้นยืน และใช้เวลานาทีนี้ไปกับการขยับร่างกายเป็นเวลา 60 นาที โดยอาจจะเป็นการวิ่งอยู่กับที่ กระโดดตบ วิดพื้น หรือซิทอัพก็ได้ เพราะประเด็นสำคัญคือ การเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ สร้างพลังงาน และเพิ่มระดับการตื่นตัว ทำให้มีสมาธิมากขึ้น

จะรู้สึกอย่างไรหากได้ใช้เวลา 6 นาทีแรกของวันอย่างเต็มที่ ลองนึกภาพว่าคุณภาพของการใช้ชีวิตในวันนั้น และรวมถึงชีวิตโดยรวมจะดีขึ้นอย่างไรบ้าง

บทที่ 8

ออกแบบการตื่นเช้าที่เหมาะกับตัวเอง

เพื่อบรรลุเป้าหมายและความฝันอันยิ่งใหญ่

จนถึงตอนนี้สิ่งที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกก็คือ The Life S.A.V.E.R.S. หลัก 6 ประการที่ช่วยเร่งการพัฒนาตนเอง ในระหว่างที่กำลังปฏิบัติตามหลัก Miracle Morning ชีวิตดีขึ้นเมื่อตื่นเช้า อย่างไรก็ตามหลักปฏิบัตินี้สามารถออกแบบให้เหมาะสมกับตัวเองได้ 100% กล่าวคือทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ตื่นนอน จนถึงช่วงที่ปฏิบัติตามหลักการ ตลอดจนกิจกรรมทั้งหมดที่ลงมือทำทุกช่วงเวลา และลำดับของกิจกรรมต่าง ๆ นั้นไม่มีข้อจำกัดในการทำ ให้หลักปฏิบัติดังกล่าวเป็นไปในรูปแบบที่เฉพาะตัว ซึ่งเหมาะสมต่อการใช้ชีวิตของตัวเอง และยังช่วยให้บรรลุเป้าหมายสำคัญ ๆ ได้เร็วกว่าที่เคยทำได้อีกด้วย

เวลาที่ควรตื่นนอนและเริ่มลงมือ แน่นอนว่าการตื่นเช้ากว่าปกติ และเริ่มต้นลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ในเชิงรุกย่อมมีข้อดีหลายประการ อย่างไรก็ตามสำหรับบางคนนั้น ตารางชีวิตและรูปแบบการใช้ชีวิตอาจจะไม่ได้เอื้อให้สามารถทำเช่นนั้นได้ง่ายนัก สาระสำคัญของหลักการ จึงอยู่ที่การตื่นนอนในช่วงเวลาที่เร็วกว่าเดิมจากที่เคยทำ เพื่อที่ว่าในแต่ละวันจะสามารถทุ่มเทเวลาในการพัฒนาตนเอง และเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ในที่สุด

ทานเมื่อไหร่ สิ่งสำคัญที่พึงระลึกไว้เสมอคือ การย่อยอาหารเป็นหนึ่งในกระบวนการที่เผาผลาญพลังงานมากที่สุดในร่างกายในแต่ละวัน หมายความว่าหากรับประทานอาหารเข้าไปมากเพียงใด ปริมาณอาหารที่ร่างกายจะต้องทำการย่อยก็จะมากขึ้น และแน่นอนว่าจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นไปด้วย จะมั่นใจได้ว่าเลือดในร่างกาย จะหมุนเวียนไปยังบริเวณสมองมากกว่าไปที่ส่วนท้อง เพื่อทำการย่อยอาหาร ซึ่งจะทำให้การตื่นตัวและมีสมาธิ หากรู้สึกว่าต้องรับประทานอะไรสักอย่างเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า ต้องมั่นใจว่าจะเป็นอาหารเบา ๆ ย่อยง่าย เช่น ผลไม้สด หรือน้ำผลไม้ปั่น รับประทานมากกว่านั้นก็ได้ แต่ต้องใช้เวลาสั้น ๆ ไม่กี่นาทีเท่านั้น

ทำไมต้องทาน คนส่วนใหญ่ทานอาหารโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของรสชาติเป็นหลัก และหากจะพิจารณาให้ลึกลงไป ก็จะพบว่าอาจใช้อารมณ์ความรู้สึกร่วมที่มีต่อรสชาติที่ชอบนั้น อยู่บนพื้นฐานของอารมณ์สุขใจที่ได้รับจากการลิ้มลองรสชาติอาหารนั้น ๆ มากกว่าต้องการได้รับพลังงานมากขึ้น และถ้าต้องการมีชีวิตที่แข็งแรง และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้น สิ่งสำคัญก็คือควรต้องทบทวนสาเหตุของการรับประทานอาหารที่เลือก และที่สำคัญมากกว่านั้นคือ ต้องเพิ่มการประเมินคุณค่าที่มีต่อสุขภาพ และพลังงานที่จะได้รับมากพอ ๆ กับหรือมากกว่าเรื่องรสชาติเพียงอย่างเดียว

ควรทานอะไร เพื่อให้ตื่นนอนโดยไม่งีบหลับอีก การดื่มน้ำเปล่า 1 แก้วในช่วงเช้า เป็นการเริ่มต้นยามเช้าที่แสนมหัศจรรย์กับกาแฟ โดยไม่กระทบกับเวลาในการพัฒนาตัวเอง โดยการตั้งเวลาตื่นนอนเร็วขึ้นสัก 15 นาที เพื่อใช้เวลากับกาแฟถ้วยโปรด  สำหรับประเด็นที่ว่า ควรทานอะไรมีข้อพิสูจน์แล้วว่า สารอาหารที่อยู่ในอาหารสด เช่น ผลไม้หรือผักสด จะช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย ช่วยทำให้มีสมาธิ และสภาพทางอารมณ์และจิตใจที่ดียิ่งขึ้น ช่วยรักษาสุขภาพและป้องกันจากโรคภัยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี

ปรับหลักปฏิบัตินี้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและความฝัน ผู้ที่ปฏิบัติตามหลัก Miracle Morning ชีวิตดีขึ้นเมื่อตื่นเช้า และผู้ที่ประสบความสำเร็จในการประยุกต์ใช้หลักปฏิบัตินี้ ส่วนมากจะฝึกฝนและปฏิบัติตามทุกวัน และทำให้มีสมาธิต่อเป้าหมาย และความฝัน ที่กำลังให้ความสำคัญในช่วงเวลานั้น ตัวอย่างเช่น เวลาที่เขียนคำปฏิญาณ ต้องแน่ใจว่าข้อความนั้นสอดคล้องกับเป้าหมาย และความฝันที่ตั้งไว้ และจะต้องแสดงให้เห็นชัดเจนถึงสิ่งที่คิด เชื่อ และจะลงมือทำเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จ และนั่นก็หมายความว่า ข้อความนั้นจะกระตุ้นให้ปฏิบัติตามคำมั่นสัญญานั้นจนเกิดเป็นจริงได้ ต่อมาเวลาที่สร้างภาพจินตนาการ ขอให้นึกถึงว่าตนเองกำลังมีความสุขกายสบายใจ ในการทำให้ตัวเองบรรลุเป้าหมาย

เอาชนะการผัดวันประกันพรุ่ง ทำสิ่งที่แย่ที่สุดก่อนเป็นอันดับแรก หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้ผลดีเยี่ยมที่สุดในการเอาชนะนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง และทำให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ก็คือการเริ่มต้นทำสิ่งที่สำคัญที่สุด หรืออาจเป็นสิ่งที่น่าสนุกน้อยที่สุดเป็นอันดับแรกในตอนเช้า ดังนั้นจุดมุ่งหมายสำคัญคือ การตื่นขึ้นมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย ซึ่งประกอบด้วยประโยชน์ที่ได้รับจากการตื่นนอนเร็วขึ้น และการพัฒนาตนเองโดยไม่ได้ให้ความสำคัญต่อกิจกรรมที่จะลงมือทำมากเท่าใด ตราบเท่าที่สิ่งที่เลือกทำนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เชิงรุก และช่วยพัฒนาโลกภายใน (ตัวเอง) และโลกภายนอก (ชีวิตของตัวเอง)

มนุษย์ทุกคนต้องการความหลากหลาย ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำให้การปฏิบัติตามหลัก Miracle Morning ชีวิตดีขึ้นเมื่อตื่นเช้ามีความสดชื่น และเป็นสิ่งใหม่ตลอดเวลา ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตารางชีวิตประจำวัน หรือความสัมพันธ์กับใครก็ตาม เป็นความรับผิดชอบในการทำให้เรื่องเหล่านี้ เป็นไปตามที่ใจต้องการอย่างมีชีวิตชีวาและต่อเนื่อง โปรดจำไว้เสมอว่า เมื่อใดก็ตามที่ยอมรับความรับผิดชอบเพื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ก็มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงสิ่งใด ๆ ก็ตามในชีวิตได้เช่นกัน

บทที่ 9

จากทนไม่ได้ไปสู่หยุดไม่ได้

ความลับที่แท้จริงสำหรับสร้างอุปนิสัย

ที่จะเตรียมชีวิตภายใน 30 วัน

อาจกล่าวได้ว่า คุณภาพชีวิตมาจากคุณภาพของอุปนิสัย หากใครก็ตามมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ แสดงว่าคนผู้นั้นมีอุปนิสัยที่กำลังสร้างและรักษาระดับแห่งความสำเร็จ ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ของความสำเร็จในระดับต่าง ๆ ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในด้านใดก็ตาม แสดงว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่รักษาคำมั่นสัญญา ที่จะสร้างอุปนิสัยสำคัญ ที่จะช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ปรารถนา ในการพิจารณาว่าอุปนิสัยสร้างชีวิตได้นั้น พบว่าไม่มีทักษะใดที่สำคัญในการเรียนรู้ และทำจนชำนาญได้มากเท่ากับทักษะการควบคุมอุปนิสัย

อุปนิสัยก็คือพฤติกรรมที่ทำซ้ำ ๆ เป็นประจำ จนกระทั่งมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นภายใต้จิตสำนึก และไม่ว่าจะตระหนักหรือไม่ก็ตาม แต่ชีวิตจะยังคงดำเนินต่อไปโดยอุปนิสัยที่สร้างขึ้นดังนั้น หากไม่ควบคุมอุปนิสัย อุปนิสัยก็จะเป็นตัวควบคุมตัวเอง ด้วยเหตุที่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่เคยเรียนรู้อุปนิสัยอย่างชำนาญ พวกเขาจึงล้มเหลวในทุก ๆ ครั้งที่พยายามจะควบคุมอุปนิสัยครั้งแล้วครั้งเล่า

ความล้มเหลวทางอุปนิสัย การตั้งใจบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในตอนปีใหม่ ในทุก ๆ ปีคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่หลายล้านคน ได้ตั้งปณิธานหรือความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการในช่วงปีใหม่ แต่พบว่าคนจำนวนน้อยกว่า 5% ที่ทำได้อย่างต่อเนื่อง จริง ๆ แล้วปณิธานดังกล่าวก็คือ อุปนิสัยเชิงบวกที่พยายามปรับให้เข้ากับการดำเนินชีวิต หรือก็คืออุปนิสัยเชิงลบที่ต้องการกำจัดออกไป แต่แม้จะไม่มีตัวเลขสถิติบอกไว้ ผู้คนส่วนใหญ่ก็ล้มเลิกความตั้งใจ และโยนผ้าขาวก่อนที่จะถึงสิ้นเดือนมกราคมเสียอีก แล้วทำไมจึงเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติ และรักษาอุปนิสัยที่ต้องการ เพื่อนำไปสู่ความสุข สุขภาพดี และความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้คือ

ยึดติดกับสิ่งเก่า ๆ การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องเจ็บปวด เป็นความจริงที่ว่าต่างก็ยึดติดกับอุปนิสัยเดิม ๆ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม และไม่ว่าจะเป็นทางจิตวิทยาหรือทางกายภาพ หนึ่งในสาเหตุต้น ๆ  ว่าทำไมคนส่วนใหญ่จึงมักล้มเหลวในการสร้าง และรักษาอุปนิสัยใหม่ ๆ ก็คือการที่พวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองคาดหวังอะไร และไม่มีกลยุทธ์ที่สามารถทำให้ชนะได้อย่างแท้จริง

จริง ๆ แล้วต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ในการสร้างอุปนิสัยใหม่ ความมหัศจรรย์ของ 21 วันที่ได้รับการกล่าวถึงอย่างแพร่หลาย มาจากหนังสือที่ชื่อว่า เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ใน 21 วัน ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ 1960 ผู้เขียนคือศัลยแพทย์ด้านความงามที่ชื่อ นายแพทย์แม็กซ์เวลล์ มอลทซ์ โดยเขาพบว่าผู้ที่ถูกตัดแขนหรือขา จะใช้เวลาโดยเฉลี่ย 21 วัน ในการปรับตัวกับร่างกายที่ไม่มีแขนหรือขา เขายังระบุด้วยว่าจะใช้เวลาประมาณ 21 วัน กับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต อย่างไรก็ดีมีบางคนก็มีความเห็นขัดแย้งว่า ระยะเวลาที่อุปนิสัยจะกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัตินั้น ขึ้นอยู่กับความยากของการปฏิบัติตามอุปนิสัยนั้น ๆ ต่างหาก

กลยุทธ์การฝึกอุปนิสัยจนชำนาญ ซึ่งได้ผลอย่างแท้จริงภายใน 30 วัน อุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดประการหนึ่ง ที่ขวางกั้นคนส่วนใหญ่จากการลงมือปฏิบัติ และรักษาอุปนิสัยเชิงบวกก็คือ พวกเขาไม่มีกลยุทธ์ที่ถูกต้อง โดยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาเองคาดหวังสิ่งใด และไม่ได้เตรียมตัวเพื่อเอาชนะความท้าทายทั้งทางจิตใจและอารมณ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ การปฏิบัติของนิสัยใหม่ ๆ ให้เริ่มต้นจากการแบ่งกรอบเวลา 30 วัน ซึ่งจำเป็นในการสร้างอุปนิสัยใหม่ ๆ เชิงบวก หรือกำจัดอุปนิสัยเก่า ๆ เชิงลบ โดยการแบ่งออกเป็น 3 ช่วง ช่วงละ 10 วัน โดยในแต่ละช่วงจะแตกต่างกันในแง่ของความท้าทายทางอารมณ์ และอุปสรรคทางจิตใจที่มีต่อการสร้างโอกาสนิสัยใหม่

ช่วงที่ 1 ช่วงทนไม่ได้ (วันที่ 1-10) ในช่วง 10 วันแรกของการลงมือปฏิบัติอุปนิสัยใหม่ รวมถึงการเลิกอุปนิสัยเก่า ๆ ใด ๆ ก็ตาม จะทำให้รู้สึกทนไม่ได้คือ ถึงแม้ว่าช่วง 2-3 วันแรกจะสามารถทำได้โดยง่ายดาย หรือรู้สึกตื่นเต้นก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพราะเป็นสิ่งใหม่ แต่เมื่อใดก็ตามที่ความรู้สึกใหม่เริ่มจางหายไป ความเป็นจริงก็จะปรากฏ เกลียดมัน มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวด มันไม่สนุกอีกแล้ว เส้นใยทุกส่วนในร่างกายเริ่มต่อต้าน และปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง รวมถึงจิตใจด้วย

ดังนั้นคนจำนวนกว่า 95% ในสังคม ซึ่งก็คือคนที่อยู่ในระดับธรรมดา ๆ กลาง ๆ จึงล้มเหลวในการเริ่มต้นอุปนิสัยใหม่ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยเหตุนี้ในช่วง 10 วันแรกของการลงมือปฏิบัติอุปนิสัยใหม่ ๆ จึงไม่ใช่การไปเที่ยว แต่ต้องสู้กับมัน แม้ว่าจะรู้สึกเกลียดบ้างเป็นบางเวลาก็ตาม แต่ให้เชื่อมั่นว่าสามารถทำได้ สิ่งสำคัญขอให้คิดว่าจากช่วงเวลานี้ไป ก็จะเจอแต่สิ่งที่ง่ายกว่า และรางวัลจากความพยายามในช่วงนี้ก็คือ ความสามารถในการสร้างสรรค์ทุก ๆ สิ่งที่ต้องการในชีวิตนั่นเอง

ช่วงที่ 2 ช่วงไม่สบายใจ (วันที่ 11-20) หลังจากที่สามารถผ่านช่วง 10 วันแรก ซึ่งนับว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากที่สุดไปได้แล้ว ก็จะเข้าสู่ช่วง 10 วันในช่วงที่ 2 ซึ่งง่ายกว่าเดิม เพราะเริ่มคุ้นเคยกับอุปนิสัยใหม่แล้ว โดยเริ่มมีความมั่นใจในตนเองมากขึ้น และรู้สึกเชิงบวกกับข้อดีของการปฏิบัติตามอุปนิสัยใหม่นี้

ช่วงที่ 3 ช่วงหยุดไม่ได้ (วันที่ 21-30) เมื่อเข้าสู่ช่วง 10 วันสุดท้าย ซึ่งก็คือช่วงโค้งสุดท้าย แม้ว่าคนเพียงจำนวนน้อยที่สามารถมาได้ไกลถึงขั้นนี้ ก็ยังเกิดข้อผิดพลาดได้นั่นคือ การยึดติดกับคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากที่ระบุว่า การสร้างอุปนิสัยใหม่ใช้เวลาเพียง 21 วันเท่านั้น สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นกล่าวอาจจะถูกต้องบางส่วนคือ การใช้เวลา 21 วันในการสร้างอุปนิสัยใหม่ ซึ่งเทียบได้กับ 2 ช่วงเวลาแรก ดังนั้นการหยุดพัก 2-3 วันก่อนที่จะทุ่มเทเวลาที่จำเป็นต่อการสร้างเป็นอุปนิสัยใหม่เป็นเรื่องยาก ในการทำให้พฤติกรรมใหม่นั้นกลับมาเป็นเช่นเมื่อ 20 วันที่ผ่านมา ช่วงวันที่ 21-30 ถึงเป็นเวลาที่เริ่มสนุกกับอุปนิสัยใหม่อย่างแท้จริง และทำให้ดำเนินอุปนิสัยเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในอนาคต

พร้อมสำหรับอิสรภาพที่แท้จริงหรือยัง ความท้าทายที่จะเปลี่ยนชีวิตใน 30 วัน ด้วยหลัก Miracle Morning ชีวิตดีขึ้นเมื่อตื่นเช้า จะช่วยให้สามารถชนะอุปสรรคต่าง ๆ ที่สร้างมันขึ้นมาเอง เพื่อที่จะสามารถเป็น สามารถทำ และสามารถที่จะมีทุกสิ่งทุกอย่างตามที่ต้องการในชีวิต ซึ่งเป็นวิธีที่เร็วกว่าที่คิดว่าจะเป็นไปได้อีกด้วย หลักนี้คืออุปนิสัยประจำวันที่จะเปลี่ยนชีวิต ซึ่งจะเหมือนกับผู้คนอีกมากมายซึ่งได้ลองทำ และรักที่จะทำตั้งแต่วันแรก จนสามารถทำต่อเนื่องจนเสร็จสิ้น 30 วัน เพื่อให้กลายเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวไปตลอดชีวิต อีกด้านหนึ่งของ 30 วันต่อจากนี้ก็คือ ตัวของคุณเองผู้ซึ่งกำลังจะกลายเป็นบุคคลที่ใฝ่ฝัน เพื่อจะสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการในชีวิต คิดว่าจะมีสิ่งใดที่น่าตื่นเต้นไปกว่านี้อีก

บทที่ 10

ความท้าทายที่จะเปลี่ยนชีวิตใน 30 วัน

ด้วยหลัก Miracle Morning

พิจารณารางวัลต่าง ๆ เมื่อให้คำมั่นสัญญาอย่างจริงจัง สำหรับความท้าทายที่จะเปลี่ยนชีวิตใน 30 วัน แสดงว่ากำลังสร้างรากฐานแห่งความสำเร็จในทุก ๆ ด้านสำหรับชีวิตต่อจากนี้ ด้วยการตื่นเช้าและการปฏิบัติตามหลักนี้ จะเริ่มต้นในแต่ละวันด้วยความมีวินัยในตนเอง ในระดับที่พิเศษจากเดิมและความชัดเจนรวมถึงการพัฒนาตนเอง ดังนั้นใน 30 วันต่อจากนี้ จะพบว่าตัวเองกลายเป็นคนที่ใฝ่ฝันได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้สร้างสรรค์ระดับของความสำเร็จส่วนตัว ด้านอาชีพการงาน และด้านการเงิน ในระดับที่พิเศษขึ้นไปจากคนทั่วไป ตามที่ปรารถนาอย่างแท้จริง สถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตจะดีขึ้นหลังจากนี้ แต่จะเกิดขึ้นหลังจากที่พัฒนาตนเองไปสู่คนที่ใฝ่ฝัน เพื่อจะได้ปรับปรุงและพัฒนาในสิ่งอื่น ๆ ตามมา นี่แหละคือชีวิตที่จะสามารถเป็นไปได้ในอีก 30 วันต่อจากนี้ คือการเริ่มต้นครั้งใหม่ คือตัวตนคนใหม่

สามารถทำสิ่งนี้ได้ หากรู้สึกลังเลใจหรือกังวลว่า จะสามารถทำภารกิจจนเสร็จสิ้นใน 30 วันตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ ขอให้ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เพราะเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเช่นนี้ ทุกคนต่างก็ทนทุกข์ทรมานจากอาการ RMS  (อาการกระจกมองหลัง) ดังนั้นจึงคาดหวังอยู่แล้วว่า จะรู้สึกลังเลและกังวล เพราะนั่นคือสัญลักษณ์ที่บ่งบอกว่าเตรียมพร้อมที่จะตั้งคำมั่นสำหรับภารกิจ ไม่เช่นนั้นคงไม่รู้สึกกังวลอย่างแน่นอน

พร้อมที่จะพาชีวิตก้าวไปสู่ขั้นต่อไปหรือไม่ ขั้นต่อไปสำหรับชีวิตส่วนตัว หรือการทำงานคืออะไร เรื่องใดที่จำเป็นต้องถูกเปลี่ยนเพื่อให้สามารถไปถึงขั้นต่อไปได้ ลองให้ของขวัญกับตัวเองจากการลงทุนเวลาเพียงแค่ 30 วัน เพื่อทำการพัฒนาครั้งสำคัญในชีวิตครั้งละ 1 วันเท่านั้น ไม่ว่าชีวิตในอดีตจะเป็นอย่างไร สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตได้ โดยการเปลี่ยนปัจจุบันก่อนนั่นเอง

ให้วันนี้เป็นวันที่จะเลิกเป็นคนที่เคยเป็น เพื่อไปสู่คนที่สามารถเป็นได้ จุดที่ยืนอยู่ในตอนนี้คือผลจากคนที่เป็นในอดีต และจุดหมายปลายทางนั้นขึ้นอยู่กับว่าเลือกที่จะเป็นคนแบบไหนนับจากตอนนี้เป็นต้นไป ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่อย่าหยุดที่จะสร้างสรรค์ และสัมผัสประสบการณ์ชีวิตในเรื่องความสุข ความมั่งคั่ง ความสำเร็จ ความรักที่ต้องการ และควรได้รับในวันใดวันหนึ่ง ในการให้คำมั่นสัญญาที่จะเริ่มต้นภารกิจ ความท้าทายที่จะเปลี่ยนชีวิตใน 30 วัน จะเป็นวันที่เริ่มต้นการเดินทางเพื่อสร้างสรรค์ชีวิตที่พิเศษสุดเท่าที่จินตนาการได้.