สรุปหนังสือ Four Thousand weeks
ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์
เมื่อสังคมผลักดันให้ต้องประสบความสำเร็จ และสร้างคำว่าผลิตภาพหรือ productive มาคอยหลอกหลอนแถมยังต้องสำเร็จเร็ว ๆ รวยเร็ว ๆ พร้อมกับภาพฝันอันหวานชื่นว่าจะได้เกษียณเร็ว ๆ พอถึงเวลาตอนนั้นจะได้ใช้ชีวิตสบาย ๆ และได้ทำอะไรที่อยากทำจริง ๆ สักทีประเด็นอยู่ที่ว่า จริงหรือที่จำเป็นต้องทำอะไรให้มากขึ้น ใช้ชีวิตราวกับว่าถ้าหยุดพัก หรือใช้เวลาไม่คุ้มค่า จะถูกส่งไปลงนรกเมื่อตายไป นี่คือคำสาปแห่งยุคสมัยนี้ โอลิเวอร์ เบิร์กแมน ชวนหยุดคิดว่าหากอายุขัยโดยเฉลี่ยของมนุษย์คือ 80 ปี นั่นแปลว่าจะมีชีวิตอยู่ราว 4,000 สัปดาห์ก่อนจะจากโลกนี้ไป สุดท้ายทุกคนก็ต้องยอมรับว่า ทำไม่ได้ทุกอย่างและบางทีสิ่งที่ทำเสร็จไป ดันเป็นความต้องการของคนอื่น ของเจ้านาย ของสังคม หรือแม้แต่ของความคิดไปเอง ว่าคนอื่นคาดหวังให้ทำ แล้วสิ่งที่อยากทำจริง ๆ ล่ะ สิ่งที่มีคุณค่า สิ่งที่ไม่ได้ทำเพื่อแค่หวังผลในวันหน้า สร้างชีวิตอันจำกัดให้มีความหมาย เพราะเวลา 4,000 สัปดาห์ไม่ได้ยาวนานชั่วนิรันดร์ ชีวิตดำเนินไปเรื่อย ๆ ชีวิตคือเวลาในตัวมันเอง
บทนำ
ในระยะยาวทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี
เวลาอันสั้นของชีวิต เป็นปัญหาหลักในการดำรงอยู่ของมนุษย์ ได้รับความสามารถทางปัญญาได้โดยแทบไม่มีขีดจำกัด แต่ไม่มีเวลาเพื่อจะลงมือทำมัน การจัดการเวลาตามความหมายโดยกว้าง ๆ ควรจะเป็นเรื่องหลักที่ทุกคนให้ความสนใจ อาจกล่าวได้ว่า การจัดการกับเวลาก็คือชีวิตนั่นเอง ดังนั้นหนังสือเล่มนี้คือความพยายามที่จะปรับสมดุล เพื่อให้เห็นว่ามันจะเป็นไปไม่ได้เชียวหรือ ที่จะค้นพบหรือรื้อฟื้นแนวคิดบางอย่างเกี่ยวกับเวลา ที่ถูกต้องเหมาะสมกับสถานการณ์ที่แท้จริงของชีวิต
ชีวิตบนสายพาน
ผลการสำรวจแสดงให้เห็นชัดว่า ทุกวันนี้มีความรู้สึกกดดันเพราะมีเวลาไม่พอยิ่งกว่ายุคสมัยไหน ความยุ่งได้ถูกเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ภายใต้คำว่าความเร่งรีบ หรือการทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ใช่ทำไปเพราะเป็นภาระที่ต้องจำทน แต่เป็นทางเลือกในการใช้ชีวิต สิ่งที่ทำให้ประเด็นนี้รบกวนจิตใจมากที่สุดคือ มันแสดงถึงความล้มเหลวของการใช้เวลาที่มีอยู่น้อยนิดให้คุ้มค่า เนื่องจากเวลาและสมาธินั้นมีจำกัดมาก มันจึงมีมูลค่าขนาดที่บริษัทโซเชียลมีเดีย ต้องมีกระบวนการหาสิ่งล่อใจ มากอบโกยมันให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงแสดงเนื้อหา ที่รับประกันได้ว่าผู้ใช้จะคลั่งไคล้มัน แทนที่จะเป็นเนื้อหาที่ถูกต้องกว่าแต่น่าเบื่อ
ปรากฏการณ์น่าหวั่นใจที่คนอายุเกิน 30 ปีคุ้นเคยเป็นอย่างดีคือ เวลาดูจะผ่านไปเร็วเมื่ออายุมากขึ้น ยิ่งเหลือเวลาน้อยลงเท่าไร ดูเหมือนจะยิ่งเสียมันไปเร็วขึ้นเท่านั้น และถ้าหากความสัมพันธ์กับเวลาอันจำกัดนั้น เป็นอะไรที่ยากเย็นอยู่แล้ว เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ ก็พาให้เรื่องมาถึงจุดวิกฤต รู้สึกเหมือนเวลาได้พังทลายลงอย่างสิ้นเชิง สำหรับคนที่มีทั้งงานและลูกเล็กอยู่ที่บ้านเวลาไม่เคยเพียงพอ สำหรับคนที่ถูกลดเวลางานหรือตกงานเวลาก็มีมากเกินไป ผู้คนพบว่าตนเองทำงานไม่เป็นเวลา หลุดออกจากวัฏจักรของกลางวันและกลางคืน นั่งขุดคุ้ยอยู่หน้าแล็ปท็อปที่ส่องแสงเรือง ๆ อยู่ในบ้าน หรือเสี่ยงชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล และโกดังสั่งซื้อทางไปรษณีย์
รู้สึกราวกับว่าอนาคตได้ถูกหยุดเอาไว้ การประชุมผ่านซูมที่ติด ๆ ขัด ๆ และโรคนอนไม่หลับ ทำให้รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะวางแผนการที่มีความหมาย หรือนึกภาพชีวิตในอนาคตที่ไกลกว่าปลายสัปดาห์หน้าได้อย่างชัดเจน เวลาดูคล้ายกับสายพานที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง มันนำภารกิจใหม่มาให้ทันทีที่ลำเลียงงานเก่าออกไป และการมีผลิตภาพมากขึ้นเหมือนจะยิ่งทำให้สายสะพายนั้นเร่งความเร็ว หรือไม่ก็พังลงไปเลยในที่สุด
เหตุผลเดียวของการเป็นคนรวยคือ เพื่อที่จะไม่ต้องทำงานหนัก ยิ่งไปกว่านั้นความยุ่งของพวกคนมีอันจะกินยังเป็นเหมือนกับโรคติดต่อ เพราะหนึ่งในวิธีการหาเงินเพิ่มที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดสำหรับพวกชนชั้นสูงคือ การตัดค่าใช้จ่ายหรือปรับปรุงประสิทธิภาพในบริษัท และอุตสาหกรรมของพวกเขา นั่นหมายถึงความไม่มั่นคงที่เพิ่มขึ้นสำหรับคนระดับล่าง ที่จำเป็นต้องทำงานหนักขึ้นเพียงเพื่อจะหาเช้ากินค่ำ
มัวแต่ทำสิ่งที่ไม่จำเป็น
ถึงเราจะทำสิ่งเหล่านี้ทุกอย่าง แต่ยังรู้สึกว่าการใช้เวลาทำสิ่งที่สำคัญกว่า และเติมเต็มชีวิตมากกว่านั้นมีอยู่ ใช้แต่ละวันไปกับการทำสิ่งอื่นอยู่เป็นประจำ การโหยหาสิ่งที่มีความหมายมากกว่า ท้อแท้ที่ต้องทำงานทั้งวันเพื่อจะได้ซื้อเศษเสี้ยวของเวลาเพื่อทำสิ่งที่ตนรัก และอยู่ในความรู้สึกโหยหาการใช้เวลาอันน้อยนิดบนโลกใบนี้กับลูก ๆ หรือได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรืออย่างน้อยก็ไม่ใช่การเดินทางไปทำงาน ความรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องนี้ยิ่งเลวร้ายกว่าเดิม เมื่อพยายามจะมีผลิตภาพมากขึ้น ดูเหมือนว่ามันส่งผลให้ยิ่งผลัดเรื่องที่สำคัญจริง ๆ ออกไปให้ไกลจนสุดขอบฟ้า แต่ละวันหมดไปกับการพยายามตะลุยทำภารกิจต่าง ๆ เพื่อให้มันเสร็จ ๆ ไป และผลก็คือใช้ชีวิตจดจ่ออยู่กับอนาคต รอเวลาที่จะได้ทำสิ่งที่สำคัญจริง ๆ เสียที
การดิ้นรนที่จะอยู่เหนือทุกสิ่ง อาจเป็นประโยชน์สำหรับใครบางคน การทำงานหลากหลายชั่วโมงและเอารายได้ที่เพิ่มขึ้นมาซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคมากขึ้น เปลี่ยนให้เป็นฟันเฟืองที่ดีขึ้นในเครื่องจักรเศรษฐกิจ แต่ผลของมันไม่ใช่ความสบายใจ และไม่ได้นำไปสู่การใช้เวลาที่มีจำกัดไปกับคนหรือสิ่งที่เราใส่ใจอย่างแท้จริงมากกว่าเดิม การสามารถควบคุมทุกอย่างได้ นั่นจะไม่มีวันมาถึง และวันที่กลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพเต็มตัว จนสามารถหันไปทำสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมายอย่างแท้จริงได้ในที่สุด มาเริ่มต้นด้วยการยอมรับความพ่ายแพ้ การถือว่าทั้งหมดนี้ไม่มีวันได้เกิดขึ้นได้
ส่วนที่ 1 เลือกที่จะเลือก
1
ชีวิตที่ยอมรับการมีขีดจำกัด
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เวลาอันจำกัด ปัญหาที่แท้จริงคือการที่รู้สึกถูกกดดัน ให้ใช้ชีวิตโดยยึดชุดความคิดที่น่าลำบากใจ เกี่ยวกับการใช้เวลาที่มีอย่างจำกัด ซึ่งเป็นชุดความคิดที่ได้รับสืบทอดต่อ ๆ กันมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และแทบจะรับรองได้เลยว่ามันจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง เพื่อดูว่ามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับเวลาได้อย่างไรบ้าง ต้องทวนเข็มนาฬิกาแล้วย้อนกลับไปสมัยก่อนที่จะมีนาฬิกา
เวลาก่อนที่จะมีตารางเวลา
ด้วยสภาพของเวลาที่เป็นเสมือนสายพาน ซึ่งเคลื่อนผ่านไปเรื่อย ๆ เวลาทุกชั่วโมง ทุกสัปดาห์ และทุกปี เปรียบเสมือนกับภาชนะใบหนึ่งที่เคลื่อนไปบนสายพาน ซึ่งต้องเติมของเข้าไปเมื่อมันผ่านมา ถ้าอยากรู้สึกว่าใช้เวลาได้คุ้มค่า เมื่อมีกิจกรรมมากเกินกว่าจะยัดลงไปในภาชนะนั้นได้อย่างสบาย ๆ ก็รู้สึกยุ่งจนไม่มีความสุข แต่พอมีกิจกรรมน้อยไปก็รู้สึกเบื่อ ถ้าปรับจังหวะให้สอดคล้องไปกับภาชนะที่เคลื่อนผ่านมาได้ ก็จะยินดีกับตัวเองที่ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม และรู้สึกว่ามีเหตุผลอันสมควรที่ดำรงอยู่บนโลกนี้ แต่ถ้าปล่อยให้ภาชนะหลายใบผ่านไปโดยไม่ใส่อะไรเลย ก็จะรู้สึกเหมือนทิ้งมันไปเปล่า ๆ ถ้าใช้ภาชนะที่แปะป้ายว่าเวลางานเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ นายจ้างก็จะรู้สึกเคือง
นักประวัติศาสตร์เรียกแนวทางการใช้ชีวิตแบบคนในยุคกลางนี้ว่า การเน้นที่ภารกิจ (task orientation) เพราะจังหวะของชีวิตนั้น จะปรากฏขึ้นมาโดยธรรมชาติจากตัวงานเอง การใช้ชีวิตแบบนี้ทำให้สามารถคิดตามได้ว่า ประสบการณ์นี้ที่ได้คงรู้สึกลื่นไหลและเป็นอิสระ เมื่อไม่ได้นึกถึงสิ่งที่ตนขาดแคลนอย่างแท้จริงในการดำรงอยู่ ชาวไร่ชาวนาสมัยนั้นคงสัมผัสถึงมิติที่สว่างไสว และน่าทึ่งในโลกรอบตัว เมื่อไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับแนวคิดที่ว่า เวลากำลังหมดลงไปเรื่อย ๆ พวกเขาอาจตระหนักรับรู้อย่างคมชัดยิ่งขึ้น ถึงความชัดเจนสดใสของสิ่งต่าง ๆ รู้สึกได้ถึงความไร้กาลเวลา ที่ ริชาร์ด โรห์ นักเขียนและบาทหลวงฟรานซิสกันที่ร่วมสมัยเรียกว่า การใช้ชีวิตในห้วงเวลาลึก (deep time) สิ่งนี้เกิดขึ้นกับบางคนในระหว่างสวดมนต์ นั่งสมาธิ หรือยู่ท่ามกลางทิวทัศน์ที่น่าทึ่ง
สุดสิ้นสุดของนิรันดร์กาล
ทันทีที่อยากจะประสานกิจกรรมบางอย่าง ที่มีผู้เข้าร่วมมากกว่า 2-3 คน จำเป็นต้องมีวิธีการวัดเวลาที่น่าเชื่อถือและเห็นพร้อมกันทุกฝ่าย นี่คือเหตุผลที่เชื่อกันว่า เป็นจุดกำเนิดของการประดิษฐ์คิดค้นนาฬิกาจักรกล เพื่อทำให้เวลามีมาตรฐานและชัดเจน ในลักษณะนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนจะมองว่า เวลาเป็นสิ่งนามธรรมที่ดำรงอยู่เป็นเอกเทศ แยกจากกิจกรรมที่อาจจะทำอยู่ เวลาคือสิ่งที่หมดไปเมื่อเข็มสั้นกับเข็มยาวหมุนไปตามหน้าปัดนาฬิกา เมื่อมองเวลาในลักษณะนามธรรม จึงเป็นธรรมดาที่จะเริ่มปฏิบัติต่อมันในฐานะทรัพยากร หรือสิ่งที่เอาไว้ซื้อหรือขาย และใช้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ท่านที่ที่เวลากลายเป็นทรัพยากรเพื่อการใช้สอย จะเริ่มรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่จะใช้มันอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะมาจากปัจจัยภายนอก หรือมาจากตัวเอง และจะเอาแต่โทษตนเองเมื่อรู้สึกว่าใช้มันอย่างสิ้นเปลือง
เมื่อเผชิญกับข้อเรียกร้องด้านเวลาหลายอย่าง มันง่ายที่จะเหมาเอาว่าคำตอบเดียวก็คือ การใช้เวลาให้ดีกว่าเดิม โดยทำให้ตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น เคี่ยวเข็ญตัวเองให้หนักขึ้น หรือทำงานให้นานขึ้น ราวกับว่าเป็นเครื่องจักรในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม แทนที่จะตั้งคำถามว่าข้อเรียกร้องเหล่านั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ มันหลอกลวงให้พยายามทำหลายอย่างในคราวเดียว หรือใช้เวลาเท่าเดิมในการทำหลายสิ่งไปพร้อม ๆ กัน ทัศนคติที่มีต่อเวลาเช่นนี้ เป็นเหมือนเกมที่บังคับให้รู้สึกราวกับว่าไม่มีทางทำได้ดีพอ แทนที่จะแค่ดำเนินชีวิตให้มันเป็นไปตามเวลา หรือแทนที่จะมองเวลาเป็นเพียงแค่เวลา กลับกลายเป็นเรื่องยากที่จะไม่ให้คุณค่าของแต่ละห้วงเวลา โดยยึดจากประโยชน์ที่มันมีต่อเป้าหมายสักอย่างในอนาคต
ถ้าไม่เราคอยกังวลว่าเรื่องต่าง ๆ จะออกมาเรียบร้อยหรือไม่ และทำทุกอย่างโดยหวังให้เกิดผลในภายภาคหน้า จนความรู้สึกสงบในจิตใจไม่มีวันเกิดขึ้นได้ และเป็นไปไม่ได้ที่จะสัมผัสกับห้วงเวลาลึก หรือความรู้สึกถึงภาวะไร้กาลเวลา เพราะความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อลืมมาตรวัดที่เป็นนามธรรม และดำดิ่งกลับไปสู่ความเป็นจริงอันแจ่มชัด นิรันดร์การค่อย ๆ เลือนหายไปจากการเป็นมาตรวัด และจุดมุ่งเน้นในการกระทำของมนุษย์ มันถูกแทนที่ด้วย นาฬิกา ตารางเวลา ปฏิทิน เรียกว่า ความเร่งรีบที่ไร้สุข และความรู้สึกว่าควรต้องทำให้อะไรให้มากขึ้นอยู่ตลอดเวลา ปัญหาของการพยายามเพื่อที่จะเป็นนายของเวลาก็คือ สุดท้ายเวลาได้กลายเป็นนายเสียเอง
คำสารภาพของผู้คลั่งไคล้ผลิตภาพ
นักปรัชญา นักจิตวิทยา และครูทางจิตวิญญาณหลายท่าน พวกเขาเหล่านี้ไม่ได้พยายามควบคุม หรือมีอำนาจเหนือเวลา และเชื่อว่ามันเป็นเพียงแบบร่างของชีวิต ที่จะให้ความสงบสุขและทำให้ชีวิตมีความหมายมากกว่าเดิมอย่างมหาศาล ในขณะเดียวกันจะพบว่ามันช่วยให้เกิดผลิตภาพที่ยั่งยืนในระยะยาวได้ดีกว่า ผู้เขียนเองก็เคยใช้เวลาหลายปี ในการพยายามที่จะควบคุมเวลาของตนเองและล้มเหลวมาแล้ว ซึ่งอาการนี้จะชัดเจนเป็นพิเศษสำหรับมนุษย์สายพันธุ์ย่อยแบบผู้เขียนคือ พวกคลั่งไคล้ผลิตภาพ เพราะเขาเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เกี่ยวกับผลิตภาพ ทำให้มีข้ออ้างในการทดลองเทคนิคใหม่ ๆ โดยอ้างว่าที่ทำไปนั้นก็เพื่อการทำงาน
ครั้งหนึ่งพยายามจัดตารางเวลาทั้งวันเป็นช่วง ๆ ช่วงละ 15 นาที อีกครั้งหนึ่งลองใช้นาฬิกาจับเวลาในครัวเพื่อจับเวลาการทำงานภายใน 25 นาที คั่นด้วยการหยุดพัก 5 นาที วิธีนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เทคนิคโพโมโดโร ทำการแบ่งลิสต์เป็น A, B และ C ตามลำดับความสำคัญ พยายามจะจัดเรียงสิ่งที่ทำเป็นกิจวัตรให้สอดคล้องกับเป้าหมายต่าง ๆ ของตัวเอง และจัดเป้าหมายเหล่านั้นให้สอดคล้องกับค่านิยม การนำเทคนิคเหล่านั้นมาใช้ มักทำให้รู้สึกราวกับว่าตนเองเกือบจะได้เริ่มต้นยุคทองแห่งความมีผลิตภาพอันสงบสุขและไร้สิ่งรบกวน และได้ทำสิ่งต่าง ๆ ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย แต่สุดท้ายยุคทองที่ว่าก็ไม่เคยมาถึง
หนำซ้ำกลับทำให้เครียดและไม่มีความสุขยิ่งกว่าเดิม แล้วอยู่ ๆ ก็ตระหนักขึ้นได้ในทันใดว่า มันไม่มีวิธีไหนที่จะได้ผลหรอก ไม่มีวันรวบรวมความมีประสิทธิภาพ ความมีวินัยในตนเอง และความพยายามได้มากพอที่จะผลักดันตนเองไปสู่ความรู้สึกว่า สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ วิธีเหล่านั้นทั้งหมดจึงล้มเหลวในที่สุด มันคือการที่พยายามใช้วิธีเหล่านั้น แสวงหาความรู้ว่าตนเองควบคุมชีวิตได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมเสมอ ความสัมพันธ์ที่เป็นปัญหากับเวลาโดยมาก เกิดขึ้นจากการพยายามแบบเดียวกัน ที่จะเรียกข้อจำกัด อันน่าเจ็บปวดของโลกแห่งความเป็นจริง
กลยุทธ์ในการเพิ่มผลิตภาพส่วนใหญ่ยิ่งทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลง เพราะมันเป็นแค่วิธีการที่จะหาทางเลี่ยงต่อไป เพราะถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องน่าเจ็บปวด ที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่า เวลาของเรานั้นจำกัด มันหมายความว่าไม่สามารถเลี่ยงการตัดสินใจเรื่องที่ยาก และจะไม่มีเวลาพอสำหรับทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝันอยากจะทำ มันเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดอีกเช่นกัน ที่จะต้องยอมรับว่ามีอำนาจอย่างจำกัด ในการควบคุมเวลาที่มีอยู่ ส่วนมากพวกเขาเสาะหาวิธีการเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ในการควบคุมเวลาของตัวเอง อุดมคติทางวัฒนธรรมคือ ความเป็นคนเดียวที่สามารถควบคุมตารางชีวิต ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ ในเวลาไหนก็ได้ตามที่ต้องการ
การปฏิเสธความจริงที่ไม่เคยได้ผลหรอก มันอาจทำให้รู้สึกโล่งใจได้ทันทีในตอนนั้น อาจจะรู้สึกว่าตนเองควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้อยู่หมัดในที่สุด ดีพอแล้ว เพราะมันนิยามคำว่าดีพอว่าหมายถึง การควบคุมทุกอย่างได้อย่างไร้ขีดจำกัดแบบมนุษย์ไม่มีวันทำได้ ในทางกลับกันการดิ้นรนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จะนำไปสู่ความวิตกกังวลที่มากกว่าเดิม ดังนั้นจึงเลี่ยงไม่ได้ที่แต่ละวันจะเต็มไปด้วยกิจกรรมที่ไม่ค่อยเห็นคุณค่าเท่าไหร่นัก ยิ่งรีบก็ยิ่งนั่งหงุดหงิดเมื่อต้องเจอภารกิจที่เร่งไม่ได้ ยิ่งวางแผนสำหรับอนาคตได้อย่างเอาเป็นเอาตายเท่าไหร่ ก็จะยิ่งรู้สึกเครียดกับความไม่แน่นอนในเรื่องอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ ซึ่งจะมีอีกเพียบเสมอ
ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงภาพของสิ่งที่อาจเรียกว่า ความขัดแย้งกันเองของข้อจำกัด (paradox of limitation) ชีวิตก็จะยิ่งเคร่งเครียด ว่างเปล่า และนั่งหงุดหงิดท้อแท้มากขึ้น แต่ถ้าเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าชีวิตมีจุดสิ้นสุด และพยายามที่จะเข้าใจมันแทนที่จะต่อต้านมัน ชีวิตก็จะยิ่งมีผลิตภาพ มีความหมาย และมีความสุขมากขึ้น
ความเป็นจริงอันเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง
ทัศนคติแบบเปิดใจยอมรับข้อจำกัดที่มีต่อเวลาหมายความว่า จะจัดการชีวิตในแต่ละวันด้วยความเข้าใจ ในเมื่อการตัดสินใจเรื่องยาก ๆ คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งสำคัญก็คือเรียนรู้ที่จะเลือกอย่างมีสติ เลือกว่าจะมุ่งความสนใจไปที่อะไร และสิ่งไหนที่ควรมองข้าม มากกว่าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือหลอกตัวเองว่าถ้าขยันทุ่มเทมากพอ หรือมีเทคนิคการบริหารจัดการที่นำมาใช้ในเวลาที่ถูกต้อง อาจไม่จำเป็นต้องเลือกอะไรเลย แต่การทำเช่นนั้นได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ในท้ายที่สุดจะก่อให้เกิดความรู้สึกเติมเต็มได้มากกว่า และยังหมายถึงการยืนหยัดอย่างมั่นคงท่ามกลางกระแสของ FOMO (fear of missing out) หรือการกลัวที่จะพลาดอะไรไป เพราะตระหนักได้ว่าการพลาดอะไรสักอย่าง อย่างไรเสียก็ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะการพราดอะไรไปทำให้ทางเลือกต่าง ๆ มีความหมายมากขึ้น
แท้จริงแล้วเวลาคือสิ่งที่ใช้จริง หรืออีกแนวคิดหนึ่งคือ ให้เวลาใช้ แนวคิดที่ไม่เป็นที่นิยมแต่ทรงพลัง นี่คือวิธีมองว่าชีวิตไม่ใช่โอกาส ให้ดำเนินแผนการสู่ความสำเร็จที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้า แต่เป็นการตอบสนองความจำเป็นต่าง ๆ ในสถานที่และห้วงเวลาตัวเองในประวัติศาสตร์ สิ่งที่ช่วยได้คือเผชิญหน้ากับความจริงของมันอย่างเต็มที่ ตราบใดที่ยังตอบสนองต่อสิ่งที่เรียกร้องเวลา ซึ่งมากเกินกว่าที่จะทำได้จริงด้วย โน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อว่าสักวันหนึ่ง จะหาวิธีทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นจริงขึ้นมา
เมื่อเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่ามันคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จะได้รับพลังใหม่ในการต่อต้านมัน และห่างไกลมุ่งมั่นกับการสร้างชีวิต ที่มีความหมายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบใดก็ตาม การเปิดใจรับแทนที่จะปฏิเสธข้อจำกัดของความไม่จีรัง คงไม่ทำให้เหล่านักปรัชญาในยุคกรีกและโรมันโบราณประหลาดใจ พวกเขาเข้าใจดีว่าความไร้ขีดจำกัดมีไว้สำหรับบรรดาเทพเจ้าเท่านั้น เป้าหมายสูงส่งที่สุดของมนุษย์ไม่ใช่เป็นเหมือนเทพเจ้า แต่คือการเป็นมนุษย์ให้ถึงที่สุดต่างหาก จิตวิญญาณอันยอดเยี่ยมสำหรับเผชิญกับความท้าทายในเรื่องการใช้เวลาให้ดี ไม่มีคนไหนจะสามารถล้มล้างสังคม ที่อุทิศตนเพื่อผลิตภาพอันไร้ขีดจำกัด สิ่งล่อใจและความเร็วได้โดยลำพัง
2
กับดักของการมีประสิทธิภาพ
ความยุ่งมันไม่ได้เป็นปัญหาเกี่ยวกับเวลาเพียงอย่างเดียว และไม่ได้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับทุกคน แต่มันเป็นภาพที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความอุตสาหะ ในการทุ่มเทต่อสู้กับข้อจำกัดที่มีอยู่ เพราะมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว กับการรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำอะไรมากกว่าที่สามารถทำได้ ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่กับความวิตกกังวลอยู่เสมอ เพราะกลัวหรือรู้แน่ชัดว่าไม่สามารถทำแบบนั้นกับภาระหน้าที่ได้ แม้แต่ผู้คนที่ประสบความสำเร็จในวัฒนธรรมที่บูชาความสำเร็จ อย่างผู้คนที่สามารถเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ และได้เงินเดือนสูงที่สุด ก็ยังพบว่ารางวัลที่พวกเขาได้รับคือแรงกดดัน ที่จะต้องทำงานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยความเคร่งเครียดจนทำลายสุขภาพ เพื่อรักษารายได้และสถานะทางสังคม
จึงกลายเป็นเหมือนข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับชีวิตแบบที่พวกเขาอยากมี มันไม่ใช่แค่ว่าสถานการณ์นี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้จริง ๆ ตามตรรกะเหตุผล มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ต้องทำอะไรมากเกินกว่าที่จะสามารถทำได้ นั่นเป็นความคิดที่ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ถ้ามีเวลาจริง ๆ สำหรับทุกอย่างที่อยากทำ หรือสิ่งที่รู้สึกว่าควรต้องทำ หรือสิ่งที่คนอื่นมารบเร้าให้ทำ ไม่ว่าผลลัพธ์จากการที่ไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นมันจะแย่แค่ไหน ในทางปฏิบัติแล้ว มันไม่มีเหตุผลที่จะรู้สึกเดือดร้อนกับรายการสิ่งที่ต้องทำอันยาวเหยียด ก็แค่ทำในสิ่งที่สามารถทำได้ และไม่ทำสิ่งที่ทำไม่ได้ บางทีอาจจะรักษางานปัจจุบันไว้ไม่ได้ ถ้ายืนกรานว่าอยากจะมีเวลาเจอลูกให้มากพอ บางทีการหาเวลาให้เพียงพอในแต่ละสัปดาห์
สำหรับการทำงานสร้างสรรค์อาจหมายความว่า จะไม่มีวันมีบ้านที่สะอาดเนี้ยบ หรือได้ออกกำลังกายเท่าที่ควร เพื่อหลีกเลี่ยงความจริงอันไม่น่าพิสมัยเหล่านี้ นำเอากลยุทธ์สุดฮิตในหมวดคำแนะนำทั่วไปเรื่องการจัดการกับความยุ่งมาปรับใช้ บอกตัวเองว่าแค่ต้องหาวิธีทำสิ่งต่าง ๆ ให้ได้มากกว่านี้ พยายามจัดการกับความยุ่งของตนเองด้วยการทำให้ตัวเองยุ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
อินบ๊อกซ์ของซิซีฟัส
คนทำงานที่อาศัยอยู่ชานเมือง และต้องเดินทางด้วยรถรางและรถไฟ เพื่อไปทำงานที่ออฟฟิศตามเมืองต่าง ๆ ที่เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ในอังกฤษ เวลาเริ่มกลายเป็นเหมือนกล่องคอนเทนเนอร์ที่เล็กเกินกว่าที่ต้องใส่เข้าไป ความรู้สึกว่าแต่ละปีได้ผ่านไป ผ่านไป และผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขายังไม่มีโอกาสได้จัดการชีวิตให้ทำงานได้อย่างเป็นระบบเลย
พวกเขาบอกกับตัวเองว่ารู้สึกเหนื่อยทั้ง ๆ ที่ฮึดสู้และลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่เติมเต็มคุณค่าให้กับชีวิตได้ง่าย ๆ ซึ่งกิจกรรมเหล่านั้น เป็นสิ่งที่อ้างว่าไม่มีเวลาพอที่จะทำตอน 6 โมงเย็น ให้มองความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้า และยอมรับมันเสียว่าไม่ได้เหนื่อย อีกวิธีหนึ่งที่แนะนำคือ การตื่นให้เช้ากว่าเดิมแทน จะสามารถทำสิ่งที่สำคัญอย่างแท้จริงได้สำเร็จ เพื่อจะได้รู้สึกว่าสงบศึกกับเวลาเสียที เสนอว่าให้ยัดกิจกรรมเพิ่มเข้าไปในภาชนะของแต่ละวันอีกนิด แล้วจะสามารถไปถึงจุดที่สงบเยือกเย็นและมีอำนาจควบคุม เนื่องจากมีเวลาเพียงพอในที่สุด แต่มันไม่เป็นความจริงเลย
สำหรับปี 1908 ยิ่งในปัจจุบันนี้ยิ่งไม่เป็นจริงเข้าไปใหญ่ ก้าวแรกสู่อิสรภาพอันวิเศษสุดบนเส้นทางของการยอมรับข้อจำกัดของตัวเอง ปัญหาของการพยายามที่จะหาเวลา ให้พอกับทุกสิ่งที่รู้สึกว่าสำคัญ หรือบางสิ่งที่รู้สึกว่าสำคัญมากพอคือ จะไม่มีวันทำได้สำเร็จหรอก เหตุผลไม่ใช่เพราะยังไม่เจอเทคนิคการบริหารจัดการเวลา หรือใช้ความพยายามไม่มากพอ หรือควรต้องเริ่มตื่นเช้ากว่านี้ หรือเพราะโดยรวม ๆ แล้วไม่เอาไหน ข้อสันนิษฐานที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ขาดเหตุผลรองรับ มันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะเชื่อได้ว่า วันหนึ่งจะรู้สึกว่า จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด หรือมีเวลาให้ทุกอย่างที่สำคัญ
ประการแรกเลยสิ่งสำคัญของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน แต่ประเด็นที่น่าเหนื่อยใจอีกอย่างก็คือ ถ้าประสบความสำเร็จในการยัดงานเพิ่มลงตาราง จะพบว่าหลักชัยที่วางไว้นั้นเริ่มจะเคลื่อน เริ่มมีสิ่งที่ดูเป็นเรื่องสำคัญ มีความหมาย หรือจำเป็นต้องทำเพิ่มขึ้นอีกมาก เมื่อได้ชื่อว่าสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วจนน่าทึ่ง ก็จะได้รับงานมากขึ้นอีก เรื่องตลกร้ายที่น่าปวดใจทั้งหมดนี้ เห็นได้ชัดเป็นพิเศษในกรณีของอีเมล สิ่งประดิษฐ์สุดชาญฉลาดแห่งศตวรรษที่ 20 ที่ทำให้ใครก็ได้ในโลกนี้ สามารถรบกวนได้ทุกเวลาที่พวกเขาต้องการ โดยที่พวกเขาแค่ไม่ต้องเสียอะไรเลย ด้วยการใช้หน้าต่างโลกดิจิทัล ตลอดช่วงวันทำงานและบ่อยครั้งก็วันหยุดสุดสัปดาห์ด้วย ข้อมูลที่ได้รับมาของกระบวนการนี้ ซึ่งหมายถึงจำนวนอีเมลที่ไม่จำกัด แต่ในด้านของข้อมูลส่งออก ซึ่งหมายถึงจำนวนข้อความที่จะมีเวลาได้อ่านอย่างละเอียด ได้ตอบกลับ หรือได้คิดก่อนตัดสินใจที่จะลบ มีอยู่จำกัด ฉะนั้นการจัดการอีเมลได้ดีขึ้น ก็เหมือนกับการปีนขึ้นบันไดที่ทอดยาวไม่มีวันสิ้นสุดได้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ จะรู้สึกรีบเร่งกว่าเดิม ซิซีฟัสจะเคลียร์อีเมลจนเกลี้ยงอินบ๊อกซ์ นั่งเอนหลังและสูญหายใจลึก ๆ ก่อนที่จะได้ยินเสียงปิ้งที่คุ้นเคย มีข้อความใหม่
ดังนั้นประเด็นจึงไม่ใช่การที่ไม่อาจเคลียร์อีเมลได้ทั้งหมด แต่ที่จริงแล้วกระบวนการเคลียร์อีเมลนี่แหละ ทำให้เกิดอีเมลมากขึ้น หลักการโดยกว้าง ๆ ของเรื่องนี้ อาจเรียกได้ว่ากับดักของความมีประสิทธิภาพ การทำให้ตัวมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกว่ามีเวลาเพียงพอ เนื่องจากอย่างอื่นทั้งหมดยังเท่าเดิม แต่งานที่เรียกร้องให้ทำจะเพิ่มขึ้น จนหักล้างผลประโยชน์ใด ๆ ก็ตามที่ได้รับ นอกจากจะห่างไกลจากการทำงานสำเร็จแล้ว คุณจะสร้างสิ่งใหม่ให้ตัวเองต้องทำเพิ่มขึ้นอีก ปกติแล้วการหลีกเลี่ยงกับดักของความมีประสิทธิภาพทั้งหมดคือ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ซึ่งเป็นกรณีเดียวกันกับความรับผิดชอบอื่น ๆ ในชีวิตเรามักถูกบีบให้ต้องหาวิธียัดสิ่งที่ต้องทำเข้าไปในเวลาที่มีอยู่เท่าเดิม แม้ผลลัพธ์คือการลงเอยด้วยความรู้สึกยุ่งยิ่งกว่าเดิมก็ตาม แต่สิ่งที่เลือกได้ก็คือ หยุดเชื่อว่าจะมีวันที่สามารถแก้ไขปัญหาความยุ่งได้สำเร็จ โดยการยัดงานลงตารางเพิ่ม เพราะมันจะยิ่งทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลง การตัดสินใจเรื่องยาก ๆ เกี่ยวกับเวลา การเลือกก็ง่ายขึ้น จะเริ่มเข้าใจว่าเมื่อมีสิ่งต่าง ๆ ทำมากเกินไป ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอ ทางเดียวที่จะนำไปสู่อิสรภาพทางจิตใจก็คือ ปล่อยวางภาพเพ้อฝันที่ปฏิเสธว่า คนเรามีขีดจำกัดในการทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้น และหันไปมุ่งมั่นกับการทำสิ่งที่มีความหมายจริง ๆ แค่ไม่กี่อย่างแทน
รายการที่ต้องทำก่อนตายที่ไม่มีวันจบสิ้น
การมีชีวิตอยู่บนโลกทุกวันนี้ก็คือ การถูกหลอกหลอนจากความรู้สึกว่า มีอะไรทำมากเกินไปอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีชีวิตที่ยุ่งในรูปแบบใดก็ตาม คิดเสียว่ามันเป็นความรู้สึกเกินรับไหวของการดำรงอยู่โลกยุคใหม่ จัดหาสิ่งต่าง ๆ ที่ดูน่าทำมาให้มากมายไม่รู้จบ ผู้คนยุคก่อนปัจจุบันไม่มีปัญหากับแนวคิดนี้มากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาเชื่อในชีวิตหลังความตาย จึงไม่มีแรงกดดันอะไรที่เป็นพิเศษ ที่จะต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่าที่สุด ในเวลาอันจำกัดที่ตนมี ยุคสมัยที่เน้นเรื่องทางโลกได้เปลี่ยนแปลงทุกอย่างไป เมื่อคนเลิกเชื่อในชีวิตหลังความตาย ทุกสิ่งทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มที่สุด ผู้เกษียณอายุที่ได้เที่ยวสถานที่แปลก ๆ ในรายการสิ่งที่อยากทำก่อนตาย ที่อัดกิจกรรมสนุก ๆ จนเต็มทั้งสุดสัปดาห์ ก็คงจะพูดได้ว่าพวกเขาเกิดความรู้สึกเหนื่อยจนเกินรับไหวความรู้สึกเติมเต็มของพวกเขา ยังคงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการเพื่อที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้ได้มากกว่าที่พวกเขาสามารถทำได้จริง สิ่งนี้ช่วยบอกอธิบายข้อพิสูจน์ที่มีให้เห็นบ่อยครั้งว่า ทำไมการเอากิจกรรมที่น่าอภิรมย์ยัดเข้าไปในชีวิตเยอะ ๆ จึงน่าพึงพอใจน้อยกว่าที่คาดไว้ ยิ่งได้สัมผัสประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะเริ่มรู้สึกว่าสามารถมี หรือควรต้องมีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นอีก นอกเหนือไปจากสิ่งที่ได้รับมาแล้ว ผลลัพธ์ก็คือจะยิ่งรู้สึกเหนื่อยเกินรับไหวมากขึ้นไปอีก เทคโนโลยีจำนวนมากที่ใช้เพื่อพยายามควบคุมทุกอย่าง มักทำให้ผิดหวังในที่สุด เพราะมันจะเพิ่มขนาดของทุกอย่างที่พยายามจะควบคุม
ทำไมควรหยุดเคลียร์ทุกอย่างเพื่อเตรียมพร้อม
กับดักของความมีประสิทธิภาพเป็นแค่เรื่องของปริมาณ มีสิ่งที่ต้องทำมากเกินไป เลยพยายามจะยัดอะไรเข้าไปเพิ่ม แต่ผลลัพธ์ที่ย้อนแย้งคือ มันจบลงด้วยการที่มีสิ่งที่ต้องทำมากกว่าเดิม เหตุผลของเรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไรเลย ยิ่งคิดว่ามีเวลาสำหรับทุกอย่าง ก็จะยิ่งรู้สึกกดดันน้อยลงที่จะตั้งคำถามว่า การทำกิจกรรมนั้น ๆ เป็นการใช้เวลาส่วนนั้นอย่างดีที่สุดแล้วหรืออย่างไร เมื่อเจอสิ่งใหม่ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า จะมาอยู่บนรายการสิ่งที่ต้องทำ หรือบนปฏิทินนัดหมายก็ไม่จำเป็นต้องเสียสละภารกิจอื่น ๆ เพื่อหาพื้นที่ว่างให้กับมัน แต่เพราะในความเป็นจริงเวลามีจำกัด การทำสิ่งใดก็ตาม ย่อมต้องมีการเสียสละ คือเสียสละสิ่งอื่นทั้งหมด ที่จะสามารถทำในช่วงเวลานั้น ๆ ถ้าหยุดเพื่อถามตัวเองว่า การเสียสละนั้นมันคุ้มหรือไม่ แต่ละวันก็จะไม่เพียงแค่เต็มไปด้วยสิ่งที่ต้องทำเพิ่มขึ้น แต่สิ่งเหล่านั้นยังไม่สลักสำคัญ หรือน่าเบื่ออีกด้วย สิ่งที่หลั่งไหลเข้ามาจนเกินรับไหวในการดำรงชีวิต ต้องมีความตั้งใจจริงที่จะอดใจไม่เสพ เมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ที่จะพลาดประสบการณ์เกือบทุกอย่างที่โลกนี้เสนอมาให้ ความจริงที่ว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ยังไม่ได้สัมผัส ก็จะไม่ทำให้รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอีกต่อไป จะได้มุ่งความสนใจไปกับการมีความสุขอย่างเต็มที่ กับประสบการณ์เสี้ยวเล็ก ๆ ที่มีเวลาให้กับมันจริง ๆ แทน
หลุมพรางของความสะดวกสบาย
การแสวงหาประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ทุกวันนี้มีความสัมพันธ์ที่บิดเบี้ยวกับเวลาอย่างร้ายกาจนั่นคือ การหลอกล่อที่ยั่วยวนใจของความสะดวกสบาย ชีวิตค่อย ๆ แย่ลงทีละน้อย ๆ เช่นเดียวกับกับดักแห่งความมีประสิทธิภาพรูปแบบอื่น ๆ การเคลียร์เวลาให้ว่างในลักษณะนี้ ส่งผลร้ายในแง่ของปริมาณ เพราะเวลาที่ว่างลงนั้น ก็จะถูกเติมจนเต็มด้วยสิ่งอื่นอีกมากมาย ที่รู้สึกว่าต้องทำความสะดวกสบายคือ การทำอะไรให้ง่ายเข้าว่า โดยไม่คำนึงว่าความง่ายนั้นคือสิ่งมีค่าสุดในบริบทนั้นจริงหรือไม่ ที่จริงแล้วสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ความคิด แต่อยู่ที่ความพยายาม หรือเรียกได้ว่าความไม่สะดวกสบายนั่นเอง เมื่อทำให้กระบวนการต่าง ๆ สะดวกสบายขึ้น ก็ทำให้มันหมดความหมาย ดูจากภายนอกอาจจะเหมือนกับความขัดข้อง แต่จริง ๆ แล้วมีองค์ประกอบบางอย่างที่มีความเป็นแก่นแท้ของมนุษย์อยู่ ความสะดวกสบายไม่ใช่แค่กิจกรรมนั้นด้อยค่าลง แต่ว่าต้องหยุดทำกิจกรรมที่มีค่านั้นไปโดยสิ้นเชิง เพื่อไปทำกิจกรรมที่สะดวกกว่า ในขณะเดียวกันด้านอื่น ๆ ของชีวิตที่ไม่สามารถทำให้สะดวกสบายขึ้นได้ ก็เริ่มดูน่ารังเกียจ ความสะดวกสบายยึดครองพื้นที่ในชีวิตประจำวัน กิจกรรมต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ แยกออกเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทที่ให้ความสะดวกสบายมากขึ้นในตอนนี้ แต่ให้ความรู้สึกว่างเปล่าหรือขัดกับสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง และอีกประเภทหนึ่งคือ กิจกรรมที่ดูน่าหงุดหงิดรำคาญมาก วัฒนธรรมแห่งความสะดวกสบายหลอกล่อให้จินตนาการไปว่า สามารถหาพื้นที่ให้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่สำคัญได้ โดยกำจัดภารกิจที่น่าเบื่อในชีวิตให้เสร็จไป แต่มันเป็นเรื่องโกหก จำเป็นต้องเลือกแค่บางอย่าง ยอมสละทุกอย่างที่เหลือ และจัดการกับความรู้สึกสูญเสียที่จะเกิดขึ้น แต่ความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของชีวิตมนุษย์ที่มีอยู่อย่างจำกัดก็คือ จะต้องเลือก
3
เผชิญหน้ากับการมีจุดสิ้นสุด
ความหมายของการเป็นมนุษย์ ที่มีจุดสิ้นสุดและมีเวลาจำกัดบนโลกนี้ ภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน สะท้อนถึงวิธีการมองโลกในทุก ๆ วัน องค์ประกอบพื้นฐานที่สุดของการดำรงชีวิต หรือสิ่งที่แทบไม่สังเกต เพราะคุ้นเคยกับมันอยู่แล้ว
ถูกโยนเข้าไปในกาลเวลา
การดำรงอยู่ทั้งหมดนั้น เกี่ยวพันอย่างยิ่งกับเวลาอันจำกัด เกี่ยวพันมากจนกระทั่งทั้งสองอย่างมีความหมายเดียวกัน สำหรับมนุษย์แล้วการอยู่คือการดำรงอยู่เพียงชั่วคราว ในช่วงระหว่างการเกิดและการตาย โดยแน่ใจได้ว่าจุดจบจะต้องมาถึง เพียงแต่ไม่สามารถรู้ได้ว่าเมื่อไหร่ การพูดว่ามีเวลามีความหมายคือ บางคนถึงขนาดแย้งว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรติดอยู่กับการพยายามไขความกระจ่างในเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เมื่อพบว่าตัวเองถูกโยนเข้าไปในเวลา เข้าไปสู่ห้วงเวลาหนึ่งพร้อมกับเรื่องราวของชีวิตช่วงหนึ่ง และเมื่อมองไปในอนาคตข้างหน้าก็พบว่า ถูกคุมขังด้วยการที่ชีวิตมีจุดสิ้นสุด ถูกพัดไปข้างหน้าในสายธารแห่งกาลเวลา โดยไม่อาจก้าวพ้นจากกระแสนั้นไปได้ จากมุมมองปกติไม่ว่ามุมใดก็ตาม ทั้งหมดนี้ฟังแล้วน่าหดหู่ และเครียดจนแทบทนไม่ไหว แต่ถ้าสามารถไปถึงจุดที่มีมุมมองแบบนี้เกี่ยวกับชีวิตได้สำเร็จ จะไม่ได้มองมันจากมุมมองธรรมดา ๆ ทั่วไป ความพยายามที่ไร้ประโยชน์ ในการทำทุกอย่างให้เสร็จ ซึ่งแท้จริงแล้ว ก็เป็นแค่อีกวิธีในการพยายามหลีกหนีความรับผิดชอบ ที่ต้องตัดสินใจว่า จะทำอะไรกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เพราะถ้าสามารถทำทุกอย่างให้เสร็จได้จริง ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกแค่บางสิ่ง ท่ามกลางทางเลือกต่าง ๆ ที่ดูพิเศษพอ ๆ กัน ชีวิตมักจะสบายกว่าเมื่อใช้มันไปกับการหลีกเลี่ยงความจริงในลักษณะนี้ แต่มันคือความสบายที่ทำให้เหนื่อยหน่าย และอาจถึงตายได้ มีเพียงการเผชิญหน้ากับความจำกัดของชีวิตเท่านั้น ที่สามารถช่วยให้ก้าวไปสู่การมีความสัมพันธ์ที่จริงแท้กับชีวิต
กลับสู่ความเป็นจริง
การนำเสนอแนวคิด เรื่องการเผชิญหน้ากับความจำกัด เอามาวางเทียบเคียงกับความเชื่อทางศาสนาเรื่องชีวิตนิรันดร์ เขาให้เหตุผลว่า ถ้าคิดว่าชีวิตไม่มีวันจบสิ้น ก็คงไม่มีอะไรที่สำคัญอย่างแท้จริง เพราะจะไม่มีวันได้เผชิญหน้ากับการต้องเลือกว่า จะใช้เสี้ยวชีวิตอันล้ำค่าของตนไปกับอะไร การให้คุณค่ากับสิ่งที่มีอยู่จำกัด เพราะมันมีจำกัด คือสิ่งที่ทำให้บุคคลหนึ่งใส่ใจถึงผลกระทบ ของหายนะที่จะเกิดขึ้นต่อมนุษย์โดยรวมอย่างแท้จริง ถ้าการดำรงอยู่ในโลกเป็นเพียงบทโหมโรงไปสู่ความเป็นนิรันดร์บนสวรรค์ ภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่นั้น ก็คงไม่มีความสำคัญอะไรในท้ายที่สุด ใครก็ตามที่ใช้ชีวิตโดยไม่สามารถเผชิญหน้ากับสัจธรรมของการมีชีวิตที่จำกัด และเอาแต่กล่อมตัวเองให้เชื่อในระดับจิตใต้สำนึกว่า มีเวลามากมายบนโลกใบนี้ หรือเชื่อว่าจะสามารถยัดงานปริมาณไม่จำกัดเข้าไปในเวลาที่มีจำกัดได้ ก็ล้วนแล้วแต่ลงเรือลำเดียวกัน พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของการไม่ยอมรับความจริงว่า เวลานั้นมีจำกัด ฉะนั้นเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจว่า จะใช้เวลาส่วนนั้นไปกับอะไร ก็ไม่มีสิ่งใดที่เป็นเดิมพันแท้จริง สำหรับพวกเขาแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีโดยสิ้นเชิง ก็ดูจะทำให้คนที่ได้ผ่านมันมา มีความสัมพันธ์กับเวลาในรูปแบบใหม่ และซื่อตรงมาก คำถามคือจะมีทัศนคติแบบนี้สักเล็กน้อย โดยไม่ต้องประสบกับการสูญเสียที่ทุกข์ทรมานได้ไหม เรียกมันว่าเป็นการพบเจอกับชีวิตจริง และความเป็นจริงอันโหดร้าย
ทุกสิ่งทุกอย่างคือเวลาที่ถูกหยิบยืมมา
ถ้าสามารถตั้งสมาธิไม่ว่าจะช่วงสั้น ๆ หรือบางครั้งคราว โดยจดจ่ออยู่กับความน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริงของการดำรงอยู่ และการที่ได้รับการดำรงอยู่นั้นมาเพียงน้อยนิด จะสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ในความรู้สึกว่าการอยู่ ณ จุดนี้ในตอนนี้ หรือการมีชีวิตอยู่ท่ามกลางกระแสของเวลา แน่นอนว่าคงมีแต่คนที่มองไม่เห็นความน่าทึ่งของการดำรงอยู่ ที่คิดว่าการดำรงอยู่ของตนนั้น เป็นสิ่งที่ต้องมีอยู่แล้ว ราวกับเป็นสิ่งที่พวกเขามีสิทธิ์ที่จะได้รับทุกประการ และจะต้องไม่มีวันถูกพรากไป ความจริงอาจจะไม่ได้ถูกโกงเอาเวลาที่มีไม่จำกัดไป แต่การที่ได้รับเวลามาจำนวนหนึ่ง ก็ถือว่าน่าอัศจรรย์เกินกว่าจะเข้าใจได้แล้ว พื้นฐานที่สำคัญในการเลือกว่า จะทำอะไรกับเวลาที่มีจำกัดในฐานะมนุษย์ที่มีชีวิตอันจำกัด การตัดสินใจในแต่ละช่วงเวลากลายเป็นโอกาสในการได้เลือกอะไรสักอย่าง จากรายการความเป็นไปได้อันหลากหลาย เพราะที่จริงอาจจะไม่มีรายการเหล่านั้นให้เลือกตั้งแต่แรกก็ได้ การตัดสินใจเลือกหนึ่งอย่างจากรายการนั้น มีความหมายห่างไกลจากความพ่ายแพ้มาก มันกลายเป็นการยืนยัน เป็นการให้คำมั่นสัญญาในแง่ดีว่า จะใช้เวลาส่วนนี้ที่ได้รับมันมา ในการทำสิ่งนี้แทนที่จะเป็นสิ่งนั้น หรือจริง ๆ แล้วคือแทนที่จะเป็นสิ่งเหล่านั้น ซึ่งมีจำนวนไม่สิ้นสุด เพราะได้เลือกแล้วว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับปัจจุบัน
4
เป็นผู้ผัดวันประกันพรุ่งที่ดีกว่าเดิม
ความท้าทายหลักในการบริหารจัดการเวลาที่มีจำกัด ไม่ได้เกี่ยวกับการทำอย่างไรให้ทุกอย่างเสร็จได้ แต่เป็นการหาวิธีให้สามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดที่สุดว่า จะไม่ทำอะไร และทำอย่างไร ให้รู้สึกสบายใจ เมื่อไม่ได้ทำมัน การผัดวันประกันพรุ่งในแบบใดแบบหนึ่ง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเลี่ยงได้ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การกำจัดการผัดวันประกันพรุ่ง แต่เป็นการเลือกอย่างฉลาดขึ้นว่า สิ่งไหนที่ควรจะถูกเลื่อนออกไป เพื่อที่จะได้มุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่สำคัญที่สุด มาตรวัดความสำเร็จที่แท้จริงของเทคนิคการบริหารจัดการเวลาคือ การวัดว่ามันสามารถช่วยให้ละเลยในสิ่งที่สมควรละเลยได้หรือไม่ เทคนิคส่วนใหญ่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ พวกมันทำให้ทุกอย่างแย่ลง ผู้เชียวชาญด้านผลิตภาพส่วนใหญ่ ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอุปสรรคด้านเวลากับเรา โดยเสนอวิธีต่าง ๆ ที่จะทำให้เชื่อต่อไปว่า มันอาจเป็นไปได้ที่จะทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้น
บางทีอาจเคยได้ยินเรื่องเล่าเปรียบเทียบที่ชวนหงุดหงิดใจเกี่ยวกับหินในขวดโหล ปัญหาจริง ๆ ของการบริหารจัดการเวลาในทุกวันนี้ ไม่ได้เกิดเพราะไม่เก่งเรื่องการให้ความสำคัญกับหินก้อนใหญ่ แต่มันมีก้อนหินจำนวนมากเกินไปต่างหาก และส่วนใหญ่แล้วมันไม่มีวันได้เฉียดใกล้ขวดโหลนั้นด้วยซ้ำ ที่สำคัญไม่ได้อยู่ที่การแยกให้ออก ระหว่างกิจกรรมที่สำคัญกับไม่สำคัญ แต่จะทำอย่างไรเมื่อมีสิ่งที่ค่อนข้างสำคัญ ซึ่งอาจถือได้ว่ามีคุณสมบัติที่อาจจะเป็นหินก้อนใหญ่ได้อยู่เหมือนกัน ในปริมาณที่มากเกินไป หลักการที่สำคัญ 3 ประการดังต่อไปนี้
ศิลปะแห่งการละทิ้งอย่างสร้างสรรค์
หลักการข้อที่ 1 คือ เมื่อเป็นเรื่องของเวลาให้จ่ายให้ตัวเองก่อน ถ้ากันเงินบางส่วนออกมาตั้งแต่วันที่ได้เงินเดือน เพื่อนำไปไว้ในบัญชีออมทรัพย์ หรือนำไปลงทุน ก็จะแทบไม่รู้สึกเลยว่าเงินนั้นขาดไป แต่ถ้าเป็นเหมือนกับคนส่วนใหญ่คือ จ่ายให้ตัวเองเป็นสิ่งสุดท้าย มักจะพบว่ามันไม่มีเหลือหรอก ไม่ใช่เพราะว่าเสียเงินไปกับการทำตามใจตัวเอง จะต้องรู้สึกว่าการใช้จ่ายทุกอย่างนั้นจำเป็นและมีเหตุผลมาก จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะโน้มเอียงเข้าข้างการใช้จ่าย แล้วมารู้สึกแย่ทีหลังเมื่อไม่มีเงินเหลือพอที่จะเก็บแล้ว
หลักการที่ 2 คือ การจำกัดจำนวนชิ้นงานที่ทำอยู่ การริเริ่มทำโครงการจำนวนมากพร้อม ๆ กัน สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นก็คือ ไม่ได้ทำอะไรก้าวหน้าขึ้นมากเลยสักด้าน เพราะทุกครั้งที่โครงการหนึ่งเริ่มยาก หน้าหวาดหวั่น หรือน่าเบื่อ ก็จะผละจากมันไปทำอันอื่นแทนได้ แต่ก็ต้องแลกกับการไม่ทำอะไรสำคัญเสร็จสักอย่างเลย ดังนั้นทางเลือกอื่นคือ การจำกัดจำนวนสิ่งที่ยอมให้ตัวเองทำในช่วงเวลาที่กำหนด ทำให้ภารกิจแบบนั้นสำเร็จเป็นขั้น ๆ แทนที่จะพยายามทำทุกอย่าง มันง่ายกว่าที่จะยอมรับความจริงว่า คงทำได้แค่ 2-3 อย่างใน 1 วัน แต่ครั้งนี้มันต่างจากตรงที่ได้ทำมันจริง ๆ
หลักการที่ 3 คือ การอดกลั้นกับความยั่วยวนของสิ่งที่สำคัญในระดับปานกลาง ในโลกที่มีหินก้อนใหญ่อยู่มากเกินไป พวกมันคือสิ่งที่น่าสนใจประมาณ 1 มันคือโอกาสในการทำงานที่น่าสนใจประมาณหนึ่ง มิตรภาพที่สนุกใช้ได้ แต่มันอาจทำให้ชีวิตที่มีอยู่อย่างจำกัดชีวิตหนึ่ง เจอกับหายนะได้ พวกเราส่วนใหญ่ควรเรียนรู้ที่จะปฏิเสธให้เก่งขึ้น มันเป็นแค่เรื่องของการรวบรวมความกล้า ที่จะปฏิเสธงานที่น่าเบื่อมากมาย ที่ไม่ได้อยากทำมันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ต้องเรียนรู้ที่จะปฏิเสธสิ่งที่ต้องการจะทำ โดยตระหนักว่ามีเพียงแค่ชีวิตเดียวเท่านั้น
ความสมบูรณ์แบบและการเป็นอัมพาต
ถ้าการมีทักษะในการบริหารจัดการเวลา มีความหมายเท่ากับการเรียนรู้ที่จะผัดวันประกันพรุ่งให้ดี โดยเผชิญหน้ากับความจริงของการมีข้อจำกัด และตัดสินใจเลือกตามข้อจำกัดนั้น ผู้ผัดวันประกันพรุ่งที่ดีจะยอมรับความจริงว่า ไม่สามารถทำทุกอย่างให้สำเร็จลุล่วงได้ จึงพยายามตัดสินว่า ควรมุ่งเน้นภารกิจชิ้นไหน และอะไรที่ควรละทิ้งอย่างชาญฉลาดที่สุด ผู้ผัดวันประกันพรุ่งที่แย่ จะพบว่าตัวเองกลายเป็นอัมพาต เพียงเพราะเขาไม่อาจยอมรับความคิดเรื่องการเผชิญหน้ากับข้อจำกัดต่าง ๆ ของตนเอง การผัดวันประกันพรุ่ง เป็นกลยุทธ์การหลีกหนีทางอารมณ์ เป็นวิธีการทางที่จะไม่รู้สึกถึงความกดดันในจิตใจ ที่เกิดจากการยอมรับว่าเขาเป็นมนุษย์ที่มีข้อจำกัด ระดับของความขมขื่นในที่นี้อาจดูสุดโต่ง แต่หลัก ๆ แล้วแรงกดดันนั้นเป็นความรู้สึกเดียวกันกับทุกคน ที่เลือกไม่ได้ระหว่างงานกับครอบครัว ระหว่างงานประจำกับงานสร้างสรรค์ที่อยากทำ ระหว่างบ้านเกิดกับเมืองใหญ่ หรือระหว่างสิ่งอื่นใดที่ขัดแย้งกัน
ชีวิตจริงดูน่าผิดหวัง หากเทียบกับสิ่งที่จินตนาการไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ความคิดเกี่ยวกับอนาคต ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ไม่มีสิ้นสุด จึงให้ดอกผลที่ดีกว่าตัวอนาคตเอง และนี่เป็นสาเหตุว่า ทำไมจึงมองเห็นเสน่ห์ในความหวังมากกว่าการครอบครอง และในความฝันมากกว่าความเป็นจริง เป็นอีกครั้งที่สิ่งน่าท้อใจนี้ แท้จริงแล้วเป็นสิ่งที่ปลดปล่อยเรา เพราะถึงอย่างไรทุกทางเลือก ของการใช้ชีวิตในโลกความเป็นจริง ก็มาพร้อมกับการสูญเสียทางเลือก ในการใช้ชีวิตแบบอื่น ๆ นับไม่ถ้วน ไม่มีประโยชน์ที่จะผัดวันประกันพรุ่ง หรือต่อต้านการสร้างพันธะผูกพัน ด้วยความหวังแบบกระวนกระวายใจ ว่าอาจหลีกเลี่ยงความสูญเสียได้ ความสูญเสียคือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว
การลงหลักปักฐานที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
การหาคู่มันเกี่ยวกับการลงหลักปักฐาน ซึ่งเป็นความกลัวของคนยุคนี้ ที่ได้พบทุกหนทุกแห่ง กลัวว่ากำลังปลูกผูกมัดตนเองกับคนรัก ที่ไม่ได้ดีเหมือนในอุดมคติ หรือคนที่ไม่ควรค่ากับผู้ที่มีบุคลิกลักษณะที่ดีเลิศ ไม่มีทางเลือกจะต้องลงหลักปักฐาน ไม่คงเส้นคงวา ผู้คนคงจะเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าจะเริ่มสร้างสัมพันธ์ในขณะที่ยังสงสัยอยู่ลึก ๆ ว่าอาจจะหาใครที่ดีกว่าได้ กำลังทำผิดถ้าลงหลักปักฐาน เพราะกำลังเลือกที่จะใช้ส่วนหนึ่งของชีวิตไปกับคู่ครอง ที่ไม่เท่ากับในอุดมคติ
แต่นอกจากเวลาที่มีจำกัด การตัดสินใจเลือกปฏิเสธการลงหลักปักฐาน เพื่อใช้เวลาเป็น 10 ปี ในการตามหาคนที่สมบูรณ์แบบ ก็ถือเป็นการลงหลักปักฐานเหมือนกัน เพราะไม่ได้เลือกที่จะใช้เวลาที่มีอยู่จำกัดเป็น 10 ปี ไปกับสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ตามอุดมคติอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าไม่ลงหลักฐาน โผไปโผมา ระหว่างทุกทางเลือก จะไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องใดเลย เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะมีชีวิตรักที่เติมเต็มหัวใจอย่างแท้จริง เว้นเสียว่ายอมที่จะลงหลักปักฐาน กับความสัมพันธ์นั้น พร้อมกับความไม่สมบูรณ์แบบทั้งหมดของมัน อย่างน้อยก็สักระยะหนึ่ง
นั่นหมายถึงการเมินเฉยต่อความเย้ายวน ของทางเลือกอื่น ๆ จำนวนนับอนันต์ในจินตนาการ ไม่ใช่แค่คุณควรลงหลักปักฐานเท่านั้น ถ้าจะให้ดีควรจะลงหลักปักฐานได้แบบที่ยากเกินกว่าจะเปลี่ยนใจ เช่น การย้ายเข้าไปอยู่ด้วยกัน หรือแต่งงาน หรือมีลูกด้วยกัน ความย้อนแย้งอย่างยิ่งของการพยายามเลี่ยง ที่จะเผชิญหน้ากับความจำกัด
เมื่อคนเราตัดสินใจเลือกในที่สุด และเลือกโดยรู้ว่าแทบจะย้อนกลับไปเลือกใหม่ไม่ได้ พวกเขามักจะมีความสุขมากกว่า ความสุขของการพลาดบางสิ่งไป เป็นการรับรู้ว่าการสละทางเลือกอื่น ๆ ทำให้สิ่งที่พวกเขาเลือกนั้น มีความหมายขึ้นมา ซึ่งเป็นเหตุผลว่า ทำไมการทำสิ่งที่คุณกลัวหรือพยายามเลือกมาตลอด จึงทำให้เกิดความรู้สึกสงบใจได้อย่างคาดไม่ถึง เช่น การได้ยื่นลาออกจากที่ทำงาน การได้กลายเป็นพ่อแม่คน การได้จัดการกับประเด็นปัญหาครอบครัว เมื่อไม่สามารถหักหลังกลับไปได้อีกต่อไป ความกังวลที่จะหายไป เพราะตอนนี้มันมีแค่ทางเลือก ที่จะเดินทางต่อไปได้ หรือการก้าวไปข้างหน้าไปสู่ผลที่ตามมาจากสิ่งที่เลือกเอง
5
ปัญหาเรื่องแตงโม
วันศุกร์หนึ่งในเดือนเมษายนปี 2016 ขณะที่การแข่งขันชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีในปีนั้น กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ และมีความขัดแย้งระดับติดอาวุธกว่า 30 เรื่องที่กำลังระบุอยู่ทั่วโลก คนประมาณ 3 ล้านคนใช้เวลาส่วนหนึ่งของวัน ในการดูผู้สื่อข่าว 2 คนจากบัซซ์ฟีดใช้หนังยางหลายเส้นรัดแตงโมเวลา 43 นาทีแห่งการอดทนรอคอยอย่างทรมานผ่านไป แรงดันค่อย ๆ พุ่งขึ้นทั้งแรงกดดันทางจิตใจ และแรงดันทางกายภาพของแตงโม จนกระทั่งถึงนาทีที่ 44 เมื่อหนังยางเส้นที่ 686 รัดไปที่ผลแตงโม สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นคงไม่ทำให้ประหลาดใจ แตงโมแตกเละเทะ ผู้สื่อข่าวทั้งสองแปะมือกัน แล้วก็กินแตงโมกันนิดหน่อย การออกอากาศจบลง โลกยังหมุนรอบดวงอาทิตย์ต่อไป
เรื่องราวของแตงโมเป็นสิ่งที่เตือนให้รู้ว่า สมัยนี้เสียงรบกวนสมาธิแทบจะมีความหมายเดียวกับสิ่งรบกวนทางดิจิทัล หรือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออินเตอร์เน็ตเข้ามาเป็นอุปสรรคต่อความพยายามมีสมาธิ มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งรบกวนจากปัจจัยภายนอกเท่าใดนัก แต่ออกจะเป็นเรื่องของลักษณะนิสัยมากกว่า มันเป็นความล้มเหลวของจิตใจ ในการพยายามใช้เวลากับสิ่งที่ตนเองมองว่าสำคัญที่สุด สิ่งที่ให้ความสนใจจะเป็นตัวกำหนดความหมายของโลกความจริง การจดจ่อเป็นทรัพยากรดูจะเป็นความเข้าใจผิดเล็กน้อย เกี่ยวกับความสำคัญของมันที่มีต่อชีวิต ทรัพยากรอื่น ๆ ส่วนมากที่แต่ละคนพึ่งพา เช่น อาหาร เงิน ไฟฟ้า คือสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้แก่ชีวิต และในบางกรณีก็อาจอยู่ได้โดยไม่มีมัน อย่างน้อยก็ในระยะหนึ่ง
แต่ในทางตรงข้าม การจดจ่อคือชีวิต ประสบการณ์ในการมีชีวิต ประกอบขึ้นมาจากผลรวมของทุกสิ่งที่ใส่ใจจดจ่อล้วน ๆ ในบั้นปลายชีวิตเมื่อมองย้อนกลับไป อะไรก็ตามที่ดึงดูดความสนใจ จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่งก็คือ สิ่งที่กลายเป็นชีวิต ฉะนั้นเมื่อให้ความสนใจกับบางสิ่งที่ไม่ได้ให้ค่าเป็นพิเศษ กำลังจ่ายมันด้วยชีวิต มันจึงเป็นการเอาชีวิตไปลงทุนกับบางสิ่งที่มีความหมายน้อยกว่าทางเลือกอื่นที่มีอยู่ การที่สามารถทำอะไรก็ได้กับความสนใจไม่ใช่สิ่งที่น่าพึงปรารถนาเลย ถ้าแรงจากภายนอกไม่อาจดึงความสนใจได้เลย คงไม่สามารถเดินหลบรถเมล์ที่กำลังแล่นเข้ามา
นักประสาทวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า ล่างขึ้นบน หรือความสนใจโดยไม่ตั้งใจ จะประสบปัญหาในการเอาชีวิตรอดหากไม่มีมัน แต่ความสามารถที่จะมีอิทธิพลเหนือจากความสนใจอีกส่วนหนึ่งแบบ บนลงล่าง หรือความสนใจแบบตั้งใจ การจะสัมผัสประสบการณ์ที่มีความหมายใด ๆ ก็ตาม จะต้องสามารถจดจ่อกับมันได้อย่างน้อยก็สักนิดหนึ่ง ถ้าไม่ทำเช่นนั้นจะสัมผัสประสบการณ์นั้นได้จริง ๆ เป็นการให้ความสนใจคือจุดเริ่มต้นของความทุ่มเท ไม่สามารถอุทิศตัวให้กับการทำงาน หรือการทำการกุศล หรือแม้แต่ลิ้มรสความเพลิดเพลินของการเดินเล่นในสวนได้อย่างแท้จริง
เครื่องจักรที่มีไว้เพื่อใช้ชีวิตในทางที่ผิด
ความน่ากลัวของระบบเศรษฐกิจที่แย่งการดึงความสนใจจากผู้บริโภค (attention economy) มันคือเครื่องจักรขนาดมหึมา สำหรับโน้มน้าวให้ตัดสินใจผิด ๆ โดยมันจะทำให้สนใจสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้ต้องการจะใส่ใจ มีอำนาจควบคุมความสนใจของตนเอง น้อยเกินกว่าที่จะตัดสินใจไม่ยอมจำนน ต่อความเย้ายวนของมัน การทะเลาะเบาะแว้ง ข่าวเท็จ และการดูถูกกันในที่สาธารณะบนโซเชียลมีเดีย จึงไม่ใช่จุดบกพร่องในสายตาของเจ้าของแพลตฟอร์ม แต่เป็นส่วนสำคัญของโมเดลธุรกิจ อาจรู้ตัวอีกด้วยว่าทั้งหมดนี้ถูกทำออกมาด้วย
การออกแบบที่โน้มน้าวใจ(persuasive design) ซึ่งเป็นคำกว้าง ๆ ที่หมายถึงเทคนิคทางจิตวิทยามากมายหลากหลาย กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการทำซ้ำ ๆ หนึ่งในหลายร้อย ตัวอย่างคือการเลื่อนลงเพื่อรีเฟรชหน้าจอ ซึ่งทำให้คนไถลงไปได้เรื่อย ๆ โดยใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า รางวัลที่แปรผันได้ (variable rewards) เมื่อไม่สามารถคาดเดาได้ว่า การรีเฟรชหน้าจอนั้นจะพาโพสต์ใหม่ ๆ มาให้อ่านหรือไม่อีกครั้งต่อไปเรื่อย ๆ แบบเดียวกับที่ทำกับเครื่องสล็อตแมชีน
ทว่าสิ่งที่เห็นคุณค่าน้อยกว่าเรื่องเหล่านั้นมากก็คือ สิ่งรบกวนสมาธินั้นส่งผลลึกแค่ไหน มันสามารถบ่อนทำลายความพยายาม ที่จะใช้เวลาอันจำกัดในแบบที่ต้องการ ได้รุนแรงเพียงใด ก็คงให้อภัยตัวเองด้วยการทึกทักเอาว่า ความเสียหายในแง่ของการสิ้นเปลืองเวลาครั้งนั้น ได้ใช้ไปอย่างผิดพลาด แต่คิดผิดเพราะเศรษฐกิจที่เรียกร้องความสนใจจากผู้บริโภคนั้น ถูกออกแบบมาให้ ผู้คนมอบความสำคัญให้กับอะไรก็ตามที่น่าดึงดูดที่สุด มันบิดเบือนภาพของโลกที่มีอยู่ในหัวอยู่ตลอดเวลา อย่างเต็มระบบและมีอิทธิพลต่อความรู้สึกว่า อะไรคือสิ่งสำคัญวิจารณญาณที่บิดเบี้ยวเหล่านี้ จะส่งอิทธิพลต่อการแบ่งเวลาบนโลกออนไลน์ด้วย
ดังนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องของการที่โทรศัพท์มือถือ ทำให้ไม่มีสมาธิกับเรื่องอื่น ๆ ที่สำคัญกว่าแต่มันเปลี่ยนวิธีการที่นิยามสิ่งสำคัญตั้งแต่แรกเริ่ม โลกออนไลน์เริ่มแทรกซึมเข้ามาในโลกแห่งความเป็นจริง ถ้าเสพความโกรธเกรี้ยว และความทุกข์ระทมบนทวิตเตอร์ ที่มาพร้อมข่าวสาร และความคิดเห็นที่ถูกเลือกสรรมาให้ ก็เริ่มทำตัวราวกับว่ามันคือ บรรทัดฐานของชีวิตที่เหลือด้วย ถ้าเชื่อว่าไม่มีอะไรในนี้ที่เป็นปัญหา เชื่อว่าโซเชียลมีเดียไม่ได้เปลี่ยนให้มีตัวตนที่โกรธเกรี้ยวขึ้น เมตตาน้อยลง วิตกกังวลมากกว่าเดิม หรือเฉยชาไร้ความรู้สึก อาจเป็นเพราะมันทำเช่นนั้นสำเร็จไปแล้ว
เวลาที่มีวันหมดถูกเอาไปใช้แล้วโดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่า มีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง ควรจะซื่อสัตย์ต่อตัวเองว่า ส่วนมากแล้วยอมแพ้ให้การเสียสมาธิด้วยความเต็มใจ บางอย่างในตัวต้องการให้เสียสมาธิ นี่ถือเป็นอุปสรรคที่เจ้าเล่ห์ที่สุด ที่ต้องเผชิญเมื่อพยายามใช้เวลาที่มีอย่างจำกัดให้ดี ถึงเวลาแล้วที่ต้องมองมันอย่างจริงจัง
6
ผู้รบกวนที่ใกล้ชิด
ความทุกข์ทรมานทางกาย ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของคนส่วนมากก็คือ พยายามไม่สนใจมัน พยายามเอาใจไปไว้ที่อื่น นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ไร้เหตุผล ในเมื่อการจดจ่ออยู่กับประสบการณ์ในปัจจุบันมันไม่น่าพิศมัยเอาเสียเลย สามัญสำนึกก็จะแนะนำว่า การเอาตัวเองออกจากสถานการณ์ตรงนั้นทางความคิด จะบรรเทาความเจ็บปวดได้ ความรู้สึกที่รับได้ลำบากนั้น ยากเกินจะเพิกเฉย จนต้องใช้ความพยายามอย่างมาก อาจจะมุ่งความสนใจไปที่อื่น และมันก็เป็นความจริงเช่นกัน เมื่อพูดถึงเรื่องการวอกแวกในแต่ละวัน แต่มาในรูปแบบที่แนบเนียนกว่า ความสนใจถูกลากออกไปโดยที่ไม่ยินยอม ในความเป็นจริงกระหายอย่างมากที่จะมีข้ออ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับการหันหลังให้กับอะไรก็ตามที่ทำอยู่ เพื่อที่จะหลีกหนีจากความรู้สึกไม่พอใจกับงานที่ต้องทำ แมรี่ โอลิเวอร์ เรียกแรงกระตุ้นจากภายในที่มีต่อสิ่งที่ทำให้เสียสมาธิว่า ผู้รบกวนที่ใกล้ชิด หรือ ตัวตนภายในตัวตน
ความน่าอึดอัดของเรื่องสำคัญ
มันคุ้มค่าที่จะหยุดสักนิดเพื่อสังเกตว่า เรื่องนี้มันประหลาดมากแค่ไหนทำไมถึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ที่จะจดจ่ออยู่กับเรื่องสำคัญ เรื่องที่อยากจะทำกับชีวิตถึงขนาดที่ยอมหลีกหนีไปหาสิ่งที่ทำให้ไขว้เขว หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ เรื่องที่ไม่อยากทำกับชีวิต งานบางอย่างอาจน่ากลัว หรือไม่น่าพิสมัยจนไม่น่าแปลกเลือกที่จะเลี่ยง แต่ปัญหาที่พบได้บ่อยคือ เรื่องของความเบื่อ สาเหตุว่าทำไมความเบื่อหน่าย สามารถทำให้รู้สึกเลวร้ายได้ อย่างรุนแรงจนน่าประหลาดใจ มีอำนาจควบคุมอย่างจำกัด
ความเบื่อหน่ายสามารถเกิดขึ้นได้ ในบริบทที่แตกต่างกัน ตอนที่กำลังทำงานอยู่ในโครงการสำคัญ ตอนที่คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรในบ่ายวันอาทิตย์ มันทำให้ต้องเผชิญหน้ากับความจำกัดของตนเอง มีหน้าที่ต้องรับมือกับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น และยอมจำนนต่อความเป็นจริงที่ว่ามันก็เท่านี้แหละ ทำไมกลยุทธ์เพื่อการเอาชนะสิ่งรบกวนสมาธิ ที่แนะนำกันโดยทั่วไปแทบไม่เคยได้ผล หรืออย่างน้อยก็ทำได้ไม่นาน กลยุทธ์เหล่านี้จำกัดการเข้าถึงสิ่งที่จะทำให้เสียสมาธิ และสำหรับกรณีที่เป็นเทคโนโลยีที่เสพติดง่ายที่สุด แน่นอนว่านั่นเป็นความคิดที่สมเหตุสมผล แต่มันไม่ได้จัดการกับตัวความอยากนั้น ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ สิ่งที่คิดว่าเป็นสิ่งรบกวนสมาธิ ไม่ได้เป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดที่ทำให้เสียสมาธิ พวกมันเป็นแค่ที่ที่ไปเพื่อหาการผ่อนคลายจากความอึดอัด เมื่อเผชิญหน้ากับข้อจำกัด
วิธีการที่ได้ผลที่สุดที่จะลดทอนพลังของสิ่งรบกวนสมาธิก็คือ เลิกคาดหวังว่าสิ่งต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปเป็นแบบอื่น ยอมรับว่าความรู้สึกอึดอัดนี้ เป็นเพียงความรู้สึกธรรมดาของมนุษย์ที่มีความจำกัด ถึงกระนั้นยังมีความรู้สึกหนึ่งที่บอกว่าการยอมรับว่า มันไม่มีทางออกนี่แหละคือทางออก วิธีการที่จะค้นพบความสงบทางใจในการทำโครงการยาก ๆ หรือในบ่ายวันอาทิตย์ที่น่าเบื่อ ไม่ใช่การไล่ตามหาความรู้สึกสงบ หรือการหมกมุ่นสนใจกับอย่างอื่น แต่เป็นการตระหนักรู้ถึงความอึดอัดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และหันเหความสนใจไปสู่ความเป็นจริง ของสถานการณ์ในปัจจุบันให้มากขึ้น แทนที่จะเอาแต่ก่นด่ามัน
ส่วนที่ 2 เหนือการควบคุม
7
เราไม่เคยมีเวลาจริงๆหรอก
แม้จะรู้แล้วว่าโครงการที่ได้รับมานั้น มีแนวโน้มที่จะล่าช้ากว่ากำหนด และก็ปรับตารางตามนั้นไปแล้ว มันก็ยังจะเลยวันกำหนดใหม่ที่ตั้งไว้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้คำแนะนำพื้นฐานในการวางแผนที่บอกว่า การให้เวลาตัวเองเป็น 2 เท่าของเวลาที่คิดว่าต้องใช้ อาจทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลงกว่าเดิม ราวกับว่าความพยายามที่จะเป็นนักวางแผนที่ดี ไม่เพียงแต่ล้มเหลว แต่ยิ่งทำให้สิ่งต่าง ๆ ใช้เวลานานมากกว่าเดิมอีก ปัญหาของการทุ่มเทจิตใจให้กับการวางแผนอนาคตมากเกินไปก็คือ แม้บางครั้งมันจะสามารถป้องกันหายนะได้ แต่ส่วนใหญ่มันมักจะทำให้เกิดความวิตกกังวลหนักขึ้นแทนที่จะบรรเทาลง
โดยพื้นฐานแล้วนักวางแผนผู้หมกมุ่น จะเรียกร้องความเชื่อมั่นบางอย่างจากอนาคต แต่อนาคตไม่ใช่สิ่งที่สามารถให้ความเชื่อมั่นที่หิวกระหายได้ ไม่ว่าจะวางแผนล่วงหน้ามากแค่ไหน ไม่มีวันที่จะได้ผ่อนคลาย ท่ามกลางความแน่นอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่อยากให้เป็น สิ่งที่สำคัญคือควรมองให้เห็นว่า ความปรารถนาในส่วนลึกที่จะเปลี่ยนอนาคต ให้เป็นสิ่งที่วางใจได้ ไม่ได้เกิดแค่กับผู้คนที่หมกมุ่นกับการวางแผนเท่านั้น มันมีอยู่ในทุกคนที่มีความวิตกกังวล ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่การกระเสือกกระสนที่จะมีอำนาจควบคุมอนาคตนั้น เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการปฏิเสธ ไม่ยอมรับรู้ถึงข้อจำกัดที่มีในเรื่องของเวลา เพราะมันเป็นการต่อสู้ที่เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า ผู้วิตกกังวลไม่มีทางชนะ ไม่มีวันที่จะได้ความแน่นอนจากอนาคตอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไขว่คว้าก็จะไกลเกินเอื้อเสมอ
อะไรก็เกิดขึ้นได้
เมื่อบอกว่ามีเวลาความหมายจริง ๆ ที่ต้องการจะสื่อคือคาดหวังว่าจะมี นึกว่าน่าจะมีเวลา 3 ชั่วโมงหรือ 3 วันในการทำอะไรสักอย่าง มีปัจจัยมากมายที่อาจทำให้ความคาดหวังไม่เป็นจริง มันขโมยเวลา 3 ชั่วโมงที่คิดว่ามี เพื่อที่จะทำโปรเจคสำคัญให้เสร็จ เจ้านายสามารถแทรกภารกิจด่วนเข้ามา รถไฟฟ้าใต้ดินอาจจะเสีย จะรู้สึกมั่นคงเกี่ยวกับอนาคตได้ ก็ต่อเมื่อมันกลายมาเป็นอดีตแล้วเท่านั้น ความพยายามที่จะมีอิทธิพลต่ออนาคตไม่ได้เป็นปัญหา ปัญหาซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความวิตกกังวลทั้งปวงคือ ต้องการจะมั่นใจว่าความพยายามทั้งหลายนั้น จะนำไปสู่ความสำเร็จจากมุมมองที่เห็นในปัจจุบัน สิ่งใดก็ตามที่เห็นว่ามีค่าที่สุดในชีวิต สามารถสืบย้อนกลับไปได้ว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หลายอย่างรวมกันแบบที่ไม่อาจวางแผนล่วงหน้าได้ และแน่นอนว่าไม่สามารถย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงมันได้ ไม่จำเป็นต้องปรารถนาการควบคุม เมื่อเห็นแล้วว่าสิ่งสำคัญในชีวิต เกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่ไม่ได้เลือก
ยุ่งเรื่องของตัวเองไปเถอะ
ความจริงทั้งหลายเกี่ยวกับการที่ควบคุมอดีตไม่ได้ และการไม่สามารถล่วงรู้อนาคตคือคำอธิบายว่า ทำไมวิถีปฏิบัติทางจิตวิญญาณหลายสำนัก ดูจะมาบรรจบอยู่ที่คำแนะนำเดียวกันนั่นคือ ความมุ่งมั่นกับการจดจ่อความสนใจไปที่เวลาเพียงส่วนเดียว ที่เป็นธุระจริง ๆ ที่นี่ในปัจจุบันขณะ ไม่ต้องจำใจยอมรับความทุกข์หรือความอยุติธรรม ว่าเป็นส่วนหนึ่งในความเป็นไปของสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่แค่ให้อยู่ในขอบเขตที่ว่า สามารถหยุดเรียกร้องความแน่นอนว่า สิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปตามที่ต้องการในเวลาต่อมา จะเป็นอิสระจากความวิตกกังวล ในขณะเวลาเดียวกันที่มีอยู่จริง ซึ่งก็คือขณะนี้นั่นเอง ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่การวางแผน แต่เป็นการที่มองแผนการต่าง ๆ เป็นสิ่งที่มันไม่ได้เป็นสิ่งที่หลงลืม หรือไม่อาจทนเผชิญหน้ากับมันได้ นั่นก็คือแผนการก็เป็นแค่เพียงความคิด เพื่อที่จะนำมันมาอยู่ใต้การควบคุม แต่สิ่งเดียวที่แผนการเป็นและจะสามารถเป็นได้ก็คือ คำประกาศเจตนารมณ์ในช่วงเวลาปัจจุบัน
8
อยู่ตรงนี้
การปฏิบัติต่อเวลาราวกับเป็นเจ้าของ และสามารถควบคุมมันได้ ดูจะทำให้ชีวิตแย่ลงคือ ในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่จะหมกมุ่นกับการใช้มันให้ดี ซึ่งทำให้คนพบความจริงที่น่าเศร้าคือ ยิ่งจดจ่อกับการใช้เวลาให้ดีแต่ละวัน จะเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นบางอย่างที่ต้องทำให้มันผ่านไป เพื่อไปสู่จุดที่สงบกว่า ดีกว่า และเต็มอิ่มกว่าในอนาคตซึ่งไม่มีวันมาถึง ปัญหาอยู่ที่การนำมันมาใช้เป็นเครื่องมือตามคำนิยาม การใช้เวลาคือ การปฏิบัติต่อมันเหมือนเป็นเครื่องมือ เอาไว้ใช้เพื่อบรรลุจุดประสงค์ที่ต้องการใช้เวลา เป็นเครื่องมือเพื่อที่จะโฟกัสไปยังจุดที่ต้องการไปถึงเท่านั้น
ทัศนคติที่มุ่งความสนใจไปที่อนาคตเช่นนี้ มักอยู่ในรูปของสิ่งที่ผู้คนเรียกว่า คิดแบบ ในที่สุด-เมื่อ-ฉัน อย่างเช่น ในที่สุดเมื่อฉันสามารถควบคุมปริมาณงาน / ทำให้ผู้สมัครของฉันชนะการเลือกตั้ง / เจอคนที่ใช่ / สะสางปัญหาด้านจิตใจได้ หลังจากนั้นฉันจะสามารถผ่อนคลายได้ และชีวิตแบบที่ฉันคู่ควรจะได้เริ่มขึ้นเสียที การที่ต้องพยายามที่จะบรรลุถึงความรู้สึกปลอดภัยนั้นหมายความว่า จะไม่มีวันรู้สึกเต็มอิ่มได้เลย เพราะกำลังทำราวกับว่า ปัจจุบันเป็นเพียงทางเดินไปสู่สถานะที่เหนือกว่าในอนาคต แน่นอนว่าบริบทก็มีส่วนสำคัญ มีสถานการณ์มากมายที่เข้าใจได้ว่า ทำไมผู้คนถึงตั้งอกตั้งใจที่จะมีอนาคตที่ดีกว่าเดิม ไม่มีใครตำหนิพนักงานทำความสะอาดห้องน้ำสาธารณะรายได้น้อย ที่คอยให้แต่ละวันสิ้นสุดลง หรือรอคอยอนาคตที่เขาจะได้งานที่ดีกว่านี้ ในขณะนั้นก็เป็นธรรมดาที่โดยหลัก ๆ แล้วเขาจะใช้ชั่วโมงการทำงานของตน เป็นเครื่องมือเพื่อให้ได้มาซึ่งเช็คเงินเดือน
หายนะแห่งเหตุ
การทำให้วันแต่ละวันนั้นคาดเดาได้ง่ายขึ้น สามารถสอดประสานเข้ากับจังหวะชีวิตได้อย่างไร้รอยต่อ วัน ๆ หนึ่งหมดไปกับการทุ่มเทเพื่อผลลัพธ์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นผลสอบ หน้าที่การงาน นิสัยการออกกำลังกาย รายการนั้นยาวไปอีกเรื่อย ๆ เพื่อรับใช้ช่วงเวลาหนึ่ง ที่คิดว่าชีวิตจะดำเนินไปอย่างราบรื่นในที่สุด การคิดว่าสิ่งนี้แสดงว่ามีพัฒนาการตามช่วงวัยหรือไม่ หรือควรจะทำอะไรเพื่อให้แน่ใจว่า จะมีพัฒนาการเช่นนั้นแล้วว่า การติดอยู่กับการใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพหมายถึง การใช้ลูกชายของตัวเองซึ่งคือมนุษย์อีกคนหนึ่ง เป็นเครื่องมือบรรเทาความวิตกกังวล ปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นเครื่องมือ นำพาไปสู่ความรู้สึกปลอดภัย และความสงบใจในอนาคต ที่มีอยู่แค่ในสมมุติฐาน นักเขียนอดัม กอปนิก เรียกกับดักนี้ว่า หายนะแห่งเหตุ (causal catastrophe) ซึ่งเขาให้คำจำกัดความว่า เป็นความเชื่อว่าหลักฐานที่จะพิสูจน์ความถูกต้อง หรือความผิดพลาดในวิธีการที่ใช้เลี้ยงดูเด็ก คือการดูว่าพวกเขาโตมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน
ครั้งสุดท้าย
คนเป็นพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก ๆ เท่านั้น แน่นอนว่าเด็กแรกเกิด มีพัฒนาการรวดเร็ว จึงยากหากจะเมินเฉยข้อเท็จจริงที่ว่า ชีวิตเป็นประสบการณ์ชั่วคราวที่เรียงร้อยต่อเนื่องกันไป และมีค่าในตัวของมันเอง จะพลาดมันถ้ามัวแต่เพ่งความสนใจทั้งหมด ไปอย่างจุดหมายปลายทางที่หวังว่า มันจะนำไปถึงที่สามารถใช้ได้กับทุกอย่างซึ่งหมายถึงชีวิต เนื่องจากมันมีวันสิ้นสุด จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีกิจกรรมต่าง ๆ มากมายเต็มไปหมด ที่อาจกำลังทำมันเป็นครั้งสุดท้าย ยอมรับกันตามจริง มันไม่ใช่ความผิดไปเสียทั้งหมด ที่จัดการกับเวลาที่มีวันหมด โดยมุ่งมั่นที่จะใช้มันเป็นเครื่องมือ และพุ่งความสนใจไปที่อนาคตมากจนเกินไป แรงกดดันจากภายนอกอันรุนแรง ก็ผลักดันให้ไปในทางนั้นเช่นกัน เพราะมีตัวตนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ที่มองผลประโยชน์มาก่อนจนถึงแก่น ที่จริงแล้ววิธีหนึ่งที่จะเข้าใจทุนนิยมก็คือ มองว่ามันเป็นเครื่องจักรขนาดมหึมา ที่ใช้สำหรับหาประโยชน์จากทุกสิ่งทุกอย่างที่มันพบเจอ ไม่ว่าจะทรัพยากรของโลก เวลา และเพื่อกำไรในอนาคต ชีวิตนั้นเป็นเพียงช่วงเวลาปัจจุบัน ที่เรียงร้อยต่อกัน สู่จุดสุดท้ายคือความตาย
ไม่อยู่กับปัจจุบัน
การพยายามที่จะใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ การหาความหมายให้กับชีวิตในตอนนี้ ก็มีความท้าทายในตัวมันเองเช่นกัน ปัญหาคือความพยายามที่จะอยู่กับสิ่งตรงหน้า ในช่วงเวลานั้น แม้ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับทัศนคติ ที่มองว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นเครื่องมือสู่ความสำเร็จนั้น เป็นชุดความคิดที่โฟกัสไปที่อนาคต แต่แท้จริงแล้วทั้งสองมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การหมกมุ่นกับการพยายามใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด ซึ่งในกรณีนี้ไม่ใช่เพื่อผลลัพธ์ในภายภาคหน้า แต่เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับประสบการณ์ชีวิตในขณะนี้ จนมันบดบังตัวประสบการณ์เสียเอง แต่ที่จริงความพยายามที่จะอยู่ที่นี่ ตอนนี้ ไม่ได้ทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากเท่าที่ควร แต่กลับรู้สึกว่าต้องใช้พลังอย่างมหาศาล และกลายเป็นว่าการพยายามที่จะสัมผัสประสบการณ์ ในปัจจุบันอย่างเข้มข้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คือวิธีที่จะล้มเหลวอย่างแน่นอน เมื่อพยายามมากเกินไปที่จะอยู่กับปัจจุบันให้มากขึ้น เป็นความอึดอัดใจที่เกิดจากความพยายามจะยกตนให้สูงขึ้น ด้วยวิธีที่เป็นไปไม่ได้ เพื่อพยายามแก้ไขความสัมพันธ์กับช่วงเวลาปัจจุบัน ทั้งที่ในความเป็นจริง ช่วงเวลานี้ก็คือทุกสิ่งที่เป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
9
ค้นพบการพักผ่อนอีกครั้ง
คณะผู้จัดแคมเปญ take back your time ในหอบรรยายบรรยากาศน่าอึดอัดของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในซีแอตเติล ที่ซึ่งพวกเขารวมตัวกัน เพื่อสืบต่อพันธกิจที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำจัดการแพร่ระบาดของการทำงานมากเกินไป การรวมตัวซึ่งเป็นงานประชุมประจำปีนั้น มีผู้คนมาค่อนข้างบางตา ผู้จัดงานยอมรับว่าคนจำนวนมากไปพักร้อน กลุ่ม take back your time สนับสนุนสิ่งที่สมัยนี้ถือว่าเป็นสารที่บ่อนทำลายระบบ การเรียกร้องให้มีวันหยุดมากขึ้น หรือชั่วโมงการทำงานที่ลดลง ไม่ใช่เรื่องแปลก ข้อเสนอแบบนั้นเริ่มเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่แทบทุกครั้ง มักจะได้รับการสนับสนุนด้วยเหตุผลที่ว่า คนงานที่พักผ่อนเพียงพอ จะเป็นคนงานที่มีผลิตภาพมากขึ้น
มีกลุ่มแคมเปญที่เป็นคู่แข่งกับโครงการชื่อว่า project time off กลุ่มนี้ต่างจาก take back your time ตรงที่ได้สปอนเซอร์จากบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย และมีการประชุมที่มียอดผู้เข้าร่วมสูงกว่า ไม่น่าแปลกใจที่ได้รู้ว่าพันธกิจของพวกเขาคือ การรณรงค์เพื่อประโยชน์ด้านชีวิตส่วนตัว ธุรกิจ สังคม และเศรษฐกิจของการพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้พวกเขายังได้รับการสนับสนุนจากสมาคมการท่องเที่ยวแห่งสหรัฐอเมริกา ซึ่งให้เหตุผลของตนว่า คนจะได้ไปเที่ยวมากขึ้น
การเสื่อมถอยของความเพลิดเพลิน
การใช้เวลาว่างเพื่อจะได้ว่าง ซึ่งอาจเคยสันนิษฐานว่า มันคือเหตุผลหลักของการใช้เวลาว่าง กับกลายเป็นเหตุผลที่ดูจะไม่เพียงพอเสียแล้ว ถ้าหากไม่ได้ทำเหมือนกับว่า ชีวิตเป็นการลงทุนเพื่ออนาคต จะเริ่มรู้สึกราวกับว่ากำลังล้มเหลวในชีวิต ควรจะคิดถึงเวลาพักผ่อน ในฐานะโอกาสในการพัฒนาตนเอง ให้เป็นพนักงานที่ดีขึ้น การหาความชอบธรรมให้กับการพักผ่อน โดยอ้างแค่ประโยชน์ที่มันจะมีต่อสิ่งอื่น ก็คือมันจะเริ่มคล้ายกับกิจธุระที่น่าเบื่อ หรือในความหมายที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกแย่สุด ๆ ก็คือมันเหมือนกับการทำงานนั่นเอง อาริสโตเติลให้เหตุผลว่า การพักผ่อนที่แท้จริง ถือเป็นหนึ่งในคุณงามความดีสูงสุด เพราะมันมีค่าในตัวมันเองมากพอให้เลือก ในขณะที่คุณงามความดีอื่น ๆ อย่างความกล้าหาญในสงคราม หรือพฤติกรรมอันดีงามของรัฐบาล ถือเป็นคุณธรรมที่ดี เพราะมันนำไปสู่สิ่งอื่น
การพักผ่อนหย่อนใจนั้นเป็นจุดศูนย์ถ่วงของชีวิต เป็นสภาวะพื้นฐานที่บางครั้ง ก็ต้องโดนการทำงานเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ งานในโรงงานไม่ได้มีคุณค่าเพียงพอ ที่จะเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ ทำมันเพื่อเงิน ทำให้ตอนนี้ตลอดชีวิตทั้งหมด ทั้งเวลาทำงานและเวลาพักผ่อน ล้วนถูกตีค่าตามสิ่งที่อยู่ในอนาคต มากกว่าตัวของมันเอง ความจริงก็คือ การใช้เวลาว่างอย่างน้อย เพียงบางส่วนอย่างสิ้นเปลือง โดยมุ่งความสนใจไปที่ความสุข ที่เกิดจากการสัมผัสประสบการณ์เท่านั้น คือหนทางเดียวที่จะทำให้มันไม่เสียเปล่า มันคือการมีเวลาว่างที่แท้จริง แทนที่จะแอบแฝงการพัฒนาตัวเอง แบบมุ่งเน้นอนาคตไปด้วย การจะใช้ชีวิตเดียวที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ จะต้องละเว้นจากการใช้ทุกชั่วโมงที่ว่าง เพื่อพัฒนาตัวเองจากมุมมองนี้ การอยู่เฉย ๆ ไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่อนุโลมให้ทำได้ แต่มันเกือบจะเป็นหน้าที่ ที่ต้องทำเลยทีเดียว
รูปคลั่งไคล้ผลิตภาพ
ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับความจริง เกี่ยวกับการพักผ่อนที่แทบไม่มีใครยอมรับ ความจริงนั้นก็คือ ไม่ได้เป็นแค่เหยื่อของระบบเศรษฐกิจ ที่ทำให้ไม่มีโอกาสได้พัก แต่กำลังกลายเป็นคนที่ไม่ต้องการพักมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นคนที่รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ที่จะหยุดกลางคัน ขณะพยายามทำบางสิ่งให้เสร็จ และกระสับกระส่าย เมื่อรู้สึกว่าไม่มีผลิตภาพเพียงพอ จิตแพทย์ด้านสังคมเรียกอาการที่ไม่สามารถพักได้ว่า การหลีกเลี่ยงการอยู่เฉย การอยู่นิ่งเฉยจึงเป็นประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลมากเป็นพิเศษ และควรหลีกเลี่ยงในทุกกรณี ไม่ใช่เพียงเพราะมันเป็นความชั่วร้ายที่อาจนำไปสู่นรก ถ้าปล่อยตัวปล่อยใจกับมันเกินไป แต่มันอาจเป็นหลักฐาน ที่สะท้อนความจริงอันแสนน่ากลัวว่า ถูกกำหนดมาให้ตกนรกอยู่แล้ว
การพักผ่อนเป็นการพักจริง ๆ หรือการมีความสุขกับช่วงเวลาขี้เกียจ เพื่อตัวมันเอง ต้องเริ่มจากการยอมรับในข้อเท็จจริงที่ว่า มันก็เท่านั้นล่ะ วันแต่ละวัน ไม่ได้กำลังพัฒนาไปสู่อนาคต ที่มีความสุขสมบูรณ์แบบถาวร การรับมือกับมันด้วยสมมติฐานเช่นนั้น ทำให้คุณค่าของ 4,000 สัปดาห์ถูกเททิ้งไปอย่างเป็นระบบ เป็นผลรวมของทุกช่วงเวลาในชีวิต
กฎเกณฑ์สำหรับการพักผ่อน
ข้อเท็จจริงสำคัญของการพักผ่อนคือ มันไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อหยุดพักจากการทำงาน ต้องมีวิธีการที่จะทำให้การพักผ่อนเกิดขึ้นได้จริง ๆ ด้วย การปรับเปลี่ยนที่จำเป็นในด้านจิตใจ ก็ไม่เคยทำได้ยากเย็นเท่ากับทุกวันนี้มาก่อน มันคือการหยุดทำงานเป็นเวลานานพอ ที่จะสัมผัสประสบการณ์ที่สอดคล้องกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเข้มข้นขึ้นกับเวลาที่มาพร้อมกับการมีชีวิตของการเป็นผู้รับ มันคือความรู้สึกของการก้าวออกจากหน้าปัดนาฬิกา มาอยู่ในห้วงเวลาลึก แทนที่จะดิ้นรนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อที่จะเป็นนายมัน แรงกดดันทางสังคมเคยเป็นสิ่งที่ทำให้ การหยุดพักจากการทำงานเป็นเรื่องค่อนข้างง่าย สิ่งสำคัญอีกอย่างที่สามารถทำได้เอง เพื่อเข้าสู่การพักผ่อนอย่างแท้จริง ก็คือแค่อยู่คาดหวังว่า มันจะรู้สึกดี อย่างน้อยก็ในตอนแรก ไม่มีอะไรที่แปลกประหลาด สำหรับยุคปัจจุบันมากกว่าการอยู่เฉย ๆ อีกแล้ว
การปีนเขาที่เป็นจุดหมายในตัวมันเอง
เมื่อออกเดินทางด้วยเท้าเข้าไปในพื้นที่สูง ซึ่งเป็นทุ่งโล่งทางตอนเหนือของยอร์กเซียร์เดลส์ภูมิประเทศนี้งดงามมาก ผ่านน้ำตกที่มีชื่อชั่วร้ายได้ใจว่า น้ำตกธารนรก (Hell Gill Force) ไปสู่ทุ่งหญ้าเปิด แน่นอนว่ามันก็แค่การเดินไปตามพื้นที่ชนบท ซึ่งน่าจะเป็นกิจกรรมยามว่างที่แสนจะธรรมดาเป็นที่สุด แต่ในฐานะที่มันเป็นสิ่งที่เลือกใช้เวลาด้วย มันมีคุณสมบัติอันทรงคุณค่าอยู่ 1 หรือ 2 ประการ
ประการแรก มันต่างจากแทบทุกอย่างที่เคยทำมาในชีวิต คือมันไม่ต้องมีการถามว่าทำได้ดีไหม สิ่งเดียวที่ทำก็คือการเดิน การเดินในพื้นที่ธรรมชาติ ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรในแง่ของผลลัพธ์ ที่พยายามจะพิชิต หรือสถานที่ศักดิ์แห่งที่ต้องการไป สิ่งที่นักปรัชญา คีแรน เซติยา เรียกว่า กิจกรรมที่ไม่มีการทำให้เสร็จ (atelic activity) หมายความว่าคุณค่าของมันไม่ได้มาจากจุดประสงค์ หรือเป้าหมายสุดท้าย ไม่ควรที่จะตั้งเป้าว่าต้องเดินให้เสร็จ และคงยากที่จะไปถึงจุดหนึ่งในชีวิต ที่สามารถพิชิตการเดินทั้งหมดที่ตั้งเป้าหมายไว้ สามารถเลิกทำสิ่งเหล่านี้ และสุดท้ายแล้วก็จะเลิกจริง ๆ แต่ไม่สามารถทำมันให้เสร็จสมบูรณ์ได้
วิธีแก้ปัญหาบางส่วน สำหรับชีวิตที่ใช้เวลาเป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมายมากเกินไป อาจจะหากิจกรรมในชีวิตประจำวัน ที่ทำเพียงเพราะแค่อยากทำให้มากขึ้น หรืออีกนัยหนึ่ง ใช้เวลาว่างกับกิจกรรมที่ต้องการเพียงสิ่งเดียวจากมัน นั่นคือต้องการที่จะทำมันแค่นั้นเอง
10
วังบนของความใจร้อน
การบีบแตรเพื่อสื่อสารว่าไปเร็ว ๆ หน่อยแต่คนขับทุกคนก็ยังติดแหงกอยู่ด้วยกัน พร้อมกับความต้องการที่จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเหมือนกัน และก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน ไม่มีคนบีบแตรที่สติดีคนไหน จะเชื่อว่าเสียงแตรของเขาสามารถสร้างความแตกต่าง หรือทำให้ทุกสิ่งเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ การบีบแตรที่ไร้ประโยชน์จึงเป็นอาการอีกรูปแบบหนึ่ง ของการที่ไม่ยอมรับรู้ถึงข้อจำกัด ในเรื่องเวลา มันคือการคำรามด้วยความโกรธ เนื่องจากคนบีบแตรไม่สามารถบงการให้โลกรอบ ๆ ตัว เคลื่อนไปได้อย่างรวดเร็วตามที่ต้องการ ปรากฏการณ์ของการบีบแตรอย่างไร้ประโยชน์ และความใจร้อนโดยทั่วไปนั้น สื่อว่าคนส่วนใหญ่เป็นคนที่ค่อนข้างแย่ มักรู้สึกว่ามีสิทธิ์ที่จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ขึ้นไปในความเร็วระดับที่ต้องการ และผลของมันคือทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ การทำงานแบบรีบเร่งจนเกินไป หมายความว่าจะทำผิดพลาดมากขึ้น
หนีจากความเร็ว
แม้ว่ายากที่จะพิสูจน์ได้ในทางวิทยาศาสตร์ แต่ดูเหมือนว่าคนจะใจร้อนขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ขีดความอดทนที่ลดลงเรื่อย ๆ สะท้อนอยู่ในสถิติของทุกสิ่ง ตั้งแต่ความเกรี้ยวกราดบนท้องถนน ความยาวของประโยคเด็ดที่ตัดมาจากการสัมภาษณ์นักการเมือง ไปจนถึงจำนวนวินาทีที่ผู้ใช้เว็บ โดยเฉลี่ยยินดีจะรอในหน้าที่โหลดช้า นับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของยุคสมัยใหม่แห่งการเร่งความเร็ว ผู้คนไม่ได้พึงพอใจกับเวลาทั้งหมดประหยัดไปได้ แต่พวกเขากลับหงุดหงิดยิ่งขึ้น จากการที่ไม่สามารถทำให้มันเร็วยิ่งไปกว่านั้นได้ เป็นปริศนาอีกข้อที่จะกระจ่างมากขึ้น เมื่อเข้าใจว่ามันเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อต้าน ข้อจำกัดของมนุษย์ในตัว เหตุผลที่การพัฒนาเทคโนโลยียิ่งทำให้ความรู้สึกร้อนใจรุนแรงขึ้น เพราะความก้าวหน้าใหม่ ๆ แต่ละ อย่างเหมือนจะพาให้เข้าใกล้สุดที่ทำให้ก้าวข้ามขีดจำกัดไป ได้มันคล้ายกับจะให้คำมั่นว่า ในครั้งนี้ จะสามารถทำให้สิ่งต่าง ๆ เร็วพอ ที่จะรู้สึกว่าข้อความสามารถควบคุมเวลาได้โดยสิ้นเชิง
ต้องหยุดแต่หยุดไม่ได้
วงจรอุบาทว์ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการเสพติดในเชิงจิตวิทยา รู้ว่าต้องหยุดแต่ก็หยุดไม่ได้ เพราะเจ้าสิ่งที่กำลังทำร้ายอยู่ ได้ทำให้รู้สึกราวกับมันเป็นหนทางเดียว ที่จะควบคุมอารมณ์ด้านลบได้ แต่แท้ที่จริง คือสาเหตุที่ทำให้มันเกิดขึ้น เมื่อโลกเดินไปเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ก็เริ่มเชื่อว่าความสุข การอยู่รอดทางการเงิน ขึ้นอยู่การทำงานและการเคลื่อนที่ รวมถึงการทำสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นด้วย เริ่มรู้สึกกระวนกระวายว่า จะตามให้ทัน เพราะฉะนั้นเพื่อคลายความกังวล เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าชีวิต อยู่ในการควบคุม จึงเคลื่อนที่ไปเร็วขึ้น ซึ่งมีแต่จะทำให้เกิดความวังวนแห่งการเสพติด ผลักดันตัวเองให้หนักขึ้น เพื่อกำจัดความกังวล แต่ผลลัพธ์ที่ได้จริง ๆ กลับเป็นความกังวลมากกว่าเดิม เมื่อก้าวเข้าไปในชีวิตแบบที่มันเป็นจริง ๆ และตระหนักถึงข้อจำกัดต่าง ๆ ของตนเอง อย่างชัดเจน ก็จะเริ่มมีคุณลักษณะบางอย่าง ซึ่งอาจไม่ค่อยเป็นที่นิยม แต่มันอาจเป็นพลังวิเศษ ที่สำคัญที่สุด มันคือความอดทนนั่นเอง
11
อยู่บนรถบัสต่อไป
ความอดทนมีชื่อเสียงที่แย่มาก อย่างแรกก็คือแค่คิดว่า จะต้องทำสิ่งใดก็ตามที่มีคนบอกว่าต้องใช้ความอดทน ก็ดูไม่ค่อยน่าดึงดูดใจแล้ว ถ้าจะให้กล่าวเจาะจงลงไปกว่านั้น มันคือการรอคอยอยู่นิ่ง ๆ ที่น่ารำคาญใจอย่างมาก แต่เมื่อสังคมเคลื่อนที่เร็วขึ้น บางสิ่งบางอย่างก็เปลี่ยนไปในหลายบริบท ความอดทนกลายมาเป็นอำนาจรูปแบบหนึ่งในโลก ที่พร้อมจะเร่งรีบความสามารถในการอดใจไม่ให้รีบเร่ง และยอมให้สิ่งต่าง ๆ ใช้เวลาเท่าที่จำเป็น คือวิธีที่ทำให้อยู่บนโลกนี้ได้ จากได้ทำงานที่มีความหมาย และได้รับความพอใจจากการทำสิ่งนั้น ความอดทนที่เกิดขึ้นจากการพยายามอดใจไม่ให้รีบเร่ง ไม่ได้ถือเป็นการเพิกเฉยหรือยอมจำนนใด ๆ ในทางกลับกัน มันเป็นสภาวะของการตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน อย่างกระตือรือร้นและมีพลัง และประโยชน์ของมันมีมากมายนัก
เฝ้าดูและเฝ้ารอ
ความอดทนไม่ได้เป็นแค่การใช้ชีวิตที่สงบสุข และอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น แต่เป็นทักษะที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ถ้ายอมที่จะอดทน ความอึดอัดของการไม่รู้ทางออก จะแสดงตัวขึ้นมาเอง คือมันเป็นประยุกต์ที่ใช้ได้กับแทบทุกอย่างในชีวิต ใช้ได้กับงานสร้างสรรค์ ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ การเมือง และการเลี้ยงลูก รู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ เมื่อปล่อยให้ความเป็นจริงดำเนินไปตามเวลาของมัน ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ตราบใดที่สามารถบอกตัวเองว่า กำลังจัดการกับสถานการณ์นั้นอยู่ มันก็จะทำให้ยังคงรู้สึกว่า ทุกอย่างยังอยู่ในความควบคุม
หลักความอดทน 3 ประการ
ข้อแรกคือ ทำตัวให้คุ้นกับรสชาติของการเจอปัญหา จะเริ่มเห็นคุณค่าของข้อเท็จจริงที่ว่า ชีวิตเป็นเพียงแค่กระบวนการ มีส่วนร่วมปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า และต้องให้เวลากับปัญหาแต่ละอย่าง ตามที่มันต้องการ
หลักการที่ 2 คือ เปิดรับการเปลี่ยนแปลงช้า ๆ เพื่อผลลัพธ์ที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง (radical incrementalism) ไม่สามารถทนต่อความอึดอัดที่เกิดขึ้น จากการถูกบังคับให้รู้ถึงข้อจำกัดของตัวเอง ในการควบคุมความเร็วของการทำงานสร้างสรรค์ หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของแนวทางแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อผลลัพธ์ที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงนี้ คือการยอมหยุดเมื่อเวลาในแต่ละวันหมดลง
หลักการสุดท้ายคือ มีบ่อยครั้งที่ความเป็นต้นตำรับ เป็นอีกขั้วหนึ่งของการเลียนแบบ แนวคิดเช่นนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่งานสร้างสรรค์เท่านั้น ในหลายพื้นที่ของชีวิต อยู่ภายใต้แรงกดดันทางวัฒนธรรม ให้เริ่มต้นเดินทางไปในทิศทางที่ไม่เหมือนใคร ถ้าเอาแต่เลือกเส้นทางที่แหวกแนวอยู่ร่ำไป โอกาสที่ตนเองจะพบความมีเอกลักษณ์แบบอื่น ที่อุดมคุณค่ายิ่งกว่า ซึ่งถูกสงวนไว้สำหรับคนที่มีความอดทนมากพอ ที่จะเดินทางผ่านเส้นทางคนอื่น ๆ เคยย่ำผ่านมาก่อน
12
ความโดดเดี่ยวของดิจิทัลโนแมด
ความอดทนไม่ใช่หนทางเดียว ที่จะค้นพบอิสระอันลึกซึ้ง จากการยอมแพ้ข้อจำกัดด้านเวลา แทนที่จะพยายามควบคุมว่า ทุกอย่างจะดำเนินไปอย่างไร อีกเรื่องหนึ่งที่น่ากังวลคือ ปรากฏการณ์ความรำคาญมนุษย์คนอื่น ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลักการพื้นฐานที่คำแนะนำเรื่องผลิตภาพเกือบทั้งหมดกล่าวไว้ก็คือ ในโลกอุดมคติคนเดียวที่จะตัดสินใจในเรื่องเวลาได้ก็คือ กำหนดชั่วโมงการทำงานเอง ทำงานเมื่อเลือกที่จะทำ หยุดเพื่อเที่ยวพักผ่อนเมื่อต้องการที่จะหยุด และโดยรวมแล้วไม่ต้องเกรงใจใครเลย แต่มันก็มีอีกกรณีที่อ้างได้ว่า การจะควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้มากขนาดนั้น ต้องแลกมากับสิ่งสุดท้ายที่ไม่คุ้มที่จะจ่าย
ซิงค์และไม่ซิงค์กัน
เรื่องที่ชวนรบกวนจิตใจไม่น้อยก็คือ การปฏิบัติต่อเวลาเหมือนกับว่า เป็นสิ่งที่ต้องกักตุนไว้ทั้ง ๆ ที่จะดีกว่า ถ้ามองมันในฐานะสิ่งที่เหมือนไว้แบ่งปัน นั่นจะหมายความว่าต้องสละอำนาจบางส่วน ในการตัดสินใจว่าจะทำอะไร และเมื่อไหร่กับมัน การพยายามจะมีอำนาจควบคุมเวลาของตัวเองให้ได้มากขึ้น คือแรงบันดาลใจหลักที่ทำให้ผู้เขียนได้ตัดสินใจออกจากงาน ที่บริษัทหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่ง เพื่อมาเป็นนักเขียนอยู่กับบ้าน คนที่มีตารางยืดหยุ่น และทรัพยากรพอประมาณ จะมีความสุขมากกว่าคนรวย ที่มีทุกอย่างยกเว้นตารางที่ยืดหยุ่น สรุปทัศนคติของการมีอำนาจเหนือเวลาของตัวเอง
ขั้นแรกของการค้นหาความสุขคือ การพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะมีอำนาจควบคุมตารางเวลา การแสดงแนวคิดแบบนี้อย่างสุดขั้วที่สุดคือไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ของการเลือกที่จะเป็นดิจิทัลโนแมด หรือคนที่ปลดแอกตัวเองจากวิถีชีวิต ที่จมจ่อมอยู่กับการแข่งขัน และเดินทางไปรอบโลก ทำธุรกิจผ่านทางอินเตอร์เน็ตตามใจปรารถนา แต่ดิจิทัลโนแมดเป็นคำเรียกที่ไม่ถูกต้องนัก และชวนให้เข้าใจผิดด้วยโนแมดคือคนที่เร่ร่อนแบบดั้งเดิม ไม่ใช่คนพเนจรผู้โดดเดี่ยว ที่บังเอิญขาดแล็ปท็อป พวกเขาเป็นคนที่เน้นการรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนอย่างยิ่ง อันที่จริงพวกเขามีเสรีภาพส่วนบุคคลน้อยกว่าสมาชิกของเผ่า ที่ต้องลงหลักปักฐานแล้วเสียอีก เพราะความอยู่รอดของพวกเขา ขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกันให้สำเร็จ
ในบางช่วงเวลาที่เหล่าดิจิทัลโนแมดยอมเผยความรู้สึก พวกเขายอมรับว่าปัญหาหลักของวิถีชีวิตพวกเขาคือ ความเหงาอย่างรุนแรง สิ่งที่เขาเข้าใจว่าเป็นอิสรภาพ หรือการที่เขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการ ในเวลาอันใดก็ตามที่เขาเลือก กลับทำให้ความสุขแสนธรรมดานั้นอยู่ไกลเกินเอื้อม
รักษาจังหวะของห้วงเวลาไปด้วยกัน
เมื่อเวลาประสานกับคนอื่นได้ดี ยังทำให้รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่า เวลามันจริงมากขึ้น คือมันเข้มข้นขึ้น มีชีวิตชีวาขึ้น และมีความหมายมากขึ้น
อิสรภาพที่ทำให้ไม่ได้เจอเพื่อน ๆ อีกเลย
เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว อิสระแบบไหนที่ต้องการอย่างแท้จริง ในแง่หนึ่งมันคือเป้าหมายแบบที่ใคร ๆ ต้องการ เช่น การมีอำนาจเหนือเวลาของตัวเอง อิสระที่จะจัดการตารางเวลาของตัวเอง ตัดสินใจด้วยตัวเอง และเป็นอิสระจากการที่คนอื่นมารุมเร้า เวลา 4,000 สัปดาห์อันแสนมีค่า แต่ในอีกแง่หนึ่ง ความหมายที่ลึกซึ้งเกิดขึ้นจากการยินยอมพร้อมใจ จะเคลื่อนไหวไปในจังหวะที่สอดคล้องกับคนอื่น ๆ ในโลก ซึ่งคือการมีอิสระที่จะเข้าร่วมกิจกรรมที่คุ้มค่า แก่การใช้เวลาพร้อมกันกับคนอื่น การมีอิสระภาพในรูปแบบนี้ เท่ากับการไม่มีอิสรภาพโดยสิ้นเชิง มันหมายถึงงานที่มาแบบคาดเดาไม่ได้ จากการจ้างงานเป็นครั้งเป็นคราว และการจัดตารางงานตามความต้องการเรียกใช้ ผลลัพธ์ก็คืองานแทรกซึมผ่านเข้ามาในชีวิตเหมือนกับน้ำ มันเติมทุกซอกทุกมุมด้วยงาน ที่ต้องทำมากเพิ่มขึ้นอีก ติดแหง็กอยู่กับงาน ได้สร้างชีวิตที่ไม่อาจสอดประสานเข้าด้วยกัน
13
การบำบัดด้วยการตระหนักว่า ไม่ได้สำคัญในจักรวาล
รองประธานบริษัทอุปกรณ์การแพทย์ที่ประสบความสำเร็จ บินอยู่เหนือน่านฟ้าแถบมิดเวสต์ของสหรัฐอเมริกา ในการเดินทางไปทำธุรกิจ เธอกำลังอ่านหนังสืออยู่ แล้วความคิดหนึ่งเข้ามาในหัว ฉันเกลียดชีวิตของฉัน ความอึดอัดใจค่อย ๆ เติบโตขึ้นมาในใจเธอนานนับปี จนตกผลึกเป็นความเข้าใจว่า เธอกำลังใช้เวลาของตนในแบบที่รู้สึกว่า ไม่มีความหมายอะไรอีกต่อไป ความรู้สึกเพลิดเพลินที่เคยมีให้กับงานหายไปจนหมดสิ้น รางวัลที่เคยไล่คว้าดูไร้ค่า และตอนนี้ชีวิตก็เป็นแค่การใช้ชีวิตอย่างนั้น ด้วยความหวังอันเรื้อรังว่าทั้งหมดที่ทำไป สุดท้ายแล้วอาจจะได้ความสุขในอนาคตกลับมาเป็นสิ่งตอบแทน
มันเป็นเรื่องที่ชวนทำให้กระวนกระวายอยู่ลึก ๆ เมื่อพบว่าตัวเองกำลังตั้งคำถามว่า เราใช้ชีวิตไปเพื่ออะไร แต่ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนักหรอก เพราะมันแสดงให้เห็นแล้วว่า ความเปลี่ยนแปลงจากภายในได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพราะจะไม่สามารถมีความสงสัยดังกล่าว ไม่ได้มีมุมมองใหม่เกี่ยวกับชีวิต มุมมองซึ่งเกิดจากการที่เริ่มเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า ไม่สามารถหวังพึ่งความรู้สึกของการเติมเต็มที่จะมาถึง มันหมายความว่าเข้าใจความจริงแล้วว่า สัปดาห์เหล่านี้จะต้องถูกใช้ไปกับการทำอะไรสักอย่างที่ควรค่า ถ้าใช้ชีวิตอันจำกัดมีความหมาย นี่คือมุมมองที่จะทำให้สามารถตั้งคำถามที่พื้นฐานที่สุด เกี่ยวกับการบริหารเวลาได้เสียทีว่า มันจะมีความหมายอะไร ถ้าใช้เวลาทั้งหมดที่มีในแบบที่ต้องพยายามทำให้รู้สึกว่า มันมีคุณค่าอยู่ตลอดเวลา
การหยุดครั้งยิ่งใหญ่
ช่วงการระบาดของไวรัสโคโรนา ท่ามกลางความทุกข์ระทม และความวิตกกังวล ช่วงนั้นมันกลายเป็นเรื่องปกติ ที่ได้ยินคนแสดงความขอบคุณอย่างหวานอมขมกลืน กับเหตุการณ์ที่พวกเขากำลังประสบ ถึงแม้พวกเขาจะถูกพักงาน และนอนไม่หลับเพราะคิดถึงเรื่องค่าเช่าบ้าน แต่พวกเขาก็มีความสุขจากใจจริง กับการที่ได้เจอหน้าลูกมากขึ้น และกลับมาพบความเพลิดเพลินจากการปลูกต้นไม้หรือทำขนมปัง การที่โดนบังคับให้หยุดงาน หยุดไปโรงเรียน และการหยุดเข้าสังคมชั่วคราว หลายคนสามารถทำงานของตนเองได้ดีพอ โดยที่ไม่ต้องเดินทางเป็นชั่วโมงไปที่สำนักงานอันแสงน่าเบื่อ หรืออยู่โต๊ะประจำถึง 6 โมงครึ่ง เพื่อให้ดูเหมือนว่ากำลังทำงานหนักอยู่ อันตรายของข้อแลกเปลี่ยนถกเถียงกันเรื่องอะไรคือ สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต มันมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกหลงผิดว่า เรายิ่งใหญ่เกินจริงจนไม่ยอมทำอะไร สิ่งที่เลือกทำกับชีวิต ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น ยิ่งเรื่องวิธีการใช้เวลาอันจำกัด จักรวาลยิ่งไม่เคยแยแสโดยสิ้นเชิง
ชีวิตที่มีความหมายพอประมาณ
ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ไม่ได้ดำเนินไปอย่างช้า ๆ เหมือนกับการเคลื่อนตัวของธารน้ำแข็ง แต่มันเกิดขึ้นในช่วงพริบตาเดียว และแน่นอนว่าชีวิตเอง ก็จะเป็นเพียงแค่การสั่นไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ใกล้เคียงกับความว่างเปล่า ท่ามกลางความเป็นไปได้ของสิ่งต่าง ๆ เป็นแค่จุดเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่าง สองช่วงเวลาอันกว้างใหญ่ไพศาล คืออดีตและอนาคตของจักรวาลทั้งหมด ซึ่งทอดยาวไปทั้งสองด้าน อาจจะจินตนาการว่าการใช้ชีวิตอยู่กับความรู้สึกว่า ตนเองมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ (ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง) จะทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีค่ามากขึ้น เป็นการลงทุนลงแรงกับทุกการกระทำ โดยรู้สึกว่ามันมีความสำคัญในระดับจักรวาล
ไม่ว่าจะมีเหตุผลสนับสนุนน้อยแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การประเมินค่าการดำรงอยู่ไว้สูงเกินจริง ทำให้การกำหนดความหมายของการใช้เวลาอันจำกัดให้ดีนั้นเกินจริงไปด้วย มันเป็นการตั้งมาตรฐานที่สูงเกินไปมาก มันชวนให้คิดว่าการจะนับว่าเป็นชีวิตที่ใช้อย่างคุ้มค่าได้ ชีวิตจะต้องมีความสำเร็จที่น่าประทับใจอย่างลึกซึ้ง หรือส่งผลกระทบที่ยั่งยืนไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน การบำบัดด้วยความคิดว่า เราไม่ได้สำคัญอะไรในจักรวาลแห่งนี้ เป็นเหมือนคำเชื้อเชิญให้เผชิญหน้ากับความจริงที่ว่า ไม่ได้สลักสำคัญในความเป็นไปของสรรพสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ควรลงมาจากความฝันเฟื่องเรื่องความสลักสำคัญในจักรวาล มาสู่การลิ้มลองชีวิตตามแบบที่มันเป็นจริง ๆ ซึ่งเป็นรูปธรรม มีข้อจำกัด และหลายครั้งก็น่าอัศจรรย์เพียงพอแล้ว
14
โรคมนุษย์
สาเหตุที่ทำให้เวลาเป็นเหมือนการต่อสู้ดิ้นรน ก็เพราะพยายามจะเป็นนายของมันอยู่เป็นนิจ พยายามผลักตัวเองไปสู่ตำแหน่งที่ทรงอำนาจ และควบคุมชีวิตที่ดำเนินไป เพื่อว่าในที่สุดจะได้รู้สึกปลอดภัยและมั่นคง ไม่อ่อนแอต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ การต่อสู้นั้นแสดงออกมาในรูปแบบของความพยายาม ที่จะผลิตภาพ และประสิทธิภาพ เพื่อที่จะไม่ได้ต้องเผชิญกับความรู้สึกผิด ที่ทำให้คนอื่นผิดหวัง หรือกังวลกับการถูกไล่ออก แต่ก็มีคนที่ถอยหนีการเริ่มต้นโครงการสำคัญ หรือการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งทั้งหมด เพียงเพราะว่าพวกเขาไม่อาจทนกับความวิตกกังวลของการผูกมัดตัวเอง กับบางสิ่งที่อาจจะจบลงด้วยดีหรือไม่ดีในทางปฏิบัติ
ชีวิตไม่มีจีรัง
ไม่ได้รับหรือมีเวลาเลยตั้งแต่ต้น ตัวเองต่างหากคือเวลา ในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับเวลาในชีวิต เพราะเราคือช่วงเวลาเหล่านั้นนั่นเอง ดังนั้นความไม่มั่นคงและความเปราะบางจึงเป็นสถานะตั้งต้น เพราะในแต่ละขณะเวลาที่เป็นเช่นนั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง การเข้าสู่พื้นที่และเวลาอย่างสมบูรณ์หรือแค่เพียงบางส่วน ซึ่งอาจจะไกลที่สุดเท่าที่สักคนหนึ่งเคยไปถึง หมายถึงการยอมรับความพ่ายแพ้ หมายถึงการปล่อยให้ภาพลวงตานั้นหายไป ต้องคอยยอมรับว่ามันจะมีอะไรมากเกินจะทำไหวอยู่เสมอ ไม่อาจหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่ยากลำบาก หรือทำให้โลกหมุนไปตามความเร็วที่ต้องการ ไม่มีประสบการณ์ไหนที่สามารถรับประกันได้ล่วงหน้าว่า มันจะออกมาดีและไร้ซึ่งความเจ็บปวด
คำถาม 5 ข้อ
เพื่อทำให้ทุกอย่างดูเป็นรูปธรรมขึ้นเล็กน้อย การถามคำถามต่อไปนี้กับชีวิต น่าจะเกิดประโยชน์ สถานการณ์นี้กำลังเผชิญแล้ว และนั่นเป็นการเริ่มต้นใช้เวลาอันจำกัดอย่างมีคุณค่า
- จุดไหนในชีวิตหรือในการทำงาน ที่ปัจจุบันกำลังไขว่คว้าหาความสบาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วต้องทนลำบากสักหน่อย การทำโครงการที่สำคัญที่สุดในชีวิต มักจะมาพร้อมกับการทำให้รู้สึกว่า ไม่สามารถควบคุมเวลาได้อย่างเต็มที่
- กำลังเปรียบเทียบตัวเอง และตัดสินตัวเองโดยใช้มาตรฐานความผลิตภาพ หรือประสิทธิภาพที่ไม่มีวันเป็นไปได้อยู่หรือเปล่า การจินตนาการว่าวันหนึ่ง จะสามารถเชี่ยวชาญการควบคุมเวลาได้ คือการตั้งเป้าหมายเรื่องการใช้เวลาที่เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่ง มันคือเป้าหมายที่จะต้องถูกผัดผ่อนไปไว้ในอนาคต เพราะไม่สามารถจะทำให้สำเร็จในปัจจุบัน
- ยังไม่ยอมรับความจริงว่า เป็นอย่างที่เป็นไม่ใช่คนที่คิดว่า ควรจะเป็นในแง่ไหนบ้าง วิธีที่ใกล้เคียงกับการถ่วงเวลา ในการเผชิญหน้ากับการมีจุดสิ้นสุด หรือความจริงที่น่ากังวลว่า มันมีจุดสิ้นสุดคือ การปฏิบัติตนราวกับว่าชีวิตปัจจุบัน คือส่วนหนึ่งของการเดินทางไปสู่การเป็นคนที่ เชื่อว่าควรจะเป็นในสายตาของสังคม ศาสนา หรือพ่อแม่
- ด้านไหนของชีวิตยังไม่ยอมลงมือทำ จนกว่าจะพอทำได้ในระดับหนึ่งแล้ว มันน่าตกใจที่ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่า อาจไม่มีวันรู้สึกว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การแต่งงาน หรือเรื่องอื่น ๆ แต่มันเป็นการปลดล็อคเช่นกัน เพราะมันขจัดเหตุผลหลักที่ทำให้รู้สึกประหม่า หรือขัดขวางการลงมือทำในเรื่องเหล่านั้น ณ ห้วงเวลาปัจจุบัน
- จะใช้วันเวลาต่างไปจากเดิมอย่างไร ถ้าไม่สนใจนักว่าการกระทำจะเกิดผลหรือไม่ การกระทำแบบไหนที่จะมีความหมาย ถ้าทำวันนี้ โดยที่ทำใจได้กับการที่ไม่มีวันจะได้เห็นผลของมัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังคุ้มค่าที่จะสร้าง
สิ่งจำเป็นที่สุดเรื่องต่อไป
คนเราใช้ชีวิตแบบที่ใช้ได้ มันไม่มีวิธีการหนึ่งเดียวที่ตายตัว ถ้านั่นคือสิ่งที่ต้องการในทางตรงกันข้าม เส้นทางของแต่ละคน คือเส้นทางที่แผ้วถางให้กับตัวเอง ซึ่งไม่เคยถูกกำหนดไว้ ไม่รู้ล่วงหน้า และมันจะเกิดขึ้นเองเมื่อก้าวไปทีละก้าว คำแนะนำเดียวที่เขามีสำหรับการเดินทางไปทางสายนั้นก็คือ ทำสิ่งที่มีอยู่ถัดไป และจำเป็นที่สุดอย่างเงียบเชียบ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ถ้าทำสิ่งที่อยู่ถัดไปและจำเป็นที่สุด ด้วยความเชื่อมั่นจะได้ทำอะไรบางอย่างที่มีความหมาย และโชคชะตากำหนดไว้แล้วเสมอ ความเข้าใจนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่เป็นวลีที่ว่า ทำสิ่งที่ถูกต้องสิ่งต่อไป การลงมือทำอะไรก็ตามภายในขอบเขตช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ กาลเวลา และความสามารถอันจำกัด ได้ลงมือทำจริง ๆ และช่วยชีวิตที่เหลือสว่างไสวขึ้นด้วยการกระทำนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานที่ยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่ หรือเป็นสิ่งที่เล็กน้อย แปลกประหลาด และนั่นคือสิ่งที่เกิดมาเพื่อทำมัน
บทส่งท้าย
เหนือไปกว่าความหวัง
ทำไมต้องมุ่งเน้นเรื่องการบริหารเวลาในยุคแบบนี้ มันดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกันอย่างที่สุด แต่หลังจากพยายามความกระจ่างก็เกิดขึ้น คิดว่าโดยหลัก ๆ แล้วมันเป็นแค่ผลที่สืบเนื่องจากการที่คำแนะนำ ด้านการบริหารเวลาแบบเดิม ๆ มีเป้าหมายคับแคบ ลองเปิดมุมมองให้กว้างขึ้นอีกหน่อย แล้วถ้าเห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาแห่งความวิตกกังวล และความมืดมิด คำถามเรื่องเวลาให้มุมมองที่สดใหม่ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการตอบสนองต่อความท้าทาย ที่ต้องเผชิญจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ขึ้นอยู่กับว่าใช้เวลาที่มีอยู่ในแต่ละวันอย่างไร
อาจจะมองหนังสือเล่มนี้ว่าเป็นการแสดงข้อคิดเห็นที่ยืดยาว เพื่อเสริมศักยภาพในการเลิกหวัง การโอบรับข้อจำกัด หมายถึงการเลิกหวังว่า เมื่อมีเทคนิคที่ถูกต้องและความพยายามขึ้นอีกหน่อย จะสามารถตอบสนองความต้องการอันไม่มีขีดจำกัดของคนอื่นได้ และตระหนักให้รู้ถึงความทะเยอทะยานทุกอย่างที่มี รวมถึงทำทุกบทบาทได้อย่างดีเยี่ยม หรือให้ความสนใจไปกับการทำเพื่อสังคม หรือวิกฤตด้านมนุษย์ธรรมที่ควรใส่ใจ มันยังหมายถึงการเลิกหวัง จะรู้สึกเหมือนถูกควบคุมทุกอย่างได้หมด หรือแน่ใจได้ว่าประสบการณ์ที่เจ็บปวดอย่างเฉียบพลันจะไม่มาหา และมันหมายถึงการยอมสละความหวังอันยิ่งใหญ่ ที่แฝงตัวอยู่ภายใต้สิ่งเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ซึ่งคือความหวังที่ว่า บางทีนี่อาจจะไม่ใช่ของจริง นี่มันอาจเป็นแค่การซ้อมใหญ่ และวันหนึ่งอาจจะมั่นใจอย่างแท้จริงว่ามีดีพอ อายุขัยโดยเฉลี่ยของมนุษย์นั้นสั้นอย่างไร้เหตุผล น่าหวาดหวั่น และน่าสมเพช แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะสิ้นหวังไปตลอดกาล หรือต้องใช้ชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วยความกังวล คอยตื่นตระหนกกับการใช้เวลาที่มีอยู่จำกัดให้คุ้มที่สุด ที่จริงมันคือเหตุผลที่ควรทำให้โล่งใจ ได้โอกาสที่จะยอมแพ้ในสิ่งที่รู้สึกว่ายอมแพ้ไม่ได้มาโดยตลอด นั่นคือความพยายามที่จะกลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ มีความสามารถอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เคยพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ พึ่งพาตัวเองได้อย่างเต็มที่ คนแบบที่ใคร ๆ มองว่าควรจะเป็น จากนั้นจะได้ถลกแขนเสื้อ และเริ่มลงมือทำสิ่งที่เป็นไปได้ และมีคุณค่าเสียที.