สรุปหนังสือ GRIT : The Power Of passion and perseverance
สิ่งที่ต้องมี เมื่อคุณไม่มีแต้มต่อในชีวิต
By Angela Duckworth
บทนำ
Angela Duckworth เป็นคนจีนอเมริกัน เป็นนักจิตวิทยาและศาสตราจารย์ เธอจบการศึกษาปริญญาตรีจากฮาร์วาดร์ด ปริญญาโทจากออกซ์ฟอร์ด ปริญญาเอกจากเพนซิลเวเนีย ในปี 2013 เธอได้รับรางวัลแมคอาเธอร์ เฟลโลว์ชิพ ซึ่งบางครั้งเรียกว่าเป็น เงินทุนสำหรับอัจฉริยะ ซึ่งเป็นรางวัลที่มีเกียรติอย่างสูง เธอบอกว่าเธอไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด ไม่ได้เป็นอัจฉริยะ แต่เธอจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเป็นคนที่ทรหดที่สุด ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอเห็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนแนวคิดที่ว่า ความทรหดอาจสำคัญกว่าพรสรรค์ และความทรหดนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้และไม่หยุดนิ่ง และยังมีวิธีการเพิ่มความทรหดซึ่งมีหลักฐานจากงานวิจัยสนับสนุนด้วย หนังสือเล่มนี้ได้สรุปทุกสิ่งเกี่ยวกับความทรหดไว้ทั้งหมด
สั่งซื้อหนังสือ “GRIT : สิ่งที่ต้องมี เมื่อคุณไม่มีแต้มต่อในชีวิต” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก
ส่วนที่หนึ่ง ความทรหดคืออะไรและสำคัญอย่างไร
บทที่ 1 ความทรหดกับพรสวรรค์
ศักยภาพอย่างเดียวไม่พอ The United States Military Academy หรือเรียกสั้น ๆ West Point เป็นโรงเรียนเตรียมทหารของกองทัพสหรัฐที่เวสต์พอยต์ ที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นหนึ่งในโรงเรียนเตรียมทหารที่ดีที่สุดในโลก ถ้าจะเข้าโรงเรียนนี้ได้ จะต้องมีผลการเรียนที่ดี การทำข้อสอบมาตรฐานสำหรับการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยของอเมริกาอย่าง SAT หรือ ACT ที่สูงลิ่ว ต้องได้คะแนนสูงสุดในการสอบด้านพละกำลังอย่าง การวิ่ง วิดพื้น ซิตอัพ หรือดึงข้อ และยังต้องได้รับการเสนอชื่อจากสมาชิกรัฐสภา วุฒิสมาชิก หรือรองประธานาธิบดีด้วย
ถึงแม้ว่านักเรียนแต่ละคนจะมีศักยภาพสูง แต่ก็ใช่ว่าจะเรียนจบกันทุกคน ตามสถิติแล้ว 1 ใน 5 ของนักเรียนจะลาออกก่อนเรียนจบ และมีจำนวนมากที่ลาออกในช่วง 7 อาทิตย์แรกของการฝึก โครงการดังกล่าวมีชื่อว่า ค่ายปีศาจ (Beast Barracks) เพราะมันเป็นช่วงที่นักเรียนจะผ่านการฝึกอย่างเข้มข้นที่สุดในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจ ร่างกาย การทหาร หรือสังคม และยังห้ามติดต่อกับครอบครัวอีกด้วย
เดือนกรกฎาคมปี 2004 ศาสตราจารย์ได้มีโอกาสไปสำรวจนักเรียนทหารเวสต์ปอยต์ 1,218 คน โดยให้ทำแบบทดสอบวัดความทรหด เพื่อดูว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักเรียนบางคนสามารถผ่านช่วงค่ายปีศาจนี้ไปได้ ก่อนหน้านี้ในปี 1955 ได้มีนักจิตวิทยาชื่อเจอร์รี่ เคแกน ก็ได้ทำการศึกษาในเรื่องนี้ ยังมีนักจิตวิทยาอีกหลายคนที่สำรวจเรื่องนี้เช่นกัน โดยใช้ปัจจัยอย่างเช่นผลการเรียนหรือว่าคะแนนด้านพละกำลัง แต่ก็ไม่สามารถหาความสัมพันธ์ได้
ศาสตราจารย์ได้สร้างคำถาม 10 ข้อ ที่ประเมินว่ามีความทรหดสูงขนาดไหน เธอให้นักเรียนนายร้อยตอบคำถามพวกนี้ก่อนเรียน และพบว่านักเรียนที่ได้คะแนนความทรหดสูงส่วนมากจะผ่านค่ายปีศาจช่วงนี้ไปได้ และก็จะจบการศึกษาได้ในที่สุด ความสามารถของนักเรียนทหารไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องความทรหดเลย คนที่มีความสามารถบางคนกลับกลายเป็นคนที่ไม่น่าจะอยู่รอดได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ ที่พรสวรรค์ไม่ได้รับประกันว่าใครคนหนึ่งจะมีความทรหด ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่สามารถทำนายความสำเร็จได้นั่นคือ ประสบการณ์ในอดีต การมีคนคอยสนับสนุน สมรรถภาพทางร่ายการในตอนที่เริ่มฝึก ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ยืนหยัดต่อไปได้
ศาสตราจารย์ยังใช้แบบทดสอบความทรหด เพื่อสำรวจด้านอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นแวดวงทางธุรกิจ ศิลปะ กีฬา สื่อ การศึกษา การแพทย์ และกฎหมาย การทำงานการศึกษาค้นพบว่าการพยายามแม้จะล้มเหลวเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ความทรหดเป็นตัวพยากรณ์ที่ดีกับความสำเร็จ สิ่งที่สุดท้ายก็คือการมีศักยภาพที่สูงไม่ได้หมายความว่าจะสำเร็จเสมอไปมันต้องมีอะไรมากกว่านั้นด้วย
โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในแวดวงไหน ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจะมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ซึ่งปรากฏออกมาในสองรูปแบบด้วยกัน รูปแบบแรกคือ พวกเขาจะทำงานหนักและฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้เร็วกว่าคนทั่วไป รูปแบบที่สองคือ พวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าตัวเองต้องการอะไร คนเหล่านี่ไม่เพียงมีความมุ่งมันเท่านั้น แต่ยังมีทิศทางสำหรับก้าวเดินไปข้างหน้าด้วย การผสมผสานระหว่างความหลงใหลกับความอุตสาหะนี่เอง ที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จแล้วกลายเป็นคนพิเศษได้
บทที่ 2 พรสวรรค์ทำให้ไขว้เขว
พรสวรรค์ไม่ใช่หนทางเดียวสู่ความสำเร็จ ศาสตราจารย์เคยเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมมาก่อน ในตอนแรกก็คิดว่านักเรียนที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์จะได้คะแนนที่สูงกว่าคนอื่น ๆ แต่ในภายหลังก็เห็นว่าจริง ๆ แล้ว นักเรียนที่มีความพยายามและความสนใจสูงจะทำคะแนนได้ดีกว่าคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นความพยายามสำคัญกว่าพรสวรรค์ แต่ในทางปฏิบัติแล้วคนเราจะเอียงไปทางพรสวรรค์มากกว่า อย่างเช่น ถ้าเห็นใครมีความสามารถสูงก็จะคิดว่าเป็นเพราะพรสวรรค์อย่างเดียว การมีพรสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่แย่ ปัญหาก็คือถ้าเรามัวแต่โฟกัสอยู่แค่กับพรสวรรค์ ก็จะไม่สนใจปัจจัยอื่น ๆ เช่นความพยายาม ซึ่งมันมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันเลย ตัวอย่าง เดวิด จากเด็กชายที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าไม่พร้อม สำหรับการเรียนหลักสูตรคณิตศาสตร์เร่งรัด แต่กลับกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างจรดไปแล้ว ด้วยความที่เขามีความกระหายที่จะเรียนรู้ ตั้งใจเรียน และมีความพยายาม
สิ่งที่นักจิตวิทยาต่างก็สงสัยกันมานานแล้วว่า เหตุใดคนบางคนถึงประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางคนล้มเหลว นักจิตวิทยาที่เริ่มต้นเป็นคนแรกคือ ฟรานซิส กาลตันได้ถกเถียงประเด็นนี้กับ ชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่เป็นญาติของเขา ในปี 1869 กาลตันได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นแรกของเขาเกี่ยวกับที่มาของความสำเร็จอย่างสูง เขาสรุปคนที่มีความโดดเด่นนั้นมีสามเรื่องด้วยกันคือ 1.พรสวรรค์ ที่ไม่ธรรมดา 2.ความกระหาย ที่มากเป็นพิเศษ และ3.ความสามารถ ในการทำงานหนัก แต่ดาร์วินเห็นแย้งจึงเขียนจดหมายถึงกาลตันบอกว่า คนเราต่างกันเฉพาะที่ความกระหายและการทำงานหนักเท่านั้น ดาร์วินเป็นหนึ่งในคนที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์ เป็นคนแรกที่อธิบายความหลากหลายทางชีวภาพของพืชและสัตว์ ว่าเป็นผลมาจากกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เขาเป็นนักสังเกตการณ์ที่เต็มไปด้วยไหวพริบ ไม่ใช่แค่พืชและสัตว์เท่านั้นแต่กับมนุษย์ด้วย
และอีกตัวอย่างหนึ่ง มีการสำรวจความคิดเห็นระดับชาติเรื่อง อะไรสำคัญต่อความสำเร็จมากว่ากันระหว่างพรสวรรค์กับความพยายาม คนอเมริกันจะตอบว่าความพยายามมากกว่าพรสวรรค์ถึงสองเท่า เมื่อถามในเรื่องเดียวกันในเรื่องของกีฬาและการจ้างพนักงานใหม่ จะตอบความพยายามมากกว่าความฉลาดถึงห้าเท่าเลยทีเดียว ผลสำรวจที่ได้สอดคล้องกับผลการวิจัยของนักจิตวิทยาชื่อเชีย-ยุง เซย์ ได้แจกแบบสอบถามให้ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีทำ พวกเขามักเห็นตรงกันว่า การฝึกฝนอย่างพากเพียรสำคัญกว่าพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
แต่เมื่อเชียลองตรวจสอบทัศนคติ เธอกลับพบว่ามันเอนเอียงไปในทิศทางตรงกันข้าม คือ พวกเขาชอบคนมีพรสวรรค์ โดยทำการทดลองกับนักดนตรีอาชีพ ให้ข้อมูลกับพวกเขาเกี่ยวกับนักเปียโนสองคนที่ประสบความสำเร็จพอ ๆ กัน จากนั้นให้ฟังคลิปเสียงเปียโนสั้น ๆ ที่สองคนนี้เล่น แต่สิ่งที่ผู้ฟังไม่รู้คือ ความจริงแล้วทั้งสองคลิปเป็นเพลงเดียวกัน และเล่นโดยนักเปียดนคนเดียวกัน เพียงแต่เล่นคนละท่อนเท่านั้น โดยคลิปหนึ่งถูกรุลุว่าเป็นผู้เล่นที่มีพรสรรค์ และแสดงให้เห็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาแต่เกิด ในขณะที่อีกคลิปบอกว่าเป็นผู้เล่นที่มีความมุมานะ แสดงให้เห็นแรงผลักดันกับความอุตสาหะที่สูง ผลลัพธ์ที่ได้คือ เหล่านักดนตรีอาชีพตัดสินว่าผู้มีพรสวรรค์มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าและเหมาะสมที่จะได้รับการจ้างงานมากกว่า
ในอีกงานวิจัยหนึ่งเชียลองทดสอบกับผู้คนในแวดวงที่ชื่นชอบการทำงานหนักและมุมานะอย่างผู้ประกอบการ เชียรวบรวมคนวัยผู้ใหญ่เป็นร้อย ๆ คนที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจแตกต่างกันไป แล้วให้อ่านประวัติย่อของผู้ประกอบการที่มีความมุมานะ กับมีพรสวรรค์ แล้วจากนั้นให้ฟังบันทึกเสียงข้อเสนอทางธุรกิจตัวเดียวกัน ซึ่งบอกว่ามาจากผู้ประกอบการที่พวกเขาได้อ่านประวัติไป เช่นเดียวกับนักดนตรี พวกเขาเลือกคนที่มีพรสวรรค์ และบอกว่าจะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าและเหมาะที่จะได้รับการจ้างงาน
ผลงานวิจัยของเชียช่วยแสดงให้เห็นความสองจิตสองใจของคนเราในเรื่องพรสวรรค์กับความพยายาม สิ่งที่เราบอกว่าเราใส่ใจอาจไม่ใช่สิ่งที่เราชื่อจริง ๆ ว่าสำคัญกว่าก็ได้ คล้ายกับเวลาที่เราบอกว่าเราไม่ได้สนใจเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของคนรัก แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกจริง ๆ ก็มักจะเลือกทำความรู้จักกับคนที่หน้าตาดีมากกว่าคนที่นิสัยดี การมีใจเอนเอียงไปทางผู้มีพรสวรรค์ (naturalness bias) เป็นอคติแอบแฝงที่มีต่อผู้ที่ประสบความสำเร็จจากความพยายาม
การให้ความสำคัญกับพรสวรรค์มากเกินไป จะทำให้คุณสมบัติอื่น ๆ ที่เหลือถูกทอดทิ้ง พรสวรรค์เป็นสิ่งที่ดีเยี่ยมจริง แต่การทดสอบพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ยอดแย่ การมุ่งเน้นไปที่พรสวรรค์จะทำให้เราไขว้เขวและพาเราหันเหไปจากสิ่งที่อย่างน้อยก็สำคัญพอ ๆ กันนั่นคือ ความพยายาม
บทที่ 3 ความพยายามให้ผลเป็นสองเท่า
หากเราไม่สามารถอธิบายได้ว่านักกีฬา นักดนตรี หรือใครสักคนสามารถทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์ได้อย่างไร ก็จะยกย่องพร้อมบอกว่านั่นคือ พรสวรรค์ ต่อเมื่อแสดงให้เห็นถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อความสำเร็จของพวกเขาได้ว่า มันเกิดจากทักษะหรือกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นสิบ ๆ อย่าง แล้วเกิดการทำซ้ำ ๆ จนกลายเป็นกิจวัตร การทำสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่มีอะไรพิเศษ หรือเหนือมนุษย์แต่อย่างใด
ศาสตราจารย์ได้เสนอสมการความสำเร็จคือ พรสวรรค์ x ความพยายาม = กับฝีมือ และ ฝีมือ x ความพยายาม = ความสำเร็จ พรสวรรค์คือความรวดเร็วในการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ด้วยความพยายาม ส่วนความสำเร็จคือผลลัพธ์ที่ตามมาเมื่อนำเอาทักษะต่าง ๆ ที่สั่งสมไว้มาใช้ประโยชน์ จึงทำให้ความพยายามให้ผลเป็น 2 เท่าของความสำเร็จ ศาสตราจารย์ยอมรับว่ามันไม่ใช่เป็นสมการที่สมบูรณ์แบบ เพราะมันมองด้านจิตวิทยา บางครั้งโชคลาภและการได้รับความช่วยเหลือจากภายนอกก็ช่วยสำเร็จได้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น นักว่ายน้ำที่ยอดเยี่ยมส่วนใหญ่ มักมีพ่อแม่ที่สนใจกีฬาว่ายน้ำและมีรายได้พอที่จะจ่ายค่าฝึกสอน ค่าเดินทางไปแข่งขัน และที่สำคัญคือค่าเข้าใช้บริการสระว่ายน้ำ และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการฝึกซ้อมในสระเป็นพัน ๆ ชั่วโมงตลอดระยะเวลาหลายปี เพื่อขัดเกลาองค์ประกอบต่าง ๆ ที่จะผนวกกันออกมาเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบ
ถ้าเราวิเคราะห์สมการดี ๆ ในระยะยาวจะเห็นว่าคนที่มีความพยายามมากกว่า จะสามารถประสบความสำเร็จได้มากกว่า ถึงแม้ว่าในระยะแรกจะมีพรสวรรค์ที่น้อยกว่าก็ตาม ดังตัวอย่าง ช่างปั้นหม้อชื่อ วอร์เรน แมคเคนซี อาศัยอยู่ในรัฐมินนิโซตา ปัจจุบันอายุ 92 ปี เขากับภรรยาเป็นศิลปินเหมือนกัน ได้ทำมาหลายอย่างทั้งจิตรกร ออกแบบสิ่งทอ ช่างทำเครื่องประดับ และช่างปั้น ตอนแรกเขาคิดว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญรอบด้าน แล้วเปลี่ยนใจคิดว่าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ ดีกว่าเป็นมือสมัครเล่นในหลาย ๆ สิ่ง เขาได้เลิกทำทุกอย่างแล้วไปจดจ่อให้กับงานเซรามิกเพียงอย่างเดียว
แมคเคนซีบอกว่า ช่างปั้นที่ดีสามารถผลิตหม้อได้ 40-50 ใบต่อวัน ความสำเร็จของเขาในฐานะศิลปินนั้นวัดจากจำนวนหม้อที่สวยงาม คงทน และมีประโยชน์ เขาไม่พอใจกับการเป็นนักปั้นที่เก่งที่สุด แต่ผลิตผลงานออกมาเพียง 1-2 ชิ้นตลอดช่วงอายุขัย ในตอนแรกหม้อที่เขาทำมันห่วยมาก แต่เขาก็ยังคงทำมันทุกวัน และทักษะของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นทุกวันจากความพยายามของเขา
เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น และฝีมือแมคเคนซีพัฒนาขึ้น เขาก็ผลิตหม้อที่ดีได้เป็นจำนวนมากขึ้นต่อวัน ดังสมการนี้ พรสวรรค์ x ความพยายาม = ทักษะ
ในขณะเดียวกันจำนวนหม้อดี ๆ ที่เขาผลิตออกมาก็เพิ่มขึ้น ดังสมการนี้ ทักษะ x ความพยายาม = ความสำเร็จ
ความพยายามของแมคเคนซีช่วยให้เขามีฝีมือในการผลิตเซรามิกที่ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ และในขณะเดียวกันความพยายามก็ช่วยให้เขาประสบความสำเร็จขึ้นด้วย
เมื่อคำนวณดูดี ๆ ใครสักคนที่มีพรสวรรค์มากกว่าอีกคนเป็นสองเท่า แต่ขยันน้อยกว่าครึ่งหนึ่งนั้น จะพัฒนาทักษะได้มากพอ ๆ กัน แล้วเมื่อเวลาผ่านไปจะสร้างผลงานได้น้อยกว่ามาก เนื่องจากผู้ที่มีความมุมานะจะไม่เพียงพัฒนาทักษะเท่านั้น แต่ยังนำทักษะดังกล่าวไปใช้งานด้วย หากดูเรื่องปริมาณกับคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญแล้ว ผู้ที่มีความมุนานะซึ่งพัฒนาทักษะด้วยความขยันขันแข็งจนมีทักษะเท่ากับผู้มีพรสวรรค์ย่อมประสบความสำเร็จมากกว่าในระยะยาว
บทที่ 4 คุณทรหดมากแค่ไหน
เวลาเรามีความสนใจในสิ่งใหม่ ๆ คนเราส่วนมากก็จะมีความกระตือรือร้นสูง แต่ที่ยากก็คือเราจะสามารถทำสิ่งนั้นไปเรื่อย ๆ ได้ในระยะยาวหรือเปล่า นี่คือเหตุผลที่แบบทดสอบวัดความอดทน เป็นคำถามเกี่ยวกับ 2 มิติ ความหลงไหลและความอุตสาหะ ถ้าคุณมีความพยายามสูง แต่ความหลงไหลไม่คงที่ และเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ มันก็ไม่สามารถเรียกว่าคุณเป็นคนมีความทรหดได้
ความหลงใหลมักถูกใช้เพื่อบรรยายถึงความรู้สึกที่รุนแรง ความหลงไหลเทียบเท่ากับความหมกมุ่นหรือความลุ่มหลงแบบไม่ลืมหูลืมตา ตัวอย่างในเรื่องนี้คือ เจฟฟรีย์ เก็ทเทิลแมน เป็นหัวหน้าสำนักงานท้องถิ่นในเขตแอฟริกาตะวันออกของหนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์กไทมส์ และยังได้รับรางวัลพอลิตเซอร์สาขาข่าวต่างประเทศในปี 2012 เมื่อครั้งที่เขาเรียนอยู่ชั้นปีที่สองในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เขาก็ค้นพบการทำข่าวเป็นงานที่ยิ่งเหมาะสมสำหรับตัวเขา
เจฟฟรีย์จึงตั้งเป้าหมายไว้ว่าอันดับแรกเขาจะเขียนข่าวให้หนังสือพิมพ์เซอร์เวลล์ของมหาวิทยาลัย จากนั้นค่อยไปฝึกงานในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนกับหนังสือพิมพ์เล็ก ๆ เจ้าหนึ่งในรัฐวิสคอนซิน เมื่อเรียนจบเขาจะเริ่มต้นทำงานให้กับหนังสือพิมพ์ระดับท้องถิ่น โดยเริ่มจากหนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ที่เมืองแอตเลนตา จากนั้นก็ไปประจำต่างประเทศเพื่อรายงานข่าวสงคราม เมื่อถึงปี 2006 ซึ่งเป็นเวลากว่า 10 ปีที่เขาบรรลุเป้าหมายของตัวเอง
เมื่อพิจารณาความหลงใหลของเจฟฟรีย์แล้ว จะเปรียบเทียบว่าความหลงใหลเป็นเหมือนพลุคงไม่ได้ เพราะพลุจะระเบิดออกเป็นเปลวไฟที่รุ่งโรจน์ก่อนจะมอดดับไปอย่างรวดเร็ว เหลือไว้เพียงควันไฟและความทรงจำที่เคยน่าตื่นเต้นประทับใจ เรื่องราวของเจฟฟรีย์เป็นความหลงใหลที่เปรียบเสมือนเข็มทิศมากกว่า เพราะมันต้องใช้เวลาในการสร้างและปรับปรุงแก้ไข จนสามารถใช้นำทางไปตามถนนที่คดเคี้ยวยาวไกลและถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการได้ในที่สุด ความหลงใหลยังเป็นการให้ความสนใจกับจุดหมายปลายทางอย่างคงเส้นคงวา จงรักภักดี และแน่วแน่ไม่แปรเปลี่ยน
ผู้เขียนให้เรามองเป้าหมายของชีวิตแบ่งได้เป็น 3 ระดับ
ระดับสูง คือ เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตและไม่ควรเปลี่ยนแปลง
เป้าหมายระดับกลางและระดับล่าง เป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อที่จะได้เป้าหมายระดับสูง 2 เป้าหมายนี้ทำได้ทันทีและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
อย่างเช่นเป้าหมายระดับสูงอาจจะต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจขายเสื้อผ้า เป้าหมายระดับกลางอาจจะเป็นการหาแหล่งผลิต เป้าหมายระดับล่างอาจจะเป็นการดีไซน์เสื้อผ้า เป้าหมายลำดับชั้นบนสุดไม่ได้เป็นหนทางไปสู่เป้าหมายอื่น ๆ แต่เป็นจุดหมายปลายทางในตัวมันเอง นักจิตยาเรียกสิ่งนี้ว่าสิ่งสำคัญสูงสุด
สำหรับเรื่องนี้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีระดับพันล้านที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง เป็นตัวอย่างที่ดี เขาให้แนวทางการจัดลำดับความสำคัญอย่างง่าย ๆ 3 ขั้นตอนกับนักบินของเขา คือ
1.จงเขียนเป้าหมายเรื่องงานออกมา 25 ข้อ
2.ลองคิดทบทวนให้ดี แล้ววงกลมเป้าหมายที่สำคัญที่สุด 5 ข้อ เอาแค่ 5 ข้อเท่านั้น
3.จงจำเป้าหมาย 20 ข้อที่ไม่เลือกไว้ให้ดี นี่คือเป้าหมายที่ต้องหลีกเลี่ยงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเป้าหมายเหล่านี้จะทำให้ไขว้เขว กินเวลาและพลังงาน รวมถึงหันเหความสนใจไปจากเป้าหมายที่สำคัญกว่า
ความทรหด คือ การลงแรงลงใจกับเป้าหมายระดับสูงให้นานที่สุด และไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อเจออุปสรรค
บทที่ 5 ความทรหดเติบโตได้
สิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิดและสิ่งที่ได้จากประสบการณ์ ต่างก็มีส่วนกำหนดคุณลักษณะอย่างความสามารถและความทรหดของคนเรา หากคุณปรารถนาที่จะมีเป้าหมายระยะยาว และต้องการทำตามเป้าหมายด้วยความหลงใหลและความอุตสาหะ แล้วไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร ผู้เขียนแนะนำว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าตัวเองอยู่ที่จุดใดในปัจจุบัน ถ้าหากไม่ทรหดเท่าที่ต้องการ จงถามตัวเองว่า เพราะเหตุใด ซึ่งในหัวจะมีคำตอบสี่แบบนี้ คือ ฉันเบื่อ, มันไม่คุ้มค่ากับความพยายามเลย, นี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับฉัน, ฉันทำไม่ได้ ดังนั้น เลิกเสียดีกว่า การคิดแบบนี้ไม่ผิด แต่ผู้ที่มีความทรหดสูงจะไม่พูดประโยคทั้งหลายข้างต้น ซึ่งเกี่ยวกับเป้าหมายเดียวที่สำคัญสูงสุด ซึ่งเป็นตัวชีนำแทบจะทุกสิ่งที่พวกเขาทำ
ความทรหดเติบโตได้เกิดจากปัจจัย 4 ข้อนี้ คือ
1.ความสนใจ ความหลงใหลเริ่มต้นจากการรู้สึกสนุกและรักในสิ่งที่ทำอยู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะต้องทนกับงานที่น่าเบื่อหนึ่งหรือสองอย่างในงานที่ทำ แต่ในภาพรวมแล้วเกิดความหลงใหลและอยากรู้อยากเห็นราวกับเป็นเด็กน้อย
2.การฝึกฝน ความมีวินัยในการพยายามทำให้ดีขึ้นกว่าเมื่อวานเสมอถือเป็นความอุตสาหะรูปแบบหนึ่ง เมื่อค้นพบและสนใจสิ่งใดมากขึ้นแล้ว ต้องทุ่มเทให้กับการฝึกฝนอย่างจดจ่อ เต็มที่ และท้าทายขีดจำกัด เพื่อให้สิ่งที่สนใจกลายมาเป็นสิ่งที่เชี่ยวชาญ
3.จุดมุ่งหมาย สิ่งที่จำทะให้ความหลงใหลสุกงอมได้ก็คือความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่างานมีความหมาย การจะคงความสนใจไว้ต้องแน่ใจว่างานนั้นน่าสนใจสำหรับตัวเองและมีส่วนช่วยคนอื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กันด้วย
4.ความหวัง เป็นการฝ่าฟันอุปสรรคและความยากลำบากไปให้ได้ เป็นสิ่งสำคัญที่ประเมินค่าไม่ได้ตลอดระยะทางตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ต้องล้มหลายครั้ง หรือต้องเจอกับความยากลำบากและความรู้สึกคลางแคลงใจก็ตาม ความหวังจะช่วยให้เรียนรู้ที่จะเดินหน้าต่อไปได้
ส่วนที่สอง สร้างความทรหดจากภายในสู่ภายนอก
บทที่ 6 ความสนใจ
บ่อยครั้งคนเราทุกคนจะได้ยินคำแนะนำที่บอกว่า เราต้องทำตามสิ่งที่ตัวเองรัก (passion) แน่นอนว่าถ้าเราได้ทำงานในด้านที่เราชอบ ก็จะทำให้มีความเข้าใจมากขึ้น และทำให้ดีกว่าได้อย่างแน่นอน แต่ปัญหาคือจะทำยังไงให้พบสิ่งที่ตัวเองรักในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
การพัฒนาสิ่งที่ตัวเองรักมี 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ
1.Discovery การค้นพบสิ่งที่เราสนใจ คนเราจะพอใจกับงานที่ทำมากขึ้น หากได้ทำสิ่งที่สอดคล้องกับความสนใจ เช่น คนที่ชอบครุ่นคิดเกี่ยวกับแนวคิดนามธรรมจะไม่พอใจกับงานที่ต้องจัดการรายละเอียดปลีกย่อย จะชอบแก้ปัญหาคณิตศาสตร์มากว่า ส่วนคนที่ชอบพูดคุยและมีปฏิสัมพันธ์ก็จะไม่สนุกกับการทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์คนเดียวทั้งวัน จะทำได้ดีในงานขายหรืองานสอนหนังสือ คนที่ทำงานสอดคล้องกับความสนใจของตัวเอง จะมีความสุขกับชีวิตมากกว่า
ตัวอย่างการค้นพบสิ่งที่สนใจน่าจะเป็น ราวดี้ เกนส์ นักว่ายน้ำเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก ซึ่งเขาได้บอกว่า เมื่อตอนเป็นเด็กเขาชอบเล่นกีฬามาก เขาเคยเล่นอเมริกันฟุตบอล เบสบอล บาสเกตบอล กอล์ฟ และเทนนิส แล้วเขาไปเข้าร่วมคัดเลือกเข้าทีมว่ายน้ำ ในวันที่ทดสอบเขายังไปเข้าห้องสมุดเพื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับกรีฑา เพราะคิดว่าคงถูกคัดออก
เราอาจเกิดความอิจฉาคนที่รักในสิ่งที่ตัวเองทำเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่คนพวกนั้นเขามีจุดเริ่มต้นไม่แตกต่างจากเรา พวกเขาต้องใช้เวลานานกว่าจะรู้ว่าตัวเองต้องการทำอะไรกันแน่ในชีวิต ความสนใจของคนเราส่วนหนึ่งมาจากพันธุกรรมและประสบการณ์ชีวิต
2.Development การพัฒนาทักษะในสิ่งที่เราสนใจ ความละเอียดอ่อนและความรู้สึกเบิกบานใจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทำมันอย่างต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลาพอสมควร และต้องทำอย่างจริงจังด้วย
3.Deepening การทำสิ่งที่เราสนใจให้กลายเป็นชีวิตจิตใจ
คนเรามักจะเข้าใจผิดว่า มันจะต้องมีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้เราเกิดสิ่งที่ตัวเองรักขึ้นมาได้ทันที แต่จริงๆแล้วคนส่วนมากใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองรัก
ผู้เขียนได้ให้ข้อสังเกต 4 อย่างเกี่ยวกับการค้นพบสิ่งที่ตัวเองรักไว้ดังนี้
1.เด็ก ๆ เริ่มที่จะรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไรตั้งแต่อายุประมาณ 12-13 ขึ้นไป
2.การค้นพบสิ่งที่ตัวเองรักเกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก
3.เมื่อค้นพบสิ่งที่อาจจะเป็นสิ่งที่ตัวเองรัก ก็ต้องต่อด้วยความพัฒนาความสนใจให้มากขึ้น อย่างเช่นสมมุติว่า สนใจในการเล่นเปียโนยิ่งใหญ่มันบ่อยขึ้น ก็จะยิ่งทำให้มีความสนใจมากขึ้นเช่นกัน
4.ต้องมีคนคอยสนับสนุนและผลักดันเพื่อให้ได้ลองสิ่งนั้น
คุณต้องลองถามตัวเอง ว่าคุณชอบคิดถึงเรื่องอะไร หรือว่าชอบใช้เวลากับอะไรมากเป็นพิเศษ ถ้าคิดไม่ออกให้ลองคิดถึงสมัยเด็กๆนะครับ หลังจากนั้นก็ต้องคอยพบปะสิ่งนั้นสม่ำเสมอ เพื่อดูว่าคุณชอบมันจริงหรือเปล่า หากทำสิ่งที่ชอบมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว แต่ยังสามารถเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นความหลงใหล ให้เพิ่มความสนใจลงไปดู เพราะสมองต้องการความแปลกใหม่ จึงทำให้อยากจะหันไปทำสิ่งใหม่แทน สิ่งเก่าในสิ่งใหม่คือสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ คำแนะนำที่ว่าจงทำสิ่งที่ตัวเองรัก ไม่ใช่คำแนะนำที่แย่เสมอไป แต่สิ่งที่อาจมีประโยชน์มากว่าคือ การทำความเข้าใจว่า ความหลงใหลถูกบ่มเพาะขึ้นมาได้อย่างไรตั้งแต่แรก
บทที่ 7 การฝึกฝน
การฝึกฝน ถึงแม้ว่าเราจะค้นพบสิ่งที่ตัวเองรัก แต่ก็ใช่ว่าเราจะเก่งในสิ่งนั้น การมีความทรหดก็คือการใช้เวลามากกว่ากับภารกิจที่ต้องทำ ไคเซ็นเป็นคำภาษาญี่ปุ่นมีความหมายว่า การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีคำพูดติดตลกว่า บางคนทำงานมา 20 ปี แต่มีประสบการณ์ 1 ปี ในที่ทำงาน 20 แห่งติดต่อกัน ผู้เขียนพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง จะมีการฝึกฝนมากกว่าคนอื่น ไม่ใช่แค่เวลาที่ลงไปกับการฝึกฝนอย่างเดียว แต่คุณภาพของเวลานั้นก็สำคัญด้วย
ผู้เขียนได้ไปสัมภาษณ์อันเดอร์ส อีริคส์สัน เป็นนักจิตวิทยาเชิงรู้คิด เขาใช้เวลาตลอดชีวิตการทำงานของเขาไปกับการศึกษาวิจัยว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย สั่งสมทักษะที่ยอดเยี่ยมระดับโลกมาได้อย่างไร พูดได้ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในด้านผู้เชี่ยวชาญระดับโลกนั่นเอง เขาเขียนหนังสือชื่อว่า PEAK ซึ่งแนะนำวิธีการฝึกฝนที่ถูกต้องเขาเรียกมันว่า The Debilerate Practice หรือว่าการฝึกฝนแบบจงใจ ง่าย ๆ ก็คือจะต้องมีจุดมุ่งหมายในการฝึกฝนที่ต้องเอื้อไปให้ถึง
วิธีฝึกฝนอย่างจงใจมีอยู่ 4 ขั้นตอน คือ
1.ตั้งเป้าหมายอย่างชัดเจนและยากพอควร คือเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย โดยมุ่งเน้นไปที่จุดเล็ก ๆ แค่จุดเดียวของภารกิจ ตั้งใจมองหาความท้าทายที่ตัวเองยังทำไม่ได้ เช่น นักกีฬาว่ายน้ำ เมื่อโค้ชบอกให้ว่ายระยะ 100 เมตร 10 รอบ โดยใช้เวลา 1 นาที 15 วินาที เขาจะทำเวลาให้น้อยกว่าที่โค้ชบอก และจะทำให้น้อยกว่าในวันต่อ ๆ ไป
2.ต้องใช้สมาธิและความพยายามอย่างสูง พยายามไปให้ถึงเป้าหมายที่ท้าทาย ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นจะจดจ่ออย่างแน่วแน่และความพยายามอย่างแรงกล้า สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายคนทำเช่นนี้แม้ไม่มีใครคอยจับตามอง
3.กระตือรือร้นที่จะได้รับคำติชมอย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อต้องการรู้ว่าตัวเองทำผลงานได้เป็นอย่างไร พวกเขาสนใจสิ่งที่ตัวเองทำพลาดมากกว่าสิ่งที่ตัวเองทำถูกต้อง เพื่อที่จะสามารถนำไปปรับปรุงแก้ไขได้อย่างว่องไว
4.ต้องทำซ้ำไปเรื่อย ๆ และขัดเกลาอยู่ตลอดเวลา นอกเหนือจากนั้นแล้ว ควรหาเวลาและสถานที่ที่เหมาะกับการฝึกฝน เพื่อจะให้มันกลายเป็นนิสัยของเราด้วย
แต่มีความคิดอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับความชำนาญ ที่ศาสตราจารย์ มิฮาลี ซิกเซนมิฮาย ที่ได้เขียนในหนังสือ FLOW สำหรับชิกเซนมิฮายคุณลักษณะพิเศษของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายคือ ภาวะลื่นไหล ซึ่งคือการอยู่ในภาวะจดจ่ออย่างเต็มที่กับสิ่งที่ทำจนรู้สึกเป็นธรรมชาติ เป็นสภาวะที่มีความคล่องแคล่วว่องไวโดยไม่ต้องมีความพยายาม คล้ายกับว่าไม่จำเป็นต้องคิดก็แค่การลงมือทำเท่านั้น
เมื่อดูอย่างผิวเผิน 2 ทฤษฎีนี้มันฟังดูแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว อันแรกบอกว่าจะต้องใช้ความเจาะจงและความพยายาม แต่อีกอันก็บอกว่าต้องปล่อยให้มันเป็นอย่างที่มันเป็น แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ขัดแย้งกันเลย The Debilerate Practice ใช้ความพยายามในช่วงการฝึกฝน เพื่อสร้างความชำนาญ พอเวลามีความชำนาญสูงแล้ว โอกาสที่จะประสบสภาวะลื่นไหลก็จะสูงเช่นกัน
อคติที่คอยขัดขวางไม่ให้เกิดการฝึกฝนอย่างจดจ่อ คือ ความอับอายขายหน้า ความกลัว และความละอายใจ ทำให้เกิดการเรียนรู้ว่าความล้มเหลวเป็นเรื่องเลวร้าย ดั้งนั้น จึงเกิดการปกป้องตัวเองโดยไม่ยอมเสี่ยงเพื่อทำให้ดีที่สุด ทางแก้ หากกำลังพยายามเรียนรู้ที่จะรับมือแทนที่จะเกรงกลัวต่อความท้าทาย ลองพูดกับตัวเองและพูดกับคนอื่นดูว่า ยากจัง แต่ก็สุดยอดไปเลยนะ
บทที่ 8 จุดมุ่งหมาย
ความสนใจเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของความหลงใหล จุดมุ่งหมายหคือความตั้งใจที่จะช่วยให้คนอื่นอยู่ดีมีสุขก็เช่นกัน การมีจุดมุ่งหมายสามารถนำพาไปหาสิ่งที่ตัวเองรักได้ ผู้เขียนให้ความหมายของจุดมุ่งมหาย คือ ความต้องการช่วยเหลือผู้อื่นและทำในสิ่งที่มากกว่าตัวเรา ปกติแล้วการจดจ่อไปที่การทำเป้าหมายสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว ก็ดูเหมือนจะเป็นการทำไปเพื่อตัวเองเสียมากกว่าจะเป็นการทำเพื่อคนอื่น อริสโตเติลเป็นคนแรก ๆ ที่ตระหนักได้ว่าคนเรามีวิธีในการหาความสุขอย่างน้อยสองวิธีด้วยกันคือ ยูไดโมนิค (eudaimonic) ซึ่งหมายถึงความกลมกลืนกับด้านดีของจิตวิญญาณ ส่วนอีกวิธีเรียกว่า เฮโดนิค (hedonic) ซึ่งมุ่นเน้นไปที่ประสบการณ์เชิงบวกที่เกิดขึ้นชั่วขณะ และมุ่งเน้นไปที่ตัวเองเป็นหลัก อริสโตเติลเองก็เลือกแล้ว โดยมองว่าชีวิตแบบเฮโดนิคนั้นป่าเถื่อนและขาดความละเอียดอ่อน และเชิดชูชีวิตแบบยูไดโมนิคว่าสูงส่งและบริสุทธิ์
การพัฒนาจุดมุ่งหมายส่วนมากจะเริ่มจากความสนใจส่วนตัวเป็นสิ่งแรก หลังจากนั้นก็พัฒนาฝึกฝนจนมีความชำนาญ และสุดท้ายก็สามารถใช้ความชำนาญนั้นช่วยคนอื่นได้
ผู้เขียนเล่านิทานเรื่องหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเดินผ่านชาย 3 คนที่กำลังก่ออิฐอยู่ และถามทั้ง 3 คนว่าทำอะไรอยู่ คนแรกตอบว่ากำลังก่ออิฐอยู่ คนที่ 2 ตอบว่ากำลังสร้างโบสถ์อยู่ คนที่ 3 ตอบว่ากำลังสร้างบ้านของพระเจ้าอยู่ ทั้งสามคนนี้ทำสิ่งเดียวกัน แต่มุมมองต่างกันโดยสิ้นเชิง คนแรกเห็นแค่ว่าเขาทำงานอยู่ คนที่ 2 เห็นว่าเขากำลังสร้างอาชีพ คนที่สามเหมือนว่ามันเป็นหน้าที่ของชีวิต ระหว่าง 3 คนนี้คิดว่าใครมีอุตสาหะมากที่สุด แต่ก็ใช่ว่ามุมมองของแต่ละคนจะอยู่ตรงที่เดิม มันเป็นไปได้ที่มุมมองของการงานจะเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าคุณคอยมองว่าการงานของคุณมันมีผลกระทบกับภาพรวมใหญ่อย่างไร คุณอาจจะเปลี่ยนความคิดของงานกลายเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ก็ได้
ศาสตราจารย์แนะนำ 3 วิธีที่จะปลูกฝังจุดมุ่งหมายของชีวิต ซึ่งก็ได้มาจากนักจิตวิทยาหลายคนที่ได้วิจัยในด้านนี้
1.ลองมองหาว่าสิ่งที่คุณทำอยู่ช่วยสังคมให้ดีขึ้นได้อย่างไร คนเดิม ๆ ทำแต่สิ่งเดิม ๆ อาจมองว่างานของตัวเองเป็นสิ่งเลี้ยงชีพ อาชีพ หรือสิ่งที่ใจเรียกร้องก็ได้ในแต่ละช่วงเวลา เช่น โจ ลีดเดอร์ เขาเป็นรองประธานกรรมการอาวุโสขององค์การขนส่งนิวยอร์ก ในตอนแรกเขาแค่ต้องการหางานทำให้ได้ เมื่อได้ทำงานเขาเริ่มรู้สึกว่างานนี้น่าสนใจและสนุก ซึ่งความสนใจเป็นต้นกำเนิดความหลงใหลของเขา โจเริ่มมองงานของเขาต่างออกไปในปีเดียวกันนั่นเอง เขาเริ่มรู้สึกว่าได้สร้างประโยชน์ให้สังคม เขาทำงานด้วยความรู้สึกว่ามีอาชีพหรือแม้กระทั่งสิ่งที่ใจเรียกร้อง
2.ต้องปรับแปลงวิธีการทำงานเพื่อเชื่อมโยงมันกับค่านิยมที่คุณมีอยู่ หากทำงานมาตั้งนานแล้ว ยังไม่รู้สึกว่างานที่ทำอยู่เป็นสิ่งใจเรียกร้อง เมื่อได้รู้จัก ไมเคิล เบม ดูอาจจะช่วยให้สบายใจขึ้นในเรื่องนี้ เขาเป็นอาจารย์ด้านอายุรศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย แต่มีความหลงใหลในเรื่องการทำสมาธิ แต่การเป็นผู้ฝึกสมาธิมืออาชีพคงใช้เลี้ยงชีพไม่ได้ เขาจึงตัดสินใจเรียนแพทย์ เขาอุตสาหะอดทนเรียนจนจบ แม้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากทำเลย เมื่อเรียบจบเขาได้ไปสมัครเป็นแพทย์ฝึกหัด กลายเป็นว่าเขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาชื่นชอบการเป็นแพทย์ เขาคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ซึ่งต่างจากตอนเรียนที่ไม่ใช่การช่วยเหลือ แต่เป็นเพียงการฝึกหัดและการท่องจำเท่านั้น เขาก้าวหน้าในอาชีพอย่างรวดเร็วจนกระทั่งได้ไปเป็นหัวหน้าอายุรแพทย์ในที่สุด และได้รู้ว่าผู้ป่วยจำนวนมากต้องการฝึกสมาธิ ไมเคิลเริ่มก่อตั้งชั้นเรียนสมาธิสำหรับผู้ป่วยอาการหนักในปี 1992 และได้ขยายโครงการไปสอนสมาธิให้แก่ผู้ป่วย พยาบาล และแพทย์ จนมีคนฝึกไปแล้วราว 15,000 คน
3.ลองคิดถึงคนที่เป็นตัวอย่างที่ดีของการมีจุดมุ่งหมาย หรือไม่ก็ลองคิดถึงคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทำแบบเขาก็ได้ ตัวอย่างในเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องของ แคท โคล เธอเป็นประธานกรรมการบริหารวัย 35 ปี แคทเติบโตขึ้นในเมืองแจ๊กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา โจแม่ของเธอเลิกกับพ่อที่ติดเหล้าเมื่อเธออายุได้ 9 ขวบ โจต้องทำงานถึงสามงานเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงดูแคทกับน้องสาวของเธออีกสองคน แม้จะทำงานหนักแต่โจก็ยังมีเวลาเป็นผู้ให้ เธอจะอบขนมหรือทำธุระให้ใครสักคน เธอมองเห็นโอกาสที่จะทำเพื่อคนอื่นเสมอ แคทมีแม่เป็นแบบอย่างทั้งในเรื่องวินัยในการทำงาน และความปรารถนาอย่างสุดซึ้งที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์
แคทเริ่มทำงานเมื่ออายุ 15 ปี ทำงานขายเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้า เมื่อเธออายุ 32 ปี บริษัทฮูเตอร์สที่เธอเป็นรองประธานกรรมการบริหารถูกซื้อกิจการโดยบริษัทชินนาบอน และดึงตัวเธอไปเป็นประธานกรรมการบริหาร เพราะเธอมีประวัติการทำงานที่น่าประทับใจมาก บริษัทภายใต้การบริหารของแคทตลอดทศวรรษที่ผ่านมามียอดขายทะลุ 1,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 4 ปี แคทบอกว่าเธอได้หลักปรัชญามาจากแม่ซึ่งปลูกฝังให้เธอ ทำงานหนักและคืนกำไรให้สังคม นั่นเป็นปรัชญาที่เธอยังคงยึดถือมาจนถึงทุกวันนี้
จะเห็นได้ว่าบุคคลตัวอย่างในเรื่องการมีจุดมุ่งหมายอาจเป็นคนในครอบครัว บุคคลในประวัติศาสตร์ หรือผู้คนในแวดวงการเมือง ไม่สำคัญว่าจะเป็นใคร จุดมุ่งหมายนั้นสุดท้ายแล้วจะทำหรือไม่ สิ่งสำคัญคือ การมีใครสักคนที่แสดงให้เห็นว่า มันเป็นไปได้ที่จะทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จเพื่อคนอื่น
บทที่ 9 ความหวัง
ความหวังคืออะไร ความหวังประเภทหนึ่งคือ การคาดหวังว่าพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ ซึ่งออกจะเน้นไปทางโชคชะตา แต่จากมุมมองของความทรหดแล้ว ต้องอาศัยความหวังประเภทที่ต่างออกไป โดยเป็นการคาดหวังว่าความพยายามจะช่วยให้อนาคตของตัวเองดีขึ้น มันคือความคิดที่ว่าเราจะทำให้พรุ่งนี้ดีกว่าวันนี้ด้วยความสามารถของเราเอง
คนเราทุกคนจะต้องเจออุปสรรคในชีวิต คนทีมองในแง่ร้ายจะเห็นว่ามันไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เมื่อเจออุปสรรคความยากลำบากเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะกลายเป็นมหันตภัยอันเลวร้าย ซึ่งทำให้การลืมเลิกหรือยอมแพ้เป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่สำหรับคนที่มองในแง่ดีก็จะคิดว่ามันเป็นปัญหาชั่วคราวก็จะสามารถแก้ไขได้ เช่น การบริหารเวลาไม่ดี หรือเพราะมีสิ่งรบกวน คำอธิบายเหตุการณ์ทำนองนี้ ล้วนเป็นคำอธิบายแบบที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งจะผลักดันให้มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ปัญหาที่ต้องจัดการ
ผู้เขียนได้กล่าวถึงงานวิจัยของศาสตราจารย์ แครอล ดเว็ค ที่เขียนหนังสือ Mindset เธอให้ความสนใจว่าเพราะเหตุใดบางคนถึงมีความอุตสาหะ ในขณะที่บางคนยอมแพ้ในสถานการณ์เดียวกัน ง่าย ๆ เลยก็คือคนเรามีกรอบแนวคิดอยู่ 2 กรอบด้วยกันคือ
กรอบความคิดแบบตายตัว (fixed mindset) คนบางคนเชื่อว่าความสามารถของตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ หรือพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถฝึกฝนพัฒนาได้ ซึ่งปัญหาของการมีกรอบความคิดแบบนี้ก็คือ หนทางไม่ได้ราบเรียบเสมอไป อาจจะต้องเจอกับหลุมบ่อเข้าสักวัน และเมื่อถึงตอนนั้น การเป็นคนมีกรอบแนวคิดแบบตายตัวจะกลายเป็นภาระใหญ่หลวงได้
กรอบความคิดแบบพัฒนาได้ (growth mindset) คนบางคนที่เชื่อมันอยู่ลึก ๆ ว่าคนเราสามารถพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงได้ ตัวอย่างเช่น คนกลุ่มนี้มองว่าเป็นไปได้ที่เราจะฉลาดขึ้นหากได้รับโอกาส และการสนับสนุนที่ดี ความถึงมีความพยายามมากพอและเชื่อว่าตัวเองทำได้
ผู้เขียนแนะนำ 3 วิธีในเรื่องนี้ คือ
- จงปรับความเชื่อที่มีเกี่ยวกับความฉลาดและความสามารถ สมองปรับตัวได้อย่างน่ามหัศจรรย์ สมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้เวลาที่พยายามเอาชนะความท้าทายใหม่ ๆ เหมือนกับกล้ามเนื้อจะแข็งแรงขึ้นตามการใช้งาน ตลอดช่วงชีวิตวัยผู้ใหญ่ คนเราจะมีความสามารถสร้างไมอีลิน ซึ่งเป็นเหมือนกับปลอกฉนวนหุ้มที่ทำหน้าที่ป้องกันเซลล์ประสาทและทำให้สัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทส่งถถึงกันเร็วขึ้น
2.ฝึกพูดกับตัวเองอย่างมองโลกในแง่ดี คุณสามารถเปลี่ยนสิ่งที่คุณบอกกับตัวเองได้ และสามารถเรียนรู้ที่จะไม่ปล่อยให้สิ่งที่คุณบอกกับตัวเอง มารบกวนการเดินหน้าทำตามเป้าหมายต่าง ๆ ของตัวเอง สามารถเปลี่ยนวิธีคิด ความรู้สึก และที่สำคัญเปลี่ยนวิธีทำ เวลาที่พบเจอกับอุปสรรค ผ่านการฝึกฝนและการชี้แนะแนวทาง โดยต้องฝึกฝนการปรับตัวเองในแง่ดี อย่างเช่น ถ้าเจออุปสรรคแทนที่จะคิดว่าไม่สามารถข้ามมันไปได้ควรจะบอกตัวเองว่าอีกไม่นานก็จะข้ามมันไปได้
3.จงขอความช่วยเหลือ มันไม่ผิดที่เราจะขอความช่วยเหลือในยามที่เราไม่รู้จะทำอย่างไร ตัวอย่าง นักคณิตศาสตร์ที่ชื่อรอนดา ฮิวส์ เธอแทบไม่เคยลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยตัวเอง เธอพบว่าการขอความช่วยเหลือเป็นวิธีที่ดีที่จะคงไว้ซึ่งความหวัง ซึ่งมีอยู่หลายช่วงเวลาทั้งการเรียนและการทำงาน ที่ทำให้เธออยากยอมแพ้ แต่ก็จะมีใครสักคนเสมอที่บอกให้เธอว่าให้สู้ต่อ ซึ่งทุกคนจำเป็นต้องมีคนแบบนี้อยู่ใกล้ ๆ
ส่วนที่สาม สร้างความทรหดจากภายนอกสู่ภายใน
บทที่ 10 เลี้ยงดูลูกให้มีความทรหด
คำว่าการเลี้ยงดู (parenting) ในภาษาอังกฤษมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินซึ่งแปลว่า ทำให้เกิดขึ้น ดังนั้น หากกำลังขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ความสนใจ การฝึกฝน จุดมุ่งหมาย และความหวังของคนที่คุณรักเกิดขึ้นได้ ก็นับว่ากำลังทำตัวแบบคนเป็นพ่อแม่แล้ว สิ่งภายนอกก็สามารถพัฒนาความทรหดในตัวได้เหมือนกัน ซึ่งมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน คือ ผู้ปกครอง การทำกิจกรรม วัฒนธรรมรอบข้าง
เด็ก ๆ ไม่ได้ตัดสินใจได้ดีเสมอไปว่าพวกเขาควรทำอย่างไร ต้องพยายามมากแค่ไหน และเมื่อไหร่ที่ควรยอมแพ้ ผู้ปกครองจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาเด็ก และผู้ปกครองทุกคนก็อยากให้ลูกตัวเองประสบความสำเร็จในอนาคต นักจิตวิทยาแบ่งสไตล์การเลี้ยงลูกเป็น 4 อย่างด้วยกัน
1.Permissive ตามใจ พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกจะตามใจแต่ไม่ได้ส่งเสริม
2.Neglectful ปล่อยปละละเลย ซึ่งประกอบไปด้วยการเลี้ยงลูกแบบไม่เคี่ยวเข็ญแต่ก็ไม่ส่งเสริม เป็นพ่อแม่ที่ปล่อยปละละเลยลูก พ่อแม่ประเภทนี้เพิ่มเติมเนื่องจากวิธีเลี้ยงลูกแบบนี้ไม่สามารถเทียบได้กับวิธีที่พ่อแม่ของเด็กทรหดใช้กันเลยสักนิด
3.Authoritarian เผด็จการ พ่อแม่จะเคี่ยวเข็ญแต่ไม่ส่งเสริม สร้างความแข็งแกร่งให้กับลักษณะนิสัยของเด็ก ๆ
4.Wise ฉลาดเฉลียว พ่อแม่ที่ทั้งเคี่ยวเข็ญและส่งเสริมลูกไปพร้อม ๆ กัน ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของการเลี้ยงลูกแบบนี้คือ การเลี้ยงดูแบบใช้อำนาจ หรือการเลี้ยงดูแบบชาญฉลาด พ่อแม่กลุ่มนี้สามารถประเมินความต้องการทางจิตวิทยาของลูก ๆ ได้อย่างแม่นยำ พวกเขาเข้าใจว่าเด็ก ๆ ต้องการความรัก ขอบเขต และอิสระที่จะใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ อำนาจของพวกเขาเกิดจากความรู้และปัญญามากกว่าอิทธิพล
การเลี้ยงลูกทั้ง 4 อย่างนี้สามารถแบ่งด้วยระดับการสนับสนุนและการเรียกร้องของพ่อแม่ สนับสนุนหมายถึงการให้เวลา การเคารพการตัดสินใจของลูก และการให้ความช่วยเหลือเมื่อลูกพบปัญหา การเรียกร้องไม่ได้หมายความว่าความต้องการให้ลูกเก่งที่สุดเสมอไป แต่มันเป็นการสร้างความคาดหวังว่าลูกจะต้องไม่ยอมแพ้และจะต้องปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา มันจะดียิ่งขึ้นไปอีกถ้าพ่อแม่เป็นตัวอย่างความทรหดที่ดี แต่พ่อแม่บางคนก็ไม่ได้เกิดมาในครอบครัวที่มีการปลูกฝังที่ดี และพ่อแม่ก็ไม่ใช่เป็นแบบอย่างที่ดีเสมอไป
จากที่ผู้เขียนสำรวจมา ในกลุ่มคนที่มีความทรหดสูง พวกเขาเคยมีคนในชีวิตที่ช่วยผลักดันและสนับสนุนอยู่เสมอ อาจจะเป็นญาติพี่น้อง ครูบาอาจารย์ และรวมไปถึงโค้ชทีมกีฬาก็เป็นไปได้ ถ้าคุณเป็นคนที่เด็กในวัยพัฒนาคอยพึ่งพาอยู่ มันสำคัญมากที่จะต้องให้การสนับสนุนและผลักดันพวกเขาอยู่ตลอดเวลา
บทที่ 11 สนามแห่งความทรหด
การทำกิจกรรมนอกเหนือจากการศึกษา หรือกิจกรรมนอกหลักสูตรที่เป็นระบบระเบียบ กิจกรรมทำนองนี้มีคุณสมบัติพิเศษสองข้อที่แทบจะไม่พบในสถานการณ์อื่น ๆ ข้อแรกคือ มีผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่พ่อแม่ดูแลรับผิดชอบอยู่ โดยอาจเป็นผู้ที่ทั้งส่งเสริมและเคี่ยวเข็ญ ข้อที่สองคือ กิจกรรมพวกนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสนใจ การฝึกฝน จุดมุ่งหมาย และความหวัง อย่างเช่น เล่นดนตรี กีฬา เป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยพัฒนาความทรหดในตัวเด็ก
แต่การทำกิจกรรมอย่างเดียวมันไม่พอ ถ้าทำแล้วก็ต้องทำไปตลอดรอดฝั่งด้วย จากการสำรวจพบว่าเด็กที่ทำกิจกรรมอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป มีโอกาสที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมากกว่าเด็กที่ไม่ทำเลย แต่การสำรวจนี้มันอาจจะมองได้ 2 ด้าน เด็กที่ทำกิจกรรมนานมีความทรหดในตัวอยู่แล้ว หรือว่าทำกิจกรรมนานทำให้มีความทรหดเพิ่มขึ้น นักวิจัยจำนวนหนึ่งเคยให้เด็ก ๆ พกวิทยุสื่อสารตลอดทั้งวันเพื่อให้เด็ก ๆ สามารถรายงานได้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่และรู้สึกอย่างไร ประเด็นสำคัญของงานวิจัยนี้คือ การเรียนในโรงเรียนเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับเด็กหลายคนแล้ว การเรียนนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจเลย ส่วนการส่งข้อความพูดคุยกับเพื่อน ๆ นั้นน่าสนใจแต่ไม่ใช่เรื่องยากเย็น การเรียนบัลเลต์นั้นทั้งยากและน่าสนใจไปพร้อม ๆ กัน
ผู้เขียนเห็นว่าการทำกิจกรรมนานมันต้องมีความทรหดแล้วมันก็จะสร้างความทรหดเพิ่มขึ้นด้วย ในครอบครัวของกฎเรื่องยาก เธอมีกฎที่เรียกว่า กฎเรื่องยาก ซึ่งมี 3 ข้อด้วยกัน คือ
กฎข้อแรกคือ ทุกคนในครอบครัวจะต้องเลือกทำเรื่องยากหนึ่งอย่าง โดยเรื่องยากที่ว่าหมายถึงสิ่งที่จำเป็นต้องฝึกทำอย่างจดจ่อทุกวัน
กฎข้อที่สอง เราสามารถเล็กทำได้ แต่ต้องไม่ล้มเลิกจนกว่าจะจบฤดูกาลแข่งขัน จบเทอมตามที่จ่ายค่าเรียนไว้ หรือจุดที่ควรจะหยุดได้ตามธรรมชาติ ห้ามเลิกทำระหว่างกลางทาง เราจำเป็นต้องทำสิ่งที่ได้ริเริ่มให้สำเร็จลุล่วงภายในระยะเวลาที่เราได้ตั้งใจไว้เป็นอย่างน้อย แต่หลังจากนั้นสามารถยกเลิกได้ถ้าเห็นว่าตัวเองไม่ชอบ
กฎข้อที่สาม เราเป็นคนเลือกสิ่งที่ยากสำหรับเราด้วยตัวเอง จะไม่มีใครเลือกให้เรา เพราะสุดท้ายแล้วการทำเรื่องยากที่เราไม่สนใจสักนิด จะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
เธอเพิ่มอีก 1 กฎเป็นข้อที่สี่หลังจากลูกได้เข้าโรงเรียนมัธยมก็คือ จะต้องจะต้องยืนหยัดทำกิจกรรมที่ตัวเองเลือกอย่างต่อเนื่องไปเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปีขึ้นไป
เธอเห็นว่านี่จะทำให้ลูก ๆ สามารถค้นพบสิ่งที่ตัวเองชอบด้วยตัวเอง และยังปลูกฝังความทรหดภายในตัวอีกด้วย ผู้เขียนแนะนำให้พ่อแม่ที่ต้องการส่งเสริมความทรหด โดยไม่ทำลายความสามารถในการเลือกทางเดินด้วยตัวเองของลูก ๆ ลองทำแบบคล้าย ๆ กันดูได้
บทที่ 12 วัฒนธรรมแห่งความทรหด
วัฒนธรรมรอบข้าง เป็นสิ่งภายนอกสุดท้ายที่สามารถพัฒนาได้ ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ วัฒนธรรมที่เราใช้ชีวิตอยู่และมองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งนั้นมีพลังมหาศาลในการหล่อหลอมชีวิตของเราในทุก ๆ ด้าน ทั้งนี้คำว่าวัฒนธรรมของผู้เขียนไม่ได้หมายถึงขอบเขตทางภูมิศาสตร์ หรือการเมืองที่แบ่งแยกผู้คนออกจากกัน หรือขอบเขตทางจิตวิทยาที่เรามองไม่เห็นแต่สามารถแบ่งแยกพวกเราออกจากพวกเขา แก่นแท้ของวัฒนธรรมก็คือบรรทัดฐานและค่านิยมที่คนกลุ่มหนึ่งมีร่วมกัน อย่างเช่น ภายในองค์กรภายใน เพื่อนฝูง หรือภายในทีม
ถ้าอยากมีความทรหดมากขึ้น ก็ต้องคบหากลุ่มคนที่มีความทรหดมากเหมือนกัน ตัวอย่าง ถ้าอยากเป็นนักกีฬาที่ยอดเยี่ยมก็คือการเข้าร่วมทีมที่ยอดเยี่ยม เพราะวัฒนธรรมเฉพาะของทีมจะส่งผลกระทบต่อผู้ที่เข้าร่วมทีมนั้น ๆ ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ใช้เวลาอยู่ในสระและนอกสระว่ายน้ำ ทีมที่ยอดเยี่ยมและคนที่ยอดเยี่ยมสามารถเป็นได้ทั้งเหตุและผลของกันและกัน ทีมนักว่ายน้ำที่ทุกคนจะต้องตื่นตี 4 เพื่อฝึกซ้อม มันไม่มีใครต้องการจะเป็นคนเดียวที่ไม่ตื่นมาเพื่อซ้อมหรอก แน่นอนว่าในระยะสั้นก็ว่าจะแค่ทำตามคนอื่นเพราะไม่อยากจะอายเพื่อน แต่ในระยะยาวแล้วมันสามารถกลายเป็นเอกลักษณ์ของเราเองได้
คนเป็นผู้นำก็สามารถพัฒนาวัฒนธรรมนี้ให้กับทีมตัวเองได้เช่นกัน ผู้นำจะต้องสร้างค่านิยมให้กับลูกทีม และต้องคอยสนับสนุนและปลูกฝังอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้กลายเป็นเอกลักษณ์ของทีมไปในที่สุด ตัวอย่างนี้ได้จาก พีท โคร์โรลล์ เป็นหัวหน้าโค้ชของทีมซีฮอว์กส์ เขาได้แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมของทีมซีฮอว์กส์นี่แหละเป็นเรื่องของการสร้างความทรหดล้วน ๆ ในการฝึกสอนของเขานั้น โค้ชจะส่งเสริมวัฒนธรรมความทรหดผ่านสิ่งต่าง ๆ นับไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็น โอกาสการแข่งขัน เหตุการณ์ชั่วขณะหนึ่ง หรือการพยายามทำให้ลูกทีมมีความทรหดมากว่าเดิม สอนให้มีความอุตสาหะ ให้นักกีฬาของพวกเขาแสดงความหลงใหลออกมามากขึ้นได้อย่างไร ทีมอเมริกันฟุตบอลซีแอตเทิล ซีฮอว์กส์มีวัฒนธรรมของตัวเองอย่างแท้จริงเช่นเดียวกับประเทศทั้งหลาย และมีวิธีการทำสิ่งต่าง ๆ ในแบบของตัวเอง และพวกเขาก็ทำเช่นนี้ด้วยเหตุผลเฉพาะตัว
บทที่ 13 บทสรุป
หนังสือเล่มนี้เกี่ยวข้องกับพลังของความทรหด ที่จะช่วยให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ ความสำเร็จจำเป็นต้องอาศัยความทรหดอย่างมหาศาล ซึ่งก็คือความหลงใหลและความอุตสาหะ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในระยะยาว คนเรามักมองข้ามข้อเท็จจริงข้อนี้ไปเพราะเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องของพรสวรรค์ มีประเด็นที่น่าสนใจคือ
ประเด็นแรกคือ เราสามารถสร้างความทรหดให้ตัวเองได้ สามารถสร้างจากภายในสู่ภายนอก โดยพัฒนาความสนใจ ใช้เวลาในการฝึกทำสิ่งที่ท้าทายเกินทักษะที่มี เชื่อมโยงงานที่ทำกับจุดมุ่งหมายที่นอกเหนือไปจากเรื่องของตัวเอง และเรียนรู้ที่จะมีความหวังแม้ในสถานการณ์ที่ดูมือดมน ในขณะเดียวกันก็สร้างจากภายนอกสู่ภายในได้ ด้วยการสร้างความทรหดโดยการอาศัยผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หัวหน้า พี่เลี้ยง หรือเพื่อน ๆ
ประเด็นที่สอง คือเรื่องของความสุข ความสำเร็จทั้งหลาย ไม่ใช่สิ่งเดียวที่คนเราให้ความสำคัญ แม้ว่าความสุขและความสำเร็จจะมีความเชื่อมโยงกัน มันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน หากมีความทรหดมากขึ้นและประสบความสำเร็จมากขึ้น แล้วจะมีความสุขน้อยลงหรือไม่
ถึงแม้ว่าความทรหดทำให้มีความพอใจในชีวิตมากขึ้น มันก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุด ยังมีสิ่งอื่นอย่างเช่น ความซื่อสัตย์ ที่มีความสำคัญมากเช่นกัน ผู้เขียนแนะนำให้คิดว่า ความทรหดสามารถส่งเสริมอุปนิสัยอย่างอื่นที่เรามีอยู่ อย่างเช่น การที่เราจะมีความซื่อสัตย์ได้ก็ต้องมีความสามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งนี่ก็เป็นลักษณะหนึ่งของความทรหด
มีหลายคนตั้งคำถามให้ผู้เขียนว่า การให้เด็กฝึกฝนเยอะเกินไปมันสร้างความคาดหมายที่เกินจริงไปหรือเปล่า แต่ก็คิดว่าการที่ทุกคนไม่สามารถเป็นโมสาร์ทได้ ก็ใช่ว่าทุกคนควรเลิกเล่นเปียโนไปเลย คนเราทุกคนย่อมมีข้อจำกัด ไม่เพียงในแง่ของความสามารถเท่านั้น แต่ในแง่ของโอกาสด้วย ในบางครั้งข้อจำกัดก็เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองบ่อยครั้งกว่าที่เราคิด เราลองทำ เราล้มเหลว แล้วเราก็สรุปว่าเราชนเพดานของสิ่งที่สามารถเป็นไปได้แล้ว หรือไม่เช่นนั้นเราก็เปลี่ยนทิศทางหลังจากที่เดินหน้าไปแค่ไม่กี่ก้าว แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน เราก็ไม่ได้เดินหน้าไปไกลเท่าที่ควร สุดท้ายแล้วมันไม่ใช่ว่าความสามารถเราจะไปไกลถึงไหน แต่เป็นการมันไม่หยุดเดินทางไปสู่ความเป็นเลิศต่างหากที่สำคัญที่สุด
สั่งซื้อหนังสือ “GRIT : สิ่งที่ต้องมี เมื่อคุณไม่มีแต้มต่อในชีวิต” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก