สรุปหนังสือ : AT YOUR BEST (เป็นคุณแบบที่ดีที่สุด)
จะเป็นอย่างไรถ้าสามารถควบคุมปฏิทินของตัวเองได้ และเรียนรู้ที่จะปฏิเสธโดยไม่ต้องกลัวเสียเพื่อน หรืออิทธิพลที่มี จะเป็นอย่างไรถ้าทำงานถนัดของตัวเองได้ดีขึ้น โดยใช้เวลาน้อยลง จะเป็นอย่างไรถ้าสามารถปกป้องเวลาเพื่อให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และยังคงทำงานได้ยอดเยี่ยม จะเป็นอย่างไรถ้าการพัฒนาศักยภาพ ความสัมพันธ์ และความฝัน เปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่พร้อมและดีกว่าเดิม มาล่วงรู้ความจริงเกี่ยวกับเวลา พลังงาน และลำดับความสำคัญ สามกุญแจที่จะคืนความสมดุลและอำนาจควบคุมชีวิตให้เป็นคนแบบที่อยากเป็นได้อย่างแท้จริง
ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้คือ แครีย์ นิวฮอฟ เป็นอดีตทนายความ ผู้เขียนหนังสือขายดีเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ นักจัดรายการพอดแคสต์ และซีอีโอของบริษัทแครีย์นิวฮอฟคอมมิวนิเคชันส์ เขาเดินทางไปบรรยายให้ผู้นำทั่วโลกฟังเรื่องการเป็นผู้นำ การเปลี่ยนแปลงและการเติบโตส่วนบุคคล เขาเขียนบล็อกว่าด้วยการเป็นผู้นำ ซึ่งมีผู้ติดตามอ่านมากที่สุด
ในยุคปัจจุบันมีใครไม่เครียดบ้าง ทุกคนใช้ชีวิตภายใต้ความกดดันทางเวลา สำหรับคนที่อาจเรียกตัวเองว่าคนทำงานใช้สมอง แม้จะพบสิ่งท้าทายต่าง ๆ แต่กลับยากจะหาสาเหตุ ยากจะบอกได้ว่าอะไรทำให้เครียดขนาดนั้น ความจริงก็คือการมีค่าพอให้บอกลาการใช้ชีวิตที่มีจังหวะก้าวไม่ยั่งยืน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเรียนรู้จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ที่สุด ทั้งในแง่ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน ปัญหาส่วนใหญ่ของคนในยุคนี้คือ ปัญหาเกิดจากการมีมากเกินไป มีความต้องการมากเกินไป มีโอกาสมากเกินไป มีข้อมูลมากเกินไป มีสิ่งรบกวนสมาธิมากเกินไป มีทางเลือกมากเกินไป มีคนต้องการความสนใจมากเกินไป และมีสิ่งที่ต้องจดในปฏิทินมากเกินไป
ความเครียดและตัวพ่วงยอดนิยมอย่างภาวะหมดไฟ แพร่ลามเหมือนโรคระบาดเช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ บางครั้งเป็นโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ดังนั้น นี่ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับภาวะหมดไฟ แต่เป็นเรื่องของการอยู่ให้ห่างจากภาวะดังกล่าว กลับไปสู่ความสงบ มีความรู้สึกเป็นสุขมากขึ้น และมีวิธีรับมือกับการเป็นผู้นำ ถึงเวลาแย่งชิงชีวิตและความเป็นผู้นำกลับคืนมาแล้ว พร้อมหรือยัง
ภาค 1 เครียดขนาดนี้ไม่ดีแล้ว
บทที่ 1 สร้างชีวิตที่เราไม่อยากหลบลี้หนีไปไหน
ทำไมคนส่วนใหญ่จึงนึกเสียใจภายหลังกับชีวิต และการงานที่ตนสู้อุตส่าห์แผ้วถางสร้างทำ ในปี 2006 จังหวะก้าวที่ไม่ยั่งยืนนี้ ไม่เพียงบีบคั้นแต่ยังทำให้ผู้เขียนเกือบตาย ด้วยหัวทิ่มจมดิ่งสู่ภาวะหมดไฟ ปราศจากแรงใจสิ้นไร้พลัง และความหวังก็ริบหรี่อยู่หลายเดือน ถึงแม้นี่จะไม่ใช่จุดจบแต่เขาก็รู้สึกแบบนั้นไม่มีผิด รู้สึกเฉยชาเหมือนร่างกายหยุดงานประท้วง และชูป้ายบอกว่าพอกันที
ราคาของความเครียด ความเครียดซึ่งการแพทย์นิยามว่า สิ่งกระตุ้นภายในหรือภายนอกที่ปลุกเร้าการตอบสนองทางชีวภาพ สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างแท้จริงและเห็นได้ชัด สมาคมจิตวิทยาอเมริกาตั้งข้อสังเกตว่า ผลกระทบจากความเครียดอาจรวมตั้งแต่การปวดศีรษะ เจ็บปวดเรื้อรัง หายใจไม่ทัน ไปจนถึงตื่นตระหนกขั้นรุนแรง ความเครียดยังเกี่ยวข้องกับอาการแสบร้อนกลางอก กรดไหลย้อน ท้องอืด คลื่นไส้ อาหารไม่ย่อย หมดอารมณ์ทางเพศ อสุจิลดจำนวน และเคลื่อนที่ช้าลง รวมถึงภาวะมีบุตรยาก นอกจากนี้ความเครียดยังส่งผลเสียต่อความจำ ทำให้ตอบสนองช้าลง และเกิดภาวะผิดปกติทางพฤติกรรม และอารมณ์อื่น ๆ
ความเครียดยังเป็นอุปสรรคในการสื่อสาร ระหว่างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกับแกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล (HPA axis) ซึ่งเป็นระบบตอบสนองอันซับซ้อนของกลุ่มอวัยวะที่ควบคุมฮอร์โมนความเครียดต่าง ๆ รวมถึงคอร์ติซอลด้วย ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพกายและจิตต่าง ๆ เช่น ภาวะอ่อนล้าเรื้อรัง เบาหวาน โรคอ้วน ซึมเศร้า และแพ้ภูมิตัวเอง นักวิจัยยังเชื่อมโยงความเครียดกับโรคหัวใจ และหลอดเลือดที่อันตรายถึงชีวิต เช่น หัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตกด้วย
เป้าหมายไม่ใช่แค่เอาตัวรอดไปวัน ๆ ไม่มีใครอยากใช้ชีวิตโดยมีโรคภัยรุมเร้าจากวิถีชีวิตประจำวัน ในทางปฏิบัติทุกคนถูกรุมเร้ามากเกินไป แบกภาระมากเกินไป และทำงานหนักเกินไป นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริง ๆ ทำไมมนุษย์ที่เจริญก้าวหน้าที่สุดเท่าที่เคยมีมา กระทำให้ชีวิตเป็นเรื่องของการเอาตัวรอดไปเสียได้ พวกเราหลายคนพบตัวเองอยู่ในจุดที่ไม่อยากอยู่ ชิงชังรังเกียจชีวิต และงานที่สู้อุตส่าห์ก่อร่างสร้างขึ้นมาอย่างรอบคอบ หรือต่อให้ยังไปไม่ถึงชีวิตแบบนั้น ก็คงใกล้เข้าไปทุกที ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการเผชิญความจริง
นี่ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อพลิกฟื้นสิ่งที่ดูคล้ายความหวัง ท่ามกลางทุกสิ่งที่ประเดประดังเข้ามา อาจปลอบตัวเองว่าความเครียดนี้ ซึ่งกำลังรุมเร้าและทำให้ชีวิตยุ่งเหยิงบ้าคลั่งนั้นไม่เป็นไร เพราะนี่ก็แค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น ที่สุดแล้วช่วงเวลาต่าง ๆ ล้วนมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ถ้าช่วงงานยุ่งไม่มีจุดสิ้นสุด เนื่องจากไม่ใช่ช่วงเวลาหนึ่งแต่เป็นทั้งชีวิต
เผาบทนั้นทิ้งไปซะ นี่คือบทการแสดงที่คนหลายล้านใช้ในชีวิตปกติและส่งต่อ ๆ กันมา ให้ตัดสินใจเสียตั้งแต่วันนี้ว่าจะเผามันซะ แล้วดูเถ้าชิ้นสุดท้ายลอยหายไปในอากาศ เมื่อก้าวออกจากภาวะหมดไฟ เพราะมุ่งมั่นจะใช้ชีวิตที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง สร้างชีวิตของตัวเองขึ้นใหม่ แค่เปลี่ยนสิ่งที่ทำในแต่ละวัน รวมถึงเปลี่ยนกระบวนการลงมือทำเท่านั้น ดังนั้นในขณะที่สิ่งภายนอกไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่นัก ผู้เขียนก็ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสิ่งที่ดีกว่า จนได้ชีวิตการเป็นผู้นำกลับคืนมา การเรียนรู้เพื่อใช้ทรัพยากรของตัวเองให้ดีขึ้น ฟื้นฟูจิตใจให้มีประสิทธิภาพได้อย่างเหลือเชื่อ ยุติการมองโลกในแง่ร้าย และทำให้ความสุขในการใช้ชีวิต ที่เคยคิดว่าสูญหายไปตลอดกาลแล้วกลับคืนมา
ทำให้ทุกสิ่งที่ขัดขวางเอื้อประโยชน์แก่เรา หากลองพิจารณาวิธีใช้ชีวิต ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนทำอะไร หรือทำสิ่งนั้นกับใคร ต้องจัดการทรัพยากรหลัก 3 ประการนั่นคือ เวลา พลังงาน และลำดับความสำคัญ กลยุทธ์ชัดเจนในการจัดการทรัพยากรหลักทั้ง 3 คือ เรียนรู้วิธีใช้ประโยชน์สูงสุดจากเวลา พลังงาน และลำดับความสำคัญ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าควบคุมปฏิทินของตัวเองได้ และเรียนรู้ว่าปฏิเสธอย่างไรโดยไม่ต้องกลัวเสียเพื่อน หรืออิทธิพลที่มี จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสามารถทำสิ่งที่ทำได้ดีกว่าเดิมมาก โดยใช้เวลาทำงานน้อยลง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสามารถปกป้องเวลา ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก และยังคงทำงานได้ยอดเยี่ยมด้วยการมีภาวะเครียดตลอดเวลา ทำให้คนจำนวนมากไม่มีความฝัน หรือไม่มีโอกาสทำสิ่งที่อยากทำได้สำเร็จ
ความฝันของคุณคืออะไร หากมีความฝันหรือกระทั่งเสียงเรียกร้องที่หายเข้ากลีบเมฆไปนานแล้ว ความฝันที่ดูเป็นไปไม่ได้เสียจนกระทั่งไม่กล้าพูดออกมาดัง ๆ หรือยอมรับกับตัวเองในการเดินทางต่อจากนี้ จะมีพื้นที่ให้ได้ฝันอีกครั้ง พร้อมเรียนรู้กลวิธีซึ่งช่วยหาเวลาในการไล่ตามความฝันนั้น ถ้าอ่านต่อเนื่องไปอีกจะเห็นผลลัพธ์ที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ และเมื่ออ่านจบจะสร้างชีวิตใหม่ที่ไม่อยากหลบลี้หนีหายไปไหนอีก แล้วเริ่มรักชีวิตได้จริง ๆ เสียที
บทที่ 2 พอกันทีกับชีวิตยุ่งเหยิงบ้าคลั่ง
ใช้ชีวิตวันนี้ในแบบที่เอื้อให้ก้าวหน้าในวันพรุ่งนี้ คำแนะนำเพื่อช่วยคนที่หนักใจและเครียดมักเป็นดังนี้ 1.หาเวลานอนหลับให้เพียงพอในแต่ละคืน 2.ออกกำลังกายเป็นประจำและ 3.ถนอมรักษาความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดให้อยู่ดี กระทั่งคนที่ได้พักผ่อนอย่างดี มีเพื่อนฝูง และยกบ้านหลังเล็ก ๆ ไหวก็เครียดได้เหมือนกัน การลาหยุดจะไม่ช่วยเยียวยา เมื่อปัญหาคือวิธีใช้เวลากับอะไรบางอย่าง มันเป็นแค่การหลบหนีรูปแบบหนึ่งเท่านั้น วันหยุด การลาพักร้อน กระทั่งการลาหยุดยาวไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา จังหวะก้าวที่ไม่ยั่งยืนได้อย่างยั่งยืน จังหวะก้าวที่ยั่งยืนจึงควรเกิดจากวิธีแก้ปัญหาจังหวะก้าวที่ไม่ยั่งยืนนั่นเอง
การตระหนักรู้แบบแผนถูกดูดเข้าสู่วังวนความเครียด อันที่จริงชีวิตประกอบไปด้วยชุดของแบบแผนต่าง ๆ ที่ดำเนินต่อเนื่องกันไป ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตตามความเคยชินยิ่งกว่าที่ตัวเองคิด แต่แผนบางส่วนที่ทำซ้ำ ๆ ในปัจจุบัน นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่าวังวนความเครียด
ไม่ใส่ใจเวลา วังวนความเครียดดูดลงไปแบบนี้ เหตุผลหลักประการหนึ่งคือ การไม่ใส่ใจเวลามีแนวโน้มจะมองว่า เวลายามตื่นทั้งหมดเหมือนกันทั้งที่ไม่ใช่เลย เวลายามตื่นส่วนใหญ่ก็จะไม่ได้ถูกใช้ด้วยความตั้งใจจริง ๆ ผลคือมักทำสิ่งสำคัญที่สุดแบบสุ่ม ๆ โดยนำไปอัดไว้ในช่วงเวลาที่เหลือ หรือบางครั้งก็ไม่ทำไปเสียเลย ด้วยเหตุนี้จึงใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกขาดแคลนเวลาอยู่ตลอด
ใช้พลังงานได้ไม่เต็มที่ เป็นผลจากการที่ไม่สามารถทำงานร่วมกับระดับพลังงาน ซึ่งมีภาวะขึ้นลงตลอดทั้งวันได้ การถลุงชั่วโมงที่มีผลิตภาพสูงสุดไปอย่างเปล่าเปลือง ไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น แต่เพราะไม่รู้ว่าช่วงเวลาดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อใด หรือจะจัดลำดับกำหนดการของชีวิตให้สอดคล้องกันได้อย่างไร
ลำดับความสำคัญถูกปล้นชิง วังวนความเครียดดึงให้จมลึกลงไปกว่าเดิม เมื่อสูญเสียความมุ่งมั่นที่ดีที่สุดไป ลำดับความสำคัญถูกปล้นชิง เมื่อยอมให้คนอื่นมากำหนดว่า อะไรคือสิ่งที่จะต้องทำให้ลุล่วง คนที่ถูกปล้นชิงลำดับความสำคัญเป็นประจำ มักไม่ได้เรียนรู้วิธีปฏิเสธบ่อยครั้งที่พวกเขาไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่า ตัวเองมีสิทธิ์ปฏิเสธได้ หรือต่อให้เข้าใจว่าการปฏิเสธเป็นเรื่องสำคัญ พวกเขาก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร โดยไม่ไปตัดสัมพันธ์ หรือทำให้อีกฝ่ายขุ่นข้องหมองใจ
วงจรก้าวหน้า ทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในยามที่มีพลังพร้อมที่สุด ความเครียดมีแบบแผนเช่นเดียวกับความก้าวหน้า เป็นขั้วตรงข้ามของวังวนความเครียด จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าวงจรก้าวหน้า หัวใจของวงจรนี้คือการสร้างพฤติกรรมให้ทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ในยามที่มีพลังพร้อมที่สุด วิธีการทำเต็มที่เมื่อพร้อมที่สุดคือ การให้ความสำคัญกับเวลา พลังงาน และลำดับความสำคัญ เมื่อใดที่ทั้ง 3 ข้อนี้ทำงานสอดประสานกัน จะก้าวเข้าสู่วงจรก้าวหน้าอันเป็นวงจรประเสริฐ ที่จะส่งให้มีประสิทธิผลสูงกว่าเดิมมากขึ้นในอนาคต การใส่ใจเวลาก็หมายถึงการใช้เวลาช่วงนั้นต่างไปจากเดิม ซึ่งการทำเช่นนั้นจะทำให้พบว่า มีระดับผลิตภาพสูงกว่าที่เคยมีมากมาย ช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ทำอย่างเต็มที่ที่สุดเหล่านั้น ประกอบเป็นสิ่งต่อไปจะเรียกว่าพื้นที่สีเขียว และสิ่งสำคัญของเรื่องนี้ก็คือการใส่ใจเวลา จะช่วยให้ทำสำเร็จได้มากกว่าในเวลาที่น้อยลงนั่นเอง
ใช้ประโยชน์จากพลังงาน พลังที่แท้จริงของวงจรก้าวหน้าจะเกิดขึ้นตรงจุดนี้ จุดที่เรียนรู้วิธีใช้ประโยชน์จากระดับพลังงาน ซึ่งมีภาวะขึ้นลงระหว่างวัน มนุษย์ส่วนใหญ่ต่อสู้กับระดับพลังงานของตัวเองตามธรรมชาติ โดยพยายามฝืนทนในช่วงพลังงานลดต่ำ แทนที่จะสู้กับระดับพลังงานของตัวเอง ควรเรียนรู้วิธีร่วมมือกับมัน การใช้พลังงานให้เต็มที่จะทำให้ผลิตภาพพุ่งขึ้นถึงขีดสุด อันเป็นผลจากการใช้ช่วงเวลาพื้นที่สีเขียวในแต่ละวัน เพื่อทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ในยามที่มีพลังพร้อมที่สุด
ลำดับความสำคัญแล้วเสร็จ นี่คือจุดที่จะใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยทำสิ่งสำคัญให้สำเร็จ คิดหาหนทางรับมือความยุ่งยากซับซ้อนของการเปลี่ยนแปลง และการเติบโตรวมถึงปกป้องพื้นที่สีเขียวในแต่ละวัน เพื่อให้สำเร็จมากขึ้นโดยใช้เวลาน้อยลง ศูนย์กลางของสิ่งนี้คือปฏิทิน ทุกอย่างจะทำงานสอดประสานกันอย่างราบรื่นไร้รอยต่อได้ ต้องเริ่มจากจัดการปฏิทิน ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากเดิมมาก ๆ เพิ่มวินัยเข้าไปในการจัดการปฏิทิน ด้วยการกำหนดพื้นที่พลังงาน ลำดับงาน และความสัมพันธ์ ที่สำคัญซึ่งจะทำให้ทุกสิ่งที่ได้เรียนรู้ ออกจากความตั้งใจไปสู่ความเป็นจริง
หลักการง่าย ๆ ที่สรุปทุกสิ่ง ใช้ชีวิตวันนี้ในแบบที่จะเอื้อให้ก้าวหน้าในวันพรุ่งนี้ นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น เมื่อทำให้ชิ้นส่วนทั้งหมดในวงจรก้าวหน้าทำงานร่วมกันได้ การใช้ชีวิตวันนี้ในแบบที่จะเอื้อให้ก้าวหน้าในวันพรุ่งนี้ยังเป็นเสมือนบัตรคะแนนเล็ก ๆ ซึ่งบอกให้รู้ทันทีว่าจังหวะก้าวปัจจุบันยั่งยืนเพียงใด ถ้าไม่ก้าวหน้ามันจะเตือนให้ปรับเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ ความก้าวหน้าที่แท้จริงไม่ได้หมายถึงการประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่งของชีวิต แต่หมายถึงการก้าวหน้าในทุกด้านของชีวิต กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ขอให้คิดถึงผู้คนด้วย คิดถึงจิตวิญญาณ คิดถึงจุดหมายในชีวิต แล้ววงจรก้าวหน้าจะแนะนำให้รู้จัก หรือกลับมารู้จักส่วนหนึ่งของชีวิต ที่มีความสำคัญที่สุดนั่นคือ การดำรงตนอย่างมีความหมาย ประเมินความก้าวหน้าของตัวเองใน 5 ด้านที่สำคัญของชีวิตเสมอนั่นคือ จิตวิญญาณ ความสัมพันธ์ อารมณ์ การเงิน และร่างกาย ไม่ว่าเมื่อใดที่ทำเช่นนี้ผลลัพธ์ที่ได้ล้วนคือระยะขอบ และสุขภาวะที่ดีขึ้นทั้ง 5 แง่มุมของชีวิต
จำระยะขอบได้หรือไม่ ระยะขอบคือพื้นที่ มันคือช่องว่างสำหรับหายใจ แม้ระยะขอบหาได้ยากยิ่งในวัฒนธรรมนี้ เพราะทุกเสี้ยววินาทีล้วนใช้ไปกับอะไรบางอย่าง กระทั่งเทคโนโลยีก็ช่วยเรื่องนี้ได้ไม่มากนัก ขณะที่เริ่มเข้าใจแนวคิดต่าง ๆ และคิดแบบองค์รวมได้ จะเริ่มสร้างระยะขอบในปฏิทิน จะมีพลังเหลือเมื่อหมดวันทำงาน และจะมีระบบใหม่ที่ไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาแทรกแซงการตัดสินใจ การสร้างระยะขอบเพื่อให้มีเวลาสำหรับตัวเอง จะใช้เวลานี้ทำความรู้จักตัวเองให้ดีขึ้น และทำเรื่องส่วนตัว เพราะที่สุดแล้วการตระหนักรู้ตัวตน และความฉลาดทางอารมณ์คือ ตัวชี้วัดความสำเร็จที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้นำและในชีวิต สุดท้ายความก้าวหน้ายังหมายถึงการสร้างระยะขอบด้านการเงิน บ่อยครั้งที่คนเรามีปัญหาการเงิน เพราะไม่สละเวลาที่ควรสละ เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ของตนเอง
ทุกวันจะสมบูรณ์แบบอย่างนี้ใช่ไหม การทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในยามที่มีพลังพร้อมที่สุด ฟังดูมีข้อดีเยอะแยะเลย ชีวิตแปรเปลี่ยนไปได้ทุกวัน ทุกวันจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่วิถีการโคจรจะพุ่งขึ้นข้างบนและพุ่งไปข้างหน้า วงจรก้าวหน้าเคยทำให้คนหลายพันมีชีวิตที่มีผลิตภาพ และประสิทธิผลสูงขึ้นอย่างมาก รวมถึงลดระดับความเครียดลงได้อย่างมีนัยสำคัญมาแล้ว
ชั่วโมงที่มีผลิตภาพมากขึ้นสูงถึงหนึ่งพันชั่วโมง เมื่อเริ่มทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในยามที่มีพลังพร้อมที่สุด มีโอกาสได้รับชั่วโมงที่มีผลิตภาพวันละ 3 ชั่วโมง หากลองคำนวณดูอย่างรวดเร็ว ชั่วโมงที่มีผลิตภาพวันละ 3 ชั่วโมงจะเท่ากับ 1,095 ชั่วโมงใน 1 ปี ไม่ต้องถูกรุมเร้ามากเกินไป แบกภาระมากเกินไป และทำงานหนักเกินไปอีกต่อไป ขณะคำนึงถึงข้อดีทั้งหมดเหล่านี้อยู่ในใจ และมีกลยุทธ์ชัดเจนซึ่งผ่านการพิสูจน์แล้วรออยู่ข้างหน้า เมื่อเบื่อชีวิตเร่งร้อนวุ่นวาย ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์รู้สึกเหมือนการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนและไร้ตัวตน ถึงเวลาหนีออกมาแล้ว และครั้งนี้จะเป็นการหนีไปในทิศทางที่เป็นทางออกอย่างแท้จริง ถ้าพร้อมจะออกจากวังวนความเครียดแล้ว ก็ถึงเวลาเริ่มต้นเรียนรู้กลยุทธ์ต่าง ๆ และจังหวะก้าวที่จะช่วยให้ก้าวหน้าแล้ว
ภาค 2 ใส่ใจเวลาของคุณเอง
บทที่ 3 อันที่จริงเรามีเวลา
การปรับเปลี่ยนทัศนคติสำคัญเกี่ยวกับเวลา เรามั่งคั่งกว่าที่ตัวเองคิด ในวันหนึ่งมีเวลาเท่ากับใครก็ตามบนโลกนี้ไม่มีผิด ทุกคนล้วนมีเวลามั่งคั่ง อันที่จริงมีเวลาเยอะมาก เวลาเป็นสิ่งที่ไม่แบ่งแยก นอกเสียจากข้อยกเว้น 2 ประการคือวันที่เกิดและวันที่ตาย แต่ทุกคนต่างได้รับการจัดสรรเวลาในแต่ละวันเท่ากันไม่มีผิด คนที่มีผลิตภาพสูงที่สุดในโลกมีเวลาเท่ากัน นั่นหมายความว่ายังมีบางคนที่บริหารจัดการเวลาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
แค่กลยุทธ์จัดการเวลายังไม่พอ การจัดการเวลาโดยทั่วไปช่วยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ แต่ไม่ทำให้เกิดประสิทธิผลในระยะยาว สุดท้ายจะล้มเหลวเพราะข้อจำกัดพื้นฐาน เพราะการจัดการเวลาคือการจัดการสินค้าคงที่ จึงมักรู้สึกสิ้นไร้เรี่ยวแรงเมื่อต้องจัดการเวลา เพราะกำลังใช้สินทรัพย์ที่มีจำกัดมารับมือข้อเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เวลาไม่งอกเงยและไม่ยืดขยาย นั่นคือเหตุให้การจัดการเวลาทำให้ได้ผลตอบแทนน้อยลง คนคิดว่าเงินเป็นสินค้าที่มีจำกัดซึ่งก็ใช่ แต่ไม่จำกัดไปกว่าเวลา เพราะทำให้เงินงอกเงยได้เสมอ แต่ไม่มีวันทำให้เวลางอกเงยได้
การปรับเปลี่ยนทัศนคติประการที่ 1 พูดถึงเวลาตามความเป็นจริง การปรับตัวหรือทัศนคติเพื่อพูดถึงเวลาตามความเป็นจริงเป็นเรื่องยากที่สุดเรื่องหนึ่ง ต้องทำการยอมรับความจริงเรื่องเวลาอย่างตรงไปตรงมาทำให้หมดข้ออ้าง แต่รู้ดีว่าข้ออ้างมีไว้ทำอะไร มันทำลายความหวัง ความฝัน และเป้าหมาย ดังนั้นขั้นแรกของการใส่ใจเวลาก็คือ การพูดความจริงเรื่องเวลากับตัวเอง เลิกบอกว่าไม่มีเวลา แต่ให้เริ่มทยอยรับว่าตัวเองนั่นแหละที่ไม่ได้หาเวลาเพื่อทำสิ่งนั้น
ผู้ที่พูดความจริงจะมีความฉลาดทางอารมณ์ คำแนะนำเร่งด่วนที่สังคมยอมรับประการหนึ่งก็คือ เมื่อยอมรับแล้วว่าไม่ได้หาเวลาเพื่อทำอะไรบางอย่าง โปรดเก็บความจริงนี้ให้อยู่กับตัว การเที่ยวบอกใครต่อใครว่า จะไม่หาเวลาทำให้หรอก อาจเป็นบ่อนทำลายชีวิตในสังคมได้ง่าย ๆ แต่ลองสังเกตพลังแห่งการพูดความจริงกับตัวเองดู ความจริงนี้เปลี่ยนแปลงได้กระทั่งสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ระดับความไม่สบอารมณ์ ทุกคนมีเวลานั่งอยู่ที่หน้าระเบียงบ้านของตัวเอง สามารถผ่อนคลายได้ทุกเมื่อที่ต้องการ นั่งมองโลกเคลื่อนผ่าน และถ้าไม่ทำแบบนั้นนั่นก็เป็นเพราะเลือกที่จะไม่ทำเอง แล้วเลือกทำอย่างอื่นที่รู้สึกว่ามีค่ามากกว่าในเวลานั้นแทน
การปรับเปลี่ยนทัศนคติประการที่ 2 โอบรับแพสชั่น (และละทิ้งชีวิตสมดุล) อาจตัดสินใจกำหนดเป้าหมายว่าอยากใช้ชีวิตอย่างมีสมดุล ณ จุดใดจุดหนึ่งของชีวิต สมดุลดูเป็นเป้าหมายที่ยากจะไขว่คว้าสำหรับคนส่วนใหญ่ หลายคนบอกว่าอยากมีสมดุล แต่ในยุคที่มีสารพัดสิ่งโถมเข้าใส่พร้อม ๆ กัน และมีโอกาสอยู่มากมาย รวมทั้งอุปกรณ์ส่งเสียงที่ขู่จะยึดครองกระทั่งช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุด คนส่วนใหญ่ย่อมไม่มีวันพบความสมดุลที่ใฝ่ฝันหา ในทางตรงกันข้าม ลองหยุดคิดสักนิดถึงคนที่ทำเรื่องใหญ่ ๆ ได้สำเร็จ มองว่าคนเหล่านั้นมีสมดุลหรือเปล่า โดยส่วนใหญ่แล้วไม่มีเลย คนส่วนใหญ่ที่ทำสิ่งสำคัญได้ประสบความสำเร็จ จะไม่มีความสมดุลแต่จะมีแพสชั่น
คนที่มีความสมดุลจะปิดรับได้ดี แต่การอยู่ในภาวะปิดรับไม่มีประโยชน์อะไรนัก ถ้ามีสิ่งที่อยากทำมากมาย คนที่มีชีวิตสมบูรณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลก คนที่มีแพสชั่นต่างหากที่ทำเช่นนั้น ถ้าอยากหยุดพักก็พักจะมีความสุขกับช่วงเวลาพักผ่อนก็ได้ ถ้าพยายามจะนอนให้ได้ 8 ชั่วโมงก็หลับให้สนิท ถ้าอยากงีบหลับก็นอนให้สบาย อย่ารู้สึกผิดแต่จงโอบรับมัน หรือถ้ามีโครงการใหญ่ในที่ทำงานก็ทำอย่างทุ่มเทเต็มที่
กุญแจของการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแพสชั่น คือ การใช้เวลาอย่างมีสมาธิจดจ่อไปกับสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดอย่างแท้จริง และเลือกทำสิ่งเหล่านั้นอย่างสุดจิตสุดใจ ทำด้วยความกระตือรือร้น การโอบรับแพสชั่น ยังหมายถึงการจำกัดสิ่งต่าง ๆ ที่จะตัดสินใจทำอีกด้วย ความก้าวหน้าเรียกร้องให้โอบรับสิ่งที่ทำได้ดีอย่างสุดจิตสุดใจ ในปริมาณน้อยลงไม่ใช่มากขึ้น นั่นหมายความว่ากลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือ การใช้เวลาอย่างมีสมาธิจดจ่อกับคนและสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อยอมให้อะไรบางอย่างเข้ามาในปฏิทิน และชีวิตแล้วก็จงทำสิ่งนั้นให้เป็นเป้าหมายใหม่ ที่จะไล่ตามด้วยความลุ่มหลงอันแรงกล้าหรือแพสชั่น
คุณไม่เคยมีเวลามากพอสำหรับ…อะไรนะ เมื่อตอนนี้รู้แล้วว่ามีเวลาสำหรับสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ ขอให้เขียนรายการสิ่งสำคัญที่สุด ลงในตารางรายการความฝัน ใช้ตารางนี้จดรายการบุคคลและสิ่งสำคัญที่กำลังถูกกดดันให้ออกไปจากชีวิต โดยเขียนภารกิจ โครงการ หรือบุคคลที่อยากให้เวลามากขึ้น 3-5 รายการในช่องซ้าย และเขียนระยะเวลาโดยประมาณในแต่ละสัปดาห์ ที่อยากสละเพื่อเป้าหมายแต่ละข้อในช่องขวา โดยใช้หน่วยเป็นชั่วโมงต่อสัปดาห์
บทที่ 4 หาพื้นที่สีเขียวของตัวเอง
จะหาช่วงเวลาที่มีพลังมากที่สุดได้อย่างไร พลังงานผันแปรขึ้นลงอยู่ตลอดในช่วงที่ตื่นนอน และให้ความรู้สึกต่างกันไปในแต่ละช่วงของวัน จัดตัวเองให้อยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งของมนุษย์เดินดิน 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้นั่นคือ คนที่ตื่นก่อนไก่กับคนอยู่ดึกเหมือนนกฮูก บางคนสิ้นสภาพตอนเช้า ส่วนบางคนลืมตาไม่ขึ้นหลังพระอาทิตย์ตกดิน
เราไม่ได้มีพลังพร้อมที่สุดอยู่ทุกเมื่อ แม้คนเราจะมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ใช่ว่าทุกชั่วโมงจะให้ความรู้สึกเท่ากัน แคลร์ ดิแอช-ออร์ทิช ผู้ทำงานให้ทวิตเตอร์ในช่วงก่อตั้งก็มีข้อสังเกตแบบเดียวกันนั่นคือ แม้แต่วิศวกรที่ฉลาดที่สุดในซิลิคอนแวลลีย์ก็ยังมีช่วงเวลาที่สร้างสรรค์ และมีผลิตภาพสูงสุดราว 3 ชั่วโมงต่อวัน คาล นิวพอร์ต ผู้เขียนหนังสือ Deep Work ซึ่งค้นคว้าเรื่องนี้ค่อนข้างลึกซึ้งยังชี้ว่า ความสามารถในการทำงานอย่างจดจ่อเข้มข้นอยู่ที่ประมาณ 4 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น คนส่วนใหญ่ที่มีผลิตภาพล้ำลึก ซึ่งพลังงานอยู่ในระดับสูงสุดแค่วันละ 3-5 ชั่วโมงเท่านั้น
นี่ดูจะเป็นปรากฏการณ์สากลที่ส่งผลกระทบทั้งต่อแพทย์ พยาบาล และศัลยแพทย์ด้วย ถ้าต้องนัดผ่าตัดกับศัลยแพทย์ให้นัดช่วง 9 โมงเช้า อย่าได้เลือกบ่ายสามโมงเย็นมีสถิติเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ประมาณ 1% ในเวลา 9:00 น แต่อัตราส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.2% ในช่วงเวลาสี่โมงเย็น นักวิจัยชี้ไปที่นาฬิกาชีวภาพของแพทย์ ซึ่งส่งผลให้ตั้งสมาธิจดจ่อในช่วงบ่ายได้ยากกว่า แล้วจะทำอย่างไรกับความจริงที่น่าคิดข้อนี้กันดี
ค้นหาพื้นที่สีเขียวอย่างที่บอกไป สามารถร่วมมือกับกำหนดเวลาตามธรรมชาติ หรือจะแข่งกับมันก็ได้ แต่จะสนุกกว่ามากถ้าร่วมมือกับมัน ขั้นตอนแรกคือการค้นหาว่าช่วงเวลา 3-5 ชั่วโมงที่มีพลังพร้อมที่สุดคือช่วงเวลาใด นั่นคือพื้นที่สีเขียว มองหาช่วงเวลาที่ตัวเองทำงานได้เต็มที่สุด ๆ อย่างจริงจัง นาฬิกาพลังงานมันจะระบุช่วงเวลาที่พลังงานพุ่งสูงและลดต่ำ แม้จำนวนชั่วโมงและลักษณะของแบบแผนจะไม่เหมือนกัน แต่หลักการยังคงเดิมนั่นคือ วันของทุกคนจะมีช่วงที่พลังงานพุ่งสูงสุด ช่วงพลังงานปานกลาง และช่วงพลังงานลดต่ำ การเขียนไว้บนนาฬิกาจะช่วยให้เห็นภาพรวมได้ง่ายขึ้นว่า วันปกติมีหน้าตาอย่างไร
นาฬิกาพลังงานนี่คือจุดสำคัญ สิ่งสำคัญคือการหาคำตอบของตัวเองให้เจอ นาฬิกาพลังงานจะช่วยให้ค้นพบสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่คิด การสังเกตทั้งผลิตภาพและอารมณ์คือ กุญแจสำคัญในการค้นหาพื้นที่พลังงานในขณะที่ทุกคนล้วนมีวันที่ดีและวันที่แย่ แต่ในพื้นที่สีเขียวมักมีทั้งผลิตภาพสูง กับมีกำลังใจดีผสมผสานกัน ซึ่งเป็นสภาพคล่องที่บ่งชี้ผลการทำงาน และภาวะอารมณ์ การสังเกตพฤติกรรมซ้ำ ๆ จะช่วยให้จัดกลุ่มชั่วโมงต่าง ๆ ที่ประกอบเป็นนาฬิกาพลังงานเฉพาะตัวได้โดยธรรมชาติ แล้วแต่ละวันจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยว่าคืนก่อนนอนหลับดีแค่ไหน เครียดแค่ไหน สัปดาห์นั้นเป็นช่วงปกติ หรือมีแผนการพิเศษอะไรหรือเปล่า
พื้นที่สีเขียวพลังงานสูง พื้นที่สีเขียวคือช่วงเวลาที่มีพลังงานสูง สมองแจ่มใสมีสมาธิจดจ่อดีเยี่ยม สามารถคิดจินตนาการ เสนอแนะ และสร้างสรรค์ได้อย่างง่ายดาย มีหลักคิดสดใหม่และเป็นเชิงบวก มีพลังกายที่จะทำงานและใช้ชีวิต เวลาอยู่ในพื้นที่พลังงานสูงจะกระตือรือร้นกับงานที่อยู่ตรงหน้า แต่ที่ดียิ่งกว่านั้นคือมีสมาธิจดจ่อ และแข็งแกร่งพอจะรับมือทุกอย่างได้ดี พูดง่าย ๆ ก็คือพื้นที่สีเขียวคือช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงในแต่ละวันที่มีพลังเต็มเปี่ยม ช่วงเวลาที่มีผลิตภาพสูงสุด และสมองทำงานได้ดีที่สุดคือพื้นที่สีเขียว จำไว้ว่ามองหาช่วงเวลาแค่ 3-5 ชั่วโมงเท่านั้น แค่ 3 ชั่วโมงก็ทำอะไรได้มากกว่า 10 ชั่วโมงที่ไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่แล้ว
พื้นที่สีแดงพลังงานต่ำ ช่วงเวลาที่เกิดความรู้สึกตรงข้ามกับพื้นที่สีเขียวคือ ช่วงเวลาซึ่งพลังงานลดต่ำลง เมื่อพลังงานต่ำต้องฝืนตัวเองเพื่อจดจ่อกับอะไรบางอย่าง จะเหม่อลอยได้ง่ายแทบไม่ใส่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และอาจไม่ได้ฟังการประชุมเสียด้วยซ้ำ ไม่เพียงต้องพยายามทำงานให้ออกมาดีที่สุดเท่านั้น เวลาพลังงานลดต่ำแม้แต่งานที่มีความหมายก็ยังต้องใช้ความพยายามในการลงมือทำ
พื้นที่สีเหลืองพลังงานปานกลาง เวลาอยู่ในพื้นที่สีเหลืองทั้งไม่ได้ดีและแย่แต่จะอยู่ระหว่างกลาง เข้าประชุมได้ไม่มีปัญหา สามารถทำเนื้อหาหรือวางแผนงานล่วงหน้าได้ แม้จะไม่ใช่ผลงานที่ดีที่สุดก็ตาม จะทำได้ดีทั้งที่บ้านและที่ทำงาน แต่ไม่ได้รู้สึกมีสมาธิจดจ่อลึกซึ้งและตื่นตัว อีกทั้งไม่ได้รู้สึกแย่แต่ไม่ได้ยอดเยี่ยม
เมื่อไหร่ที่อยู่ในภาวะเต็มที่สูงสุด ลองใช้เวลา 2-3 วันหรือแม้กระทั่งหลายสัปดาห์จากนี้ ทบทวนนาฬิกาพลังงานของตัวเองให้ถี่ถ้วน การกำหนดเขตพื้นที่บนนาฬิกาพลังงานส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญ เพราะนี่คือกุญแจที่ช่วยให้รู้ว่าเมื่อใดที่มีพลังงานพร้อมเต็มสูบเมื่อไร
การผลาญพื้นที่สีเขียวไปเปล่า ๆ เป็นอย่างไร วิธีการไม่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่สีเขียว คนส่วนใหญ่ทำกับช่วงเวลา และช่วงระดับพลังงานที่ตนมีมากที่สุดนั่นคือ การใช้ไปอย่างส่ง ๆ โดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน ใช้พื้นที่สีเขียวของตัวเองทำสิ่งต่าง ๆ ที่ตนเองเกลียดที่สุด พวกเขาใช้เวลาที่ตัวเองมีพลังเต็มเปี่ยมไปสะสางกล่องจดหมายอันอัดแน่น ส่งรายงานค่าใช้จ่าย หรือจัดแฟ้มเอกสาร นั้นจะเป็นเรื่องเยี่ยมถ้างานหลักคือการตอบอีเมล ส่งรายงานค่าใช้จ่าย หรือจัดระเบียบข้อมูล แต่ผู้นำส่วนใหญ่ทำงานเหล่านี้เพียงเพื่อให้มันเสร็จ ๆ ไป แล้วจะเสียชั่วโมงที่มีค่าที่สุด ไปกับเรื่องเหล่านั้นทำไม
วันทำงาน 3 ชั่วโมง การเปลี่ยนไปทำงานวันละ 3 ชั่วโมงอาจฟังดูยอดเยี่ยม แต่คนส่วนใหญ่ได้เงินเดือนเพื่อแลกกับการทำงานยาวนานกว่านั้น ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกร่วม 20 ชั่วโมง ซึ่งจำเป็นต้องใช้ทำสิ่งอื่น ๆ ใช้เวลาแต่ละช่วงให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้จะเห็นได้ชัดว่าไม่มีแววเลย แต่กระทั่งพื้นที่สีแดงก็อาจนำไปใช้อย่างมีชั้นเชิงได้
ภาค 3 ใช้พลังงานให้เต็มที่ที่สุด
บทที่ 5 ทำสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด
จงลงทุนพลังงานของเราเพื่อผลตอบแทนสูงสุด การลงทุนด้วยเวลาและพลังงานอย่างถูกต้อง อาจสร้างผลตอบแทนอันน่าทึ่งได้เฉกเช่นการลงทุนด้วยเงินอย่างถูกต้อง โดยสรุปหากดูจากข้อมูลที่รู้มา การใช้เงิน 100 ดอลลาร์ซื้อหุ้น 10 ตัวย่อมไม่สมเหตุสมผล ประเด็นคือในขณะที่คนส่วนใหญ่จะไม่นำเงินไปลงทุนโดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน กลับมีคนจำนวนมากเหลือเกินที่นำพลังงานและเวลาไปลงทุนโดยไม่คิดให้ดีเสียก่อน ทั้งการลงทุนช่วงพื้นที่สีเขียวไปกับกิจกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คนเรามีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ไม่ใช่ทุกชั่วโมงจะให้ความรู้สึกเท่ากันหรือผลิตได้เท่ากัน การใช้ประโยชน์จากพลังงานให้เต็มที่ จึงจะเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนทวีคูณ การทำงานที่ดีที่สุดในยามที่มีพลังงานสูงสุด จะช่วยเพิ่มคุณภาพของงาน ปริมาณของงานซึ่งมีแนวโน้มจะจัดการงานได้มากขึ้น กระทั่งจัดการภาวะอารมณ์ของตัวเองได้อย่างมีนัยสำคัญ
สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคืออะไร เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองมีพลังงานเต็มเปี่ยมที่สุดเมื่อไหร่ ลองไขรหัสซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งนั่นคือ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดจริง ๆ คืออะไร ทว่าการค้นหาว่าทำอะไรได้ดีที่สุด อาจเป็นการแสวงหาชั่วชีวิต แน่นอนว่าทุกคนล้วนมีความปรารถนาจะทำได้ดีเยี่ยมทุกด้าน ถึงจะมีพรสวรรค์จำกัดกว่าที่คิด ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น แพสชั่นและผลกระทบ เพื่อค้นหาว่าจะนำพื้นที่สีเขียวไปใช้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
พรสวรรค์ พรสวรรค์คือจุดแข็งหรือบางสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด เป็นสิ่งที่คนอื่น ๆ รู้สึกว่ายาก แต่เราทำเหมือนเป็นเรื่องง่าย หรือสิ่งที่มีความถนัดโดยธรรมชาติ พรสวรรค์ต่างจากชุดทักษะ เพราะทักษะคือสิ่งที่เรียนรู้ หรือการพัฒนาพรสวรรค์ให้ล้ำลึกขึ้น พรสวรรค์เป็นเรื่องของธรรมชาติมากกว่าคือ อาจพูดได้ว่าความสามารถพิเศษมีความเป็นธรรมชาติสูงกว่าชุดทักษะ ลองค้นหาพรสวรรค์ด้วยการถามตัวเองดังนี้ มีอะไรที่ดูเป็นเรื่องยากหรือซับซ้อนสำหรับคนอื่น ๆ แต่ฉันเหมือนจะทำได้ง่าย ๆ บ้าง ฉันมีความสามารถอะไรที่มักแสดงออกในสถานการณ์ต่าง ๆ มีอะไรบ้างที่คนอื่น ๆ ยืนยันได้ว่า เป็นความสามารถพิเศษหรือพรสวรรค์ของฉัน
แพสชั่น แพสชั่นคือสิ่งที่มีใจรักจะทำ แล้วภารกิจหรืองานจริง ๆ ที่ต้องทำอาจมีแพสชั่นในสิ่งต่าง ๆ ที่ทำได้ดีเป็นพิเศษ แต่แพสชั่นอาจขยายออกไปนอกขีดพรสวรรค์ก็ได้ กุญแจในการค้นหาแพสชั่นคือ การมองหาสิ่งที่ทำแล้วให้พลัง พูดอีกนัยหนึ่งคือเป็นสิ่งที่ทำแล้วไม่เพียงรู้สึกชอบเท่านั้น แต่ยังสร้างพลังหรือความกระตือรือร้นให้ด้วย เพื่อหาแพสชั่นให้เจอลองถามตัวเองดังนี้ ภารกิจใดที่ฉันตั้งตารอคอยจะทำมากที่สุด อะไรคือสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกมีพลังมากที่สุด ตอนไหนที่สนุกกับสิ่งที่ทำอยู่มากเสียจนลืมวันลืมคืน
ผลกระทบสุดท้าย วิธีที่ดีที่สุดในการใช้พื้นที่สีเขียวคือ การใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่เพื่อสร้างผลกระทบอันยิ่งใหญ่ ผลกระทบหมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เมื่อทำสำเร็จแล้วจะสร้างความแตกต่างใหญ่หลวงที่สุด บางครั้งก็ส่งผลในเวลานั้น แต่บ่อยครั้งที่ส่งผลในระยะยาวเพื่อค้นหาว่าอะไรสำคัญที่สุด ให้ถามตัวเองด้วยคำถามต่อไปนี้ อะไรบ้างที่สามารถทำในวันนี้/ฤดูกาลนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ อะไรคือสิ่งหนึ่งที่เมื่อทำอย่างดีแล้ว จะช่วยให้ก้าวไปข้างหน้าได้ กิจกรรมใดบ้างที่หากทำซ้ำ ๆ จะช่วยให้สร้างความก้าวหน้าที่มีความหมายได้
ใช้ประโยชน์ให้เต็มที่ คนส่วนใหญ่ปล่อยให้วันคืนเคลื่อนคล้อยไป ส่งผลให้เกิดความผิดหวัง ความตึงเครียด ความคาดหวังที่ไม่เป็นจริง โดยไม่ได้ลงมือทำสิ่งสำคัญใด ๆ การใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่สีเขียว จึงจะทำให้มั่นใจได้ว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับเรา
มือใหม่ปะทะมืออาชีพ ในการจัดการพื้นที่สีเขียว ถ้าอยากใช้งานพื้นที่สีเขียวให้เต็มศักยภาพ อย่าคิดแค่ว่ามีพรสวรรค์ใดบ้าง ที่นำไปใช้ในช่วงพื้นที่สีเขียวได้ แต่ให้คิดถึงพรสวรรค์ที่สามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้อีก ตามปกติการครอบงำของงานประจำ จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพรสวรรค์ให้กลายเป็นชุดทักษะระดับสูง การใช้ช่วงเวลาพื้นที่สีเขียว 30 นาทีต่อวันไปกับการอ่าน การศึกษา และการฝึกทักษะ การสร้างความแตกต่างมากขึ้นได้ ประโยชน์แท้จริงของการลงทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชุดทักษะก็เหมือนดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งจะปรากฏให้เห็นในอีกหลายปีข้างหน้า เวลาที่ใช้พรสวรรค์ไปโดยไม่เคยพัฒนาให้ดีขึ้น ทุกคนล้วนสูญเสียเพราะไม่เคยตระหนักถึงศักยภาพของตัวเอง สุดท้ายการทำงานที่ไม่ใช่พรสวรรค์อยู่ตลอดเวลา ก็มีฤทธิ์บั่นทอนแรงบันดาลใจ จนอาจทำให้เข้าสู่ภาวะหมดไฟได้ การใช้ชั่วโมงที่มีผลิตภาพสูงสุดไปกับการพัฒนาพรสวรรค์ไม่ใช่แค่ใช้มันไปเรื่อย ๆ เท่านั้น แต่ศึกษาและพัฒนาพรสวรรค์อย่างแท้จริง จงทำให้ทำสิ่งนั้นได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทุกทักษะที่พัฒนาอย่างสูงคือ สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้มืออาชีพ และเพราะทำสิ่งที่โดยปกติแล้วรักจะทำ ชั่วโมงเหล่านี้จึงส่งเสริมกัน ทำให้รู้สึกมีพลังมากขึ้นไม่ใช่น้อยลง พลังงานและแพสชั่นจึงได้รับการเติมเต็มต่อไปทุกวัน
บทที่ 6 พื้นที่สีเหลือง พื้นที่สีแดง
และปัญหาอื่น ๆ ในชีวิตจริง
จะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาและสถานการณ์ที่ไม่เอื้อสุด ๆ ให้เต็มที่ได้อย่างไร ในวันที่ใช้ประโยชน์จากพื้นที่สีเขียวได้อย่างเต็มที่ จะแปลกใจกับความรู้สึกสำเร็จและเปลี่ยนผลิตภาพ เมื่องานสำคัญที่สุดลุล่วง หรือดำเนินไปได้ด้วยดี จะพบอิสรภาพที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะภารกิจสำคัญก้อนใหญ่ที่ตามปกติจะอยู่ตรงหน้าไปจนถึงช่วงเย็น มันเสร็จเรียบร้อยหรือไม่ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี
พื้นที่สีเหลือง เพราะพื้นที่สีเหลืองประกอบด้วยชั่วโมงต่าง ๆ ที่มีพลังงานระดับปานกลาง จึงควรใช้ชั่วโมงเหล่านั้นไปกับภารกิจที่มีความสำคัญพอประมาณ เช่น การจัดประชุม จัดคิวสัมภาษณ์
พื้นที่สีแดง อันเป็นช่วงเวลาของวัน ซึ่งใช้เซลล์สมองที่เหลืออยู่จนเหือดแห้งแล้ว เพราะฉะนั้นจงเก็บงานสำคัญน้อยที่สุดไว้สำหรับพื้นที่สีแดง เช่น การสะสางอีเมล จัดประชุมที่มีความเสี่ยงต่ำ ทำงานบริหารที่เป็นกิจวัตร และออกกำลังกาย
สิ่งท้าทายเรื่องที่ 1 ไม่มีอำนาจควบคุมปฏิทินการทำงานของตัวเอง มีคนชอบพูดว่าสาเหตุที่พวกเขาไม่สามารถใช้พื้นที่พลังงานทั้ง 3 สีได้ดั่งใจ ก็เพราะตนไม่มีอำนาจควบคุมปฏิทินการทำงานของตัวเอง นี่เป็นข้อวิตกที่มีเหตุผล พนักงานและสมาชิกทีมส่วนใหญ่ ไม่มีโอกาสเลือกหรือตัดสินใจเหมือนผู้นำอาวุโส ผู้ประกอบการ และผู้บริหาร แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็อย่าเพิ่งยอมแพ้เร็วเกินไป คนเรามีอำนาจควบคุมปฏิทินการทำงาน และชีวิตของตัวเองมากกว่าที่คิด เหตุผลที่ไม่รู้สึกเช่นนั้นเพราะสมองถูกดึงเข้าหาสิ่งที่ตนควบคุมไม่ได้โดยสัญชาตญาณ เช่น มักสนใจสภาพอากาศเวลามีแผนจะไปเดินเล่นชายหาด และเป็นธรรมดาที่จะจดจ่อกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ในที่ทำงาน เช่น เจ้านายที่ไร้เหตุผล ความยุ่งจนหัวปั่น หรือปัจจัยอื่น ๆ ที่ตอนนี้มีอำนาจควบคุมน้อยนิด
สัปดาห์ของเราความจริงก็คือ เราและเวลาของเราถูกคนอื่นควบคุมน้อยกว่าที่คิด ที่แท้จริงจึงกลายเป็นว่าจะใช้เวลาที่ควบคุมเองให้ดีกว่านี้ได้อย่างไร อาจมีอำนาจควบคุมเวลาอย่างน้อย 128 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ทุกสัปดาห์ และต่อให้มีโครงการพิเศษที่เกิดจากแพสชั่น การใช้เวลานั้นเพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าได้อย่างไรกัน ทำให้ช่วงเวลาที่เหลือของแต่ละสัปดาห์มีระยะขอบและสุขภาพดี ไม่เพียงช่วยปรับเวลาพักผ่อนให้ดีขึ้น แต่ยังช่วยให้ไปทำงานด้วยพลังงานเต็มเปี่ยมแทนที่จะเกิดแห้งอีกด้วย
สิ่งท้าทายเรื่องที่ 2 ฉันไม่ใช่ CEO เริ่มจากการปรับเปลี่ยนสิ่งที่พอทำได้ก่อน จากนั้นขณะที่สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ให้คุยกับเจ้านายดูว่าจะขยับขยายอะไรเพิ่มเติมได้อีก หรือไม่หลักการบางประการที่พึงกระทำเมื่อเข้าไปหารือกับเจ้านายมีดังนี้ 1.แสดงความปรารถนาไม่ใช่เรียกร้อง 2.ถามคำถามแทนการแจ้งเพื่อทราบ 3.ดูให้มั่นใจว่าทำได้ทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว คำเตือนประการสุดท้าย ถ้าเจ้านายไม่ได้เป็นคนไร้เหตุผล อิทธิพลที่มีต่อเขาซึ่งจะขึ้นอยู่กับผลงานที่แสดงให้ประจักษ์เป็นสำคัญ
สิ่งท้าทายเรื่องที่ 3 ฉันมีลูกเล็กหรือมีปัญหาในครอบครัวสิน ประการสุดท้ายที่คนมักประสบพบเจอเกิดขึ้นเมื่อชีวิตครอบครัวไม่มั่นคง หรือเป็นดั่งที่คิด เผชิญสถานการณ์ท้าทายในชีวิต แต่การตั้งเป้าหมายยิ่งใหญ่ให้ตัวเอง อาจไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ถ้าเวลาที่มีมักต้องใช้ไปกับเรื่องอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย การมีชีวิตครอบครัวที่ดี และชีวิตสมรสแข็งแรงก็ถือเป็นสุดยอดเป้าหมายได้เช่นกัน การออกจากวังวนความเครียด และใช้ชีวิตที่อิ่มเอมมีสุขภาพดี ในขณะที่ได้ดูแลผู้อื่นไปด้วยล้วนเป็นเป้าหมายที่ดี ให้ปรับเปลี่ยนความคาดหวัง และหันไปเล่นเกมระยะยาวดีกว่า แล้วผลตอบแทนจะดีเสมอ
เมื่อสิ่งอื่นใดทั้งหมดล้มเหลวให้จดจ่อกับสิ่งนี้ ทุกคนล้วนเห็นตรงกันว่าชีวิตจะยอดเยี่ยม ถ้ามันเป็นพื้นที่สีเขียวเต็มร้อยในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งท้าทายนานัปการที่ทำให้ชีวิตเป็นดั่งเช่นทุกวันนี้ จดจ่อกับสิ่งที่ควบคุมได้ ไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ควบคุมได้มีมากเหลือเกิน ตั้งแต่เวลาเข้านอน ไปจนถึงทัศนคติสิ่งที่ดื่มกิน จัดลำดับการจัดการงานต่าง ๆ ไปจนถึงสิ่งที่เลือกสละ ละทิ้ง และเลือกรับเข้ามาในชีวิต มีอำนาจควบคุมมากกว่าที่ตัวเราคิด
สิ่งที่เรารักและสิ่งที่เราไม่รัก ใช้ตารางเพื่อแยกแยะสิ่งที่ดี ใจรักและมีพรสวรรค์ออกจากสิ่งที่ไม่รัก สิ่งที่อยู่ระหว่างกลาง สังเกตเงื่อนไขของสิ่งที่อยู่ในรายการนี้ คำนึงถึงทั้งความรู้สึกที่มีต่อกิจกรรมนั้น และความสำคัญที่กิจกรรมนั้นมี การคำนึงถึงปัจจัยทั้งสองข้อนี้ จะช่วยให้ใช้เวลาได้อย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องทำให้สมบูรณ์แบบ แค่ทำให้ดีที่สุดก็พอ แค่กันเวลาบางส่วนในปฏิทินไว้สำหรับการลำดับความสำคัญ ยังสามารถกลับมาแก้ไขรายการนี้ได้อีกเสมอ
ภาค 4 ทำสิ่งสำคัญให้ลุล่วงไปก่อน
บทที่ 7 ภาวะถูกปล้นชิง
ทำไมจึงล้าหลังตลอดเวลาได้ง่ายนัก ช่วงเวลาที่รู้สึกตื่นเต้นเพราะไม่มีกำหนดการอะไรต้องทำ ไม่มีอะไรนอกจากพื้นสีขาวโล่ง ๆ ช่วงเวลาปลอดกำหนดการช่างน่าตื่นเต้น เพราะสามารถนั่งหาข้อมูลสำหรับโครงการ ซึ่งกำลังศึกษาติดต่อกัน 3 ชั่วโมงได้ในที่สุด หรือไม่ก็อ่านหนังสือที่ตั้งใจจะอ่านมานาน หรือจมอยู่กับตัวเลขต่าง ๆ เพื่อทำการวิเคราะห์สิ่งซึ่งรู้ว่าตัวเองสามารถทำได้ จะคิด หายใจ จินตนาการ หรือวาดฝันก็ได้
ลำดับความสำคัญของเราถูกปล้นชิงไปได้อย่างไร เพราะอาศัยอยู่ในโลกแห่งความจริง การกล่าวโทษคนอื่นและสิ่งอื่น ที่ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องง่าย สิ่งที่มนุษย์ทุกคนทำนั่นคือ พยายามย้ายลำดับความสำคัญของตน มาใส่ตารางการทำงานคนอื่นเท่านั้นเอง นั่นเป็นวิถีของชีวิตไม่มีใครสอน ให้ทำตามลำดับความสำคัญให้สำเร็จลุล่วงหรอก มีแต่จะขอให้ทำตามลำดับความสำคัญของพวกเขา ให้สำเร็จลุล่วงเท่านั้น
ปริศนาที่ไม่ใช่ปริศนา ลำดับความสำคัญถูกปล้นชิง ทำให้ทำงานทั้งวันแต่ไม่มีอะไรสำเร็จลุล่วง หรืออย่างน้อยสิ่งที่ทำเสร็จก็ไม่ใช่สิ่งที่วางแผนว่าจะทำ เพื่อเอาชนะการปล้นชิงอยู่เนือง ๆ ต้องมีกลยุทธ์ ทว่าลำดับความสำคัญที่ไม่ได้จัดลำดับความสำคัญอย่างมีกลยุทธ์ กับแนวโน้มที่จะเสียสมาธิด้วยตัวเองและจากผู้คน เริ่มจากการจัดลำดับความสำคัญให้ภารกิจที่ใช่ มองแยกรายละเอียดให้ลึกยิ่งขึ้น เพื่อให้ทำงานเสร็จมากขึ้นในเวลาที่น้อยลงกัน
สิ่งที่ไม่ใช่เรียกร้องความสนใจเสมอ ทุกสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในรายการล้วนทำเสร็จสิ้น ถ้าว่างานที่เป็นคุณค่าอย่างแท้จริง ผลงานที่ดีที่สุด กลับถูกทำพัง เพิกเฉย ผัดวันประกันพรุ่งออกไป หรือถูกบีบอัดอย่างจำกัด สิ่งที่ทิ้งไว้ไม่ทำให้เสร็จเกือบทั้งหมด ล้วนเป็นสิ่งสำคัญแต่ไม่เร่งด่วน สิ่งที่ไม่ใช่จะเรียกร้องความสนใจเสมอ เป็นหน้าที่รับผิดชอบ ที่จะต้องใช้สมาธิจดจ่อกับสิ่งที่ใช่
ปรับการจดจ่อให้แคบลง จะประสบความสำเร็จสูงสุดเมื่อจดจ่อกับ 5 สิ่งต่อไปนี้ 1.การกำหนดวิสัยทัศน์ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง 2.การสร้างและการนำเสนอเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม 3.การบ่มเพราะวัฒนธรรมองค์กรที่มีสุขภาวะ 4.การทำให้ลูกค้าและพนักงานชั้นยอดเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน 5.การยืนยันว่ามีทรัพยากรทางการเงินที่จำเป็นต่อการปฏิบัติตามพันธกิจ ดังนั้นคำถามคือ อะไรคือภาระกิจ 20% ที่ทำแล้วจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ 80% นี่คือคำถามสำคัญที่ต้องตอบเพราะมันจะช่วยให้การกรองได้ดียิ่งขึ้น ว่าควรใช้เวลาช่วงพื้นที่สีเขียวอย่างไร เมื่อใช้เวลา 80% ของพื้นที่สีเขียวทำสิ่งที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ 80% ความสามารถที่จะทำสิ่งสำคัญให้สำเร็จลุล่วงจะพุ่งสูงขึ้น ทั้งในด้านชีวิตและการเป็นผู้นำ
ฝึกฝนศิลปะการปฏิเสธอย่างชัดเจนให้ช่ำชอง กลยุทธ์ง่าย ๆ และชัดเจนเพื่อเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ 1.บอกไปเลยว่าอยากพบพวกเขา นั่นอาจเป็นความจริงในโลกอุดมคติ มีแนวโน้มจะชอบพบปะผู้คน และนั่นเป็นจุดแรกที่ซื่อตรงและเหมาะที่จะใช้พลังงาน 2.แสดงความเห็นอกเห็นใจ ทำให้พวกเขารู้ว่าเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา 3.ยืนยันหนักแน่น แม้จะแสดงออกด้วยความนุ่มนวล 4.แนะนำคนอื่น บางทีเมื่อช่วยพวกเขาไม่ได้ 5.ขอบคุณแม้จะปฏิเสธคำขอเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นคนน่ารังเกียจ และยังเป็นเพื่อนกันได้ เมื่อไหร่ที่รู้สึกอยากตอบรับให้เตือนตัวเองว่า เวลาเป็นสินค้าที่มีจำนวนจำกัด ดังนั้นการตอบรับสิ่งที่ดีในตอนนี้ จะทำให้ต้องปฏิเสธสิ่งที่ยอดเยี่ยมในอนาคต
ตัดสินใจยกหมวด การตัดสินใจยกหมวดคือการตัดสินใจเพียงหนึ่งครั้ง ซึ่งช่วยขจัดปัญหาอีกหลายสิบ หรือหลายร้อยเรื่องออกไปได้ การตัดสินใจไม่ทำอะไรล่วงหน้า ช่วยให้มีอิสระที่จะทำสิ่งที่อยากทำในขณะนั้น และยังขจัดสิ่งรุมเร้าที่เกิดจากหมวดหมู่ต่าง ๆ ซึ่งจะทิ้งไปได้ง่ายมากขึ้นด้วย ทั้งยังหลีกเลี่ยงความวุ่นวายใจต่าง ๆ ซึ่งหมายถึงเวลาและพลังงานที่ต้องเสียไปกับการคลุ่นคิดพิจารณาว่า ควรตอบรับหรือปฏิเสธการตัดสินใจยกหมวดคือ วิธีที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่งซึ่งทำให้ปฏิทินมีที่ว่าง รวมถึงประหยัดเวลาได้จากการไม่ต้องตัดสินใจอีกหลายสิบหรือหลายร้อยเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ขจัดออกไป
แล้วถ้าเราพลาดโอกาสล่ะ หากมีสิ่งใดที่รู้สึกว่าควรตอบรับผ่านเข้ามาก็ตอบรับได้ ในเมื่อกำจัด 99 เรื่องที่ไม่คู่ควรให้เสียเวลาที่ดีที่สุดในหมวดนั้นไปได้แล้ว การตอบรับจากเรื่อง 2 เรื่องย่อมเป็นข้อยกเว้น และหากรู้สึกว่าหมวดหมู่ที่กำหนดยังไม่ลงตัว ให้ทบทวนหมวดหมู่อีกครั้ง หรือปรับรายละเอียดให้เหมาะสมยิ่งขึ้น การตัดสินใจยกหมวดช่วยประหยัดพลังงานสมอง และเวลาได้มาก เพราะตัดสินใจไปแล้วจึงจบเรื่องและเดินหน้าต่อได้ เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำอะไรก็เท่ากับมีเวลาและพลังงาน เพื่อไปทำตามจุดมุ่งหมายมากขึ้น ดังนั้นอย่าได้กลัวพลาดโอกาสเลย
บทที่ 8 ปลอดสิ่งรบกวนสมาธิ
จะหยุดขัดจังหวะตัวเองได้อย่างไร จากการศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้ใช้โทรศัพท์จับโทรศัพท์โดยเฉลี่ยวันละ 2,617 ครั้ง ลองหยุดคิดถึงการใช้ชีวิตที่ถูกเทคโนโลยีรบกวนสมาธิ และขัดจังหวะในระดับนั้นน่าตกใจมาก เทคโนโลยีเป็นทาสรับใช้ที่ยอดเยี่ยม แต่เป็นเจ้านายที่ยอดแย่ วิธีตอบโต้สิ่งรบกวนสมาธิต่าง ๆ ซึ่งโถมเข้าใส่ตอนที่กำลังพยายามทำงานอย่างมีผลิตภาพ เหตุผลที่ไม่มีแรงลากหรือแรงดึงไปสู่เป้าหมาย และลำดับความสำคัญที่กำหนดให้ตัวเอง ก็เพราะมักถูกรบกวนให้เสียสมาธิอยู่เนือง ๆ
ให้ความสนใจ สิ่งรบกวนสมาธิมีราคาแพง ความจริงนี้สะท้อนอยู่ในคำพูดภาษาอังกฤษ เวลาพยายามดึงให้คนกลับมาจดจ่ออีกครั้ง ด้วยการจ่ายความสนใจว่า Pay attention กระทั่งโรคสมาธิสั้นก็ชี้นัยว่าความสนใจมีจำกัด และยุ่งวุ่นไปที่อื่นได้ง่ายดายเหลือเกิน ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นในยุคเศรษฐศาสตร์ในการช่วงชิงความสนใจ ทุกครั้งที่ให้ความสนใจใครหรืออะไร ต้องจ่ายความสนใจออกไป ดังนั้นจงลงทุนให้ดี เพราะความสนใจอาจมอบดอกผลมหาศาล ตั้งแต่ครอบครัวที่ผูกพันรักใคร่ ไปถึงหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตและแนวคิดให้ก้าวล้ำ ทว่าประเด็นสำคัญคือความสนใจ ถูกสิ่งที่ไม่สำคัญดึงดูดไปไม่น้อยเลย การให้ความสนใจสิ่งที่ไม่ใช่จะสิ้นเปลืองจิตใจ ทำให้สูญเสียลำดับความสำคัญ เป้าหมาย ผลิตภาพ สุขภาพ และอาจรวมไปถึงครอบครัวด้วย ถ้าปล่อยให้ความสนใจไหลไปนานมากพอ จะสูญเสียศักยภาพตลอดจนความฝันไปในที่สุด นักวิจัยพบว่าคนโดยเฉลี่ยใช้เวลาเกือบ 25 นาทีในการตั้งสมาธิใหม่ หลังถูกรบกวนสมาธิแต่ละครั้ง แล้วจะรักษาความสนใจไว้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาอยู่ในช่วงพื้นที่สีเขียว ซึ่งการทำงานแบบดำดิ่งจะเกิดผลดีที่สุด กลยุทธ์หนึ่งคือการเลือกทำเล ซึ่งจะส่งผลให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่สีเขียวได้ดีขึ้น
ทำเลที่ดีที่สุด สิ่งที่พึงทำและช่วงเวลาที่พึงทำ เพื่อใช้ประโยชน์จากผลิตภาพสูงสุดไปแล้ว ตอนนี้มาพูดถึงสถานที่ที่เหมาะสมกัน เช่นเดียวกับที่ชั่วโมงและงานทั้งหมดไม่เท่ากัน สิ่งแวดล้อมทั้งหมดก็ไม่เหมือนกัน สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด อาจหลากหลายไปตามบุคลิกลักษณะของแต่ละบุคคล การทดสอบก็แค่ดูว่าสถานที่ต่าง ๆ ได้ผลหรือไม่ วิธีที่ดีที่สุดในการค้นหาทำเลซึ่งเหมาะที่สุดคือ การลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง อาจต้องอาศัยการทดลองจริง ๆ โดยเริ่มจากคำถามว่าเราทำงานได้ดีที่สุดที่ไหน
จะทำอย่างไรถ้าหาทำเลเหมาะ ๆ ไม่ได้ สภาวะที่เหมาะสมที่สุดคือเป้าหมาย ไม่ใช่สิ่งจำเป็นต้องมี ถ้ารอจนมีสภาพแวดล้อมสมบูรณ์แบบ เพื่อจะลงมือทำงานที่ดีที่สุดของตัวเอง คงต้องรอไปทั้งชาติ มนุษย์ไม่ใช่เครื่องจักร ย่อมไม่สามารถใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่สีเขียวได้ทุกวัน ดังนั้นอย่ากดดันตัวเองเวลาเจอเรื่องไม่คาดฝัน หรืออุปสรรคให้จดจ่อกับสิ่งที่สามารถควบคุมได้ ไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ดังนั้นหากรู้ว่าสภาพแวดล้อมแบบไหนที่เอื้อต่อการทำงานมากที่สุด ก็จงสร้างมันขึ้นมา ตั้งสมาธิจดจ่อให้ดำดิ่งพอจะสร้างผลงานชั้นเลิศ ใช้ช่วงเวลาในพื้นที่สีเขียวท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุด ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และเมื่อไหร่ที่ทำเช่นนั้นไม่ได้ ก็แค่ทำให้ดีที่สุดเป็นพอ แค่รู้ว่าเวลาทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ในยามที่มีพลังพร้อมที่สุดในสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุด เท่าที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ งานจะมีชีวิตเช่นเดียวกับตัวเราเอง
ปิดการแจ้งเตือนทั้งหมด ไม่ว่าจะใช้ช่วงเวลาพื้นที่สีเขียวจากที่ไหน จะยังถูกขัดจังหวะอยู่ดี ซึ่งโดยส่วนใหญ่มาจากระบบดิจิทัล หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดเพื่อปกป้องพื้นที่สีเขียวคือ การปิดแจ้งเตือนทั้งหมดของอุปกรณ์ทุกชิ้น การแจ้งเตือนคือสารพัดสิ่งที่ทำให้อุปกรณ์สั่น ส่งเสียงร้อง แจ้งการอัพเดทต่าง ๆ เกือบทุกอย่างในจักรวาลดิจิทัล จะพยายามโน้มน้าวให้เชื่อว่าต้องเปิดการแจ้งเตือนเอาไว้ นี่คือวิธีทำเงินของบริษัทหลายแห่ง และพวกเขาก็เก่งเรื่องนี้เสียด้วย แต่ควรให้ความสนใจสิ่งเหล่านั้นในเวลาที่กำหนด ไม่ใช่ตามพวกเขากำหนด การแจ้งเตือนทำให้ทำสิ่งตรงกันข้ามนั่นคือ การเข้าถึงเนื้อหาตามที่พวกเขากำหนดไม่ใช่เรา
ออกไปเดินเล่น ถ้าอยากพัฒนาพรสวรรค์ ไม่ใช่สักแต่ใช้มัน หรือพัฒนางาน ไม่ใช่แค่ทำงาน แนวคิดที่ดีที่สุดคือการทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ตอนที่ทุ่มเทเวลาทั้งวันไปกับการทำสิ่งที่ต้องทำนั่นคือ การควบคุมความสัมพันธ์ที่ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างจิตและกาย หลักประสาทวิทยาศาสตร์มีหลักฐานบ่งชี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ว่ากิจกรรมทางกาย เช่น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน เพื่อให้จิตใต้สำนึกสร้างความคิดได้ดีกว่า ฟรีดริก นิตเซอ นักปรัชญาก็ออกเดินทุกวันก็เช่นกัน เขาเขียนไว้ว่ามีเพียงความคิดต่าง ๆ ซึ่งได้มาจากการเดินเท่านั้นที่พอมีคุณค่าใด ๆ ดังนั้นในช่วงพื้นที่สีเขียวขอให้ออกไปเดิน วิ่ง ขับรถ ขี่จักรยาน เดินทอดน่อง หรือเดินเรื่อย ๆ ตามความจำเป็น เพื่อให้เกิดไอเดียใหม่ ๆ และรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วจะแปลกใจ
ช่วงเวลายามเช้าก็ได้เปรียบที่เป็นทีเด็ดอีกประการ ยามเช้าตรู่มีข้อได้เปรียบที่ช่วงเวลาอื่นของวันไม่มี นั่นคือการที่คนอื่น ๆ เป็นโลกยังคงหลับไหล แม้ว่าจะยังคงปิดการแจ้งเตือน และปิดเสียงอุปกรณ์ต่าง ๆ แต่ความจริงคือช่วงตี 5 ถึง 8 โมงเช้าจะไม่มีใครส่งข้อความถึง ไม่มีใครเคาะประตูบ้าน ส่งอีเมลหรือพยายามเรียกร้องความสนใจใด ๆ ทั้งโลกเงียบสงัด และความเร่งรีบของวันทำงานหรือวันเปิดเรียนก็ยังไม่เริ่มต้น ไม่ว่าจะตื่นเช้าหรือไม่ ถ้าอยากก้าวหน้าในระหว่างวัน และทำให้พื้นที่พลังงานทุกช่วงได้ผลดีขึ้นจริง ๆ พยายามนอนให้พอ เห็นได้ชัดว่าการนอนหลับคืออาวุธลับ จะให้การพักผ่อนอยู่ในลำดับความสำคัญ จัดให้การพักผ่อนอยู่ในลำดับความสำคัญหลังเกิดภาวะหมดไฟ ยามเช้าตรู่เป็นข้อได้เปรียบสำคัญ แต่การพักผ่อนนั้นสำคัญยิ่งกว่า สำหรับการใช้ชีวิตวันนี้เพื่อเอื้อให้ก้าวหน้าในวันพรุ่งนี้
ตัวคุณเมื่อมีสมาธิจดจ่อ กลยุทธ์เหล่านี้และกลยุทธ์อื่น ๆ ที่พัฒนาขึ้น จะช่วยสร้างตัวตนที่เสียสมาธิน้อยลงมาก และตัวตนยามมีสมาธิจดจ่อก็คือ ตัวตนที่ดีกว่าความสนใจ มีราคาเป็นสิ่งที่บริษัทสื่อโซเชียลและองค์กรข่าวทุกแห่งตระหนักดี ขณะมองหาที่ทำงานเงียบ ๆ สำหรับช่วงพื้นที่สีเขียว จงใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมให้เต็มที่ ปิดอุปกรณ์ต่าง ๆ เปิดช่องให้ตัวเองได้คิด และใช้ประโยชน์จากการพักผ่อนให้เต็มสูบ เพื่อให้มีพลังทำงาน พร้อมสำหรับการใช้เวลาทำสิ่งต่าง ๆ ที่รู้ว่ามีคุณค่าที่สุด
บทที่ 9 แล้วคนล่ะ
ปัญหาเรื่องคน คนอาจเป็นการลงทุนในพื้นที่สีเขียวที่ยอดเยี่ยม แต่บางครั้งคนก็ทำให้เสียเวลาช่วงนั้นไปเปล่า ๆ ความจริงคือ สิ่งที่ไม่ใช่ทั้งหมดเรียกร้องความสนใจ คนที่ไม่ใช่ก็ล้วนทำแบบเดียวกันฉันนั้น ดังนั้นทฤษฎีที่สวยสดงดงามเรื่องพื้นที่สีเขียว ซึ่งได้รับการปกป้องอย่างดีจะได้ผลเต็มที่ จนกระทั่งมนุษย์อีกคนเข้าไปขวางระหว่างตัวเรากับลำดับความสำคัญ หากไม่ระวังให้ดีอาจต้องเสียเวลาบ่อยเกินไปก็ได้
แค่พาตัวออกมายังไม่พอ การเว้นระยะห่างจากคนอื่น ๆ หรือก่อรั้วแข็งแรงกั้นขวาง แม้สิ่งเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการกันคนออกจากพื้นที่ส่วนตัว แต่การไล่คนออกไปและเว้นระยะห่างจากพวกเขา ก็ไม่ใช่วิธีที่จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพเช่นกัน
พิลึกอย่างยิ่งแต่จริงอย่างหนัก คนที่ต้องการเวลาแทบไม่ใช่คนที่ควรได้เวลา และคนที่ควรได้เวลาสุดพิเศษส่วนใหญ่ก็แทบไม่เคยร้องขอสิ่งนั้นเลย ในทำนองเดียวกัน คนที่ทำให้หมดแรงที่สุด และเป็นคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วย ส่วนคนที่ส่งพลังให้มากที่สุด คือคนที่ใช้เวลาด้วยน้อยที่สุด
คนที่รู้สึกว่าจำเป็นต้องพบ แต่ไม่อยากพบ คิดถึงผลตอบแทนจากการลงทุนเวลา เมื่อพยายามช่วยคนที่รู้สึกว่าควรเลือกคบ แต่ไม่ได้อยากพบ บ่อยครั้งพวกเขามีลักษณะร่วมดังนี้ ต่อให้ไม่มีปัญหาก็ยังทำผลงานได้ต่ำกว่าที่ควร มักมาสาย ทำยอดไม่ได้ตามเป้า ผู้จัดการฝ่ายบัญชีที่ไม่เคยปิดบัญชีได้ หรือเพื่อนที่มักหนีความสัมพันธ์อันเลวร้ายไปหาความสัมพันธ์อันเลวร้ายอีก จอห์น ทาวน์เซนด์ นักจิตวิทยาคลินิกกล่าวว่า คนประเภทนี้มีเส้นโค้งแห่งการเรียนรู้ที่แบนราบ ไม่ใช่ว่าไม่ควรให้เวลากับคนที่มีเส้นโค้งแห่งการเรียนรู้แบนราบเลย แต่พวกเขาไม่ควรได้เวลาช่วงที่ดีที่สุดไป ในเมื่อการไม่มีใครได้ประโยชน์ บางทีอาจไม่ใช่คนที่ควรทำเช่นนั้น สิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้คือการส่งต่อให้คนอื่น
คนที่เรียกร้องอยากพบ แต่ไม่จำเป็นต้องพบ นอกจากคนที่รู้สึกว่าจำเป็นต้องพบแล้ว ยังมีคนที่ต้องการพบด้วย บางคนถือเป็นการลงทุนชั้นเยี่ยม ซึ่งจะพูดถึงในโอกาสต่อไป แต่บางคนก็ไม่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังขอเวลาโดยไม่ได้อะไรจากการพบกัน ทั้งยังทำให้หมดแรงอีกต่างหาก พวกเขาต้องการพบ แต่พูดอย่างตรงไปตรงมาแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องพบเพราะไม่มีประโยชน์ทั้งต่อคุณและต่อพวกเขา ประเด็นในที่นี้ไม่ใช่ว่าควรหลีกเลี่ยงคนเหล่านี้โดยสิ้นเชิง ควรหาพื้นที่ให้บางคนเข้ามาในชีวิตได้บ้าง ทุกคนต้องการความช่วยเหลือ ในบางช่วงเราก็เป็นฝ่ายที่สิ้นเรี่ยวแรง และต้องการคนให้กำลังใจเช่นกัน ถ้าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับคนที่ชวนให้หมดแรง จะใช้ชีวิตส่วนมากด้วยความรู้สึกหมดแรงไปด้วย ดังนั้นปกป้องหัวใจของตัวเองให้ดี การดูแลตัวเองไม่ใช่เรื่องเห็นแก่ตัว มันจะทำให้มีพลังเพื่อคนที่อาจไม่ได้ส่งพลังให้เท่าไหร่ได้อย่างแท้จริง ถึงจะช่วยเหลือทั้งหมดเท่าที่ทำได้ แต่ถ้าไม่มีพลังเหลือในถังอีกแล้ว ก็จะไม่สามารถช่วยใครได้ทั้งนั้น
ลงทุนกับสิ่งที่ดีที่สุด การคบคนที่ไม่มีผลงานบั่นทอนจิตใจฉันใด การคบคนที่มีผลงานดีเยี่ยมก็เป็นการเสริมพลังให้ทั้งสองฝ่ายฉันนั้น ประโยชน์นอกเหนือจากนั้นคือ การลงทุนเวลากับผู้มีผลงานดีเยี่ยม มีสุขภาพ และเป็นหนึ่งเดียวกัน ย่อมส่งอิทธิพลไหลเวียนไปทั่วองค์กร หากข้างบนมีความสุข ข้างล่างก็มีความสุขด้วย หากข้างบนมีความทุกข์ ข้างล่างก็พลอยทุกข์ไปด้วย
มนุษย์คนหนึ่งมีเพื่อนได้มากแค่ไหน การหาคำตอบว่าใครคือคนที่ใช่ และคนที่ไม่ใช่นั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่นั่นยังนำไปสู่คำถามที่น่าสนใจด้วยว่า คิดว่ามนุษย์คนหนึ่งมีความสัมพันธ์ได้มากน้อยเพียงใด รอบิน ดันบาร์ นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ และนักจิตวิทยาวิวัฒนาการกล่าวว่า จำนวนความสัมพันธ์ส่วนบุคคลที่มีความหมาย ซึ่งมนุษย์ส่วนใหญ่สามารถบ่มเพาะขึ้นมาได้นั้น หากน้อยกว่าที่คิด ดันบาร์บอกว่าจำนวนความสัมพันธ์ที่คนเรามีได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของความชอบ หรือความเต็มใจเท่านั้น แต่ข้อจำกัดคือขีดความสามารถของสมอง ซึ่งธรรมชาติกำหนดไว้แล้วนั่นเอง ดันบาร์สรุปว่าขีดความสามารถในการมีความสัมพันธ์ของมนุษย์ เกิดจากการพัฒนาของสมอง ดันบาร์ชี้ว่าทุกคนถูกกำหนดให้มีมิตรแท้ 3-5 คน ซึ่งหมายถึงความสำคัญสนิทชิดใกล้ หรือคนที่ติดต่อด้วยอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ชีวิตของเราดูเหมือนจะได้รับการออกแบบให้มีความสัมพันธ์ที่มีความหมายในจำนวนจำกัด ซึ่งอันที่จริงก็มีนัยสำคัญทีเดียว สำหรับวิถีชีวิตในปัจจุบัน
เพื่อน แฟน และผู้ติดตาม ดังที่ดันบาร์ตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อปี 2010 ดูเหมือนเว็บไซต์เครือข่ายสังคมต่าง ๆ ได้แทงทะลุขีดขั้นของเวลาและภูมิศาสตร์ที่เคยจำกัดโลกทางสังคมของผู้คนในอดีตลงแล้ว ถ้านั่นเป็นความจริงในปี 2010 มันก็ยิ่งเป็นความจริงในปัจจุบัน แค่กวาดตาดูโทรศัพท์แบบผ่าน ๆ อาจเห็นว่ามีเพื่อน 754 คนในสื่อโซเชียลหนึ่ง มีผู้ติดตาม 192 คนในอีกสื่อโซเชียล และมีอีก 316 คนในสื่อโซเชียลที่ 3 อันเป็นจำนวนคนในชีวิตที่สูงมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และออกจะไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก
ดังนั้นความยุ่งยากจึงอยู่ระหว่างการออกแบบตามธรรมชาติกับความปรารถนา ออกแบบให้รับมือคนอย่างมีความหมาย 150 คน แต่การเป็นสัตว์สังคมซึ่งไม่อยากทำให้ใครผิดหวัง ขุ่นมัว หรือโมโห ทำให้ปรารถนาจะเชื่อมสัมพันธ์กับคนมากกว่านั้น เมื่อยอมทำตามความปรารถนาที่จะเชื่อมสัมพันธ์ โดยไม่คำนึงถึงการออกแบบ จะเกิดความเครียด ถ้าเพิ่มโลกออนไลน์เข้าไปในสมการ ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป โลกดิจิทัลพยายามขยายความสัมพันธ์จนเกินขีด ที่ได้รับการออกแบบให้รับมือได้
ว่าไงเพื่อน องค์ประกอบที่ไม่ปกติประการสุดท้ายของโลกดิจิทัลคือ ความใกล้ชิดทางดิจิทัลไม่เพียงทำให้เข้าถึงผู้คน ในลักษณะที่ไม่เหมาะไม่ควรในช่วงเวลาที่ไม่ปกติเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นธรรมชาติด้วย ดิจิทัลทั้งหมดเข้าถึงด้วยจุดประสงค์เพื่อให้ตกลงกับอะไรบางอย่าง ผลคือสูญเสียลำดับความสำคัญของตัวเอง เพราะตกลงว่าจะทำอะไรมากเกินไปกับคนจำนวนมากเกินไป เพียงเพื่อจะลงเอยด้วยกันเหลือน้อยเกินไป ทั้งเหลือเวลาน้อยเกินไป เหลือพลังงานน้อยเกินไป และเหลือช่องความถี่หรือขีดความสามารถน้อยเกินไป เนื่องจากตอบรับทุกอย่างที่พุ่งเข้ามาหาไปก่อนแล้ว ควรทำอย่างไรกับปัญหาทั้งหมดนี้ ให้ใช้ตัวเลขของดันบาร์เป็นตัวกรองดิจิทัล ระบุตัวคนสนิทชิดใกล้ 3-5 คน จากนั้นก็หาเพื่อน 12-15 คนในวงถัดมา และถึงแม้จะไม่เป็นไม่จำเป็นต้องระบุชื่อคนรอบข้างที่มีความสำคัญ ในระยะห่างกว่านั้น 150 คนออกมาจริง ๆ แต่ก็ขอให้คำนึงถึงแนวคิดนี้ไว้ว่า เวลาได้รับคำขออย่าลืมถามตัวเองว่า นี่คือบุคคลที่ฉันมีความสัมพันธ์ด้วยจริง ๆ หรือไม่ จากนั้นค่อยตอบสนองไปตามสมควร วิธีแก้ปัญหาเก่าแก่ยาวนานนั่นคือ ควรสละเวลาจากคนซึ่งเราใส่ใจน้อย ไปให้คนซึ่งใส่ใจมากที่สุด และควรมีสมาธิจดจ่อกับคนที่ต้องการมากที่สุด ส่วนคนอื่น ๆ นั้นให้รอไปก่อนก็ได้
เอาใจคนที่ใช่ ลึก ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ชอบเอาใจคนอื่น แน่นอนว่าผลเสียของการเอาใจคนอื่นคือ การลงเอยด้วยการเอาใจคนที่ไม่ใช่ และละเลยคนที่ใช่เสมอ ตัวกรองและบรรทัดฐานที่ได้เรียนรู้ ควรช่วยให้ทำสิ่งสำคัญที่สุดกับคนสำคัญที่สุด และทำเช่นนั้นได้โดยไม่ถูกรบกวนสมาธิ
ภาค 5 จากทฤษฎีสู่ชีวิตจริง
บทที่ 10 การหลอมรวมครั้งใหญ่
ทำให้เวลา พลังงาน และลำดับความสำคัญทำงานสอดประสานกัน ความว่างเปล่าคือกับดัก ความว่างเปล่าบนปฏิทินคือกับดัก มันดูเหมือนอิสรภาพแต่อันที่จริงคือคุก ที่อยู่ในรูปของอิสระภาพ มีสารพัดอย่างที่จะดึงความสนใจไปในวันใดก็ตามที่ดูเป็นวันว่าง และไม่มีอะไรต้องทำในปฏิทิน สิ่งสำคัญที่สุดจะถูกปล้นชิงไปด้วยสิ่งเร่งด่วน ที่ไม่เคยวางแผนทำ จะพบกับความผิดหวัง และคนใกล้ชิดที่สุดจะเป็นผู้รับเคราะห์กรรมนี้
ดังนั้นกุญแจที่ช่วยให้ก้าวหน้าคือ การกำหนดลำดับความสำคัญทั้งหมดไว้ล่วงหน้า เปลี่ยนไปใช้ปฏิทินแบบตายตัว ซึ่งจะเรียกว่าปฏิทินก้าวหน้า จะรวมทุกอย่างที่ได้เรียนรู้จนถึงขณะนี้ไว้ด้วยกัน และทำให้มันเกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน การพัฒนาปฏิทินก้าวหน้าของตัวเอง จะปกป้องพื้นที่สีเขียว และช่วยให้ได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่สีเหลืองและพื้นที่สีแดง เพื่อให้ได้ใช้เวลาไปกับสิ่งใด ๆ และคนใด ๆ ที่สำคัญอย่างแน่นอน เพื่อให้เห็นภาพลองใช้เวลาสักครู่ หยิบปฏิทินออกมา พลิกไปอีก 6 เดือนข้างหน้านับจากวันนี้ คนส่วนใหญ่เป็นไปได้ว่าจะไม่มีอะไรตอนนี้ ปฏิทินยังว่างเปล่า และนั่นเองที่เป็นปัญหา ปฏิทินว่างเปล่าทำให้เกิดปัญหาสารพัด ทางหนึ่งมันทำให้เกิดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ คิดว่าตอนนี้ตัวเองยุ่งมากแค่ไหน ถึงแม้ตอนนี้จะมองเห็นความว่างเปล่าทั้งหมดนั้น แต่สุดท้ายก็จะถูกงานท่วมทับซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ดี
ควบคุมปฏิทินของตัวเอง คนอื่นจะได้หยุดควบคุมเรา ปฏิทินที่ว่างเปล่าแทบจะเป็นการรับรองว่า จะใช้เวลาไปกับลำดับความสำคัญของใครก็ตามที่ไม่ใช่ของเรา จงเปลี่ยนแปลงอนาคตเช่นนั้นด้วยการตัดสินใจว่า จะใช้เวลาอย่างไรก่อนที่คนอื่นจะตัดสินใจแทน ถ้าไม่ตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะใช้เวลาอย่างไร คนอื่นจะทำการทำปฏิทินพื้นที่สีเขียว สีแดง และสีเหลือง รวมถึงกำหนดลำดับความสำคัญของตัวเองให้เรา จึงเป็นกลยุทธ์สุดท้ายที่จำเป็นต้องทำ เพื่อเปลี่ยนสิ่งที่เรียนรู้ให้กลายเป็นชีวิตจริง
ปฏิทินก้าวหน้า เบื้องหลังปฏิทินก้าวหน้าคือแนวคิดง่าย ๆ เกี่ยวกับการกำหนดปฏิทินล่วงหน้า เพื่อตัดสินใจว่าจะใช้เวลาทำงาน และเวลาส่วนตัวอย่างไร สิ่งที่ดีที่สุดไม่เรียบง่าย เพราะจะกำหนดนัดหมายซ้ำ ๆ ซึ่งใช้เวลาสัปดาห์ละไม่ถึง 2 ชั่วโมง หรือจริง ๆ แทบไม่ได้ใช้เวลาอะไรในสัปดาห์ ส่วนใหญ่ เพราะเรากำหนดรูปแบบการนัดหมายเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า พอทำเสร็จแล้วก็ลืมไปเลย จนกว่าจะถึงเวลาที่ต้องปรับอีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นทุกปีหรือทุก 2-3 เดือน ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบปัจจุบันทันด่วน ไม่เช่นนั้นมันก็แค่ทำงานอยู่เบื้องหลังขณะที่ชีวิตดำเนินไปด้วยดียิ่งกว่าเดิม ปฏิทินก้าวหน้ามีประสิทธิภาพ เพราะกำหนดนัดหมายกับคน และสิ่งที่ไม่ได้ขอเวลานัด ซึ่งก็คือบรรดาลำดับความสำคัญที่ดูเหมือนจะถูกปล้นชิงไปอยู่เสมอ ประเด็นนี้ช่างเรียบง่ายเพราะจะกลายเป็นสิ่งที่ทำซ้ำ ๆ เมื่อใดที่ทำตัวสอดประสานกับจังหวะชีวิตประจำวัน ซึ่งเอื้อต่อเราไม่ใช่ต่อต้านเรา เมื่อนั้นทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ปฏิทินจะดูแตกต่างและควรแตกต่างไปจากคนอื่น จำเป็นต้องปรับปฏิทินให้เข้ากับพรสวรรค์ เสียงเรียกในใจ และสถานการณ์
ออกแบบปฏิทินก้าวหน้าของตนเอง มีการตัดสินใจสำคัญ 4 ประการที่ต้องทำ เวลาออกแบบปฏิทินก้าวหน้าของตัวเองนั่นคือ 1.ตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอะไรในพื้นที่พลังงานแต่ละช่วง 2.ตัดสินใจว่าจะพบหรือไม่พบใคร 3.ตัดสินใจว่าจะทำงานเฉพาะเจาะจงบางอย่างในช่วงใด 4.ตัดสินใจว่าจะทำงานโดยเฉพาะงานในช่วงพื้นที่สีเขียวที่ไหน แน่นอนว่าพื้นที่สีเขียวในปฏิทินก้าวหน้า คือส่วนสำคัญที่สุดซึ่งต้องปกป้องเอาไว้ ถ้าออกแบบการใช้พื้นที่สีเขียวได้ดี พื้นที่สีเหลืองและพื้นที่สีแดงจะทำหน้าที่เป็นแก้มลิง รองรับปัญหาประจำวันซึ่งผุดขึ้นมาบางส่วนได้
ขั้นตอนที่ 1 ทบทวนนาฬิกาพลังงานอีกครั้ง บูรณาการนาฬิกาพลังงานกับจังหวะและกิจวัตรประจําวันให้ดียิ่งขึ้น
ขั้นตอนที่ 2 รวมลำดับความสำคัญไว้ในนาฬิกาพลังงาน รวมลำดับความสำคัญที่สุดทั้งในแง่ภารกิจ และคนไว้ในนาฬิกาพลังงาน ระบุลำดับความสำคัญให้กว้างที่สุด ถ้าการวางแผนเป็นส่วนหนึ่งในงานให้เขียนแค่วางแผน แทนที่จะเป็นวางแผนงานนอกสถานที่สำหรับไตรมาส 4 ซึ่งควรอยู่ในรายการสิ่งที่ต้องทำ เพราะตอนนี้แค่อยากกำหนดลำดับความสำคัญที่เหมาะสม ให้พื้นที่แต่ละช่วงเท่านั้น
ขั้นตอนที่ 3 กำหนดเวลาเพื่อทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ในยามที่มีพลังพร้อมที่สุด สุดท้ายเพื่อให้อยู่ในภาวะทำได้เต็มที่ อย่างดีที่สุดจริง ๆ จงกันเวลาไว้สำหรับสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ในยามที่มีพลังพร้อมที่สุด ด้วยการใส่ลำดับความสำคัญลงในพื้นที่สีเขียว สีเหลือง และสีแดง สิ่งที่อยากให้เกิดมากที่สุดในปฏิทินคือ แบบแผนที่ดำเนินต่อเนื่องในแต่ละพื้นที่ พลังงานปฏิทินจะสะท้อนแผนภาพลำดับความสำคัญที่พึ่งว่างเสร็จ และนำมาทำกำหนดนัดหมายซ้ำ ๆ ได้ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่เพียงทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุด ในยามที่มีพลังพร้อมที่สุดเท่านั้น แต่ยังเหลือพื้นที่มากมายไว้รองรับภารกิจ และความสัมพันธ์ที่สำคัญที่สุดด้วย
คราวนี้มาตรวจสอบความเป็นจริงกัน ชีวิตมีดีมีแย่บางครั้งการประชุมก็โผล่ขึ้นมาเฉย ๆ อาจมีงานกองสุมค้างคา และลูกก็มีสิ่งที่ต้องทำ แต่ตอนนี้มองเห็นแล้วว่า สิ่งที่มีพันธกิจต้องทำและถ้าปกป้องพื้นที่สีเขียวไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ เป้าหมายสำคัญส่วนใหญ่ก็จะสำเร็จลุล่วง และยังปกป้องช่วงเวลาพักผ่อน รวมถึงช่วงเวลาสำหรับครอบครัวไว้ได้อีกด้วย การเพิ่มกำหนดประชุมที่เฉพาะเจาะจงเป็นฐานของปฏิทินก้าวหน้า ยังช่วยให้เห็นภาพล่วงหน้าได้ว่างานแต่ละสัปดาห์จะยุ่งเพียงใด จำไว้ว่าทันทีที่กำหนดปฏิทินก้าวหน้าเสร็จ จะเห็นภาพล่วงหน้า 6 เดือนจากนี้ได้ และจะพอนึกออกว่าเดือนนั้นหรือสัปดาห์เหล่านั้นจะเป็นอย่างไร ทำให้ตัดสินใจเลือกกิจกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกันได้ง่ายขึ้น
เดี๋ยวนะแล้วทีมของผมล่ะ อาจคิดว่านี่เป็นการออกแบบที่ยอดเยี่ยม สำหรับผู้ประกอบการและผู้บริหาร ซึ่งมีอำนาจควบคุมปฏิทินของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่คนอื่น ๆ ในทีมจะทำอย่างไร กลับไปยังคำถามเรื่องทีมจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าในทีม 5 คน 2 คนเป็นไก่ขยันที่มีพื้นที่สีเขียวช่วงเช้า 2 คนเป็นนกฮูกนอนดึกที่มีพื้นที่สีเขียวในช่วงบ่าย ส่วนอีกคนอยู่ตรงกลาง การหาจังหวะร่วมของทีมเป็นเรื่องของการประนีประนอม การประชุมหรือกิจกรรมบางอย่างอาจต้องกำหนดไว้ในช่วงพื้นที่สีเขียวของสมาชิกส่วนมาก แต่บางอย่างอาจเหมาะอยู่ในช่วงพื้นที่สีเหลืองของคนส่วนใหญ่ และการประชุมปกติที่กินเวลาไม่นานอาจเหมาะกับพื้นที่สีแดง ถ้าไม่มีนัยสำคัญ
คำตอบที่ดีกว่ามากสำหรับเจสัน ทีนี้ย้อนกลับไปหาเจสันคนที่ไม่ได้ตั้งใจจะปล้นชิงลำดับความสำคัญ เขาก็แค่พยายามขยับลำดับความสำคัญของตัวเองขึ้นมา ถ้าตอนนั้นมีปฏิทินก้าวหน้า และเจสันเอ่ยปากถามว่ามีแผนจะทำอะไรในวันเสาร์ถัดไปหรือยัง บทสนทนาอาจแตกต่างไปจากเดิม ผู้เขียนจะหยิบไปทินออกมามองไปที่วันเสาร์ หันไปสบตาเจสันและบอกว่า ผมมีธุระแล้ว คนปกติดีทั่ว ๆ ไปจะเคารพเส้นแบ่งที่ขีดไว้ ถึงแม้จะมีความประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ แต่คนส่วนใหญ่ไม่ถามว่าธุระนั้นคืออะไร พวกเขาแค่อุทานว่า อ๋อน่าเสียดายจัง
สัญญาณต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่าวงจรก้าวหน้าได้ผล วงจรก้าวหน้าได้รับการออกแบบไว้เป็นวงจรแสนประเสริฐ ขณะที่วังวนความเครียดลากลงไป วงจรก้าวหน้าจะหนุนส่งให้ก้าวไปในจังหวะที่ยั่งยืนกว่าเดิม วงจรก้าวหน้าควรทำให้รู้สึกแตกต่างจากภาวะหมดไฟอย่างสิ้นเชิง ชีวิตและการเป็นผู้นำควรให้ความรู้สึกง่ายกว่าเดิมไม่ใช่ยากขึ้น ถึงแม้ต้องทำเรื่องยาก ๆ บางอย่าง แต่เมื่อวงจรก้าวหน้าได้ผล ความเห็นสัญญาณต่อไปนี้ 1.ทำลำดับความสำคัญสำเร็จลุล่วง 2.ทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ 3.ชอบพบปะผู้คนอีกครั้ง 4.มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัว 5.มีความสุขมากขึ้น เป็นธรรมดาที่วันแต่ละวันย่อมมีความหลากหลาย แต่ถ้าส่วนใหญ่ไม่รู้สึกถึงสัญญาณเกือบทั้ง 5 ประการนี้ ขอให้กลับไปทบทวนจังหวะในวงจรก้าวหน้าของตัวเองอีกครั้ง
บทที่ 11 ก้าวหน้าต่อไป
วิธีปรับตัวเมื่อชีวิตทำให้แผนการที่วางไว้อย่างสมบูรณ์แบบพังลง ความสัมพันธ์เป็นพิษแต่เร้าใจ ความเครียดเป็นคำที่ทั้งดีและร้าย แม้วัฒนธรรมของเราจะชิงชังความเครียด แต่กลับพึ่งพาอาศัยมัน ส่งผลให้ถูกลากกลับสู่ความเครียดกลาย ๆ เพราะความเครียดคือเหรียญกล้าหาญของวงจรชีวิตแบบหนูถีบจักร ดังเช่นที่ทุกคนกำลังเป็นอยู่ ถ้าอยากใช้วงจรก้าวหน้าดำเนินชีวิตต่อไปในระยะยาว สิ่งดีที่สุดที่ทำได้คือ การบอกลาความเครียด และตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะไม่ใช้ชีวิตในวิธีนั้นอีกต่อไปแล้ว
ลงมือทันทีที่คาดว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน แต่อีกมากก็ไม่ใช่ เมื่อได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าแม้เพียงเล็กน้อย หนึ่งในสิ่งดีที่สุดซึ่งทำได้คือ การวางแผนทันทีใช้เวลาคาดการณ์ว่า จังหวะชีวิตอาจเปลี่ยนไปอย่างไร ถ้ามีเพื่อนร่วมงานใหม่เข้ามา อาจต้องปรับผังองค์กรเสียแต่ตอนนี้ หารือทีมงานและช่วยพวกเขาปรับตัว พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าคาดว่าจะต้องทำการปรับเปลี่ยนเชิงระบบ การทำล่วงหน้าอาจดีกว่ารอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยตามแก้ไข หรือไม่ทำอะไรทั้งนั้นแล้วนึกกังขาว่าความสงบสุขหายไปไหน
นี่อาจฟังดูเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่คนที่ลงมือเปลี่ยนล่วงหน้าเพื่อรับสถานการณ์นั้นมีน้อยมาก การรอจนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ต้องแลกด้วยความสงบสุขและผลิตภาพ การแก้ไขอะไรบางอย่างก่อนที่จะพัง ประหยัดกว่าการซ่อมแซมหลังเกิดความเสียหาย ทั้งในแง่เวลาและเงิน การบำรุงรักษาก็ให้ผลแบบเดียวกันกับชีวิต ถ้าคาดว่าจะเกิดอะไรบางอย่างให้ลงมือทำบางสิ่งเสียแต่ตอนนี้ เพราะการทำอะไรบางอย่างก่อนเกิดการเปลี่ยนแปลงคือ วิธีที่ดีที่สุดในการเตรียมพร้อมรับมือ และถ้าจำเป็นต้องปรับหรือเปลี่ยนอีกครั้งหลังจากนั้นก็ไม่มีปัญหา
ปรับตัวใหม่ให้ไว บางครั้งเห็นการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเข้ามา แต่บ่อยครั้งที่มองไม่เห็น ไม่สามารถมองเห็นปัญหาได้ จนกระทั่งอะไร ๆ เริ่มพังลงแล้ว เวลาที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น และมักจะเกิดขึ้นบ่อย ๆ ให้กลับมายังหลักการพื้นฐานของวงจรก้าวหน้า แล้วเตรียมตัวปรับปฏิทินก้าวหน้าใหม่อีกครั้ง วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเริ่มกระบวนการนี้คือ ไล่ดูว่าในระยะหลังใช้เวลาจริง ๆ อย่างไร ถึงตอนนี้จะมีสติรู้ตัวว่าใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง มากกว่าสมัยที่ยังไม่ใช้วงจรก้าวหน้า แต่บางครั้งก็มีช่องว่างระหว่างสิ่งที่คิดว่ากำลังทำกับสิ่งที่ทำจริง ๆ แน่นอนว่าการเติบโตเป็นหนึ่งในสิ่งท้าทายจำนวนมาก การเปลี่ยนสถานะจากมีงานทำเป็นตกงาน การรับมือช่วงเวลาที่บริษัทหรือธุรกิจเผชิญความซบเซา การเสื่อมความนิยม หรือการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ อีกมากมายหลายประการ อาจทำให้สิ่งที่เคยได้ผลกลับไม่ได้ผลอีกต่อไป
คำนวณตัวเลขเวลาเกิดเรื่องแบบนี้ การทบทวนอัตราส่วนสำคัญ 3 ประการมีประโยชน์อย่างมาก เพราะถือเป็นตัวทำนายว่าจะก้าวหน้าได้ดีแค่ไหนในอนาคต การคำนวณทั้ง 3 อัตราส่วนได้แก่ 1.อัตราส่วนของเวลาที่ใช้ตามลำพังกับเวลาที่ใช้กับผู้อื่น 2.อัตราส่วนของเวลาที่ใช้ในการประชุม 3.อัตราส่วนของเวลาที่อยู่บ้านกับเวลาที่ใช้ในการเดินทาง การคำนวณทั้ง 3 อัตราส่วนนี้ จะทำให้เข้าใจว่าทำงานได้ดีที่สุดอย่างไร มีแนวโน้มจะมีอัตราส่วนในอุดมคติอยู่แล้ว และเมื่อทำเกินขีดจำกัดนั้น ระดับความเครียดก็จะเพิ่มขึ้น
การคำนวณที่ 1 เวลาที่ใช้ตามลำพังกับเวลาที่ใช้กับผู้อื่น หากพิจารณาการใช้เวลาทั้งหมดโดยไม่คำนึงถึงพื้นที่พลังงาน จะแบ่งเวลาออกเป็น 2 ประเภทหลักคือ เวลาที่อยู่ตามลำพังกับเวลาที่อยู่กับคนอื่น ควรใช้เวลาแต่ละส่วนมากน้อยแค่ไหน คนชอบเข้าสังคมมักเติมพลัง และได้พลังจากการอยู่กับคนอื่น ถ้าโยนเข้าไปในงานเลี้ยง คนกลุ่มนี้จะมีความสุขสนุกกับการมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างทางกลับบ้านพวกเขาจะคิดว่ามันเจ๋งแค่ไหน ในทางตรงข้ามคนเก็บตัว มีแนวโน้มจะเติมพลัง และได้พลังจากการอยู่คนเดียว ถ้าส่งเข้าไปในงานเลี้ยงเดียวกัน คนกลุ่มนี้อาจเดินไปไกล ๆ มีความสุขกับการนั่งเงียบ ๆ รอเวลากลับ คุณน่าจะจัดอยู่ในกลุ่มไหนมากกว่า ถ้าคำนวณอัตราส่วนของเวลาที่ใช้กับผู้อื่น และเวลาที่อยู่ตามลำพังได้ถูกต้อง อาจขยายพื้นที่สีเขียวเพิ่มขึ้นได้ การสังเกตและตระหนักรู้อาจช่วยตัวเราเองได้มากกว่าที่คิด เพราะปฏิกิริยาที่ตัวเองมีต่อคนอื่น ๆ จะส่งผลต่อพลังงานและภาวะอารมณ์
การคำนวณที่ 2 เวลาที่ใช้ในการประชุม ถ้าว่าการประชุมดี ๆ ก็ยังช่วยแก้ปัญหาบางอย่าง จึงนำการคำนวณอัตราส่วนมาประยุกต์ใช้กับการประชุมได้ เช่นเดียวกับอัตราส่วนระหว่างเวลาที่ใช้ตามลำพังกับเวลาที่ใช้กับคนอื่น เพราะคนส่วนใหญ่มีขีดจำกัดในการเข้าประชุม ก่อนที่มันจะเริ่มส่งผลสะท้อนกลับบางอย่าง ตัวเลขอาจแตกต่างกันไป แต่ลองใช้เวลาหาอัตราส่วนในอุดมคติ รวมถึงขีดจำกัดการประชุมสูงสุดด้วย เพื่อปรับปฏิทินก้าวหน้าไปตามนั้น ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่อาจรักษาอัตราส่วนในอุดมคติ หรือทำให้มันต่ำกว่าเพดานได้ตลอด แต่เพียงแค่รู้ข้อมูลนี้ก็ช่วยได้แล้ว เพราะมันจะทำให้ตัวเรา ทีมงาน และครอบครัวรู้ล่วงหน้าว่า บางสัปดาห์หรือบางเดือนจะมีความท้าทายเป็นพิเศษ ทำให้เตรียมตัวรับมือได้
การคำนวณที่ 3 เวลาที่อยู่บ้านกับเวลาที่ใช้ในการเดินทาง มีขีดจำกัดการประชุมที่มีประสิทธิภาพฉันใด ก็อาจมีขีดจำกัดของเวลาที่ใช้ในการเดินทาง ก่อนที่มันจะส่งผลเสียต่อผลิตภาพฉันนั้น คำถาม 5 ข้อต่อไปนี้ ช่วยให้คำนวณหาอัตราส่วนได้ หากคำตอบทั้งหมดคือไม่หรือไม่เชิง อาจเดินทางมากเกินขีดจำกัดของตัวเองแล้ว ให้ลดจำนวนลงจนสอดคล้องกับขีดจำกัดของตัวเอง 1.เวลาคิดถึงการเดินทางครั้งต่อไป ฉันตื่นเต้นที่จะได้ออกเดินทางหรือไม่ 2.ฉันสามารถทำงานสำคัญทั้งหมดให้เสร็จได้ แม้ต้องเดินทางหรือไม่ 3.ฉันสามารถเดินทางเท่าเดิม และยังเป็นผู้นำทีมงานในที่ทำงานได้ด้วยหรือไม่ 4.ฉันสามารถเดินทางเท่าเดิม และมีชีวิตครอบครัวที่มีความหมาย ทั้งยังมีความสุขได้หรือไม่ 5.ฉันสามารถเดินทางเท่าเดิม โดยยังคงมีพลังงานล้นเหลือ เพื่อทำงานที่ต้องทำหรือไม่
ปรับต่อไปอย่าได้หยุด ส่วนผสมจากอัตราส่วนทั้ง 3 นี้ จะเป็นคำตอบเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล ซึ่งการรู้เงื่อนไขที่ทำให้ก้าวหน้า จะช่วยให้ออกแบบปฏิทินในอุดมคติได้ดีขึ้น และก้าวหน้าต่อไปได้อีก ข่าวดีก็คือ จะคุ้นเคยจนใช้เครื่องมือ และทักษะทั้งหมดที่เรียนรู้ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปอีกไม่นาน จะใช้งานทุกอย่างได้อย่างสบายใจ หากเป็นนายจ้างก็ไม่ควรกดดันพนักงานให้เครียดอยู่ตลอดเวลา เพราะคนเราพาตัวตนทั้งหมดมาทำงานด้วย ดังนั้นเวลาที่ตัวตนของพวกเขาก้าวหน้า บริษัทย่อมก้าวหน้าตาม การปรับทีมเป็นระยะ และการพูดคุยกันเป็นประจำ ตามหลักการเหล่านี้ จะช่วยให้ทุกคนดีขึ้น ไม่เว้นแม้แต่องค์กร ถ้าไม่ก้าวหน้าขึ้นด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง ก็แค่ปรับต่อไป
บทที่ 12 ทักทายตัวตนใหม่ในอนาคต
ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำสำเร็จลุล่วง แต่รวมถึงคนแบบที่จะเป็นต่อไปด้วย เมื่อนาฬิกาพลังงานและปฏิทินก้าวหน้าได้รับการปรับจูนอย่างดี ขณะที่ใช้ชีวิตผ่านพื้นที่สีเขียว สีแดง และสีเหลืองไปวันแล้ววันเล่า รับรู้ดีขึ้นว่าตัวเองทำอะไรได้ดีที่สุด ควรลงทุนเวลากับใคร และรู้วิธีเอ่ยปฏิเสธแบบมืออาชีพ โดพามีนที่พุ่งสูง และความพึงพอใจอย่างล้ำลึกจะดำเนินต่อไป ทำงานเสร็จมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง ก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนที่ได้ใช้ชีวิต และได้การเป็นผู้นำกลับคืนมา โดยมีความก้าวหน้าเป็นแรงกระตุ้นล้ำลึก และยังมีแรงจูงใจอีกประการ ซึ่งทำให้ทำเช่นนี้ต่อไปได้ ไม่ใช่แค่หลายเดือนหรือหลายปีแต่อาจตลอดชีวิต ถ้านึกสงสัยว่าการปฏิบัติตามทิศทางเดิมเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งรวมถึงการปรับเปลี่ยนเป็นประจำ การปรับตัวใหม่และความวิริยะอุตสาหะที่จำเป็น เพื่อให้วงจรก้าวหน้ากลายเป็นคู่มือชั่วชีวิตนั้น ให้นึกภาพตัวเองในอนาคต ไม่ใช่พรุ่งนี้หรือเดือนหน้า แต่เป็นอีกหลายปีนับจากนี้ บางทีอาจหลายสิบปี ลองนึกภาพอนาคตตอนที่อายุ 15 65 หรือ 85 เท่าที่จินตนาการไปถึง การทำสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในยามที่มีพลังพร้อมที่สุด ช่วยให้กลายเป็นนักสื่อสารที่ดี การเข้าใจช่วงเวลาตามพื้นที่พลังงานต่าง ๆ ของตัวเอง ช่วยให้ทำสิ่งต่าง ๆ สำเร็จมากขึ้น ในเวลาซึ่งน้อยกว่าเดิม พร้อมก้าวไปสู่จุดหมายของตนเองด้วยความสุข และความเชื่อสุดท้ายแล้ว คนแบบที่กำลังจะเป็นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่มาก ถึงเวลาก้าวไปสู่อนาคตแล้ว แล้วจะรักตัวเองในเวอร์ชั่นใหม่อย่างแน่นอน.