วิธีอ่านคนให้ทะลุถึงใจ

สรุปหนังสือ : HOW TO READ A PERSON LIKE A BOOK

วิธีอ่านคนให้ทะลุถึงใจ

ให้รู้ว่าใครคิดอะไรและคิดอย่างไรกับเรา

หนังสือเล่มนี้สอนให้อ่านกริยาท่าทางของคนให้เป็น เพราะไม่ว่าเพื่อน คนรัก เจ้านาย ลูกค้า หรือใครก็ตาม ต่างสื่อภาษาท่าทางผ่านทางร่างกาย ที่ถ่ายทอดเจตนาที่แท้จริงของพวกเขาได้มากกว่าคำพูด หนังสือเล่มนี้เขียนโดยผู้เชียวชาญในเรื่องการเจรจาต่อรอง ซึ่งให้คำแนะนำที่นำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน คำกล่าวที่ว่า รู้หน้าไม่รู้ใจนั้น สอนให้ไม่เชื่อคนง่าย แต่ถ้าจะอ่านให้ออกว่าคนไหนพูดจริง คนไหนหลอกลวง หรือจะให้เป็นผู้ชนะในการเจรจาต่อรองนั้น จะต้องอ่านคนจากคำพูด ประกอบกิริยาท่าทางของเขา นั่นเป็นเพราะคนเรา จะสื่อความรู้สึกในใจออกมาอย่างเปิดเผยผ่านกริยาท่าทาง ถ้าคำพูดตรงกับอารมณ์และท่าทางที่แสดงออกไป แสดงว่าเขาอาจจะพูดความจริงอย่างนั้น ต้องค้นหาความสอดคล้องกันระหว่างคำพูด กับกิริยาท่าทางที่แสดงออกมา ซึ่งจะช่วยในการตัดสินใจ ทั้งในการติดต่อธุรกิจ และชีวิตประจำวันให้ดีขึ้นได้

หนังสือวิธีอ่านคนให้ทะลุถึงใจฉบับปรับปรุง How to read a person like a book เล่มนี้เขียนโดย จีรร์าด ไอ. ไนเรนเบอร์ก และ เฮนรี่ เอช. คาเลโอ 2 ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการเจรจาต่อรอง และการอ่านคน ซึ่งได้ทำการวิจัยโดยถ่ายทำวีดีโอ เพื่อสังเกตกิริยาท่าทางคนที่แสดงออกมาจำนวนกว่า 2,500 ชีวิต โดยมีภาพตัวอย่างประกอบกว่า 100 ภาพที่เข้าใจง่าย พร้อมทั้งวิเคราะห์และให้แนวทางในการแก้ไขเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้อ่านคน และรู้ลึกถึงสิ่งที่คนคนนั้นคิดอย่างแท้จริง

1

เรียนรู้วิธีอ่านคน

จากกิริยาท่าทางการแสดงออก

เพื่อให้รู้ในใจเขาว่าคิดอย่างไร

กิริยาท่าทางต่าง ๆ ที่คนเราแสดงออกมานั้น ทำให้ถ้อยคำที่พูดออกมามีความหมายสมบูรณ์ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแม้แต่ใช้แทนกันก็ได้ ทำให้สามารถเรียนรู้ชีวิตได้จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน สถานการณ์ของชีวิตจริง ไม่สามารถเข้าใจความหมายของกริยาท่าทางได้ด้วยการทดลองในห้องทดลอง เพราะการทำเช่นนั้น เป็นความพยายามศึกษากริยาท่าทางเป็นอย่าง ๆ ไป ไม่ใช่กลุ่มของกิริยาท่าทางที่แสดงออกมาอย่างมีความหมาย ซึ่งการอ่านกริยาท่าทางของคน เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตจริงของมนุษย์ และเป็นวิธีที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารให้เข้าใจกัน โดยสัญชาตญาณมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์

องค์ประกอบอย่างหนึ่งที่เป็นข้อจำกัด การศึกษากริยาท่าทางของคนก็คือ การไม่สามารถจำลองสถานการณ์ ให้เหมือนกับที่สังเกตได้จากสถานะการณ์จริง แก้ปัญหานี้ด้วยการศึกษาจากวีดีโอ ที่ได้บันทึกกลุ่มลักษณะท่าทางมีความหมายคือ มันเป็นกลุ่มของการสื่อสาร โดยแสดงกิริยาท่าทางออกมา ซึ่งสัมพันธ์กับลักษณะอาการที่แตกต่างกัน กิริยาท่าทางต่าง ๆ ที่รวมกันเป็นกลุ่มนั้นอาจจะเกิดพร้อมกัน เช่น คนที่แสดงท่าทางก่อนไปพร้อม ๆ กัน หรืออาจเกิดขึ้นทีละอย่างก็ได้ ในการบันทึกวีดีโอนั้น ใช้เครื่องมือที่ดีในการจับภาพ และบันทึกกลุ่มลักษณะท่าทางเหล่านี้ รวมทั้งบทบาทของผู้เข้าร่วมสัมมนาเอาไว้ เพื่อเป็นวัตถุดิบให้วิเคราะห์กริยาท่าทาง ในสถานะการณ์ของการเจรจาต่อรอง

ซิกมันด์ ฟรอยด์ กล่าวไว้ว่า คนที่ขาดสติอาจจะตอบโต้โดยไม่ยั้งคิดได้ การมีปฏิกิริยาออกมาอย่างไม่รู้ตัวนั้น ก็จะกลายเป็นการโต้ตอบโดยใช้ความจริงที่ไม่ได้ตรวจสอบ ดังนั้นก่อนที่จะมีกริยาตอบโต้กลับ จึงควรจะยั้งคิดเสียก่อน ถ้าหยุดและอ่านกริยาท่าทางต่าง ๆ อย่างมีสติ และเปิดโอกาสให้ตัวเองทดสอบ ทบทวนท่าทางนั้น ๆ มันจะเป็นการช่วยพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง การตีความหมายปฏิกิริยาคนอื่นเร็วเกินไป หรือกิริยาท่าทางที่ไม่ชอบนั้น อาจจะเป็นเพียงนิสัยแปลก ๆ ของคน ๆ นั้นก็ได้ หรือแม้กระทั่งการสื่อสาร ท่าทางเดียวกันแต่ต่างวัฒนธรรมกัน ความหมายและการมีปฏิกิริยาโต้ตอบก็ต่างกันด้วย

เมื่ออ่านคนจากกิริยาท่าทางต่าง ๆ โดยรวมจะทำให้เข้าใจความคิด และสิ่งที่อยู่ในใจของเขามากขึ้น กิริยาท่าทางแต่ละท่าทางก็เปรียบเสมือนคำในภาษา ถ้าอยากเข้าใจภาษานั้นก็ต้องนำมาผูกเป็นกลุ่มคำหรือประโยค เพื่อให้อธิบายความคิด และความหมายที่สื่อออกมาทั้งหมดได้ ท่าทางที่สอดคล้องกัน ไม่เพียงจะบอกว่าท่าทางเหล่านั้นจะเข้ากันได้เท่านั้น แต่ยังบอกถึงความหมายที่ตรงกัน ของท่าทางและคำพูดของคน ๆ นั้นที่สื่อออกมาอีกด้วย

ท่าทางที่สอดคล้องกลมกลืนกัน เป็นการจัดระเบียบการแสดงออกของมนุษย์ ซึ่งทำให้การตีความหมายเป็นไปได้ง่าย แต่ปัญหาของการเฝ้าสังเกตความสอดคล้องของท่าทางก็คือ มักจะไม่ใส่ใจมันทั้งคำพูด รวมถึงกิริยาท่าทาง เข้าทำนองเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ถึงแม้ว่าการอ่านท่าทางในครั้งแรก ๆ นั้นจะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าฝึกฝนทุก ๆ วันก็จะทำได้ง่ายขึ้น เหมือนกับที่ฝึกฝนภาษาพูด ต้องนำท่าทางทั้งหมดที่เห็นมาประกอบกันเป็นกลุ่มท่าทาง แล้วดูว่ามันสอดคล้องกันหรือไม่ ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้เข้าใจความหมายที่แท้จริง จากการสื่อสารของคนนั้น ๆ ได้

ประโยชน์ที่จะได้จากการอ่านคน และเข้าใจความหมายที่แท้จริง จากกริยาท่าทางของเขา กระบวนการสื่อสารนั้นไม่ได้มีแค่การพูดและการเขียน แต่ยังรวมถึงการแสดงกิริยาท่าทางด้วยปัญหาไม่ได้เกิดจากคำพูด วิธีการพูด หรือความคิด แต่การสื่อสารนั้นขึ้นอยู่กับระดับการรับฟังของอีกฝ่าย ว่าจะเข้าใจหรือมีส่วนร่วมในการแสดงออก ด้วยกิริยาท่าทางที่จะสื่อออกไปได้มากน้อยเพียงใด แต่จำไว้ว่าอารมณ์ นิสัย และท่าทางการแสดงออก ย่อมไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ ดังนั้นอย่าได้เหมารวมผู้คนทุก ๆ คนไว้ในกลุ่มเดียวกัน

การสังเกตและการรับรู้ท่าทางของคนเป็นเรื่องง่าย แต่การตีความนั้นเป็นเรื่องยาก การตีความหมายของกิริยาท่าทางที่แสดงออกมานั้น ก็เหมือนกับการตีความหมายของคำพูด นั่นคือต้องคิดถึงหลาย ๆ อย่างประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ หลักฐานอื่น ๆ และท่าทางที่สอดคล้องกัน

การตอบสนองหรือการให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) จะทำให้การสื่อสารนั้นสมบูรณ์ และกลุ่มของท่าทางก็จะเป็นการตอบสนองที่สำคัญอย่างหนึ่ง กลุ่มของท่าทางจะแสดงความเคลื่อนไหวที่แท้จริง ของบุคคลหรือกลุ่มนั้น ๆ ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ว่าที่เขาพูดออกไปนั้นเป็นไปในด้านบวกหรือลบสำหรับผู้ฟัง หรือผู้ฟังนั้นมีการเปิดใจรับฟังหรือปกป้องตนเอง มีการควบคุมอารมณ์ตัวเองหรือเบื่อ ซึ่งนักพูดมักจะเรียกสิ่งนี้ว่าการรับรู้ของผู้ฟัง จะบอกให้รู้ว่าต้องเปลี่ยนแนวการพูด ถอนตัว หรือทำอะไรบางอย่างที่ต่างไปจากเดิม เพื่อจะได้เข้าสู่เป้าหมายที่ต้องการ เพราะถ้าไม่เข้าใจท่าทางนั้น ก็จะล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

ในการสื่อสารถึงความเชื่อมั่นและความจริงใจ ให้กับบุคคลหรือกลุ่มผู้ฟังนั้น ๆ มีทนายคนหนึ่งซึ่งเคยเข้าร่วมสัมมนา การสื่อสารด้วยกริยาท่าทาง เขาเล่าว่า ลูกความคนหนึ่งมาหาเขา และนั่งอยู่ในท่ากอดอกอีกทั้งถ้อยขาในท่าป้องกันตัว และพูดเตือนเขาเรื่องต่าง ๆ นานเป็นชั่วโมง เมื่อทนายสังเกตเห็นท่าทางเช่นนั้น ก็เลยให้ลูกความคนนั้นระบายสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงออกมา ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างความรู้สึกที่ดี และเป็นการเปิดใจยอมรับเขา หลังจากนั้นทนายก็สามารถให้คำแนะนำว่า ควรจะจัดการสถานการณ์ที่ลูกความรู้สึกว่ายุ่งยากได้อย่างไร เขาบอกว่าถ้าไม่ได้เข้าร่วมการสัมมนาแล้ว ก็คงไม่สามารถที่จะทำให้ลูกความยอมรับเขา เพราะว่าเขาอาจจะอ่านความต้องการของลูกความไม่ออก และอาจจะให้คำแนะนำที่ไม่ตรงกับความต้องการออกไป

ศิลปะการเข้าใจการสื่อสารด้วยกริยาท่าทาง ก็คือการใช้ความอดทน และศึกษาวิเคราะห์อย่างจริงจัง ซึ่งยากพอ ๆ กับการพูดภาษาต่างประเทศให้คล่องแคล่ว นอกจากนี้ถ้าต้องการเข้าใจกิริยาท่าทางของตัวเอง และต้องการให้คนอื่นรู้ถึงความหมายของกิริยาท่าทางของตัวเอง ขอแนะนำให้ใช้เวลาอย่างน้อยวันละ 10 นาที ในการอ่านท่าทางของคนอื่นอย่างจริงจัง ในสถานที่ที่มีผู้คนอยู่รวมกันมาก ๆ ซึ่งเป็นแหล่งที่ดีสำหรับการฝึกฝนการอ่านคนให้ทะลุถึงใจ

2

วิธีอ่านคนให้ทะลุถึงใจ

จากสีหน้าท่าเดินและการจับมือ

บางทีการตีความหมายของท่าทางแตกต่างกันไปตามคนที่ตีความ แต่ต้องจำไว้ว่าแต่ละท่าทางคือวัตถุดิบที่ใส่เข้าไป และความหมายนั้นเกิดจากการอ่านท่าทางต่าง ๆ ที่แสดงออกมาประกอบกัน จงอย่าหมกมุ่นอยู่กับท่าทางเพียงท่าทางเดียว และอย่าด่วนตัดสินใจทั้งที่ยังไม่รู้ถึงกลุ่มท่าทาง ซึ่งแสดงออกมาก่อนหน้า รวมทั้งท่าทางอื่น ๆ ที่ตามมา

วิธีอ่านคนให้ทะลุถึงใจ จากการแสดงออกทางสีหน้า การแสดงออกทางสีหน้าเป็นกิริยาที่อ่านความหมายได้ง่ายที่สุด ในระหว่างการเจรจาต่อรองธุรกิจ จะสังเกตเห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่หลากหลาย บางคนแสดงความแข็งกร้าวออกมา ราวกับที่ประชุมเป็นสนามรบ ดวงตาที่เขามองจะเบิกกว้าง คิ้วขมวด หางคิ้วตก เม้มปาก พูดลอดไรฟัน หรืออีกคนที่มีบุคลิกที่สมบูรณ์แบบ มองด้วยสายตาแบบซื่อ ๆ เปลือกตาหย่อน ยิ้มน้อย ๆ ไม่มีรอยย่นบนหน้าผาก ซึ่งบุคคลประเภทนี้เป็นคนที่มีความสามารถ ชอบการแข่งขัน เป็นคนที่เชื่อในเรื่องความร่วมมือ

การสื่อสารของคน สามารถอ่านได้จากการแสดงออกทางสีหน้า ทีมนักวิจัยชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งนำโดย คริสโตเฟอร์ แบรนนิแกรนด์ และเดวิด ฮัมฟรีย์ ได้จัดรวบรวมและแยกท่าทางต่าง ๆ ไว้ทั้งหมด 135 ประเภท เป็นการแสดงออกทางสีหน้า 80 ท่าทาง บันทึกการยิ้มแบบต่าง ๆ กันไว้ทั้งหมด 9 ประเภท แต่ยิ้มแบบพื้นฐานนั้นมี 3 ประเภทคือ ยิ้มเฉย ๆ ยิ้มน้อย และยิ้มกว้าง วิเคราะห์กันว่า

ยิ้มเฉย ๆ จะยิ้มแบบไม่เห็นฟัน จะเห็นได้จากคนที่ยิ้มปฏิเสธคำชวนไปร่วมกิจกรรมนอกบ้าน หรือยิ้มให้ตัวเอง

ยิ้มน้อย จะยิ้มจนเห็นฟันซี่หน้า และจะมีการใช้สายตาด้วย

ยิ้มกว้าง เห็นได้ในขณะที่เด็กเล่นกัน ซึ่งจะหัวเราะไปพร้อมกันด้วย

แต่การยิ้มนั้นไม่จำเป็นต้องแสดงถึงความสุขเสมอไป ด็อกเตอร์ อีแวน แกรนท์ แห่งเบอร์มิงตันบอกไว้ว่า จงระวังการแสดงของอาการฉีกยิ้ม ที่อาจหลอกให้ตีความหมายผิดไปได้ เพราะใช้ยิ้มแบบนี้แสดงถึงความสุภาพตามมารยาท

คนจะใช้การสื่อทางตาในขณะที่ฟังมากกว่าพูด เมื่อถูกถามในสิ่งที่เขาไม่สบายใจหรือรู้สึกผิด พวกเขาจะแสดงสายตาไม่ชอบใจออกมา และถ้าคำถามนั้นเป็นการรุกราน หรือแสดงความเป็นศัตรูแล้ว สายตานั้นจะยิ่งทวีความไม่พอใจมากขึ้น บางทีอาจจะเห็นม่านตาเขาขยายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ทุก ๆ คนย่อมมีข้อยกเว้น นั่นก็คือการสื่อสารทางตานั้นขึ้นอยู่กับบุคคล และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันด้วย คนที่หลบตาอาจเกิดจากความรู้สึกกระดากอาย ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนดี ซื่อสัตย์ และชอบช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามถ้าเขาไม่ยอมมองหน้าคนอื่น อีกฝ่ายก็จะคิดว่าเขากำลังทำตัวน่าสงสัย และหลีกเลี่ยงความจริงอยู่ก็ได้

การชำเลืองมองทางด้านข้างนั้น ทั้งชาวสเปนและอังกฤษรู้กันว่าเป็นการมองแบบขโมย คนพวกนี้เป็นพวกทำตัวลึกลับ มองเพื่อไม่ให้ถูกจับได้ว่ากำลังมองอยู่ และแบบสุดท้ายก็คือ การหรี่ตามอง เปลือกตาที่ปิดลงมานั้นไม่ใช่การปิดลูกตา แต่เป็นการเพ่งมองในสิ่งที่ตัวเองสนใจ ความไม่พอใจ หรือความขัดแย้งนั้น อาจจะแสดงออกมาด้วยอาการนิ่วหน้า ส่วนความอิจฉาหรือความไม่เชื่อใจ ก็จะใช้อาการเลิกคิ้วข้างหนึ่ง หรือถ้ามองศัตรู กรามก็จะขบกันเป็นสันนูนและชายตามอง เด็กผู้ชายหัวดื้อตัวน้อย ๆ จะเชิดคางใส่เพื่อแสดงการต่อต้านพ่อแม่ การแสดงออกถึงความเป็นศัตรูนั้น นอกจากจะดูที่กรามแล้ว ให้ดูที่ริมฝีปากด้วย มันจะปิดแน่นและเหยียดตรง แสดงว่าเริ่มเข้าสู่สภาวะป้องกันตัว และจะมีปฏิกิริยาตอบกลับน้อย ซึ่งการแสดงขั้นต่อไปก็คือ การเม้มปาก

วิธีอ่านคนให้ทะลุถึงใจจากท่าทางการเดิน คนเราต่างก็มีท่าทางการเดินที่แตกต่างกัน ซึ่งจะทำให้เป็นที่จดจำของคนอื่น ๆ ได้ง่าย บุคลิกลักษณะนั้นเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของร่างกาย แต่ท่าก้าวเดิน ความยาวของฝีเท้า และการวางท่านั้น เปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ เด็กที่มีความสุขจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วด้วยฝีเท้าที่เบา แต่ถ้าอยู่ในอารมณ์เศร้า ไหล่ก็จะห่อ และก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเหมือนกับพื้นรองเท้านั้นทำด้วยตะกั่วถ่วงให้หนักอยู่

โดยทั่วไปผู้ใหญ่ที่เดินเร็ว ๆ และแกว่งแขนไปมาอย่างอิสระ มักจะเป็นคนที่ต้องการจะไปให้ถึงจุดหมาย หรือสิ่งที่หวังเอาไว้ ส่วนคนที่เดินเอามือล้วงกระเป๋า แม้ยามที่อากาศอบอุ่นไม่ได้หนาว จะดูเป็นคนลึกลับและระมัดระวังตัว เมื่อใดก็ตามที่คนรู้สึกสลดหดหู่ใจ ก็มักจะเดินลากขาเอามือล้วงกระเป๋า และไม่ค่อยเงยหน้าขึ้นมอง หรือสังเกตว่าตนเดินไปทางไหน ปกติแล้วคนที่อยู่ในอารมณ์นี้ มักจะมองทุกอย่างที่อยู่บนพื้น

คนที่เดินเอามือเกาะสะโพก เป็นคนที่ต้องการจะไปให้ถึงจุดหมาย ด้วยทางและเวลาที่สั้นที่สุด พละกำลังของเขาจะปะทุขึ้นมาตามช่วงเวลาที่เขาชะงักไป เพื่อวางแผนการเคลื่อนไหว

คนที่มีปัญหากลัดกลุ้ม มักจะเดินท่าเข้าฌาน ก้มศีรษะ เอามือไขว้หลัง ก้าวเดินอย่างช้า ๆ และจะหยุดเตะก้อนหิน หรือก้มลงไปพลิกดูเศษกระดาษแล้ววางไว้ตามเดิม

การเดินเป็นจังหวะ เป็นการแสดงท่าทางการเดินของเหล่าผู้นำ ที่มีลูกน้องเดินตามราวกับลูกเป็ดเดินตามแม่ ซึ่งแสดงถึงความจงรักภักดี และความเสียสละของผู้ตาม ถ้าศึกษาผู้นำหรือผู้บริหารขององค์กรต่าง ๆ มันก็มีประโยชน์ต่อตัวเองเช่นเดียวกัน

วิธีอ่านคนให้ทะลุถึงใจจากการจับมือทักทาย การจับมือทักทายดัดแปลงจากท่าทาง ที่ยกมือทั้งสองข้างขึ้น เพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาวุธในมือ มาตั้งแต่ครั้งสมัยดึกดำบรรพ์ ต่อมาในสมัยจักรวรรดิโรมัน ก็มีการแสดงความเคารพกันโดยใช้มือข้างหนึ่งวางบนหน้าอก ส่วนผู้ชายจะทักทายกันด้วยการจับต้นแขนกันและกันแทนการจับมือ ส่วนการจับมือในสมัยนี้ เป็นการแสดงถึงการต้อนรับ มือที่ประสานกันนั้นแสดงถึงความเปิดเผย การสัมผัสก็แสดงถึงความเป็นมิตรกัน ประเพณีการจับมือในแต่ละประเทศนั้นย่อมแตกต่างกันออกไป ควรจะศึกษาวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้น ๆ ก่อนจะคิดไปเองว่าการจับมือนั้น เป็นการสื่อความหมายอะไร

สรุปก็คือ การอ่านความหมายกิริยาท่าทางของคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเป็นเรื่องยาก ดังนั้นจงอย่าด่วนตัดสินใจเพียงแค่เห็นการแสดงออกทางสีหน้า ท่าทางการเดิน หรือการจับมือเท่านั้น ให้เก็บการตัดสินใจไว้ในใจก่อน จนกว่าจะได้เรียนรู้การอ่านกริยาท่าทางอื่น ๆ ประกอบกันเพื่อที่จะสามารถหาความหมายที่แท้จริงได้ถูกต้องยิ่งขึ้น

3

วิธีอ่านคนเพื่อให้รู้ว่า

เขากำลังแสดงการเปิดเผยหรือปกป้องตนเอง

กำลังประเมินสถานการณ์หรือคิดระแวงสงสัย

ส่วนใหญ่แล้วคนเราจะสื่อความรู้สึกในใจออกมาอย่างเปิดเผย ผ่านกิริยาท่าทาง ถ้าคำพูดตรงกับอารมณ์และท่าทางที่แสดงออกไปนั้น มีแนวโน้มแสดงว่าเขาก็อาจจะพูดความจริง ดังนั้นจึงต้องค้นหาความสอดคล้องกัน ระหว่างคำพูดกับกิริยาท่าทางที่แสดงออกมา รวมทั้งท่าทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่าทางเดียว ๆ หรือกลุ่มของท่าทางก็ตาม ซึ่งจะช่วยเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ทั้งในการติดต่อธุรกิจและชีวิตประจำวัน

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคุณคนนั้นกำลังแสดงความเปิดเผยหรือจริงใจ เมื่อคนเราคิดที่จะอ่านความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป โดยการสังเกตดูท่าทางต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดแล้ว เขามักจะถามว่าแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคนคนนั้นพูดจริงหรือโกหก ให้สังเกตจากท่ายืน การแสดงออกทางสีหน้า และความสอดคล้องกันระหว่างท่าทางต่าง ๆ กับคำพูดแล้ว ซึ่งก็จะได้ฝึกความสามารถในการจำแนกแยกแยะว่า คนไหนที่โกหกและคนไหนที่เป็นคนพูดจริง

ท่าทางที่แสดงออกถึงการเปิดเผยมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแบมือทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นท่าทางที่แสดงถึงความเปิดเผยจริงใจ ซึ่งอาจจะยักไหล่ไปด้วย ผู้ชายที่เปิดเผยหรือเป็นกันเอง มักจะปลดกระดุม หรือถอดเสื้อโค้ทของเขาออกในขณะคุยกัน พฤติกรรมของสัตว์เวลาจะสื่อสารว่ายอมจำนนนั้น การยอมจำนนเป็นการเปิดเผยแบบหนึ่ง มันจะนอนหงายท้องและเปิดคอให้ฝ่ายตรงข้าม ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่สัตว์ที่เป็นศัตรูกันก็ไม่ถือโอกาสเข้ารุกรานเพื่อเอาชนะ

จากการวิเคราะห์พบว่า พวกผู้ชายที่พูดคุยกันโดยไม่กลัดกระดุมเสื้อโค้ทนั้น มีโอกาสสูงที่จะตกลงกันได้ ผู้ชายที่ยืนกอดอกในลักษณะท่าทางปกป้องตนเอง จะกลัดกระดุมเสื้อของเขาทุกเม็ด แล้วถ้าเขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ก็จะคลายวงแขนออกและปลดกระดุมเสื้อโดยไม่ตั้งใจ และถ้าทำให้เขาอยู่ในสภาพนั้นได้ ก็จะบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ท่าทางที่เกิดขึ้นเมื่อการเจรจาต่อรองดำเนินไปได้ด้วยดีไว้ได้ว่า พวกเขาต่างก็จะนั่งเอนเข้าหาโต๊ะ ไม่ไขว้ขา และไม่กลัดกระดุมเสื้อ ซึ่งกลุ่มท่าทางนี้จะแสดงคำพูด ที่บ่งบอกถึงความเป็นไปได้ของการบรรลุข้อตกลง ข้อสรุป หรือการร่วมมือกัน

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้นกำลังปกป้องตนเอง ท่าทางที่ตรงข้ามกับการเปิดเผยความรู้สึกคือ ท่าทางการเตรียมร่างกายหรืออารมณ์ให้พร้อมต่อการจู่โจมเข้าหา ดังนั้นจงระวังเคราะห์ถ้าใช้ท่าทางแบบผิด ๆ มันอาจเป็นการแสดงว่าปกป้องตนเอง

ท่าทางกอดอก (ปกป้องตัวเอง) ก็คือท่าทางหนึ่งที่แสดงถึงการปกป้องตนเอง หรือการหันหลังให้เป็นการบอกว่าพูดมากไปแล้ว ถ้าสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่ากอดอก ควรจะทบทวนดูว่า ทำหรือพูดอะไรออกไปที่ทำให้เขาทำกิริยาท่าทาง ซึ่งบ่งบอกว่าไม่ต้องการสนทนาต่อแล้วและแก้ไขทันที บ่อยครั้งบอกไม่ได้ว่าคนที่แสดงอาการปกป้องตนเองนั้น ต้องการหรือเสนออะไรออกมา จุดนี้เองที่ทำให้การตกลง หรือขอความร่วมมือต่าง ๆ เป็นไปได้ยากกว่าเดิม และยิ่งถ้าไม่เข้าใจความหมายของการไม่ยินยอม อึดอัดใจ หรือไม่ยินดีเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วมันก็จะยิ่งทำให้การเจรจาต่อรองนั้นเป็นไปได้ยากขึ้น กรณีของผู้หญิงที่แสดงท่าทีในการปกป้องตนเองนั้นคือ จะกอดอกบริเวณช่วงล่าง ทั้งนี้เด็กหญิงที่เพิ่งเข้าสู่วัยสาว มักชอบแสดงท่าทางนี้มากกว่าหญิงสาวทั่วไป

ท่านั่งที่เอาขาข้างหนึ่งขึ้นพาดไว้บนที่เท้าแขน สันนิษฐานว่าเป็นท่านั่งที่สบาย ที่แสดงถึงความเปิดเผย ให้ความร่วมมือ จริงๆแล้วแม้เขาจะมีรอยยิ้ม แต่คนผู้นี้กลับแสดงความไม่ใส่ใจ หรือไม่ชอบใจต่อความรู้สึก หรือความต้องการของผู้อื่น

ท่านั่งที่หันหน้าเข้าหาพนักงานเก้าอี้ และการนั่งเอาเท้าขึ้นมาวางบนโต๊ะ เป็นผ้าที่แสดงออกถึงการวางอำนาจและก้าวร้าว

สำหรับท่านั่งไขว้ขา เป็นลักษณะเฉพาะของชาวอเมริกัน ซึ่งผู้หญิงเองเวลาสวมกางเกงก็จะนั่งไขว้ขาในท่านี้ พบว่าถ้าฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายนั่งไขว้ขา แสดงว่าสถานการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะของการแข่งขันแล้ว พนักงานขายหลาย ๆ คนคุยเรื่องการนั่งไขว้ขา และเอนตัวไปข้างหลังของลูกค้าที่พวกเขาได้พบมานั้น พวกเขาบอกว่าไม่มีใครสามารถปิดการขายในสภาวะเช่นนั้นได้ และถ้าลูกค้าทั้งกอดอกและไขว้ขา ก็อาจจะได้ศัตรูไปแทนลูกค้าแน่ ๆ

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้น กำลังประเมินสถานการณ์หรือคิดอะไรอยู่ ท่าทางที่มักจะตีความหมายผิดบ่อย ๆ ก็คือ ท่าทางที่เกี่ยวกับการใช้ความคิดหรือตรึกตรอง ด้วยเหตุที่ความสำเร็จในธุรกิจและชีวิตสังคมนั้นขึ้นอยู่กับการติดต่อสื่อสาร ความรู้ และการประเมินข้อมูลที่ตอบกลับมา ผู้ที่ส่งสารย่อมต้องการจะรู้ว่าสิ่งที่ตนสื่อสารออกไปนั้น ได้ผลมากน้อยเพียงใด

สำหรับท่าทางมือรองแก้ม แสดงว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ โดยอาจกะพริบตาประกอบบ้าง กลุ่มแสดงอาการวิเคราะห์วิจารณ์ เขาจะเอามือข้างหนึ่งรองคางไว้ แล้วพาดนิ้วชี้ไว้บนใบหน้า ส่วนนิ้วอื่น ๆ อยู่ใต้ปาก เอนตัวห่างจากคนอื่น ๆ เพื่อที่จะครุ่นคิดในทางติเตียน เยาะเย้ย หรือคัดค้านเรื่องที่กำลังถูกชวนเชื่ออยู่

ส่วนท่าเอียงศีรษะ ทั้งคนและสัตว์จะเอียงศีรษะน้อย ๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่น่าสนใจ เด็กสาววัยรุ่นเข้าใจท่าทางนี้โดยสัญชาตญาณว่า เป็นการสร้างความประทับใจให้รู้ว่าเธอกำลังตั้งใจฟัง มักจะใช้เวลาสนทนากับชายหนุ่มที่เธอสนใจ และจะต้องการสร้างความประทับใจให้เขา นักพูดที่เข้าใจความหมายของท่าทางนี้ จะสร้างความสัมพันธ์กับผู้ฟังของเขาด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมากขึ้น และสามารถวัดได้ว่า ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่เขาพูดมากน้อยเพียงใด สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับนักพูดที่เตรียมเนื้อหามาพูดมาก ๆ ในเวลาที่จำกัด

ท่าลูบคาง (ขณะคิด หรือประเมินสถานการณ์) แสดงถึง ขอพิจารณาดูก่อน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่า คนจะแสดงท่าทางนี้ขณะกำลังคิดตัดสินใจ ท่านี้บ่งบอกว่าคนฉลาดกำลังตัดสินใจ

ท่าทางกับแว่นตา มีท่าทางประเมินสถานการณ์แบบหนึ่งคือ การมองลอดแว่น มันเป็นการแสดงออกในด้านลบ และควรเลิกทำเสีย

การถอดแว่นตาช้า ๆ แล้วค่อย ๆ บรรจงเช็ดเลนส์ ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย การทำเช่นนี้ก็เพื่อต้องการขอเวลาคิดก่อนที่จะโต้แย้ง หรือถามเพื่อความกระจ่าง หรือตั้งคำถามก็อาจเป็นได้

ท่าทางที่ขอเวลาคิดอีกแบบก็คือ การถอดแว่นแล้วใช้ปากคาบขาแว่นไว้ ด้วยเหตุนี้จะทำให้คนคนนั้นพูดไม่ถนัด เพราะมีขาแว่นอยู่ในปาก ดังนั้นทางที่ดีก็คือการฟัง หรือหลีกเลี่ยงการพูดที่ยังคิดไม่ออก การเอาของเข้าปาก บางทีเขาอาจต้องการข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อไปเสริมความคิดนั้น ๆ

การถอดแว่นอย่างรวดเร็ว แล้วโยนลงบนโต๊ะ ท่าทางนี้เป็นการระเบิดอารมณ์ออกมาถ้าตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ให้เปลี่ยนวิธีการพูด หรือทำอะไรก็ได้ที่จะช่วยลดความตึงเครียดลง คอยจนเขาสวมแว่นกลับตามเดิม เพื่อที่จะได้พูดคุยหาทางออกอื่นกันต่อไป

ท่าก้าวเดิน ชาวอเมริกันคิดว่าการเดินไปคิดไปจะทำให้สมองปลอดโปร่ง อย่าเข้าไปคุยกับคนที่อยู่ในอาการนี้ เพราะจะทำให้ความคิดเขาสะดุด และรบกวนสมาธิในการตัดสินใจของเขา การเจรจาต่อรองหลาย ๆ ครั้งที่ตกลงกันได้ด้วยดีนั้น เกิดขึ้นได้เพราะคนหนึ่งกัดลิ้นตัวเองไว้ไม่ให้พูดอะไรออกมา ในขณะที่อีกคนเดินไปเดินมาเพื่อตัดสินใจ

ท่าบีบสันจมูก คนที่ทำท่าทางนี้จะหลับตาไปด้วย ซึ่งแสดงออกถึงการใช้ความคิดอย่างหนัก และกังวลกับการตัดสินใจ เมื่อเห็นเขาอยู่ในสภาวะเช่นนี้ให้เงียบ และคอยให้เขาพูดออกมาเอง อย่าไปช่วยเขาคิดเด็ดขาด เพียงเข้าใจความรู้สึกของเขา และรอให้เขาพูดออกมาก็พอ

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้น กำลังระแวงสงสัยหรือซ่อนเร้นอะไรในใจ ถ้าคนที่สนทนาไม่ค่อยจะยอมมองหน้า เขามักจะปิดบังอะไรบางอย่างไว้ ซึ่งท่าทางที่เข้ากันไม่ได้นี้จะบอกได้ บางคนยิ้มแต่เป็นยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความเป็นศัตรู และจะไม่ได้ฝึกฝนการอ่านท่าทาง แต่ความรู้สึกก็จะบอกได้ว่าเขากำลังเล่นซ่อนหาอยู่ และหากเป็นเช่นนั้น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะแยกแยะท่าทางให้เข้าใจ และจัดการสถานการณ์นั้น ๆ อย่างสร้างสรรค์ได้ ท่าทางต่าง ๆ ที่สื่อถึงความสงสัยไม่แน่ใจ การปฏิเสธ และคลางแคลงใจนั้นจะออกมาในด้านลบ ซึ่งบางครั้งจะแฝงอารมณ์เข้ามาด้วย แต่อาการจะออกมาอย่างชัดเจน หากพูดแล้วผู้ฟังแสดงท่าทางว่าระแวงสงสัย ไม่แน่ใจ ปฏิเสธ หรือคลางแคลงใจแล้วละก็ พวกเขาก็จะแสดงออกมาทางกริยาท่าทาง ซึ่งที่เห็นได้ชัดก็มี การกอดอก เดินหนี ไขว้ขา มองลอดแว่น หรือชำเลืองมอง

การชำเลืองมองด้านข้าง คิดบ้างไหมว่าคนที่มองแบบนี้ กำลังแสดงถึงความสงสัยหรือคลางแคลงใจ

ท่าหันเท้าหรือตัวไปยังทางออก อาจจะเคยเห็นคนที่นั่งอยู่ขยับตัว และหันเท้าไปยังทางออกหรือประตู อาการเช่นนี้แสดงให้เห็นชัดว่าคน ๆ นั้น ต้องการที่จะให้การประชุม การสนทนา หรืออะไรก็ตามที่กำลังดำเนินอยู่จบลง การขยับตัวของเขาเหมือนจะบอกว่าเขาอยากจะไปแล้ว

ท่าแตะหรือถูจมูกเบา ๆ โดยมักจะใช้นิ้วชี้ แสดงถึงการปฏิเสธว่าไม่ บางครั้งการที่คนแตะหรือเกาจมูกนั้นเขาอาจจะคัน แต่มันจะแตกต่างกับการแสดงออกมาเป็นท่าทาง คนที่คันนั้นจะถูหรือเกาอย่างเห็นได้ชัดกว่า คนที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความสงสัย ซึ่งจะมีท่าทางอื่นมาประกอบด้วย เช่น การหันข้างให้ นั่งอึดอัดอยู่ในเก้าอี้ นอกจากนี้ยังมี การใช้นิ้วถูข้าง ๆ หรือหลังใบหู เมื่อเขากำลังชั่งน้ำหนักคำตอบอยู่ ซึ่งมักจะแสดงออกมาพร้อมกับพูดว่า ผมไม่รู้ และการใช้นิ้วถูตา ก็เป็นการแสดงออกถึงการสงสัยอย่างหนึ่งเช่นกัน

4

วิธีอ่านคนเพื่อให้รู้ว่าเขาเป็นคน

เตรียมพร้อมเสมอ มีความมั่นใจ

ให้ความร่วมมือกำลังผิดหวัง

กลุ่มท่าทางที่แสดงออกเชิงบวก และกลุ่มที่แสดงออกในเชิงลบที่ตรงข้ามกัน อีกทั้งเวลาที่แสดงท่าทางออกมานั้น ก็มักจะมีอารมณ์ที่คล้ายกันแฝงอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นควรเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างที่ว่านี้ เพื่อที่จะทำให้ได้รับรู้และเข้าใจถึงลักษณะท่าทางที่เห็นนั้น

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้นเป็นคนเอาจริงเอาจังหรือเตรียมพร้อมเสมอ คนบางคนมองคนที่เตรียมพร้อมเสมอว่าเป็นคนอวดดี แต่จริง ๆ แล้วคนที่เตรียมพร้อมเสมอนั้นเป็นคนที่ต้องการไปให้ถึงจุดหมาย เขาไม่มีเวลาไปสร้างศัตรูที่ไหน เพราะมัวแต่แสวงหาข้อมูลและทำงานให้สำเร็จ เขาเป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะทำในสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จ เรียกว่าพวกเอาจริงเอาจัง ต่อไปนี้เป็นกลุ่มท่าทางเป็นคนที่เตรียมพร้อมเสมอ

ท่ามือเท้าสะโพก ยืนท่านี้ในเวลาที่กระตือรือร้นจะทำในสิ่งที่คิดว่าคุ้มค่า คนที่ประสบความสำเร็จมักจะยืนท่านี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขายอมตายเพื่อความสำเร็จ ท่านั่งที่จะอยู่ในกลุ่มนี้คือการนั่งตรงขอบเก้าอี้ มือจับต้นขาข้างหนึ่งไว้ แล้วเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย

ท่ายืนหรือนั่งเอามือเท้าโต๊ะ ท่านี้เป็นท่าที่แข็งกร้าวที่จะบอกว่า ฟังนะมีอะไรจะพูด เมื่อผู้เจรจาคนหนึ่งใช้ท่าทางนี้ ถ้าคนอื่น ๆ ก็ไม่รับรู้ถึงกิริยาท่าทางที่เขาต้องการสื่อออกมา ผลที่ตามมาก็คือความวุ่นวายที่อาจเป็นอันตรายได้

ท่าเดินเข้ามาหาและกระซิบกระซาบ กลุ่มท่าทางนี้แสดงถึงการเตรียมพร้อมที่แฝงไว้ด้วยความก้าวร้าว ใช้เมื่อคนคนนั้นต้องการปิดบัง ความต้องการครอบงำหรือชี้นำคนอื่น

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้นแสดงท่าทีในการสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง             อาจรู้สึกผิดหวังเมื่อเห็นตัวเองทางจอโทรทัศน์ครั้งแรก นั่นก็เพราะว่าพวกเราส่วนมากเป็นพวกชอบติ ก็เลยไม่พอใจรูปร่างหน้าตา และผลงานของตัวเองที่ทำออกมา ท่าทางการสร้างความมั่นใจให้ตนเองที่สังเกตพบอยู่บ่อย ๆ คือถ้ามือที่ประสานกันแน่น และนิ้วโป้งทั้งสองข้างถูไปมา นอกจากนี้ยังมี ท่าดึงเล็บตัวเอง ท่าบีบมือ บางคนก็เคี้ยวหรืออมปากกาหรือดินสอ หรือบางทีก็เศษกระดาษหรือที่หนีบกระดาษ

การแตะพนักเก้าอี้ก่อนลงนั่งประชุม อธิบายได้ว่าเป็นการสร้างความแน่ใจว่า เขาเป็นเจ้าของเก้าอี้ตัวนั้น อีกท่าทางหนึ่งที่เห็นกันบ่อยก็คือ เวลาที่ผู้หญิงพูดหรือได้ยินในสิ่งที่ทำให้ไม่สบายใจ เธอจะค่อย ๆ ใช้มือแตะลำคออย่างนุ่มนวล ถ้าเธอสวมสร้อยอยู่ก็จะคลำสร้อยเส้นนั้นราวกับจะตอกย้ำความมั่นใจว่ามันยังอยู่

ท่าบีบมือ เป็นท่าที่แสดงถึงการสร้าง หรือทำให้มั่นใจอีกท่าหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงจะใช้ท่านี้มากกว่าผู้ชาย

ท่าทางต่าง ๆ ที่ใช้นิ้วแสดงออกมานั้น แสดงถึงความกังวลใจ การขัดแย้งภายในใจ หรือความหวาดหวั่น ถ้าเป็นเด็ก ๆ ก็จะดูดนิ้ว วัยรุ่นมักจะกัดเล็บ พวกที่กังวลกับเรื่องอะไรบางอย่างจะหยิกตัวเองจนเจ็บ บางครั้งทั้งเด็กและผู้ใหญ่มักใช้ปากกาหรือดินสอแทนนิ้ว ถ้าไม่ชอบพลาสติก ไม้ หรือโลหะ ก็กัดกระดาษหรือผ้าแทน ถ้าสามารถให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ ก็สามารถจะจูงใจให้เขามาร่วมมือได้ง่ายขึ้น

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะให้ความร่วมมือ การใส่ใจกับท่าทางความร่วมมือของคน และใช้ประโยชน์จากการอ่านท่าทางนั้นให้เต็มที่ จะทำให้การเจรจาต่อรองประสบความสำเร็จ แต่บางครั้งก็ไม่แปลกอะไร ถ้าคนที่เคยคิดว่าให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่จะเปลี่ยนไป เช่น เคยเรียกชื่อเล่นแต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนมาเรียกชื่อจริงแทน รอยยิ้มของเขากลายเป็นความเคร่งเครียด มุมปากตก มีรอยย่นบนหน้าผาก และบางทีก็มองแบบศัตรู สถานการณ์เช่นนี้อาจเป็นเพราะตัวเองมีใจร้อน ขาดเหตุผล

ดังนั้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น ต้องช่างสังเกตโดยเฉพาะท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ต้องเปลี่ยนท่าทางในทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมืออย่างกระทันหัน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ก็ควรหันเหจากการเผชิญหน้ากันอย่าเอาเป็นเอาตาย และหันมาสร้างบรรยากาศถ้อยทีถ้อยอาศัยกันให้กลับมาอีกครั้ง แต่ทางที่ดีอย่าปล่อยให้ความร่วมมือนั้นเปลี่ยนไปเป็นการต่อต้าน กลุ่มท่าทางที่แสดงถึงการให้ความร่วมมือที่ควรรู้ไว้

ท่านั่งตรงขอบเก้าอี้ ท่านี้จะเป็นท่าทางให้ความร่วมมือ ถ้ามันสัมพันธ์กับกลุ่มท่าทางอื่น ๆ ที่แสดงออกมาว่าสนใจในสิ่งที่พูด

ท่าต่าง ๆ ที่มืออยู่บริเวณใบหน้า ท่าเหล่านี้สามารถสื่อได้หลายความหมาย ตั้งแต่ความเบื่อหน่ายจนถึงประเมินว่าสนใจหรือไม่ และการประเมินก็อาจกลายเป็นความชอบ

การไม่กลัดกระดุมเสื้อ ท่าทางนี้ไม่ใช่เพียงแสดงว่าบุคคลนั้นแสดงความเปิดเผยเท่านั้น แต่ยังแสดงว่าเขากำลังใช้สมาธิฟังสิ่งที่พูดอยู่

ท่าเอียงศีรษะเล็กน้อย ท่านี้แสดงให้เห็นว่าเขายังสนใจฟังอยู่

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้นกำลังผิดหวัง มีท่าทางการแสดงความผิดหวังออกมาด้วยการถอดหมวก เสยผม นวดต้นคอ แล้วก็เตะพื้นหรือเตะอากาศ

ท่าหายใจสั้น ๆ เป็นท่าทางที่มีเสียงเข้ามาแทรกด้วย คนเวลาโกรธจัดมักจะสูดหายใจสั้น ๆ และพ่นลมออกทางจมูกอย่างแรงเช่นกัน หรือถ้ากำลังเศร้าก็จะสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วค่อย ๆ ผ่อนออกมา นอกจากนี้การหายใจก็เป็นวิธีแสดงออกของคนที่ท้อแท้ผิดหวัง และไม่สบอารมณ์ได้เช่นกัน บางครั้งอาจเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ในชีวิตประจำวัน จึงควรจะฟังเสียงลมลมหายใจ และทำความเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร

ทำเสียงจิ๊ เสียงนี้ใช้เมื่อเวลารู้สึกไม่อารมณ์หรือจะตักเตือน ควรระวังเสียงจิ๊นี้ให้ดี ถ้าคนที่ติดต่อธุรกิจกัน สามีภรรยา หรือเพื่อน ทำเสียงนี้แสดงว่ามีเรื่องผิดปกติ ยกเว้นเมื่อรับประทานอาหารเสร็จ

ท่ามือประสานกันแน่น จ้องไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง หันข้างให้ ไขว้ขา ซึ่งเป็นท่าทางที่แสดงว่าคลางแคลงใจ ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ทำให้ไม่เชื่อใจ และพยายามที่จะเอาชนะการเจรจาต่อรองมากขึ้น แต่เพราะจะยิ่งทำให้แย่ลงเพราะว่า ความกลัวของผู้เข้าร่วมประชุมจะเพิ่มขึ้นตามความรู้สึกว่าถูกรุกราน และเขาจะถอยเรื่อย ๆ จนกระทั่งการเจรจาต่อรองเข้าสู่ทางตัน

ท่าบีบมือ เป็นขั้นตอนต่อไปจากท่ามือประสานกันแน่น คนที่ประสานมือแน่นนั้นแสดงว่ากำลังเครียด และยากที่จะเข้าไปพูดคุยด้วย จึงควรจะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย วิธีหนึ่งที่ใช้แก้อย่างได้ผลก็คือ การโน้มตัวเข้าไปหาในขณะที่พูดกับเขา

ท่ากำหมัด เพียงแค่คนคนหนึ่งกำมือแน่นในท่ากำหมัด ก็อาจมีอิทธิพลเหนือการตอบสนองของคนอีกคนหนึ่งได้ โดยคนที่ตั้งใจกำหมัดนั้นก็เพื่อที่จะใช้เน้นคำพูดของตน คนบางคนก็แสดงท่ากำหมัดให้เห็นอย่างชัดเจน แต่บางคนก็พยายามจะซ่อนไว้ คนที่กำหมัดนั้นแสดงถึงการตัดสินใจของเขาในเชิงลบ แสดงถึงความโกรธและความเป็นศัตรู ชนเผ่าโบราณใช้ท่ากำหมัดเพื่อแสดงถึงการท้าทาย ขัดขืน และพวกอินเดียแดงใช้เป็นท่าเต้นก่อนออกสงคราม

ท่าชี้นิ้ว การชี้นิ้วนั้นปกติแล้วไม่มีใครชอบให้คนอื่นมาชี้นิ้วใส่ ยิ่งไม่ชอบมากขึ้นเมื่อตกเป็นเป้านิ่งให้แทงเหมือนเป็นหุ่นซ้อม มักจะเห็นเขาชี้นิ้วใส่กันเหมือนกันใช้ดาบชี้ใส่กันในการแข่งขันฟันดาบ หรือบางคนก็ใช้แว่นตาชี้เหมือนจะต่อนิ้วให้ชี้ให้ยาวออกไปด้วย เป็นท่าตำหนิหรือตักเตือน และเนื่องจากคนที่ลังเลไม่แน่ใจ จะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับใครในทันที ไม่เหมือนคนที่ดูผ่อนคลาย ไม่เคร่งเครียด จึงไม่ควรชี้นิ้วใส่ใคร ไม่เช่นนั้นเขาก็จะรู้สึกต่อต้าน หรือไม่สนใจ บางคนก็ใช้ท่านี้จนเป็นนิสัย ซึ่งรังแต่จะเป็นการสร้างศัตรูไปทั่ว

ท่ามือจับต้นคอ เรียกว่าเป็นการแสดงท่าป้องกันตนเองจากความพ่ายแพ้ ผู้หญิงบางครั้งแอบแสดงท่าทางนี้ไปพร้อม ๆ กับเสยผม

ท่าแสดงความไม่พอใจเลือดขึ้นหน้า ในการแข่งขันกีฬาผู้เล่นหรือผู้จัดการทีมจะแสดงท่านี้ หลังจากถอดหมวกเป็นท่าแรกแล้ว และถ้าบางทีเกิดไม่พอใจกรรมการที่ไล่ผู้เล่นออกจากสนาม เขาจะเหวี่ยงหมอกลงบนพื้นด้วยความไม่สบอารมณ์

ท่าเตะพื้นหรือวัตถุ อาจจะเคยคิดเตะประตูบ้าน อยากระบายอารมณ์ด้วยการเตะพื้น หรืออยากดึงอะไรมาเตะเมื่อโกรธ หมดหวัง หรือฉุนเฉียว อาการเหล่านี้เป็นตัวอย่างของการระบายอารมณ์ โดยการแสดงออกทางท่าทาง แต่ก็มีท่าการเตะอีกแบบหนึ่งที่ไม่ได้แสดงถึงการระบายอารมณ์ก็คือ การเตะเบา ๆ ซึ่งคนบางคนใช้ขนาดกำลังใช้ความคิด หรืออาจจะเรียกว่า การเตะเรื่อยเปื่อย

ท่าเชิดจมูก เป็นท่าที่รู้กันดีว่าแสดงถึงอาการไม่ชอบหรือปฏิเสธ แม้แต่เด็กทารกก็ยังใช้ท่าทางนี้ตามสัญชาตญาณ เพื่อหลีกเลี่ยงกินอาหารที่ไม่ชอบ และหันหน้าหนีทันทีเมื่อได้กลิ่น ท่าทางที่เกิดร่วมกับท่าทางนี้ก็คือการเหลือบมองต่ำ

5

วิธีอ่านคนเพื่อให้รู้ว่า

เขากำลังแสดงความเชื่อมั่น

กระวนกระวายใจ หรือกำลังควบคุมตัวเอง

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้น กำลังแสดงความเชื่อมั่นในตนเอง ความเชื่อมั่นนำไปสู่การควบคุมตนเอง ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนไปมาได้ และการควบคุมตนเองก็อาจจะถดถอยลง กลายเป็นความกระวนกระวายและความหมดหวังได้ง่าย ๆ คนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองจะพูดโดยไม่เอามือมาแตะสัมผัสกับใบหน้าเลย ไม่ว่าจะเป็นผ้าปิดปากหรือเกาศีรษะและจมูก คนที่ประสบความสำเร็จและรู้ว่าจุดหมายของตนอยู่ที่ใดนั้น มักจะใช้ท่ายืนตรงที่บอกถึงความภูมิใจ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นอย่างชัดเจน คนที่มีความเชื่อมั่นมักจะกล้าสบตากับคนอื่น ซึ่งก็จะทำให้เขากะพริบตาน้อยลง จึงดูเป็นนักฟังที่ดีกว่าคนอื่น ท่าทางที่ประกอบกันเป็นการแสดงความเชื่อมั่นมีดังนี้

การนำนิ้วมือมาแตะกันเป็นรูปภูเขา ท่าทางนี้บอกถึงความมั่นใจและบางครั้งก็แสดงถึงความเชื่อมั่น หยิ่งยโส ถือตัวว่าเก่ง หรือภูมิใจ จะรู้สึกได้ทันทีว่าคนที่แสดงท่านี้ เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองพูด นักเจรจาต่อรองหลาย ๆ คน แสดงท่าทางนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัวเหมือนเป็นการปกป้องตัวเอง เมื่อตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการต่อรอง ฝ่ายตรงข้ามจะมีปฏิกิริยากลับมาราวกับว่าคนที่แสดงท่าทางนี้มีหนทางแก้ไข พวกเขาจึงต้องเปลี่ยนแผนในทันที ไม่สามารถรู้ได้ว่ามีกี่คนที่ใช้ท่าทางนี้หลอกคู่ต่อสู้ เพราะฉะนั้นต้องสังเกตความสอดคล้องกันของท่าทางอื่น ๆ ของเขาด้วย ท่าทางที่ซับซ้อนขึ้นของท่าทำมือเป็นรูปภูเขาก็คือ มือที่อยู่ชิดกันมากขึ้น จนเหมือนกำมือข้างหนึ่งไว้ แล้วใช้อีกมือหนึ่งวางซ้อน ซึ่งก็เป็นการแสดงถึงความเชื่อมั่นอีกแบบหนึ่ง

ท่ามือไขว้หลังและคางเชิดขึ้น เป็นท่าที่แสดงอำนาจ ท่าทางนี้จะพบเห็นได้ในขณะที่ตำรวจอังกฤษ เดินลาดตระเวนบริเวณจตุรัสทราฟัลการ์ หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรเยอรมันขณะยืนตรวจกระเป๋า หรือเมื่อผู้บริหารในญี่ปุ่นพูดต่อที่ประชุม ถึงความสำคัญของแผนการตลาดของบริษัท ท่าทางนี้ไม่ได้จำกัดไว้แค่ผู้ชายเท่านั้น ผู้หญิงก็แสดงท่าทางนี้ได้

ท่าทางการถือสิทธิ์การครอบครองความเหนือกว่า สัตว์เพศผู้นั้นจะถือสิทธิ์ว่าบริเวณที่มันฉี่รดเอาไว้นั้นเป็นขอบเขตของตน การแสดงออกถึงการอ้างสิทธิ์ของเพศชาย ด้วยการนั่งเอาขาขึ้นมาวางไว้บนที่เท้าแขน หรือการดึงลิ้นชักโต๊ะออกมาแล้วใช้เป็นที่วางเท้า หรือบางทีก็วางเท้าไว้บนโต๊ะหรือเก้าอี้เสียเลย

ท่าเท้าวางบนโต๊ะ ซึ่งเป็นท่าที่ชาวอเมริกันชอบทำ บุคคลที่นำเท้าขึ้นมาวางไว้บนสิ่งต่าง ๆ นั้น บ่งบอกถึงความรู้สึกครอบครอง หรือเป็นเจ้าของตามทฤษฎีการถือสิทธิ์ของมอริส

ท่ายืนพิงรถ เจ้าของรถสมัยนี้ก็เช่นกัน เขามักจะแตะหรือยืนพิงรถขณะถ่ายรูป หรือพูดคุยถึงทรัพย์สินของเขา การแสดงการถือสิทธิ์ในตัวบุคคลนั้นก็มีเช่นกัน คนรักกันอาจจะโอบเอวอีกฝ่ายหนึ่ง หรือเดินจับมือกันเป็นต้น

การใช้สิ่งของเพื่อจองที่ บางครั้งแสดงการถือสิทธิ์ด้วยการวางสิ่งของส่วนตัวไว้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อโค้ท กระเป๋า หนังสือ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครรุกล้ำ

การยกตนข่มท่านเป็นการสื่อการครอบครอง และความเหนือกว่าคนอื่น ๆ ในสมัยโบราณนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงประทับบนที่สูง เช่น วาลฮานลลาในสแกนดิเนเวีย หรือยอดเขาโอลิมปัส ผู้พิพากษานั่งบนบัลลังก์ก็เป็นการแสดงถึงความมีอำนาจ และคำพิพากษาที่ออกมาถือเป็นการสิ้นสุด เมื่อต้องการข่มผู้อื่นก็แค่ทำตัวให้อยู่เหนือเขาอย่างมองเห็นได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกที่นั่งที่อยู่สูงกว่าขณะที่นั่งอยู่ด้วยกัน หรือปล่อยให้เขานั่งลงแต่เรากลับยืนเป็นต้น

ท่าเอนหลังโดยใช้มือรองศีรษะ คนที่นั่งท่านี้ต้องการจะสื่อให้เห็นว่า เขาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคนคนนั้นมีความกระวนกระวายใจ ทั้ง ๆ ที่ผู้ถามก็รู้อยู่แล้วว่าต้องมีอะไรผิดปกติ ก็ยังพยายามจะหาคำตอบ ซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้บาดหมางกัน บางครั้งคนที่เครียดอยู่จะรู้สึกว่าคำถามนั้นกดดันเขาจึงเดินออกไป หรือถ้ายังอยู่ก็จะไม่สนใจเลย ต้องใช้ความอดทนกับคนที่แสดงออกถึงความวิตกกังวลและกระวนกระวาย อย่าเพิ่งไปเซ้าซี้หรือกดดัน เพราะเมื่อถึงเวลาเขาก็จะเล่าสิ่งที่อยากฟังและรอฟังอยู่ออกมาเองก็ได้ ซึ่งท่าทางต่อไปนี้เป็นท่าทางที่ประกอบการเป็นกลุ่มท่าทาง ซึ่งเป็นอาการของคนที่กระวนกระวายและกังวลใจ

กระแอม คนที่เคยพูดต่อหน้ากลุ่มคนอาจจำได้ว่า กว่าจะพูดคำแรกออกมาได้นั้น มันเหมือนมีอะไรติดคอ เสมหะที่เกิดขึ้นในลำคอขณะนั้น เกิดมาจากความกังวลใจหรือความกลัว ครั้งต่อไปที่จะกระแอมควรดูให้แน่ใจว่า มันเกิดจากเสมหะในลำคอหรือเกิดจากความหวาดกลัวผู้อื่น หรือหวาดกลัวความรู้สึกของตัวเอง

เสียงเป่าปากวิ๊ว ผู้คนมักจะแสดงท่านี้เมื่อรู้สึกดีใจที่พูดจบเสียที การแสดงออกว่าพวกเขาทำงานหรือฟันฝ่าอุปสรรคได้สำเร็จ หรือบางครั้งเสียงนี้ก็ทำให้เกิดการผ่อนคลาย สำหรับคนที่หายใจติดขัดด้วยความกังวลใจ

ผิวปาก จากการวิจัยบ่งบอกว่าการผิวปากแสดงถึงความรู้สึกได้หลากหลาย ที่น่าสนใจก็คือคนทำเสียงนี้เพราะตกใจหรือหวาดกลัว และพยายามที่จะรวบรวมความกล้าหรือความมั่นใจ

สูบบุหรี่ การแสดงท่าทางประกอบกับบุหรี่นั้นมีหลายอย่าง ไม่ว่าจะจุดสูบหรือดับ คนสูบบุหรี่บางคนอาจจะดูมีมาด ดูผึ่งผาย รอบคอบ และมั่นใจกว่าคนที่ไม่สูบ คนที่มีความเครียดฉับพลันขณะที่สูบบุหรี่นั้น มีแนวโน้มที่จะดับบุหรี่หรือวางทิ้งไว้บนที่เขี่ยให้มันไหม้ไป จนกระทั่งหายเครียด

นั่งกระสับกระส่ายในภาวะตึงเครียด คนจะนั่งกระสับกระส่ายไปจนกว่าจะพ้นจากภาวะนั้นและสบายใจขึ้น คนนั่งกระสับกระส่ายสาเหตุเกิดจากอ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เรื่องที่ฟังน่าเบื่อไม่น่าสนใจ แสดงออกมาว่า ตอนนั้นถึงเวลา…แล้ว เช่น พักเที่ยง เก้าอี้นั่งไม่สบาย คิดหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอื่น ซึ่งถ้าคนที่นั่งกระสับกระส่ายนั้นไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีขึ้น พวกเขาก็จะหยุดสนใจฟังไปเลย

มือปิดปากขณะพูด ท่าทางหนึ่งที่แสดงถึงความประหลาดใจก็คือ การนำมือมาปิดปาก บางครั้งก็พบในกรณีที่คนเสียใจหรือตกใจสิ่งที่พูดออกไป ซึ่งดูเหมือนอยากจะหยุดคำพูดที่พรั่งพรูออกมา ทั้ง ๆ ที่คำพูดนั้นก็ได้ออกจากปากไปแล้ว

พูดออกทางมุมปาก คนที่จงใจปกปิดคำสนทนาของตนนั้น มักจะใช้อุ้งมือปิดปากเวลาพูด และจะอยู่ห่างจากผู้ฟังประมาณ 6-12 นิ้ว หรือบางทีก็นั่งเอาศอกชันโต๊ะ ทำแขนเป็นรูปพีระมิดแล้วกุมมือบังฝ่าเท้าไว้ การยกมือขึ้น ๆ ลง ๆ นั้น ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของคู่เจรจาต่อรองกลับไปกลับมา และการเจรจาต่อรองก็อาจจะจบลงด้วยความล้มเหลวก็ได้

มือดึงกางเกงขณะนั่ง ท่าทางการดึงกางเกงขึ้นนั้น เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการตัดสินใจ คนที่ทำท่าทางนี้แสดงว่ากำลังลังเลไม่แน่ใจ

เขย่าเงินเหรียญในกระเป๋า เป็นคนที่กำลังคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินอย่างหนัก หรือมีเงินไม่พอ

ท่าดึงหู ถ้าอยากเป็นนักฟังที่ดี อุปสรรคหนึ่งที่ต้องเอาชนะให้ได้ก็คือการขัดจังหวะ ผู้พูดทุกคนปรารถนาที่จะเป็นผู้ที่มีทักษะในการสนทนาที่ดี ซึ่งก็สามารถจะทำได้ถ้าพร้อมที่จะเสียสละด้วยการหยุด และปล่อยให้ผู้อื่นพูดบ้าง เมื่อเขาทำท่าว่าต้องการขัดจังหวะ

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้นกำลังควบคุมตนเอง กลุ่มท่าทางต่าง ๆ เพื่อปกปิดอารมณ์ของตนเช่นกัน ไขว้มือไปข้างหลังโดยใช้มือ 1 จับข้อมือที่กำแน่น หรือจับแขนอีกข้าง ซึ่งเห็นได้ในงานสังคมหรือการเจรจาธุรกิจ เมื่อคนคนนั้นตกอยู่ในสภาวะเครียดกลุ้มใจหรือถูกกดดัน การทำใจให้เย็นและพยายามควบคุมตนเองเป็นปัญหาที่พบได้กับความสัมพันธ์ทุกประเภท ซึ่งสภาวะเช่นนี้ทำให้เกิดท่าทางที่แสดงถึงการควบคุมตนเองขึ้นมาอีกหลายรูปแบบดังต่อไปนี้

ข้อเท้าขัดกันและกำมือแน่น ท่าทางนี้แสดงถึงการพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเอง การควบคุมอารมณ์ที่เกี่ยวกับข้อตกลงในการเจรจา และก็พบว่าคนส่วนมากจะนั่งขัดข้อเท้าเมื่อกำลังตกเป็นเบี้ยล่างในการเจรจา ความเครียดที่เกิดขึ้นในขณะสัมภาษณ์งาน ทำให้ผู้คนทั้งชายและหญิงจะนั่งขัดข้อเท้า แต่ท่าทางของผู้หญิงจะต่างจากผู้ชาย

จับแขนข้างหนึ่งหรือกำข้อมือ เมื่อเวลาจะแสดงถึงความขัดแย้งภายใน ทั้งคนและสัตว์จะสื่อออกมาเป็นพฤติกรรมที่เข้าใจได้ง่าย และเป็นที่รู้กันดีเช่น คนที่รู้สึกโกรธและไม่สามารถแสดงออกมาตรง ๆ ได้ จะเกาศีรษะหรือลูบต้นคอด้วยความไม่พอใจ แล้วอาจกำมือแน่นจับแขนหรือข้อมือ ควรรับรู้ไว้เพื่อจะได้จัดการกับอารมณ์นี้ของผู้อื่นได้ คนที่แสดงท่าทางคุกคามนั้นเขากำลังควบคุมความพ่ายแพ้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่าคน ๆ นั้น อาจจะทั้งจับข้อมือที่กำลังกำแน่นหรือเอาแขนไปไว้ด้านหลังแล้วจับไว้ ซึ่งคนที่ทำท่านี้มักจะอยู่ในท่ายืน จริง ๆ แล้วต้องสังเกตท่าทางนี้ขณะนั่ง แต่สำหรับการจับข้อมือนั้นอาจแสดงได้ทั้งนั่งและยืน จะเห็นท่าทางนี้ได้บ่อยจากคนที่นั่ง โดยวางแขนทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะ

6

วิธีอ่านคนเพื่อให้รู้ว่า

เขากำลังเบื่อหน่าย ยอมรับในตัวเรา

เกี้ยวพาราสี หรือคาดหวังอะไรบางอย่าง

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้นกำลังอยู่ในอาการเบื่อหน่าย ผู้พูดย่อมรู้ตัวดีว่าเวลาพูดจะต้องพูด ให้ผู้ฟังเกิดความพอใจ ไม่ใช่สร้างความเบื่อหน่าย และสิ่งนี้เองที่กดดันให้คนพูดรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน หรือแม้แต่นักแสดงบนเวทีก็รู้สึกประหม่า คนที่รู้ถึงความสำคัญของการทำให้ผู้ฟังสนใจนั้น มักจะคอยใส่ใจกับท่าทางที่แสดงออกถึงความเบื่อหน่าย และผู้ฟังซึ่งจะมีกลุ่มท่าทางที่จะช่วยให้มองเห็นว่า เมื่อใดที่คนฟังรู้สึกเบื่อกับสิ่งที่กำลังทำหรือพูดอยู่ และเมื่อรับรู้แล้วที่เหลือนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า จะพลิกสถานการณ์และพยายามทำให้พวกเขาสนใจสิ่งที่นำเสนอ หรือว่าจะปล่อยเลยตามเลยไป ดังนั้นท่าทางอาการต่อไปนี้จะทำให้รู้ได้ว่าคน ๆ นั้น กำลังอยู่ในอาการของคนที่เบื่อหรือไม่

เคาะโต๊ะหรือเคาะพื้น คนที่ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะนั้น พยายามจะให้รับรู้ความรู้สึกของเขาในขณะที่กังวลใจหรือหมดความอดทน ก็จะสื่อออกมาด้วยการทำเสียงเป็นจังหวะซ้ำ ๆ ติดต่อกัน

มือเท้าคาง ท่าทางหนึ่งซึ่งได้บ่งบอกถึงความเบื่อหน่ายก็คือ การเอามือเท้าคางและทำตาปรือ คนคนนั้นไม่สนใจที่จะซ่อนความรู้สึกอะไรเลย เขาแสดงท่าทางเศร้าอยากจะบอกว่าเป็นทุกข์เหลือเกิน

ขีดๆเขียนๆ แสดงว่าความสนใจเขาเริ่มน้อยลง เพราะว่าเขาจะมัวแต่ชื่นชมกับลายเส้นของเขา ทำให้ความสามารถในการฟัง และการสื่อสารของเขาลดน้อยลง

มองตาลอย การแสดงความเบื่อหน่ายอีกแบบหนึ่ง เป็นการมองแบบไร้ความรู้สึก ซึ่งท่าทางนี้อาจแสดงว่าเขาตกอยู่ในภวังค์ หลับใน ไม่เป็นมิตร หรือไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเอาเสียเลยก็ได้

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคนคนนั้นยอมรับ คนเรามักจะชอบคนที่เห็นด้วยและยอมรับความคิด และสิ่งที่พูดหรือทำ แต่ถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วยหรือต่อต้านสิ่งที่ทำ กลับมองว่าพวกเขาไม่สุภาพ และแทนที่จะคิดว่าสาเหตุมาจากสิ่งที่พูดหรือกระทำ กลับคิดไปว่าเป็นเพราะเขาเริ่มหมางเมินจากความสัมพันธ์ไป ถ้ารับรู้ถึงกิริยาท่าทางที่พวกเขาแสดงออกมาก็อาจจะหนักใจ ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหลาย ๆ คู่ก็เช่นกัน ถ้าพูดจากันไม่รู้เรื่องก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมา ท่าทางที่แสดงถึงการยอมรับนั้นมีดังนี้

มือแตะหน้าอก ท่าทางนี้เป็นการย้ำสิ่งที่พูดออกไป ตั้งแต่ครั้งโบราณกาลผู้ชายวางมือไว้ตรงหน้าอก เพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี ซื่อสัตย์ และเสียสละ ข้อยกเว้นบางอย่างที่ต้องระวังก็คือ ผู้หญิงแทบจะไม่ใช้ท่าทางนี้เพื่อบ่งบอกถึงความจริงใจ ความเสียสละ หรือความซื่อสัตย์ แต่ผู้หญิงจะใช้มือเดียวหรือสองมือแตะหน้าอก เพื่อแสดงท่าทางป้องกันตัว เมื่อตกใจหรือประหลาดใจอย่างทันทีทันใด

ท่าแสดงการสัมผัส คนที่ชอบสัมผัสนั้นส่วนมากจะเป็นคนที่ แสดงอารมณ์ออกมาอย่างรวดเร็วและเปิดเผยถึงสิ่งที่เขาชอบเป็นพิเศษ สรุปได้เพียงแค่ว่าการสัมผัสนั้นแตกต่างกันไปตามตัวบุคคล สำหรับบางคนอาจจะเป็นการแสดงการยอมรับ สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นการขัดจังหวะ บางคนอาจใช้เป็นการปลอบโยน และมีหลายคนที่ใช้เพื่อสร้างความอุ่นใจ ซึ่งใช้ได้กับคนที่ชอบหรือสิ่งของที่รักมาก

ท่าการขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นการลดช่องว่างระหว่างกัน เขาอาจจะอยากเข้าใกล้ หรืออยากจะคุยเรื่องที่ชอบเหมือน ๆ กันด้วยความไว้ใจ แต่ปัญหาก็คือคนที่เป็นฝ่ายถูกขยับเข้าหาจะรู้สึกอึดอัด และจะถอยห่างไปเพราะฉะนั้นจึงควรหัดสังเกตว่า เมื่อขยับเข้าไปหาแล้วอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอย่างไร เพราะท่าทางของเขานั้นจะบอกเป็นนัย ๆ ว่า ควรจะสานต่อหรือถอยกลับมา การขยับเข้าใกล้อีกฝ่ายนี้ เป็นการสื่อสารด้วยท่าทางให้คนอื่นรู้ว่า เรากำลังคุยกันเป็นการส่วนตัว

ท่าทางที่แสดงให้เห็นถึงการเกี้ยวพาราสี ทั้งนี้จะพบเห็นท่าทางต่าง ๆ ต่อไปนี้ได้จากชายหญิงที่พยายามจะเกี้ยวกันในงานเลี้ยงต่าง ๆ

ท่าการจัดตัวเองให้ดูดี ท่านี้เป็นการแสดงออกของทั้งชายและหญิง เพื่อดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้าม เมื่อต้องการทำตัวให้ดูดี และจะนำไปสู่ความประทับใจเมื่อแรกพบนั้น จะใช้วิธีจัดตัวเองให้ดูดีแทนการแสดงออกอย่างอื่น ท่าทางที่ผู้หญิงใช้เพื่อเรียกร้องความสนใจจากคนที่พวกเธอสนใจนั้นก็แตกต่างกัน ท่าธรรมดา ๆ ก็คือ การลูบหรือจัดผมให้ดูดี ขยับเสื้อผ้า หมุ่นตัวและดูตัวเองหน้ากระจก หรือชำเลืองมองปฏิกิริยาของคน ๆ นั้น นอกจากนี้ก็มีท่านั่งไขว้ขาขึ้นแล้วเอาลงช้า ๆ ต่อหน้าผู้ชาย บางทีก็สัมผัสบริเวณน่อง เข่า หรือขาอ่อน ส่วนท่านั่งเล่นถอดรองเท้าให้ค้างกับปลายเท้าข้างหนึ่งนั้น จะบอกผู้ชายเป็นนัยว่า อยู่นี่แล้วทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ นั่งสอดขาเข้าไปใต้ขาอีกข้างหนึ่ง ท่าทางดังกล่าวทั้งหมดนี้เป็นการบอกถึง ความปรารถนาที่จะสร้างสัมพันธ์กับคนอื่น ยิ่งถ้าเธอทำท่าสบตาด้วยแล้ว ก็จะเป็นกลุ่มท่าทางที่สรุปได้ว่า กำลังสนใจผู้ชาย

ท่าทางที่แสดงให้เห็นว่าคน ๆ นั้นกำลังคาดหวังอะไรสักอย่าง แสดงท่าทางการคาดหวังที่จะได้รับบางสิ่งบางอย่าง และส่วนมากแล้วก็จะสื่อการคาดหวังนั้นออกมาอย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น ถ้าคาดว่าจะได้รับเงินก็จะเอานิ้วโป้งและนิ้วชี้ถูกัน จะถ่ายทอดความรู้สึกคาดหวังนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะผ่านประสบการณ์ชีวิต

ท่าถูมือ เคยรู้สึกคันฝ่ามือยิบ ๆ บ้างไหม และคิดว่าเมื่อคันมือแล้วก็จะถูฝ่ามือ เป็นท่าทางการคาดหวังที่จะได้รับอะไรบางอย่าง นอกจากนี้ก็ยังมีท่าถูมือที่เปียกชื้นกับผ้า ท่าทางนี้แสดงออกถึงความกระวนกระวายใจ จะค่อย ๆ เช็ดมือที่ชื้นเหงื่อนั้นกับวัสดุต่าง ๆ ผู้ชายอาจจะเช็ดกางเกง ส่วนผู้หญิงอาจจะใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือทิชชู

ท่าการไขว้นิ้ว มีบ่อยครั้งที่คนในวงการธุรกิจที่มีฐานะทางสังคม แสดงท่าทางนี้ออกมาบ่อยทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ผู้ใหญ่จะไขว้นิ้วอย่างรวดเร็วแล้วคลายออก ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ซึ่งคน ๆ หนึ่งร้องขอหรือต้องการอะไรบางอย่าง แล้วก็ใช้นิ้วไขว้กันเพื่อแสดงความหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา ในบางประเทศการไขว้นิ้วเป็นการแสดงว่า คนสองคนนั้นใกล้ชิดกันมาก

7

วิธีอ่านคนในแต่ละกลุ่มความสัมพันธ์

ครอบครัว คู่รัก คนแปลกหน้า เจ้านายลูกน้อง ลูกค้า

ความหมายกิริยาท่าทางที่แสดงออกมานั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานที่ เวลา บุคคล และวิธีการต่อไปนี้ จะมาศึกษากลุ่มท่าทางกับสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน การสังเกตกลุ่มท่าทาง และลักษณะท่าทางที่เกิดขึ้น ในสถานการณ์ต่าง ๆ นั้น จะช่วยให้ประเมินและตีความหมายได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในบทนี้จะเรียนรู้ความสัมพันธ์ของแต่ละกลุ่มความสัมพันธ์ เช่น ครอบครัว คนรัก เจ้านายลูกน้อง หรือลูกค้า

อ่านคนจากความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก การสื่อด้วยกิริยาท่าทางระหว่างพ่อแม่กับลูกนั้น จะมีเสียงและระดับของเสียงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ถ้อยคำจะถูกถ่ายทอดด้วยการกระทำต่าง ๆ เช่น การปิดประตูดังปัง การเล่นดนตรีเสียงดัง หรือการกรีดร้อง พ่อแม่เกือบทุกคนเห็นว่าถ้าลูกของตนพยายามจะปกปิดอะไรบางอย่าง พวกเขาจะแสดงท่าทางออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ท่าทางน้ำเสียงหรือการแสดงออกทางสีหน้าเหล่านั้นมีอะไรบ้างตัวอย่างเช่น ไม่ยอมมองหน้าพ่อแม่ กะพริบตาถี่ ๆ ปิดปากขณะพูด มองพื้น ยักไหล่ กลืนน้ำลายบ่อย ๆ แลบลิ้นเลียปาก กระแอม ถูจมูก เกาศีรษะขณะพูด เอามือจับลำคอ ลูบต้นคอ เป็นต้น

อ่านคนจากความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักหรือแฟน ชายหญิงคู่ไหนแต่งงานแล้ว และคู่ไหนยังไม่แต่ง คู่ไหนรักกันดูดดื่ม และคู่ไหนที่หมางเมินกัน คู่ไหนที่คับอกคับใจ และคู่ไหนที่ไม่ได้เป็นอย่างเช่นนั้น คู่ไหนที่มีความสุข และคู่ไหนไม่มีความสุข ความรักทำให้คนมีทั้งสุขและทุกข์ ต้องสังเกตและตีความหมายท่าทางที่แสดงออกเป็นนิสัย หรือลักษณะพิเศษของแต่ละคู่ เมื่ออยู่กันเป็นกลุ่ม ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมักจะจับคู่คุยกัน ส่วนหญิงโสดจะจับคู่คุยกับผู้ชาย แทบจะไม่เห็นผู้หญิงโสดสนทนากัน หรือถ้ามีก็จะเป็นการสนทนาแบบสั้น ๆ คู่ที่ยังไม่แต่งงานมีแนวโน้มที่จะอยู่ด้วยกันตลอด เหมือนกับจะบอกว่าทั้งคู่เป็นเจ้าของกันและกัน คู่ไหนที่มีปากเสียงกันและจำเป็นต้องออกงานร่วมกัน จะแสดงออกแบบเป็นทางการ ท่ายิ้มให้กันก็เป็นแบบไม่จริงใจและไม่เห็นฟัน โดยทั่วไปผู้ที่แต่งงานกันแล้วหรือยังไม่แต่งงานกันแต่ก็คบกันมานานแล้ว จะไม่สัมผัสตัวกันบ่อยและถ้าเกิดมีฝ่ายใดไปสัมผัสก่อน อีกฝ่ายจะดึงแขนหรือมือนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว

การสัมผัสเป็นการแสดงความเป็นเจ้าของ และทำให้มั่นใจหรือเรียกความมั่นใจกลับคืนมา สัมผัสอาจจะเป็นการเรียกความมั่นใจของอีกฝ่ายให้กลับมา ยิ่งถ้าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันแล้วก็อาจจะโอบกัน นอกจากการจัดตัวเองให้ดูดี และอาการเกี้ยวพาราสีแล้ว ยังพบว่ามีการกระทำที่ร้องขอ หรือเชิญชวนการเกี้ยวพาราสี การเชิญชวนเหล่านี้ก็เช่น การมองส่งสายตาหวาน จ้องตากัน ยักคิ้ว ทำท่าเคร่งขรึม ซันหัวขึ้นลง เป็นต้น ส่วนในผู้หญิงก็สังเกตพบท่านั่งไขว้ขาเผยให้เห็นขาอ่อน และใช้นิ้วลูบขาหรือข้อมือเบา ๆ

อ่านคนจากความสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้า กฎทั่วไปของสังคมก็คือ ถ้าคนที่รู้จักคุ้นเคยกันไม่ยอมเผชิญหน้ากัน แสดงว่าต้องมีเหตุผลบางอย่าง เช่นเดียวกับคนที่ไม่คุ้นเคยกัน แต่อยากจะพบหน้ากันก็ต้องมีเหตุผลเช่นกัน ปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อจำนวนครั้งของการสื่อสารด้วย กิริยาท่าทางระหว่างคนแปลกหน้าก็คือ ความต้องการที่จะเกี่ยวข้องกันของคนเหล่านั้น อาจจะรู้สึกว่าระแวงซึ่งกันและกัน เลยตัดสินใจไม่มองหน้ากัน แสดงว่าพวกเขาไม่สนใจซึ่งกันและกัน ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายอย่างระหว่างคนทั้งสองเช่น ระดับของความรู้สึกไม่มั่นใจที่มีต่อกัน อายุเพศ และทัศนคติเกี่ยวกับการอยากมีส่วนร่วมในการสนทนา ซึ่งสถานการณ์นี้จะทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่การมองอย่างระแวงสงสัย จนถึงความสนใจและการสนทนาที่เร้าใจ ซึ่งอาจนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ในเมืองต่าง ๆ มีการแสดงท่าทางไม่เหมือนกัน และการเข้าใจความแตกต่างนี้จะทำให้ไม่รู้สึกกระดากต่อเหตุการณ์ที่เขินอาย

อ่านคนจากความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง ท่าทางการถือสิทธิ์นั้นใช้กันมากในความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง และถ้าเจ้านายแสดงความก้าวร้าวมากเท่าใด เมื่อลูกน้องรู้สึกว่าถูกข่มขู่และไม่สบายใจ ก็จะยิ่งแสดงท่าทางออกมาจนเกินจริงมากขึ้นเท่านั้น แล้วก็จะแพ้ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เพราะต่างก็ไม่ได้รับในสิ่งที่ตนพอใจ และไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน การแสดงความเหนือกว่า อาจจะแสดงออกมาให้เห็นตั้งแต่การจับมือทักทายนั่นคือ เมื่อคนที่จับมือด้วยบีบมืออย่างแรง และพลิกมือลงเพื่อให้มือของเขาอยู่ด้านบน หรือเมื่อมีคนอื่นยื่นมือมาให้จับโดยหงายฝ่ามือขึ้น แสดงว่าเขาเต็มใจที่จะอยู่ใต้บังคับบัญชา

คนที่มีความสัมพันธ์กันแบบเจ้านายกับลูกน้องมาเป็นเวลานาน ๆ จะใช้การแสดงออกทางสีหน้ามากกว่าท่าทางของร่างกาย ตัวอย่างเช่น เลิกคิ้ว บิดศีรษะเล็กน้อย และสายตาไม่เชื่อถือของเจ้านายเมื่อเขาไม่ยอมรับความคิดของลูกน้อง และถ้าลูกน้องไม่เข้าใจความหมายนี้แล้ว เขาก็จะใช้มาตรการที่ 2 ก็คือ เปลี่ยนอิริยาบถ อาจจะถอนใจเฮือกขณะที่ชำเลืองมองนาฬิกาข้อมือ และถ้าลูกน้องยังไม่เข้าใจ เขาก็อาจยืนขึ้นจัดแจงเอกสารต่าง ๆ และถามตรง ๆ ว่าไม่มีอะไรจะไปทำหรือ หรือบอกว่าเขาควรเอาเวลาไปทำงานอื่น การถามขึ้นมาตรง ๆ แบบนี้ เป็นการทำให้เสียความรู้สึกทั้งสองฝ่าย เจ้านายจะสงสัยว่าทำไมลูกน้องถึงไม่เข้าใจท่าทางที่เขาแสดงออกมา และลูกน้องก็จะออกจากห้องด้วยความรู้สึกว่าตนเป็นตัวตลก และโกรธตัวเองที่ไม่เข้าใจท่าทางที่เจ้านายแสดงออกมาว่าต้องทนฟังเขาพูด

ท่าทางเอามือกอดอก แสดงถึงความกลัดกลุ้มใจผู้บริหารที่ประสบปัญหามากมายอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเข้าไปในที่ทำงานและเห็นเจ้านายอยู่ในท่านี้ ความรู้สึกแรกที่เกิดก็คือปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวจะดีกว่า โดยเฉพาะถ้ามีเรื่องสำคัญที่จะคุยกับเขา เพราะถ้าอ่านท่าทางของเขาได้ก็คิดว่าควรรอ แทนที่จะไปเพิ่มปัญหาให้เขามากขึ้น

ยืนแบบวางตัวว่ามีอำนาจเหนือกว่าคือเกือบชิดด้านในของโต๊ะ เป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอาณาเขตของลูกน้อง มือของเขาล้วงกระเป๋าแบบสบาย ๆ โดยที่นิ้วโป้งยื่นออกมา ซึ่งเป็นท่าทางหนึ่งที่แสดงถึงความเชื่อมั่นและมีอำนาจ ซึ่งใช้กันมากในยุโรปและอเมริกา คนที่ชอบใช้ท่าทางนี้มาเจอกัน พวกเขาพยายามจะไม่ทำท่าทางนี้เพื่อให้เกียรติซึ่งกันและกัน

การกำหมัด แสดงถึงอำนาจและเน้นย้ำเรื่องที่พูด หรือไม่ก็แสดงความไม่พอใจออกมา และผู้พูดนั้นยังพยายามแสดงความเหนือกว่า ด้วยการยืนขณะว่ากล่าวลูกน้อง

อ่านคนจากความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและผู้ให้คำปรึกษา ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทั่วไป ต้องหมั่นปรับปรุงความสามารถในการสื่อสารกับลูกค้าอยู่เสมอ ต่อไปนี้จะพาไปดูความสัมพันธ์นี้ในมุมมองของลูกค้าบ้าง ลูกค้านั้นตั้งใจจะรับฟังความรู้ของผู้ให้คำปรึกษา และไม่เชื่อวิธีการแก้ปัญหาแบบเก่า ๆ ที่เคยใช้มาก่อน ดังนั้นจึงไม่สนใจคำแนะนำพื้น ๆ ที่ผู้ให้คำปรึกษาบอก นอกจากนี้ลูกค้ายังต้องการความเห็นอกเห็นใจจากผู้ที่ให้คำปรึกษา ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นคนเดียวที่เข้าใจปัญหา และช่วยเหลือเขาได้

ถ้าคนที่มีอาชีพนี้ขาดความเห็นอกเห็นใจ ลูกค้าก็จะเชื่อว่าคนเหล่านี้ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น ลูกค้าบางคนจะรับฟังแค่สิ่งที่เขาอยากฟัง ซึ่งบางครั้งผู้ให้คำปรึกษาเพียงแค่เป็นคนดึงความคิดที่อยู่ในใจของลูกค้าออกมาเท่านั้น คนที่ต้องการจะค้นหาตัวเองโดยหวังพึ่งความช่วยเหลือจากคนอื่น ๆ จึงสนใจอย่างมากที่จะเข้ากลุ่มและพูดคุยกัน ด้วยเขาหวังว่าจะค้นพบตัวเองและรับรู้ถึงผลกระทบที่เขามีต่อคนอื่นแบบเปิดเผย ซึ่งการแลกเปลี่ยนความคิดแบบนี้ บางครั้งก็ทำให้ผู้ให้คำปรึกษาลำบากใจ กับการหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะบอกข้อสรุปของเขาต่อลูกค้า และเห็นชัดเจนที่สุดของผู้ให้คำปรึกษาก็คือ

การจดบันทึกทุกอย่างที่ลูกค้าพูด โดยไม่สนใจว่าจะสำคัญหรือไม่ อีกท่าทางหนึ่งก็คือท่าเอามือรองแก้ม ซึ่งเป็นการประเมินเหตุการณ์เป็นท่าทางของนักคิด เป็นท่าทางที่สำคัญและเป็นท่าที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ว่าเขาไม่เพียงแต่สนใจเท่านั้น แต่ได้วิเคราะห์ปัญหาที่สร้างความลำบากใจแก่ลูกค้าแล้วด้วย

การเอนตัวเข้าไปหาลูกค้า เป็นท่าทางแสดงความสนใจในปัญหา แต่บ่อยครั้งที่สังเกตเห็นผู้ให้คำปรึกษานั่งพิงพนักเก้าอี้และทำมือเป็นรูปภูเขา แสดงถึงความไม่ใส่ใจกับปัญหาของลูกค้า ผู้ให้คำปรึกษาส่วนมากแล้วจะเป็นคนที่เสียสละ และกระตือรือร้นที่จะแก้ปัญหาให้ลูกค้า ดังนั้นพวกเขาจึงควรจะจัดห้องทำงานเสียใหม่เพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นส่วนตัว ทำให้เกิดความเป็นกันเองก่อนที่จะรับฟังปัญหา และพูดคุยกันถึงหนทางแก้ไข คนที่มีอาชีพนี้ไม่ควรแสดงความเหนือกว่าหรืออวดรู้ต่อหน้าลูกค้า ยิ่งในสถานการณ์ที่ลูกค้ารู้สึกเหมือนเป็นเด็กที่กำลังหลงทางด้วยแล้ว ก็ควรทำตัวเป็นเพื่อนหรือคนที่ไว้ใจได้ ผู้ให้คำปรึกษาบางคนจะรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ขายความสามารถ ซึ่งลูกค้าหลายต่อหลายคนมักจะตรวจสอบกิตติศัพดิ์ของพวกเขาก่อนที่จะติดต่อมา ดังนั้นถ้ามองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ไปแล้ว พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องโฆษณาตัวเองเลย แค่ทำตัวเป็นนักฟังที่ดี เพื่อจะได้รับรู้ถึงปัญหาและความต้องการของลูกค้า ได้อย่างถูกต้องเท่านั้น

อ่านคนจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย กลุ่มท่าทางที่อาจพบได้ในความสัมพันธ์ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ผู้ซื้อนั่งเอนหลังพิงพนักไกลจากผู้ขาย และทำมือเป็นรูปภูเขา เสื้อกลัดกระดุม ขาไขว้ และแกว่งเท้าข้างหนึ่งไปมา ราวกับว่าเขาไม่อยากทนฟัง หน้าตาที่บึ้งเล็กน้อยแสดงออกมาว่าเขายังไม่พร้อมที่จะซื้อ หรือรับข้อเสนอของผู้ขาย ส่วนนักขายอยู่ในท่าเอนตัวมาข้างหน้า แสดงออกมาว่าต้องการบรรลุเป้าหมาย มือของเขาหงายขึ้น ยิ้มธรรมดา และเสื้อไม่กัดกระดุม แสดงถึงความเปิดเผยและต้องการให้ผู้ซื้อรู้สึกสบายใจ ตอนนี้เขาอยู่ในขั้นหัวเลี้ยวหัวต่อ ถ้าเขาพูดอะไรผิดคนซื้อก็จะเปลี่ยนมากอดอก เอาขาลงแล้วไขว้อีกที เท้าชี้ห่างจากนักขายไปยังทางออกที่ใกล้ที่สุด นั่นแสดงถึงท่าทีปฏิเสธ

8

วิธีอ่านคนให้ทะลุถึงใจ

จากสถานการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน

ท่าทางที่ไม่มีผู้ฟัง การพูดโทรศัพท์ คนเราสามารถแสดงท่าทางได้ตลอดเวลา โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องมีคนฟังหรือไม่ เช่น ในขณะที่พูดโทรศัพท์หรือลองสังเกตดูว่า ขณะที่พูดโทรศัพท์ได้แสดงท่าทางออกไปมากน้อย หรือบ่อยแค่ไหนโดยเฉพาะเมื่อเกิดความรู้สึกที่หลากหลายในขณะที่สนทนา เช่น ตื่นเต้นเบื่อเร้าใจสนใจ เป็นต้น ต่อไปนี้คือท่าทางอีกส่วนหนึ่งที่ผู้คนใช้ในขณะพูดโทรศัพท์

ขีด ๆ เขียน ๆ เคยสังเกตไหมว่าขณะที่พูดโทรศัพท์ มีบางคนขีดเขียนคำหรือตัวเลข วาดเส้นหรือวงกลมหรืออะไรก็ตาม ซึ่งคนที่เป็นนักวิชาการนั้นอาจจะขีดเขียนเครื่องหมายต่าง ๆ ในขณะที่คุยโทรศัพท์ และยังมีสมาธิอยู่กับการสนทนานั้น ๆ แต่สำหรับคนทั่วไปนั้น มักจะขีดเขียนเมื่อหมดความสนใจในการสนทนา

ท่าทางของนักสู้จะไม่เคยเห็นนักสืบทั้งหลายถือบุหรี่ไปป์หรือซิก้าแต่พวกเขาจะวางมันไว้ข้างๆแล้วค่อยหยิบมาสูบทีหลังแต่ถ้ารู้สึกโกรธหรือไม่พอใจก็จะหยิบมันขึ้นมาและเคาะขี้เถ้าของมันทิ้งหรือถ้าเกิดอารมณ์มากๆแล้วล่ะก็เขาจะขยี้มันลงในที่เขี่ยบุหรี่ด้วยท่าทางที่แสดงถึงความเกลียดชัง

ท่าทางการจัดตัวเองให้ดูดีชายและหญิงนั้น จะมีอารมณ์ชื่นมื่นขณะพูดจาเกี้ยวพาราสีกัน ทางโทรศัพท์นั้นท่าทางทั่ว ๆ ไปที่แสดงออกมาก็ เช่น ดึงเนคไท จัดเสื้อผ้า และลูบผม แต่มีอีกท่าทางหนึ่งที่ผู้หญิงแสดงออกมาคือ การมองตัวเองในกระจกเหมือนกับว่า กำลังพูดอยู่กับคนรักของเธอ

โยกเก้าอี้ จะทำท่าทางนี้เสมอเมื่อรู้สึกว่าควบคุมสถานการณ์ได้ และสิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างที่ต้องการ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่พอใจขึ้นมา อาจจะหยุดโยกเก้าอี้ทันที กำมือแน่นแล้วหยิบของขึ้นมากระแทกลงอย่างแรง

เท้าอยู่บนโต๊ะ คนที่รู้สึกถึงความเหนือกว่า หรือมั่นใจในตัวเองอาจจะแสดงท่าทางนี้ออกมา แม้ในขณะพูดโทรศัพท์

ใช้ลิ้นชักชั้นล่างวางเท้า ท่าทางนี้มักจะแสดงถึงการได้ผลประโยชน์จากบางคน หรือบางสถานการณ์

เปิดและปิดลิ้นชักบน มีผู้บริหารคนหนึ่งที่ชอบดึงลิ้นชักบนเข้า ๆ ออก ๆ ทุกครั้งที่เขาพูดโทรศัพท์แล้วเจอกับปัญหายุ่งยากที่ต้องครุ่นคิด เมื่อเขาได้ข้อสรุปแล้วก็จะปิดลิ้นชักกลับ และตอบคำถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความเชื่อมั่นในตัวเอง

การยืนขึ้น ท่าทางนี้เป็นท่าทางที่ใช้กันมากที่สุดขณะโทรศัพท์ เพราะส่วนมากจะยืนพูดโทรศัพท์มากกว่านั่งและมักจะยืน ในขณะที่ต้องตัดสินใจประหลาดใจหรือตกใจสุดขีด และเมื่อรู้สึกหงุดหงิดหรือเบื่อกันสนทนา

วิธีอ่านคนจากสถานการณ์ที่อยู่ในศาล ทุกคำพูดที่กล่าวในศาลนั้นจะถูกบันทึกไว้ และถ้าผู้พิพากษาหรือทนายความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดพลาด ก็สามารถนำบันทึกนั้นมาประกอบการยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งทนายความและผู้พิพากษาต่างรับรู้มานานแล้ว พวกเขาสามารถใช้กริยาท่าทางประเภทต่าง ๆ เพื่อแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้ และจะไม่ถูกบันทึกเอาไว้ ผู้พิพากษาจะให้คำแนะนำแก่คณะลูกขุนด้วยวิธีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความคิดของเขาว่า จำเลยผิดจริงหรือถูกกล่าวหา เขาอาจจะยืนเพื่อแสดงความกรุณา เมื่อเขาพูดถึงช่วงที่คิดว่าจำเลยไม่ผิด แต่ถ้าจำเลยผิดจริงผู้พิพากษาก็จะลุกขึ้นยืน เพื่อเน้นข้อกล่าวหา แต่ไม่ว่าผู้พิพากษาจะยืนหรือนั่งก็ตาม ท่าทางนี้จะไม่ถูกเสมียนศาลจดบันทึกไว้ ทนายความหลาย ๆ คนที่ประสบความสำเร็จใช้ความเข้าใจเรื่องการสื่อสารด้วยกริยาท่าทาง มาประเมินความรู้สึกของผู้ร่วมงาน พยาน และสมาชิกในคณะลูกขุน

วิธีอ่านคนจากกลุ่มคนในสังคม ในงานเลี้ยงนั้นบางครั้งก็พอใจ และสนุกกับการเฝ้ามองดูกิริยาท่าทางของผู้คนที่มาร่วมงาน กลุ่มท่าทางเกี้ยวพาราสีมักจะแสดงออกมาให้เห็นในงานเลี้ยง แต่ยังมีท่าทางที่สร้างแรงกระตุ้น และความต้องการอื่น ๆ ปรากฏอยู่ด้วย และมีเสน่ห์ชวนให้เฝ้ามองไม่น้อยไปกว่าพฤติกรรม ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นทางเพศ

ผู้ชาย 2 คนที่ยืนอยู่ตรงกลางนั้น อาจกำลังคุยกันถึงเรื่องที่ไม่สำคัญ โดยดูจากท่ายืนที่เปิดเผย เป็นการเชิญชวนให้ผู้อื่นเข้าร่วมวงสนทนาด้วย สังเกตได้ว่าทั้งคู่ไม่กัดกระดุมเสื้อโค้ท แสดงถึงความเป็นมิตรกันมีคนหนึ่งสอดนิ้วโป้งไว้ในขอบกางเกง และยืนแยกขาแสดงความเชื่อมั่นส่วนอีกคนปล่อยแขนสบาย ๆ ทั้งคู่ยืนเอ็นเข้าหากันเล็กน้อย

ส่วนผู้หญิง 2 คนทางด้านขวานั่งและจ้องมาที่ชาย 2 คนที่ยืนอยู่ หญิงคนหนึ่งเอนตัวไปหาอีกคนห่างประมาณ 12 นิ้ว เหมือนกำลังบอกความลับอะไรบางอย่าง อาจสงสัยว่าพวกเธอพูดถึงใคร ทั้งสองสาวนั่งไขว้ขากุมมือไว้บนตัก ซึ่งเป็นท่าทางปกป้องตนเองอย่างมาก จากการพูดคุยแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ของพวกเธอ อาจตั้งสมมติฐานว่าเธอทั้งคู่รู้จักกันดี และกำลังสนใจในสิ่งเดียวกัน

ส่วนทางซ้ายเป็นภาพหญิงสาวนั่งคุยกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ ท่าทางของเธอแสดงให้เห็นชัดว่าเธอยอมรับ และสนใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูด ส่วนเขากำลังจัดตัวเองให้เรียบร้อย ด้วยการดึงเนคไทในขณะที่ตัวเอนลงหาหญิงสาว เขาดูจะเป็นคนประเภทพยายามทำให้ดีที่สุด

หวังว่าจะได้เรียนรู้วิธีการอ่านคนให้ทะลุไปถึงสิ่งที่เขาคิดในใจ วิธีสังเกตกิริยาท่าทาง และข้อมูลที่ได้จากหนังสือไปมากพอ ที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ และหากเรียนรู้วิธีการอ่านคนให้ทะลุถึงใจได้แล้ว การถ่ายทอดวิธีการให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือใครก็ตาม จะถือว่าเป็นการแบ่งปันที่ได้กุศลกับตัวเอง ซึ่งพวกเขาอาจจะนำเอาข้อมูลเหล่านี้ไปปรับใช้ ให้ได้ประโยชน์ตามความเหมาะสม หวังว่าจะมองดูท่าทางต่าง ๆ ของผู้คนด้วยมุมมองที่กว้างไกลขึ้น และอย่ามองอะไรเพียงแค่ด้านเดียว เหมือนกับคนที่มองว่าคันโยกยาวของเครื่องสูบน้ำนั้น มีไว้เพียงเพื่อผ่อนแรง แต่แท้ที่จริงแล้วคันโยกยาว ๆ นั้น ยังถือเป็นโอกาสให้คนสองคนได้ทำงานร่วมกันอีกด้วย.