กองทุนตราสารหนี้คืออะไร?

กองทุนรวมตราสารหนี้ คือ กองทุนรวมที่มีนโยบายนำเงินของผู้ลงทุนไปลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ ทั้งที่ออกโดยภาครัฐและภาคเอกชน เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย หุ้นกู้บริษัทเอกชน และตั๋วเงินคลัง โดยผู้ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้จะมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” ทางอ้อมของผู้ออกตราสารนั้นๆ

ผลตอบแทนหลักของกองทุนตราสารหนี้มาจาก 2 แหล่ง:

  1. ดอกเบี้ยรับ จากตราสารหนี้ที่กองทุนไปลงทุน
  2. กำไรส่วนต่างราคา (Capital Gain) เมื่อราคาตราสารหนี้ในตลาดเพิ่มขึ้น

กองทุนตราสารหนี้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น แต่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินกับธนาคาร ทำให้มีความเหมาะสมกับนักลงทุนที่ต้องการสร้างความสมดุลในพอร์ตการลงทุน หรือต้องการลงทุนในระยะสั้นถึงปานกลาง

ประเภทของตราสารหนี้

1. แบ่งตามผู้ออกตราสาร

ตราสารหนี้ภาครัฐ (Government Bond)

  • พันธบัตรรัฐบาล: ออกโดยกระทรวงการคลัง มีอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
  • พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย: ออกเพื่อดำเนินนโยบายทางการเงินและเสริมสภาพคล่องในระบบ
  • พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ: ออกโดยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ มักมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน
  • ตั๋วเงินคลัง: ตราสารหนี้ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี ออกโดยกระทรวงการคลัง

ตราสารหนี้ภาครัฐมีความเสี่ยงต่ำที่สุด เนื่องจากมีรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกัน แต่ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตราสารหนี้ภาคเอกชน

ตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond)

  • หุ้นกู้: ตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุมากกว่า 1 ปี
  • ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange หรือ BE): ตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุไม่เกิน 270 วัน

ตราสารหนี้ภาคเอกชนมีความเสี่ยงสูงกว่าตราสารหนี้ภาครัฐ แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

2. แบ่งตามระยะเวลาลงทุน

ตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุไม่เกิน 1 ปี)

  • มีความผันผวนต่ำ
  • ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตราสารหนี้ระยะยาว
  • ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า

ตราสารหนี้ระยะกลาง (อายุ 2-10 ปี)

  • มีความผันผวนปานกลาง
  • ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ระยะสั้น

ตราสารหนี้ระยะยาว (อายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไป)

  • มีความผันผวนสูงกว่า
  • ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าตราสารหนี้ระยะสั้นและระยะกลาง
  • มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากกว่า

ความเสี่ยงของกองทุนตราสารหนี้

1. ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk)

เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเปลี่ยนแปลง จะส่งผลต่อราคาตราสารหนี้ในทิศทางตรงกันข้าม ดังนี้:

  • เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น → ราคาตราสารหนี้จะลดลง
  • เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง → ราคาตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้น

โดยตราสารหนี้ที่มีอายุยาวจะได้รับผลกระทบมากกว่าตราสารหนี้ที่มีอายุสั้น เนื่องจากมีระยะเวลาที่ถูกล็อคอัตราผลตอบแทนไว้นานกว่า

2. ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk)

คือความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระดอกเบี้ยหรือเงินต้นได้ตามกำหนด (ผิดนัดชำระหนี้หรือ Default) ซึ่งสามารถประเมินได้จากอันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ

อันดับความน่าเชื่อถือแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก:

  • กลุ่ม Investment Grade (AAA ถึง BBB-): กลุ่มตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ต่ำ
  • กลุ่ม Speculative Grade หรือ High Yield (BB+ ลงไป): กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง แต่ให้ผลตอบแทนที่สูงเพื่อชดเชยความเสี่ยง

3. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk)

คือความเสี่ยงที่อาจไม่สามารถซื้อหรือขายตราสารหนี้ได้ในราคาที่ต้องการหรือในเวลาที่ต้องการ

4. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ (Inflation Risk)

ถ้าอัตราเงินเฟ้อสูงกว่าผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน อำนาจในการซื้อของเงินลงทุนจะลดลง

เปรียบเทียบกองทุนตราสารหนี้กับการลงทุนประเภทอื่น

กองทุนตราสารหนี้ vs เงินฝาก

  • ผลตอบแทน: กองทุนตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากในระยะยาว
  • ความเสี่ยง: กองทุนตราสารหนี้มีความเสี่ยงสูงกว่าเงินฝาก เพราะราคาหน่วยลงทุนสามารถเปลี่ยนแปลงได้
  • สภาพคล่อง: กองทุนตราสารหนี้มีสภาพคล่องดีกว่าเงินฝากประจำ สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ
  • การประกัน: เงินฝากได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก แต่กองทุนรวมไม่มีการประกัน

กองทุนตราสารหนี้ vs กองทุนหุ้น

  • ผลตอบแทน: กองทุนหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะยาว
  • ความเสี่ยง: กองทุนตราสารหนี้มีความเสี่ยงและความผันผวนต่ำกว่ากองทุนหุ้นมาก
  • ระยะเวลาลงทุน: กองทุนตราสารหนี้เหมาะกับการลงทุนระยะสั้นถึงปานกลาง ขณะที่กองทุนหุ้นเหมาะกับการลงทุนระยะยาว

กลยุทธ์การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้

1. การพิจารณาทิศทางอัตราดอกเบี้ย

  • ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น: ควรเลือกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี) เพราะราคาตราสารหนี้ระยะสั้นจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าเมื่อดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น
  • ในช่วงดอกเบี้ยขาลง: ควรเลือกกองทุนตราสารหนี้ระยะกลางถึงยาว (อายุเฉลี่ยมากกว่า 1 ปี) เพื่อโอกาสได้รับกำไรจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวสูงขึ้น

2. การพิจารณาคุณภาพของตราสารหนี้

  • นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรเลือกกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง (AAA, AA, A)
  • นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากกว่า อาจพิจารณากองทุนที่มีส่วนประกอบของตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เพื่อโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น

3. การกระจายการลงทุน

  • ไม่ควรลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เพียงกองเดียว ควรกระจายการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้หลายประเภท (ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว) เพื่อลดความเสี่ยง
  • ควรจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ไม่เฉพาะตราสารหนี้เท่านั้น

วิธีเลือกกองทุนตราสารหนี้ที่เหมาะสม

1. พิจารณาวัตถุประสงค์และระยะเวลาการลงทุน

  • ระยะสั้น (ไม่เกิน 1 ปี): เหมาะกับกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น
  • ระยะกลาง (2-10 ปี): เหมาะกับกองทุนตราสารหนี้ระยะกลาง
  • ระยะยาว (10 ปีขึ้นไป): เหมาะกับกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวหรือกองทุนผสม

2. ประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ควรทำแบบประเมินความเสี่ยง (Risk Profile) เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

3. ศึกษาข้อมูลกองทุนอย่างละเอียด

ตรวจสอบข้อมูลสำคัญจากหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญ (Fund Fact Sheet) ได้แก่:

  • นโยบายการลงทุน: กองทุนลงทุนในตราสารหนี้ประเภทใดบ้าง สัดส่วนการลงทุนเป็นอย่างไร
  • อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ (Duration): บ่งบอกถึงความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
  • ผลการดำเนินงานย้อนหลัง: เปรียบเทียบกับดัชนีชี้วัด (Benchmark) ว่าดีกว่าหรือแย่กว่า
  • ค่าความเสี่ยง (Standard Deviation): บ่งบอกถึงความผันผวนของผลตอบแทน
  • ค่าธรรมเนียม: ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) และค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Front-end Fee, Back-end Fee)

4. พิจารณาประสบการณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัทจัดการกองทุน

เลือกบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารกองทุนตราสารหนี้

ข้อดีและข้อเสียของกองทุนตราสารหนี้

ข้อดี

  1. ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น: เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย
  2. กระจายความเสี่ยง: ลงทุนในตราสารหนี้หลายประเภทในกองทุนเดียว
  3. ความเชี่ยวชาญ: มีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้และประสบการณ์เป็นผู้บริหาร
  4. สภาพคล่องสูง: สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และได้รับเงินภายใน 2-5 วันทำการ
  5. เงินลงทุนเริ่มต้นต่ำ: ไม่จำเป็นต้องมีเงินก้อนใหญ่เหมือนการลงทุนในตราสารหนี้โดยตรง

ข้อเสีย

  1. อาจขาดทุนได้: ราคาหน่วยลงทุนสามารถลดลงได้ โดยเฉพาะเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น
  2. ผลตอบแทนไม่แน่นอน: ไม่มีการรับประกันผลตอบแทนเหมือนเงินฝากประจำ
  3. มีค่าธรรมเนียม: ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจัดการและค่าธรรมเนียมการซื้อขาย
  4. ไม่มีการประกัน: ไม่ได้รับความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก

กองทุนตราสารหนี้เหมาะกับใคร

  1. นักลงทุนมือใหม่: ที่ต้องการเริ่มต้นลงทุนด้วยความเสี่ยงต่ำ
  2. ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยง: ในพอร์ตการลงทุน
  3. ผู้ที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอ: จากการลงทุน โดยเฉพาะกองทุนที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล
  4. ผู้ที่มีเป้าหมายระยะสั้นถึงปานกลาง: เช่น ออมเงินเพื่อซื้อสินทรัพย์ในอีก 1-3 ปี
  5. ผู้ที่เกษียณอายุแล้ว: ที่ต้องการรักษาเงินต้นและสร้างรายได้ประจำ

สรุป

กองทุนรวมตราสารหนี้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น แต่ต้องการผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงินกับธนาคาร การเลือกกองทุนตราสารหนี้ที่เหมาะสมควรพิจารณาจากวัตถุประสงค์การลงทุน ระยะเวลาการลงทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

สิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจคือความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและราคาตราสารหนี้ ซึ่งจะช่วยให้เลือกประเภทของกองทุนตราสารหนี้ได้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด ควรศึกษาข้อมูลกองทุนอย่างละเอียดจากหนังสือชี้ชวนและ Fund Fact Sheet ก่อนตัดสินใจลงทุน

การลงทุนในกองทุนตราสารหนี้เป็นส่วนสำคัญในการสร้างพอร์ตการลงทุนที่สมดุล แม้จะมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่อาจทำให้ขาดทุนได้ ดังนั้นควรศึกษาให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน