สรุปหนังสือ INTO THE MEGIC SHOP
เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนต์อยู่ในใจ
มีร้านไหนบ้างไหมที่เมื่อเดินเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนต้องมนต์ มีเสน่ห์ มีข้าวของที่คลั่งไคล้อยู่จนอยากอยู่ในนั้นทั้งวัน แต่สำหรับจิม หรือศาสตราจารย์เจมส์ อาร์ โดตี ซึ่งเป็นประสาทศัลยแพทย์มือหนึ่งจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อครั้งที่เป็นเด็กอายุ 12 ปี เขาเข้าไปหลบที่ร้านมายากลแคคตัสแรบบิต เขาไปที่นั่นเพื่อค้นพบความโยงใยอันลักลับของสองสิ่งทรงพลัง นั่นคือสมองและหัวใจของมนุษย์ ได้รู้เรื่องสำคัญว่าสมองคือจักรกลที่ยิ่งใหญ่ แต่หากปราศจากหัวใจก็เป็นเพียงก้อนซับซ้อนที่ทำให้หลงทาง มันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน อันตราย และน่าทึ่ง เพื่อนำพาสาระสำคัญจากหญิงผู้มีหัวใจยิ่งใหญ่นามว่า รูธ มาส่งต่อแก่คนอื่น ๆ ตามคำขอของเธอ สารที่จะสร้างสิ่งอัศจรรย์ให้เกิดแก่ชีวิต ถึงเวลาเปิดร้านเวทมนต์ในหัวใจแล้ว
บทนำ
สิ่งที่สวยงาม
ผู้เขียนได้ทำการผ่าตัดสมองให้เด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งสมอง เมดัลโลบลาสโตมา จำเป็นต้องเปิดช่องกะโหลกด้านหลัง การผ่าตัดสมองนั้นเป็นงานยาก ยิ่งผ่าช่องกะโหลกด้านหลังของเด็กตัวเล็ก ๆ นั้นยากยิ่งกว่ามาก เนื้องอกมีขนาดใหญ่ การผ่าตัดต้องใช้ความพยายามที่แช่มช้าและแม่นยำ ตาทั้งสองจ้องผ่านกล้องขยายเป็นเวลาหลายชั่วโมง ศัลยแพทย์ถูกฝึกให้ปิดการรับรู้ด้านอื่น ๆ ขณะผ่าตัด ไม่เข้าห้องน้ำ ไม่กินอาหาร สมาชิกทุกคนล้วนมีคุณค่าและจำเป็นสำหรับทีม ทุกคนทำงานในส่วนของตน วิสัญญีแพทย์ติดตามความดันโลหิต ออกซิเจน ระดับความรู้ตัว และจังหวะการเต้นของหัวใจ พยาบาลผ่าตัดคอยดูแลเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ใกล้มือ มีถุงใบใหญ่ติดอยู่กับผ้าคลุม และแขวนไว้ใต้ศีรษะของเด็กเพื่อเก็บเลือดและน้ำที่ใช้ชะล้าง ถุงนี้ต่อท่อไปยังเครื่องดูดและวัดปริมาณเลือดที่เสียไปในขณะนั้น ๆ
ศัลยแพทย์ผู้ช่วยก็กำลังจดจ่ออยู่กับหลอดเลือด เนื้อเยื่อสมอง และรายละเอียดของการนำก้อนเนื้อนี้ออก เมื่อใจจดจ่ออย่างแรงกล้าอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมันก็เหมือนกับการทำสมาธิ ฝึกจิตและจิตก็ฝึกร่างกาย ทีมที่ดีทำให้เกิดจังหวะและความลื่นไหลอย่างยอดเยี่ยม ทุกคนทำงานประสานกัน ทำงานอย่างสอดคล้องเหมือนเป็นหนึ่งเดียว เมื่อผู้เขียนกำลังนำเนื้องอกชิ้นสุดท้าย ซึ่งติดอยู่กับหลอดเลือดดำที่ลึกเข้าไปในสมองออกมา ระบบหลอดเลือดดำในช่องสมองส่วนหลังนั้นซับซ้อนมาก ผู้ช่วยที่กำลังดูดสารคัดหลั่ง เขาเกิดใจลอยไปเสี้ยววินาทีจนเครื่องดูดทำให้หลอดเลือดฉีกขาด วินาทีนั้นเองที่ทุกอย่างหยุดลง เหมือนกับนรกแตก เลือดทะลักออกจากหลอดเลือดดำที่ขาด เอ่อนองท่วมในช่องที่ถูกผ่าเปิด
ผู้เขียนพยายามอย่างหนักที่จะหนีบหลอดเลือดดำนั้น แต่มองไม่เห็นมันผ่านเลือดที่เอ่อท้นอยู่ ทั้งผู้เขียนและทีมรู้ว่ากำลังจะหมดเวลา กำลังจะเสียเด็กคนนี้ไปแน่ ต้องทำการช่วยฟื้นคืนชีพ (ซีพีอาร์) เครื่องติดตามหัวใจยังไม่มีสัญญาณหัวใจเต้น ผู้เขียนเปิดหัวใจเพื่อหาความเป็นไปได้อื่นที่อยู่เหนือเหตุผล เหนือทักษะ และแล้วก็ได้ทำในสิ่งที่เคยได้เรียนมาเมื่อหลายสิบปีก่อน ไม่ใช่ตอนที่ฝึกหัดแพทย์ ไม่ใช่ในตอนที่เป็นนักศึกษาแพทย์ แต่เป็นในห้องข้างหลังร้านมายากลเล็ก ๆ กลางทะเลทรายในแคลิฟอร์เนีย คือ สงบ ผ่อนคลายร่างกาย มองเห็นหลอดเลือดที่หดหนีนั้น เห็นมันด้วยจิต เอื้อมเข้าไปอย่างมืดบอด แต่รู้ว่ามีสิ่งพิเศษต่อชีวิตมากกว่าที่ดวงตามองเห็น ทุกคนมีความสามารถที่จะทำสิ่งวิเศษยิ่งไปกว่าที่คิดว่าจะเป็นไปได้ ควบคุมชะตาชีวิตของตนเอง และไม่ยอมรับว่าเด็กชายอายุสี่ขวบคนนี้ จะจบชีวิตลงวันนี้ จึงเอื้อมตัวหนีบที่เปิดอ้าเข้าไปในกองเลือด ปิดมันลง และค่อย ๆ ดึงมือออก เลือดหยุดไหล หลังช่วงนาทีที่ดูเหมือนเนิ่นนาน เริ่มได้ยินเสียงหัวใจในเครื่องติดตามการเต้นหัวใจ ตอนแรกยังแผ่วเบาไม่สม่ำเสมอ แต่ต่อมาก็ชัดเจนขึ้น หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น เด็กน้อยจะตื่นขึ้นจากการหลับไหล ในฐานะผู้รอดชีวิต เขาจะเป็นเด็กปกติ
ตอนที่หนึ่ง : สู่ร้านมายากล
หนึ่ง : เวทมนต์ที่แท้จริง
แลงแคสเตอร์ แคลิฟอร์เนีย 1968 ในฤดูร้อนก่อนที่ผู้เขียนจะเริ่มเกรดแปด เขามารู้ตัวว่าปลอกสวมนิ้วหัวแม่มือหายไปเช้าวันนั้น ใต้เตียงของเขามีกล่องไม้ใบหนึ่งที่ใช้เก็บของมีค่าเอาไว้ทั้งหมด สมุดบันทึกเล่มเล็กที่มีลายมือหวัด ๆ เขียนบทกวีและข้อมูลแปลก ๆ ต่าง ๆ ที่ได้รู้มา ในกล่องยังมีหนังสือ How to Win Friends and Influence People (วิธีผู้กมิตรและจูงใจคน) ของเดล คาร์เนกี ที่พับหน้าที่เขียนถึงหกวิธีที่ทำให้คนชอบเอาไว้ หนังสือและอุปกรณ์เล่นกลทั้งหมดนี้เป็นของสำคัญ มันเป็นของขวัญจากพ่อ แต่วันนี้ปลอกนิ้วหายไปไม่อยู่แล้ว พี่ชายก็ไม่อยู่บ้าน คิดว่าเขาอาจจะเอาปลอกนิ้วไป หรืออย่างน้อยก็รู้ว่าอยู่ที่ไหน จึงขี่จักรยานไปตามหาในที่ต่าง ๆ จนมาเจอร้านมายากลแคคตัสแรบบิต เกิดความสงสัยว่าเขาจะมีปลอกนิ้วขายหรือไม่ และราคาเท่าไร เลยตัดสินใจเข้าไปดู ในร้านเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงมายากลจำนวนมาก มีหญิงสูงวัยผมสีน้ำตาลเป็นลอนคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือปกหนาอยู่ เธอมีชื่อว่า รูธ ซึ่งเป็นแม่ของเจ้าของร้าน ส่วนลูกชายของเธอไม่อยู่ พอได้พูดคุยกันรูธก็รู้สึกถูกชะตากับจิมถึงกับจะสอนวิธีเล่นกลให้ การเรียนกลนี้จะต้องตั้งใจมาก และต้องฝึกวิธีการที่สอนให้มาก สิ่งที่จะสอนนั้นจะเปลี่ยนชีวิตได้ และด้วยสิ่งนี่ เส้นทางโคจรของชีวิตจิม และชะตาชีวิตใด ๆ ก็ตามที่เตรียมกำหนดอนาคตก็พลิกเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
สอง :
ร่างกายที่นิ่งสงบ
นับตั้งแต่เริ่มมีอารยธรรม แหล่งที่มาของความฉลาดและสติปัญญาของมนุษย์นั้นยังคงเป็นปริศนา หนึ่งพันเจ็ดร้อยปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์เชื่อว่าความฉลาดนั้นอยู่ในหัวใจ เมื่อตายแล้วหัวใจจะได้รับการดูแลและเก็บไว้ร่วมกับอวัยวะภายในอื่น ส่วนสมองนั้นมีความสำคัญน้อยมาก จนชาวอียิปต์โบราณนำออกจากร่างกาย โดยใช้ตะขอดึงออกทางจมูกก่อนทำเป็นมัมมี่ แล้วเอาทิ้งไป ต้องใช้เวลากว่าสองพันปีที่สมองเริ่มกลับมามีความสำคัญ ความเข้าใจว่าสมองเป็นศูนย์กลางความเป็นตัวตน เกิดขึ้นเมื่อพบว่าคนที่ศีรษะได้รับความกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ จะมีความคิดหรือการกระทำที่ผิดแผกจากปกติไป แม้ว่าจะรู้เรื่องโครงสร้างและการทำงานของสมองมากมาย แต่ความเข้าใจนั้นยังมีจำกัดนัก
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา ทำให้รู้ความสามารถของสมองในการเปลี่ยนแปลงถึงระดับเซลล์ สารพันธุกรรม หรือแม้แต่โมเลกุล ทำให้รู้ได้ว่าทุกคนมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงวงจรของสมองได้อย่างน่าอัศจรรย์ ประสบการณ์ครั้งแรกเรื่องสมองเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นกับผู้เขียนเมื่อยู่กับรูธในห้องด้านหลังของร้านมายากล ในช่วงหกสัปดาห์ผ่านมารูธได้ปรับเปลี่ยนวงจรในสมองของผู้เขียนใหม่ เธอทำในสิ่งที่ในเวลานั้นหลายคนบอกว่าเป็นไปไม่ได้
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีที่สุดในสภาพของความสม่ำเสมอและไว้วางใจได้ สมองต้องการทั้งสองอย่างนี้ แต่ในบ้านของผู้เขียนไม่มีทั้งสองอย่าง แม่ของเขาเป็นโรคอาการซึมเศร้า พ่อเป็นคนดื่มหนัก เมื่อดื่มแล้วก็หายตัวไปบางทีหลายสัปดาห์ ทิ้งลูกเมียไว้ให้อดอยาก บางครั้งสิ่งที่ต้องการก็เพียงแค่การมีใครสักคนพูดอะไรสักอย่าง อะไรก็ได้ เพราะนั่นหมายถึงการมีความสำคัญ บางครั้งเพียงแต่ไม่มีใคราองเห็น เพราะความเจ็บปวดของคนรอบ ๆ ตัวมันบดบังการมีตัวตน วัยรุ่นมักโหยหาอิสรภาพ แต่ก็ต่อเมื่อพวกเขาอยู่บนพื้นฐานของความมั่นคงและปลอดภัยแล้วเท่านั้น
รูธให้จิมไปหาที่ร้านตอนสิบโมงเช้า ในวันแรกนั้นผู้เขียนตื่นเช้ามาก ไม่รู้ว่ารูธจะสอนอะไร ไม่ได้สนใจนัก เพียงแต่อยากคุยกับรูธต่อ และการมีที่ไหนสักแห่งให้ไปนั้นเป็นเรื่องดี ในวันแรกของการเรียนเขาไปที่ร้านได้รู้จักกับนีล ซึ่งดูไม่เหมือนนักมายากลเลย เขาสวมแว้นตากรอบสีดำใหญ่ และมีผมสีน้ำตาลเหมือนแม่ของเขา เขาดูเป็นคนปกติ นีลได้มอบไพ่ให้กับจิมหนึ่งสำรับ
รูธพาจิมไปที่ห้องด้านหลังที่ทั้งมืดและมีกลิ่นอับ ไม่มีหน้าต่างและมีเพียงโต๊ะทำงานเก่าสีน้ำตาลและเก้าอี้โลหะสองตัววางอยู่ รูธนั่งลงบนเก้าอี้โลหะตัวหนึ่ง จิมจึงนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว รูธบอกว่ากลนี้มีมาหลายร้อยปี หรืออาจจะหลายพันปีมาแล้ว จะได้เรียนก็ต่อเมื่อมีคนเท่านั้น รูธให้จิมสัญญาว่าจะสอนสิ่งที่สอนช่วงฤดูร้อนนี้ให้คนอื่นต่อ และต้องให้เขาสัญญาว่าจะสอนคนอื่นต่อไปเรื่อย ๆ
กลแรกที่จิมได้เรียนคือการเรียนรู้ที่จะผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกาย ร่างกายเต็มไปด้วยสัญญาต่าง ๆ ที่บอกว่าภายในเป็นอย่างไร มันมหัศจรรย์มาก อาจมีคนถามว่ารู้สึกอย่างไร แล้วอาจตอบออกไปว่าไม่รู้ เพราะบางทีไม่รู้จริง ๆ หรือไม่ก็ไม่อยากบอก แต่ร่างกายรู้ตลอดว่ากำลังรู้สึกอย่างไร เมื่อกลัว ดีใจ ตื่นเต้น กังวล โกรธ อิจฉา หรือเสียใจ จิตใจอาจจคิดว่าไม่รู้ แต่ถ้าถามร่างกายจะบอกได้ ร่างกายมีจิตเป็นของตัวเอง มีปฏิกิริยาและตอบสนองได้ บางทีอาจมีปฏิกิริยาต่อสถานการณ์ในทางที่ถูก หรือบางทีก็ผิด
รูธให้จิมนั่งเก้าอี้ในท่าที่สบายแล้วหลับตา สมมติว่าตัวเองเป็นใบไม้ที่ปลิวอยู่ในอากาศ มันให้ความรู้สึกเหมือนความเย็นพุ่งขึ้นทั่วศีรษะ ทำให้รู้สึกตัวเบาขึ้นขณะที่อยู่บนเก้าอี้ นั่งตัวตรง ตื่นตัว และรู้สึกถึงกล้ามเนื้ออยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะกำลังผ่อนคลายมันอยู่ หายใจเข้าลึกแล้วหายใจออก ทำแบบนี้สามรอบ หายใจเข้าทางจมูกแล้วหายใจออกทางปาก
กลของรูธ : ผ่อนคลายร่างกาย
1.หาเวลาและสถานที่สำหรับฝึกที่จะไม่โดนรบกวน
2.อย่าเพิ่งเริ่มหากรู้สึกเครียดอยู่ มีเรื่องอื่นดึงดูดความสนใจ กำลังเมาแอลกอฮอล์ ใช้สารเสพติดเพื่อผ่อนคลาย หรือเหนื่อยอยู่
3.ก่อนเริ่มต้นให้นั่งประมาณ 2-3 นาทีและผ่อนคลาย คิดก่อนว่าอยากจะทำอะไรในการฝึกครั้งนี้ ระบุความตั้งใจให้ชัดเจน
4.จากนั้นหลับตา
5.เริ่มต้นโดยการหายใจลึกสามรอบ โดยหายใจเข้าทางจมูกและหายใจออกทางปากช้า ๆ ทำซ้ำอีกจนกว่าจะชินกับการหายใจแบบนี้ เพื่อไม่ให้การหายใจดึงความสนใจ
6.เมื่อรู้สึกสบายกับการหายใจวิธีนี้แล้ว ให้คิดแค่ว่านั่งยังไงอยู่ และจินตนาการว่ากำลังดูตัวเอง
7.เพ่งความสนใจไปที่นิ้วเท้าแล้วผ่อนคลาย ต่อมาเพ่งความสนใจไปที่เท้า ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จินตนาการว่ามันละลายหายไปขณะหายใจเข้าออกไปเรื่อย ๆ เพ่งความสนใจไปที่นิ้วเท้าเท่านั้น ช่วงแรกอาจจะรู้สึกถูกดึงความสนใจหรือคิดไปเรื่องอื่น เมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ให้เริ่มทำใหม่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่นิ้วเท้าและเท้า
8.เมื่อผ่อนคลายนิ้วเท้าและเท้าได้แล้ว ขยายการฝึกขึ้นมาเรื่อย ๆ ผ่อนคลายขาและต้นขา
9.จากนั้นผ่อนคลายกล้ามเนื้อท้องและหน้าอก
10.ต่อมาคิดถึงกระดูกสันหลัง แล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อตลอดสันหลัง มาจนถึงไหล่และคอ
11.สุดท้ายผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่หน้าและหนังศีรษะ
12.เมื่อขยายการผ่อนคลายกล้ามเนื้อจนทั่วร่างกายแล้ว สังเกตถึงความสงบรอบตัว สังเกตุว่ารู้สึกดี ที่จุดนี้มักจะง่วงหรือหลับไป ไม่เป็นไรอาจต้องฝึกหลายครั้งจนกว่าจะผ่านจุดนี้ได้ โดยประคองความรู้สึกผ่อนคลายโดยไม่หลับ ขอให้อดทนและใจเย็นกับตัวเอง
13.ต่อมาตั้งความรู้สึกที่หัวใจ และคิดถึงกล้ามเนื้อหัวใจที่ผ่อนคลาย ขณะที่หายใจเข้าออกช้า ๆ อาจจะพบว่าหัวใจเต้นช้าลง เมื่อร่างกายผ่อนคลาย และหายใจช้าลง
14.จินตนาการถึงร่างกายที่ผ่อนคลายเต็มที่แล้ว และสัมผัสประสบการณ์ของการที่แค่อยู่ตรงนั้น ขณะหายใจเข้าออกช้า ๆ สัมผัสถึงความรู้สึกอบอุ่น หลายคนอาจรู้สึกตัวลอย และเกิดความรู้สึกสงบแทนที่ ขอให้หายใจเข้าออกช้า ๆ ต่อไป
15.ตั้งใจจดจำความรู้สึกผ่อนคลาย สงบ และอบอุ่นนี้ไว้
16.ทีนี้ลืมตาขึ้นช้า ๆ นั่งต่ออีก 2-3 นาที โดยไม่ต้องหลับตา ไม่ต้องคิด หรือสนใจสิ่งอื่น
การหายใจและการผ่อนคลายเป็นขั้นตอนแรกของการกล่อมให้จิตนิ่ง
สาม :
คิดถึงความคิด
นักมายากลที่ดีย่อมให้สัญญาณผู้ชม ก่อนจะเริ่มกลต่อไป ส่วนนักมายากลที่ยอดเยี่ยมจะทำให้ผู้ชมตกอยู่ใต้อำนาจ ก่อนที่จะรู้ตัวว่ากลถัดไปได้เริ่มขึ้นแล้ว รูธเป็นนักมายากลที่ยอดเยี่ยม ผู้เขียนไม่เคยรู้เลยว่ามีเสียงในหัวจนกระทั่งเธอบอก ไม่เคยรู้เลยว่าเสียงนั้นดังแค่ไหน จนกระทั่งเธอบอกให้พยายามทำให้เสียงเหล่านั้นเงียบลง กรณีการได้พบกับรูธก็ชัดเจน การพบกันครั้งแรกเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนเส้นทางไปไกลจากเดิมมาก เธอไม่ได้มีพลังเหนือธรรมชาติ เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่งด้านความเห็นใจและการหยั่งรู้ มีความสามารถในการเป็นห่วงดูแลมนุษย์คนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เธอให้เวลา ให้ความสนใจ และสอนให้รู้จักกลที่ยังคงใช้อยู่จนทุกวันนี้ ตอนที่วิทยาศาสตร์ประกาศแล้วว่า สภาพที่เปลี่ยนแปลงได้ของระบบประสาทนั้นไม่เพียงเป็นเรื่องจริง แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการทำงานของสมอง ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าสมองฝึกฝนให้พัฒนาความใส่ใจ สมาธิและไม่หลงไปตามบทสนทนาที่เกิดขึ้นในหัว ซึ่งดึงเราไปจากการตัดสินใจที่ชัดเจนและมีประโยชน์ได้ ทุกวันนี้สิ่งเหล่านี้เป็นที่เข้าใจชัดเจนแล้ว แต่ตอนที่รูธสอนนั้นยังไม่เคยมีใครได้ยินเรื่องทำนองนี้มาก่อน เมื่อเธอบอกว่าจะสอนให้ปิดเสียงที่อยู่ในหัว จึงนึกไม่ออกเลยว่าเธอพูดถึงอะไร แต่ก็ตัดสินใจทำตามอยู่ดี
ฝึกการคิดเกี่ยวกับความคิด หลับตาและผ่อนคลายร่างกายสัก 2-3 นาที อยู่กับลมหายใจ อย่าคิดถึงอย่างอื่นนอกจากลมหายใจ ยากมากเลย คงทำไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะหายใจไปได้แค่ประมาณ 5 รอบ ก่อนที่จะเริ่มคิดถึงเรื่องอื่น จิมจึงตัดสินใจที่จะนับว่าหายใจไปได้กี่รอบ แต่ก็คิดได้ว่าถ้านับจำนวนครั้งที่หายใจ ก็หมายถึงยังคงคิดอยู่ นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย รูธดูเหมือนจะรู้ว่าต้องฝืนอย่างมาก เพราะเธอเปลี่ยนวิธีใหม่ให้ในอีกไม่กี่วันต่อมา เธอเอาเทียนไขมาเล่มหนึ่งจุดไฟด้วยไม้ขีดในกลักเล็ก ๆ วางไว้บนโต๊ะ แล้วให้ขยับเก้าอี้หันหน้าเข้าหาเทียน เธอให้จิมหายใจเข้าออกลึกและจ้องมองแต่แสงเทียน คิดถึงแต่แสงเทียนอย่างเดียว ทุกครั้งที่จิตใจล่องลอยไป ให้กลับมามองแสงเทียน
ศัลยแพทย์มักได้ยินผู้ป่วยหลายคนกล่าวถึงความเจ็บปวดที่รู้สึก โดยเฉพาะตอนกลางคืน ไม่ใช่ว่าความเจ็บปวดนั้นมีมากขึ้นตอนกลางคืน แต่เพราะตอนกลางคืนไม่มีสิ่งอื่นมารบกวนใจ เมื่อจิตใจสงบลงความเจ็บปวดที่มีอยู่ตลอดทั้งวันนั้นก็ดูจะชัดเจนขึ้น เหตุผลเดียวกับที่ทำไมเราถึงนอนไม่หลับตอนตีสอง และความกังวลถึงอนาคตกับเรื่องเสียใจในอดีตก็มาหาในความมืดยามค่ำคืน รูธสอนให้ควบคุมจิตใจ ซึ่งถือเป็นการช่วยให้เลิกอยู่กับความรู้สึกผิด ความอับอายจากเหตุการณ์ในอดีต และความกังวลกับความกลัว จากการคิดถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยรวมแล้วใช้เวลาเกือบ 3 สัปดาห์ในการฝึก วิธี 3 วิธีที่ทำให้รู้ทันความคิด และนำความสงบมาสู่จิตใจ การอยู่กับลมหายใจ จ้องดูเปลวไฟจากเทียน และวิธีการสุดท้ายคือ การสวดภาวนา มันเป็นเหมือนเพลงหรือเสียงที่ทำขึ้น เพื่อช่วยให้ตั้งจิตได้เหมือนที่ตั้งจิตตอนหายใจหรือมองเปลวเทียน เป็นกลอีกวิธีหนึ่งที่ใช้หลอกจิต รูธมักจะวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ และทำให้เข้าใจได้ง่าย เมื่อเวลาผ่านไปเธอสอนให้เข้าใจความรู้สึกและความคิด และการคิดเกี่ยวกับความคิด ความสามารถของสมองที่จะสังเกตตัวเอง ก็เป็นเรื่องลึกลับอย่างหนึ่งของสมอง
กลของรูธ 2 กล่อมจิตให้นิ่ง
1.เมื่อร่างกายผ่อนคลายแล้ว (ตามกลของรูธ 1) จึงฝึกจิตให้สงบ
2.เริ่มตั้งจิตกับลมหายใจ ความคิดที่ผุดขึ้นและพยายามดึงความสนใจจากเรานั้นเป็นเรื่องปกติ เมื่อมันเกิดขึ้นให้กลับไปอยู่กับลมหายใจ บางคนอาจใช้การกำหนดที่รูจมูก และรู้สึกถึงอากาศที่เข้าและออก เพื่อดึงความสนใจกลับมา
3.วิธีการอื่นที่ช่วยลดความวอกแวกของจิตคือการใช้มนต์ ซึ่งเป็นคำหรือวลีที่พูดซ้ำแล้วซ้ำอีก และการจ้องเปลวเทียนหรือวัตถุอื่น ซึ่งจะช่วยไม่ให้ความคิดวอกแวก บางครั้งในการฝึกผู้สอนอาจเป็นผู้กำหนดคำที่ใช้เป็นมนต์ให้ และไม่ให้ผู้เรียนบอกคนอื่น แต่จะเลือกมนตร์ของคุณเองก็ได้ หรือจะใช้การจ้องเปลวไฟหรือสิ่งของแทนก็ได้เช่นกัน แต่ละคนใช้วิธีต่างกัน ให้ลองหาวิธีการที่เหมาะสมที่สุด
4.การฝึกต้องใช้เวลาและความพยายาม อย่าท้อ อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ หรือนานกว่านั้น ก่อนจะเริ่มเห็นผลจากจิตที่สงบ จะไม่มีความอยากไปข้องเกี่ยวทางอารมณ์กับความคิดทางลบ หรือที่รบกวนจิตใจเหมือนเดิมอีกต่อไป ความสงบที่ได้รับจากการผ่อนคลาย จะเพิ่มขึ้นเพราะเมื่อไม่มีบทสนทนาในหัวมารบกวน การตอบสนองทางอารมณ์ก็ไม่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นนี้เองที่ส่งผลต่อร่างกายส่วนที่เหลือ
5.ฝึกเช่นนี้วันละ 20 ถึง 30 นาที
รางวัลของการกล่อมจิตให้นิ่งคือความคิดที่กระจ่างชัด
สี่
ความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้น
ทุกคนเคยมีเรื่องเลวร้ายในชีวิตที่ทำให้เจ็บปวด เหมือนเป็นแผล เหมือนกับที่หัวใจเป็นแผลนั่นแหละ ต้องดูแลถึงจะหายได้ ไม่อย่างนั้นแผลนั้นจะทำให้เจ็บปวดต่อไป บางทีอาจเจ็บปวดไปอีกยาวนานมาก ทุกคนล้วนต้องเจ็บปวดทางใจทั้งนั้น โลกก็เป็นอย่างนี้แหละ แต่สิ่งต่าง ๆ ไม่เพียงทำร้ายให้เจ็บปวดเฉย ๆ มันยังมีเป้าหมายที่น่าทึ่งอีกนั่นคือ ตอนที่หัวใจบาดเจ็บ มันจะเปิดออก และเราจะโตขึ้นจากการบาดเจ็บนั้น เราเติบโตจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ยากลำบากนี่แหละคือ เหตุผลที่ควรยอมรับสิ่งยาก ๆ ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต คนที่ไม่มีปัญหาเลยน่าเสียดาย คนที่ไม่ต้องเจออะไรที่ยากลำบากเลย จะพลาดของขวัญในชีวิต พลาดสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตไป
กลต่อไปจะสอนให้เปิดหัวใจ การเปิดหัวใจอีกส่วน ส่วนที่จะต้องฝึกกันจริง ๆ นี้คือ การฝึกห่วงใยตัวเอง ในชีวิตทุก ๆ คนการเลือกได้ว่าอะไรที่ยอมรับได้ ตอนเป็นเด็กไม่ได้มีทางเลือกมาก เราเกิดในครอบครัวและสถานการณ์ที่เหนือกว่าการควบคุม แต่เมื่อโตขึ้นเราเลือกได้ ไม่ว่าโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราได้เลือกแล้วว่าอยากได้รับการปฏิบัติแบบไหน อะไรที่เธอยอมรับได้ อะไรที่ยอมรับไม่ได้ เธอจะต้องเลือก และต้องยืนหยัดเพื่อตัวเธอเอง ไม่มีใครอื่นใดจะทำให้ได้ รูธสอนให้เปิดหัวใจ เธออธิบายว่าสิ่งที่คิดในหัวนั้นเกือบทั้งหมด เป็นไปในทางวิพากษ์วิจารณ์และเป็นลบมากเกินไป ทำให้ตอบสนองในลักษณะที่ไม่เป็นผลดีที่สุด ทำให้เรามีชีวิตอยู่เพื่อหวังในสิ่งที่ควรเป็น หรือน่าจะเป็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ่อยมากเสียจนแทบไม่เหลือเวลาอยู่กับปัจจุบัน รูธให้สร้างรายการประโยค 10 ประโยค และพูดซ้ำ ๆ ทุกเช้า ทุกคืน และเวลาใดก็ตามที่นึกขึ้นได้ โดยเฉพาะหลังการฝึกผ่อนคลาย และฝึกความคิดแล้ว แม้การพูดประโยคทั้งหมดดูเหมือนการใช้กลลวง แต่ก็ได้ผล สมองของเรามีพลังมาก แต่จะช่วยให้เราได้สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ ก็ต่อเมื่อ เราเปิดหัวใจของเราก่อน
กลของรูธ 3 เปิดหัวใจ
1.ผ่อนคลายร่างกายให้เต็มที่ (ตามกลของรูธ 1)
2.เมื่อร่างกายผ่อนคลายแล้ว กำหนดลมหายใจและพยายามทำจิตให้ว่างจากความคิดต่าง ๆ
3.เมื่อมีความคิดเกิดขึ้น ให้ดึงความสนใจกลับไปที่ลมหายใจ
4.หายใจเข้าและออกต่อเนื่อง พยายามทำจิตให้ว่าง
5.ทีนี้ให้คิดถึงบุคคลในชีวิตที่ให้ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขไม่ต้องเป็นความรักที่สมบูรณ์แบบ หรือความรักที่ไม่มีความเจ็บปวดเลย แต่หมายความเพียงการที่มีใครสักคนรักคุณโดยไม่เห็นแก่ตนเองแม้แค่สักครั้ง หรือในช่วงเวลาหนึ่ง หากคิดถึงคนที่รักอย่างไม่มีเงื่อนไขไม่ออก อาจจะคิดถึงใครในชีวิต ที่คุณให้ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขแทนก็ได้
6.อยู่กับความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจ ที่เกิดจากความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขนั้น ขณะที่หายใจเข้าออกช้า ๆ สัมผัสถึงพลังของความรักนั้น การที่ได้รับการยอมรับและห่วงใย แม้ว่าจะบกพร่องไม่ได้สมบูรณ์แบบ
7.คิดถึงคนที่ห่วงใย แล้วส่งความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขไปให้บุคคลนั้น ขอให้เข้าใจว่าของขวัญที่ให้กับบุคคลนั้น ก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ได้รับจากใครบางคน และมันจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่ามีคนห่วงใยปกป้อง
8.ขณะกำลังแผ่ความรักให้คนที่ห่วงใยคนนั้น นึกอีกทีว่ารู้สึกอย่างไร เวลาที่ได้รับความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข และการยอมรับ
9.ทีนี้ลองทบทวนอีกครั้งว่า การได้รับความห่วงใย การปกป้อง และความรักจากผู้อื่น โดยที่เขาไม่สนความบกพร่อง และความไม่สมบูรณ์ของตัวคุณนั้นทำให้รู้สึกอย่างไร แล้วจึงคิดถึงบุคคลที่คุณรู้จัก แต่มีความรู้สึกด้วยแบบกลาง ๆ และขยายความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขนี้ไปยังบุคคลเหล่านั้น ขณะที่คุณแผ่ความรักไปให้บุคคลนั้น ขอให้อวยพรให้เขามีชีวิตที่ดี มีความสุข มีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ กอดบุคคลนั้นไว้ในหัวใจ และคิดถึงอนาคตของเขา มองดูความสุขของเขาให้ตัวคุณเอง อาบความรู้สึกอบอุ่นนั้น
10.ต่อมาจึงคิดถึงคนที่คุณมีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีด้วย หรือคนที่รู้สึกด้วยในทางลบ ขอให้เข้าใจว่า บ่อยครั้งการกระทำของบุคคลนั้น เป็นการแสดงออกถึงความเจ็บปวดของเขา มองพวกเขาเหมือนเป็นตัวคุณ เป็นผู้ที่บกพร่อง ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ที่บางครั้งต้องประสบความยากลำบาก และทำผิดพลาด จากนั้นให้คิดถึงบุคคลในชีวิต ที่ให้ความรักโดยไม่มีเงื่อนไขกับคุณ และสะท้อนความรักและการยอมรับที่คุณได้รับนี้ ให้กับบุคคลที่คุณไม่ชอบ หรือรู้สึกในทางลบ
11.พิจารณาว่าคนทุกคนที่คุณประสบพบเจอนั้น เป็นผู้ที่ไม่สมบูรณ์บกพร่อง เช่นเดียวกับคุณที่ทำผิดพลาด เลือกทางผิด และบางครั้งก็ทำร้ายคนอื่น แต่ก็ยังเป็นผู้ที่ต้องกระเสือกกระสนและต้องการความรัก ขอให้ตั้งใจแผ่ความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขนี้ให้ผู้อื่น ให้ความรักความอบอุ่น และการยอมรับพวกเขาในจิตของคุณ โดยไม่ต้องสนใจว่าพวกเขาจะตอบสนองอย่างไร
สิ่งสำคัญคือการที่หัวใจของคุณได้เปิดออก หัวใจที่เปิดแล้วจะเชื่อมโยงกับหัวใจของผู้อื่น และสิ่งนี้จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
ห้า
พรสามข้อ
ฤดูร้อนของจิมสิ้นสุดลง ด้วยการที่รูธสัญญาว่าจะสอนกลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีพลังที่สุด ลึกลับที่สุด และเปลี่ยนชีวิตได้ให้ จิมยังไม่เข้าใจว่ากลที่ว่านั้นจะเป็นอย่างไร แต่คิดภาพว่าจะกลายเป็นนักแสดงกลยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ช่วงเวลา 6 สัปดาห์นั้นยาวนานเหมือนชั่วชีวิต และก็หมดไปรวดเร็วเหมือนชั่วพริบตา 6 สัปดาห์ที่ได้เรียนรู้กล 4 อย่างเหมือนจะใช้เวลานาน แต่เธอบอกว่าผู้คนใช้เวลาหลายปีกว่าจะเรียนรู้กลนี้จนเชี่ยวชาญ จะต้องฝึกต่อไป และทำจนเป็นนิสัย ถ้ามาที่ร้านมายากลบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็จะได้ฝึกกลทุกวัน จนกระทั่งเข้าใจทั้งหมด เมื่อนั้นเองที่เธอจะยอมสอนกลต่อไป
รูธจุดเทียนไขเล่มใหญ่วางบนโต๊ะตัวเล็ก ที่ดูเหมือนที่วางโทรทัศน์มากกว่า ตรงกลางห้องทำงานด้านหลัง ไม่เคยเห็นเทียนไขแบบนี้มาก่อน มันมีครอบแก้วทรงกระบอกสูง ที่มีลวดลายก้นหอยสีน้ำตาล และพันอยู่รอบ ๆ เทียนไข ด้านในเป็นสีขาวสูงประมาณ 1 ใน 3 ของครอบแก้ว ลวดลายโค้งทำให้เปลวไฟดูเหมือนเต้นระริกอยู่ รูธปิดไฟดวงอื่นในห้องทำให้ห้องดูสลัวและลึกลับกว่าที่เคย
การวาดภาพตัวเองในหัวมีสองวิธี วิธีหนึ่งคือทำเหมือนกำลังดูหนังที่ฉายเรื่องของตัวเอง อีกวิธีหนึ่งคือทำเหมือนการมองโลกผ่านตา ให้จินตนาการว่าโลกตัวเองเป็นอย่างไร เมื่อมีเงิน 1 ล้านบาทที่ต้องการแล้ว มันต้องใช้การฝึก ต้องใช้เวลา แล้วก็ต้องฝึกให้มากขึ้นอีก บอกให้ผมฝึกกล 3 อย่างแรกที่เธอสอนไว้ โดยให้เน้นการเปิดหัวใจเป็นพิเศษ แล้วจึงให้เขียนรายการทุกอย่างที่ชีวิตอยากให้มี จิมส่งรายการให้รูธในวันถัดมา อยากเป็นหมอ นั่นเป็นวันแนะแนวอาชีพตอนเกรด 4 วันที่บุคคลสาขาอาชีพต่าง ๆ ในชุมชนจะมาเล่าให้ฟังว่า พวกเขาทำงานอย่างไร มีนักดับเพลิง นักบัญชี และนักพนักงานขายประกัน ซึ่งจิมไม่สนใจ นักดับเพลิงก็ดูเท่ห์ดี แต่งานของเขาส่วนใหญ่คือการรอให้สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีเกิดขึ้นก่อน ผู้ชายคนถัดมาแตกต่างออกไป เขายิ้มให้ทุกคน เขาเป็นหมอกุมารแพทย์ หมอที่ดูแลรักษาเด็ก เขาดูเปล่งประกายขณะที่ยืนหน้าชั้นเรียน และเล่าเรื่องงานของเขา เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องไป เขาเข้ามาจับมือจิมพร้อมกับบอกว่า บางทีเธออาจจะได้เป็นหมอสักวันนะ จิมจึงบอกรูธว่าผมจะเป็นหมอ
ทุกอย่างที่เขียนไว้ในรายการ ทุกอย่างที่รู้สึกจากหัวใจ ทุกอย่างที่คิดและจินตนาการด้วยจิต ถ้าเชื่ออย่างนี้แท้จริงและมีความพยายามมันจะเกิดขึ้น จะต้องมองเห็นมันและไขว่คว้ามัน ไม่ใช่แค่นั่งรออยู่ในห้องเฉย ๆ ต้องเรียนให้ได้คะแนนดี ๆ ต้องเข้าโรงเรียนแพทย์ และเรียนรู้ว่าจะเป็นหมออย่างไรให้ได้จริง ๆ ด้วย เมื่อจิมกลับบ้านในคืนนั้น และคิดว่าควรจดทุกอย่างที่รูธสอน จึงเอาสมุดบันทึกจากกล่องเก็บของมีค่า เปิดไปยังหน้าที่ว่าง และเขียนว่ากลของรูทด้านบน พลิกไปอีกหน้าแล้วเขียนทุกอย่างที่รู้ เรื่องการผ่อนคลายร่างกาย ทำจิตให้สงบ เปิดหัวใจ และตั้งจุดมุ่งหมาย เขียนทุกอย่างเท่าที่จะจำได้
ความเป็นจริงของจิมก่อนที่จะพบรูธนั้นคือ รู้สึกหลงทางและคิดว่าชีวิตนั้นไม่ยุติธรรม บางคนก็โชคดี บางคนก็โชคไม่ดี ไม่เห็นความเป็นไปได้ใดที่จะกลายเป็นคนสำคัญ หรือได้ออกจากโลกที่เล็ก และหดหู่ที่พ่อแม่เคยอยู่ หลังจากได้เจอรูธทำให้จิมมองโลกต่างจากเดิม เขามองตัวเองต่างจากเดิม เชื่อในโลกแห่งความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด สร้างสิ่งใดที่ต้องการก็ได้ และนี่ทำให้รู้สึกถึงพลัง การมีจุดมุ่งหมาย ในที่สุดแล้วทุกคนสามารถเรียนรู้กลเดียวกันนี้ได้ เพื่อเข้าถึงพลังแห่งจิต พร้อมที่จะใช้พลังนี้
กลของรูธ 4 กำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน
1.อยู่ในห้องที่สงบ หลับตา
2.คิดถึงเป้าหมายหรือสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จ ยังไม่จำเป็นต้องมีรายละเอียดภาพที่ครบถ้วน แต่เป้าหมายหรือสิ่งที่ต้องการนี้ต้องไม่เป็นโทษกับผู้อื่น หรือเป็นความตั้งใจที่ไม่ดี แม้วิธีการนี้จะสำเร็จ มันอาจสร้างความเจ็บปวด และความทุกข์ต่อตัวคุณเอง และทำให้คุณไม่มีความสุข
3.ผ่อนคลายร่างกายเต็มที่ (ดูกลของรูธ 1)
4.เมื่อร่างกายผ่อนคลายแล้ว กำหนดลมหายใจ และทำจิตให้ว่าง ปลอดโปร่งจากความคิด
5.หากมีความคิดเกิดขึ้น ให้ดึงความสนใจกลับไปที่ลมหายใจ
6.หายใจเข้าและออกต่อเนื่อง ทำจิตใจให้ว่าง
7.ต่อมาคิดถึงเป้าหมาย หรือความปรารถนา และจินตนาการว่าตัวคุณเองได้ในสิ่งนั้นแล้ว อยู่กับภาพนี้ขณะที่หายใจเข้าออกช้า ๆ
8.รับรู้อารมณ์ทางบวกที่เกี่ยวเนื่องกับการบรรลุเป้าหมาย หรือความปรารถนานั้น รับรู้ว่าการทำให้ความคิดเป็นจริงขึ้นมาได้นั้นรู้สึกดีเพียงใด อยู่กับความรู้สึกทางบวกนี้ ขณะที่เห็นภาพตัวเองบรรลุ หรือได้ในสิ่งนั้นแล้ว
9.เมื่อเห็นภาพตัวเองบรรลุ หรือได้ในสิ่งนั้น และอยู่กับความรู้สึกนั้นแล้ว ค่อย ๆ เพิ่มรายละเอียดเข้าไปในภาพ คุณดูเป็นอย่างไร คุณอยู่ที่ไหน คนอื่น ๆ ตอบสนองต่อคุณอย่างไร ใส่รายละเอียดเข้าไปในภาพนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
10.ทำซ้ำหนึ่งถึงสองครั้งต่อวัน เป็นเวลา 10 – 30 นาที แต่ละครั้งให้เริ่มด้วยภาพของคุณที่บรรลุเป้าหมาย อยู่กับความรู้สึก เติมรายละเอียด ในช่วงแรกอาจจะรู้สึกว่าภาพยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อฝึกบ่อย ๆ ภาพนั้นจะชัดเจนขึ้น
- ในการฝึกแต่ละครั้ง คุณจะพบว่าภาพของคุณค่อย ๆ ถูกปรับให้ชัดเจนมากขึ้น เมื่อจิตใต้สำนึกเริ่มจะเห็นจุดมุ่งหมายชัดเจนขึ้น คุณอาจจะประหลาดใจกับสิ่งที่คุณพบ และในวิธีการที่จะบรรลุเป้าหมาย สิ่งที่สำคัญคือเป้าหมาย ไม่ใช่วิธีการที่ไปถึงมัน
จุดมุ่งหมายชัดเจนจะทำให้ภาพในความคิดกลายเป็นความจริง
ตอนที่ 2
ความลึกลับของสมอง
หก
ลงแรง
ถ้าชีวิตเป็นแบบหนังที่ฉายทางโทรทัศน์ ชีวิตคงจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากที่กลของรูธช่วยจิมให้รอดพ้นจากการถูกไล่ออกจากบ้าน แต่กลของรูทไม่ได้ทำงานในแบบนั้น ยักษ์จีนี่ไม่ได้ออกมาจากตะเกียงเพื่อทำให้พรทุกอย่างสำเร็จทันที ครอบครัวของเขายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมหัศจรรย์อย่างนั้น พ่อของเขายังดื่มเหล้า พี่ชายยังซ่อนตัวจากโลกภายนอก แม่ก็ยังมีปัญหาโรคซึมเศร้าและโรคชัก จิมได้รู้กลแล้วก็จริง แต่มันก็ขึ้นกับการฝึกฝนให้ดีขึ้น
ความลึกลับซับซ้อนของสมองอีกประการคือ สมองมักจะเลือกสิ่งที่คุ้นเคยมากกว่าสิ่งที่ไม่คุ้นเคย จึงใช้การจินตนาการความสำเร็จในอนาคต มาสร้างความสำเร็จที่สมองคุ้นเคย ความตั้งใจนั้นเป็นสิ่งที่แปลก สมองตั้งใจจดจ่อกับสิ่งใด สมองก็จะเห็นสิ่งนั้น หากคิดจะซื้อรถแบบไหนแล้ว หลังจากนั้นก็เหมือนจะได้เจอแต่รถแบบนั้นในทุกที่ที่ไปหรือไม่ นั่นหมายถึงความมุ่งหมายทำให้รถปรากฏขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ หรือเพราะความตั้งใจจดจ่อของสมอง ที่ทำให้เห็น มันก็คือตัวอย่างอันทรงพลังของประสาทศาสตร์ และสภาวะการเปลี่ยนแปลงได้ของสมอง ความตั้งใจเป็นสิ่งที่มีพลัง มันสามารถเปลี่ยนแปลงสมองได้จริง มันช่วยเพิ่มสมองเนื้อเทา โดยเจาะจงส่วนที่ช่วยให้เรียนรู้ แสดงออก และทำฝันให้เป็นจริง
รูธสอนให้จิมจดจ่อกับสิ่งที่คาดหวังในชีวิต สอนทักษะที่ทำให้ได้สิ่งที่ต้องการในชีวิต และก็ให้เพ่งความตั้งใจทั้งหมดไว้กับอนาคตที่ฝันไว้ จิมไม่ได้รู้เรื่องรายละเอียดที่จะทำให้เข้ามหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนแพทย์เลย ที่จริงแล้วไม่ได้นึกถึงกระบวนการทั้งหมดนั่นเลยด้วยซ้ำ แต่การตั้งความมุ่งหมายเป็นเหมือนเวทมนต์อย่างหนึ่ง และนับตั้งแต่ฤดูร้อนในร้านมายากลนั้น เหมือนจะร่วมมือช่วยให้ได้เป็นในสิ่งที่อยากเป็น
จิมยังคงคิดถึงสิ่งที่อยากได้ในชีวิต เห็นสิ่งเหล่านี้ผ่านหน้าต่างในจิตใจ ที่มักไม่ค่อยชัดเจนแต่ผมก็เชื่ออย่างมั่นคงแน่วแน่ ๆ ว่า เมื่อถึงเวลาภาพเหล่านี้จะชัดเจนแจ่มแจ้ง เขาได้เรียนรู้ว่ากระบวนการที่ทำให้ภาพชัดเจนนั้นไม่ตรงไปตรงมาเสมอ และไม่เป็นไปตามเวลา หรือเป็นเหตุเป็นผลอย่างที่อยากให้เป็น แต่ภาพที่คิดไว้นั้นมักจะเกิดขึ้นเสมอ และเมื่อภาพนั้นยังไม่ชัดเจน ก็แปลว่ามีเหตุผลที่ดีพอที่ทำให้มันยังไม่ชัดเจน เป็นเวลาหลายสิบปีที่จิมได้เรียนรู้ว่า การมีศรัทธาในผลลัพธ์นั้น ต่างกับการยึดติดกับผลลัพธ์ และเรียนรู้ผ่านบทเรียนอันเจ็บปวด เรื่องของการระวังในสิ่งที่ต้องการให้เป็นจริงขึ้นมา ยังได้เรียนรู้ว่า ในความมุ่งหมายของคนทุกคนนั้น บรรจุพลังอันมหึมาอยู่ด้วย
เมื่อสมองเปลี่ยนแปลง ตัวเราก็เปลี่ยนแปลงด้วย นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่ความจริงที่ยิ่งกว่าคือ เมื่อหัวใจเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่เพียงการมองโลก แต่เปลี่ยนการที่โลกมองเรา และการที่โลกตอบสนองต่อเราด้วย
เจ็ด
ยอมรับไม่ได้
ข้างใต้สมองใหญ่ (cerebrum) ข้างหน้าสมองน้อย (cerebellum) มีสิ่งที่เรียกว่าก้านสมอง สมมุติว่าสมองใหญ่เป็นนักร้องชื่อดังระดับโลกที่กำลังขึ้นโชว์ สมองน้อยก็ทำหน้าที่เหมือนผู้ออกแบบท่าเต้น กำหนดว่าสมองใหญ่จะแสดงค่าอะไร และก้านสมองก็เป็นเหมือนผู้จัดการ ผู้มีหน้าที่ประสานข้อมูลที่จำเป็น เพื่อทำให้การแสดงเป็นไปอย่างราบรื่น
จิมรู้สึกลึก ๆ ว่าจะได้เป็นหมอ ภาพของเขาในเสื้อคลุมสีขาวนั้นไม่ใช่สิ่งที่จินตนาการขึ้น มันชัดเจนเหมือนจริงมาก จนเหมือนมองตัวเองในกระจก เป็นเวลาเกือบ 7 ปีที่จิมวางแผนภาพนี้ในสมอง และยอมรับไม่ได้ที่จะไม่ทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา โชคไม่ดีที่ใครหลาย ๆ คนยอมให้คนอื่นตัดสินว่าตนทำได้หรือไม่ แต่นี่เป็นของขวัญอย่างหนึ่งที่รูธให้ ความสามารถที่จะเชื่อในตนเอง และรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่อยากให้ประสบความสำเร็จ หรือทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ และรู้ด้วยว่าจะอยู่กับความจริงโดยไม่ตอบสนองด้วยอารมณ์ได้อย่างไร
กระบวนการสมัครเข้าโรงเรียนแพทย์เริ่มขึ้นในช่วงปลายปีที่ 3 จิมพบว่าในการสมัครนั้นสำหรับนักศึกษายูซีเออร์ไวน์จะต้องใช้จดหมายแนะนำตัว ที่จะได้หลังจากการสัมภาษณ์โดยคณะกรรมการเตรียมแพทย์ เขาไปพบกับเลขานุการของคณะกรรมการตามระเบียบ เพื่อขอนัดวันสัมภาษณ์ แต่เลขานุการบอกว่าคุณสมบัติไม่เพียงพอ รูธสอนจิมมาอย่างมากมาย และการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องของเขา ทำให้พบความจริงนี้ด้วยตัวเอง รูธยังบอกว่าไม่ควรหยุดยอมรับในสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ต้องสู้เพื่อตัวเอง ก้าวผ่านอุปสรรคต่าง ๆ มามากมายแล้ว และไม่มีทางที่คณะกรรมการนี้จะหยุดได้
เป็นเวลาไม่ถึงปี หลังจากที่จิมไปพบกับคณะกรรมการที่ยูซีเออร์ไวน์ และสองสัปดาห์หลังจากพ่อเสีย จิมได้รับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยทูเลน เมื่อเขาได้รับจดหมายจึงเข้าไปในห้องนอนนั่งลงข้างเตียงค่อย ๆ เปิดซองจดหมายและคิดถึงพ่อ พร้อมกับมองไปที่ที่พ่อเคยยืน ในคืนนั้นที่พ่อมาหาและบอกลา จิมรู้ว่าพ่อภูมิใจในตัวเขา
บางครั้งกฎเกณฑ์ก็สำคัญจำเป็นอย่างยิ่ง แต่บางครั้งสิ่งเหล่านั้นก็เขียนขึ้นตามอำเภอใจ และแค่คัดแยกไปตามตัวเลข และโอกาสวงแคบ ๆ การมีผลการเรียนเกรดเอล้วน หรือการได้รับปริญญาเป็นอุปสรรคที่ก่อขึ้นตามอำเภอใจ ซึ่งกีดขวางการเป็นแพทย์ จิมรู้ว่าเขามีความฉลาดในตัว และมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะเป็นหมอที่ดี
แปด
นั่นไม่ใช่การผ่าตัดสมอง
จิมไม่เคยวางแผนว่าตัวเองจะเป็นประสาทศัลยแพทย์ เขาวางแผนไว้ว่าจะเป็นศัลยแพทย์ตกแต่ง เขารู้สึกเห็นใจเด็กที่เป็นโรคกะโหลกศีรษะและหน้าผิดปกติ เขาชื่นชอบในเทคนิคการผ่าตัดอันซับซ้อนของการผ่าตัดตกแต่ง การเห็นภาพเด็กที่มีความผิดปกติของใบหน้าทำให้ไม่สบายใจ เขาสงสารเด็กที่มีบาดแผลที่ไม่อาจปิดบังจากโลกภายนอกได้ และถูกคนหันหน้าหนีจากใบหน้าอันไม่สมบูรณ์ของเขา และก็ชอบศัลยกรรมตกแต่งเพื่อความงาม และวาดภาพตนเองเป็นอาจารย์ที่คอยรักษาเด็กไปพร้อมกับเดินทางไปเบเวอร์ลีฮิลส์ เพื่อดูแลคนไข้ศัลยกรรมตกแต่งที่ร่ำรวย การเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งให้กับคนที่ร่ำรวย และมีชื่อเสียงทำรายได้ดีมาก
จิมขอทุนสำหรับเรียนแพทย์ในปีแรก ทุนจากกองทัพ เขารู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าจะต้องรับใช้ประเทศ และอยากตอบแทนประเทศด้วย กองทัพยินยอมให้ทุนเรียนแพทย์ ทั้งค่าเรียนและค่าใช้จ่าย และเขาตกลงทำงานให้กองทัพในฐานะแพทย์ เขาทำงานให้กองทัพสหรัฐเป็นเวลา 9 ปี และในที่สุดก็ได้เป็นพันตรี เจมส์ โดตี ทุนจากกองทัพทำให้มีงานทำในฐานะแพทย์ใช้ทุนหลังจบแพทยศาสตร์ หลังจากเรียนจบที่ทูเลนในปี 1 981 เขาได้ทำงานใช้ทุนที่ศูนย์การแพทย์ทางทหารทริปเลอร์ในฮาวาย เป็นที่ที่เคยมาฝึกสมัยเป็นนักศึกษาแพทย์ การทำงานใช้ทุนที่นี่มีระบบที่ยืดหยุ่น เพราะสามารถทำงานในแผนกศัลยกรรมเฉพาะด้าน แทนที่จะทำงานเพียงแผนกศัลยกรรมทั่วไป ยังได้ทำงานในแผนกกุมารเวชกรรม สูติกรรม นรีเวชกรรม อายุรกรรม และศัลยกรรมทั่วไป รวมถึงประสาทศัลยกรรมด้วย เขาคิดว่าการมีประสบการณ์กว้างขวางและหลากหลาย น่าจะมีประโยชน์กับการศึกษา
สิ้นสุดการเป็นแพทย์ฝึกหัดโดยวาดภาพตัวเองเป็นแพทย์ประจำบ้านประสาทศัลยกรรมที่วอลเตอร์รีด ทุกเช้าและเย็นเห็นภาพตัวเองที่นั่นด้วยจิตของเขา ไม่กังวลเรื่องผลลัพธ์ที่ต้องการ เรียนรู้ที่จะวาดภาพสิ่งที่ต้องการโดยไม่เอาตัวเองไปยึดกับผลลัพธ์ แค่ขยับเขยื้อนและเชื่อมั่นว่ารายละเอียดต่าง ๆ จะคลี่คลายออกมาในแบบที่มันจะต้องคลี่คลาย ก็เหมือนกับหลาย ๆ เรื่องในชีวิต ความเชื่อเป็นผลมาจากประสบการณ์ในชีวิต และสมองก็เป็นผลรวมจากประสบการณ์เหล่านั้น แล้วประสบการณ์ของหัวใจ ที่คิดว่าน่าสนใจยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ การวิจัย และคำถามเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายอันเป็นผลจากประสบการณ์ใกล้ตาย คือสายป่านแห่งความสอดคล้องเดียว ที่เชื่อมผ่านประสบการณ์เหล่านั้น ทำไมหลาย ๆ คนถึงได้เคลื่อนเข้าสู่แสงสว่าง ความอบอุ่น และความรักเหมือน ๆ กัน บางทีอาจเพราะสิ่งที่พบระหว่างประสบการณ์ใกล้ตายนั้น อาจเป็นสิ่งที่หัวใจต้องการมากที่สุด นั่นคือความรักแบบไม่มีเงื่อนไข การยอมรับความรู้สึกอบอุ่นของบ้านและครอบครัว ในที่สุดประสาทศัลยแพทย์ที่จองหองเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางก็ได้ลิ้มรสความตายของเขาแล้ว คนเราตายได้หลายพันครั้งในชีวิต และนี่เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการมีชีวิตอยู่ คืนนั้นสิ่งที่ตายไปด้วยคือความเชื่อว่ากลของรูธนั้น ทำให้รอดพ้นได้ทุกอย่าง และความเชื่อที่ว่าอยู่ตัวคนเดียวในโลก
เก้า
สุลต่านแห่งความว่างเปล่า
จิมอายุ 44 ปีแล้ว และวางแผนจะเกษียณปีหน้า ชีวิตที่นิวพอร์ตบีชนั้นห่างไกลจากแลงแคสเตอร์มาก เขากลายเป็นประสาทศัลยแพทย์ที่มีชื่อเสียงในเขตออเร้นจ์ อยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ของอ่าวนิวพอร์ตในบ้านขนาด 7,500 ตารางฟุต โรงรถของเขาไม่ได้มีแค่รถปอร์เช่ที่เคยฝันตอนเด็ก แต่ยังมีเรนจ์โรเวอร์ เฟอร์รารี่ บีเอ็มดับบลิว และเมอร์เซเดสด้วย จิมมีทุกอย่างในรายการ มีมากกว่านั้นด้วย มากกว่ามาก เขาร่ำรวยเกินกว่าที่เคยจินตนาการไว้ มีความสำเร็จที่ไม่แพ้ใครทั้งด้านการแพทย์และธุรกิจ แต่ความโดดเดี่ยวเป็นสิ่งเดียวที่แก้ไขไม่ได้
เขาวางแผนจะเกษียณ และใช้เวลาบางส่วนให้ความช่วยเหลือด้านบริการทางการแพทย์แก่ประเทศโลกที่ 3 และใช้เวลาที่เหลือเดินทางระหว่างแซนแฟนซิสโก ฟลอเรนซ์ และนิวซีแลนด์ ถ้ารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นนัก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร คิดว่าคงหาได้ในการเดินทาง จิมมีนัดกับทนายความ และจะออกเดินทางไปนิวยอร์กเป็นเวลา 1 สัปดาห์เรื่องธุรกิจ ทนาย 2 คนเชิญเข้าสู่ห้องออฟฟิศของเขาด้วยท่าทางนอบน้อม นักลงทุนเพื่อนนั้นแนะนำสำนักงานกฎหมายนี้ เพราะที่นี่มีชื่อเสียงจากการจัดการเรื่องทรัพย์สินของสุลต่านแห่งบรูไนในในสหรัฐอเมริกา
เขาใช้เวลา 2 ชั่วโมงต่อมาทบทวนหุ้นและองค์กรการกุศลที่ต้องการบริจาค เมื่อเสร็จสิ้นรู้สึกว่าตัวเองสำคัญ เป็นผู้เอื้อเฟื้อ และความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว่างเปล่าเมื่อตอนตื่นขึ้นมานั้นหายไปแล้ว เขาเดินทางไปนิวยอร์กซิตี้ด้วยเที่ยวบินชั้น 1 และเข้าพักห้องสวีทที่โรงแรมพาเลซ ซึ่งในตอนนั้นเป็นกิจการของสุลต่านแห่งบรูไนพอดี ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์คนหนึ่งที่ต้องการให้จิม และเพื่อนนักลงทุนช่วยบริษัทที่เขาลงทุนในซิลิคอนแวลลีย์ เขาเชื่ออย่างหนักแน่นว่า การช่วยเหลือบริษัทของจิมจะทำให้มันสำเร็จแน่นอน แต่การเจรจาไม่สำเร็จ
ต่อมาตลาดหุ้นล่มสลาย ผู้คนบ้าคลั่ง ราคาหุ้นตกต่ำลง ผู้คนสูญเสียเงินหลายล้าน มูลค่าทรัพย์สินของจิมตกฮวบ ไม่เพียงแต่เงินจากไป แต่เพราะสายสินเชื่อนั้นขึ้นกับมูลค่าของหุ้น เขาจึงเป็นหนี้หลายล้านดอลลาร์ และกลายเป็นคนล้มละลาย ดูเหมือนว่าเพื่อนทั้งหมดจะหายตามเงินในธนาคารไป ไม่มีการดื่มฟรี อาหารฟรี ที่นั่งพิเศษในภัตตาคารหรูอีกต่อไป ใช้เวลาเกือบ 2 ปีแห่งความยากลำบาก และแม้จะขายเพ้นต์เฮ้าส์ รถ คฤหาสน์ และยกเลิกการซื้อเกาะแล้ว ก็ยังเป็นหนี้อยู่ จิมเฝ้ามองสิ่งที่ได้มาจากการทำงานหนักค่อย ๆ จากไปในแต่ละเดือน เงินทั้งหมด อำนาจ และความสำเร็จที่เคยฝันถึง และวาดภาพไว้ในหัวตั้งแต่เมื่อวัยรุ่น จากไปแล้วหายไปในโพละเดียวของฟองสบู่ที่แตก เขาทำให้สิ่งเหล่านั้นปรากฏขึ้นแล้วก็หายไป
การลงทุนตั้งบริษัททั้งหมดที่ทำไป และความสำเร็จที่มาหลังจากนั้น ดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ เขามัวเมากับการได้รับโชค ทรัพย์สมบัติ และอำนาจ ที่มาพร้อมกับสิ่งเหล่านั้น แต่ในที่สุดแล้ว ก็เศร้ากับการสูญเสียทรัพย์สินครั้งใหญ่ ขณะเก็บข้าวของ จิมพบกล่องใบเก่าที่เก็บของพิเศษลึกเข้าไปในตู้เก็บของ เขาไม่ได้เปิดกล่องนี้ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าออกมาเปิดดู และอ่านรายการสิ่งที่อยากได้ในชีวิตตอนอายุ 12 และยังเขียนอะไรไว้อีกหลายหน้า หน้าที่เขียนสิ่งที่รูธสอน และวลีตลก ๆ ที่เธอพูด ซึ่งในตอนนั้นยังไม่เข้าใจ ทุกอย่างที่อยู่ในรายการนั้นเป็นจริงแล้ว แต่ตอนนี้มันจากไปหมดแล้ว จิมเป็นนักมายากลที่ไม่ได้เรื่องเลย เขาได้แบ่งช่วงเวลา 6 สัปดาห์กับรูธออกเป็น 4 ตอน ผ่อนคลายร่างกาย กล่อมจิตให้นิ่ง เปิดหัวใจ กำหนดจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ที่ขอบกระดาษเหนือตอนที่ 3 เขียนไว้ว่าเข็มทิศศีลธรรม พร้อมกับประโยคที่ว่า สิ่งที่คิดว่าอยากได้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป แล้วก็วาดภาพหน้าต่างในใจ และพบว่าหน้าต่างนั้นมืดทึบ มองไม่เห็นอีกด้านของหน้าต่างที่เป็นอนาคตเลย ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้พบกับรูธ ที่มองไม่เห็นว่าต้องการอะไรต่อไป หรืออยากจะเป็นอะไร คิดไม่ออกว่าอยากจะเป็นอย่างไร ในอีกฝั่งของหน้าต่างในตอนนั้นเอง เขาก็รู้ว่าควรจะทำอะไร จิมต้องการกลับไปที่ร้านมายากล กลับไปที่แลงแคสเตอร์ บางทีอาจยังอยู่ที่นั่นบางทีรูธอาจยังมีชีวิตอยู่ จิมหนีบสมุดบันทึกไว้ใต้แขน และหยิบกุญแจรถคันเดียวที่เหลือ เขายังเก็บรถปอร์เช่ไว้ เพราะเป็นรถคันแรกที่ฝันถึง และเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์
ตอนที่สาม
ความลับของหัวใจ
สิบ
ล้มเลิก
หัวใจคือเข็มทิศ และมันคือของขวัญที่ยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าหลงทางขอให้เปิดมัน แล้วมันจะนำพาไปในทางที่ถูกต้องเสมอ จิมอ่านประโยคอีกประโยคหนึ่งที่ขอบด้านบน สิ่งที่คิดว่าอยากได้อาจไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป รูธเคยเตือนแล้ว เธอสอนให้ผมเปิดหัวใจก่อนวาดภาพสิ่งที่ต้องการ และสอนให้ใช้พลังอย่างชาญฉลาด หัวใจมีความเฉลียวฉลาดของตัวเอง และถ้าเราเรียนรู้จากหัวใจ เราจะรู้ว่าเรารักษาสิ่งที่เรามีไว้ได้ด้วยการให้สิ่งนั้นออกไปเท่านั้น หากเราอยากมีความสุข เราต้องทำให้คนอื่นมีความสุข หากเราต้องการความรัก เราต้องให้ความรัก หากเราต้องการความเบิกบาน เราต้องทำให้คนอื่นเบิกบาน หากเราต้องการการให้อภัย ก็ต้องให้อภัยผู้อื่น หากเราต้องการความสงบ เราก็ต้องสร้างความสงบให้โลกรอบตัวเรา สิ่งที่รูธเรียกว่าเข็มทิศของหัวใจนั้น ที่จริงก็คือการเชื่อมโยงระหว่างสมองและหัวใจ ผ่านเส้นประสาทเวกัส การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่า หัวใจส่งสัญญาณไปยังสมองมากกว่าที่ส่งสัญญาณมายังหัวใจมากนัก ขณะที่ระบบทางปัญญา และอารมณ์ในร่างกายนั้นชาญฉลาดแล้ว ก็ยังมีการเชื่อมโยงทางประสาทจากหัวใจไปยังสมองมากกว่าที่อื่น ๆ เป็นเวลาหลายสิบปีที่ละเลยหัวใจไป คิดว่าคงใช้แค่สมองเพื่อทำให้ตัวเองพ้นจากความยากจน ประสบความสำเร็จ และมีคุณค่าได้ แต่ที่สุดแล้วหัวใจต่างหากที่ให้คุณค่าที่แท้จริง สมองรู้อะไรมากมาย แต่ความจริงนั้นเรียบง่ายก็คือ สมองยังรู้อะไรได้อีกมากมาย เมื่อทำงานร่วมกับหัวใจ การกำหนดสติและการสร้างภาพในความคิด ซึ่งทุกวันนี้เป็นชื่อเรียกของสิ่งที่รูธสอนนั้น เป็นวิธีที่วิเศษในการเข้าถึงความสงบ ลดสิ่งรบกวน และค้นหาตัวเองจากภายใน ช่วยเพิ่มสมาธิ และทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น
กลที่รูธสอนได้ปิดท้ายอย่างงดงาม ด้วยการทำให้เห็นว่าหนทางเดียว ที่จะเปลี่ยนชีวิตให้ดีกว่าเดิมได้อย่างแท้จริงคือ การเปลี่ยนชีวิตของคนอื่น ๆ นี่เป็นของขวัญที่วิเศษที่สุด เป็นคนที่วิเศษที่สุด
สิบเอ็ด
อักขระแห่งหัวใจ
ทุกอย่างดูสวยงามเมื่อมองห่างออกมา เมื่อจิมกลับไปทำงานวิชาชีพแพทย์ มองกลับไปเห็นชีวิตในนิวพอร์ทบีช และเห็นความสวยงามในความผิดพลาด การเลือกเดินผิดทาง และความเชื่อผิด ๆ ว่าสิ่งใดที่มีค่าที่สุด สิ่งแรกที่บอกรูธว่าอยากได้เมื่อปี 1968 คือ การได้เป็นหมอ หลังจากที่ได้เห็นเงินทอง และเพื่อนพ้องส่วนใหญ่เดินจากไป ก็รู้ว่าการเป็นหมอนี่แหละ เป็นคนที่มีพลังมากที่สุดแล้ว
วันหนึ่งจิมได้รับเชิญไปให้คำแนะนำที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง ทางตอนใต้ของมิสซิสซิปปี้ ใช้ระยะเวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงจากนิวออร์ลีนส์ เมืองที่เขารักและเคยเรียนโรงเรียนแพทย์ที่นั่น อีกทั้งยังไม่ต้องเสียค่าเดินทาง เขาตอบตกลง การสร้างศูนย์ความเป็นเลิศระดับภูมิภาคนั้นใช้เงินมหาศาล หลังจากการนำเสนอของจิม คณะผู้บริหารลงมติเอกสารที่จะสนับสนุนให้สร้างศูนย์รับส่งต่อทางประสาทวิทยาของภูมิภาค หากจิมยอมเป็นผู้อำนวยการโครงการ เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ช่วยเหลือในสิ่งที่จะส่งผลยิ่งใหญ่ในที่ที่ต้องการ
โรงพยาบาลจะกลายเป็นศูนย์รับส่งต่อระดับภูมิภาค อีก 2 ปีที่จิมอยู่ที่นั่นต่อ และอีกหลายปีที่ได้ฝังร่างกายเป็นส่วนหนึ่งของศูนย์นี้ มันได้กลายเป็นศูนย์ความเป็นเลิศจริง ๆ ตามที่วาดภาพไว้หลายปีก่อน ในที่สุดก็ได้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง หลังจากสูญเสียเงินทองไป เขาก็สัญญาว่าจะช่วยเหลือผู้อื่น และศูนย์นี้ก็ช่วยตอบสนองความต้องการของคนยากจน บางมุมมันก็เป็นเหมือนไถ่โทษให้กับหลายปีที่ไล่ตามเงินทองและอำนาจ
จิมเขียนรายการสิ่งสำคัญ 10 ประการขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนหลายปีก่อนที่เขียนพร 10 ประการ ครั้งนี้คือสิ่งสำคัญ 10 ประการที่เปิดหัวใจ เขานั่งใคร่ครวญ อ่านซ้ำแล้วอ่านซ้ำอีก และมองเห็นเป็นรหัสช่วยจำว่า CDEFGHIJKL นี่เป็นวิธีที่จะช่วยจดจำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาในแต่ละแง่มุมเป็น อักขระของหัวใจ
C : Compassion ความเมตตา คือ การรับรู้ถึงความทุกข์ของผู้อื่น และปรารถนาให้ความทุกข์นั้นบรรเทาลง
D : Dignity ความภาคภูมิใจ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวทุกคน
E : Equanity ความสงบใจ หมายถึง ความคงที่ของอารมณ์แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก
F : Forgiveness การให้อภัย เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่เราจะให้ผู้อื่นได้ และเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราให้ตัวเองได้เช่นกัน
G : Gratitude ความซาบซึ้งใจ คือ การรู้สึกขอบคุณชีวิตที่เป็นอยู่ แม้จะมีความเจ็บปวดและความทุกข์
H : Humility ความถ่อมตน เป็นสิ่งที่ทำได้ยากสำหรับหลายคน
I : Integrity ความซื่อตรง ต้องอาศัยความตั้งใจ ต้องกำหนดว่าคุณค่าใดบ้างที่สำคัญสำหรับคุณมากที่สุด
J : Justice ความยุติธรรม หมายถึง การรู้ว่าจริง ๆ แล้วใจเราทุกคนปรารถนาที่จะเห็นความถูกต้อง
K : Kindness ความเอื้ออารี คือ ความห่วงใยผู้อื่น เป็นเหมือนภาคการแสดงออกของความเมตตา
L : Love ความรัก การให้ความรักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน จะเปลี่ยนแปลงทุกคนและทุกอย่าง
รหัสช่วยจำนี้เชื่อมต่อจิมเข้ากับหัวใจ และทำให้หัวใจเปิดออก ทำให้เริ่มแต่ละวันด้วยความตั้งใจและจุดมุ่งหมาย ในตลอดทั้งวันนั้น เมื่อเครียดหรือรู้สึกอ่อนแอ สิ่งนี้จะนำพาให้กลับไปยังที่ที่ปรารถนา นี้เป็นภาษาแห่งความตั้งใจ เป็นภาษาของหัวใจ เมื่อได้เปิดหัวใจตามที่รูธสอนอย่างแท้จริงแล้ว มันทำให้เปลี่ยนวิธีตอบสนองต่อความเจ็บปวด ไม่ต้องวิ่งหนีจากความเจ็บปวดอีก เพียงแค่อยู่กับมัน และการอยู่กับความเจ็บปวดนั่นเอง ที่ทำให้เชื่อมโยงกับตัวเองและเชื่อมโยงกับผู้อื่นอย่างแท้จริง ความสัมพันธ์กับคนไข้เปลี่ยนไป เขาใช้เวลาฟังมากขึ้น และพยายามเปิดหัวใจให้พวกเขาทุกคน ฟังอาการของพวกเขา และฟังหัวใจของพวกเขา ไม่ใช่ด้วยหูฟังแต่ด้วยหัวใจ ความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าผมจะไปที่ใด ก็ได้เห็นคนที่เหมือนกับเขา ทุกคนล้วนแต่มีเรื่องราวเบื้องหลังเหมือนกันทุกคนเลยตามเส้นทางของตน ทุกคนมีปัญหาและได้รับความทุกข์ในบางครั้ง จะเป็นคนที่มีน้อยหรือมีมากกว่าก็เหมือนกัน จิมเริ่มปล่อยวางเรื่องราวที่นิยามความหมายชีวิต ได้สร้างตัวตนขึ้นมาจากความยากจน แต่ตราบใดที่ยังแบกตัวตนนั้นไว้ ไม่ว่ามีเงินทองมากมายเพียงใด ก็จะยังจมปลักอยู่ในความยากจน เมื่อทำเช่นนั้นแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เคยหิวโหย ไม่ใช่คนเดียวในโลกที่เคยหวาดกลัว ไม่ใช่คนเดียวในโลกที่รู้จักความโดดเดี่ยว รู้สึกถูกทิ้งขว้าง หรือแตกต่างจากคนอื่น เขาเปิดหัวใจและพบว่า หัวใจมีความสามารถที่จะเชื่อมโยงกับหัวใจดวงอื่น ๆ ที่พบได้
สิบสอง
การแสดงออกซึ่งความเมตตา
การปล่อยความรู้สึกอย่างเข้มข้นห้าวหาญ ที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของภาษา ไม่ใช่สิ่งที่จะคิดพิจารณาหรือสำรวจได้ด้วยหัวสมอง แต่รู้สึกได้ด้วยหัวใจเท่านั้น ศัลยแพทย์หลายคนเปิดดนตรีระหว่างการผ่าตัด เพื่อให้ผู้ป่วยสงบสบาย หรือไม่ก็เพื่อให้ทีมผ่าตัดมีสมาธิและมีพลัง การศึกษาหลายครั้งแสดงว่า เมื่อผู้ป่วยได้ฟังดนตรีก่อนผ่าตัดผลคือ ผู้ป่วยกังวลน้อยลง ต้องการยาลดปวดและยาสลบลดลง ดนตรีส่งผลเช่นเดียวกับยาที่ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจ ลดความเครียด และลดความดันโลหิต ให้ผลด้านความสงบทั้งกับผู้ป่วยและศัลยแพทย์เอง
การใช้ชีวิตอยู่ด้วยหัวใจที่เปิดออกอาจจะเจ็บปวด แต่คงไม่มากเท่ากับการใช้ชีวิตด้วยหัวใจที่ปิดอยู่ จิมยังมีปัญหากับการประสานกันระหว่างส่วนหนึ่งในตัวที่อยากเป็นประสาทศัลยแพทย์ กับอีกส่วนหนึ่งซึ่งกระหายจะเชื่อมโยงกับผู้อื่น นี่ไม่ใช่แค่การสะท้อนความคิดทางปรัชญาที่เลื่อนลอย เขาเริ่มอุทิศตัวเองเพื่อการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง และติดต่อกับคนอื่น ๆ ที่กำลังค้นหาเรื่องเดียวกันนี้ ได้ค้นพบความลึกลับของสมอง สิ่งที่ได้เรียนรู้คือเมตตานั้น เป็นสัญชาตญาณ เป็นสิ่งที่มีมาโดยกำเนิด การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่าสัตว์ก็สามารถลงแรงเต็มที่เพื่อช่วยสัตว์ชนิดเดียวกัน หรือแม้แต่สัตว์ชนิดอื่นที่กำลังลำบาก ลิงดูแลกันเองเมื่อบาดเจ็บ ลูกนกฮูกแบ่งอาหารที่ตัวเองมีอยู่ไม่มากให้แก่เพื่อนร่วมรัง โลมาช่วยชีวิตวาฬหลังค่อมที่เกยหาด พวกเราที่เป็นมนุษย์ทุกคน มีสัญชาตญาณแห่งความเมตตาที่รุนแรงยิ่งกว่า
สมองของพวกเราพัฒนามาพร้อมกับความต้องการที่จะช่วยเหลือกันและกัน เราเห็นความต้องการช่วยเหลือผู้อื่นนี้ได้ในเด็กตั้งแต่วัยเตาะแตะ มีสมองส่วนที่เรียกว่าสมองส่วนกลาง หรือเพริอควีดักตัลเกรย์แมทเทอร์ ซึ่งเส้นทางเชื่อมโยงของมันกับเปลือกสมองส่วนหน้าผากใกล้ตา ส่งผลอย่างมากต่อพฤติกรรมการดูแลใส่ใจผู้อื่น จิมได้เริ่มการค้นคว้าเบื้องต้นกับเพื่อนร่วมงาน ในสาขาประสาทวิทยาและจิตวิทยา ผลที่ได้นั้นน่าดีใจ ได้เริ่มพบปะกันทุก 2-3 สัปดาห์ เพื่อพูดคุยเรื่องงานวิจัยล่าสุด และโครงการวิจัยในอนาคตที่เป็นไปได้ เรียกโครงการนี้อย่างไม่เป็นทางการว่า โครงการแห่งความเมตตา ในตอนแรกจิมให้ทุนสนับสนุนโครงการนี้เอง ต่อมาในการประชุมครั้งหนึ่ง ซึ่งชื่อขององค์ทะไลลามะปรากฏขึ้น เพราะมีศูนย์วิจัยชั้นนำแห่งหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากท่าน ให้วิจัยผลของการทำสมาธิและความเมตตาที่มีต่อสมอง
จึงจัดการนัดหมายองค์ทะไลลามะระหว่างที่ท่านจะมาเยือนซีแอตเทิล ในปี 2008 ตัวแทนของสแตนฟอร์ดหลายคนติดตามไปซีแอตเทิลด้วย ทั้งตัวแทนจากโรงเรียนแพทย์ คณะบดีสำนักงานชีวิตด้านศาสนา ผู้อำนวยการสถาบันประสาทสแตนฟอร์ด ศาสตราจารย์ด้านทิเบตศึกษาที่จัดการติดต่อตอนแรกสุด และผู้ที่อาจให้ทุนสนับสนุนท่านหนึ่ง เป็นคณะผู้ติดตามชุดใหญ่ทีเดียว สิ่งที่เป็นเพียงโครงการไม่จริงจัง ตอนนี้เป็นรูปร่างขึ้นโดยคณบดีของโรงเรียนแพทย์ ด้วยการสนับสนุนจากผู้อำนวยการสถาบันประสาทและหัวหน้าแผนก ได้กลายเป็นศูนย์เพื่อการวิจัยและการศึกษาด้านความเมตตาและความเห็นแก่ผู้อื่น (CCARE : Center for Compassion and Altruism Research and Education หรือ ซีแคร์)
นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง CCARE เป็นผู้ริเริ่มและผู้นำในด้านความเมตตาและความเห็นแก่ผู้อื่น และได้ส่งเสริมให้ผลลัพธ์อันลึกซึ้งของพฤติกรรมนั้นเข้าไปมีบทบาทในชีวิตของผู้คน การศึกษา ธุรกิจ การดูแลสุขภาพ ความยุติธรรมทางสังคม และรัฐบาล หวังว่าจะเป็นเหมือนไฟนำทาง ที่ส่งให้เห็นถึงพลังของคนคนหนึ่ง ที่มีผลต่อชีวิตของคนอื่น ๆ และแสดงให้เห็นถึงคุณค่าของพฤติกรรมแห่งความเมตตาเหล่านี้ ในแง่มุมของสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี และชีวิตที่ยืนยาวผ่านการทดลองเชิงประจักษ์
สิบสาม
พระพักตร์ของพระเจ้า
เป็นเวลากว่า 2,000 ปีแล้ว ที่ฮิปโปเคติสผู้ที่โลกตะวันตกยกให้เป็นบิดาของวิชาแพทย์ ให้นักศึกษาของเขากล่าวคำปฏิญาณว่าจะรักษามาตรฐานทางจริยธรรมอย่างสูงสุด เมื่อพวกเขาปฏิบัติวิชาชีพแพทย์ หลายคนจำสำนวนละตินที่ว่า Primum non nocere เหนือสิ่งอื่นใด ห้ามทำให้เกิดอันตราย ว่าเป็นหลักการสำคัญของการแพทย์ ว่ากันว่าฮิปโปเคติสเป็นคนแรกที่กล่าวสำนวนนี้ แต่อาจไม่ใช่ก็ได้ บ้างเชื่อกันว่าสำนวนนี้มาจากโทมัสซิดนัม แพทย์อังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผู้เขียนตำราทางการแพทย์ที่ใช้กันกว่า 200 ปี จนเขาได้รับสมญานามว่าฮิปโปเครติสอังกฤษ นับเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษในสหรัฐอเมริกา และในอีกหลายส่วนของโลกที่มีประเพณีให้นักศึกษาแพทย์ จะต้องท่องคำปฏิญาณก่อนเริ่มการศึกษา ก่อนจะพัฒนามาเป็น พิธีมอบเสื้อกราวด์ ที่นักศึกษาจะได้รับเสื้อคลุมสีขาว จากนั้นจึงกล่าวคำปฏิญาณ ตามด้วยสุนทรพจน์จับใจจากบุคคลตัวอย่างในวิชาชีพแพทย์ เป็นการต้อนรับนักศึกษาเข้าสู่วิชาชีพ
ในงานนี้เขาได้ติดต่อเพื่อเชิญจิมไปให้สุนทรพจน์ด้วย เขามักจะตกตะลึงกับที่ที่ชีวิตนำพามาอยู่บ่อยครั้ง การเชื่อมโยงจุดต่าง ๆ ในชีวิต ทำได้ง่ายเมื่อมองย้อนหลัง แต่จะเชื่อยากกว่ามากที่จุดเชื่อกันเป็นภาพที่สวยงาม ขณะที่เขาเตรียมสุนทรพจน์ เขาคิดถึงสิ่งหล่านี้และอีกหลายสิ่งที่จะบอกแก่นักศึกษา เรื่องการได้เรียนรู้การผ่อนคลายร่างกาย สงบจิตใจ เปิดหัวใจ และวาดภาพสิ่งที่ต้องการ ได้เรียนรู้ว่าสิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือ โลกที่ผู้คนไม่ทำร้ายกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ได้เรียนรู้การใช้เข็มทิศของหัวใจเพื่อนำทาง และเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะไปถึงยังจุดใดนั่นคือที่ที่ควรไป ได้เรียนรู้ว่าโดยเนื้อแท้แล้ว ทุกคนมีสมองและหัวใจที่เหมือน ๆ กัน และยังมีความสามารถเหมือนกันที่จะเปลี่ยนหรือแปรรูปสองสิ่งนั้นเพื่อสร้างประโยชน์แก่คนอื่น
การให้ความรักเป็นไปได้เสมอ รอยยิ้มให้กับคนแปลกหน้าอาจเป็นของขวัญได้ ทุกขณะของการไม่ตัดสินมนุษย์คนอื่นเป็นของขวัญ ทุกขณะของการให้อภัยตัวเองและคนอื่นเป็นของขวัญ การแสดงออกซึ่ง ความเมตตา ความตั้งใจที่จะทำเพื่อผู้อื่นทุกครั้งเป็นของขวัญให้กับโลกและตัวคุณเอง เราอยู่ในช่วงเริ่มต้นของยุคแห่งความเมตตา ผู้คนเรียกร้องหาความเข้าใจที่ยืนของตนในโลก และหนทางที่จะมีความสุข และพวกเขายังมองหาวิธีการเปลี่ยนแปลงตนเอง เราอยู่ในการเดินทางแห่งความเชื่อมโยงกัน มันคือการเดินทางสู่การเปิดหัวใจให้กับเพื่อนมนุษย์บนโลกใบนี้ การตระหนักว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกับเรา และการรู้ว่าพฤติกรรมแห่งความเมตตาอีกหนึ่ง ซึ่งจะส่งต่อไปเรื่อย ๆ ทั่วโลก
ไม่มีชีวิตใครที่เกิดมาสมบูรณ์แบบ และไม่มีทางที่จะหนีจากความจริงแห่งความทุกข์อันโหดร้าย ไม่มีทางที่จะหนีจากความเชื่อมโยงที่สวยงามของหัวใจ การรักษาเยียวยาที่ไม่อาจหาคำอธิบาย และพลังแห่งความเมตตา และความเอื้ออาทรที่เยียวยารักษาความเจ็บป่วยของมนุษย์ และเมื่อนั้นคุณจะได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้า
เป็นอีกครั้งที่จิมตระหนักถึงพลังของถ้อยคำของรูธและพลังของกลของเธอ เป็นพลังที่อยู่ในตัวพวกเราทุกคน และรอเพียงการปลดปล่อยออกมา มันเป็นของขวัญที่เราให้แก่กันและกันได้ จิมเองได้เริ่มต้นภารกิจการค้นหาความลึกลับของสมองและความลับของหัวใจในร้านมายากล แต่ความจริงคือ เราไม่จำเป็นต้องเข้าไปในร้านมายากลเพื่อตามหาสิ่งเหล่านั้น เราเพียงแต่มองเข้าไปข้างในจิตและใจของเรา ทีนี้ถึงเวลาที่คุณจะต้องสร้างกลของตนเองแล้ว และถ่ายทอดมันแก่คนอื่น ๆ สมองและหัวใจที่ทำงานด้วยกัน จะทำให้เกิดกลวิเศษที่สุด มันไม่เกี่ยวกับการลวงตาหรือกลมือใด ๆ กลนี้คือความจริง.