สั่งซื้อหนังสือ “จิตวิทยาสายดาร์ก” (คลิ๊ก)
สรุปหนังสือ จิตวิทยาสายดาร์ก
Dr. Hiro สำเร็จการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยวาเซดะ ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี 4 เขาได้เข้าร่วมงานสัมมนาของธุรกิจขายตรง โดยเข้าใจผิดว่าเป็นงานสัมมนาด้านเศรษฐกิจ นับตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทำธุรกิจขายตรงตลอดระยะเวลา 6 ปี Dr. Hiro เคยเป็นนักขายที่ล้มเหลว ขายอะไรก็ไม่มีใครซื้อ แต่แล้ววันหนึ่งขณะกำลังดูข่าว เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ในโลกเรามีลัทธิที่ขายของไม่น่าเชื่อถือได้ในราคาแพงลิ่ว แถมยังทำให้สาวกยอมทุ่มบริจาคทรัพย์สินจนหมดตัว แล้วทำไมเขาถึงขายไม่ออก เขาจึงเริ่มศึกษาเทคนิคเหล่านั้นอย่างจริงจัง อ่านหนังสือทุกเล่มเกี่ยวกับการล้างสมองที่มีในท้องตลาด แล้วเอาไปปรับใช้จนกลายเป็นนักขายระดับท็อปของญี่ปุ่น นั่นคือที่มาของจิตวิทยาสายดาร์ก พบกับเทคนิคที่ช่วยให้ใช้คำพูดควบคุมจิตใจคน ทำให้พวกเขาคล้อยตามและทำอย่างที่ต้องการโดยไม่รู้ตัว
ในแวดวงการขาย มีเทคนิคการพูดที่เรียกว่า Yes, But อยู่ ในหลักการของมันคือ ให้พูดเชิงเห็นด้วยก่อนว่า นั่นสินะ (Yes) แล้วค่อยโต้แย้งว่า แต่… (But) แทนการปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายในทันที เพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับความคิดเห็นได้ง่ายขึ้น คนที่ใช้เทคนิค Yes, But แม้กระทั่งในชีวิตส่วนตัว มักจะโต้แย้งหรือปฏิเสธคนอื่นแบบตรง ๆ จึงพบเจอปัญหาอยู่บ่อย ๆ ในโลกนี้มีเทคนิคการพูดที่ดูสะดวก แต่ใช้จริงไม่ได้อยู่เต็มไปหมด สิ่งที่จะได้จากหนังสือเล่มนี้หลัก ๆ แล้ว มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเด็นนั่นคือ การพัฒนาทักษะการสื่อสาร และการไม่ถูกหลอกง่าย ๆ
ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์การทำงานหรือในชีวิตส่วนตัว หนังสือเล่มนี้ก็ช่วยแก้ปัญหาการสื่อสารให้ได้ เมื่อรู้ know how ในการล้างสมองแล้ว จะสังเกตเห็นว่ามีเทคนิคการล้างสมองแฝงอยู่ตามที่ต่าง ๆ บนโลกนี้ know how ในการชักจูงอันน่ารังเกียจ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การหลอกขายสินค้าแบบไร้ศีลธรรม หรือการเผยแพร่คำสอนงมงายของลัทธิศาสนาเท่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เผยแพร่โฆษณาทางโทรทัศน์ และนักการเมืองเองก็ใช้เทคนิคการล้างสมองที่เหนือชั้น ในการปลุกปั่นผู้คนจำนวนมากเช่นกัน
เมื่อโซเชียลมีเดียแพร่หลายมากขึ้น จนเข้าไปสู่ยุคสังคมข้อมูลข่าวสาร การคุกคามโดยใช้เทคนิคทางจิตวิทยาในทางที่ผิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการรู้เท่าทันแผนการของอีกฝ่าย จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการปกป้องตัวเอง และคนสำคัญในสังคมเช่นนี้
บทที่ 1
แด่คนที่อ่าน คู่มือการพูดแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถพูดชักจูงคนได้
ผู้เชียวชาญด้านการพูดเผยความจริงว่า คู่มือการพูดไม่ได้ช่วยให้พูดเก่งขึ้น ในแง่ของศาสตร์การสื่อสารเป็นเรื่องของจิตวิทยามากกว่าภาษา คนที่พูดเก่งไม่ใช่คนที่ใช้คำพูดได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ แต่เป็นคนที่พูดแล้วสื่อถึงใจอีกฝ่ายได้ ซึ่งทักษะที่จำเป็นในการสื่อถึงใจอีกฝ่าย ไม่ใช่แค่วิธีใช้คำพูดให้เหมาะสม แต่เป็นวิธีสร้างความประทับใจที่เหมาะสมต่างหาก
หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับวิธีพูดเป็นหลัก แต่จะมุ่งเน้นไปที่วิธีจัดการความประทับใจ (Impression management) แต่ถ้ารู้เคล็ดลับในการจัดการความประทับใจแล้ว ถึงจะยังพูดไม่เก่งเหมือนเดิม แต่ก็สามารถทำให้คนอื่นคิดว่าคน ๆ นั้น มีทักษะการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม มีเหตุผล 2 ข้อที่ทำให้ไม่ค่อยมีหนังสือเกี่ยวกับเรื่องการจัดการความประทับใจ เหตุผลข้อแรกคือ ตัวผู้เขียนเองอาจจะไม่ได้มีทักษะที่ใช้ได้จริง แม้ผู้เขียนซึ่งเป็นนักจิตวิทยาจะเชียวชาญในเรื่องหลักจิตวิทยา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนที่ใช้เทคนิคทางจิตวิทยา ได้อย่างมีประสิทธิภาพเสมอไป เหตุผลอีกข้อคือ ทักษะในการจัดการความประทับใจมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดี ทั้งการล้างสมองและการสะกดจิต ต่างเป็นปรากฏการณ์ที่อาศัยศาสตร์ทางด้านจิตวิทยา เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร์ ถ้าปฏิบัติตามหลักการอย่างถูกต้อง ไม่ว่าใครก็ย่อมสร้างผลลัพธ์แบบเดียวกันได้
กฎเหล็กของการขายคือปล่อยให้ลูกค้าเถียงชนะ ส่วนเราปิดการขายให้ได้ก็พอ คนที่พูดไม่หยุดก็คือรูปแบบหนึ่งของคนที่พูดไม่เก่ง เช่นเดียวกับคนที่คิดคำพูดไม่ค่อยออก สาเหตุเพราะคนทั้งสองแบบต่างก็สร้างความประทับใจที่เลวร้ายในการสื่อสารเพื่อชักจูงอีกฝ่าย จึงไม่ใช่วิธีพูดที่ทำลายความประทับใจจึงไม่ใช่วิธีที่ดีเลย การพูดเก่งไม่ใช่การพูดตามหลักไวยากรณ์ ที่ถูกต้องในรวดเดียว แต่เป็นการพูดที่ชักจูงอีกฝ่ายได้ต่างหาก การมองว่าสิ่งเหล่านี้ เหมือนกับการสื่อสารที่ใช้ในงานขายจริง จึงเป็นความคิดที่ผิดมาตั้งแต่เริ่มแรก
จุดเปลี่ยนคือธุรกิจขายตรง ตอนที่ผู้เขียนเป็นนักศึกษาปี 4 เขาถูกหลอกให้ไปงานสัมมนาของธุรกิจขายตรง ที่ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นงานสัมมนาด้านเศรษฐกิจ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทำธุรกิจขายตรงตลอดระยะเวลา 6 ปี ซึ่งสุดท้ายก็มีรายได้เกือบ 20 ล้านเยนต่อปี แต่ในช่วง 3 ปีแรกทำเงินไม่ได้เลย เมื่อขาดทุนเพราะทำเงินไม่ได้ติดต่อกัน 3 ปี เขาเริ่มหันกลับมาทบทวนว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเองหรือเปล่า จากนั้นก็ลองผิดลองถูกหลายอย่าง ตระหนักถึงความจริงที่ว่าตัวเองพูดไม่เก่ง แต่เนื่องจากมีความบกพร่องทางการสื่อสารมาตลอด 24 ปี ปัญหาก็คือแล้วจะแก้ไขความบกพร่องทางการสื่อสารได้ง่าย ๆ หรอ
สรุปว่าแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี ผู้เขียนจึงสามารถทำยอดขายสูงสุดในการทำธุรกิจขายตรงได้สำเร็จ แน่นอนว่าไม่สามารถแก้ไขความบกพร่องทางการสื่อสารได้ในทันทีที่ตระหนักได้หรอก ตอนแรกไม่รู้ว่าอะไรคือวิธีที่ถูกต้อง จึงทำเรื่องผิดพลาดอยู่บ่อย ๆ และมีเรื่องขัดแย้งกับผู้คนมากมาย แต่ในขณะเดียวกันก็ขัดเกลาทฤษฎีการสื่อสารในแบบของตัวเองไปทีละนิด วิธีพูดที่ส่งผลทางจิตวิทยาต่างหากคือ หัวใจสำคัญในการสื่อสาร ต้องพูดอย่างไรถึงจะทำให้คนเชื่อว่า จะได้ผลประโยชน์มาง่าย ๆ หรือทำให้คนศรัทธาในลัทธิศาสนาได้
การล้างสมองง่ายกว่าการว่ายน้ำเสียอีก
ไม่ว่าใครก็สามารถชักจูงคนอื่นได้ บางทีคนส่วนใหญ่ก็น่าจะคิดว่าการล้างสมองเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก การล้างสมองในหนังสือเล่มนี้คือ การชักจูงอย่างเรียบง่าย (แต่ทรงพลัง) ที่มีประโยชน์กับการทำงาน นิยามของการล้างสมองในหนังสือเล่มนี้ก็คือ การชักจูงอีกฝ่ายให้เป็นไปในทางที่เราต้องการ การพูดเก่งหมายถึงการพูดที่สามารถชักจูงคนอื่นได้ ดังนั้นวิธีพูดของคนพูดเก่งก็คือ วิธีพูดที่มีพลังในการล้างสมองนั่นเอง การเรียนรู้อะไรสักอย่างความรู้สึกที่ว่า สามารถทำได้สำคัญมากทีเดียว ถ้านิยามการล้างสมองว่า การชักจูงอีกฝ่ายให้เป็นไปในทางที่ต้องการก็แปลว่า กำลังล้างสมองใครบางคน หรือไม่ก็กำลังถูกใครบางคนล้างสมองโดยไม่รู้ตัว แต่ละคนต่างก็ถูกล้างสมองในระดับที่แตกต่างกันไป ก็เลยไม่เจอใครที่ไม่เคยถูกล้างสมอง คนเรามักได้รับอิทธิพลจากคนอื่น จึงถูกล้างสมองได้ง่ายจนน่าตกใจ ในทางกลับกันคนที่ไม่รู้ว่าการล้างสมองคืออะไร ก็มักจะล้างสมองใครสักคน โดยที่ไม่รู้ตัวอยู่บ่อย ๆ เช่นกัน การจะนำทักษะการล้างสมองมาใช้ประโยชน์ในการทำงานนั้น ไม่จำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคใหม่ ๆ เลย แค่ฝึกควบคุมพลังในการล้างสมองที่เผลอใช้โดยไม่รู้ตัวให้ได้ก็พอ
แค่รู้เคล็ดลับก็สามารถเลียนแบบนักต้มตุ๋นเก่ง ๆ ได้
ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ขึ้นก็คือ การล้างสมองแบบที่ลัทธิศาสนา หรือนักต้มตุ๋นเก่ง ๆ ทำกันส่วนใหญ่แล้ว ถ้าคิดจะทำก็สามารถทำได้ง่ายกว่าที่คิด เพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้มีพลังวิเศษ แต่คล้ายกับนักมายากลมากกว่า เทคนิคของนักต้มตุ๋นเก่ง ๆ ที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ ถูกนำมาสอนในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ของบริษัทในยุคปัจจุบัน และกลายเป็นคู่มือการทำงาน ที่มีแม้แต่พนักงานพาร์ตไทม์ก็ยังใช้กัน เทคนิคทางจิตวิทยาของเจ้าลัทธิและนักต้มตุ๋นเก่ง ๆ ที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน มีเทคนิคมากมายที่แค่รู้เคล็ดลับก็ทำตามได้เลย แน่นอนว่าบางเทคนิคก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ แต่เทคนิคครึ่งหนึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ซึ่งแค่ฝึกนิดหน่อยไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ know how ชั้นเยี่ยมเป็นสิ่งที่อัจฉริยะคิดค้นขึ้นมาก็จริง แต่ไม่ว่าใครก็สามารถใช้ know how ได้ทั้งนั้น สรุปก็คือ ในการสื่อสารหากจับจุดสำคัญได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจรายละเอียด
บทที่ 2
เคล็ดลับวิธีลวงให้คนอื่นยินดีรับฟังเราทุกอย่าง
สิ่งสำคัญที่สุดในการล้างสมองคือการสร้างภาพลักษณ์ เทคนิคในการสร้างความประทับใจให้อีกฝ่าย อันดับแรกเคล็ดลับที่สำคัญที่สุดในการลวงให้คนอื่นยินดีรับฟังทุกอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดในการล้างสมองไม่ใช่เทคนิคการพูด หรือแววตาในขณะพูด แต่เป็นภาพลักษณ์ ถึงจะพูดเรื่องเดียวกัน แต่ความประทับใจของผู้ฟังจะแตกต่างกันมาก โดยขึ้นอยู่กับภาพลักษณ์ของผู้พูด ดังนั้นการสร้างภาพลักษณ์ที่เหมาะสม จึงถือเป็นเทคนิคการสร้างความประทับใจ ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการสื่อสาร ซึ่งประเด็นสำคัญที่สุดในการล้างสมองคือ การสร้างภาพลักษณ์ที่ทำให้อีกฝ่ายคิดว่า ควรรับฟังคำพูดของคนนี้หรืออยากฟังสิ่งที่เขาพูด
วิธีการคือแสดงให้คนอื่นรู้ภายใน 2 วินาทีว่า คน ๆ นี้คือของจริง การแต่งตัวและการแต่งหน้าทำผม ทำให้บุคลิกเปลี่ยนไป เมื่อรูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนไป ไม่เพียงแค่ความประทับใจที่คนรอบข้างมีต่อเราเท่านั้นที่เปลี่ยน แต่ความรู้สึกที่เรามีต่อตัวเองก็จะเปลี่ยนไปด้วย ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจขายตรง ก็ต้องใช้แบรนด์เนมที่ลูกค้าสังเกตเห็นได้ง่าย ถ้าจะเป็นเจ้าลัทธิก็ต้องแต่งตัวให้ดูหน้าเลื่อมใส และถ้าอยากจะเป็นหมอดูก็ต้องแต่งตัวให้ดูลึกลับ แม้จะเป็นเทคนิคพื้น ๆ แต่มันก็ช่วยให้คนอื่นรับรู้ภาพลักษณ์ตรงกันได้ เคล็ดลับคือให้ทุ่มตัวกับการสร้างภาพลักษณ์ให้คนอื่นเชื่อว่า คน ๆ นี้คือของจริง
การจะพูดเก่งหรือไม่เก่งนั้นตัดสินกันตอนก่อนพูด
90% ของการสื่อสารขึ้นอยู่กับ… ความจริงแล้วทั้งรูปลักษณ์ภายนอก วิธีพูด และวิธีการสื่อสาร มีแนวคิดที่คล้ายกัน แก่นแท้ของแนวคิดที่คล้ายกันเหล่านั้นก็คือ กฎของเมห์ราเบียนซึ่งเป็นกฎที่สำคัญอย่างยิ่ง ในการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจ
กฎ 7-38-55
กฎของเมห์ราเบียนที่มีชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า กฎ 7-38-55 เพราะข้อมูลที่คนอื่นใช้ประเมินความประทับใจในตัวเรา มีสัดส่วนดังต่อไปนี้ ข้อมูลจากคำพูด (เนื้อหาของคำพูด) 7% ข้อมูลจากการได้ยิน (น้ำเสียง) 38% ข้อมูลจากการมองเห็น (รูปลักษณ์ภายนอกและภาษากาย) 55% อันที่จริงจะเรียกกฎนี้ว่ากฎ 3V ก็ได้เช่นกัน โดยมาจากอักษรตัวแรกที่คำว่า Verbal = ข้อมูลจากคำพูด Vocal = ข้อมูลจากการได้ยินและ Visual = ข้อมูลจากการมองเห็น
กฎนี้มีประเด็นสำคัญอยู่ 3 ข้อดังนี้ ข้อมูลจากคำพูดส่งผลต่อความประทับใจแค่ 7% จึงแทบไม่มีความสำคัญ ข้อมูลจากการได้ยินมักถูกมองข้ามแต่ส่งผลต่อความประทับใจถึง 38% จึงมีความสำคัญในระดับปานกลาง ข้อมูลจากการมองเห็นส่งผลต่อความประทับใจถึง 55% ซึ่งถือว่ามีสัดส่วนเกินครึ่งจึงมีความสำคัญมาก รูปลักษณ์ภายนอกจาก 90% ของคนเราขึ้นอยู่กับรูปลักษณ์ภายนอก ประกอบด้วยข้อมูลจากการได้ยิน และข้อมูลจากการมองเห็น (อาจรู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้างที่นับรวมจากการได้ยินเป็นรูปลักษณ์ภายนอก)
ส่วนวิธีพูดจาก 90% ของคนเราขึ้นอยู่กับวิธีพูด ประกอบด้วยข้อมูลจากการได้ยิน และข้อมูลจากการมองเห็นด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า คำพูดไม่ใช่สิ่งสำคัญในการสร้างความประทับใจ สิ่งสำคัญคือผู้พูดมีรูปลักษณ์ภายนอกแบบใด พูดด้วยท่าทางอย่างไร และใช้น้ำเสียงแบบไหน คนที่กังวลว่าอยากพูดเก่งขึ้น ส่วนใหญ่มักใส่ใจกับข้อมูล จากคำพูดที่ส่งผลต่อความประทับใจแค่ 7% การจะพูดให้เก่งได้ สิ่งสำคัญคือการสร้างความประทับใจ ด้วยข้อมูลจากการมองเห็น 55% และข้อมูลจากการได้ยิน 38%
ถึงจะหน้าตาไม่ดีแต่ก็ต้องทำตัวให้ดูดีเข้าไว้
แง่คิดที่ได้จากงานนัดบอด การจะพูดเก่งขึ้นได้จำเป็นต้องมีคนที่สนใจฟัง จึงอยากให้นึกถึงงานนัดบอด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามคนเรามักให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกก่อนเสมอดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงสนใจฟังเรื่องของกินที่ชอบ ที่หนุ่มหล่อ (หรือสาวสวย) เล่าให้ฟังแบบขอไปทีมากกว่า เรื่องน่าสนใจที่คนขี้เหร่ตั้งใจเรียบเรียงจากความรู้ของตัวเอง หนุ่มหล่อ สาวสวย และคนขี้เหร่ในที่นี้ไม่ใช่เรื่องของหน้าตาเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของบุคลิกโดยรวมด้วย
ถ้าใช้ความพยายามไม่ว่าใครก็ดูหล่อหรือสวยได้ ความขี้เหร่ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่จิตใจสร้างขึ้นมาในภายหลังต่างหาก ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์และศิลปะ มีความก้าวหน้าอย่างมาก ถ้ามีเงินสักนิดไม่ว่าใครก็มีโอกาส ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาได้ในระดับหนึ่ง ถึงอย่างนั้นถ้าใครสักคนยังขี้เหร่อยู่ ก็แปลว่าเจ้าตัวไม่ยอมคว้าโอกาสนั้นไว้เอง ในทางกลับกันคนที่เกิดมาหน้าตาดีอยู่แล้ว ส่วนใหญ่จะยิ่งใส่ใจกับเรื่องรูปลักษณ์ภายนอก และไม่เสียดายเงินกับเรื่องนี้
โลกเรามีของปลอมเยอะกว่าของจริงหลายเท่า จึงทำให้เกิดภาพจำแบบนั้นขึ้น คนที่มีเสน่ห์จริง ๆ จะไม่ดูไร้รสนิยมหรือจืดชืด แต่จะดูดีสุด ๆ จงใส่ใจกับรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนดารา และจงให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ภายนอกยิ่งกว่าโฮสต์ ขี้เหร่เท่ากับเสียมารยาท เฉิ่มคือโทษหนัก ถ้าพยายามปรับปรุงตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้เฉิ่ม ไม่ว่าใครก็มีบุคลิกที่ดูดีได้ สำหรับคนที่ไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเอง แนะนำว่าให้เริ่มจากการเลิกเฉิ่ม ไม่สามารถกลายเป็นหนุ่มหล่อ หรือสาวสวยในสายตาคนทั่วไปได้ แต่ก็ให้ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นคนที่เท่ หรือสวยที่สุดในชีวิต ตัวเอง ถ้าพยายามอย่างต่อเนื่อง ก็จะมีบุคลิกที่ดูดีอย่างแน่นอน
รายการตรวจสอบที่ช่วยให้หลุดพ้นจากความเฉิ่ม
รายการตรวจสอบมี 5 ข้อเรียงลำดับดังนี้
1.เลือกขนาดและจับคู่เสื้อผ้า รองเท้า และกระเป๋า ให้เหมาะสม
2.ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทุกวัน
3.ตัดผมที่ร้านเสริมสวยราคา 5,000 เยนขึ้นไปอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
4.กำจัดหนวด
5.ฝึกกล้ามเนื้อ
เปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยกฎ 48 ชั่วโมง
กฎ 48 ชั่วโมงเป็นกฎที่โด่งดังโดยบอกว่าความมุ่งมั่นตั้งใจของคนเราจะอยู่แค่ 48 ชั่วโมง ถ้าไม่ลงมือทำภายในเวลาดังกล่าว สุดท้ายก็จะล้มเลิกความตั้งใจไป ดังนั้นตัดสินใจตอนนี้เลยว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะจะไม่มีความมุ่งมั่นตั้งใจมากเท่าช่วงเวลานี้อีกแล้ว
แค่เปลี่ยนสถานที่ที่ใช้ในการพูด ก็ช่วยให้เข้าใจว่าเป็นคนที่มีระดับได้
เพิ่มประสิทธิภาพในการพูด ด้วยการเลือกสถานที่ที่ทำให้ตัวเองดูน่าเชื่อถือ ในการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจ สิ่งที่สำคัญพอ ๆ กับรูปลักษณ์ภายนอกและการวางตัวก็คือ การเลือกสถานที่นั่นเอง คนทำงานเก่งจะเข้าใจกฎข้อนี้ดี
ใช้ไม่ได้ : ร้านฟาสต์ฟู้ดหรือร้านอาหารครอบครัวราคาถูก คนที่นัดคุยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ กับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกในร้านฟาสต์ฟู้ดก็ถือว่าใช้ไม่ได้ ที่บอกว่าใช้ไม่ได้ในที่นี้หมายถึงบรรยากาศสถานที่ต่างหาก บรรยากาศของสถานที่ส่งผลต่อความประทับใจของอีกฝ่าย
พอใช้ได้ : ร้านคาเฟ่แฟรนไชส์ราคาถูก บางครั้งถ้าหาสถานที่ดี ๆ ไม่ได้จริง ๆ ควรจะเลือกคาเฟ่แฟรนไชส์ซึ่งมีหลากหลายสาขาก็ได้ แต่ถ้ามีตัวเลือกเยอะก็ควรหลีกเลี่ยงร้านแบบนี้ มันไม่ใช่สถานที่ที่คนทำเงินเก่งใช้ในการพูดคุยธุรกิจ กับคนที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกอย่างแน่นอน เพราะฝ่ายที่ถูกชวนให้มาทำธุรกิจด้วย อาจจะคิดว่านัดเจอในร้านแบบนี้เนี่ยนะ ดูไม่น่าเชื่อถือเลย
ธรรมดา : คาเฟ่ที่เงียบสงบ คาเฟ่ที่ขายกาแฟได้แก้วละ 500 เยนขึ้นไปก็ถือว่าสอบผ่าน ในการเป็นสถานที่ที่สำหรับคุยธุรกิจ แต่นี่เป็นเพียงเกณฑ์คร่าว ๆ เพราะคาเฟ่แฟรนไชส์ในตัวเมืองนั้น แม้จะขายกาแฟราคาแพง แต่บางร้านก็มีลูกค้าแน่นร้าน ซึ่งทำให้เสียงดังหนวกหูได้
สุดยอด : เลานจ์ของโรงแรมหรู คนที่ทำธุรกิจขายตรงและคนที่ขายคอร์สเรียนที่ไม่มีความสามารถในการทำเงินนั้น จะไม่เลือกร้านที่ขายกาแฟแก้วละ 1,000 เยนขึ้นไป เพราะคิดว่าแพง แต่คนที่ทำเงินได้มักจะเลือกสถานที่แบบนี้ แม้จะไม่ได้มีเงินมากมายอะไร แต่ในสายตาของอีกฝ่ายจะมองว่ามีสถานะทางการเงินดี จึงได้รับความเชื่อถือได้ง่ายขึ้น ยิ่งถ้าคนที่เลือกนัดเจอไม่คุ้นเคยกับโรงแรมหรู ก็น่าจะมีภาพลักษณ์ที่น่าประทับใจ ทันทีที่นั่งลงบนเก้าอี้
บทที่ 3
เคล็ดลับวิธีพูดที่ช่วยให้เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น
สิ่งแรกที่ควรทำคือการประจบ เทคนิคของนักต้มตุ๋นในการทำให้อีกฝ่ายเปิดใจคุยด้วย สิ่งที่ต้องทำมีแค่เลือกหัวข้อสนทนา ฉะนั้นไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ แถมยังได้ผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมอีกด้วยหัวข้อสนทนาแบบที่ว่านี่ก็คือ หัวข้อสนทนาที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง ให้เปิดการสนทนาด้วยการเยินยอ และการประจบประแจง การสร้างความประทับใจที่ดีถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ในการชวนคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก แม้คนชมจะชมได้ห่วยบรม แต่คนเรานั้นถ้าโดนชมมาก ๆ เขาก็จะรู้สึกไว้ใจ และเปิดใจให้อีกฝ่ายเอง มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนไหวต่อสิ่งที่ดีกับตัวเอง พอถูกนักต้มตุ๋นหลอกล่อด้วยเรื่องผลประโยชน์เข้าหน่อยก็โดนหลอกได้ง่าย ๆ เพราะแม้จะปฏิเสธด้วยเหตุผลแล้ว ก็ไม่อาจห้ามสัญชาตญาณได้ ดังนั้นหากใช้ความภาคภูมิใจในตัวเองเป็นเหยื่อล่อ ซึ่งคนเราย่อมจ่ายเงินเพื่อให้ได้รับมันมา มนุษย์จะถูกชักจูงได้ง่ายจนน่าตกใจเลย
วิธีประจบที่ควรทำธุรกิจขายตรงเก่ง ๆ ใช้กัน
เคล็ดลับที่ดีที่สุดในการเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นคือ การประจบทุกคนที่ได้เจอ การประจบคนอื่นไม่ได้ทำให้ชีวิตจบเห่ ในทางกลับกัน ถ้าไม่ประจบคนอื่น ก็จะไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลยต่างหาก โดยปกติแล้วหากไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น ไม่ว่าทำอะไรก็ไม่รุ่ง ถ้าเป็นคำพูดของคนที่ตัวเองชอบแล้วก็ แม้มันจะไม่สมเหตุสมผลบ้างแต่เราก็ยังยอมรับได้ ในทางกลับกัน แม้คนที่เกลียดจะพูดสิ่งที่ถูกต้อง แต่คงจะไม่อยากยอมรับ มนุษย์ก็เป็นแบบนี้
ดังนั้นถ้าอยากให้คนอื่นชื่นชอบ และรับฟังคำพูดก็ต้องประจบประแจงเข้าไว้ การประจบแล้วโดนเกลียดมีแค่ 2 รูปแบบก็คือ คนที่โดนคนที่มีฐานะต่ำกว่าเกลียดเพราะประจบเฉพาะคนที่มีฐานะสูงกว่า แล้วคนที่โดนคนที่มีสถานะสูงกว่าเกลียดเพราะเอาแต่ประจบสอพอ แต่ถ้าประจบทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ก็จะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่นแน่นอน
แต่ถ้าหากพิจารณาจากบริบทของสังคมในปัจจุบัน และถ้าพูดถึงผู้หญิงที่ขยับคิ้วในขณะที่ฟังผู้ชายพูด น่าจะรู้สึกว่าเป็นคนที่รับฟังเก่ง บางทีในสมัยที่คำว่าประจบเกิดขึ้นมา ผู้หญิงที่รับฟังเก่งอาจจะโดนอิจฉา เนื่องจากเป็นคนที่ชื่นชอบมากกว่าผู้หญิงที่รับฟังไม่เก่งก็เป็นได้
การชมแบบไม่มีมูลได้ผลกว่าการชมข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนถึง 100 เท่า
ชมว่ารสนิยมดีจังแทนแต่งตัวสวยจัง ไม่ว่าคู่สนทนาจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้องก็ตาม ถ้าชมคนนั้นหรือสิ่งที่เขาทำอย่างเต็มที่ จะชมเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ได้เช่นกัน แต่การชมนิสัยใจคอที่ไม่อาจรู้ได้จากการมองผิวเผิน แทนการชมรูปลักษณ์ภายนอกที่รู้ได้ทันที จะสร้างความประทับใจให้อีกฝ่ายได้มากกว่า คนเรามักอยากฟังเรื่องดี ๆ เกี่ยวกับตัวเอง ดังนั้นแม้จะพูดชมแบบไม่มีมูล กับอีกฝ่ายก็ยังตั้งใจฟังสิ่งที่พูด ไม่ต้องกังวลไป เมื่อทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีได้แล้ว ก็เท่ากับว่าเขาตกหลุมพรางแล้ว อีกฝ่ายจะเชื่ออย่างหมดใจว่า เป็นคนที่สามารถมองคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
และคนที่พูดสิ่งที่ถูกต้อง ทำให้ได้ยินดีรับฟัง ทั้งนี้ในระหว่างที่ฟังคุณพูด อีกฝ่ายจะไม่คิดว่าเป็นคนที่พูดไม่เก่ง หรือคนที่พูดไม่รู้เรื่อง เพราะการปฏิเสธตัวตนของคุณ จะเท่ากับว่าปฏิเสธความภาคภูมิใจในตัวเองที่คุณช่วยเติมเต็มให้ แม้เรื่องที่พูดจะเข้าใจยาก แต่ผู้ฟังจะคิดตามและพยายามทำความเข้าใจโดยไม่รู้ตัว โดยเชื่อว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย นอกจากนี้คนเรามักจะฟังคำพูดของคนที่ตัวเองชื่นชอบ ถ้าพูดในเชิงยอมรับอีกฝ่ายบ่อย ๆ อีกฝ่ายก็จะชื่นชอบและรับฟังอย่างเต็มที่ สุดท้ายแล้วการสื่อสารก็ตัดสินกันที่ความรู้สึกชอบนี้แหละ ในการสื่อสารนั้นการชมแบบไม่มีมูลทรงพลังกว่าการชมข้อดีที่เห็นได้ชัดเจนถึง 100 เท่า
คนปากอย่างใจอย่างจะพัฒนาเป็นคนดีอย่างแท้จริง
คนเราถ้าพยายามชมอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง ก็จะสนใจมองหาข้อดีของอีกฝ่ายเองโดยอัตโนมัติ สุดท้ายก็จะค่อย ๆ สังเกตเห็นข้อดีจริง ๆ ของอีกฝ่าย และสามารถชมเขาจากใจจริงได้สรุปก็คือ ถึงเราจะทำตัวเป็นคนปากอย่างใจอย่างที่ชมไปเรื่อยเปื่อย แต่ถ้าชมอย่างต่อเนื่องก็จะพัฒนาเป็นคนดีอย่างแท้จริง ที่สามารถชมคนอื่นอย่างใจจริงได้เอง ตรงกับคำกล่าวที่ว่า Fake it, until you make it. (จงแสร้งทำจนกว่าจะทำได้จริง ๆ) ทางที่ดีให้คิดว่าการชมที่ไม่ได้มาจากใจจริงไม่ใช่การหลอกลวง แต่เป็นการบริการแบบหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกดี
วิธีที่ช่วยให้ประจบเก่งในระดับอัจฉริยะ
การสวนกลับด้วยคำชมได้ผลที่ดีที่สุด อัจฉริยะ หัวดีจัง หรือต้องสำเร็จแน่ โดย 3 คำชมนี้สามารถเติมเต็มความภาคภูมิใจในตัวของมนุษย์ทุกคนได้ แม้อีกฝ่ายจะไม่คิดว่าตัวเองเป็นแบบที่ชมก็ไม่เป็นไร ที่จริงแล้วมันถือเป็นโอกาส ในการสร้างความประทับใจเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำไป การสวนกลับคำพูดของอีกฝ่ายด้วยการชมแบบนี้ ก็เหมือนการออกหมัดสวนที่มีพลังโจมตีรุนแรง ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีมากกว่าตอนได้รับคำชมทั่วไป ต่อให้อีกฝ่ายงี่เง่าจริง ๆ แต่การบอกว่าเขางี่เง่านั้นรังแต่จะทำให้โดนโกรธเกลียด การดูถูกคนอื่นไม่ได้ทำให้ผู้คนมองว่าเป็นคนเก่งและฉลาดเลย
ปรากฏการณ์พิกมาเลียน
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ปรากฏการณ์พิกมาเลียน (Pygmalion effect) ในตำนานกรีกพิกมาเลียนเป็นกษัตริย์แห่งไซปรัส และในขณะเดียวกันก็เป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงด้วย พิกมาเลียนหลงรักรูปสลักหญิงสาวที่ตัวเองแกะสลักจากงาช้าง จึงอธิษฐานว่าขอให้เธอกลายเป็นมนุษย์จริง ๆ ต่อมาอะโฟรไดท์ซึ่งเป็นเทพีแห่งความรักเกิดความเห็นใจ จึงประทานพรให้รูปสลักนั้นมีชีวิตขึ้นมา ตำนานเรื่องนี้เป็นที่มาของปรากฏการณ์พิกมาเลียน ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่การคาดหวังอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี
ปรากฏการณ์นี้ไม่ใช่ความเชื่องมงาย แต่ได้รับการพิสูจน์แล้วโดยนักจิตวิทยาที่ชื่อว่า โรเบิร์ต โรเซนธาล เขาได้สุ่มแบ่งกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่งออกไป 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่ม A และกลุ่ม B ในขณะเดียวกันก็ให้ข้อมูลหลอกกับครูว่ากลุ่ม A มีแต่นักเรียนเก่ง หลังจากที่ครูสอนนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม ผลปรากฏว่านักเรียนในกลุ่ม A กลับมีผลการเรียนดีกว่ากลุ่ม B โรเซนธาลได้สรุปไว้ในรายงานว่าปัจจัย 2 อย่างคือ 1.ครูประจำชั้นสอนนักด้วยความคาดหวังและ 2.นักเรียนตระหนักว่ากำลังถูกคาดหวัง
ข้อควรระวังในการใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์พิกมาเลียนคือ ถ้าคาดหวังมากเกินไปก็จะให้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม แต่การคาดหวังในระดับที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป จะช่วยพัฒนาศักยภาพของเขาได้
ถ้าชมมากไปเดี๋ยวจะเหลิงไม่เป็นความจริง
เวลาที่ลูกน้องหรือรุ่นน้องทำงานพลาดให้พูดชมเพื่อสร้างกำลังใจ แน่นอนว่าถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ตัวว่าทำพลาด ก็จำเป็นต้องบอกให้รู้ แต่ถ้าเขารู้ตัวอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปตำหนิ ถึงไม่ถูกตำหนิคนเราก็สำนึกผิดได้อยู่แล้ว อันที่จริงลูกน้องหรือรุ่นน้องสำนึกผิดด้วยตัวเองมากกว่าที่หัวหน้าหรือรุ่นพี่คิดไว้เสียอีก การโกรธเป็นวิธีการง่าย ๆ ที่แม้แต่เด็กอนุบาลก็ยังทำได้ แต่แทบไม่มีปัญหาใดที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการโกรธเลย การพยายามแก้ไขสถานการณ์แบบง่าย ๆ ด้วยการโกรธไม่ช่วยอะไรให้ดีขึ้นหรอก ในทางกลับกันการคาดหวังเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว สิ่งที่หัวหน้าหรือรุ่นพี่ควรทำคือการให้กำลังใจ เพื่อให้รุ่นน้องคิดว่าคราวหน้าต้องทำให้ได้ และสามารถก้าวต่อไปข้างหน้าได้ในทันที ไม่มีใครที่โดนชมแล้วเหลิง ถ้าจะมีละก็ปัญหาน่าจะอยู่ที่ท่าทีของคนชมมากกว่า คำกล่าวที่ว่าถ้าชมมากไปเดี๋ยวจะเหลิง เป็นคำพูดเพ้อเจ้อที่คนอารมณ์ร้อน และไม่มีใจที่จะชมคนอื่น คิดขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองเท่านั้น
การชมแบบมีความขัดแย้งทางอารมณ์ ที่ทำให้อีกฝ่ายชอบเราอย่างจัง
โดยปกติแล้วคนเราชอบการถูกชมอย่างมาก ถึงจะชมแบบขอไปทีก็ยังใช้ได้ผล เทคนิคการชมอันทรงพลังที่อยากจะแนะนำให้เป็นพิเศษคือ การชมมีความขัดแย้งทางอารมณ์ วิธีการคือคนที่เป็นฝ่ายชมต้องชมอีกฝ่าย ด้วยอารมณ์ที่ขัดแย้งกัน 2 แบบ ตอนที่ชมหากสร้างความขัดแย้งทางอารมณ์ด้วยการแสดงสีหน้าคล้ายกับโมโหก่อนที่จะชม ประสิทธิภาพของการชมก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น มันเหมือนกับการแกว่งลูกตุ้มแรง ๆ ยิ่งดึงลูกตุ้มไปทางตรงกันข้ามมากเท่าไหร่ พอปล่อยมือลูกตุ้มก็จะแกว่งแรงมากขึ้นเท่านั้น
วิธีตอบกลับคำชมที่แนะนำโดย Youtuber ด้านความรัก
ประเด็นสำคัญมีอยู่ 3 ข้อคือ ใช้คำพูดที่อีกฝ่ายน่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน พูดอย่างมั่นใจแม้อีกฝ่ายจะงุนงงกับคำพูดของเรา แต่ก็ต้องรักษาท่าทีที่มั่นใจเอาไว้ ใช้คำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความรักได้ง่าย ถ้าทำตามนี้ได้ ความประทับใจที่อีกฝ่ายมี ก็จะชักนำไปสู่ความรัก และก็จะติดตรึงอยู่ในความทรงจำของอีกฝ่าย ความรักนี้ก็เหมือนกับการล้างสมองเลย ถ้าพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ความรุนแรงก็จะลดลง และทำให้อีกฝ่ายยอมรับฟังได้ง่ายขึ้น
หัวข้อสนทนาอันทรงพลัง ที่คน 99% ให้ความสนใจ
โดยพื้นฐานแล้วควรเอ่ยชมเพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีก่อน แล้วค่อยพูดเข้าประเด็นหลัก แต่ในบางสถานการณ์ต้องชวนคุยเรื่องอื่นก่อน ถึงจะเข้าสู่ประเด็นหลักได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าชวนคุยเรื่องเฉพาะกลุ่ม หรือเรื่องที่อีกฝ่ายไม่สนใจเลยก็น่าเสียดาย ถึงจะชอบคำชมมากแค่ไหน แต่ถ้าถูกชมมากเกินไปก็อาจจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจได้ ถ้าเป็นไปได้หลังจากที่ชมอีกฝ่ายแล้ว ควรชวนคุยด้วยเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจฟัง แต่ในกรณีที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสนใจเรื่องอะไร ขอแนะนำหัวข้อสนทนาที่คน 99% ให้ความสนใจ หัวข้อที่ว่าก็คือเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง การดูลายมือจะทำให้นักต้มตุ๋นได้พูดคุยเกี่ยวกับชะตาชีวิตของเหยื่อ เกือบร้อยทั้งร้อยสนใจชะตาชีวิตของตัวเอง ถ้าเรียนรู้ศาสตร์ของการดูดวงเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งไม่จำกัดว่าต้องเป็นการดูลายนิ้วมือไว้บ้าง มันจะมีประโยชน์ต่อการคุยเล่น แม้จะมีคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องดูดวง และบอกชัดเจนว่าไม่สนใจ แต่พอเป็นเรื่องดวงชะตาของตัวเอง คนส่วนใหญ่ก็มักจะแสดงความสนใจ และคิดว่าฟังไว้หน่อยก็ดี
ในการคุยธุรกิจอาจมีคู่สนทนาที่ชวนคุยเรื่องดูดวงได้ลำบาก ในกรณีนี้ขอแนะนำให้เลือกหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับงานอดิเรกและเสื้อผ้าของอีกฝ่ายแทน กรณีที่อยากให้อีกฝ่ายชื่นชอบ ถ้าศึกษาข้อมูลของบุคคลนั้นไว้ล่วงหน้าก็จะมีประโยชน์อย่างมาก มันไม่เพียงช่วยในการเลือกหัวข้อสนทนาเท่านั้น แต่เมื่ออีกฝ่ายรับรู้ว่าเราใส่ใจเรื่องของเขา ก็จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสนิทสนมมากขึ้น อย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่สนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าเรื่องของคนอื่น พูดง่าย ๆ ก็คือคนเราสนใจว่า ฉันเป็นแบบไหนในสายตาคุณ มากกว่าเรื่องที่ว่าคุณเป็นใคร
เทคนิคการพูดแบบวิถีมาร การแสดงความรู้สึกร่วม พร้อมกับยกย่องอีกฝ่าย
ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่า รู้เรื่องของฉันเยอะเลยนะ ก็จะทำให้สนิทสนมกันได้ง่ายขึ้นเยอะ และช่วยให้อีกฝ่ายสนใจอยากรู้เรื่องของเรา นอกจากนี้ถ้าพูดเรื่องของอีกฝ่ายที่รู้ออกไป ก็จะทำให้เปิดประเด็นสนทนาในเรื่องที่อีกฝ่ายสนใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ ต้องสื่อสารให้อีกฝ่ายรู้ว่า ควรรู้เรื่องงานอดิเรกของเขา พร้อมทั้งบอกว่าเราเองก็เคยลองทำแล้ว แต่เทียบกับเขาไม่ได้ จึงอยากให้ช่วยสอนหน่อย ซึ่งคุณจะไม่เคยเล่นเปียโน ตีกอล์ฟ หรือดำน้ำมาก่อนเลย
แต่การพูดในทำนองนี้ว่า เมื่อก่อนฉันก็เคยทำเหมือนกัน ใช้ได้ผลจริงในบรรดาพนักงานขายและนักต้มตุ๋นบนโลกใบนี้ มีคนใช้เทคนิคที่บอกว่า เคยทำงานอดิเรกเหมือนกันกับอีกฝ่าย ทั้งที่ไม่เคยทำบ้างแน่นอน ลองทำงานอดิเรกต่าง ๆ ที่คนส่วนใหญ่น่าจะชอบมาบ้าง ถึงจะตัดเรื่องไม่อยากโกหกออกไป แต่การมีประสบการณ์จริงจะทำให้พูดได้อย่างสมจริง และต่อยอดบทสนทนาได้ง่าย
นอกจากนี้แม้จะใช้เทคนิคการบอกว่า เคยทำงานอดิเรกเดียวกันกับคนที่เพิ่งเคยเจอครั้งแรกไม่ได้ แต่ถ้าอยากเป็นที่ชื่นชอบของอีกฝ่ายจริง ๆ ก็ให้ถามงานอดิเรกของเขาในครั้งแรกที่เจอกัน แล้วไปลองทำงานอดิเรกนั้นก่อนจะพบกันในครั้งต่อไป วิธีนี้มีประสิทธิภาพมาก เทคนิคนี้มีข้อดี 2 อย่างคือ
- การมีงานอดิเรกร่วมกันทำให้รู้สึกสนิทสนมกันมากขึ้น
2.ทำให้อีกฝ่ายโอ้อวดได้อย่างอารมณ์ดี
ข้อสองจะมีความสำคัญเป็นพิเศษ ถ้าได้โอ้อวดเกี่ยวกับงานอดิเรกของตัวเอง ไม่ว่าใครก็อารมณ์ดีกันทั้งนั้น
2 วิธีตีสนิทกับคนที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรก
บางครั้งก็ไม่สามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับคู่สนทนาไว้ล่วงหน้าได้ ในกรณีนี้แค่สังเกตว่าอีกฝ่ายทำงานอดิเรกอะไร จากการที่คุยในช่วงสั้น ๆ ก็พอ ในสถานการณ์แบบนี้ก็มีวิธีรับมือ 2 วิธีดังนี้
วิธีแรกคือชวนคุยเกี่ยวกับเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกของอีกฝ่าย เมื่อพูดถึงงานอดิเรกแต่รู้เกี่ยวกับงานอดิเรก 5 อย่างซึ่งได้แก่ การท่องเที่ยว อ่านหนังสือ ดำน้ำ ตีกอล์ฟ และตระเวนกิน ก็มีหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับงานอดิเรกไว้ใช้พูดคุยกับผู้คนกว่าครึ่งโลกแล้ว เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกก็เช่นกัน ถ้าเตรียมหัวข้อสนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้สัก 2-3 หัวข้อ ก็สามารถใช้พูดคุยกับคนส่วนใหญ่ได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้อีกฝ่ายเป็นศูนย์กลางของการสนทนา อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญคือ การไม่อวดภูมิความรู้ของตัวเอง และเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโอ้อวดอย่างอารมณ์ดี
ทางที่ดีชวนคุยโดยเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายเป็นศูนย์กลางของกสนสนทนาแบบนี้ดีกว่า นอกจากนี้นาฬิกา สีของเสื้อผ้า และแบรนด์แฟชั่นดัง ๆ อย่างยูนิโคล่ก็เป็นหัวข้อสนทนาที่ใช้คุยกับคนส่วนใหญ่ได้ง่ายเช่นกัน วิธีรับมืออีกอย่างที่นอกเหนือจากการชวนคุยเรื่องรูปลักษณ์ภายนอกก็คือ ชวนคุยเรื่องทั่วไปที่สามารถพูดคุยร่วมกันได้ ความจริงแล้วมีหัวข้อสนทนาที่ผู้คน 80-90% ให้ความสนใจร่วมกัน แต่คนเรามีแนวโน้มที่จะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองเชียวชาญอยู่ฝ่ายเดียว จึงต้องระวังเรื่องนี้ไว้ด้วย แทนที่จะเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว การชวนอีกฝ่ายคุยจะทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างสนุกสนานมากขึ้น
บทที่ 4
เคล็ดลับวิธีสื่อสารที่ช่วยให้ควบคุมจิตใจคนตามต้องการ
คำพูดเวทมนต์ที่ทำให้พูดเข้าใจง่ายขึ้นในพริบตา ปัจจัยสำคัญการใช้คำพูดเวทย์มนต์หนึ่งอย่างเป็นธรรมชาติ แค่เสริมคำพูดเข้าไปนิดเดียว มันก็กลายเป็นประโยคเด็ดที่ทำให้พูดเข้าใจง่ายขึ้นแล้ว ไม่ว่าใครก็สามารถใช้คำพูดนี้ได้ตั้งแต่วันนี้ และสร้างผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมได้ คำพูดที่ว่าพูดง่าย ๆ ก็คือ เหมือน…นั่นแหละ อันดับแรกการพูดว่า พูดง่าย ๆ ก็คือ จะทำให้อีกฝ่ายเหมือนถูกสะกดจิต พอบอกว่าพูดง่าย ๆ ก็คือ อีกฝ่ายจะคิดโดยไม่รู้ตัวว่า หลังจากที่เขาพูดเรื่องที่เข้าใจง่าย ๆ เพราะงั้นเราต้องเข้าใจสิ คำพูดที่ว่า เหมือน…นั่นแหละ ก็ทรงพลังเช่นกัน การพูดโดยเปรียบเทียบแบบกว้าง ๆ ว่า เหมือน อะไรสักอย่างนั้น แม้จะไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจในสิ่งที่เราพูดอย่างถูกต้องตรงเป๊ะ ๆ แต่ก็ช่วยให้ พอจะ เข้าใจในระดับหนึ่ง เวลามีคนถามว่า พอจะเข้าใจไหม แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่คน 99% จะตอบว่า พอจะเข้าใจแล้ว ทุกคนย่อมไม่อยากถูกมองว่าโง่ หลังจากที่ใครสักคนอธิบายให้ฟัง
ด้วยเหตุนี้คนเราจึงโกหกโดยไม่รู้ตัว ในกรณีนี้อีกฝ่ายไม่ได้โกหก แต่โกหกตัวเขาเอง กล่าวคือแม้อีกฝ่ายจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็จะบอกตัวเองว่า พอจะเข้าใจ ก็จะเข้าใจพร้อมทั้งแสดงท่าทีว่าเข้าใจ ไม่ว่าจะมีวิธีพูดอย่างมีเหตุผล หรือเทคนิคการเรียบเรียงคำพูดก็ตาม เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้แล้ว มีประสบการณ์ทำนองว่า ต้องอ่านหนังสือก็เข้าใจอยู่หรอก แต่เอาไปใช้จริงไม่ได้ Know how ในคู่มือการพูดเช่นนี้ เป็นวิธีหลอกให้จิตไร้สำนึกคิดว่า สิ่งที่พอจะเข้าใจ เป็นสิ่งที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ จึงนำไปใช้จริงไม่ได้ ดังนั้นการจำคำพูดที่ว่า พอจะเข้าใจไหม แค่คำพูดเดียวจึงสร้างผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว และมีประโยชน์กว่าเคล็ดลับวิธีพูดอย่างมีเหตุผลถึง 100 เท่า
เทคนิคการพูดที่ทำให้สิ่งที่เราพูดติดตรึงอยู่ในความทรงจำของอีกฝ่าย
ตามกฎของเมห์ราเบียน ข้อมูลจากคำพูด (เนื้อหาของคำพูด) ส่งผลต่อความประทับใจ 7% ข้อมูลจากการได้ยิน (น้ำเสียง) ส่งผลต่อความประทับใจ 38% ข้อมูลจากการมองเห็น (รูปลักษณ์ภายนอกและภาษากาย) ส่งผลต่อความประทับใจ 55% ในกรณีของหนังสือ การแทรกภาพประกอบและยกตัวอย่างเปรียบเทียบถือเป็นสิ่งสำคัญ ที่ทำให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลจากการมองเห็นมากขึ้น แม้หนังสือจะสื่อสารด้วยตัวอักษรเป็นหลัก แต่การยกตัวอย่างเปรียบเทียบที่มีประสิทธิภาพ จะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพในหัวได้ การยกตัวอย่างเปรียบเทียบในการสื่อสาร ทำให้อีกฝ่ายได้รับข้อมูลจากการมองเห็น การยกตัวอย่างเปรียบเทียบ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ในการยกตัวอย่างเปรียบเทียบหลัก ๆ แล้วมี 3 ข้อดังนี้ 1.ทำให้เข้าใจง่ายและเข้าใจได้ลึกซึ้ง 2.ทำให้ติดตรึงอยู่ในความทรงจำได้ง่าย 3.ทำให้อ่านสนุก
ทำนองดีกว่าคำพูด ภาพดีกว่าทำนอง
ทุกคนลองนึกถึงเพลงฮิตสมัยเด็ก ๆ ดูสิ จะเป็นเพลงอะไรก็ได้ มีหลายคนทีเดียวที่ลืมเนื้อเพลงไปแล้ว แต่ฮัมเพลงได้เพราะยังจำทำนองได้อยู่ ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะ ทำนองติดอยู่ในความทรงจำได้ง่ายกว่าคำพูด และถ้าเป็นข้อมูลจากการมองเห็น จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก ด้วยเหตุนี้ เวลาพูดเรื่องที่อยากให้จดจำได้อย่างแม่นยำ การยกตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นภาพในหัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้ เวลาที่อยากให้อีกฝ่ายจำสิ่งที่นำเสนอในสไลด์ได้ ต้องไม่ทำสไลด์ที่มีแค่ตัวอักษรล้วน แต่ต้องใส่ภาพประกอบด้วยเสมอ
วิธีแปลงเรื่องราวให้เป็นภาพ เพื่อให้ติดตรึงในสมอง
เวลาอยากเรียนรู้และจำอะไรสักอย่าง หากใช้ข้อมูลที่ได้จากการมองเห็นให้เป็นประโยชน์ ก็จะสามารถเรียนรู้และจดจำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เวลาจำต้องจำเป็นภาพไม่ใช่จำเฉพาะตัวอักษร ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไร นึกภาพในหัว โดยเฉพาะภาพที่เชื่อมโยงกับเรื่องราวต่าง ๆ เข้าด้วยกัน มันจะเป็นมาประทับใจที่ทำให้จำได้ง่าย
วิธีที่จะเป็นพ่อมดแห่งการยกตัวอย่างเปรียบเทียบ
การยกตัวอย่างเปรียบเทียบมันมีเคล็ดลับ 2 ข้อต่อไปนี้ ข้อแรกคือให้ยกตัวอย่างโดยเปรียบเทียบกับสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ ถ้าฝึกทำจนคุ้นชินแล้ว ตัวอย่างเปรียบเทียบที่แยบยลจะผุดขึ้นมาในหัวเอง เคล็ดลับข้อ 2 พอเริ่มคุ้นชินกับการเปรียบเทียบกับสิ่งง่าย ๆ แล้ว พอให้ลองยกตัวอย่างเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น ๆ ดู ขอแค่สนุกกับมัน ขอแนะนำวลีแสนสะดวกที่ใช้ในการยกตัวอย่างเปรียบเทียบ 1.การเปรียบเทียบกับ…ก็คือ 2.เหมือนกับ (คล้ายกับ)… เมื่อใช้วลีเหล่านี้ ก็จะยกตัวอย่างเปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น การยกตัวอย่างคนที่เก่งรอบด้านให้เห็นภาพชัดขึ้น เช่นนี้จะทำให้การสนทนาสนุกสนานครึกครื้นมากขึ้น
สื่อสารกับ You ที่หมายถึงคุณเสมอ
โดยปกติคนเราไม่สนใจเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนอื่น ดังนั้นเวลาที่สื่อสารโดยมีเป้าหมายแบบพวกคุณ (ทุกคน) อีกฝ่ายจะคิดว่าพูดแบบรวม ๆ โดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงใครเป็นพิเศษ ซึ่งทันทีที่เขาคิดว่ามันอาจเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง สิ่งที่พูดทั้งหมดก็จะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จำไว้ว่าคนเราจะสนใจเฉพาะเรื่องราวสำหรับคุณ (ตัวเอง) ดังนั้นต้องสื่อสารกับ You ที่หมายถึงคุณเสมอ ห้ามพูดคุยโดยมีเป้าหมายเป็นพวกคุณ แม้อีกฝ่ายจะมีหลายคนหรือเป็นคนกลุ่มใหญ่ ก็ให้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่าทุกคนหรือพวกคุณเท่าที่จะทำได้ หากอยากเปลี่ยนคำเรียก จะใช้คำเหล่านี้บ้างก็ไม่เป็นไร แต่ต้องพูดโดยมุ่งเป้าหมายที่คุณเป็นหลัก
มีแต่คนพูดไม่เก่งเท่านั้น ที่มักจะเรียกคู่สนทนาด้วยสรรพนามบุรุษที่ 2 รูปพหูพจน์ แม้กระทั่งตอนที่พูดคุยกันแบบตัวต่อตัวก็ตาม ที่จริงแล้วมีวิธีเรียกคู่สนทนา ที่มีประสิทธิภาพกว่าคุณอยู่นั่นคือ การเรียกชื่อของคู่สนทนา มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สนใจเฉพาะเรื่องของตัวเอง พอมีคนพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ก็จะตั้งใจฟังเป็นพิเศษ ชื่อของแต่ละคน จึงมีอนุภาพในการดึงดูดความสนใจราวกับเวทมนต์เลยทีเดียว ดังนั้นถ้าคู่สนทนามีคนเดียวหรือไม่กี่คน ให้เรียกชื่อเขาเท่าที่จะทำได้ และถึงอีกฝ่ายจะเป็นกลุ่มใหญ่ จนไม่สามารถระบุจำนวนคนได้ ก็ให้หลีกเลี่ยงการเรียกว่าพวกคุณหรือทุกคน ทางที่ดีที่สุดให้เรียกว่าคุณแทน
เทคนิคสุดโกงที่ช่วยให้รอดพ้นจากการปิดใจของอีกฝ่าย
ในการควบคุมจิตใจคน การจะชักจูงอีกฝ่ายให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกต่อต้านในใจ โดยพื้นฐานแล้วคนเรามีความคิดเป็นของตัวเอง ถ้าเจอกับคำพูดที่บอกให้เปลี่ยนตัวเองก็จะปิดใจ แต่ถ้าเปลี่ยนวิธีพูดเล็กน้อยก็จะรอดพ้นจากการปิดใจของอีกฝ่ายได้ วิธีพูดที่ว่าคือการพูดแบบกว้าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินชี้ชัด วิธีนี้จะมีประสิทธิภาพมากในตอนที่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกคล้อยตาม ถ้าฝึกวิธีพูดนี้จนชำนาญแล้ว แค่พูดกระตุ้นนิดหน่อยก็สามารถชักจูงคนได้ตามใจคิดอย่างแน่นอน นอกจากนี้เทคนิคนี้ยังช่วยให้ผู้พูดหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้อีกด้วย วิธีพูดที่หลีกเลี่ยงการตัดสินชี้ชัด จะทำให้สามารถข้ามผ่านกำแพงป้องกันจิตใจของอีกฝ่ายได้ จึงสามารถชักจูงอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
ทำอย่างไรคนอื่นถึงจะสนใจฟังเรา
วิธีทำให้คนอื่นตั้งใจฟังในพริบตา ความจริงแล้วตั้งใจฟังเรื่องที่คนอื่นพูดนั้นยากกว่าการพูดเสียอีก ตราบใดที่ไม่ได้พูดเก่งระดับสุดยอด การจะทำให้ผู้คนตั้งใจฟังคุณพูดนาน ๆ เป็นสิ่งที่ยากมาก ที่ช่วยให้ผู้คนตั้งใจฟังมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด เทคนิคนี้ง่ายมากและมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม จึงนำไปใช้ได้ในทันที คำตอบที่ถูกก็คือประโยคคำถามนั่นเอง ถ้าเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียว ผู้ฟังก็จะฟังอย่างเดียวโดยไม่คิดตาม เรื่องที่พูดจึงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จะป้องกันปัญหานี้ได้ คำตอบคือตั้งคำถามให้ผู้ฟังได้ใช้สมองคิด ความจริงแล้วยิ่งทำให้ผู้ฟังใช้สมองมากเท่าไหร่ ผู้ฟังก็ยิ่งมีสมาธิจดจ่อมากขึ้นเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย ควบคู่ไปกับการกระตุ้นให้ผู้ฟังใช้สมองคิดตามไปด้วย เพื่อให้เห็นภาพอย่างชัดเจน ลองนึกถึงการตั้งคำถามอะไรเอ่ยกับเด็กประถมดู ต้องใช้คำพูดง่าย ๆ ที่ทุกคนเข้าใจได้ และทำให้พวกเขาคิดตาม แม้จะมีเด็กที่งีบหลับในชั่วโมงเรียนบ้าง แต่ไม่มีเด็กคนไหนที่งีบหลับในเวลาทายคำถามอะไรเอ่ยหรอก
วิธีตั้งคำถามที่ง่ายที่สุดในโลก
แนะนำคำถามอันทรงพลังที่ทุกคนสามารถใช้ได้ 100% คิดยังไง คำพูดข้างต้นเป็นคำพูดสารพัดประโยชน์ มันใช้ได้กับแทบทุกสถานการณ์อย่างเป็นธรรมชาติ แน่นอนว่าแทนที่จะเอาแต่ถามว่า คิดยังไง การตั้งคำถามหลักหลายรูปแบบจะช่วยให้ผู้ฟังไม่รู้สึกเบื่อง่าย ๆ แต่ถ้านึกคำถามอื่นไม่ออกก็ให้ถามว่า คุณคิดยังไงบ่อย ๆ ไปก่อน เมื่อเทียบกับตอนที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว แล้วผู้ฟังจะตั้งใจฟังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยพื้นฐานแล้วไม่มีใครที่รู้สึกดีกับการที่ต้องนั่งฟังคนอื่นอยู่ฝ่ายเดียว เพราะฉะนั้นให้ลองตั้งคำถามทำนองว่า คุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ดู นอกจากวิธีนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกน้องเบื่อกับการที่ต้องฟังอยู่ฝ่ายเดียวแล้ว
มันมีประสิทธิภาพในการสร้างความสนิทสนมอีกด้วย เราทุกคนเท่าเทียมกัน หัวหน้าและลูกน้องเป็นเพียงบทบาทที่ถูกกำหนดขึ้นโดยบริษัทเท่านั้น แต่ในฐานะมนุษย์คนเราเท่าเทียมกันโดยสมบูรณ์ แม้กฎของบริษัทจะจำกัดการกระทำของลูกน้องอยู่บ้าง แต่ไม่สามารถแทรกแซงไปถึงจิตใจของเขาได้ พูดง่าย ๆ ว่าไม่สามารถบังคับให้คนอื่นเกลียดหรือชอบได้เลย รู้ไหมว่าสิ่งสำคัญที่หัวหน้าควรทำเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้องคืออะไร คำตอบคือการประจบนั่นเอง การประจบเองก็ส่งผลต่อสมองมนุษย์ในระดับเดียวกัน มันเป็นวิธีที่ไม่มีผลข้างเคียงจึงอยากให้ทุกคนลองใช้ดู
แค่เว้นจังหวะการพูด ผู้ฟังก็มีสมาธิจดจ่อมากขึ้น
สัญญาณที่ช่วยให้เว้นจังหวะการพูดได้ถูกต้อง 100% เทคนิคการเว้นจังหวะการพูดหมายถึงการนิ่งเงียบเป็นเวลาสั้น ๆ ในระหว่างการสนทนานั่นเอง การนิ่งเงียบชั่วครู่จะช่วยดึงความสนใจ และเพิ่มสมาธิของผู้ฟัง อีกทั้งเพิ่มความประทับใจให้กับคำพูดได้ แค่นิ่งเงียบสัก 1-3 วินาที ก็ให้ผลลัพธ์เหลือเฟือแล้ว ถ้าฝึกพูดโดยที่มีการเว้นจังหวะการพูดไปด้วยเป็นประจำ ก็จะเริ่มคุ้นชินและกะเองได้ว่า ควรเว้นจังหวะการพูดในช่วงเวลาแบบไหน แต่ตอนนี้ยังไม่เริ่มคุ้นชิน ให้ลองเว้นจังหวะการพูดเป็น 2 ช่วงเวลาเป็นหลัก 1. ตอนที่จะพูดเรื่องสำคัญ 2. ตอนที่ผู้ฟังสมาธิหลุดช่วงเวลาแบบที่ 1. ก่อนที่จะพูดเรื่องที่คิดว่าสำคัญให้นิ่งเงียบสัก 2 วินาทีแล้วค่อยพูด ผู้ฟังก็จะมีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ พูดมากขึ้นทันที ส่วนช่วงเวลาแบบที่ 2 นั้น อาจจะรู้สึกว่าทำได้ยาก เพราะดูไม่ออกว่าผู้ฟังสมาธิหลุดตอนไหน
มีวิธีสังเกตที่ช่วยให้ทุกคนสามารถดูออกแบบ 100% นั่นคือ ถ้าตอนไหนที่ผู้ฟังมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณแสดงว่าสมาธิหลุด คนเราทำหลายอย่างพร้อมกันไม่ได้ คนที่ฟังการนำเสนอพร้อมกับดูเอกสารในมือไปด้วยจะสนใจแต่เอกสาร ส่วนการนำเสนอนั้นแม้จะได้ยินผ่านเข้าหูแต่สมองจะไม่รับรู้ด้วย ถ้าอยากให้อีกฝ่ายดูเอกสารก็ควรส่งเอกสารให้อ่านล่วงหน้า หรือหยุดพูดว่าให้เวลาผู้ฟังอ่านสักครู่ดีกว่า สัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้ฟังกลับมามีสมาธิจดจ่อ หรือเรียบเรียงความคิดเห็นเสร็จแล้วนั้น สามารถสังเกตได้จากจังหวะที่สายตาของผู้ฟังเบนกลับมามอง ถ้าผู้ฟังมองไปทางอื่นให้เงียบ พอเขากลับมามองคุณก็ค่อยพูดต่อ ขั้นตอนมีแค่นี้เอง
วิธีพูดเรื่องที่เฉียบคม จนแทงใจคนอื่นได้
ทฤษฎีเค็นซังกับเข็ม คนที่พูดไม่รู้เรื่องส่วนมากจะยัดข้อมูลไว้ในประโยคเดียวมากเกินไป จำไว้ว่า one sentence, one message (1 ประโยค 1 ข้อความ) แค่ทำตามนี้ก็จะเป็นคนที่พูดเข้าใจง่าย พูดง่าย ๆ ว่าอย่าพูดข้อมูลทั้งหมดรวดเดียว หลักพื้นฐานคือพูดประโยคสั้น ๆ เรื่องนี้ก็มีตัวอย่างเปรียบเทียบที่ใช้กันอยู่บ่อย ๆ เรื่องนี้มีชื่อว่าเค็นซังกับเข็ม ทั้งนี้เค็นซังคืออุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดออกแบบดอกไม้ญี่ปุ่นที่ชื่อว่า อิเคบานะ ที่มีลักษณะเป็นแป้นที่เต็มไปด้วยเข็มปลายแหลม เพื่อใช้ในการปักดอกไม้ ถ้าเอามือไปวางบนเค็นซังจะเป็นอย่างไร ก็ต้องเจ็บอยู่แล้ว แต่มันจะเจ็บแบบคัน ๆ เท่านั้น
เข็มจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่บนเค็นซังจะไม่มีทางแทงทะลุมือได้ ถ้ามีเข็มอยู่บนเค็มซังแค่เล่มเดียว มันคงใช้ปักดอกไม้ไม่สะดวก และถ้าวางมือบนเข็มนั้นก็จะโดนเข็มแทง ถ้าพูดเช่นนั้นในภาษาญี่ปุ่นบางครั้ง ก็เลือกคำพูดโดนใจว่า คำพูดแทงใจ มันมีหลักการเดียวกันคือ ยิ่งลดข้อมูลได้น้อยลงก็ยิ่งทิ่มแทงได้ง่ายขึ้น การนำเสนอที่ยาวนาน 1 ชั่วโมงนั้น หากตัดให้เหลือข้อมูลสำคัญ ที่ควรบอกจะใช้เวลาแค่ 5 นาที ดังนั้นให้พูดประเด็นหลักใน 5 นาที จะใช้เวลาที่เหลืออีก 55 นาทีในการอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจประเด็นหลักได้ง่ายขึ้น สำหรับคนที่พูดไม่เก่งซึ่งอยากพูดให้โดนใจคนอื่น ให้พูดประโยคสั้น ๆ เข้าไว้ แม้จะฟังดูไม่เป็นธรรมชาติสักหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะเข็มที่ขึ้นสนิม 1 เล่ม สามารถทิ่มแทงได้ลึกกว่าเค็นซังที่เต็มไปด้วยเข็มใหม่เอี่ยมเสียอีก
เคล็ดลับในการพูดให้โดนใจ
คำพูดประโยคสั้น ๆ เป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่การปฏิบัติจริงนั้นยากพอสมควรทีเดียว ให้ลองเขียนดูก่อน เพราะถ้าเป็นตัวอักษร ก็จะสามารถอ่านทบทวนและปรับแก้ไขประโยคให้สั้นลงได้ แต่คงไม่สามารถเตรียมบทพูดได้ทุกครั้งไป ในการฝึกพูดประโยคให้สั้นลง แนะนำให้เขียนบันทึก ลองฝึกเขียนบันทึกทุกวันโดยเขียนแค่ประโยคสั้น ๆ ดู แม้ช่วงแรกจะเขียนแล้วต้องปรับแก้ไขทีหลัง แต่ถ้าทำต่อเนื่องทุกวันก็จะค่อย ๆ คุ้นชินกับการพูดประโยคสั้น ๆ นั่นเอง จากนั้นก็จะเขียนประโยคสั้น ๆ ได้โดยไม่ต้องแก้ไขเลย การเขียนบันทึกเป็นเครื่องมือชั้นยอดในการพัฒนาตัวเอง ดังนั้นลองฝึกทำจนเป็นนิสัยดู
อย่าใช้คาถามาดันเต้ในเดตแรก
ก่อนหน้านี้บอกไปว่าให้ตัดข้อมูลออกจนเหลือข้อมูลเดียว ที่จริงมันคล้ายกับเทคนิคเรื่องความรักเหมือนกัน สิ่งสำคัญในการเดทคือ ทำให้อีกฝ่ายอยากคุยด้วยอีกหรืออยากเจอกันอีก ดังนั้นจึงต้องสร้างความน่าค้นหา เพื่อการเจอกันครั้งต่อไป คนที่ไม่เก่งเรื่องความรักจะพยายามแสดงข้อดีทั้งหมดของตัวเองให้อีกฝ่ายเห็นในเดทแรก แบบนี้ก็เหมือนกับการใช้คาถามาดันเต้ทันทีที่สู้กับบอสในเกมดรากอนเควส พอถึงรอบที่ 2 ก็จะใช้พลังอะไรไม่ได้แล้ว จึงโดนบอสพลิกกลับมาเอาชนะได้อย่างง่ายดาย มาดันเต้คาถาโจมตีในเกมดรากอนเควส ใน MP (พลังเวทมนต์) ทั้งหมดในการสร้างความเสียหายรุนแรงให้คู่ต่อสู้ แม้จะทรงพลังมากแต่หลังจากใช้คาถานี้แล้วผู้เล่นจะไม่สามารถใช้เวทมนต์ได้เพราะ MP เหลือ 0 แล้ว ถือเป็นคาถาที่หาจังหวะใช้ยาก
ที่สำคัญเมื่อบอกข้อมูลมากมายในคราวเดียว ข้อดีก็จะเหมือนกับเค็นซังที่ไม่สามารถแทงใจอีกฝ่ายได้ พูดง่าย ๆ ว่าคาถามาดันเต้ใช้กับอีกฝ่ายในเดทแรกไม่ได้ผล จุดเด่นนั้นต้องมีแค่จุดเดียวถึงจะเปล่งประกายได้ ในปริมาณข้อมูลที่มากเกินไปจะทำให้อีกฝ่ายเบื่อหน่าย ไม่เฉพาะแค่เรื่องความรักเท่านั้น การไม่ปล่อยของจนหมดยังเป็นเคล็ดลับในการสร้างความสัมพันธ์ทุกรูปแบบ หากเผลอหงายไพ่ในมือออกมาทั้งหมดในคราวเดียว เค็นซังเพื่อนำเสนอจุดเด่นของตัวเอง ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่อยู่ในความทรงจำ
บทที่ 5
เคล็ดลับวิธีฟังที่ช่วยให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสนทนา
ทักษะการฟังช่วยให้กลายเป็นคนคุยเก่งได้ คุยเก่งกับพูดเก่งไม่เหมือนกัน การคุยคือการสื่อสาร 2 ทางกับคู่สนทนา ส่วนการพูดคือการสื่อสารอยู่ฝ่ายเดียว หากแยกแยะการพูดดกันการคุยออกจากกันไม่ได้ จะไม่มีทางพูดคุยเก่งขึ้นได้เลย การคุยกับการนำเสนอไม่เหมือนกัน หากอยากนำเสนอเก่งก็ต้องฝึกทักษะการนำเสนอ อย่างไรก็ตาม คนที่คุยเก่งส่วนใหญ่มักจะนำเสนอเก่งด้วย แต่ถ้าจะฝึกการคุย ก็คงไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะฝึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ การจะคุยเก่งขึ้นได้ การฝึกฟังสำคัญกว่าการฝึกพูด ชาวยิวมีคำสอนว่า คนเรามี 2 หูและ 1 ปาก ซึ่งหมายความว่า คนเราควรฟังมากกว่าพูด 2 เท่า นี่ถือเป็นคำกล่าวที่มีชื่อเสียงในโลกของงานขายเช่นกัน
ชั่วโมงเรียนที่สนุกที่สุดในโลก ถูกสร้างขึ้นโดยนักเรียนที่ตั้งใจฟังที่สุดในโลก
หลักคิดที่สำคัญมากที่สุด ตอนฟังคนอื่นพูดสาระสำคัญก็คือ เวลาฟังคนอื่นพูดต้องฟังโดยคิดว่ากำลังฟังเรื่องที่สนุกที่สุดในโลก การที่เรากำลังใช้เวลาอยู่กับคนตรงหน้า ก็หมายความว่าเราต้องเลือกที่จะฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูด แทนการนำสิ่งอื่น ๆ ที่เราสามารถเลือกได้มากมาย จะฟังสิ่งที่คู่สนทนาพูดก็ต่อเมื่อคิดว่าอยากฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูดเท่านั้น ทุกคนเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
การเลือกฟังอีกฝ่ายคือตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ถ้ายอมรับเช่นนี้ได้ จะไม่เพียงเป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ยังเป็นการให้เกียรติตัวเองด้วย ความสนุกของการสนทนาขึ้นอยู่กับผู้ฟัง หากผู้ฟังมีความรู้สึกร่วม ผู้พูดก็จะพูดได้อย่างสบายใจ ทำให้พูดได้ดีขึ้นตามไปด้วย มันก็เหมือนกับชั่วโมงเรียน ชั่วโมงเรียนที่สนุกที่สุดในโลก จะถูกสร้างขึ้นโดยนักเรียนที่ตั้งใจฟังที่สุดในโลกนั่นเอง
วิธีฟังของพนักงานขายสาว ที่ช่วยให้สามารถทำยอดขายได้สูงสุด
เทคนิคของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ช่วยให้เธอสามารถทำยอดขายได้สูงสุด ทำยอดขายสูงสุดจากการหาลูกค้ามาสมัครสมาชิกหนังสือพิมพ์ พอถามเคล็ดลับความสำเร็จจากเธอ ก็ได้รับคำตอบมาแบบนี้ ก่อนจะออกไปหาลูกค้าตามบ้าน จะพยายามคิดว่าตอนนี้ฉันกำลังไปหาคนที่ฉันชอบมาก เวลากดกริ่งบ้านของคนที่ชอบ จะใจเต้นแรงและทักทายด้วยรอยยิ้มโดยอัตโนมัติ แถมพอเป็นเรื่องของคนที่ชอบ ก็จะตั้งใจฟังและพยักหน้ารับไปด้วยใช่ไหม ความรู้สึกมันสื่อถึงกันได้
ฉะนั้นพอเข้าไปหาลูกค้าด้วยความรู้สึกชอบ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เลยตอบกลับด้วยความรู้สึกดี ๆ จริงอย่างที่เธอพูด ถ้ามีคนมาชวนคุยด้วยสายตาแบบเดียวกันกับที่ใช้มองคนที่ชอบ ก็คงไม่สามารถแสดงท่าทีเย็นชาใส่เขาได้ คนหน้าตาไม่ดีอย่างฉันทำแบบนั้นไปก็เปล่าประโยชน์ สำหรับคนที่คิดแบบนี้ ขอเล่าเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้สักนิดแล้วกัน เธอเป็นสาวสวยจริง ๆ พอผมแซวเธอว่าเลือกเพื่อนที่หน้าตาใช่ไหม ไม่ใช่เลือกสักหน่อย แต่ฉันพยายามคบหาคนที่มีความมุ่งมั่นในการยกระดับตัวเองต่างหาก คนแบบนั้นจะเอาใจใส่เรื่องรูปร่างหน้าตาด้วย ก็เลยมีแต่คนที่หน้าตาดีไง
เทคนิคการฟังที่ให้ฟังโดยคิดว่าเป็นเรื่องที่สนุกที่สุดในโลก
เทคนิคอย่างเป็นรูปประธรรม ที่นำไปใช้ได้ง่าย 3 ข้อดังนี้คือ พยักหน้า ตอบรับ ขยับคิ้ว
เทคนิคการพยักหน้า การพยักหน้าเป็นเรื่องพื้นฐาน ถ้าทำไม่ได้ก็เท่ากับว่ายังไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย ไม่ว่าใครก็พูดได้ง่ายขึ้นเมื่อผู้ฟังพยักหน้าให้ แต่วิธีพยักหน้าของแต่ละคนสามารถบ่งบอกอะไรได้หลายอย่าง ถ้าบอกว่าวิธีพยักหน้าใช้วัดความสามารถในการสื่อสารได้ก็ถือว่าเกินจริงเลย ดังนั้นการพยักหน้าโดยแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นต่อไปนี้
- ความแรงของพยักหน้าประเด็นแรกที่มือใหม่ระวังคือความแรงของการพยักหน้า เพราะมือใหม่มักจะทำพลาดโดยการพยักหน้าเบา ๆ เคล็ดลับคือพยักหน้าให้แรงกว่าระดับที่ตัวเองคิดว่ากำลังพอเหมาะสัก 30%
- ความถี่ของการพยักหน้า แต่ถ้าพยักหน้าแบบถี่ ๆ บ่อยเกินไป ก็อาจจะทำให้อีกฝ่ายคิดว่าฟังแบบขอไปที หรือถูกเร่งให้พูดก็ได้
- จังหวะของการพยักหน้า วิธีพยักหน้าใช้วัดความสามารถในการสื่อสารได้ ก็เพราะจังหวะนี้แหละ แค่คุณพยักหน้าในจังหวัดที่เหมาะสม อีกฝ่ายก็จะรับรู้ได้ว่าเข้าใจสิ่งที่เขาพูดแล้ว และพอพยายามพยักหน้าในจังหวะที่เหมาะสม ตัวคุณเองก็จะตั้งใจฟังมากขึ้น ทำให้เข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมากขึ้นตามไปด้วย
เทคนิคการตอบรับ การพยักหน้าก็ถือเป็นการตอบรับอย่างหนึ่ง เทคนิคการตอบรับโดยการใช้คำพูดอย่างเช่น ครับ อืม ใช่ ถ้าผู้ฟังพูดตอบรับอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยให้ผู้พูดรู้สึกดี และพูดได้ง่ายขึ้น
อื้มมมมม มันแทบจะออกเสียงเหมือนกับอืม จึงใช้ง่ายที่สุด โดยใช้เพื่อสื่อว่ารู้สึกสนใจหรือเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เคล็ดลับคือให้ส่งเสียงในคอ เพียงเท่านี้ก็ช่วยอีกฝ่ายเติมเต็มความภาคภูมิใจในตัวเองแล้ว
โหหรือหา สองคำนี้จะใช้เมื่อต้องการแสดงความรู้สึกสนใจ เคล็ดลับสำคัญในการพูดสองคำนี้คือ ต้องเปล่งเสียงจากท้องให้ดังกังวาล
อย่างนี้นี่เอง จริงด้วย หรือนั่นสินะ ถ้าอีกฝ่ายพูดยาวมากในเวลาแบบนี้ หากเปลี่ยนการตอบรับเล็กน้อยให้เข้ากับเรื่องที่ออกฝ่ายพูด ก็จะทำให้อีกฝ่ายรับรู้ได้ว่าตั้งใจฟังอยู่
เทคนิคการขยับคิ้ว มันเป็นเรื่องที่มักถูกมองข้ามเสมอ แต่มันให้ผลลัพธ์ดีมาก การเปลี่ยนสีหน้าให้เข้ากับเรื่องที่อีกฝ่ายพูด เป็นการแสดงออกว่ามีความรู้สึกร่วม ซึ่งคนเราจะรู้สึกดีกับคนที่มีความรู้สึกร่วมกับตัวเอง แค่ขยับคิ้วเล็กน้อยก็สื่ออารมณ์ได้มากพอแล้ว ดังนั้นระวังอย่าขยับคิ้วมากเกินไป แนะนำว่าตอนฟังเรื่องเศร้าให้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนฟังเรื่องสนุกสนานให้เลิกคิ้วนิดหน่อย และตอนฟังเรื่องน่าตกใจให้เลิกคิ้วสูงกว่าตอนฟังเรื่องสนุกสนาน พร้อมกับเบิกตาโต
วิธีฟังคู่สนทนาพูดเรื่องที่เรารู้ดีกว่า
ห้ามพูดว่าไม่ใช่แบบนั้น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากจะพูดมากกว่าฟัง ถ้าโดนขัดจังหวะการพูดก็จะรู้สึกไม่พอใจ ไม่ใช่แบบนั้น เป็นคำต้องห้ามในการสนทนา แต่ถ้าพูดคำนี้กับคู่สนทนามันจะกลายเป็นคำพูดอันตรายที่มีหนามแหลมคมทันที แทนที่จะพูดขัดจังหวะว่าไม่ใช่แบบนั้น ทางที่ดีให้ฟังอีกฝ่ายพูดจนจบก่อนแล้วค่อยพูดว่านั่นสินะ และแสดงความคิดเห็นของตัวเองไป แม้จะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของอีกฝ่ายก็ควรพูด นั่นสินะไว้ก่อน ถ้าอยากจะเปลี่ยนพฤติกรรมของใครสักคนก็ต้องเข้าหาคนนั้นด้วยหลักจิตวิทยาแทนหลักเหตุผล พูดง่าย ๆ ว่าอย่าพยายามพูดเอาชนะ ถ้าเราไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียหน้า เขาก็จะยอมรับคำพูดของเราแต่โดยดี
การฝึกทักษะการฟังของธุรกิจขายตรง ที่ทำให้ผู้พูดรู้สึกปลาบปลื้ม
ในธุรกิจขายตรงมีการฝึกแบบนี้ ในการฝึกนี้จะจับคู่กันแล้ว และให้คนนึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงให้อีกคนฟัง ผู้พูดต้องเล่าเรื่องเหมือนกัน 2 รอบ รอบแรกให้ผู้ฟังโดยไม่ต้องตอบสนองอะไรเลย ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรก็ตาม ส่วนรอบ 2 ให้ผู้ฟังแสดงปฏิกิริยาตอบสนองอย่างเต็มที่ โดยแสดงความรู้สึกว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าเป็นเรื่องที่สนุกที่สุดในโลก รอบแรกผู้พูดคงอยากจะร้องให้เลยทีเดียว เพราะไม่ว่าจะพูดอะไรอีกฝ่ายก็ไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนอง ส่งผลให้การพูดไม่ลื่นไหล แม้ผู้พูดจะยิ้มเจื่อนเพราะพูดตะกุกตะกัก แต่ผู้ฟังก็ยังทำหน้าสีหน้าเรียบเฉย พอเจอแบบนี้เข้าไป คนที่ร่วมการฝึกแบบนี้ครั้งแรกจะท้อใจในเวลาไม่ถึง 1 นาที
ในทางกลับกันรอบ 2 ผู้พูดจะรู้สึกสนุกมากทั้งที่เล่าเรื่องเดียวกันแบบรอบแรก แต่พอคนตรงหน้าแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง ด้วยการจ้องตาเป็นประกาย และพูดทำนองว่า โหมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ แล้วไงต่อหรอ หรือฮ่า ๆ ๆ ผู้พูดก็จะรู้สึกอย่างเล่าไปเรื่อย ๆ อันที่จริงการฝึกนี้ใช้วิธีทำให้ผู้พูดเกิดความรู้สึกกังวลก่อน แล้วค่อยสัมผัสความรู้สึกดีใจ และสบายใจทีหลัง เพื่อให้ผู้พูดยิ่งรู้สึกดีใจและสบายใจมากกว่าปกติ เป็นการฝึกที่แยบยลจริง ๆ
จงทำตัวเป็นหน้าม้า
สำหรับคนที่คิดว่าฉันเป็นคนพูดไม่เก่ง บางทีปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ทักษะการพูดของคุณ แต่อยู่ในทักษะการฟังคนรอบข้างมากกว่า สมัยที่ผู้เขียนทำยอดขายได้สูงสุด เขาเป็นวิทยากรที่ได้รับความนิยมด้วย และอันที่จริงเวลาวิทยากรท่านอื่นขึ้นไปพูดบนเวที เขายังได้รับความนิยมเล็ก ๆ จากอีกบทบาทหนึ่ง บทบาทนั้นก็คือจะนั่งอยู่ตรงกลางของที่นั่งแถวแรก แล้วชักจูงให้คนที่เข้าฟังสัมมนาแสดงกิริยาตอบสนองพูดง่าย ๆ ว่าเป็นหน้าม้านั่นเอง ถ้าพูดให้ดูดีขึ้นหน่อยก็คือผู้ประสานงาน (Coordinator) หรือผู้นำของผู้ชม (Audience leader) สิ่งสำคัญคือการฟังพลางแสดงปฏิกิริยาตอบสนองอย่างเป็นธรรมชาติ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือแค่ฟังโดยพยายามแสดงปฏิกิริยาตอบสนองในจังหวะที่เหมาะสม ก็ช่วยพัฒนาทักษะการพูดของตัวเองได้แล้ว
การทำแบบนี้จะช่วยให้เข้าใจว่าระหว่างที่ใครสักคนกำลังพูดช่วงเวลาแบบไหนที่ผู้ฟังจะตั้งใจฟัง และช่วงเวลาแบบไหนที่ผู้ฟังจะสมาธิหลุด จึงสามารถนำมาปรับใช้กับการพูดของตัวเองได้ ถ้าคุณไม่เคยแสดงปฏิกิริยาตอบสนองในเวลาที่ฟังคนอื่นพูดเลย ให้เริ่มจากการพยักหน้าและสบตาก่อน สำหรับตอนที่เข้าร่วมงานที่มีคนจำนวนมากอย่างงานสัมมนาหรือการประชุม แนะนำให้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่ต้องการได้เลย ถึงคนอื่นจะไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองแต่ก็ไม่ต้องไปสนใจ
บทที่ 6
เคล็ดลับที่ช่วยให้พูดเก่งระดับสุดยอด
การใช้ภาษากายสื่อสารได้ดีกว่าคำพูด การใช้ภาษากาย 4 แบบ ที่ช่วยให้กลายเป็นคนพูดเก่ง กฎของเมห์ราเบียนก็จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้เข้าใกล้ความเป็นคนพูดเก่งอย่างรวดเร็ว ข้อมูลจากการมองเห็นส่งผลต่อความประทับใจ 55% ส่วนคำพูดส่งผลต่อความประทับใจแค่ 7% ดังนั้นการฝึกใช้ภาษากาย จึงให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเปรียบเทียบเนื้อหาที่พูดอย่างมีนัยสำคัญ เรื่องที่น่ายินดีก็คือแค่เรียนรู้การเคลื่อนไหวร่างกายไม่กี่แบบ ก็จะกลายเป็นคนที่ใช้ภาษากายเก่งในทันที อาจจะรู้สึกว่าการพูดพร้อมกับเคลื่อนไหวร่างกายไปด้วยเป็นเรื่องยาก
รูปแบบการเคลื่อนไหวร่างกาย หรือการใช้ภาษากายควรจำหลัก ๆ แล้วมี 4 แบบดังนี้ 1.ยกมือขึ้นลง 2.โบกมือไปด้านข้าง 3.วนมือเป็นวงกลม 4.หยุดขยับมือ สำหรับคนที่ต้องการนำเสนอครั้งสำคัญ มันอาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง แต่แนะนำให้ซ้อมพูดโดยถ่ายคลิปไว้ด้วย ถ้าเป็นการพูดฝ่ายเดียวอย่างการนำเสนอละก็ ให้ถ่ายคลิปแล้วซ้อมพูดพร้อมกับฝึกใช้ภาษากายซ้ำไปซ้ำมาก็จะสามารถพัฒนาการพูดไปสู่ระดับโคตรเก่งได้อย่างง่ายดาย
ท่าทางที่ทำให้พูดเก่งอย่างเป็นธรรมชาติ
ท่าทางที่ถูกต้องคือกุญแจในการพัฒนาการพูด นอกจากภาษากาย (การเคลื่อนไหวร่างกาย) แล้วท่าทาง (การวางท่าทางร่างกาย) ก็สำคัญไม่แพ้กัน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม การเรียนรู้ท่าทางที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ คือกุญแจสำคัญในการพัฒนาท่าทางในการพูดได้ดี และทำให้ดูน่าเชื่อถือนั้น ในสถานการณ์ส่วนใหญ่จะเหมือนกันแน่นอนว่า ถ้าพูดแบบลงลึกแล้วท่าทางที่เหมาะสมที่สุดกับแต่ละสถานการณ์จะแตกต่างกันไป แต่ถ้าทางพื้นฐานมีรูปแบบที่กำหนดไว้ตายตัว เมื่อดูกระจกแล้วปรับปรุงตัวเองไปด้วย ท่าทางก็จะดีขึ้นอย่างง่ายดาย และกลายเป็นรากฐานในการพูด ท่าทางที่ควรทำตอนพูดต่อหน้าผู้คน โดยแบ่งออกเป็นเรื่องสีหน้า ลำตัว แขน และขา หากฝึกหน้ากระจกหรือถ่ายคลิปตอนตัวเองพูดเก็บไว้ แล้วปรับแก้ท่าทาง สีหน้า ก็จะพูดเก่งขึ้นโดยอัตโนมัติ
สีหน้า
แค่ใส่ใจกับอวัยวะ 2 ส่วนบนใบหน้า ก็สามารถแสดงสีหน้าได้ดีแล้ว อวัยวะส่วนดังกล่าวก็คือ คิ้วและมุมปากนั่นเอง อันดับแรกเวลาที่พูดคุย ให้ยกมุมปากทุกครั้ง คนที่สื่อสารไม่เก่งส่วนมากมักจะคว่ำปาก หรือเหยียดริมฝีปากเป็นเส้นตรงโดยไม่รู้ตัว ต้องแสดงสีหน้าในระหว่างที่สื่อสารกับคนอื่นเสมอ ไม่เฉพาะตอนนี้ตัวเองพูดเท่านั้น แต่ต้องแสดงสีหน้าทั้งตอนที่เป็นผู้ฟังและตอนที่คุยโทรศัพท์ ซึ่งอีกฝ่ายมองไม่เห็นหน้าด้วย สีหน้าทำให้เสียงเปลี่ยนไปอย่างมาก ดังนั้นตอนที่คุยโทรศัพท์จึงต้องแสดงสีหน้าสดใสเข้าไว้ ความจริงแล้วในการพูดคุยโทรศัพท์เสียงคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเหตุนี้กลายเป็นสาวสวยหรือหนุ่มหล่อจึงไม่มีประโยชน์ การพูดด้วยน้ำเสียงที่สร้างความประทับใจได้ จำเป็นต้องแสดงสีหน้าที่น่าประทับใจด้วย ตอนคุยโทรศัพท์จึงต้องใส่ใจกับการแสดงสีหน้า
ลำตัว
ไม่มีอะไรดีไปกว่าการนั่งหลังตรงอีกแล้ว แต่ถ้ายืดหลังตรงแบบเดียวกับตอนไปสัมภาษณ์งานก็อาจจะทำให้เกร็ง และดูไม่เป็นธรรมชาติได้ ให้ลองทำตาม 3 ขั้นตอนต่อไปนี้ ที่ช่วยทำให้มีท่าทางการนั่งที่ดูดี คือ 1. ลากเก้าอี้ออกมาเยอะ ๆ 2. นั่งให้เต็มก้น 3. พิงพนัก แต่สิ่งแรกที่ควรทำในการสื่อสารคือ การนั่งด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้ไม่เมื่อย เพราะความไม่เป็นธรรมชาติ และความเกร็งคือเป็นศัตรูตัวฉกาจของการสื่อสาร ความเมื่อยจะส่งผลให้แสดงท่าทางที่ดูไม่ดีโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเกร็งจนแสดงท่าทางที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ ก็จะไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ ให้นั่งพิงบนพนักแบบสบาย ๆ พร้อมกับจัดวางท่าทางให้ดูดี
แขน
ให้ขยับมือในขณะที่พูดไปด้วย แต่ตอนที่ไม่ได้ขยับมือ แนะนำให้อยู่ในท่าอกผายไหล่พึงเสมอ
ขา
มีทฤษฎีที่บอกว่า ท่าทางของขาก็ถ่ายทอดความรู้สึกได้เหมือนกัน จากประสบการณ์ของตัวผู้เขียนเองรู้สึกว่า ท่าทางของขามีส่วนช่วยให้สื่อสารได้ดีขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าได้รู้วิธีการวางท่าของขาอย่างถูกต้อง ก็น่าจะทำให้หลายคนสบายใจขึ้น จึงขอแนะนำท่าทางพื้นฐาน 2 แบบ โดยเน้นท่าทางของขาตอนนั่งเป็นหลัก ท่าทางแบบพื้นฐานแบบที่ 1 คือ ให้นั่งกางขาเล็กน้อย และวางเท้าให้แนบชิดกับพื้น ท่าทางแบบนี้จะทำให้คุณนั่งได้อย่างมั่นคง จึงพูดคุยด้วยเสียงดังฟังชัดได้ง่าย ท่าทางพื้นฐานแบบนี้ 2 คือ ให้เลียนแบบท่าทางของอีกฝ่ายการแสดงท่าทางแบบเดียวกัน จะทำให้เกิดปรากฏการณ์กระจกเงา (Mirroring effect) มันคือปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ว่า เมื่อเลียนแบบท่าทาง หรือบุคลิกของใครสักคน ๆ นั้นก็จะรู้สึกชื่นชอบในตัวเราได้ง่ายขึ้น
วิธีที่ช่วยให้จิตใจไม่หวั่นไหว
วิธีรับมือกับความตื่นเต้น การจะพูดให้เก่งขึ้นได้ จำเป็นต้องผ่อนคลาย แต่ก็ต้องมีจิตใจที่สงบนิ่งในระดับหนึ่ง ถึงจะแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมาได้ ความตื่นเต้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก ยิ่งเราบอกกับตัวเองว่า อย่าตื่นเต้น ก็ยิ่งส่งผลตรงกันข้าม ด้วยเหตุนี้จะมาแนะนำ 3 know how ที่ช่วยควบคุมความตื่นเต้น มันมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม และง่ายขนาดที่สามารถนำไปใช้ได้ในทันที คนที่ไม่ตื่นเต้น กับ คนที่ดูเหมือนไม่ตื่นเต้น ถ้ามองจากสายตาคนรอบข้างก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะใจเต้นแรงมากแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่มีใครดูออกก็เท่ากับว่าไม่ตื่นเต้น และเมื่อเผชิญกับความตื่นเต้นหลายครั้งเข้า ก็จะค่อย ๆ คุ้นชินกับการพูดต่อหน้าคนอื่น
วิธีที่จะช่วยให้จิตใจไม่หวั่นไหว 1 ปรับท่าทางให้ผ่อนคลาย
การสังเกตและจำท่าทางการยืนและท่าทางการนั่งที่ดี ซึ่งเป็นปกติมักทำเองตอนผ่อนคลาย จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งการทำให้ร่างกายดูใหญ่ขึ้น จะสร้างภาพลักษณ์ที่สง่าผ่าเผย สิ่งนี้ไม่เพียงตรงกับมนุษย์ทั่วโลก แต่ตรงกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกด้วย
วิธีที่ช่วยให้จิตใจไม่หวั่นไหว 2 หายใจลึก ๆ
การใส่ใจลึก ๆ จะทำให้เสียงที่พูดออกมามีความหนักแน่น ในทางกลับกัน ถ้าพูดโดยที่หายใจตื้น ๆ จะทำให้เสียงไม่มีน้ำหนักและไม่กังวาน นอกจาก นี้การหายใจลึก ๆ ยังช่วยในการปรับจังหวะการพูดอีกด้วย ก็เลยใจลึก ๆ จะทำหน้าที่ช่วยชะลอความเร็วในการพูด โดยปกติสถานการณ์ส่วนใหญ่ จะพูดช้ามากกว่าการพูดเร็ว ยิ่งถ้าเป็นตอนที่ตื่นเต้น ก็ยิ่งต้องพยายามหายใจลึก ๆ และพูดช้า ๆ เข้าไว้
วิธีที่จะช่วยให้จิตใจไม่หวั่นไหวซ้ำเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ และสง่าผ่าเผย
ถ้าทำตาม 2 วิธีก่อนหน้านี้ได้ ก็จะมีจิตใจที่ไม่หวั่นไหวโดยอัตโนมัติ แต่การเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ และสง่าผ่าเผยก็เป็นพื้นฐานที่สำคัญเช่นกัน ทางที่ดีให้หยิบเอกสารออกมาอย่างสง่าพาเผย แบบเดียวกับที่สตีฟ จอบส์ หยิบ macbook air ออกจากช่องเอกสารสีน้ำตาล ส่วนตอนโค้งคำนับ ก็ให้ก้มหัวต่ำลงอย่างช้า ๆ แค่ครั้งเดียว
บทที่ 7
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาอันทรงพลังที่ห้ามนำไปใช้ในทางที่ผิดเด็ดขาด
สิ่งนี้ต้องระวังเวลาใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา
หลังจากเพิ่มความสามารถในการสื่อสารแล้ว ที่เหลือแค่เรียนรู้วิธีใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาซึ่งเปรียบดังอาวุธ ข้อดีของอาวุธคือ ไม่ว่าใครก็ใช้ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน แต่การจะใช้อาวุธที่ทรงพลังได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องมีพลังเสียก่อน และในบทนี้ผู้เขียนจะแนะนำ 5 ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ใช้ประโยชน์ได้จริง และ 3 ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ต้องระวัง สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลัง โดยเฉพาะสำหรับคนที่ทำงานขาย แน่นอนว่าคนที่ไม่ได้ทำงานขายก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เช่นกัน โดยที่เปลี่ยนจากการนำไปใช้กับการขายสินค้า เป็นการนำเสนอตัวเอง หรือการขอร้องคนอื่นแทน
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ใช้ประโยชน์ได้จริง
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา 1 เพซซิง (Pacing) เทคนิคที่ทำให้คู่สนทนารู้สึกดี เพซซิงคือ เทคนิคการเพิ่มความสนิทสนม ด้วยการปรับท่วงทำนองการพูดเข้ากับผู้สนทนา พูดง่าย ๆ ว่าให้พูดโดยปรับความเร็ว จังหวะ น้ำเสียง และความดัง ให้เข้ากับคู่สนทนานั่นเอง ถ้าอยากพูดคุยแบบตัวต่อตัวอย่างสนุกสนานละก็ นี่ถือเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม ด้วยจังหวะในน้ำเสียงที่ใกล้เคียงกับอีกฝ่าย ก็จะรู้สึกได้ว่าคุยกันง่ายขึ้น นอกจากนี้ ถ้าคุ้นชินกับการใช้เทคนิคนี้แล้ว ให้ลองปรับเปลี่ยนท่วงทำนองการพูดเล็กน้อย ตามวิธีพูดของอีกฝ่ายดู หากปรับเสียงพูดโดยระวังไม่ดังกว่าอีกฝ่ายมากจนเกินไป ก็จะเป็นผู้นำในการสนทนาได้ง่ายขึ้น และสามารถควบคุมจังหวะการพูดของอีกฝ่ายได้
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา 2
ปรากฏการณ์ของแอนเคอริง (Anchoring effect)
เทคนิคที่ใช้ในงานขายจริง
ปรากฏการณ์แอนด์เคอร์ริ่ง คือปรากฏการณ์ทางหลักจิตวิทยาที่ว่า ตัวเลขหรือเงื่อนไขที่บอกไว้ตอนแรก (หลักยึด) จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในภายหลัง นี่เป็นเทคนิคการบอกราคาสินค้าให้สูงกว่าราคาจริง แล้วลดราคาลงมาเยอะ ๆ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้านั้นราคาถูก ความรู้สึกที่มีต่อคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ จะแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับว่าใช้อะไรเป็นหลักยึด ซึ่งถ้าใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์แอนด์เคอร์ริ่งได้อย่างช่ำชอง ก็จะสามารถขายทุกอย่างในราคาที่ต้องการได้
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา 3
ปรากฏการณ์ดีเดอโรต์ (Diderot effect)
เทคนิคที่ทำให้อยากได้ของครบชุด
ปรากฏการณ์ดีเดอโรต์ อธิบายง่าย ๆ ก็คือปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ว่า ครั้งที่ซื้อของอย่างเดียวก็พอแล้ว แต่กลับอยากซื้อของอย่างอื่นให้เข้าชุดกันด้วย ปรากฏการณ์ดีเดอโรต์ มีที่มาจากเดอนีส์ ดีเดอโรต์ นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในห้องโทรม ๆ โดยเมื่อดีเดอโรต์ได้รับของขวัญจากเพื่อนที่เป็นเสื้อโค้ทสีแดงหรู เขาก็ถือโอกาสซื้อเฟอร์นิเจอร์หรูหรา ที่เข้ากับเสื้อโค้ชตัวนั้นมาไว้ในห้องด้วย
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา 4
ปรากฏการณ์ความขาดแคลน (scarcity effect)
เทคนิคที่ช่วยลดการยั้งคิด
ปรากฏการณ์ความขาดแคลน เป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ว่า ยิ่งเป็นของหายากก็ยิ่งรู้สึกว่ามันมีคุณค่าสูง สิ่งที่มันทรงพลังอย่างมาก คือการสร้างแรงกดดันว่าถ้าไม่ซื้อตอนนี้ก็จะหาซื้อไม่ได้แล้ว เทคนิคการขายแบบนี้ใช้กันมานานแล้ว แต่ประสิทธิภาพของมันไม่ได้ด้อยลงเลย บางทีอีก 100 ปีข้างหน้า ก็ยังคงพูดเชิญชวนให้ซื้อสินค้าแบบนี้อยู่
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา 5
รีเฟรมมิ่ง (refleming)
เทคนิคที่ใช้ในการควบคุมความรู้สึกคน
รีเฟรมมิ่งคือการเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อสิ่งหนึ่งให้ต่างไปจากเดิม เช่นเปลี่ยนจากการมองว่าเหลือน้ำแค่ครึ่งแก้ว เป็นเหลือน้ำตั้งครึ่งแก้ว ประเด็นสำคัญคือวิธีพูด แค่เปลี่ยนวิธีพูดเล็กน้อยโดยไม่โกหก ก็ให้ความรู้สึกต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว โดยพื้นฐานแล้ว มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนไหวกับเรื่องการขาดทุนมากกว่าการได้กำไร สรุปก็คือ อยากให้คนตรงหน้ามองเรื่องบางอย่าง จากมุมมองไหนก็ขึ้นอยู่กับวิธีพูด
สร้างปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ต้องระวัง
ปรากฏการณ์บูมมาแรง (Boomerang effect) ที่ทำให้ผลลัพธ์ตรงข้ามกับที่ตั้งใจไว้ 2 เงื่อนไข ที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์บูมมาแรงได้ง่าย มีดังนี้ 1. ยัดเยียดมากเกินไป 2. จงใจเกินไป (ไม่เป็นธรรมชาติ) ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม หากทำมากเกินไปก็จะส่งผลตรงกันข้ามได้ ดังนั้น เวลาจะใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา จึงต้องระวังเรื่องนี้ไว้ด้วย ถ้าใช้มันอย่างเป็นธรรมชาติ มันก็จะแสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่
ปรากฏการณ์ (Undermining effect) ที่ลดแรงจูงใจของอีกฝ่าย
ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ว่า เมื่อเราทำอะไรสักอย่างด้วยความสนุก ถ้ามีคนชมหรือให้รางวัลก็จะเปลี่ยนไปทำสิ่งนั้น เพราะอยากได้รางวัลตอบแทน ซึ่งถ้าไม่ได้รับสิ่งที่อยากได้ก็จะไม่ทำต่อ ถ้าอธิบายด้วยศัพท์ทางจิตวิทยาก็คือ การให้แรงจูงใจภายนอกกับสิ่งที่คน ๆ หนึ่งทำด้วยแรงจูงใจภายใน จะส่งผลให้แรงจูงใจของคนนั้นลดลง มนุษย์ไม่สามารถพยายามเพื่อรางวัลผลตอบแทนเป็นเวลานาน ๆ ได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือ การละเมิดอีกฝ่ายตระหนักว่าตัวเขาทำเพราะอยากทำ และห้ามทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าถ้าทำแล้วจะได้รับรางวัลตอบแทน หากต้องการที่จะชักจูงคนอื่น อย่าใช้วิธีสิ้นคิดอย่างตั้งเงื่อนไขแลกเปลี่ยน หรือการให้รางวัล แต่ให้ชักจูงด้วยการสื่อสาร เพราะจะส่งผลดีในระยะยาวมากขึ้น
หลักการตอบแทนซึ่งกันและกัน (Norm of reciprocity) บางครั้งก็ส่งผลในทางลบ
มันคือปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ว่า เมื่อให้อะไรบางอย่างกับอีกฝ่ายก่อน อีกฝ่ายก็จะตอบแทนกลับมา ตัวอย่างใกล้ตัวที่พบได้บ่อย ๆ ก็คือมุมชิมฟรีในซุปเปอร์มาเก็ต พอลูกค้าได้ชิมฟรีแล้ว ก็จะรู้สึกว่าต้องซื้อ ซึ่งทำให้ขายสินค้าได้มากขึ้น หลักการตอบแทนซึ่งกันและกัน เป็นปรากฏการณ์ทางหลักจิตวิทยาที่ทรงพลัง แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีก็อาจส่งผลในทางลบได้ เนื่องจากมันทรงพลังมาก เวลาที่ผลลัพธ์เป็นไปในทางตรงกันข้าม ผลกระทบในเชิงลบที่เกิดขึ้นจึงมีมากเช่นกัน ดังนั้น เวลาที่อยากจะนำเสนออะไรบางอย่าง โดยใช้ประโยชน์จากหลักการตอบแทนซึ่งกันและกัน ระวังอย่าให้มันบั่นทอนแรงจูงใจภายในของอีกฝ่าย
บทส่งท้าย
ในแต่ละปีมีดและรถยนต์ ต่างก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นี่เป็นความจริง ตราบใดที่ยังอยากผลิตมีด ไม่ว่าอย่างไรก็คงมีคนถูกแทง และตราบใดที่ยังมีการผลิตรถยนต์ อุบัติเหตุบนท้องถนนก็ไม่มีทางหมดไป แต่ในขณะเดียวกัน เรื่องที่คนจำนวนมากกว่านั้นได้รับประโยชน์จากมีดและรถยนต์นั่น ก็เป็นความจริงเช่นกัน มีดผ่าตัดก็ถือเป็นมีดชนิดหนึ่ง รถพยาบาลและรถดับเพลิงถือเป็นรถยนต์ มันก็เหมือนกับเทคนิค ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคแบบไหนก็ตาม ผลลัพธ์ของมันจะแตกต่างกันโดยขึ้นอยู่กับวิธีการใช้ เทคนิคใดก็ตามที่แพร่หลาย และมีการพัฒนามากขึ้นเท่าไหร่ สัดส่วนของผลลัพธ์ที่ดีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ตราบใดที่สมองยังมีอิทธิพลต่อการกระทำของมนุษย์ เทคนิคการล้างสมองหรือเทคนิคการควบคุมจิตใจ ก็ยังคงเป็นเทคนิคที่ทรงพลังเหมือนวิทยาศาสตร์ ที่ก้าวหน้าขึ้นและมีข้อมูลที่ต้องรับรู้เพิ่มมากขึ้น เทคนิคที่ใช้ต้องหลอกลวงคนหรือทำให้คนสับสน ก็คงเพิ่มขึ้นมากขึ้นไปด้วย ในยุคสมัยแบบนั้นการทำให้ know how เป็นเรื่องการล้างสมอง หรือการควบคุมจิตใจเป็นที่แพร่หลาย พร้อมกับพัฒนาขึ้น จะช่วยยกระดับสังคมให้ปลอดภัยและมั่งคั่งมากขึ้น ปรารถนาว่าคำพูดจะเป็นดังมีดผ่าตัดของแพทย์มือดี ที่ช่วยชีวิตผู้คนได้มากมาย.