สรุปหนังสือ GET BETTER AT ANYTHING
วิชาพัฒนาตัวเองที่ใช้ได้ตลอดชีวิต
บทนำ
กลไกการเรียนรู้ของมนุษย์ การเรียนรู้เป็นรากฐานสำคัญของชีวิต ต้องใช้เวลาหลาย 10 ปีในรั้วโรงเรียนเพื่อสั่งสมความรู้ เมื่อก้าวเข้าสู่โลกการทำงาน ต่างก็มุ่งมั่นที่จะเป็นมืออาชีพในสายงาน ไม่เพียงเพราะต้องการผลตอบแทนที่ดี แต่เพราะรู้สึกภูมิใจที่ได้เชี่ยวชาญในวิชาชีพของตนเอง บางครั้งเรียนรู้สิ่งใหม่ได้อย่างง่ายดาย แต่บางครั้งกลับต้องใช้ความพยายามอย่างมาก การพัฒนาจึงเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก ไม่ว่าเป้าหมายคือการเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือแค่ต้องการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม การเข้าใจกลไกการเรียนรู้จะช่วยได้มาก
3 ปัจจัยสำหรับการพัฒนาตัวเองในทุกด้าน ปัจจัยสำคัญที่กำหนดว่าจะเรียนรู้และพัฒนาได้มากแค่ไหนคือ
- การดู ความรู้ส่วนใหญ่มาจากการเรียนรู้จากคนอื่น จะพัฒนาได้เร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับว่าเรียนรู้จากคนอื่นได้มากแค่ไหน
- การลงมือทำ แน่นอนว่าถ้าอยากเก่งต้องฝึกฝน แต่ไม่ใช่แค่ฝึกไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีทิศทาง
- การรับฟีดแบ็ก ความก้าวหน้าต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง
ถ้าเรียนรู้จากแบบอย่างของคนอื่น ฝึกฝนอย่างจริงจัง และได้รับฟีดแบ็กที่เชื่อถือได้ การพัฒนาก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าขาดปัจจัยเหล่านี้การพัฒนาก็จะช้าลง หรือบางครั้งก็หยุดไปเลย ในชีวิตจริงมักพบตัวเองอยู่ระหว่างความสุดโต่ง 2 ขั้ว ระหว่างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างเต็มที่กับสภาพที่ปิดกั้นการเรียนรู้โดยสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะดีหรือแย่ไปหมด มีทั้งอุปสรรคและโอกาส สิ่งที่ต้องทำคือหาวิธีเร่งความก้าวหน้าของตัวเอง ด้วยการหาสภาพแวดล้อมที่ดี ที่ปรึกษาที่ใช่ และรูปแบบการฝึกฝนที่เหมาะสม
แต่ปัญหาคือต้องรู้ก่อนว่าควรมองหาอะไร นอกเหนือจากคำถามที่ว่า จะพัฒนาตัวเองได้แค่ไหน ยังมีประเด็นน่าคิดอีกว่าการเรียนรู้ในปัจจุบันยังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ เทคโนโลยียังคงพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ คนเราจะยังต้องเสียเวลาฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ไปทำไม ในเมื่อ AI ทำได้ง่ายดายกว่า ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้สร้างความต้องการทักษะใหม่ ๆ ขึ้นมาควบคู่ไปกับการทำให้ทักษะเดิมล้าสมัย ยุคดิจิทัลทำให้อาชีพบางอย่างหายไป แต่ก็สร้างโอกาสใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน การคาดเดาอนาคตเป็นเรื่องที่ยากเย็นนัก จึงไม่อาจฟันธงว่าในวันข้างหน้าทักษะหรือความรู้แบบใดจะเป็นที่ต้องการ
การเข้าใจวิธีการเรียนรู้และการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ความอยากรู้เป็นสิ่งที่น่าพิศวง มันไม่เหมือนความหิวหรือความกระหาย ที่เมื่อได้รับการตอบสนองแล้วก็จะหายไป แต่กลับกันยิ่งเรียนรู้มากเท่าไหร่ความอยากรู้ก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคน 2 กลุ่มด้วยกันคือ กลุ่มแรกคือผู้ที่มุ่งมั่นจะพัฒนาตัวเอง กลุ่มที่ 2 คือบรรดาครู โค้ช พ่อแม่ หรือผู้ที่มีบทบาทในการช่วยเหลือผู้อื่นให้พัฒนา การพัฒนาตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกคนสามารถเรียนรู้ให้ฉลาดขึ้นได้
ส่วนที่ 1 การดู เรียนรู้จากคนอื่น
บทที่ 1 การแก้ปัญหาคือการค้นหา
แม้จะมีปัญหาไม่กี่อย่างที่ยากเทียบเท่าทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์ ในปี 1972 เฮอร์เบิร์ต ไซมอน และแอลเลน นิวเวลล์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาด้านกระบวนการคิด ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ Human Problem Solving ที่วิเคราะห์ขั้นตอนการคิดระหว่างแก้ปัญหา ทฤษฎีของไซม่อนและนิวเวลล์บอกว่า การแก้ปัญหาเปรียบเสมือนการเดินทางในพื้นที่ของปัญหา คล้ายกับการหาทางออกจากเขาวงกต ในกรณีเขาวงกตพื้นที่ของปัญหาคือพื้นที่จริง ๆ แต่ในหลายกรณีพื้นที่ของปัญหามักเป็นนามธรรม เป้าหมายคือต้องหาทางจากจุดเริ่มต้นไปถึงจุดสิ้นสุดเหมือนกับการเดินในเขาวงกต
เมื่อคุ้นเคยกับการมองเห็นพื้นที่ของปัญหา จะพบว่ามันปรากฏอยู่ทุกหนแห่ง นักวิทยาศาสตร์ต้องสำรวจพื้นที่ของปัญหาเพื่อค้นพบกฎใหม่ ๆ สถาปนิกทำงานในพื้นที่ของปัญหา พวกเขาต้องออกแบบภายใต้ข้อจำกัดมากมาย ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างอาคารที่ทั้งใช้งานได้ดีและสวยงาม แม้แต่การเขียนบทความก็เป็นการแก้ปัญหา จากจุดเริ่มต้นที่เป็นหน้ากระดาษว่างเปล่า ไปสู่เป้าหมายคือบทความสมบูรณ์ ที่สื่อสารแนวคิดได้ตามต้องการ
มีกลยุทธ์ใดบ้างที่ใช้แก้ปัญหาได้ทุกรูปแบบ ไซม่อนและนิวเวลล์ได้ศึกษากลยุทธ์พื้นฐานที่มนุษย์ใช้จัดการกับปัญหาหลากหลายรูปแบบ พวกเขาพบว่าเมื่อไม่มีวิธีเฉพาะทาง คนเรามักใช้วิธีการทั่วไปเหล่านี้ ประกอบด้วย 4 แนวทางหลักได้แก่
แนวทางที่ 1 ลองผิดลองถูก แนวทางนี้เรียบง่ายที่สุด มันคือการทดลองทำสิ่งต่าง ๆ แล้วดูผลลัพธ์ถ้าโชคดีหนึ่งในนั้นอาจถูกต้อง อย่างไรก็ตามวิธีนี้มีข้อจำกัดคือ จะล้มเหลวเมื่อเจอปัญหาที่กว้างหรือซับซ้อนเกินไป และจะได้ผลก็ต่อเมื่อปัญหานั้นมีขอบเขตจำกัดหรือเป็นเรื่องที่คุ้นเคย
แนวทางที่ 2 วิเคราะห์เป้าหมาย วิธีการ เป็นการคิดแบบย้อนกลับ โดยเริ่มจากการพิจารณาช่องว่างระหว่างสถานการณ์ปัจจุบันกับสิ่งที่ต้องการ แล้วค่อย ๆ หาวิธีลดช่องว่างนั้น แนวทางนี้คือการคิดสลับไปมาระหว่างจุดหมายกับสถานการณ์ปัจจุบัน พร้อมกับค่อย ๆ หาวิธีลดช่องว่างระหว่างกัน
แนวทางที่ 3 วางแผน การวางแผนคือการทำให้ปัญหาซับซ้อนน้อยลงแล้วค่อยแก้ปัญหาในพื้นที่ที่ง่ายกว่าก่อนจะนำวิธีการที่ได้ไปประยุกต์กับปัญหาจริง
แนวทางที่ 4 ปรับปรุงทีละขั้น วิธีนี้คือการไต่ระดับเป็นการแก้ปัญหา โดยเริ่มจากวิธีแก้เบื้องต้นแล้วค่อย ๆ ปรับปรุงไปจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
แม้ว่าวิธีกว้าง ๆ จะใช้ได้ในหลายสถานการณ์ แต่ก็มีข้อจำกัด การลองผิดลองถูกอาจล้มเหลวเมื่อปัญหามีขนาดใหญ่เกินไป การวิเคราะห์วิธีการและเป้าหมายอาจสร้างจุดมุ่งหมายย่อยมากเกินกว่าจะจัดการได้ การวางแผนอาจทำให้มองปัญหาง่ายเกินจริงจนวิธีแก้ไขใช้งานไม่ได้ และการปรับปรุงทีละขั้นอาจไม่เหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องยอมแย่ลงก่อนจึงจะดีขึ้นได้ เมื่อเผชิญกับปัญหามักพบอุปสรรค 2 รูปแบบ
รูปแบบแรกคืออุปสรรคในการเรียนรู้จากผู้อื่น มักเกิดขึ้นเมื่อเจอปัญหาที่ทำให้ต้องขบคิดอย่างหนัก สิ่งที่ต้องค้นหาคือวิธีเฉพาะทางที่ผู้เชี่ยวชาญใช้แก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างคล่องแคล่ว
รูปแบบที่ 2 คือการบุกเบิกพื้นที่ใหม่ที่ไม่มีใครเคยไปถึง
การแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ละสถานการณ์ล้วนมีความพิเศษเฉพาะตัว แม้ปัญหาจะใหม่แต่ความรู้ที่ใช้แก้มักไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ การเข้าใจวิธีแก้ปัญหาอย่างถ่องแท้ ต้องอาศัยการต่อยอดจากวิธีเฉพาะทาง ที่บรรพชนผู้ยิ่งใหญ่ได้วางรากฐานไว้
แนวทางปฏิบัติในการค้นหาวิธีแก้ปัญหา แม้จะไม่สามารถพัฒนาทักษะการแก้ปัญหาทั่วไปให้ดีขึ้นได้ แต่ขอแนะนำข้อคิดที่นำไปใช้ได้จริง 3 ประการ
ข้อคิดที่ 1 เริ่มต้นด้วยมุมมองที่ถูกต้อง การค้นหาคำตอบเป็นเพียงครึ่งเดียวของความท้าทายในการแก้ปัญหา อีกครึ่งอยู่ที่การมองปัญหาให้ถูกมุม เพื่อกำหนดขอบเขตการค้นหาคำตอบได้อย่างเหมาะสม
ข้อคิดที่ 2 เลือกปัญหาที่มีแนวโน้มแก้ไขได้ เมื่อรู้ว่าปัญหาบางอย่างไม่สามารถแก้ได้ก็ไม่ควรเสียเวลากับมัน แต่น่าเสียดายที่การแยกแยะว่าปัญหาใดแก้ได้หรือไม่ได้นั้นก็เป็นเรื่องยากเย็นเช่นกัน
ข้อคิดที่ 3 ค่อย ๆ สำรวจพื้นที่ของปัญหาทีละส่วน เมื่อต้องเผชิญปัญหาที่ไม่คุ้นเคย และไม่มีผู้แนะนำ การสำรวจพื้นที่อย่างละเอียดจะช่วยได้มากกว่าการที่เร่งแก้ปัญหา การสำรวจพื้นที่ของปัญหาทำได้โดยการทดลองและสังเกตผล โดยไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายตายตัว เป้าหมายไม่ใช่การประสบความสำเร็จ แต่เป็นการสังเกตรูปแบบที่อาจนำไปสู่วิธีการใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพ
บทที่ 2 ความคิดสร้างสรรค์เริ่มต้นจากการเลียนแบบ
การเรียนรู้ศิลปะต้องใช้เวลายาวนาน เริ่มจากเป็นเด็กฝึกงาน 1 ปี ฝึกวาดภาพบนแผ่นไม้เล็ก ๆ แล้วเข้าไปทำงานในร้านของปรมาจารย์ เพื่อซึมซับทุกแง่มุมของอาชีพนี้ วิธีเรียนของช่างฝีมือมีลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน ทั้งในแง่หัวข้อและวัสดุที่ใช้ ผู้ฝึกงานจะเริ่มจากการลอกเลียนงานชิ้นเอกของศิลปิน ซึ่งช่วยให้มือใหม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดว่า ศิลปินเอกถ่ายทอดแสงและรูปทรงลงบนแผ่นภาพอย่างไร
การลอกเลียนงานชิ้นเอกเป็นแกนหลักของการสอนศิลปะมาแต่โบราณ อาจดูเหมือนว่าการลอกเลียนแบบขัดกับการสอนศิลปะยุคปัจจุบัน ที่เน้นให้ศิลปินคิดสร้างสรรค์ หลายคนอาจกังวลว่าการฝึกซ้ำ ๆ จะบั่นทอนจินตนาการ แต่ศิลปินในยุคก่อนกลับสร้างผลงานที่แหวกแนวและน่าทึ่งมาก ความขัดแย้งระหว่างการฝึกฝีมือกับการสร้างสรรค์กลับกลายเป็นประเด็นถกเถียงในยุคหลัง การศึกษาประวัติศาสตร์ศิลปะและการฝึกฝนมักถูกมองว่าขัดกับความเป็นอัจฉริยะ
ศิลปินรุ่นใหม่ถูกคาดหวังให้สร้างสรรค์จากความว่างเปล่า โดยไม่พึ่งพาผลงานในอดีตหรือการฝึกฝน แต่เมื่อให้ความสำคัญกับสัญชาตญาณส่วนตัวมากเกินไป ศิลปินอาจติดอยู่ในวัยเยาว์ตลอดไป มีแต่ความหลงใหลแต่ขาดทักษะในการสร้างสรรค์งานจริง การเรียนรู้อย่างอดทนจากแบบอย่างมีความสำคัญอย่างยิ่ง สมองมีคอขวดที่ขีดจำกัด ความสามารถในการประมวลผลทำให้คิดถึงหรือจดจำได้เพียงไม่กี่สิ่งในเวลาเดียวกัน จะสามารถเอาชนะข้อจำกัดของความจำขณะทำงานได้ ด้วยการรวบรวมข้อมูลเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากแต่ละรูปแบบใช้พื้นที่เพียง 1 ช่อง
ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญจึงใช้ความจำขณะทำงานน้อยกว่ามือใหม่ แม้จะเผชิญกับโจทย์และวิธีแก้ปัญหาเดียวกัน เมื่อข้อมูลมีความหมายและคุ้นเคยกับงาน สมองจะพัฒนาวิธีจดจำที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเรียนรู้ภายใต้ข้อจำกัดของสมอง ทฤษฎีภาระทางปัญญาชี้ให้เห็นว่า การใช้พื้นที่ความจำขณะทำงานให้คุ้มค่าที่สุดนั้นสำคัญมากทั้งต่อครูและนักเรียน แนวคิดหลักของทฤษฎีนี้คือการแยกระหว่างภาระภายในกับภาระภายนอก ภาระภายในคือความพยายามทางความคิดที่จำเป็นต้องใช้ในการเรียนรู้ เช่น การทำความเข้าใจตัวอย่างที่แก้แล้ว ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนภาระภายนอกคือความพยายามทางความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการเรียนรู้ เช่น การวิเคราะห์วิธีการและเป้าหมายไปพร้อมกัน แม้จะช่วยแก้ปัญหาได้ แต่บางครั้งกลับไม่เป็นผลดีต่อการเรียนรู้ เพราะกินพื้นที่ความจำขณะทำงานทำให้เหลือที่น้อยลง สำหรับการสังเกตแบบแผนพื้นฐานในการแก้ปัญหา
ผู้ที่ค้านการเรียนรู้จากตัวอย่างมักอ้างว่า วิธีนี้ทำให้เข้าใจตื้นเขิน แนวคิดนี้เชื่อว่าการมีคนบอกวิธีแก้ปัญหาให้ ทำให้เรียนรู้ได้ไม่ลึกซึ้งเท่าการค้นพบเอง ไม่ว่าจะเรียนรู้วิธีใดถ้าเข้าใจหลักการได้ดีตั้งแต่ต้น ก็สามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ดี อย่างไรก็ตาม การใช้ตัวอย่างเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ ควรแบ่งตัวอย่างออกเป็นขั้นตอนย่อย ๆ และอธิบายเหตุผลเบื้องหลังในแต่ละขั้น การกระตุ้นให้อธิบายตัวอย่างด้วยตนเอง ก็ช่วยเพิ่มความเข้าใจได้มาก
ข้อจำกัดของสมองอาจเป็นสาเหตุของการเรียนรู้ที่ล้มเหลว เพราะบางวิชาหรือทักษะมีความซับซ้อนมากเกินไป และไม่ได้ถูกย่อยให้ง่ายพอ เมื่อผู้เริ่มต้นเจอสถานการณ์ที่สับสน พวกเขามักต้องพึ่งแนวทางการวิเคราะห์เป้าหมาย วิธีการ และพยายามหาทางแก้ปัญหา แม้การคิดแก้ปัญหาจะจำเป็น แต่มันก็ทำให้สมองเหนื่อยล้าจนไม่เหลือพื้นที่พอจะเรียนรู้ หรือสร้างแบบแผนใหม่ ๆ สำหรับอนาคต เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นสิ่งที่เคยซับซ้อนก็จะง่ายลง ภาระทางปัญญาจะลดลง เมื่อความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้น นี่คือผลกระทบกกลับด้านของความเชี่ยวชาญ หมายความว่าช่วงเริ่มต้นการแก้ปัญหาเองอ่านยาก และไม่มีประสิทธิภาพเท่าดูตัวอย่าง แต่คำแนะนำนี้จะกลับด้านเมื่อผู้เรียนเก่งขึ้น พอแบบแผนการแก้ปัญหาฝังแน่นในความทรงจำแล้ว
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีภาระทางปัญญา เพื่อช่วยให้เรียนรู้ทักษะและเนื้อหาใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย
- หาตัวอย่างที่มีคนแก้ไว้แล้ว เมื่อเจอเรื่องใหม่ที่ซับซ้อนให้หาแหล่งข้อมูลที่มีโจทย์พร้อมวิธีแก้แบบละเอียด ช่วงแรกสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ซึมซับรูปแบบการแก้ปัญหาได้เร็ว พอเก่งขึ้นก็ลองปิดคำตอบไว้เพื่อฝึกทำเอง
- จัดเรียงเนื้อหาให้ไม่กระจัดกระจาย เวลาเรียนเรื่องใหม่พยายามจับเนื้อหาให้เป็นระเบียบ ไม่ต้องคิดวน
- ฝึกพื้นฐานให้แน่น ก่อนเริ่มทำเรื่องซับซ้อนควรแยกย่อยว่า ทักษะพื้นฐานใดบ้างที่จำเป็นต้องใช้ แล้วฝึกทักษะเหล่านั้นให้คล่องแคล่วก่อน
- ค่อย ๆ เพิ่มความซับซ้อน ยิ่งมีประสบการณ์มากขึ้น สมองก็จะใช้ความจำขณะทำงานน้อยลง ดังนั้น ควรเริ่มต้นจากเรื่องง่าย ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มความยากขึ้น
- ฝึกฝีมือให้แกร่งก่อนปล่อยของ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ก็คือการกล้าทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นต้องเชี่ยวชาญในหลักการพื้นฐานก่อน ทักษะพื้นฐานกับความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่เกื้อหนุนกันเหมือนการปีนเขา ยิ่งมีพื้นฐานที่แข็งแรงก็ยิ่งปีนได้สูงขึ้น และสามารถมองเห็นเส้นทางใหม่ ๆ ที่คนไม่เคยไปถึง แม้วิธีการฝึกจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคแต่ก็ไม่ควรทิ้งหลักการดี ๆ ที่เคยใช้ได้ผล
การสร้างงานที่สวยงามไม่ได้ต้องการแค่ความคิดใหม่ ๆ แต่ยังต้องมีเทคนิคและวิธีการที่จะทำให้ไอเดียออกมาเป็นผลงานจริง ๆ การเรียนรู้วิธีการจากรุ่นพี่ในวงการ ไม่ได้มาขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลย
บทที่ 3 ความสำเร็จคือครูที่ดีที่สุด
สิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปคือการที่ผู้คนขาดทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาทักษะอื่น ๆ ลองนึกถึงเรื่องการอ่าน ถ้าอ่านไม่ออกก็จะเข้าไม่ถึงความรู้ส่วนใหญ่ของโลก แม้การอ่านจะมีความสำคัญเพียงนี้ แต่คนจำนวนไม่น้อยยังประสบปัญหาด้านการอ่าน ปัญหานี้ไม่ได้จำกัดแค่คนที่อ่านไม่คล่องเท่านั้น เมื่อผู้ใหญ่หลายคนยังมีปัญหาเรื่องการอ่านขั้นสูง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนส่วนใหญ่อ่านหนังสือน้อยลง แม้โซเชียลมีเดียและบทความออนไลน์อาจทดแทนการอ่านที่ลดลงได้บ้าง แต่การอ่านหนังสืออย่างลึกซึ้งยังคงมีคุณค่าที่โดดเด่นในตัวเอง
เมื่อการเรียนรู้การอ่านสำคัญถึงเพียงนี้ วิธีที่ได้ผลที่สุดคือการสอนแบบโฟนิกส์อย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ จดจำคำและสะกดคำเข้าใจคำศัพท์ได้ดีขึ้น โปรแกรมโฟนิกส์จะสอนความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรกับเสียงอย่างชัดเจน ต่างจากวิธีให้เด็กเดาความหมายของคำจากรูปร่างหรือบริบทของเรื่อง ซึ่งทำให้การเรียนรู้การอ่านยากขึ้น ข้อดีของโฟนิกส์คือช่วยให้เด็ก ๆ ออกเสียงคำที่ไม่คุ้นเคยได้ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบแต่เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มาก เพราะช่วยให้เด็ก ๆ เรียนรู้คำใหม่ ๆ จากการอ่านด้วยตนเอง แทนที่จะต้องจดจำคำจากการเห็นเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตาม การออกเสียงคำอาจไม่ใช่เหตุผลหลักที่ทำให้โฟนิกส์ได้ผลดี สิ่งสำคัญกว่าคือการช่วยให้เด็ก ๆ ใส่ใจกับการประกอบตัวอักษรเป็นคำอย่างเป็นระบบ ซึ่งช่วยให้การอ่านเป็นไปอย่างอัตโนมัติ และไม่ต้องใช้ความพยายามมาก การอ่านเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้ทุกแขนง ถ้าไม่ได้รับการวางรากฐานที่ดี ประสบการณ์อ่านในช่วงแรกอาจสร้างความอึดอัดใจ จนอาจทำให้ท้อแท้และเลิกอ่านไปในที่สุด
แรงจูงใจมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ นักเรียนบางคนมาเรียนด้วยความกระตือรือร้น ในขณะที่บางคนดูเหมือนไม่สนใจเลย แม้แรงจูงใจจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจยากราวกับมีม่านบาง ๆ คั่นไว้ ทำให้ไม่สามารถเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ ถ้าแรงจูงใจเป็นเรื่องของเหตุผลล้วน ๆ คงอธิบายไม่ได้ว่า ทำไมมักรู้สึกไม่อยากทำในสิ่งที่รู้ดีว่าควรทำ และทำไมนักเรียนบางคนถึงขยันเรียน ในขณะที่บางคนขี้เกียจ ทั้งที่เผชิญผลได้เสียเหมือนกัน
แรงจูงใจไม่ได้เกิดจากการคาดหวังผลและเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความเชื่อในความสามารถของตัวเองด้วย เรียกสิ่งนี้ว่าการรับรู้ความสามารถของตนเอง การรับรู้ความสามารถของตนเองแตกต่างจากอัตมโนทัศน์คือภาพรวมที่มองตัวเอง และความภาคภูมิใจในตนเองคือการประเมินคุณค่าของตัวเอง ทั้งสองอย่างนี้กว้างและครอบคลุมทุกด้านของตัวตน แต่การรับรู้ความสามารถของตนเองแตกต่างออกไป เพราะเป็นความเชื่อเฉพาะเจาะจงว่าจะทำงานหรือแก้ปัญหาหนึ่ง ๆ ได้สำเร็จหรือไม่
การรับรู้ความสามารถของตัวเองเป็นความเชื่อที่มีความเฉพาะเจาะจงตามทักษะหรือสถานการณ์ ไม่ใช่คุณลักษณะรวม ๆ ของบุคคล การรับรู้ความสามารถของตัวเองส่งผลโดยตรงต่อแรงจูงใจ เมื่อเชื่อว่าทำได้แรงจูงใจในการลงมือทำก็จะเพิ่มขึ้น ความสำเร็จในช่วงแรกมีความสำคัญมาก เพราะมันสร้างความเชื่อมั่นว่าทำได้ ถ้าประสบความสำเร็จบ่อย ๆ แม้บางครั้งจะล้มเหลวบ้างก็จะมีกำลังใจสู้ต่อ แต่ถ้าล้มเหลวตั้งแต่แรก ๆ และล้มเหลวซ้ำ ๆ อาจท้อแท้และพยายามหลีกเลี่ยงการทำสิ่งนั้นไปเลย
ดังนั้น ความสำเร็จจึงเป็นครูที่ดีที่สุด ไม่ใช่ความล้มเหลว การพบความล้มเหลวบ้างจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีประสบการณ์ความสำเร็จมาก่อน เพราะจะทำให้เชื่อว่าสุดท้ายแล้วจะทำสำเร็จได้ จากความสำเร็จในช่วงแรกสู่ความเชี่ยวชาญในท้ายที่สุด เมื่อฝึกฝนทักษะใดจนคล่องแคล่วจะทำสิ่งนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยแทบไม่ต้องครุ่นคิดเหมือนการอ่านหนังสือของคนที่อ่านคล่อง พวกเขาไม่จำเป็นต้องสะกดแต่ละตัวอักษร แต่สามารถจดจำและเข้าใจคำทั้งคำได้ทันที ทักษะทุกอย่างก็เช่นกัน ถ้าได้ฝึกฝนจนชำนาญจะทำสิ่งนั้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ นี่คือจุดที่ความมั่นใจและความเชี่ยวชาญหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
บทที่ 4 ความรู้จะเลือนหายไปตามประสบการณ์
ผู้เชี่ยวชาญไม่ได้ค้นหาไปทั่วพื้นที่ของปัญหาอย่างสุ่ม ความคิดดี ๆ จะผุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ส่งผลให้การคาดเดาครั้งแรกแม่นยำกว่าการสุ่มล้วน ๆ การก้าวสู่ความเป็นผู้เชี่ยวชาญมักเกี่ยวข้องกับการที่ความรู้ค่อย ๆ เลือนหายไปจากจิตสำนึก การตัดสินใจที่ถูกต้องจะผุดขึ้นมาเองโดยแทบไม่ต้องครุ่นคิด แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเองก็ไม่สามารถอธิบายได้เสมอว่า เหตุใดพวกเขาจึงได้ข้อสรุปเช่นนั้น ทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า ความเชี่ยวชาญทำงานคล้ายกับวิธีที่สมองเข้าใจภาษา เวลาได้ยินคำที่มีความหมาย ทฤษฎีนี้บอกว่าสมองของผู้เชี่ยวชาญทำงานคล้าย ๆ กันคือ เมื่อเจอสถานการณ์ สมองจะนึกถึงความเป็นไปได้หลาย ๆ แบบพร้อมกัน แล้วค่อย ๆ กลั่นกรองจนเหลือทางเลือกที่ดีที่สุด ด้วยวิธีนี้แม้เจอสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอ พวกเขาก็ยังหาทางออกที่ดีได้
ไม่ว่าจะเชื่อทฤษฎีไหนว่า ความเชี่ยวชาญเกิดจากความจำ หรือเกิดจากการที่สมองประมวลผลหลาย ๆ ความเป็นไปได้พร้อมกัน ทั้ง 2 ทฤษฎีก็พูดถึงความรู้แฝงในตัวผู้เชี่ยวชาญ ความรู้แฝงซึ่งเป็นความรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญมีแต่อธิบายไม่ได้ เพราะมันฝังอยู่ในความทรงจำและสัญชาตญาณ เรื่องนี้เหมือนตอนที่เด็กเล็กถามทำไมซ้ำไปซ้ำมา มักรู้สึกว่าอธิบายยาก เพราะบางเรื่องที่เห็นว่าชัดเจนกลับเป็นเรื่องซับซ้อนสำหรับเด็ก นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า คำสาปแห่งความรู้ คือเมื่อรู้อะไรดีแล้วมักคิดว่าคนอื่นก็น่าจะรู้
นี่คือเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกหลายคนสอนวิชาพื้นฐานไม่เก่ง และเป็นเหตุผลที่นักหนังสือวิชาการสำหรับคนทั่วไปมักมีปัญหา บางเล่มง่ายเกินจนไร้สาระ บางเล่มยากเกินจนอ่านไม่รู้เรื่อง เพราะผู้เขียนประเมินความรู้ของผู้อ่านผิด อีกปัญหาหนึ่งคือความรู้ที่รู้กันในวงการ แต่ไม่ได้เขียนไว้ในตำรา ความรู้แฝงความรู้ที่ผู้เชี่ยวชาญมองว่าเป็นพื้นฐาน และความรู้ที่ไม่ได้บันทึกไว้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้ทักษะขั้นสูง หลายคนจึงเชื่อว่าการเรียนรู้ทักษะขั้นสูงต้องอาศัยการฝึกงานกับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แม้ไม่มีโอกาสได้เรียนกับผู้ได้รับรางวัลโนเบล แต่การได้เห็นวิธีทำงานจริงได้เรียนรู้สิ่งที่ไม่มีในตำรา และได้ลงมือทำเองก็เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาตัวเองให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
วิธีดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ การวิเคราะห์กระบวนการคิดเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนอย่างจริงจัง การวิเคราะห์อย่างละเอียดอาจใช้เวลาเป็นร้อยชั่วโมงในการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ จัดระเบียบข้อมูลและตรวจสอบข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับวิธีคิดของผู้เชี่ยวชาญ แม้การใช้วิธีนี้อย่างเต็มรูปแบบอาจไม่เหมาะกับการพัฒนาตัวเองทั่วไป แต่สามารถใช้วิธีแบบไม่เป็นทางการ เพื่อรวบรวมข้อมูลคล้าย ๆ กันได้ แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ การเข้าใจแก่นสำคัญของวิธีนี้ จะช่วยให้หลีกเลี่ยงปัญหาที่มักเกิดขึ้นตอนพยายามเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
ข้อคิดที่ 1 ขอให้เล่าเรื่อง อย่าขอคำแนะนำ การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเข้าใจสิ่งที่พวกเขารู้ แต่ก็มีหลายจุดที่ต้องระวัง หนึ่งในนั้นคือการคิดว่าผู้เชี่ยวชาญจะเป็นครูที่ดี และให้คำแนะนำที่ต้องการได้ง่าย ๆ ถ้าขอคำแนะนำผู้เชี่ยวชาญตรง ๆ อาจได้ฟังการเทศนา ทั้งที่จริง ๆ แล้วอยากฟังความรู้ที่พวกเขาคิดว่าชัดเจนเกินกว่าจะต้องพูดถึง ทางออกที่ดีคือการขอให้พวกเขาเล่าเรื่องราวจากประสบการณ์ วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจน การเล่าเรื่องจะเผยให้เห็นรายละเอียดที่อาจถูกมองข้ามไปในการให้คำแนะนำทั่วไป
วิธีนี้ยังมีประโยชน์เมื่อต้องการเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยจนไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง การรับฟังเรื่องราวอาจเป็นวิธีเดียวที่จะรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้น แนวทางที่มีประสิทธิภาพคือการทำตัวเสมือนนักข่าวที่กำลังเตรียมเขียนข่าว มุ่งเน้นการรวบรวมข้อเท็จจริง สร้างลำดับเหตุการณ์ และไล่เรียงการตัดสินใจทีละขั้น นี่จะเป็นวัตถุดิบให้ถามคำถามต่อเนื่องเพื่อสืบค้นว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญถึงเลือกทำแบบนั้น
ข้อคิดที่ 2 พูดคุยผ่านปัญหายาก ๆ อีกกลยุทธ์หนึ่งในการวิเคราะห์กระบวนการคิดคือ การสังเกตผู้เชี่ยวชาญขณะแก้ปัญหา วิธี PARI (สาเหตุ การกระทำ ผลลัพธ์ การตีความ) เน้นให้ผู้เชี่ยวชาญสร้างโจทย์ปัญหาที่พบเจอในการทำงาน แล้วแลกเปลี่ยนโจทย์กับผู้เชี่ยวชาญคนอื่น โดยให้พูดความคิดออกมาดัง ๆ ขณะแก้ปัญหา วิธีนี้ช่วยให้เห็นกระบวนการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นจนจบ และหลังจากแก้ปัญหาเสร็จผู้เชี่ยวชาญสามารถทบทวนสิ่งที่ทำไปเพื่อให้เห็นรายละเอียดเพิ่มเติม การได้เห็นผู้เชี่ยวชาญลงมือทำจริง พร้อมกับการได้ซักถามถึงเหตุผลในการตัดสินใจ มักเผยให้เห็นกระบวนการคิดที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ข้อคิดที่ 3 ดูว่าพวกเขาหาคำตอบจากที่ไหน การทำแผนที่เครือข่ายความรู้เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์กระบวนการคิด วิธีนี้เริ่มจากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญว่าพวกเขาปรึกษาใครบ้างในแต่ละเรื่อง เนื่องจากความรู้ที่จำเป็นในการแก้ปัญหายาก ๆ มักกระจายอยู่ในหลายแหล่ง จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญคนเดียวที่รู้คำตอบทั้งหมด การทำแผนที่เครือข่ายความรู้จึงมักเป็นก้าวแรกในการทำความเข้าใจปัญหาด้วยตัวเอง
ส่วนที่ 2 การลงมือทำเรียนรู้จากการฝึกฝน
บทที่ 5 ความท้าทายที่เหมาะสม
เมื่อคนเรามีประสบการณ์มากขึ้น ปัญหาที่เคยยากก็มักจะกลายเป็นเรื่องง่าย ในขณะที่มือใหม่ต้องคลำทางไปทีละก้าวในพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ผู้เชี่ยวชาญสามารถจดจำรูปแบบและเข้าถึงคำตอบได้ทันที แต่เมื่อมาดูกรณีของนักเขียนมืออาชีพเรื่องกลับซับซ้อนขึ้น การเขียนต่างจากการแก้ปัญหาแบบอื่นที่มีคำตอบเดียว เช่น การแก้รูบิคหรือโจทย์คณิตศาสตร์ ที่ไม่ว่าจะเริ่มต้นยังไงสุดท้ายทุกคนก็จะได้คำตอบเหมือนกัน แต่การเขียนไม่ใช่แบบนั้น นักเขียน 2 คนที่ได้โจทย์เดียวกัน อาจมองปัญหาและสร้างงานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การเขียนก็เหมือนทักษะอื่น ๆ ที่ต้องอาศัยการฝึกฝน ในชีวิตจริงพวกเขาไม่ได้แค่แก้โจทย์ในหนังสือ การเผชิญกับความท้าทายที่ยากขึ้นเป็นสิ่งจำเป็นถ้าอยากก้าวสู่ความเป็นปรมาจารย์ แม้บางครั้งอาจทำให้ผลงานดูแย่ลงก็ตาม ความยากที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ดีเสมอไป โจทก์บางอย่างอาจยากเกินแก้ถ้ามันไกลเกินความสามารถที่มีตอนนั้น แม้ว่าจะหาคำตอบได้ แต่การที่ต้องคิดหนักเกินไปอาจทำให้ไม่เหลือพลังสมองไปสังเกตรูปแบบที่จะนำไปใช้ซ้ำได้
ความยากบางอย่างกลับช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น การพยายามนึกข้อมูลจากความจำดีกว่าการท่องจำซ้ำ ๆ การที่สามารถดึงข้อมูลจากความทรงจำได้สำเร็จ จะช่วยให้จำได้แม่นยำกว่าการอ่านทบทวนไปมา นี่คือเหตุผลที่บัตรคำเป็นเครื่องมือเตรียมสอบที่ได้ผลดี ความยากที่มีประโยชน์อีกแบบคือ การฝึกแบบทิ้งช่วง การฝึกอะไรซ้ำ ๆ ติดต่อกัน อาจช่วยให้ทำได้ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ลืมเร็วเช่นกัน วิธีที่ได้ผลดีกว่าคือการกระจายเวลาทบทวนออกไปเป็นช่วง ๆ ฝึกฝนวันละนิดทำสม่ำเสมอ
สมองชอบประหยัดพลังงาน เหมือนเครื่องจักรที่พยายามทำงานให้ง่ายที่สุด นี่เป็นวิธีที่สมองปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตในโลกจริง เพราะในชีวิตประจำวันไม่จำเป็นต้องจำทุกอย่าง แต่ควรจำเฉพาะสิ่งที่ต้องใช้บ่อย ๆ หรือหาดูยาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่การเรียนรู้บางอย่างต้องยากหน่อย เพราะถ้าง่ายเกินไปสมองจะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องจำ เวลาจะเรียนรู้อะไรสักอย่างมักมี 2 ทางเลือกคือ ดูคนอื่นทำเป็นตัวอย่างหรือลงมือทำเอง แต่ละวิธีก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป วิธีที่ดีที่สุดคือต้องหาจุดพอดีด้วยการสร้างวงจรการฝึกที่ผสม 3 อย่างเข้าด้วยกัน ดูตัวอย่าง ลงมือทำ และรับฟังข้อเสนอแนะ การทำซ้ำวงจรนี้จะช่วยให้ได้ครบทุกด้านที่จำเป็นต่อการเรียนรู้
การเรียนรู้จากตัวอย่าง การศึกษาวิธีที่คนอื่นแก้ปัญหาคล้าย ๆ กัน จะช่วยให้มีตัวเลือกหลากหลาย การดูตัวอย่างจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างทักษะใหม่ หลังจากนั้นสิ่งสำคัญคือต้องลงมือทำจริง แค่ดูอย่างเดียวไม่พอ แม้จะช่วยได้แต่ก็ไม่สามารถแทนที่การลงมือปฏิบัติ ต้องเอาชนะนิสัยของสมอง ที่ชอบประหยัดพลังงาน ไม่อยากจดจำสิ่งที่ไม่ได้ใช้งานจริง การลงมือทำจะช่วยให้มีสมาธิจดจ่อ สุดท้ายต้องได้รับคำติชมตรง ๆ เกี่ยวกับคุณภาพของงาน
เมื่อเก่งขึ้นสามารถปรับวงจรการฝึกให้ยากขึ้นได้ อย่างแรกค่อย ๆ ลดการดูตัวอย่างลง เพราะตอนนี้มีความรู้และประสบการณ์พอที่จะแก้ปัญหาได้แล้ว อย่างที่ 2 เลือกโจทย์ที่ท้าทายและซับซ้อนขึ้น เพราะตอนนี้จัดการกับงานใหญ่ ๆ ได้แล้ว อย่างที่ 3 พึ่งการตัดสินใจของตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องรอให้คนอื่นมาบอกว่าดีหรือไม่ดี เพราะได้พัฒนาสัญชาตญาณที่ดีพอจะรู้ว่างานแบบไหนมีคุณภาพ
วงจรการฝึกแบบนี้ช่วยให้ค่อย ๆ ปรับความยากให้เหมาะกับตัวเอง ไม่ง่ายเกินจนไม่ท้าทาย และไม่ยากเกินจนท้อใจ วิธีปรับระดับความยากให้พอดีนั้น แนวคิดที่ว่าต้องการความยากในระดับที่เหมาะสม เพื่อพัฒนาทักษะเป็นหัวใจของทฤษฎีการเรียนรู้หลายทฤษฎี แม้ทุกคนจะเห็นพร้อมกันว่าต้องมีความท้าทายในระดับที่เหมาะสม แต่การปรับความยากให้พอดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มีกลยุทธ์บางอย่างที่จะช่วยได้ คือ
กลยุทธ์ที่ 1 เข้าเวิร์กช็อป การเวิร์กช็อปเป็นโอกาสดีในการฝึกฝนแบบครบวงจร บรรยากาศในเวิร์กช็อปยังช่วยให้กล้าพัฒนาตัวเองมากขึ้น
กลยุทธ์ที่ 2 ลอก เติม สร้าง การลอกจากตัวอย่างเป็นวิธีเรียนรู้ที่มักถูกมองข้าม แต่คนที่วิจารณ์การลอกแบบไม่คิดก็มีเหตุผล เพราะอาจก็อปปี้วิธีแก้ปัญหามาโดยไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงได้ผล วิธีแก้คือใช้โจทย์แบบเติมคำ แทนที่จะให้ดูตัวอย่างที่ทำเสร็จแล้วทั้งหมด ให้ลองเติมส่วนที่หายไป แน่นอนว่าเป้าหมายสุดท้ายไม่ใช่แค่ลอกหรือเติม แต่คือการสร้างคำตอบเอง โดยใช้ความรู้ที่เก็บไว้ในหัว นี่คือเหตุผลที่โจทก์แบบเติมคำควรค่อย ๆ ยากขึ้น เริ่มจากแค่ดูตัวอย่าง แล้วค่อยเติมคำในช่องว่าง และสุดท้ายคือสร้างคำตอบเองในสถานการณ์ต่าง ๆ
กลยุทธ์ที่ 3 วางโครงสร้างสนับสนุน ลองนึกถึงการสร้างตึก ช่างก่อสร้างต้องใช้นั่งร้านซึ่งเป็นโครงเหล็กชั่วคราวที่คอยช่วยพยุงตอนก่อสร้าง พอสร้างเสร็จก็รื้อออก การเรียนรู้ก็เช่นกัน ต้องมีโครงสร้างสนับสนุนที่ช่วยให้การเรียนรู้ง่ายขึ้น โครงสร้างสนับสนุนทำได้ 2 แบบ แบบแรกคือทำให้งานง่ายลง แบบที่ 2 คือเพิ่มตัวช่วย
บทที่ 6 สมองไม่ใช่กล้ามเนื้อ
การที่ฝึกสมองไม่ได้ผลอาจไม่ใช่เรื่องแปลกเห็นแบบนี้มามากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาหารเสริม วิตามิน หรือผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่อ้างว่าจะช่วยให้ร่างกายหรือจิตใจดีขึ้น พอเอาไปทดลองจริง ๆ ก็มักพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้ผล การฝึกสมองมีอะไรที่น่าสนใจกว่านั้น เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องที่สินค้าตัวหนึ่งไม่ได้ผล คนเชื่อว่าการฝึกสมองได้ผล เพราะมีการเปรียบเทียบที่น่าสนใจว่า สมองก็เหมือนกล้ามเนื้อ เหมือนที่การยกเวทจะทำให้แขนแข็งแรงขึ้น จนยกของหนักหรือรากกระเป๋าได้ดีขึ้น การออกกำลังสมองก็น่าจะทำให้คิดเรื่องอื่น ๆ ได้ดีขึ้นด้วย ไม่ว่าจะฝึกสมองเล่นหมากรุกหรือเขียนโปรแกรม ผลที่ได้ก็เหมือนกันคือจะเก่งขึ้นเฉพาะเรื่องที่ฝึกเท่านั้น แต่ไม่ได้ช่วยให้เก่งขึ้นในเรื่องอื่น ๆ อย่างที่หลายคนคาดหวัง แม้ความรู้จะสามารถเป็นนามธรรม และนำไปประยุกต์ใช้ได้กว้างขวาง แต่การที่จะใช้มันได้ดีนั้นต้องผ่านการฝึกฝน และเห็นตัวอย่างมากพอสมควร แม้แต่จะใช้ความรู้ในระดับพื้นฐานก็ยังต้องอาศัยประสบการณ์จริง
โลกยุคปัจจุบันแตกต่างจากสมัยบรรพบุรุษอย่างมาก ทั้งวิธีการแสวงหาความรู้ และการฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจที่บางครั้งฝันชาตญาณการเรียนรู้แบบเดิม ๆ จะใช้ไม่ได้ผลในยุคนี้ แม้จะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ความสามารถที่ดูยิ่งใหญ่ที่เห็นในคนอื่นนั้น แท้จริงแล้วประกอบขึ้นจากส่วนประกอบย่อย ๆ หลายส่วน เปรียบเหมือนการพูดภาษาให้คล่องต้องสั่งสมคำศัพท์และวลีมากมาย การคิดเก่ง ๆ ก็มาจากการสะสมความรู้ วิธีการ และประสบการณ์มากมายเช่นกัน ข้อสรุปมีแนวทางปฏิบัติ 3 ข้อ ดังนี้
ข้อสรุปที่ 1 มุ่งเน้นที่งานที่ตั้งใจจะพัฒนา ความสามารถที่ดูยิ่งใหญ่ แท้จริงแล้วสร้างจากทักษะย่อย ๆ มากมาย แม้ว่าการฝึกทักษะหนึ่งจะช่วยทักษะที่เกี่ยวข้องได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วย 100% ควรจับตาดูงานที่ต้องการจะทำให้ได้ และทำให้แน่ใจว่ามันได้รับโอกาสในการฝึกฝนอย่างเพียงพอ
ข้อสรุปที่ 2 ใช้ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมเพื่อเรียนรู้ทักษะที่เป็นนามธรรม การสอนทักษะในรูปแบบที่เป็นทั่วไปที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้แน่ใจว่าจะนำไปประยุกต์ใช้ได้กว้างที่สุด แต่ในอีกด้านหนึ่ง ทักษะที่เป็นนามธรรมอาจไม่ถูกนำมาใช้เลย ถ้าไม่เห็นว่ามันประยุกต์ใช้ได้อย่างไรในสถานการณ์ใหม่ การยกตัวอย่างหลากหลาย เพื่อให้เห็นภาพรวมและเข้าใจแนวคิดได้กว้างขวางขึ้น จะต้องเห็นตัวอย่างหลาย ๆ แบบ เพื่อเข้าใจขอบเขตทั้งหมดของวิธีการหรือแนวคิด เช่นเดียวกัน ทักษะที่เป็นนามธรรมอาจต้องการการฝึกอบรมเพิ่มเติมก่อนที่จะนำไปใช้ได้จริง ความยากในการประยุกต์ใช้อาจถูกชดเชยด้วยการเรียนรู้ที่เร็วขึ้น หรือมีคนชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างทักษะในอดีตกับความรู้ใหม่
ข้อสรุปที่ 3 เรียนรู้เพื่อคุณค่าในตัวมันเอง ทักษะบางอย่างที่เรียนรู้ไม่จำเป็นต้องมีประโยชน์ในแง่การพัฒนาสมองเสมอไป บางครั้ง การทำสิ่งที่ชื่นชอบเพียงเพราะมันมีคุณค่าในตัวเองก็เพียงพอแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลอื่นมาสนับสนุน ควรเลือกทำในสิ่งที่สนใจและสนุกไปกับมัน
เปรียบเทียบสมองกับกล้ามเนื้อ การเปรียบเทียบสมองกับสิ่งต่าง ๆ มีมาแต่โบราณ ปัจจุบันการเปรียบเทียบสมองกับคอมพิวเตอร์ได้รับความนิยมมาก ทั้งในแง่การประมวลผลตามลำดับ และในแง่ของเครือข่ายเซลล์ประสาทที่เชื่อมโยงกัน อย่างไรก็ตามการเปรียบเทียบทุกแบบมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ช่วยให้เข้าใจบางแง่มุม แต่ก็อาจทำให้เข้าใจผิดในแง่มุมอื่น การเปรียบสมองกับกล้ามเนื้อก็เช่นกัน แม้จะถูกต้องที่ว่าทักษะจะพัฒนาขึ้นเมื่อฝึกฝน แต่มันทำให้เข้าใจผิดว่าการเก่งในเรื่องหนึ่ง จะส่งผลให้เก่งในเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้อง
บางทีการเปรียบเทียบที่เหมาะสมกว่าคือ มองสมองเป็นเหมือนชุดเครื่องมือที่สร้างขึ้นจากความรู้ แต่ละชิ้นอาจใช้เฉพาะงาน แต่เมื่อนำมาใช้ร่วมกันก็ช่วยให้จัดการงานที่ซับซ้อนได้ การที่เลิกเชื่อว่าสมองทำงานเหมือนกล้ามเนื้อไม่ได้ทำให้คุณค่าของการเรียนรู้ลดลง ตรงกันข้ามมันช่วยให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่า การเรียนรู้ต้องอาศัยความพยายามและการฝึกฝนแบบไหน เช่น ถ้าอยากเก่งการแก้ปัญหาก็ต้องฝึกแก้ปัญหาหลาย ๆ แบบ การคิดวิเคราะห์จะแหลมคมขึ้นเมื่อมีฐานความรู้ที่กว้างขวางพอที่จะตั้งคำถามกับสิ่งที่น่าสงสัย ถ้าอยากทำอะไรให้แม่นยำก็ต้องใส่ใจในรายละเอียดของทุกงานที่ทำ
บทที่ 7 ความหลากหลายสำคัญกว่าการทำซ้ำ
วิธีฝึกที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือการทำให้การฝึกซ้อมคาดเดาได้ยาก การฝึกหลายทักษะพร้อมกันแบบนี้ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น การฝึกที่มีการสลับไปมาแม้จะทำให้ผลงานแย่ลงในช่วงแรก เพราะต้องปรับตัวบ่อย แต่กลับช่วยให้เรียนรู้ทักษะใหม่ได้เร็วขึ้น การฝึกแบบสลับจะมีประโยชน์มากเมื่อต้องเลือกทำสิ่งที่ต่างกัน มากกว่าการทำสิ่งเดิมแต่เปลี่ยนความเข้ม แสดงว่าการฝึกแบบหลากหลายช่วยพัฒนาทักษะการตัดสินใจ แม้การฝึกแบบหลากหลายจะมีประโยชน์แต่ยังไม่ค่อยมีใครนำไปใช้มากนัก การฝึกแบบหลากหลายอาจดูยากในตอนแรก แต่จริง ๆ แล้วมันช่วยให้พัฒนาได้ดีขึ้นในระยะยาว
แม้การฝึกหลายรูปแบบ การเห็นตัวอย่างที่แตกต่าง หรือการมองหลายมุมจะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัด การฝึกทักษะที่ไม่เกี่ยวข้องกันมักไม่ช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ชัดเจน ประโยชน์ที่แท้จริงมักเกิดจากการฝึกรูปแบบต่าง ๆ ในทักษะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบโจทย์ที่แตกต่าง จะเข้าใจแก่นปัญหาดีขึ้น มีข้อจำกัดที่ว่าแนวคิดนั้นจะเป็นนามธรรมได้มากแค่ไหน คุณค่าของความหลากหลายยังขึ้นอยู่กับว่าทักษะที่ต้องการนั้น จำเป็นต้องใช้ความหลากหลายมากน้อยแค่ไหนด้วย การฝึกแบบหลากหลายจะทำให้สมองต้องทำงานหนักขึ้น
ดังนั้น ถ้างานนั้นยากอยู่แล้ว การเพิ่มความหลากหลายเข้าไปจะยิ่งทำให้เรียนรู้ได้ยากขึ้น จึงควรค่อย ๆ เพิ่มความหลากหลายในการฝึก แทนที่จะเริ่มด้วยความหลากหลายสูงสุดทันที นี่คือเหตุผลที่ใช้คำว่าความหลากหลายสำคัญกว่าการทำซ้ำ แทนที่จะใช้ความหลากหลายแทนที่การทำซ้ำ แม้ความหลากหลายจะจำเป็นสำหรับการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ แต่ต้องพัฒนาขึ้นจากการฝึกทักษะพื้นฐานซ้ำ ๆ จนชำนาญก่อน ไม่ใช่ละทิ้งการฝึกซ้ำไปเสียทีเดียว
กลยุทธ์การเพิ่มความหลากหลายในการฝึก การฝึกแบบหลากหลายเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้ผลดีที่สุด มันช่วยให้นำทักษะไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ ๆ ได้ดี แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ค่อยมีใครนำไปใช้ ต่อไปนี้คือ 4 วิธีที่สามารถนำไปใช้เพิ่มความหลากหลายในการฝึกของตัวเอง
วิธีที่ 1 สลับการเรียน วิธีง่าย ๆ ในการเพิ่มความหลากหลายคือ การสุ่มสิ่งที่จะฝึกในแต่ละครั้ง เช่น ถ้าใช้บัตรคำ แทนที่จะทดสอบตัวเองตามลำดับหัวข้อ ลองสุ่มคำถามดู วิธีฝึกด้วยการสุ่มนั้นทำได้ง่าย ๆ เริ่มจากเขียนรายการทักษะหรือโจทย์ที่ต้องการฝึก แล้วนำไพ่ 1 สำรับมาใช้ โดยกำหนดให้ไพ่แต่ละใบแทนโจทย์หรือทักษะที่ต้องฝึก 1 อย่าง เมื่อกำหนดไพ่เสร็จแล้วก็สับไพ่ และจั่วทีละใบแล้วฝึกตามที่ไพ่กำหนด
วิธีที่ 2 ฝึกกับคนหลากหลาย การสุ่มตารางฝึกอาจเป็นวิธีที่มีโครงสร้างชัดเจน แต่วิธีที่เป็นธรรมชาติกว่าคือเพิ่มจำนวนคนที่เรียนรู้หรือฝึกฝนด้วย ในด้านวิชาชีพควรมองหาโอกาสที่จะได้เจองานหลากหลายในสายอาชีพนั้น ๆ ในทำนองเดียวกัน เส้นทางสู่ความเป็นเลิศในหลายวิชาชีพ มักเริ่มต้นจากการทำงานในสภาพแวดล้อม ที่มีความกดดันและมีความหลากหลายสูง
วิธีที่ 3 เรียนรู้ทฤษฎี นอกจากการฝึกปฏิบัติแล้ว ทฤษฎีก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ความรู้ทางทฤษฎีช่วยสร้างมุมมองที่หลากหลายในการแก้ปัญหา ซึ่งบางครั้งไม่อาจเรียนรู้ได้จากการลงมือทำเพียงอย่างเดียว ทฤษฎีที่ดีนั้นหายาก แต่มักพบได้จากการอ่านหนังสือมากกว่าการลองผิดลองถูก การทำความเข้าใจทฤษฎีอย่างลึกซึ้งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะช่วยให้เรียนรู้สิ่งอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้นในระยะยาว
วิธีที่ 4 ทำให้ถูกต้องก่อน แล้วค่อยเพิ่มความหลากหลาย ความหลากหลายควรถูกมองว่าเป็นการต่อยอดจากการทำซ้ำ ไม่ใช่การต่อต้านการทำซ้ำ แม้จะยังไม่มีแนวทางชัดเจนว่าควรเพิ่มความหลากหลายเมื่อไหร่ แต่มีหลักการง่าย ๆ คือ ถ้ายังทำทักษะนั้นไม่ได้แม้แต่ในสภาพควบคุม การเพิ่มความหลากหลายอาจไม่เป็นประโยชน์ ถ้าทำทักษะนั้นได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่แล้ว แม้ความหลากหลายอาจทำให้การเรียนรู้ช้าลง แต่ก็จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาการควบคุมทักษะนั้น ๆ การฝึกฝนที่หลากหลายมีส่วนสำคัญในการพัฒนาทักษะให้ยืดหยุ่น แต่การคิดค้นสิ่งใหม่ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่แบ่งออกจากแบบแผนเดิม ๆ อย่างสิ้นเชิง เป็นก้าวที่ไกลออกไปอีก
บทที่ 8 คุณภาพเกิดจากปริมาณ
ถ้าพูดถึงการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ ในประวัติศาสตร์มนุษย์มีคนไม่กี่คนที่จะเทียบชั้น โทมัส เอดิสัน ได้ เขาสร้างผลงานมากมายที่เปลี่ยนโลก ดูเหมือนไม่มีอะไรที่คนนี้จะทำไม่ได้ และที่สำคัญคือเขาทำให้สิ่งประดิษฐ์เหล่านี้มีราคาที่ใคร ๆ ก็ซื้อได้ คนส่วนใหญ่รู้จักเอดิสันจากหลอดไฟฟ้า แม้ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นคนคิดค้นคนแรก มีคนคิดค้นหลอดไส้รุ่นแรก ๆ มาก่อนด้วย แต่ปัญหาคือพวกมันใช้งานจริงไม่ได้ เพราะไส้หลอดขาดง่ายและกินไฟมากเกินไป เมื่อเอดิสันจากไปในปี 1931 มีคนเสนอให้ดับไฟทั่วโลก 2 นาทีเพื่อไว้อาลัย แต่แผนนี้ต้องยกเลิกไปเพราะการดับไฟพร้อมกันทั่วโลก จะทำให้เกิดความวุ่นวายใหญ่โต นี่แสดงให้เห็นว่าผลงานของเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้คนไปแล้ว จนแม้แต่จะหยุดใช้งานแค่ครู่เดียวก็ทำไม่ได้
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์บอกว่า คนที่สร้างผลงานจำนวนมากมักมีอิทธิพลมากที่สุด ตามกฎของไพรซ์พบว่า ในแต่ละสาขาครึ่งหนึ่งของผลงานทั้งหมด มาจากนักวิจัยเพียงจำนวนน้อย เช่น ในสาขาที่มีนักวิจัย 100 คนจะมีแค่ 10 คนที่สร้างผลงานรวมกันได้ครึ่งหนึ่งของผลงานทั้งหมด การจะเข้าใจรูปแบบของการสร้างผลงาน และความสำเร็จในการสร้างสรรค์ ควรพิจารณา 3 ปัจจัยหลัก คือ
ปัจจัยที่ 1 ความคิดสร้างสรรค์เกิดจากความรู้ความเชี่ยวชาญ ความสำเร็จในการสร้างสรรค์ใช้กลไกการคิดแบบเดียวกับการแก้ปัญหาทั่วไป สิ่งที่ทำให้การประดิษฐ์ที่เปลี่ยนโลกต่างจากการแก้ปัญหาธรรมดาไม่ใช่วิธีคิด แต่เป็นระดับความยากและผลกระทบที่มีต่อสังคม ถ้ามองว่าการประดิษฐ์คือการค้นหาวิธีแก้ปัญหา อาจคาดว่าการสร้างนวัตกรรมต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามความซับซ้อนของงาน อย่างไรก็ตาม การมองว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นแค่ผลของความรู้และความเชี่ยวชาญ ยังไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์
ปัจจัยที่ 2 ความคิดสร้างสรรค์อาจเกิดจากสภาพแวดล้อม สภาพแวดล้อมทางสังคมเปรียบเหมือนดินที่ให้ความคิดใหม่ ๆ งอกงาม มันไม่เพียงกำหนดว่านักคิดค้นจะหาไอเดียจากไหน แต่ยังกำหนดด้วยว่าความคิดไหนจะได้รับการยอมรับ แม้แต่ความคิดที่ยอดเยี่ยม ถ้าเกิดในเวลาที่สังคมยังไม่พร้อมก็อาจเลือนหายไปโดยไม่มีใครจดจำ บางครั้งแนวคิดที่เคยถูกปฏิเสธ อาจกลับมาได้รับการยอมรับในภายหลังเมื่อสังคมพร้อม เช่น ในวงการจิตวิทยาการพูดถึงจิตใจเคยเป็นเรื่องต้องห้ามในยุคพฤติกรรมนิยม แต่กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งในยุคจิตวิทยาเชิงความคิด
ปัจจัยที่ 3 ความคิดสร้างสรรค์กับความบังเอิญ ถ้าเชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์เกิดจากความเชี่ยวชาญ และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม นั่นหมายความว่าควบคุมกระบวนการสร้างสรรค์ได้ แต่มีมุมมองที่น่าสนใจอีกแบบที่ทำให้ต้องถ่อมตัวลง นั่นคือบางครั้งโอกาสและความบังเอิญก็มีบทบาทมากกว่าที่คิด ประวัติศาสตร์การประดิษฐ์มีหลักฐานมากมาย ที่สนับสนุนบทบาทของความบังเอิญ หลายสิ่งที่เปลี่ยนโลกเกิดจากการค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น เพนิซิลลินถูกค้นพบเมื่อเฟรมมิ่งสังเกตเห็นราที่ฆ่าแบคทีเรียได้ กาวซูเปอร์กลูเกิดจากความพลาดของ แฮร์รี คูเวอร์ ที่กำลังพยายามทำเลนส์พลาสติกให้กองทัพ แม้แต่ในปัจจุบันที่วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปมาก การค้นพบใหม่ ๆ ก็ยังต้องพึ่งพาความบังเอิญอยู่มาก โดยเฉพาะในการพัฒนายา ที่มักพบฤทธิ์ทางการรักษาโดยบังเอิญมากกว่าการทำนายจากทฤษฎี เช่น ยาซิลเดนาฟิลที่ขายในชื่อ Viagra ที่เริ่มต้นพัฒนาเพื่อรักษาความดันโลหิตสูง แต่กลับค้นพบสรรพคุณในการรักษาปัญหาสมรรถภาพทางเพศ ทั้งหมดนี้เกิดจากความบังเอิญ ไม่ใช่การออกแบบหรือตั้งใจค้นหา
การสร้างผลงานดี ๆ ไม่ได้อยู่ที่การมีไอเดียเจ๋ง ๆ อย่างเดียว แต่อยู่ที่วิธีการทำงานด้วย ถ้าอยากสร้างผลงานให้มากขึ้นโดยไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป ลองมาดู 4 วิธีที่จะช่วยได้ คือ
วิธีที่ 1 ทำงานแบบสายพานการผลิต เมื่อพูดถึงสายพานการผลิต หลายคนอาจคิดว่ามันขัดกับหลักการของความคิดสร้างสรรค์โดยสิ้นเชิง เพราะการผลิตซ้ำ ๆ เหมือนกันทุกครั้งดูจะตรงข้ามกับการสร้างสรรค์ แต่จริง ๆ แล้วการจัดระบบที่ดีกลับช่วยให้สร้างสรรค์ได้ดีขึ้น การจัดระบบงานแบบนี้ช่วยให้มีเวลาจดจ่อกับงานที่ต้องใช้ความคิดมากขึ้น นอกจากนี้การทำงานอย่างเป็นระบบ ยังช่วยลดความกังวลหรือความอยากทำให้สมบูรณ์แบบ ที่อาจทำให้ไม่กล้าปล่อยผลงาน เมื่อทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ จะมีเวลาน้อยลงในการคิดวนไปวนมา และผลงานก็จะออกมาอย่างต่อเนื่อง
วิธีที่ 2 ปล่อยให้ความคิดสุกงอม ความคิดก็เหมือนผลไม้ที่ต้องรอให้สุก บางไอเดียพร้อมใช้เลย แต่บางไอเดียยังต้องการเวลา การฝืนใช้ไอเดียที่ยังไม่สุกงอมอาจทำให้เสียเวลามากขึ้น เพราะต้องลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ คนที่ประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์ มักรู้จังหวะว่าเมื่อไหร่ควรพัก และรอให้ความคิดสุกงอมก่อนลงมือทำ
วิธีที่ 3 จัดการความเสี่ยงให้เป็น หลายคนไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ เพราะกลัวล้มเหลวคนที่สร้างสรรค์เก่ง ๆ ก็เคยล้มเหลวมาเยอะ แต่ที่เขากล้าลองเพราะเขามีแผนสำรอง
วิธีที่ 4 แยกให้ออกว่าอะไรสำคัญจริง ๆ บ่อยครั้งที่เวลาหมดไปกับงานที่ไม่ใช่งานสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการประชุม ตอบอีเมล ทำเอกสาร หรืองานจุกจิกต่าง ๆ การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ต้องการเวลาและความคล่องตัว ซึ่งมักหายไปเมื่อมีภาระผูกพันมากขึ้น
ส่วนที่ 3 การรับฟีดแบ็ก เรียนรู้จากประสบการณ์
บทที่ 9 ประสบการณ์ไม่ใช่ตัวชี้วัดความเชี่ยวชาญเสมอไป
ยุคแรก ๆ ของโปกเกอร์ ความเชี่ยวชาญมักเกี่ยวข้องกับการโกง แต่เมื่อเวลาผ่านไป โปกเกอร์ได้รับการยอมรับว่าเป็นเกมที่ต้องใช้ทักษะ ไม่ใช่แค่เล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง การเล่นโปกเกอร์ผ่านคอมพิวเตอร์แตกต่างจากในคาสิโนโดยสิ้นเชิง สิ่งที่หายไปคือการอ่านภาษากายของคู่แข่ง เพราะสิ่งที่เห็นมีเพียงชื่อในเกม เหมือนที่นักวิทยาศาสตร์พบว่า สมองจะทำงานน้อยลงเมื่อชำนาญในทักษะใดทักษะหนึ่ง
การเล่นโปกเกอร์ออนไลน์จึงเน้นไปที่การวิเคราะห์ไพ่ และรูปแบบการเล่นมากกว่าการสังเกตท่าทางคู่แข่ง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ โปกเกอร์ออนไลน์ทำให้ผู้เล่นสั่งสมประสบการณ์ได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก เพราะสามารถเล่นออนไลน์ได้หลายโต๊ะพร้อมกัน บางคนเล่นถึง 12 เกมในเวลาเดียวกัน นอกจากประสบการณ์แล้ว สิ่งที่สำคัญมากอีกอย่างคือการได้รับฟีดแบ็กจากการเล่นออนไลน์ นักโปกเกอร์รุ่นเก่าต้องอาศัยความทรงจำในการจดจำการเล่นสำคัญ ๆ แต่การเล่นออนไลน์สามารถบันทึกข้อมูลการเล่นของตัวเอง และคู่แข่งไว้ในคอมพิวเตอร์ได้ทั้งหมด
เพื่อให้สามารถเข้าใจความท้าทายของเกมโปกเกอร์ ด้วยการเปรียบเทียบกับหมากรุก ในหมากรุกนั้นทุกอย่างชัดเจนตายตัว ถ้าเดินหมากแบบเดิมผลลัพธ์เหมือนเดิมทุกครั้ง แต่โปกเกอร์นั้นต่างออกไป เพราะมันเป็นเกมแห่งความไม่แน่นอน วิธีหนึ่งที่จะเอาชนะความไม่แน่นอนนี้คือการเล่นให้บ่อยพอจนความโชคดีและโชคร้ายหักล้างกันไป โชคดีที่มีทางเลือกอื่นนั่นคือใช้ทฤษฎีความน่าจะเป็นมาช่วยคิด
ทุกวันนี้นักโปกเกอร์มือใหม่จะเริ่มต้นด้วยการเรียนคณิตศาสตร์พื้นฐาน พวกเขาจะเรียนรู้วิธีนับเอาท์หรือไพ่ที่จะทำให้ชนะ และนับว่าคู่แข่งอาจมีไพ่อะไรที่จะเอาชนะได้บ้าง การคิดอัตราต่อรองเทียบกับเงินเดิมพัน จะช่วยบอกว่าควรเดิมพันเพื่อเอาชนะ หรือควรบลัฟ (หลอกให้คู่แข่งคิดว่ามีไพ่ดี) แม้โปกเกอร์จะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ไพ่ก็เป็นไปตามกฎความน่าจะเป็น การคำนวณถึงได้เปรียบกว่าการเชื่อลางสังหรณ์
เรื่องสัญชาตญาณกับการตัดสินใจเป็นประเด็นที่น่าสนใจ บางคนบอกให้เชื่อสัญชาตญาณ แต่บางคนแนะนำให้ใช้ข้อมูลและการคำนวณ โปกเกอร์แสดงให้เห็นถึงความท้าทายของการเรียนรู้ภายใต้ความไม่แน่นอน นักเล่นที่ประสบความสำเร็จต้องใช้ทั้งทฤษฎี ความน่าจะเป็นและข้อมูล ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ การจะพัฒนาสัญชาตญาณที่เชื่อถือได้ จำเป็นต้องมีเงื่อนไขสำคัญ 2 อย่าง คือ
- สภาพแวดล้อมต้องให้สัญญาณที่ชัดเจนพอ กล่าวคือสถานการณ์นั้นต้องมีรูปแบบที่คาดเดาได้ และต้องมีความเชื่อมโยงชัดเจนระหว่างสัญญาณกับผลลัพธ์
- คนต้องมีโอกาสได้เรียนรู้จากสถานการณ์นั้นบ่อย ๆ และต้องรู้ผลเร็วว่าตัดสินใจถูกหรือผิด
หลายคนอาจแปลกใจที่พบว่า ในหลายกรณี การตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญกลับแพ้วิธีการทางสถิติ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องพิจารณาปัจจัยย่อย ๆ หลายอย่างประกอบกัน แม้แต่ละปัจจัยจะดูเหมือนมีผลไม่มากนัก แต่เมื่อนำมารวมกันกลับทำให้ทำนายผลลัพธ์ได้แม่นยำ อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่มีรูปแบบชัดเจนและคาดเดาได้ สัญชาตญาณของผู้เชี่ยวชาญก็ยังคงเหนือชั้น แต่ถ้าต้องตัดสินใจโดยชั่งน้ำหนัก ปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายอย่าง การใช้กฎเกณฑ์ง่าย ๆ กลับให้ผลดีกว่า
เกมโปกเกอร์นั้นมีตัวแปรไม่แน่นอน แต่ก็ยังเป็นเกมที่เรียนรู้ได้ไม่ยากนัก เพราะมีจุดเด่นหลายอย่างทั้งสัญญาณที่ชัดเจน ผลลัพธ์ที่รู้ทันที และมีหลักคณิตศาสตร์ช่วยวิเคราะห์ แต่ทักษะที่ฝึกฝนส่วนใหญ่กลับไม่ง่ายขนาดนั้น แล้วผู้เชี่ยวชาญทำได้ดีแค่ไหนในเรื่องที่ทำยากและสำคัญ แม้ผู้เชี่ยวชาญจะมั่นใจมาก แต่ทำนายได้ดีกว่าการเดาสุ่มนิดเดียว ที่แย่กว่านั้นคือ ยิ่งมั่นใจมากความแม่นยำกลับยิ่งต่ำ และถึงจะดีกว่ามือใหม่แต่กลับแพ้แบบจำลองสถิติง่าย ๆ ที่ใช้ข้อมูลในอดีตมาทำนาย นักพยากรณ์หลายกลุ่มที่ทำนายได้แม่นยำอย่างโดดเด่น จุดเด่นของพวกเขาคือความสามารถในการมองหลายมุม การมองหลายมุมกลับทำให้ทำนายแม่นกว่า แสดงว่าความถ่อมตนทางปัญญาสำคัญกว่าความมั่นใจ
หลักการเรียนรู้ในโลกที่ไม่แน่นอน การมีประสบการณ์เพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันว่าจะเกิดความเชี่ยวชาญที่แท้จริง แม้แต่ในการเล่นโปกเกอร์ที่ถือว่าเอื้อต่อการเรียนรู้ค่อนข้างมาก ผู้เล่นก็อาจเชื่อผิด ๆ และตัดสินใจพลาดได้ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องความน่าจะเป็นดีพอ และฟีดแบ็กที่แม่นยำมาควบคุม ยิ่งในเรื่องที่วัดผลได้ยาก ผลลัพธ์อาจร้ายแรงยิ่งกว่า มีหลายกรณีที่ผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์เป็นสิบ ๆ ปี กลับทำได้ไม่ดีไปกว่าใช้สูตรคำนวณง่าย ๆ มาดูกันว่ามีกลยุทธ์อะไรบ้างที่จะช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
กลยุทธ์ที่ 1 ใช้แบบจำลองเป็นเครื่องนำทาง วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดในการหลีกเลี่ยงจุดอ่อนของการตัดสินใจด้วยสัญชาตญาณก็คือการไม่ใช้มันเลย ในหลาย ๆ วิชาชีพความเชี่ยวชาญน่าจะพัฒนาได้ดีขึ้น ถ้าเปลี่ยนจากการเดาด้วยสัญชาตญาณมาใช้แบบจำลองที่อิงกับสถิติแทน แบบจำลองไม่จำเป็นต้องเป็นตัวตัดสินสุดท้าย มันอาจเป็นแค่จุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับวิเคราะห์เชิงลึกต่อไป
กลยุทธ์ที่ 2 อย่าพอใจแค่รู้ผลลัพธ์ แค่รู้ว่าผลออกมาอย่างไรนั้นมักไม่พอที่จะพัฒนาสัญชาตญาณที่แม่นยำได้ การจะพัฒนาให้ดีขึ้น ต้องยกระดับคุณภาพของฟีดแบ็ก ต้องจดบันทึกการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ เพื่อไม่ให้ความทรงจำที่ไม่แม่นยำบิดเบือนความจริง และฝึกปรับระดับความมั่นใจให้เหมาะสมพอ
กลยุทธ์ที่ 3 สร้างกลุ่มระดมสมอง หลายหัวดีกว่าหัวเดียว การแลกเปลี่ยนความคิดอย่างสร้างสรรค์มีประโยชน์ 2 ด้าน ด้านแรกคือได้รวบรวมข้อมูลหลากหลายประโยชน์ ด้านที่ 2 คือการถกเถียงช่วยให้ความคิดเฉียบคมขึ้น
กลยุทธ์ที่ 4 รู้จังหวะว่าเมื่อไหร่ควรเชื่อสัญชาตญาณ จะน่าเชื่อถือก็ต่อเมื่อเห็นผลทันทีว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกหรือผิด และได้ฝึกฝนสถานการณ์แบบนั้นซ้ำ ๆ จนเกิดความชำนาญ แต่ถ้าไม่มีเงื่อนไขพวกนี้ต้องระวังให้มาก
บทที่ 10 การฝึกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์จริง
ความก้าวหน้าทั้งด้านวิศวกรรมเครื่องบินและการฝึก นักบินทำให้การเดินทางทางอากาศกลายเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดวิธีหนึ่ง ความก้าวหน้าเหล่านี้ทำให้ทักษะการบินพื้นฐานไม่ใช่สาเหตุหลักของอุบัติเหตุทางอากาศอีกต่อไป เปลี่ยนมาให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นทีม และการสื่อสารที่ชัดเจน มีการวางมาตรฐานขั้นตอนการสื่อสารเพื่อลดความเข้าใจผิด และส่งเสริมให้ทุกระดับกล้าแสดงความเห็นเมื่อพบความเสี่ยง
การควบคุมเครื่องบินเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้ในสถานการณ์จริง ไม่ใช่แค่ในห้องเรียน เพราะการบินต้องอาศัยการโต้ตอบกับเครื่องบินอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่สามารถเรียนรู้ได้จากทฤษฎีเพียงอย่างเดียว การบินไม่ใช่แค่การสื่อสารระหว่างคนกับเครื่องจักร แต่รวมถึงการสื่อสารกับสิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบข้าง หากมีจุดบกพร่องในการสื่อสารกับทีมก็อาจนำไปสู่หายนะได้ การฝึกในสภาพที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงนั้นสำคัญมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย ครูสอนบินหลายคนก็เห็นความสำคัญของการฝึกภาคสนาม พวกเขามีเหตุผลที่น่าเห็นใจ ลองคิดดูใครจะกล้าปล่อยให้นักเรียนที่ยังไม่ชำนาญมาฝึกบังคับเครื่องบินจริง ในเมื่อมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงถึง 1 ใน 10 นั่นเป็นความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงเกินไป
อีกทั้งต้นทุนการฝึกเป็นอีกปัญหาสำคัญ โดยข้อจำกัดเหล่านี้นักวิจัยจึงพยายามศึกษาว่า เมื่อไรที่จำเป็นต้องฝึกในสถานการณ์จริง เหตุผลที่เครื่องฝึกจำลองมีประโยชน์มากในช่วงแรก เพราะช่วยลดความเครียดและความกดดันจากการบินครั้งแรก ช่วยให้การถ่ายโอนความรู้ไปสู่การบินจริงดีขึ้น สิ่งสำคัญกว่าคือข้อมูลที่นักบินใช้ตัดสินใจและการกระทำในเครื่องถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์จริง
การจะเชี่ยวชาญที่แท้จริงต้องรู้จักปรับตัว และเรียนรู้จากสภาพแวดล้อมทางสังคมด้วย แนวคิดการรู้คิดตามสถานการณ์เสนอมุมมองใหม่ว่า การคิดไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสมอง แต่เชื่อมโยงและได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมรอบตัวทั้งด้านกายภาพและสังคม
การเรียนรู้ผ่านการลงมือทำงานจริงทีละน้อยจนพัฒนาตนเองขึ้นเป็นช่างฝีมือที่ได้รับการยอมรับ กุญแจสำคัญของกระบวนการนี้มี 2 ประการคือ
การได้รับการยอมรับหมายถึง การที่คนในวงการเห็นว่าบุคคลนั้นอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง
ส่วนการเข้าถึงความรู้หมายถึง โอกาสที่จะได้เห็นและเข้าใจวิธีทำงานจริง ๆ ในวงการนั้น
การเรียนรู้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในสมอง แต่เป็นกิจกรรมของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการซึมซับวัฒนธรรมและการเติบโตร่วมกัน พวกเขาจึงเชื่อว่าการฝึกงานในสถานที่จริงมีประสิทธิภาพมากกว่าการเรียนในห้องที่แยกขาดจากโลกแห่งความเป็นจริง
แม้การเรียนรู้จากการลงมือทำจะดูเป็นวิธีที่ดี แต่ก็มีข้อจำกัดที่ควรระวังผู้เชี่ยวชาญมักไม่ใช่ครูที่ดี การเข้าสู่วิชาชีพมักยากและใช้เวลานาน หรือบุคคลในวงการสร้างเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อจำกัดคนเข้าใหม่ เมื่อมีคนให้บริการน้อยลงค่าบริการก็แพงขึ้น และประชาชนเข้าถึงบริการได้ยากขึ้น วัฒนธรรมการทำงานร่วมกันไม่ได้มีแต่ด้านดี บางครั้งก็เอื้อต่อการรังแกและคุกคามได้ง่ายพอ ๆ กับการช่วยเหลือกัน
อย่างไรก็ตามไม่อาจมองข้ามมิติทางสังคมได้ โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่กำลังจะเข้าสู่วิชาชีพ ต้องเข้าใจว่าบทเรียนและกระบวนการต่าง ๆ จะได้ผลก็ต่อเมื่อผู้ปฏิบัติงานสามารถปรับตัว และสื่อสารให้เข้ากับสถานการณ์ได้
บทที่ 11 เส้นทางการพัฒนาไม่ได้ราบเรียบ
หลายครั้งในชีวิตต้องยอมถอยก่อนจะไปต่อ เช่น การย้ายงานที่อาจนำไปสู่ความมั่นคงมากกว่า แต่ต้องเริ่มใหม่จากตำแหน่งเล็ก ๆ ในวงการที่ไม่คุ้นทุกครั้งที่อยากไปให้สูงกว่าเดิม ต้องกล้าก้าวลงจากจุดที่ยืนอยู่ แม้จะเสี่ยงที่อาจไต่กลับขึ้นไปไม่ได้อีก เมื่อเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ที่ง่ายที่สุดคือ การฝึกให้ถูกวิธีตั้งแต่แรก ไม่ใช่ปล่อยให้ติดนิสัยผิด ๆ แล้วค่อยมาแก้ทีหลัง การมีโค้ชหรือติวเตอร์ที่ดีคอยแนะนำ จะช่วยให้เริ่มต้นถูกทาง ไม่หลงผิดจนแก้ยาก การให้เด็กฝึกทำซ้ำ ๆ อาจไม่ช่วยแก้ปัญหา เพราะยิ่งทำซ้ำก็จะยิ่งจำวิธีผิด ๆ แน่นขึ้น
การเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ อาจไม่มีวิธีที่ถูกต้องเพียงวิธีเดียว แต่มักมีวิธีที่ดีกว่าให้เลือกใช้ ถ้าฝึกวิธีที่ดีบ่อย ๆ จะทำได้เองโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าเริ่มต้นด้วยวิธีที่ไม่ดีพอ จะมาแก้ทีหลังก็จะยากกว่ามาก
อย่างไรก็ตาม วิธีการที่มีประสิทธิภาพคือการรับฟังข้อเสนอแนะ หรือฟีดแบ็กโดยตรงจากผู้อื่น ทุกคนรู้ว่าการเลิกทำสิ่งที่เคยทำมานานไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากต้องฝึกวิธีใหม่จนชิน ยังต้องยอมรับด้วยว่า ช่วงแรกอาจทำได้แย่ลง แต่บางครั้งก็จะเป็นต้องเปลี่ยน ไม่ว่าจะเพราะนิสัยไม่ดีที่ติดตัวมาตั้งแต่เริ่ม หรือเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ทั้งในงานหรือแม้แต่สภาพร่างกายเอง นี่คือกลยุทธ์ที่อาจช่วยให้การละทิ้งได้ง่ายขึ้น
กลยุทธ์ที่ 1 สร้างกรอบใหม่บังคับตัวเอง นิสัยเก่า ๆ มักดึงกลับไปทำแบบเดิม วิธีหนึ่งที่ช่วยได้คือการตั้งกฎใหม่บังคับตนเอง โค้ชสามารถออกแบบข้อจำกัดให้หลุดพ้นจากนิสัยเดิมได้ โดยไม่ต้องคิดมากเรื่องรายละเอียด ถ้ามีข้อจำกัดที่ออกแบบอย่างดี จะหลุดจากนิสัยเก่าโดยไม่ต้องกังวลมาก
กลยุทธ์ที่ 2 หาโค้ช การพัฒนาตัวเองมีจุดอ่อนสำคัญคือ มักจะมองไม่เห็นตัวเองขณะทำสิ่งต่าง ๆ ความเข้าใจผิดแบบนี้ขัดขวางการพัฒนา เพราะคิดว่าทำถูกแล้ว ทั้งที่จริงๆยังไม่ใช่การมีโค้ชจึงช่วยได้มาก พวกเขาจะเห็นสิ่งที่ทำได้ชัดกว่า และให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ได้
กลยุทธ์ที่ 3 ค่อย ๆ ปรับดีกว่าเริ่มใหม่ การเปลี่ยนทักษะที่ฝึกมานานไม่ใช่เรื่องง่าย โดยทั่วไปการปรับปรุงของเดิมได้ผลดีกว่าการรื้อทำใหม่ การเปลี่ยนทีละน้อยเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องของการสร้างสมดุล ระหว่างการรักษาสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และจะปรับปรุงสิ่งที่ยังไม่ดีพอ ต้องอาศัยทั้งความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และความอดทนที่จะค่อย ๆ พัฒนาไปทีละขั้น
บทที่ 12 ความกลัวหายไปเมื่อเผชิญหน้า
ความตื่นตระหนกในยามภัยพิบัติ มักเกิดขึ้นในจินตนาการมากกว่าความเป็นจริง ในบรรดาอุปสรรคทางความคิดที่ต้องเผชิญในชีวิต ความกลัวดูจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสที่สุด ความกลัวบางอย่างอาจเกิดจากประสบการณ์เจ็บปวด แต่บางทีก็เกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุชัดแจ้ง บางคนกลัวเพราะเห็นคนอื่นกลัว หรือเพราะได้ยินคำเตือนจากคนรอบข้าง การหลีกเลี่ยงอันตรายเป็นสัญชาตญาณที่ช่วยให้มนุษย์อยู่รอดมาได้ตามกลไกวิวัฒนาการ เพราะหากต้องรอให้เจออันตรายจริง ๆ ก่อนจึงจะเรียนรู้ คงไม่มีโอกาสสืบทอดเผ่าพันธุ์มาถึงทุกวันนี้
การหลีกเลี่ยงทำให้กำจัดความกลัวได้ยาก เพราะมีผลเสีย 2 อย่าง
อย่างแรกคือไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่กลัวนั้นน่ากลัวจริงหรือไม่ เพราะไม่เคยเผชิญหน้ากับมัน ความกลัวจึงติดแน่นอยู่
อย่างที่ 2 คือการหลีกเลี่ยงกลับกลายเป็นการเสริมแรงให้ตัวเอง
การเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว เป็นวิธีที่ช่วยลดความวิตกกังวลได้ผล มันทำงานผ่าน 2 กลไกสำคัญ
กลไกแรกคือการลบล้าง การเรียนรู้ที่เชื่อมโยงระหว่างสัญญาณบางอย่างกับอันตราย ถ้าเผชิญกับสัญญาณนั้นโดยไม่เจออันตราย ความกลัวก็จะค่อย ๆ จางหายไป
กลไกที่ 2 คือการปรับตัว สิ่งเกิดขึ้นเมื่อเจอสิ่งที่กระตุ้นปฏิกิริยาตามธรรมชาติซ้ำ ๆ จนเริ่มมีปัญหา เช่น เสียงดังอาจทำให้สะดุ้งตอนแรก แต่ถ้าได้ยินบ่อย ๆ ก็จะไม่ตกใจอีกแล้ว
การเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัวโดยไม่มีอันตรายจริง ๆ ช่วยให้เรียนรู้ว่ามันปลอดภัย แต่การเรียนรู้เช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าลืมความกลัวเดิมไปเสียทีเดียว มันเหมือนกับว่าสร้างความทรงจำใหม่ที่บอกว่าไม่ต้องกลัวแล้ว แต่ความกลัวเก่าก็ยังคงอยู่ในสมอง เพียงแต่ถูกกดทับไว้เท่านั้น ความกลัวส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ใน 2 ลักษณะสำคัญ
อย่างแรกมันทำให้พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้กังวล เมื่อขาดการฝึกฝน ทักษะก็ไม่พัฒนา ซึ่งยิ่งตอกย้ำความรู้สึกกลัวและทำให้ยิ่งไม่อยากลงมือทำ
อย่างที่ 2 ความวิตกกังวลขัดขวางการทำงานของสมอง ทำให้ไม่สามารถจดจ่อกับงานได้เต็มที่ จิตใจที่วอกแวกยิ่งทำให้การเรียนรู้ทักษะที่ซับซ้อนเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก
แม้การเอาชนะความกลัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การเผชิญหน้าก็เป็นทางออกที่ได้ผล หากกล้าลองเผชิญกับสิ่งที่กลัวในสถานการณ์ที่ไม่เสี่ยงมากนัก ความกลัวจะค่อย ๆ จางลง ทำให้การฝึกฝนง่ายขึ้น และเมื่อได้ฝึกมากขึ้นทักษะก็จะพัฒนา ส่งผลให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นเป็นลำดับ ลองมาดูกลยุทธ์ในการเผชิญหน้าเพื่อควบคุมความกลัวกัน
กลยุทธ์ที่ 1 สร้างลำดับขั้นความกลัว การเขียนลำดับขั้นความกลัวยังช่วยให้ตั้งคำถามกับความสมเหตุสมผลของสิ่งที่กลัว เหมือนฝันร้ายที่พอเล่าออกมาแล้วมักจะดูไร้สาระ การเขียนสิ่งที่กลัวและสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น อาจทำให้เห็นว่าความกลัวนั้นไม่สมเหตุสมผลเท่าที่คิด
กลยุทธ์ที่ 2 หยุดบอกตัวเองว่าไม่เป็นไรทุกอย่างจะดีเอง เมื่อกังวลมักอยากหาคำปลอบใจ แต่นี่อาจกลายเป็นพฤติกรรมหลีกเลี่ยงอีกรูปแบบหนึ่ง การมีนักบำบัดคอยปลอบว่าทุกอย่างจะดีเอง อาจทำให้การบำบัดได้ผลน้อยลง เพราะผู้ป่วยจะรู้สึกปลอดภัยก็ต่อเมื่อมีนักบำบัดอยู่ข้าง ๆ เท่านั้น
กลยุทธ์ที่ 3 เผชิญความกลัวร่วมกับผู้อื่น การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเล็ก ๆ ที่สนิทกันช่วยควบคุมความกลัวได้ดี คนส่วนใหญ่มักกลัวมากขึ้นเมื่ออยู่คนเดียว นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนจึงมีความเข้มแข็งทางจิตใจอย่างมากขึ้นในยามภัยพิบัติ เพราะพวกเขาไม่ได้เผชิญความกลัวเพียงลำพัง
กลยุทธ์ที่ 4 แยกความแตกต่างระหว่างความกล้าหาญกับการไม่กลัว ความกล้าหาญไม่ใช่การไม่รู้สึกกลัวเลย ความกลัวเป็นปฏิกิริยาที่ซับซ้อนเกิดขึ้นพร้อมกัน 3 ด้าน ด้านร่างกาย แสดงออกผ่านอาการต่าง ๆ เช่น ใจเต้นแรง มือเหงื่อออก ด้านความคิด ความเชื่อและความรู้สึกภายใน ด้านพฤติกรรม การตอบสนอง เช่น หลีกเลี่ยงหรือป้องกันตัว
ทั้ง 3 ด้านนี้มักจะไปในทิศทางเดียวกัน แต่บางครั้งคนเราก็ทำสิ่งต่าง ๆ ได้แม้จะกลัวมาก ความกล้าหาญจึงไม่ใช่การไม่กลัวเลย แต่คือการลงมือทำทั้งที่กลัว
บทสรุป
การฝึกฝนที่สมบูรณ์แบบ
มีเรื่องเล่าเก่าแก่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับคนตัดไม้ ที่ได้รับขวานมาเล่มหนึ่งและมีเวลา 3 ชั่วโมงในการโค่นต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขาตัดสินใจใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมงครึ่งไปกับการลับคมขวานให้คมกริบ แล้วใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงโค่นต้นไม้ให้ล้มลง เรื่องเล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการเตรียมความพร้อมและการพัฒนาเครื่องมือนั้นสำคัญไม่แพ้การลงมือทำ แต่ในชีวิตจริงมักใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการตัดต้นไม้หรือทำงาน แต่กลับใช้เวลาน้อยมากในการลับขวานหรือพัฒนาทักษะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นใครการเข้าใจวิธีการเรียนรู้ และพัฒนาทักษะอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทักษะที่เคยใช้ได้ตลอดชีวิตอาจและสมัยเมื่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามา การเรียนรู้ตลอดชีวิตจึงไม่ใช่แค่คำพูดสวย ๆ แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นจริง ๆ ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้การพัฒนาตัวเองมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรถามตัวเอง 3 คำถาม ดังนี้
คำถามที่ 1 จะเรียนรู้จากคนอื่นให้ดีขึ้นได้อย่างไร การเรียนรู้จากผู้อื่นเป็นความสามารถพิเศษของมนุษย์สามารถก้าวหน้าได้เร็วขึ้น เพราะต่อยอดจากความรู้และวิธีแก้ปัญหาที่คนก่อนหน้าได้ค้นพบไว้แล้ว เมื่อต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ควรทำ 3 อย่างนี้
- ดูตัวอย่างที่อธิบายทุกขั้นตอนชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญมักจะทำอะไรได้คล่องแคล่วจนข้ามขั้นตอนสำคัญโดยไม่รู้ตัว ดังนั้น ตัวอย่างที่ดีต้องแจกแจงทุกขั้นตอนให้ชัดเจน
- สร้างความรู้พื้นฐานมากพอที่จะเข้าใจตัวอย่าง ถ้ามีพื้นฐานน้อยเกินไปจะได้แค่จำวิธีทำ แต่ไม่สามารถนำไปใช้กับสถานการณ์อื่นได้ แต่ถ้าพยายามเรียนรู้มากเกินไปในคราวเดียว อาจหลงทางในรายละเอียดปลีกย่อยจนมองไม่เห็นภาพรวม
- หาตัวอย่างที่หลากหลายเพื่อเข้าใจรูปแบบการแก้ปัญหา การดูตัวอย่างที่หลากหลายช่วยให้เห็นจุดร่วมได้ง่ายขึ้น และการเรียนรู้จากตัวอย่างที่ผิดก็สำคัญ เพราะช่วยป้องกันการสรุปผิด ๆ
จุดเริ่มต้นที่ดีในการหาตัวอย่างคือหลักสูตรที่ออกแบบมาอย่างดี เพราะมีการจัดลำดับเนื้อหา ปูพื้นฐานที่จำเป็น และช่วยให้เห็นวิธีคิดของผู้เชี่ยวชาญที่ปกติมองไม่เห็น
การเข้าร่วมชุมชนของคนที่ฝึกฝนทักษะที่อยากมีสำคัญมาก โดยเฉพาะในวิชาชีพที่หาตัวอย่างดี ๆ ได้ยาก ถ้าไม่ได้อยู่ในวงการ การพยายามเข้าสู่สภาพแวดล้อมที่ช่วยให้เรียนรู้ได้เร็ว อาจไม่สำเร็จเสมอไป เพราะมีการแข่งขันสูงหรือมีข้อจำกัดมากมาย แต่การวางแผนและพยายามเข้าถึงสภาพแวดล้อมแบบนั้นก็ยังสำคัญ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่โอกาสในการพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม แค่อยู่ใกล้ผู้เชี่ยวชาญไม่พอ การดึงความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่เรียนรู้ได้จากการวิเคราะห์กระบวนการคิดเช่นขอให้เขาแค่ปัญหาให้ดูเพื่อฟังเรื่องราวโดยสนใจลำดับเหตุการณ์หรือแค่ถามว่าใครเก่งเรื่องไหนเป็นพิเศษก็เริ่มเผยสิ่งที่ประสบการณ์ซ่อนไว้ได้
คำถามที่ 2 จะทำอย่างไรให้การฝึกมีประสิทธิภาพมากขึ้น การมีตัวอย่างที่ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การจะเชี่ยวชาญได้ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนัก สิ่งแรกที่ต้องเข้าใจคือสมองมีข้อจำกัดในการรับข้อมูลใหม่ แต่จะทำงานได้ดีขึ้นเมื่อมีประสบการณ์ ดังนั้น วิธีฝึกที่เหมาะสมจึงต้องปรับเปลี่ยนไปตามระดับความสามารถ ตอนแรกจะได้ประโยชน์จากการมีคำแนะนำที่ชัดเจน การทำซ้ำ และการศึกษาตัวอย่างมากกว่าการแก้ปัญหาเอง แต่เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้นคำแนะนำนี้จะกลับด้าน จะได้ประโยชน์จากโจทย์ที่ยากขึ้น การฝึกที่หลากหลาย และการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง อาจแบ่งการเรียนรู้เป็น 2 ขั้นตอนใหญ่คือ รับและใช้ความรู้ การรับความรู้ที่ดีที่สุดคือการดูตัวอย่างที่ถูกต้อง ไม่ใช่ลองผิดลองถูกเองเพราะอาจเสียเวลาโดยใช่เหตุ ส่วนการใช้ความรู้ต้องได้ฝึกในสถานการณ์จริง เพื่อให้รู้ว่าควรใช้ความรู้นั้นเมื่อไหร่
คำถามที่ 3 จะพัฒนาคุณภาพของฟีดแบ็กได้อย่างไร สิ่งสำคัญคือการได้รับฟีดแบ็กที่มีคุณภาพ และตรงกับความเป็นจริงในชีวิตจริง ความรู้ส่วนใหญ่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว แม้การได้รับฟีดแบ็กจะมีประโยชน์ แต่บางครั้งก็อาจส่งผลเสียต่อจิตใจได้ เพราะฉะนั้นควรมองฟีดแบ็กเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ไม่ใช่รางวัลหรือการลงโทษ เน้นบอกวิธีทำให้งานดีขึ้น ไม่ใช่ตัดสินว่าคนทำงานไม่เก่ง และต้องรับฟังกันด้วยความเคารพ การพัฒนาคุณภาพของฟีดแบ็กจึงสำคัญมาก ซึ่งมี 3 วิธี ดังนี้
- จดบันทึกคะแนนและติดตามผล โดยเฉพาะในงานที่ผลลัพธ์ไม่แน่นอน เพราะอาจคิดว่าตัวเองทำถูกตลอด การจดบันทึกอาจทำให้เห็นว่าไม่ได้เก่งอย่างที่คิด แต่มันจำเป็นเพื่อให้รู้ว่าต้องปรับปรุงอะไร แม้ตัวเลขจะไม่ได้บอกทุกอย่าง แต่ก็ช่วยให้มองตัวเองตามความเป็นจริง
- ทำรายงานหลังการปฏิบัติงาน เพราะตอนทำงานจดจ่อกับงานจนไม่มีเวลาคิดว่าทำได้ดีแค่ไหน การทำรายงานสรุปไว้ แล้วมาดูทีหลังจะช่วยให้เห็นจุดที่ต้องปรับปรุง
- สร้างกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิด เพราะไม่สามารถเห็นข้อบกพร่องของตัวเองได้ทั้งหมด แม้รวมกลุ่มกันจะไม่ได้แก้ปัญหาได้ทันที แต่การที่มีคนช่วยมองและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จะช่วยให้เห็นจุดอ่อนที่มองข้ามไป
ฟีดแบ็กไม่ได้มีไว้แค่แก้ข้อผิดพลาด แต่เป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้าน การพัฒนาตัวเองเป็นกระบวนการที่สร้างทั้งความตื่นเต้นและความท้าทาย ความรู้สึกเมื่อเข้าใจบางสิ่งได้อย่างถ่องแท้นั้นวิเศษมาก ความรู้สึกที่เข้าใจทักษะที่ยาก ๆ เหล่านี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่มีอะไรเทียบได้ แต่ในขณะเดียวกันการเรียนรู้ก็สร้างความท้อแท้ได้เช่นกัน การพัฒนาทักษะนั้นต้องอาศัยการเรียนรู้จากผู้อื่น แต่ไม่สามารถหาครูที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาสอนได้ตลอด จึงต้องรู้จักผสมผสานระหว่างการเรียนรู้จากผู้อื่นและการฝึกฝนด้วยตนเองให้เหมาะสม
การเป็นผู้เชี่ยวชาญเป็นเรื่องท้าทาย เพราะความรู้บนโลกนี้มีมากมายเกินกว่าที่คนเราจะเรียนรู้ได้ทั้งหมดในชีวิต การไล่ตามความเชี่ยวชาญจึงเหมือนกับการไล่ตามเงาของตัวเอง ยิ่งเข้าใกล้มันก็ยิ่งถอยห่างออกไป การพยายามไขว่คว้าหาความเชี่ยวชาญแม้จะไม่มีวันไปถึง ก็เป็นวิธีที่ดีในการพัฒนาตัวเอง เพราะถึงแม้จะไม่สามารถเป็นที่หนึ่ง ก็ยังสามารถทำสิ่งที่มีความหมายให้ดีขึ้นได้อีกนิด และบ่อยครั้งการพัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อยนั้นก็มีค่ามากพอแล้ว การเดินทางสู่ความเชี่ยวชาญจึงไม่ใช่เรื่องของการไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่เป็นเรื่องของการเติบโตและพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครที่จะรู้ทุกอย่างหรือทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบ แต่ทุกคนพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นได้ในแบบของตัวเอง และนั่นคือสิ่งที่ทำให้การเรียนรู้มีคุณค่าและน่าค้นหา.