สั่งซื้อหนังสือ “101 บทความเปลี่ยนชีวิตที่จะเปลี่ยนวิธีคิดคุณ” (คลิ๊ก)
สรุปหนังสือ 101 ESSAYS that will CHANGE the way YOU THINK
101 บทความเปลี่ยนชีวิตที่จะเปลี่ยนวิธีคิดคุณ
ช่วงเวลาหนึ่งไม่ได้มีเพียงโฮโมเซเปี้ยนส์เท่านั้น ที่ร่อนเร่อยู่บนโลกใบนี้ อันที่จริงแล้วอาจมีสายพันธุ์มนุษย์ที่แตกต่างกัน ถึง 6 สายพันธุ์ แต่สาเหตุที่มนุษย์สายพันธุ์อื่นไม่วิวัฒนาการต่อ ในขณะที่โฮโมเซเปียนส์ยังคงอยู่มาถึงทุกวันนี้คือ สมองส่วนพรีฟรอนทัล คอร์เทกซ์ โดยพื้นฐานแล้วโฮโมเซเปียน คิดซับซ้อนกว่า จึงสามารถเรียบเรียงพัฒนา และส่งมอบความรู้ตลอดจนสามารถฝึกฝนสร้างความเคยชิน และส่งต่อโลกที่เอื้อต่อการอยู่รอดได้
ด้วยความที่สามารถในการจินตนาการ จึงสามารถสร้างโลกอย่างที่เป็นในปัจจุบันขึ้นมาจากศูนย์ ความเชื่อที่ว่า ความคิดคือสิ่งที่กำหนดความเป็นจริงนั้น เป็นข้อเท็จจริงทางวิวัฒนาการภาษากับความคิด ช่วยให้สร้างโลกขึ้นมาในสมอง และวิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จนสร้างสังคมในปัจจุบัน ไม่ว่ามันจะดีหรือเลวก็ตาม
คนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกหลายคนต่างเข้าใจว่า ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาต้องเปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองก่อน คนกลุ่มนี้ยังถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจดั้งเดิม ที่อยู่มา อย่างยาวนานนั่นคือ จะเป็นอย่างที่เชื่อต้องควบคุมความคิดของตัวเอง ในแง่ของความคิด ถ้าเรียนรู้ที่จะมองว่าปัญหาในชีวิตคือ โอกาสที่จะได้เข้าใจสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น เพื่อพัฒนาชีวิตให้ดีกว่าเดิม จะหลุดออกจากวังวนของความทุกข์ ทรมาน และได้เรียนรู้ความหมายของการเติบโต
พื้นฐานของการเป็นมนุษย์คือการเรียนรู้วิธีคิด จากนั้นก็จะเรียนรู้วิธีรัก แบ่งปัน อยู่ร่วมกันอดทน เป็นผู้ให้ สร้างสรรค์ และทำสิ่งอื่น ๆ อีกสารพัด รวมถึงสำคัญที่สุดคือ ใช้ศักยภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิด เพื่อตัวเองและโลกใบนี้
- พฤติกรรมระดับจิตใต้สำนึก ที่ขัดขวางไม่ให้มีชีวิตที่ต้องการ
การสร้างชีวิตที่ยอดเยี่ยมเป็นเรื่องของการตัดสินใจว่า ต้องการอะไรและออกไปไขว่คว้ามัน สมองเข้าใจเพียงสิ่งที่มันรู้จัก ดังนั้น ตอนที่เลือกว่าต้องการอะไรในอนาคต เมื่อสิ่งต่าง ๆ ไม่เป็นอย่างที่ต้องการ ก็คิดว่าตัวเองล้มเหลว เพราะไม่ได้สร้างสิ่งที่มองว่าน่าปรารถนา ทั้งที่จริงแล้วอาจสร้างสิ่งที่ดีกว่าก็ได้ ทว่ามันแปลกใหม่ และด้วยความที่มันแปลกใหม่ สมองจึงตีความแบบผิด ๆ ว่ามันไม่ดี ทำการคาดการณ์อนาคตจากชั่วขณะปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าความสำเร็จคือจุดที่ต้องไปให้ถึง
แต่หลงลืมไปว่าทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยงแท้ และสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวสรุปภาพรวมทั้งหมดไม่ได้ จุดเดียวที่กำลังมุ่งหน้าไปคือความตาย และความสำเร็จคือการเติบโตในระหว่างการเดินทาง และเป็นการทำตามสัญชาตญาณ ความสุขคือสิ่งที่ดีงาม ในขณะที่ความกลัวและความเจ็บปวดเป็นสิ่งที่เลวร้าย ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ต้องเปิดรับวิธีคิดใหม่ ๆ แทนที่จะออกไปหาประสบการณ์ ที่ทำให้ความเชื่อนั้นประจักษ์ชัดในตัว สิ่งที่ขัดขวางการลงมือ ประสบการณ์คือสิ่งที่ประกอบด้วยหลายมิติเสมอ มีสารพัดความทรงจำ เหตุการณ์ ความรู้สึก และประเด็นสำคัญ ที่สามารถเลือกที่จะนึกถึงได้ และสิ่งที่นึกถึงก็บ่งบอกถึงสภาพจิตใจในปัจจุบัน
- จิตวิทยาของกิจวัตรประจำวัน
ผู้คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ต่างล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นอกจากความสามารถนั่นคือ การทำตามกิจวัตรที่เคร่งครัด อาจดูน่าเบื่อ แล้วดูตรงข้ามกับสิ่งที่บอกว่าเป็นชีวิตที่ดี กิจวัตรเป็นสิ่งสำคัญ เพราะสิ่งที่ทำจนเกิดความเคยชิน จะก่อให้เกิดอารมณ์ และอารมณ์จะก่อให้เกิดลักษณะนิสัย ที่บ่มเพาะสิ่งที่ทำอยู่ต่อไป โดยส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่ทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำให้พอใจในเวลารวดเร็วหรือชั่วคราว แต่มันยังมาพร้อมกับการฝืนใจและการเสียสละ
กิจวัตรประจำวันปิดการทำงานของสัญชาตญาณแบบสู้หรือหนี กิจวัตรทำให้รู้สึกปลอดภัยตอนยังเด็ก และทำให้รู้สึกมีเป้าหมายตอนเป็นผู้ใหญ่ จะรู้สึกพึงพอใจเพราะกิจวัตรช่วยย้ำสิ่งที่ได้ตัดสินใจแล้วอยู่เสมอ เมื่อร่างกายเคยชินกิจวัตรจะกลายเป็นหนทางสู่ภาวะลื่นไหล เมื่อไม่ทำตามกิจวัตร ก็เท่ากับสอนตัวเองว่าความกลัวคือ สิ่งที่บ่งบอกว่ากำลังทำสิ่งที่ผิด แทนที่จะบอกว่าแค่ตั้งตาคอยผลลัพธ์เป็นอย่างมาก
- สิ่งที่คนจัดการอารมณ์เก่งไม่ทำ
การจัดการอารมณ์เก่ง อาจเป็นคุณลักษณะที่ทรงพลังที่สุด แต่กลับถูกประเมินต่ำเกินไปในสังคม ผู้คนดูจะเชื่อว่าการกระทำที่ฉลาดที่สุดคือ การไม่มีความรู้สึกใด ๆ ถ้าอยากมีประสิทธิภาพก็ต้องทำตัวเหมือนเครื่องจักร เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกหยอดน้ำมันหล่อลื่นอย่างดี เพื่อรับใช้สังคมบริโภคนิยม ปรับตัวให้เข้ากับโลกดิจิทัล และหมกมุ่นอยู่กับการทำงาน โดยไม่ตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ รอบตัว สุดท้ายก็ทุกข์ทรมาน
ต่อไปนี้คือนิสัยของคนที่สามารถตระหนักถึงความรู้สึกของตัวเอง คือ เขาไม่ทึกทักเอาเองว่าสิ่งที่พวกเขาคิดและรู้สึก เกี่ยวกับสถานการณ์หนึ่งจะตรงกับความเป็นจริง จะเข้าใจว่าอารมณ์ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก และไม่ทึกทักเอาเองว่าอะไรคือ สิ่งที่จะทำให้มีความสุขอย่างแท้จริง ไม่คิดว่าความกลัวคือสัญชาตญาณที่บ่งบอกว่า พวกเขากำลังเดินไปผิดทาง ไม่ยอมให้ปัจจัยภายนอกกำหนดความคิด รู้ว่าความรู้สึกไม่ทำให้ถึงตาย
- คนที่เคยรักกลายเป็นคนแปลกหน้าอีกครั้งได้อย่างไร
ทุกคนเริ่มต้นจากการเป็นคนแปลกหน้า และการตัดสินใจเลือกคนที่รัก มักดูเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ รู้สึกว่าพวกเขาน่าสนใจอย่างไม่มีเหตุผล ได้พบคนที่มีวิญญาณเหมือนกัน จริงอยู่ที่เพื่อนร่วมชั้น คู่หู เพื่อนบ้าน เพื่อนของครอบครัว ลูกพี่ลูกน้อง และพี่น้องเข้ามาในชีวิต แบบที่นึกไม่ออกว่าจะแยกจากกันอย่างไร นี่คือสิ่งที่งดงาม ถ้าวันหนึ่งความสัมพันธ์จบลง ทุกคนเริ่มต้นจากการเป็นคนแปลกหน้า แต่ลืมไปว่าตัวเองแทบไม่เคยได้เลือกเลยว่า ใครจะกลับไปเป็นคนแปลกหน้าอีกครั้ง
- สัญญาณของคนเข้าสังคมเก่ง
มารยาทเป็นความฉลาดทางสังคมและวัฒนธรรม แต่ดูเหมือนความสุภาพแบบเดิมจะเริ่มเสื่อมความน่าสนใจ มันอาจทำให้นึกถึงการลบบุคลิกลักษณะของตัวเอง และแทนที่ด้วยพฤติกรรมที่สอดคล้องกับผู้อื่นในสังคมมากขึ้น คนเข้าสังคมเก่งคิดและประพฤติตัว เหนือกว่าสิ่งที่เป็นที่ยอมรับทางวัฒนธรรม พวกเขาสามารถสื่อสาร และทำให้ผู้คนสบายใจ โดยไม่ละทิ้งความเป็นตัวเอง แน่นอนว่านี่คือพื้นฐานของความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมองปรารถนา และช่วยให้เติบโต
- ความอึดอัดใจที่กำลังบอกว่ามาถูกทาง
ความอึดอัดใจคือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อยืนอยู่บนขอบผาแห่งความเปลี่ยนแปลง โชคร้ายที่มักเข้าใจผิดว่ามันคือความทุกข์ใจ จึงเลือกรับมือกับความทุกข์ใจนั้น แทนที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงจริง ๆ ปกติแล้วต้องรู้สึกอึดอัดใจนิด ๆ หน่อย ๆ ก่อนถึงจะเกิดความเข้าใจใหม่ ต่อไปนี้คือความรู้สึกที่บอกว่ามาถูกทางแล้ว นั่นคือ
รู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับความยากลำบากในวัยเด็กอีกครั้ง แต่อันที่จริงมันหมายความว่า กำลังตระหนักว่าทำไมตัวเองถึงคิด และรู้สึกอย่างที่เป็นอยู่ เพื่อที่จะได้เปลี่ยนแปลงมันได้ รู้สึกหลงทางหรือไร้ทิศทาง ซึ่งเป็นสัญญาณที่บอกว่า กำลังให้ความสนใจกับเรื่องราว และความคิดที่วนเวียนอยู่ในหัวน้อยลง และอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น
- ความรู้สึกที่เก็บกดเอาไว้กำลังพยายามบอกอะไร
ทุกความรู้สึกล้วนมีคุณค่า ความรู้สึกที่เก็บกดเอาไว้มากที่สุด เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในการนำทางตัวเอง รวมถึงการเมินเฉย การพยายามหลีกหนี แทนที่จะเผชิญหน้า การปฏิเสธ การยับยั้ง และการกดมันลงไปในจิตใต้สำนึก แล้วก็คุมเอาไว้ การทำเช่นนี้อาจไม่ทำให้ฆ่าตัวตายจริง ๆ หรือทำลายสิ่งดี ๆ ที่ได้รับ แต่มันจะฆ่าด้วยการพรากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจากชีวิต ถ้าไม่ปล่อยให้ตัวเองสัมผัสทุกความรู้สึก ก็จะด้านชาจนไม่รู้สึกอะไรเลย ถ้าไม่ไหลไปตามกระแสความรู้สึก ก็ต้องต่อต้านธรรมชาติของมัน สุดท้ายแล้วตัวเองคือผู้ตัดสินว่าจะเลือกทางไหน
- ส่วนต่าง ๆ ของตัวเราที่ไม่ใช่ตัวเรา
การรู้จักตัวตนของตัวเอง สร้างความรู้สึกมั่นคง และทำให้รู้สึกถึงการเติบโต แต่เมื่อกำหนดถ้อยคำ และความหมายที่ชอบ เห็นคุณค่า และต้องการ ก็เท่ากับได้สร้างการยึดติด จากนั้นก็พยายามตระหนักที่จะควบคุมสิ่งเหล่านั้น ให้อยู่ในขอบเขตที่ตัวเองยอมรับ พอไม่เป็นเช่นนั้นก็รู้สึกล้มเหลว และทำให้ตัวตนของตัวเองเป็นทุกข์ทรมาน เริ่มเชื่อว่าความคิดที่ตายตัว สามารถอธิบายตัวตนที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงคับข้องใจอย่างยิ่งเมื่อตัวเองไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้
สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงชีวิตคือ การตระหนักว่าส่วนต่าง ๆ นั้นไม่ใช่ตัวเรา นี่คือสิ่งที่สมบูรณ์เป็นทั้งจุดเริ่มต้นและจุดมุ่งหมาย เป็นสิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลง กระตุ้น และส่งเสริม การตระหนักรู้จึงช่วยให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ภายใน
- สัญญาณที่บอกว่ากำลังทำได้ดีกว่าที่คิด
การชำระใบแจ้งหนี้ของเดือนนี้ไปแล้ว และอาจถึงขั้นเหลือเงินซื้อของไม่จำเป็นได้ ไม่สำคัญว่าจะพร่ำบ่นตอนใบแจ้งหนี้มา ประเด็นสำคัญคือ ได้รับใบแจ้งหนี้และจักการชำระเรียบร้อย อาจตั้งคำถามกับตัวเอง กังขากับชีวิต แล้วรู้สึกสิ้นหวังเป็นบางวัน การมีงานทำ ไม่ว่าจะทำกี่ชั่วโมง หรือได้เงินเท่าไหร่ ก็ยังมีรายได้ที่ช่วยให้ตัวเองมีอาหารกิน มีที่นอน และมีเสื้อผ้าให้ใส่ในทุกวัน
อีกทั้งยังมีเวลาทำสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องกังวลว่าจะเอาอาหารมื้อต่อไปมาจากไหน กินอาหารเพื่อความสุขไม่ใช่เพื่อให้มีชีวิตรอดเท่านั้น เปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อเทียบกับตัวเองเมื่อปีก่อน มีเวลาและเงินในการทำสิ่งต่าง ๆ ที่มากกว่าแค่การทำงานไปวัน ๆ มีพื้นที่ของตัวเอง พื้นที่ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นบ้านหรืออพาร์ทเม้นท์ สิ่งที่ต้องการคือห้อง ๆ หนึ่ง มุมใดมุมหนึ่ง หรือโต๊ะตัวหนึ่ง ที่สามารถสร้างสรรค์และพักผ่อนได้ตามต้องการ
- การทำลายขีดจำกัดและวิธีที่ผู้คนเหนี่ยวรั้งตัวเองไม่ให้มีความสุขที่แท้จริง
คนส่วนใหญ่ไม่อยากมีความสุข พวกเขาจึงไม่มีความสุขจริง ๆ แค่ไม่รู้ตัวเท่านั้น เหตุผลที่ต่อต้านความสุขมีอยู่หลายข้อด้วยกัน แต่เหตุผลจำนวนมากเกี่ยวข้องกับการทึกทักเอาเองว่า ความสุขหมายถึงการเลิกไขว่คว้าสิ่งต่าง ๆ มากขึ้น ไม่มีใครอยากเชื่อว่าความสุขเป็นสิ่งที่เลือกได้ เพราะมันหมายความว่า พวกเขาต้องรับผิดชอบความสุขของตัวเอง ความสุขไม่ใช่ความรู้สึกเชิงบวกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหตุการณ์ที่ไร้แบบแผนดำเนินไปในทางที่คิดว่าควรจะเป็น แม้ไม่ใช่ความสุขที่ยั่งยืน ความสุขที่แท้จริงเป็นผลมาจากการฝึกตัวเองอย่างตั้งใจ และมีสติในทุกวัน มาเริ่มต้นจากการให้คำมั่นว่าจะทำเช่นนั้น ทุกคนมีความทนทานต่อความสุขที่จำกัด เมื่อสิ่งต่าง ๆ ทำให้มีความสุขเกินขีดจำกัด ก็จะบ่อนทำลายตัวเอง เพื่อกลับไปสู่ Comfort Zone อีกครั้ง
- ความสุขจากความเป็นเลิศ
ความสุขพื้นฐานมีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ความสุขจากความพึงพอใจ ความสุขจากความดีงาม และความสุขจากความเป็นเลิศ ความสุขจากความพึงพอใจเกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัส เช่น อาหารดี ๆ ในยามที่หิวโหย กลิ่นอากาศหลังฝนตก ความสุขจากความดีงามเกี่ยวข้องกับความรู้สึกขอบคุณ เช่น ช่วงเวลาที่พูดกับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเอง เพื่อแสดงความอ่อนน้อม และความยำเกรง สุดท้ายความสุขจากความเป็นเลิศ เกิดจากการไขว่คว้าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นกระบวนการของการค่อย ๆ ตกหลุมรักการปีนเขา เป็นผลมาจากความพยายามที่มีความหมาย และภาวะลื่นไหล
มันคือเป้าหมายที่กำหนดอัตลักษณ์ สร้างบุคลิกลักษณะ รวบรวมพลังงานเพื่อนำไปใช้กับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ กว่าการไล่ตามความปรารถนาชั่วครั้งชั่วคราวในแต่ละวัน ความสุขทุกรูปแบบล้วนจำเป็นอย่างยิ่ง และไม่อาจแทนที่กันได้ ความสุขจากความเป็นเลิศเกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นทางอารมณ์ อาศัยความระมัดระวัง ความรอบคอบ และความเสมอต้นเสมอปลาย แต่ก็มักหลีกเลี่ยงความสุขจากความเป็นเลิศ เพราะทำให้รู้สึกอึดอัด ความสุขไม่ใช่แค่การที่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับประสาทสัมผัส แต่ยังเป็นความสงบภายในจิตใจ การไขว่คว้าความสุขจากความเป็นเลิศ ไม่ได้มอบความสำเร็จ แต่มอบอัตลักษณ์หรือตัวตน ที่จะนำไปใช้กับสิ่งอื่น ๆ ในชีวิต
- ช่องว่างระหว่างการรู้กับการลงมือทำ
สาเหตุที่ไม่ยอมทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง และวิธีเอาชนะแรงต้านอย่างถาวร ช่องว่างระหว่างการรู้กับการลงมือทำ ซึ่งหมายถึงการรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร แต่ก็เลือกทำอย่างอื่นอยู่ดี ภารกิจที่ไม่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การเข้าใจว่าอะไรดี แต่เป็นการเข้าใจว่าทำไมถึงเลือกทำสิ่งอื่นแทน การเข้าใจโครงสร้างของแรงต้าน เป็นวิธีที่จะทำลายมันได้ การเอาชนะแรงต้านต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลง การรับรู้ที่มีต่อความสบายใจ
มันเป็นเรื่องของการพิจารณาทางเลือกที่มี และเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด เพื่อจดจ่อกับความอึดอัดที่จะเกิดขึ้น ถ้าไม่ลงมือทำสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แทนที่จะเป็นความอึดอัดใจที่จะเกิดขึ้นถ้าลงมือทำ ความกังวลจะก่อตัวเมื่อนิ่งเฉย ความกลัวและแรงต้านเพิ่มขึ้น เมื่อหลีกเลี่ยงที่จะลงมือทำ ส่วนใหญ่แล้วสิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ยากหรือต้องใช้ความพยายามมากอย่างที่คิด ทว่าสนุก คุ้มค่า และแสดงถึงตัวตนที่แท้จริง
- สิ่งที่ควรค่าแก่การนึกถึงมากกว่าอะไรก็ตามที่กำลังกลืนกินอยู่
ความรู้สึกเมื่อได้มีชีวิตอย่างที่ต้องการ สถานที่ที่จะอยู่อาศัย เสื้อผ้าที่จะใส่ ของที่จะซื้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต จำนวนเงินที่จะเก็บออม ผลงานที่จะรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำ แทนที่จะทำในช่วงสุดสัปดาห์ รวมถึงสิ่งที่จะถ่ายรูปเอาไว้ สิ่งที่อยากปรับปรุงเกี่ยวกับตัวเอง เพราะตัวเองไม่ชอบ ไม่ใช่เพราะคนอื่นไม่ชอบ บางครั้งวิธีที่ดีที่สุดในการแสดงความรักต่อตัวเองคือ การยอมรับว่าไม่ชอบตัวเอง และคิดหาวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถทำให้ดีขึ้นได้
วิธีที่เรียนรู้ได้ดีที่สุด และการนำวิธีเรียนรู้ดังกล่าวไปใช้ในชีวิตให้บ่อยขึ้น ไม่จำเป็นต้องหน้าตาดี มีพรสวรรค์ หรือประสบความสำเร็จมากเป็นพิเศษ ก็พบเจอสิ่งที่ทำให้ชีวิตลึกซึ้งได้ ไม่ว่าจะเป็นความรัก ความรู้ ความสัมพันธ์ หรือความเป็นพวกพ้อง รวมถึงความจริงที่ว่าไม่ว่า จะตัวเล็กจ้อยเพียงใด ล้วนมีความสำคัญต่อมนุษยชาติ ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งไป ทุกสิ่งก็ไม่เป็นเช่นนี้ตอนนี้
- สิ่งที่ต้องเลิกคาดหวังในช่วงอายุ 20 ปี
คนที่ไม่ธรรมดามีน้อยเหลือเกิน ทว่าการตระหนักถึงสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่า ควรละทิ้งศักยภาพของตัวเอง ความไม่ธรรมดาที่แท้จริงคือ การค้นพบความไม่ธรรมดาในเรื่องธรรมดา บางคนอาจไม่ได้มีโอกาสได้ใช้ชีวิตในช่วงอายุ 20 ปี ไม่มีใครคิดว่าตัวเองจะลาโลกนี้ไปตอนอายุยังน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่ยอมรับว่าการตัดสินใจผิดพลาด มีผลกระทบอย่างไร ก็จะหาเหตุผลให้ตัวเองทำผิดพลาดซ้ำ
การต้องการบางสิ่งมากพอ ไม่ได้ช่วยให้มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะได้มัน เพราะไม่สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ต้องการ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดด้วยการคิด อีกทั้งไม่อาจคาดการณ์ หลีกเลี่ยง หรือแสร้งว่าตัวเองไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ความรู้สึกอะไรก็ตามที่มีต่อบางสิ่งหรือบางคน ไม่ได้บ่งบอกว่าสิ่งนั้นหรือคนนั้น ถูกกำหนดโดยโชคชะตามากแค่ไหน การยึดติดกับภาพนั้นรังแต่จะทำให้สูญเสียสิ่งที่มีอยู่ในตอนนี้ไป
- อ่านตรงนี้ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรกับชีวิต
ถ้านึกสงสัยว่าตัวเองควรทำอะไรกับชีวิต ก็มีแนวโน้มว่าอยู่ในภาวะก้ำกึ่งระหว่างตระหนักว่า ไม่ต้องการสิ่งที่เคยปรารถนาในอดีต และอนุญาตให้ตัวเองต้องการสิ่งที่ปรารถนาในปัจจุบัน การคิดว่าตัวเองรู้ว่ากำลังทำอะไรกับชีวิต ระดับความหิวกระหายมันจะปลอบประโลมจิตใจ ให้เชื่อแบบผิด ๆ ว่าเส้นทางที่จะมุ่งไปทอดยาวอยู่ตรงหน้าแล้ว ความหิวกระหายเป็นสิ่งสำคัญ
ในขณะที่การคิดว่าตัวเองบรรลุเป้าหมายโดยสมบูรณ์แล้ว เป็นทางลัดสู่ความชะล่าใจ เมื่อคนเรารู้สึกได้รับการเติมเต็มแล้ว ก็จะหยุดอยู่กับที่และไม่เติบโตอีก ต้องการอะไรคือคำถามที่จำเป็นต้องถามตัวเองทุกวัน แล้วสิ่งที่เหมาะสมจะหาทางเข้ามาในชีวิต สิ่งที่ปรากฏขึ้นซ้ำ ๆ คือ สิ่งที่ต้องไขว่คว้าเอาไว้ ความจริงข้อสำคัญจะเป็นฝ่ายคว้าชัย แม้จะมีความจริงข้ออื่น ๆ ปรากฏออกมาด้วย
- อคติทางความคิดที่กำลังส่งผลต่อประสบการณ์ชีวิต
บรรดาอคติที่ส่งผลอย่างรุนแรง แม้จะมีอคติจำนวนมาก ที่ระบุได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะสร้างอคติอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาไม่ได้ อันที่จริงคนส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะสร้างอคติขึ้นเอง แต่มีความเป็นไปได้ว่ามันเกิดจากการผสมผสาน อคติต่อไปนี้เข้าด้วยกัน เช่น อคติจากการเชื่อว่าคนอื่นเป็นเหมือนตัวเอง อคติจากการคาดการณ์อนาคตจากชั่วขณะปัจจุบัน อคติจากการปักใจเชื่อ และอคติจากการให้ความสนใจสิ่งเชิงลบมากกว่า อคติจากการยุติข้อมูลเก่า ๆ อคติจากการเชื่อแบบผิด ๆ ว่าตัวเองมองเห็นแบบแผน อคติจากการเลือกรับข้อมูล อคติจากการหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง
- สิ่งที่คนจิตใจเข้มแข็งไม่ทำ
พวกเขาไม่ให้คุณค่ากับทุกสิ่งที่ตัวเองรู้สึก และรู้ว่าความเชื่อไม่ได้ทำให้บางสิ่งกลายเป็นจริง เข้าใจว่าการมีความเชื่อหรือความคิดที่ผิด ไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีคุณค่าในฐานะคนคนหนึ่ง ให้คุณค่ากับความรู้สึกของตัวเองด้วยการยอมรับมัน ไม่ทึกทักเอาเองว่าทุกสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน ต้องเกี่ยวข้องกับตัวเองไปเสียหมด ไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น วางตัวอย่างสงบและผ่อนคลายมากกว่า ยอมรับมือกับความอึดอัดใจเพื่อเลิกนิสัยเดิม ๆ คนที่ด่วนสรุปและจินตนาการถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มักไม่มั่นใจว่าจะสามารถดูแลตัวเองได้ ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น สิ่งที่ถูกและผิดเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลอย่างยิ่ง
- เรื่องสำคัญที่เข้าใจผิดเกี่ยวกับอารมณ์
การทำร้ายจิตใจมีผลกระทบระยะยาวที่เลวร้ายพอ ๆ กับการทำร้ายร่างกาย หรืออาจเลวร้ายกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งอารมณ์คงอยู่ยาวนานกว่าความทรงจำที่สร้างมันขึ้นมา มีเหตุผลที่คนทำงานสร้างสรรค์มักอยู่ในภาวะซึมเศร้า ความกลัวไม่ได้หมายความว่าอยากหนีไปให้พ้น แต่อาจหมายความว่าทำให้รู้สึกสนใจ จึงต้องการสำรวจอย่างละเอียด นี่หมายความว่าโดยทั่วไปแล้ว ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเว้นแต่อยากเข้าใจมัน การมีความรู้สึกอื่น ๆ นอกเหนือจากความสุข ไม่ได้บ่งบอกว่าล้มเหลว จะมีสุขภาพที่ดีได้ ต้องประสบกับสารพัดอารมณ์
- เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่รู้ว่าส่งผลต่อสิ่งที่รู้สึกเกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง
สิ่งที่พูดกับลูก ๆ จะกลายเป็นเสียงในหัวของพวกเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับร่างกายของผู้คน มักมีสาเหตุมาจากประสบการณ์แรก ๆ ที่พวกเขามีเกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์เชิงลบ วิธีที่เพื่อนประพฤติตัว และดูแลร่างกายตัวเอง นี้ไม่เกี่ยวว่าพวกเขาบอกหรือพูดเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไร คนเราจะเริ่มนำกรอบความคิดของคนที่ใช้เวลาด้วยกันมากที่สุดมาใช้โดยไม่รู้ตัว
การออกไปใช้เวลาข้างนอกเป็นสิ่งที่ดี เพราะแสงแดดช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง คนเราต่างก็ต้องพึ่งพาพลังงานจากแสงแดดเหมือนกับพืชผักที่เป็นอาหาร เมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าที่จะมอบให้กับโลกใบนี้ ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะยึดติดกับสิ่งที่มองเห็น และตัดสินได้ง่ายที่สุดอย่างร่างกาย การให้ความสนใจกับรูปร่างของคนดังอย่างต่อเนื่อง พวกเขาต่างถูกสังคมจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ส่วนหนึ่งในงานของพวกเขาคือการอดทนต่อสิ่งเหล่านี้ และมันเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก แต่ไม่จำเป็นต้องทำแบบเดียวกัน มันไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งนั้น ขอให้รักษารูปร่างมาตรฐานในแบบของตัวเอง
- สิ่งที่ควรกำหนดเป็นเป้าหมาย
หาความสุขจากสิ่งที่มีแทนที่จะไล่ตามสิ่งที่ไม่มี เหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในชีวิตเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่ากำลังพัฒนา แต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกได้รับการเติมเต็มในทางอารมณ์อย่างที่คิดไว้ ถ้ากำหนดเป้าหมายว่าจะชื่นชมในสิ่งที่มีแทนที่จะไล่ตามสิ่งที่ไม่มี และตระหนักว่าสิ่งที่ตัวเองมีคือ สิ่งที่เฝ้าแสวงหามาตั้งแต่แรก นี่คือสิ่งที่ควรลองทำ
ต่อไปนี้คือเป้าหมายจำนวนหนึ่งที่เริ่มทำได้เลย คือ การลงมือทำสิ่งที่ละเลยไป มองหาวิธีชื่นชมผู้คนในแบบที่พวกเขาเป็น หาเวลาให้เพื่อนข้างกาย แทนที่จะเสาะแสวงหาคนใหม่ ๆ ในแต่ละวันเขียน 1 สิ่งที่ร่างกายทำได้ เรียนรู้ที่จะชอบสิ่งที่ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายมากนัก เริ่มเขียนบันทึกประจำวัน 1-2 ประโยค เพื่อสรุปเรื่องราวในแต่ละวันตลอดทั้งปี เป็นต้น
- วิธีป้องกันไม่ให้ความคิดที่ไร้เหตุผล ทำลายชีวิต
เรียนรู้ที่จะแยกแยะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง ออกจากสิ่งที่กำลังคิด เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างความซื่อสัตย์กับความจริง จะอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตมากที่สุด ในเวลาที่ถูกความรู้สึกบางอย่างครอบงำ แต่นั่นเป็นเวลาที่แย่ที่สุด ในการสร้างความเปลี่ยนแปลง จงอย่าตัดสินใจเมื่อรู้สึกหงุดหงิด รอให้ตัวเองกลับมาอยู่ในภาวะปกติก่อน เลิกคิดแค่มิติเดียว คนที่กังวลมาก ๆ คือคนที่มักยึดติดกับความเชื่อ พวกเขาไม่สามารถมองเห็นความซับซ้อน โอกาส รวมถึงความเป็นจริงที่ตัวเองไม่รู้จักและไม่เข้าใจ
จงลงมือทำให้มากขึ้น ถ้ามีเวลาปล่อยให้ความคิดที่ไร้เหตุผล และเลวร้ายครอบงำ จำเป็นต้องแสวงหาสิ่งอื่นที่จะจดจ่อ ทุ่มเท และอดทนเพื่อมันมากขึ้น ทำให้แน่ใจว่ากำลังใช้ชีวิตอยู่จริง ๆ ไม่ใช่แค่นึกถึงการใช้ชีวิต มองว่าการที่รู้สึกอึดอัดใจมากที่สุดหมายความว่า ถึงเวลาที่จะต้องเติบโตให้มากขึ้น ฝึกยอมรับทุกสิ่งในชีวิตโดยไม่ตัดสิน สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ขยายขอบเขตการรับรู้ ฝึกคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลบ่อย ๆ จะค้นพบว่าตัวเองมีความสามารถ นี่ไม่ใช่เพราะชีวิตง่ายขึ้น แต่เป็นเพราะฉลาดขึ้น
- ความสงบแบบเซนของการคิดสร้างสรรค์
การคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด ไม่ต่างจากการกิน การพูดคุย การเดิน การคิดสร้างสรรค์มักเป็นกระบวนการที่ให้ความสำคัญกันโดยธรรมชาติ ในโลกความเป็นจริง การคิดสร้างสรรค์คือรูปแบบของการศึกษา การสื่อสาร และการทบทวนความคิดของตัวเอง ไม่น่าแปลกใจที่กระบวนการสร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด ดูจะสอดคล้องกับศิลปะของนิกายเซน ไม่ว่าจะเป็นการทำสมาธิ สติ สัญชาตญาณ การไม่ต่อต้าน หรือการไม่ตัดสินสิ่งที่เกิดขึ้น ตามแก่นแท้ของนิกายเซน
การคิดสร้างสรรค์จะได้รับการส่งเสริมมากที่สุด เมื่อเรียนรู้ที่จะทำเช่นนั้นโดยไม่ตัดสินสิ่งใด ในทำนองเดียวกับที่การสังเกตความคิด และความรู้สึกของตัวเองอย่างเป็นกลางนั้น เป็นหนทางสู่ความสงบด้วยเช่นกัน การคิดสร้างสรรค์ไม่ใช่สิ่งที่จะวัดปริมาณได้ แม้มันจะเป็นความรู้สึก การแสดงออก เปิดใจให้ตัวเองได้อย่างอิสระ และยิ่งรู้สึกสบายใจกับแก่นแท้ของตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างสรรค์ได้อย่างสงบสุข ทุกเมื่อที่ต้องการมากเท่านั้น
- ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือ
วิธีที่คนที่ได้รับแรงจูงใจจากภายใน กลายเป็นตัวเองในแบบที่ดีที่สุด สิ่งเดียวที่ทรงพลังที่สุด และช่วยให้เป็นอิสระที่สุด ที่ทุกคนสามารถทำได้คือ เลือกที่จะเชื่อว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นเพื่อช่วยเหลือเรา จะมองว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของเรื่องราวที่เกิดขึ้น หรือมองว่าตัวเองได้รับโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลง เติบโต เปลี่ยนมุมมองใหม่ และพัฒนา เมื่อคิดว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมีเป้าหมายบางอย่าง ความอึดอัดใจก็จะจางหายไป ความเจ็บปวดเปลี่ยนจากสิ่งรบกวนเป็นโอกาส แล้วความทุกข์ทรมานก็จะสิ้นสุดลง จะอยู่กับความอึดอัดใจไปตลอดชีวิตที่เหลือ หรือจะเติบโตและ พร้อมรับมือกับเรื่องที่ยากลำบากที่สุดก็ได้
- วิธีตระหนักว่าสิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคต่อความสุขก็คือตัวเอง
ปัญหาเดียวในชีวิตคือ วิธีที่มองชีวิตของตัวเอง ถ้ามองอย่างเป็นกลาง มีทุกสิ่งที่ปรารถนา และต้องการอยู่แล้ว แต่เป็นทุกข์เพียงเพราะไม่สามารถรู้สึกซาบซึ้งกับสิ่งที่มี วิธีแก้ไขปัญหาส่วนใหญ่คือ การเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้น เกียจคร้านที่จะท้าทายจิตใจตัวเอง ไม่เคยฝึกที่จะดื่มด่ำกับความสุขได้นาน ใส่ใจกับความสบายใจมากกว่าความเปลี่ยนแปลง ใช้เวลากับคนที่ไม่ได้ดีต่อตัวเอง ไม่ยอมให้ความคิดเกี่ยวกับตัวเองได้พัฒนา ไม่รับผิดชอบชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ และรอให้บางสิ่งมาเปลี่ยนแปลงความรู้สึก เชื่อว่าความสุขเกิดจากระดับของความสำเร็จมากกว่าภาวะที่เป็นอยู่ ท้ายที่สุดจะรู้ว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่ การเลือกจดจ่อกับชีวิตดี ๆ ของตัวเองให้มากขึ้น
- จิตวิทยาของการก้าวข้ามอุปสรรค
ความสำเร็จเป็นผลลัพธ์ของกิจวัตรมากกว่าทักษะ ถ้าอยากทำบางสิ่งให้ดีเลิศต้องทำสิ่งนั้นบ่อย ๆ สิ่งที่แยกผู้เชี่ยวชาญออกจากคนทั่วไปคือ ส่วนผสมระหว่างการควบคุมตัวเองอย่างจริงจัง กิจวัตรที่เคร่งครัดและการมุ่งมั่นอย่างไม่สั่นคลอน ทักษะตามธรรมชาติอาจเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่การควบคุมตัวเองเป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาขึ้นมา คนที่เข้าใจเรื่องนี้จะใช้เวลาอย่าง ชาญฉลาด จะกำจัดการตัดสินใจที่ไม่จำเป็น ลดสิ่งที่ทำให้วอกแวก และจำกัดสิ่งที่ไม่สลักสำคัญ จะทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชำนาญและเป็นนิสัย
3 ขั้นตอนเพื่อสร้างทักษะใหม่ ๆ คือ 1.การรู้คิด คิดวิเคราะห์เกี่ยวกับงาน ทำผิดพลาด และคิดค้นกลยุทธ์ที่จะทำงานให้ดีขึ้น 2.การเชื่อมโยง ใช้ความพยายามในการทำงานนั้นให้ลุล่วง แต่ไม่ต้องใช้พลังสมองมากเท่าตอนแรก 3.การทำโดยอัตโนมัติ เมื่อเข้าสู่ภาวะลื่นไหล ไม่ต้องตั้งใจจดจ่อกับงานทุกขั้นตอน และปล่อยให้ระบบอัตโนมัติได้รับหน้าที่แทน
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำได้คือ การลงมือทำให้มาก ๆ รวมถึงกำหนดเส้นตายให้ตัวเอง ถ้ามีความปรารถนาแล้ว ความสามารถที่จะทำเช่นนั้น ก็ต้องกำจัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็น ลงมือทำพร้อมควบคุมตัวเอง และมุ่งมั่นต่อไปเรื่อย ๆ
- คำถามที่ควรถามตัวเอง ถ้าเหนื่อยกับการไล่ตามความรักจากคนอื่น
ถ้าคนอื่นไม่รัก ก็โน้มน้าวให้พวกเขารักไม่ได้ นี่คือกฎที่อยู่เหนือกฎส่วนใหญ่ ความรักไม่ใช่สิ่งที่ได้รับ ทั้งยังไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นมีและต้องได้มา มันไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ภายนอกตัว คนอื่นไม่ต้องการแสดงความรัก ความชื่นชม และความเคารพ จึงมี 2 ทางเลือกได้แก่ พยายามเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนั้น ซึ่งทำให้ติดอยู่ที่เดิม หรือมอบความรักต่อไป ซึ่งทำให้ก้าวไปข้างหน้า ความรักไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นสามารถพรากไป มันไม่ใช่สิ่งที่ได้รับแต่เป็นสิ่งที่สัมผัส การมอบความรักให้กันและกันต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียม ซื่อสัตย์ และเต็มใจทั้งสองฝ่าย
ความรักไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นต้องมีหน้าที่มอบให้หรือติดค้างในชีวิตนี้ ชีวิตคือเรื่องราวของความรักเล็ก ๆ ที่เรียงร้อยเข้าด้วยกัน แต่ละเรื่องล้วนสอนให้รักได้ดีขึ้น เสียสละได้มากขึ้น และเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น รวมถึงสอนว่าชอบและไม่ชอบอะไร มันยังสอนให้เดินจากไปอย่างสง่างาม เคารพตัวเองอย่างแท้จริง และรับฟังสัญชาตญาณของตัวเอง
- เท้าอยู่ตรงไหน จงอยู่ตรงนั้น
ถ้อยคำที่จะย้ำเตือนว่า ชีวิตคือตอนนี้ ปัจจุบันคือทั้งหมดที่มี แต่มักได้รับความสำคัญเป็นลำดับสุดท้าย การอยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าทำได้ง่ายก็คงอยู่กับปัจจุบันได้ไม่ยากเหมือนกับตอนนี้ ในโลกที่เรียกร้องความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ไม่ควรลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นคือ การพิจารณาชั่วขณะหนึ่งว่า ตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น ทุกสิ่งที่ใฝ่ฝัน ต้องการ ทุ่มเท ปรารถนา และเฝ้ารอ ล้วนเกิดจากช่วงเวลานี้ สิ่งที่ทำตอนนี้ไม่ได้เป็นเพียงบางสิ่ง แต่เป็นทุกสิ่ง จดจำว่าชีวิตสร้างขึ้นจากประสบการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบัน ส่วนการจมอยู่กับอดีต หรือการหมกมุ่นกับอนาคต ขัดขวางไม่ให้อยู่กับปัจจุบัน
- คำถามที่จะแสดงให้เห็นตัวตน และสิ่งที่เกิดมาเพื่อทำ
คนทั่วไปเชื่อว่าการเข้าใจตัวตนของตัวเองนั้น ไม่ใช่เรื่องของการค้นพบ แต่เป็นโลกของการระลึกถึงมากกว่า เคยเข้าใจตัวตนของตัวเองโดยไม่ต้องระลึกถึงสารพัดเหตุการณ์ในชีวิต ช่วงเวลาที่อยู่เพียงลำพัง ประสบการณ์ที่ไม่ได้สำคัญ ตลอดจนความสัมพันธ์อันไร้แบบแผน สิ่งที่ได้ผลจริง ๆ คือการแค่ตระหนักถึงสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว จุดประสงค์สำคัญของระบบนำทางด้านจิตใจ ที่ได้ผลนั้นไม่ใช่เพื่อปลูกฝังกรอบคิดใหม่ แต่เพื่อมอบเครื่องมือในการตรวจสอบตัวเอง ตั้งคำถามค้นหาคำตอบ และทบทวนความคิด จากนั้นก็เชื่อมโยงกับระบบนำทางภายใน สัญชาตญาณ และแก่นแท้ของตัวเอง
ผ่านการรับรู้ดังกล่าวต่อไปนี้คือ คำถามที่สำคัญที่สุดที่ควรถามตัวเอง ดังนี้ ใครหรืออะไรที่คุ้มค่ากับการยอมอดทน จะยึดมั่นในสิ่งใดถ้ารู้ว่าคนอื่นจะไม่ตัดสิน จะทำอะไรถ้ารู้ว่าคนอื่นจะไม่ตัดสิน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคืออะไร ถ้าไม่ต้องทำงานอีกต่อไปจะทำอะไรในแต่ละวัน สิ่งที่รบกวนจิตใจมากที่สุดเกี่ยวกับคนอื่นคืออะไร จงขุดคุ้ยต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมองเห็นความเชื่อมโยง
- สัญญาณที่บอกว่า พัฒนามาไกลกว่า ที่ยกความดีความชอบให้ตัวเอง
มันเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นว่า ตัวเองเดินมาไกลมากแค่ไหน ในระหว่างที่มัวแต่จดจ่ออยู่กับการเดินไปข้างหน้าทีละก้าว คนอื่นบอกว่าเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน แต่แทบไม่ได้ตระหนักถึงมัน เพราะอยู่กับตัวเองทุกวัน นี่เป็นเรื่องปกติ แต่เป็นผลจากการจดจ่ออยู่กับความคิดที่ว่า เหลืออะไรให้ทำอีกบ้าง นี่คือสัญญาณจำนวนหนึ่งที่บอกว่า พัฒนามาไกลกว่าที่คิด
มีบางสิ่งในชีวิตซึ่งเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ หรืออย่างน้อยก็เป็นความฝันที่กลายเป็นจริง เช่นความเคร่งขรึม วุฒิการศึกษาระดับปริญญา คนรัก งานในฝัน สร้างระบบความเชื่อของตัวเอง หรือไม่ก็ตั้งคำถามเกี่ยวกับระบบความเชื่อเดิมของตัวเองอย่างละเอียดและถี่ถ้วน ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ไม่รู้สึกเชื่อมโยง หรือคิดว่าสมเหตุสมผลอีกต่อไป กังขาอย่างยิ่งกับทุกสิ่งที่ผู้คนบอกว่ามันเป็นอย่างนี้ และเปิดใจยอมรับอยู่เสมอว่า ยังมีวิธีดำเนินชีวิตที่แตกต่างจากนี้ ซึ่งดีกว่า อ่อนโยนกว่า และตื่นรู้มากกว่า รวมถึงเต็มใจที่จะลองดำเนินชีวิตเช่นนั้น
- สัญญาณที่บอกว่า ปัญหาเดียวในชีวิตคือ วิธีที่คิดเกี่ยวกับมัน
ใช้เวลากับการครุ่นคิดเกี่ยวกับชีวิตมากกว่าการใช้ชีวิตจริง ๆ ใช้เวลากับการวิเคราะห์ปัญหามากกว่าคิดหาวิธีแก้ไข เอาแต่ฝันกลางวันมากกว่า ถามตัวเองว่ามีความคิดเหล่านั้น บ่งบอกว่าชีวิตขาดบางสิ่งไป ไม่ก็คิดหาวิธีแก้ไขใหม่ ๆ แทนที่จะใช้วิธีที่มีอยู่ มัวแต่คิดทบทวน แทนที่จะหาประสบการณ์ แล้วก็มานึกสงสัยว่า ทำไมตัวเองยังไม่รู้สึกพึงพอใจเสียที แม้รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับความสุขที่เรียบง่าย เหมือนเคยคิดว่าธรรมชาติน่าเบื่อ และการเล่นสนุกเป็นเรื่องของเด็ก ๆ เมื่อหลงลืมความน่าอัศจรรย์ของสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ สาเหตุไม่ได้เพราะความอัศจรรย์นั้นหายไป แต่เป็นเพราะหันไปสนใจสิ่งอื่นแทน
ความรู้สึกแย่ ๆ กลายเป็นวันแย่ ๆ คิดว่าการมีความรู้สึกเชิงลบเป็นผลมาจากการที่ชีวิตมีบางสิ่งผิดปกติ ทั้งที่ความจริงมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะความวิตกกังวล ความเจ็บปวด หรือความซึมเศร้าก็ล้วนมีประโยชน์ พวกมันคือสัญญาณ การสื่อสาร คำแนะนำ และคำเตือนที่ช่วยให้คนเรายังมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างแท้จริง เก็บความสุขเอาไว้ดื่มด่ำในวันข้างหน้า เริ่มรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่เรียบง่ายและสวยงาม แล้วจู่ ๆ ก็หยุดตัวเอง เพราะความรู้สึกไม่พอใจเกี่ยวกับสิ่งอื่นกระตุ้นให้ทำเช่นนั้น สร้างปัญหาในด้านหนึ่งของชีวิต ให้สมดุลกับอีกด้านหนึ่งที่ไปได้สวย เพราะคิดว่าความสุขเป็นสิ่งที่จำกัด
- โต้เถียงอย่างชาญฉลาดหรือเปล่า
วิธีหลักที่ผู้คนใช้ในการโต้เถียง ตั้งแต่เพื่อป้องกันตัวเองไปจนถึงคัดค้าน การโต้เถียงเป็นการตอบสนองโดยอัตโนมัติ ไม่ใช่สิ่งที่เลือกเอง อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่หมายความว่าการโต้เถียงไม่มีจุดประสงค์สำคัญ มักโตเถียงเมื่อรู้สึกว่าอัตลักษณ์ของตัวเองถูกคุกคาม แต่ในขณะเดียวกัน มันเป็นวิธีที่สามารถสื่อสารความรู้สึก เกี่ยวกับสิ่งสำคัญได้อย่างแรงกล้าด้วย ถ้าคนคนหนึ่งโต้เถียงอย่างชาญฉลาด พวกเขาก็สามารถควบคุมสถานการณ์สังคมของตัวเองได้เลย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ ความรักหรืออื่น ๆ มีหลายวิธีโต้เถียงที่โง่เง่า แล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ผล
ต่อไปนี้คือวิธีการโต้เถียงที่ผู้คนนิยมใช้ เช่น การเรียกอีกฝ่ายด้วยถ้อยคำหยาบคาย การโจมตีตัวบุคคล การวิจารณ์น้ำเสียง การโต้เถียง การโต้เถียงด้วยหลักฐาน การหักล้างประเด็นสำคัญ เป็นต้น
- สัญญาณที่บอกว่า อันที่จริงอาการจิตตกคือ ความก้าวหน้าครั้งสำคัญทางอารมณ์
ตั้งคำถามกับทุกสิ่ง เลิกเชื่อว่าทุกสิ่งเป็นอย่างที่เห็น หรือสิ่งที่ถูกสอนให้เชื่อ เป็นวิธีคิดที่ถูกต้องสำหรับทุกอย่าง ค้นพบสิ่งที่ไม่รู้ตัวเองไม่รู้ ตระหนักว่าวิธีคิดที่ทำให้มีความสุขกับปัจจุบัน แตกต่างจากวิธีคิดที่ทำให้มีความสุขกับโอกาส ความเป็นไปได้และทุกสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ ตระหนักว่าหลายสิ่งที่กลับมาปรากฏในชีวิตซ้ำ ๆ มันเกิดขึ้นอย่างเป็นแบบแผน ถ้าคิดหาวิธีคิดเปลี่ยนแบบแผนได้ สิ่งเหล่านั้นก็อาจเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน
ความโกรธถือเป็นอารมณ์ที่มีประโยชน์ ก็ต่อเมื่อค้นพบในท้ายที่สุดว่าไม่ได้โกรธโลกใบนี้แต่โกรธตัวเอง อารมณ์โกรธกระตุ้นให้ลงมือทำ มันพลุ่งพล่านอยู่ในตัว และพาไปสู่เส้นทางใหม่ ๆ เริ่มสงสัยว่าเกิดมาเพื่อนอนกิน ทำงาน แล้วก็ลาโลกไปแค่นั้นจริง ๆ หรือ ผุดความคิดที่จะทำเงินมหาศาล ค้นพบคนที่ใช่ ได้รับโอกาสสำคัญ ในสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดความก้าวหน้าครั้งสำคัญ เบื่อที่จะยอมรับความปกติแบบเดิม ๆ แล้ว ค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ยอดเยี่ยมกว่า สดใสกว่า รวมถึงทำให้มีความสุขมากกว่า
- วิธีเลิกใส่ใจสายตาของคนอื่น และเริ่มสนใจว่ารู้สึกอย่างไรกับชีวิตตัวเอง
ลองนับจำนวนครั้งที่มีความสุขอย่างแท้จริง หลังจากได้รับสิ่งที่คิดว่าตัวเองต้องการ มีความเป็นไปได้ว่าสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตแตกต่างไปจากเดิม แต่ก็มีทั้งในทางที่ดีและแย่พอ ๆ กัน จงถ่ายรูปเพื่อเก็บช่วงเวลาแห่งความสุขเอาไว้ ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองดูดีหรือทำอะไรเจ๋ง ๆ สร้างอัลบั้มพิเศษในโทรศัพท์มือถือ เก็บช่วงเวลาแห่งความสุข เมื่อย้อนกลับมาดูรูปภาพที่ดูไร้แบบแผนเหล่านี้ จะสัมผัสถึงความรู้สึกในช่วงเวลานั้นอีกครั้ง
จงนึกถึงสิ่งที่ทำให้อิจฉามากที่สุด สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความอิจฉาริษยาได้มากที่สุด มักเป็นสิ่งที่คนเรารู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีอย่างที่หวัง ลองทบทวนวิธีที่เฉลิมฉลองวันสำคัญประจำปีเสียใหม่ ในวันสำคัญเช่นนี้ควรจะได้ใช้เวลาปาร์ตี้ ร่วมมื้ออาหาร และแลกของขวัญกับคนที่รักมาตลอดทั้งปี ไม่ใช่คนที่รู้สึกว่าเป็นหน้าที่ทางศีลธรรมที่ต้องอดทนกับพวกเขา จงกำจัดสิ่งของที่ไร้ประโยชน์หรือไร้ความหมาย นี่เป็นเรื่องสำคัญเพราะสิ่งของสามารถนิยามตัวเองได้ จงเข้าใจว่าการที่จะคู่ควรกับสิ่งใด ต้องรู้สึกขอบคุณที่ได้ครอบครองสิ่งนั้น ให้คิดเสียว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นดีที่สุดแล้ว
- เหตุผลที่ไม่ควรแสวงหาความสบายใจ
สมองไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่ดีออกจากสิ่งที่แย่ มันรู้จักเพียงความสบายใจกับความอึดอัดใจ รวมถึงทำไมถึงทำบางสิ่งทั้งที่รู้ว่าไม่ดีกับตัวเอง และเข้าใจผิดคิดว่ามันทำให้รู้สึกดี แทนที่จะพยายามไขว่คว้าสิ่งที่ดีกว่า ตัวเราจึงไขว่คว้าสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองรู้จัก มันเป็นแค่ทางออกของปัญหา ที่ไม่จำเป็นต้องสร้างขึ้นมาอีกก็ตาม จึงติดอยู่กับชีวิตที่ซ้ำซากจำเจ หรือไม่อยากเปลี่ยนแปลงแม้รู้ว่ามันจะส่งผลดี
ทางเดียวที่จะเติบโตคือการก้าวไปหาสิ่งที่ไม่รู้จัก คนเรามักมีเกาะคิด 2 แบบได้แก่ กรอบคิดแบบนักสำรวจ และแบบผู้ตั้งถิ่นฐาน เป้าหมายสุดท้ายคือ การทำให้เสร็จสิ้นทั้งที่โลกใบนี้ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อวิวัฒนาการคนที่มีกรอบคิดแบบนักสำรวจทรัพยากร หาความสุขจากสิ่งที่มีได้อย่างแท้จริง และสัมผัสประสบการณ์นั้นได้เต็มที่ ชีวิตไม่ใช่เรื่องของความมั่นใจ แต่เป็นการลองทำ ไม่มีใครมั่นใจอย่างแท้จริง คนที่รักชีวิตของตัวเองจึงเลือกที่จะลองทำดูก่อน
- เสาหลักของการเห็นคุณค่าในตัวเอง
เหตุผลที่สิ่งสำคัญไม่ใช่รู้สึกอย่างไร แต่เป็นคิดว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้ เห็นคุณค่าในตัวเองไม่ได้เกี่ยวกับว่ามั่นใจ คนอื่นจะมองในแง่ดีมากแค่ไหน แต่เกี่ยวกับว่ามั่นใจว่าจะสามารถจัดการชีวิตของตัวเองได้มากเพียงใด ต่อไปนี้คือ หลักปฏิบัติหรือเสาหลัก ที่สร้างการเห็นคุณค่าในตัวเองได้ คือ ดำเนินชีวิตอย่างรู้ตัว ยอมรับตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง แสดงจุดยืนของตัวเอง ดำเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย การยึดมั่นส่วนตัว เพื่อสร้างแนวทางในแบบของตัวเอง แทนที่จะยึดติดกับแนวทางที่ถูกปลูกฝังมา สามารถพิจารณาตัวเลือกต่าง ๆ อย่างเป็นกลาง แม้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
- เหตุผลที่ควรรู้สึกขอบคุณคนที่ทำร้ายมากที่สุด
การที่คนคนหนึ่งมีความสำคัญต่อชีวิตมากขนาดนั้น เป็นเรื่องที่น่ายกย่อง แม้แต่ตอนที่สิ่งต่าง ๆ ผิดเพี้ยนไป ถ้ารู้สึกไร้ที่พึ่ง จะเรียนรู้วิธีดูแลตัวเอง เพราะรู้สึกเหมือนถูกหลอกใช้ และตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง คนที่เผชิญเรื่องราวมามากมายมักฉลาดกว่า อ่อนโยนกว่า และมีความสุขมากกว่าในภาพรวม นี่เป็นเพราะพวกเขาเผชิญกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ผ่านหรือก้าวข้ามมันไป เพราะเขายอมรับความรู้สึกของตัวเองโดยสมบูรณ์ รวมถึงเรียนรู้และเติบโต
พวกเขาเกิดความเห็นอกเห็นใจ ตระหนักรู้ในตัวเอง และเลือกคนที่จะเข้ามาในชีวิตอย่างรอบคอบมากขึ้น ความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดแสดงให้เห็นว่าคู่ควรกับสิ่งใด อันที่จริงความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่ได้ทำร้าย แต่แสดงให้เห็นถึงบางส่วนในตัวที่ไม่ได้รับการเยียวยา ซึ่งเป็นส่วนที่ขัดขวางไม่ให้ได้รับความรักอย่างแท้จริง ถ้าอยากก้าวไปข้างหน้าต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นมีบทบาทกับชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ถ้าอยากยอมรับชีวิตของตัวเองโดยสมบูรณ์ ต้องรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งที่เกิดขึ้น และรับรู้ว่าเรื่องที่ดี ๆ คือครูที่ยอดเยี่ยม แต่เรื่องแย่ ๆ คือครูที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า
- การพยายามทำความเข้าใจชีวิตคือสิ่งที่เหนี่ยวรั้งเอาไว้
ควรเลิกพยายามทำความเข้าใจชีวิตของตัวเอง เพราะนั่นเท่ากับเป็นการพยายาม ทำความเข้าใจวิถีที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ราวกับมันเป็นสิ่งที่ควบคุมเรา ไม่ใช่เราควบคุมมัน กำลังนำชีวิตปัจจุบันไปใช้พิจารณาตัวตนในอดีต ทุกสิ่งที่อยู่ในภาวะที่แท้จริงที่สุดล้วนเข้าใจได้ยาก มันน่าอัศจรรย์เพราะมีความลึกลับอยู่ในตัว สิ่งเหล่านี้มีจุดกำเนิดที่ไม่มีใครล่วงรู้ ทว่านี่จุดจบที่ชัดเจน และสิ่งที่ทำได้ก็มีเพียงประสบกกับมันและคอยเฝ้าดู
ในชีวิตจะมีหลายสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ทันที เพราะตั้งใจทำให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น สิ่งที่รู้ว่าเป็นคนเลือกเอง และสิ่งที่ดูจะไม่ได้เป็นตามความต้องการ ซึ่งสำคัญพอ ๆ กับสิ่งที่เลือกเอง หรืออาจสำคัญกว่าด้วยซ้ำ การพยายามทำความเข้าใจชีวิตคือ การพยายามพิจารณาว่าเรื่องราวในอดีตเป็นจริงหรือเปล่า และตัวตนในอดีตจะมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันไหม พูดอีกอย่างว่ากำลังมองหาคำตอบจากคนที่ไม่มีตัวตน ชีวิตที่ดีเกิดจากการเลือกทุ่มเทให้กับสิ่งที่มี ยอมรับว่าไม่อาจเลือกสิ่งที่อยากทุ่มเทได้เสมอไป แต่รู้ว่าจะได้รับสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการทุ่มเทกับสิ่งเหล่านั้นทุกครั้ง โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ตระหนักว่าจำเป็นต้องใช้มัน
- วิธีดีท็อกซ์จิตใจ
มีประเด็นอีกมากมายที่ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการดูแลร่างกาย เมื่อเป็นเรื่องต้องการดูแลจิตใจ สมองสร้างประสบการณ์ขึ้นมา ต่อไปนี้คือสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อดีท็อกจิตใจ ปลดปล่อยความคิด และลืมเรื่องแย่ ๆ เช่น ท่องเที่ยวเพื่อซึมซับวัฒนธรรม คิดหาวิธีที่แท้จริงในการแก้ไขปัญหาทางอารมณ์ รู้ว่าอารมณ์ที่เป็นพิษเกิดจากการต่อต้านอารมณ์ ระบุสิ่งที่ผูกมัดเอาไว้ ออกกำลังกายสมอง เลือกหนังสือที่เกี่ยวกับเรื่องที่สนใจ และเรียนรู้เรื่องนั้นให้มากขึ้น อ่านงานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่มีข้อสันนิษฐานอยู่ในใจ และเรียนรู้ที่จะรักการเรียนรู้ ด้วยการกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมกับสิ่งที่อยากรู้อยากเห็น วิธีนี้จะทำให้ตระหนักถึงสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้มากขึ้น
- สัญญาณที่บอกว่าปัญหาเดียวในชีวิตคือ การที่มัวแต่คิดมากกว่าที่จะออกไปใช้ชีวิตจริงๆ
ความกังวลมักเป็นผลจากการไม่ลงมือทำอะไรเลย การใช้ความคิดเพื่อประเมินชีวิตของตัวเอง ควรทำให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ใช่ยากกว่าเดิม เป้าหมายคือผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่การลงมือทำที่สมบูรณ์แบบ ให้คิดถึงการลงมือทำ และกระบวนการที่ทำให้มันกลายเป็นจริงดีกว่า แทนที่จะรับมือกับปัญหาในชีวิต กลับฝันกลางวันถึงชีวิตที่แสนยิ่งใหญ่ เพื่อทำให้ตัวเองมีความสุข และกำจัดความอึดอัดใจ
หากต้องการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งในชีวิต แต่ทว่าเอาแต่ครุ่นคิดเกี่ยวกับอดีต แทนที่จะสร้างสิ่งใหม่ ๆ จนไม่ต้องการมันอีกต่อไป แต่อันที่จริงความยุ่งยากเช่นนี้เกิดจากความไม่มั่นใจ ซึ่งเกิดจากการที่ไม่สามารถยอมรับสถานการณ์ตามความเป็นจริงที่แสนเรียบง่ายได้ เมื่อพยายามทำบางสิ่งแล้วล้มเหลว จะหมกมุ่นกับการหาคำตอบอยู่อย่างนั้นว่า ทำไมตัวเองถึงล้มเหลว แทนที่จะพิจารณาว่า ได้เรียนรู้อะไร จากนั้นก็ก้าวต่อไป และทดลองสิ่งใหม่ ๆ โน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อว่า ชีวิตจะเริ่มต้นก็ต่อเมื่อทุกอย่างลงตัว แต่อันที่จริงชีวิตคือการลงมือทำให้ทุกอย่างลงตัว
- เหตุผลที่คนที่ใช้ชีวิตด้วยตรรกะมีชีวิตที่ดีกว่า
เชื่อว่าความหลงใหลจะนำไปสู่ชีวิตที่น่าพึงพอใจ ประสบความสำเร็จ และเปี่ยมความสุข ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่การทำตามความหลงใหล แต่อยู่ที่การทำตามเป้าหมายอย่างหลงใหล ความหลงใหลเป็นการเดินทาง ไม่ใช่สิ่งที่กำหนดจุดมุ่งหมาย ความหลงใหลคือประกายที่ก่อให้เกิดเปลวไฟ ในขณะที่เป้าหมายคือเชื้อไฟ ที่ทำให้เปลวไฟโชติช่วงตลอดคืน ความสามารถในการมองชีวิตของตัวเองอย่างเป็นกลาง รวมถึงตีความรู้สึก เหตุการณ์ และทางเลือกต่าง ๆ ด้วยมุมมองที่สมเหตุสมผล ไม่เพียงส่งผลดี แต่ยังสำคัญอย่างยิ่งต่อการใช้ชีวิตด้วย
คนที่ใช้ชีวิตด้วยความหลงใหลพัฒนาความสัมพันธ์จากความสุข ส่วนคนนี้ใช้ชีวิตด้วยตรรกะพัฒนาความสัมพันธ์จากเป้าหมาย เป้าหมายนั้นคือความรักไม่ใช่การยึดติด ทว่ามีความรู้สึกดี ๆ มากมายที่ไม่ได้เกิดจากความรัก และมีหลายสิ่งที่ทำกับคนที่สำคัญต่อตัวเองโดยเข้าใจไปว่ามันคือความรัก ตรรกะทำให้มองอย่างเป็นกลาง ในขณะที่ความหลงใหลทำให้ยึดความรู้สึกเป็นหลักและมองไม่รอบด้าน ช่วยให้ตัดสินใจเพื่อตัวตนที่ใฝ่ฝัน ในขณะที่ความหลงใหลช่วยให้ตัดสินใจ เพื่อตัวตนในปัจจุบันและในอดีต
- สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับตัวเอง ก่อนที่จะมีชีวิตที่ต้องการ
เมื่อเป็นเรื่องของการสร้างชีวิตที่ต้องการ ถูกสอนให้เริ่มจากจินตนาการว่า อยากให้สิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างไร จึงจินตนาการถึงชื่อตำแหน่งงานมากกว่าบทบาท ภาพลักษณ์มากกว่าความเป็นจริง รวมถึงแนวคิดมากกว่างาน หน้าที่และกิจวัตรในแต่ละวัน คนเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อ และโน้มน้าวให้ตัวเองเชื่อว่า ความยากลำบากเป็นสิ่งที่ทำให้งานมีความหมายลึกซึ้งและสำคัญ เชื่อว่าต้องทุกข์ทรมาน เพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก ทั้งที่จริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นเลย
สิ่งที่มีคุณค่าพอกันคือ การค้นหาทักษะที่ทำได้โดยธรรมชาติ และไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก แล้วเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากมันให้เต็มที่ ทุกสิ่งล้วนมีความยากลำบากในแบบของมัน ความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ยากลำบาก แต่ความสัมพันธ์ที่ใช่ก็ลำบากด้วยเช่นกัน รวมถึงการขัดสนเงินทอง และทำความฝันให้เป็นจริง การอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และการไม่รู้สึกอะไรเลย ทุกสิ่งล้วนมีความยากลำบาก แต่เลือกได้ว่าสิ่งใดคุ้มค่ากับการเผชิญความยากลำบาก ทุกสิ่งล้วนมีความหมาย หน้าที่ไม่ใช่การเข้าใจว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่เป็นการค้นหามันให้เจอตั้งแต่แรก
- สิ่งที่คนมีสุขภาวะทางอารมณ์รู้วิธีทำ
ในบรรดาความกังวลด้านสุขภาพที่สังคมอ้างว่าให้ความสนใจ สุขภาวะทางอารมณ์คงเป็นสิ่งที่ถูกละเลยมากที่สุด รู้ว่าอารมณ์เป็นผลลัพธ์ของตัวตน จึงสร้างมันเอาไว้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่สูงส่ง บางส่วนที่กดเอาไว้อย่างเงียบเชียบ ในทางจิตวิทยาเรียกว่าด้านมืดในตัวเอง องค์ประกอบของคนที่มีสุขภาวะทางอารมณ์ มันก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าในการคิดพิจารณา เช่น รู้วิธีรับฟังความเจ็บปวดของตัวเอง รู้วิธีสังเกตความคิดอย่างเป็นกลาง และไม่เชื่อมโยงตัวเองกับความคิดเหล่านั้น
มองเห็นสิ่งที่น่ารังเกียจของคนอื่นในตัวเอง ใช้ชีวิตโดยครอบครองสิ่งของน้อยชิ้น และอยู่กับความเป็นจริง มองเห็นคุณค่าและเป้าหมายของทุกประสบการณ์ ท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นเรื่องของการเติบโต เรื่องดี ๆ และเรื่องร้าย ๆ ทำให้เติบโตได้ไม่ต่างกัน ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าทำสิ่งต่าง ๆ ได้ถูกต้องมากแค่ไหน แต่อยู่ที่ว่าพัฒนาขึ้นมากแค่ไหน และทุกประสบการณ์ไม่ว่าจะดีร้าย ย่ำแย่ ยอดเยี่ยม น่าสน ยุ่งเหยิง หรือสิ่งยิ่งใหญ่ ล้วนช่วยให้พัฒนาขึ้นได้
- วิธีประเมินชีวิตที่ดี
การประเมินชีวิตที่ดีเป็นเรื่องเชิงสังคมและวัฒนธรรม อีกทั้งยังเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาในปัจจุบัน สิ่งสำคัญที่เชื่อว่าทำให้การมีชีวิตอยู่คุ้มค่าก็คือ ความสำเร็จส่วนบุคคล วิธีประเมินชีวิตที่ดีคือ ดูว่ายังต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองมากแค่ไหน ซึ่งต้องสอดคล้องกับการที่รู้ว่า ชีวิตยังดีได้อีกแค่ไหน ชีวิตที่ดียังประเมินได้จากความสามารถในการยอมรับความอึดอัดใจ หลักความเชื่อที่รับเอามาและละทิ้งไป รวมถึงครอบครัวที่เลือกเอง
ยังประเมินชีวิตที่ดีได้จากเวลา ที่รู้สึกว่าแสงแดดยามเช้าที่พาดผ่านบนผ้าปูที่นอนนั้นชวนให้อัศจรรย์ใจ รวมถึงสิ่งที่ทำให้เชื่อมั่นว่ากลายเป็นคนที่ดีกว่าเดิม และอยากเป็นคนที่ดีขึ้นอีกในอนาคต ชีวิตที่ดีไม่ได้ถูกประเมินจากสิ่งที่ทำ แต่ประเมินจากสิ่งที่เป็น ชีวิตที่ดีไม่น่าขึ้นอยู่กับว่าสิ่งต่าง ๆ ลงเอยได้ดี หรือแผนการดำเนินไปอย่างราบรื่นมากแค่ไหน แต่ขึ้นอยู่กับความอัศจรรย์เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเจอโดยบังเอิญ เมื่อออกนอกเส้นทาง เป็นวิธีที่ได้เรียนรู้จากความล้มเหลวนั้น วิธีที่ดีไม่ได้อยู่ที่ว่ามันก่อให้เกิดสิ่งใดในตอนท้าย แต่อยู่ที่ว่าสั่งสมอะไรเรื่อยมาตลอดทาง
- เสียงที่ไม่มีคำพูดวิธีฟังเสียงนั้น
ถ้ากำลังตัดสินใจเลือกสิ่งที่ทำรู้สึกดี ก็ต่อเมื่อมีเหตุผลต่าง ๆ รองรับ นั่นหมายความว่าไม่ได้กำลังตั้งใจรับฟังสิ่งที่ตัวเองต้องการ สิ่งที่อาจเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ถ้าเสียงอันแผ่วเบาในหัวต้องการบอกว่า ไม่ได้สนใจสิ่งนั้นหรือกำลังไปผิดทาง มันจะไม่พูดอะไรทั้งสิ้น มีความแตกต่างใด ๆ ระหว่างสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดกับสิ่งที่ทำให้พึงพอใจ ทั้งสองสิ่งล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อมอบบทเรียนบางอย่างให้ และเปิดรับมันเข้ามาเพราะอยากเรียนรู้จากมัน การเลิกหาเหตุผลมาพิสูจน์ความเชื่อผิด ๆ เป็นวิธีที่จะช่วยให้คุ้นเคยกับเสียงที่ไม่มีคำพูดอีกครั้ง สุดท้ายแล้วนี่คือเหตุผลว่า ทำไมถึงเลือกหลงทางตั้งแต่แรก
- ประสบการณ์ที่ยังไม่มีคำนิยามในภาษาอังกฤษ
แสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านต้นไม้ และความพลิ้วไหวของแสงกับใบไม้ ที่ส่งผลซึ่งกันและกัน ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นชั่วคราวเมื่อตัดสินใจว่า จะเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ชวนให้เพลิดเพลิน เมื่ออายุทางกายภาพของมนุษย์ไม่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ ความฉลาด และความสามารถ ความรู้สึกสงบสุขอย่างที่สุดก่อนผล็อยหลับไป ความรู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว ศิลปะของการพยายามค้นหาเจตนาของใครสักคน ด้วยการสุ่มเชื่อมโยงสารพัดหลักฐานเข้าด้วยกัน ความสงบสุขที่แท้จริงจากการทำลายความเชื่อผิด ๆ ความรู้สึกของการตระหนักว่า เป้าหมายมักให้ความรู้สึกไม่เหมือนเป้าหมาย เพราะต้องลงมือทำการแสวงหาเป้าหมาย จึงเป็นแค่การทำงานของความทะนงตนมาตั้งแต่แรก
- วิธีกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของตัวเอง
จงปล่อยให้ตัวเองถูกควบคุม โดยการเชื่อแบบผิด ๆ เช่นว่า เชื่อว่าเงื่อนไขเป็นเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกต้อง จงทำลายความปรารถนาของตัวเอง ที่จะเชื่อมโยงกับผู้อื่นด้วยการเลื่อนดู Social Media ทุกวันอย่างบ้าคลั่ง จงมีชีวิตอยู่ด้วยการรอคอย ให้บางคนทำให้รู้สึกถึงความรัก จงลงมือทำเฉพาะสิ่งที่จะสมเหตุสมผลในสายตาของคนอื่น จงทำให้ทุกคนพึงพอใจ และยึดสิ่งที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการมีชีวิตอยู่ จงหลอกให้ตัวเองคิดว่าความปลอดภัยของการไม่รู้สึกอะไรเลยคือความสุข จงเป็นศัตรูตัวฉกาจของตัวเอง จะได้ไม่มีใครแย่งตำแหน่งนั้นไปได้
- สมมุติว่ามองเห็นวิญญาณแทนที่จะเป็นร่างกาย
ถ้าสามารถมองเห็นวิญญาณแทนที่จะเป็นร่างกาย จะจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ตอนเดินผ่านกระจกไหม จะทำงานประเภทใด และจะพยายามเป็นคนที่ดีขึ้นอย่างไร จะชื่นชมใครและสิ่งใด จะเปลี่ยนระบบค่านิยมของตัวเองใหม่ เพื่อให้ความสำคัญกับสิ่งที่นำมาซึ่งความสงบสุข และความปรารถนาอันแท้จริง แทนที่จะเป็นสิ่งที่แค่ทำให้ดีกว่ามาตรฐานหรือไม่ จะเอาเงินทั้งหมดที่มีอยู่ไปทำอะไร ถ้าไม่ได้ใช้ไปกับการแปลงโฉมตัวเอง เปลี่ยนแปลง หรือโน้มน้าวคนอื่นให้เชื่อในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนของเราจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่กลัวความแตกต่างของคนอื่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโอบรับความปรารถนาที่จะเป็นตัวของตัวเอง และใช้ประโยชน์จากความเป็นปัจเจกบุคคล เพื่อสิ่งที่ต้องการ
- เหตุผลว่าทำไมยังไม่มีความรักแบบที่ต้องการ
ทุกครั้งที่คิด ปรารถนา จินตนาการ หรือหวังให้คนอื่นมอบความรักให้ ก็จะเฝ้าฝันถึงวันที่ได้รับความรัก เพราะนานวันเข้าก็คิดด้วยความหมกมุ่นว่า ทำไมพวกเขาถึงไม่มอบให้สักที ขอให้รับรู้ว่าก็ไม่ได้กำลังมอบความรักให้ตัวเองเช่นกัน ความรักไม่มีวันเป็นอย่างที่คิดว่าจะเป็น เพราะความรักไม่ควรมีหน้าตาแบบใดแบบหนึ่ง ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้สัมผัสกับความรักจริง ๆ การไล่ตามความรักในแบบที่คิด จะเบี่ยงเบนความสนใจจากความรักที่แท้จริง ในแต่ละวันต้องมุ่งมั่นที่ใจเรียนรู้ความหมายของการรักใครสักคน ด้วยการแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ ใส่ใจและอยู่กับความเป็นจริง
- วิธีเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริงในปีนี้
คนเราล้วนต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ รูปร่าง รายได้ บัญชีการลงทุน สถานะ หรือที่อยู่อาศัย ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะมองหาสิ่งผิดปกติภายนอก แล้วโทษว่ามันส่งผลต่อความรู้สึกภายใน จึงพาตัวเองไปสู่ชีวิตใหม่ที่เปล่งประกาย ด้วยความหวังว่าจะได้เริ่มต้นใหม่ ทว่าก็สุดท้ายทำตามปณิธานที่มุ่งหมายเอาไว้ไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ภายในตัวเองจากการแค่เปลี่ยนแปลงสิ่งภายนอกไม่ได้ ใช้ชีวิตโดยเชื่อแบบผิด ๆ ว่าต้องเปลี่ยนแปลงวิธีที่สิ่งต่าง ๆ ดำเนินไป ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงตัวเอง และมุมมองที่มีต่อสิ่งเหล่านั้น
- วิธีทำให้ตัวเองเสียสติ เพราะพระเจ้าของคนอื่น
คนเราอนุญาตให้นักบัญชีวางแผนชีวิตของตัวเอง แต่ไม่ใช่ความปรารถนาเบื้องลึก คนเราไม่ได้ประเมินคุณภาพชีวิต ด้วยการพิจารณาว่าตัวเองทำอะไร และทำได้มากแค่ไหน แต่การพิจารณาว่าตัวเองดูเป็นอย่างไร และจะได้รับสิ่งใดจากการกระทำนั้น นี่ไม่ใช่ความผิดเสียทีเดียว ทั้งวัฒนธรรมเดี่ยวในปัจจุบัน รูปแบบพฤติกรรมหลัก เสียงในหัวที่คอยสั่งการ และความเชื่อที่ยอมรับโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้ต่างบอกว่าถ้าความมั่งคั่ง ความสวยงาม และทรัพย์สมบัติ ไม่ทำให้ตื่นเต้นและมีชีวิตชีวา นั่นหมายความว่ายังมีไม่มากพอ กรอบคิดดังกล่าวกระตุ้นประสาทสัมผัส สัญชาตญาณพื้นฐานและความทะนงตน สุดท้ายแล้วสิ่งที่เป็นอันตรายจริง ๆ ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นภาพลวงตาของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยอมรับว่า ภาพลวงตาดังกล่าวเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของตัวเอง แถมยังเชื่อว่าเป็นภาพลวงตาอันดีงาม โดยไม่คิดจะตั้งคำถามใด ๆ
- เหตุผลที่หมดรัก กับภาพในหัวเกี่ยวกับใครสักคน
เมื่อยังคิดถึงอดีตคนรักโดยสร้างภาพในหัวขึ้นมา เพื่อเติมเต็มช่องว่างในใจ หรือสร้างความรู้สึกมั่นคง ก็เท่ากับกำลังใช้ภาพในหัวเกี่ยวกับคน ๆ นั้น เพื่อแก้ปัญหาบางอย่างของตัวเอง คนส่วนใหญ่ชอบอยู่กับคนที่ทำให้รู้สึกมีความสุข สเปค และมาตรฐานที่มีอยู่ในใจ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่ากำลังมองหาใครสักคนมารับบทบาทบางอย่าง และการอกหักจะเกิดขึ้นเมื่อคนคนนั้นแตกต่างจากภาพในหัว จู่ ๆ พวกเขาก็ไม่ยอมทำในสิ่งที่คิดว่าควรทำ พวกเขาจึงเป็นฝ่ายผิด การไม่อาจปล่อยวางหมายถึงการยึดติดกับความคิดที่ว่า ทุกสิ่งช่างสมบูรณ์แบบและลงตัว ทั้งที่มันไม่เป็นแบบนั้น นี่ช่วยอธิบายว่าทำไมความรู้สึกเช่นนั้นถึงไม่ยั่งยืน และยิ่งยึดติดกับเศษเสี้ยวเหล่านั้น ใจยิ่งกลายเป็นความฝัน ที่ทำให้ไขว้เขวจากปัจจุบัน
- เหตุผลที่ชอบสร้างปัญหาให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว
คนเราที่กังวลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เลือกที่จะไม่สร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่เปิดใจยอมรับ มอบอำนาจของตัวเองให้คนอื่น และละทิ้งความสามารถในการเลือก ทั้งที่ความจริงควรตัดสินใจว่า จะตอบสนองอย่างไร จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อไหร่ และจะครุ่นคิดเรื่องใด การบอกว่าตัวเองไม่มีทางเลือก เป็นอาการอย่างหนึ่งของคนที่มีความสุข เมื่อตัวเองได้รับความเจ็บปวด ประเด็นสำคัญ จึงไม่ได้อยู่ที่การเลิกสร้างปัญหาให้ตัวเอง แต่อยู่ที่การตระหนักรู้มากพอที่จะเข้าใจว่า ปัญหาเหล่านั้นคืออะไร และตัวเรานี่แหละที่ต้องแก้ไขมัน
- เหตุผลที่วิญญาณต้องการร่างกาย
วิญญาณไม่สามารถรับรู้จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด รวมถึงความรู้สึกหลากหลายรูปแบบ วิญญาณไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ เพราะมันไม่ค่อยสับสนหรือโง่เขลา มันไม่รู้จักความอบอุ่นทางกายและใจ ความรู้สึกขณะโอบกอดและจูบหน้าผากของทารกแรกเกิด รวมถึงความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นในอก เมื่อได้กลิ่นของคนที่รัก ร่างกายมีหน้าที่ในการทำสิ่งที่น่าทึ่งที่สุดนั่นคือ การแสวงหาและสร้างสรรค์สิ่งที่จับต้องได้ เมื่อได้ครอบครองบางสิ่งก็จะไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป ความต้องการที่แท้จริงคือการสร้างสรรค์ การพยายามและการเปลี่ยนแปลงตัวเอง วิญญาณต้องการร่างกายเพื่อจะได้สัมผัสประสบการณ์ต่าง ๆ และร่างกายจะได้ดิ้นรนจนกว่าจะตระหนักรู้ มันจะดิ้นรนจนกว่าจะได้ทำในสิ่งที่ถูกกำหนดมาให้ทำ แล้วรู้สึกในสิ่งที่อยากรู้สึก ไม่ว่านั้นจะดูมืดมนแค่ไหนก็ตาม
- ความสำคัญของการอยู่เฉยๆ เหตุผลที่จำเป็นต้องหาเวลาที่จะไม่ทำอะไรเลย
คนเราได้รับการปลูกฝังให้เชื่อมโยงการอยู่เฉย ๆ เข้ากับความเฉยชา และเชื่อมโยงความเฉยชาเข้ากับความล้มเหลว ถูกฝึกฝนให้ทำงานมากเกินไป แล้วเชื่อว่าถ้าไม่ได้กำลังทำสิ่งที่สนับสนุนเป้าหมายของตัวเอง ก็เท่ากับว่าไม่ได้ทำอะไรเลย นี่ทำให้ไม่สามารถใช้เวลาอยู่กับตัวเองเฉย ๆ เป้าหมายจะชอบธรรมก็ต่อเมื่อมันสร้างประโยชน์ให้กับคนหรือสิ่งอื่น ทว่าในทางจิตวิทยาการอยู่เฉย ๆ นั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด คนเราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นจะเกิดผลกระทบที่อันตรายอย่างยิ่ง การทำงานมากเกินไปเป็นอัตลักษณ์ของตัวเอง ก็จะหลงลืมตัวตนที่แท้จริง และเลิกใช้ชีวิตจริง ๆ ของตัวเองไป เมื่ออยู่ในภาวะที่ผ่อนคลาย เครือข่ายประสาทก็สามารถประมวลประสบการณ์ เสริมสร้างความจำ กระตุ้นการเรียนรู้ รวมถึงควบคุมความสนใจและอารมณ์คือ ส่งผลที่จะทำงานในแต่ละวันได้ดี และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นอยู่เสมอ
- เหตุผลที่ล้มลุกคลุกคลานในความสัมพันธ์โดยอิงจากรูปแบบการผูกพัน
ความเชื่อส่วนใหญ่เกี่ยวกับโลกใบนี้ ถูกหล่อหลอมขึ้นในวัยเด็ก และปัญหาส่วนใหญ่ที่ประสบตอนเป็นผู้ใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ ในช่วงแรก ๆ ของชีวิต คนเราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากพ่อแม่ ไล่ตั้งแต่การสร้างความสัมพันธ์ ไปจนถึงวิธีที่พวกเขาปฏิสัมพันธ์กัน ต่อไปนี้คือการผูกพัน 4 รูปแบบที่พัฒนาขึ้นในวัยเด็ก นั่นคือ
ความมั่นคง การผูกพันแบบความมั่นคงอยู่ในช่วงวัยเด็ก พ่อหรือแม่ไม่ก็ทั้งคู่เอาใจใส่ความต้องการอย่างครบถ้วน จึงเรียนรู้ที่จะเชื่อใจคนอื่น
หลีกเลี่ยง ถ้ามีการผูกพันแบบหลีกเลี่ยง เป็นไปได้ว่าพ่อแม่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก และไม่ค่อยตอบสนองความต้องการที่แท้จริง
กังวล เมื่อพ่อแม่เอาใจใส่ความต้องการอย่างไม่สม่ำเสมอ บางครั้งพวกเขาก็รักและประคับประคอง แต่บางครั้งก็ก้าวก่ายมากเกินไป และไม่รับรู้ความรู้สึก
ไม่เป็นระเบียบ นั่นเป็นเพราะพ่อแม่หรือผู้ดูแล ใช้ความรุนแรงน่าหวาดกลัว หรือแม้กระทั่งเป็นอันตรายต่อชีวิต
ถ้ากำลังล้มลุกคลุกคลานในความสัมพันธ์ นั่นเป็นเพราะยังไม่ได้เรียนรู้ที่จะรับฟังระบบนำทางความรู้สึกของตัวเอง จำเป็นต้องดูแลจิตใจ ความรู้สึกของตัวเองอย่างจริงจัง จะต้องเชื่อมโยงกับสัญชาตญาณอีกครั้ง และเรียนรู้ที่จะไว้ใจมันมากกว่าความคิดของตัวเอง
- วิธีที่อารมณ์ซึ่งถูกเก็บกดเอาไว้ปรากฏขึ้นในชีวิต
คนจำนวนมากเห็นตรงกันว่า การเก็บกดเป็นกลยุทธ์ในการควบคุมอารมณ์ที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุด ทว่าเป็นเทคนิคที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด ในแง่หนึ่งการเก็บกดอารมณ์คือการเพิกเฉยต่อความรู้สึกของตัวเอง หรือการหักล้างความรู้สึกเหล่านั้น โดยเชื่อว่ามันไม่ถูกต้อง นี่นับว่าอันตรายมาก เพราะอารมณ์คือการตอบสนองที่ถูกออกแบบมา เพื่อทำให้มีชีวิตรอดและอยู่ได้เป็นปกติ จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยง ปฏิเสธ หักล้าง หรือเก็บกดอารมณ์ของตัวเอง ทำได้เพียงพยายามเพิกเฉยมัน แต่สุดท้ายก็จะรับรู้ถึงมันในรูปแบบต่าง ๆ ด้วยเหตุผลที่ทรงพลังเกินกว่าจิตสำนึกจะมองตัวเองแบบสุดขั้ว กังวลเมื่อต้องเข้าสังคม นึกถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ทนไม่ได้กับการเป็นฝ่ายผิด กลัวที่จะก้าวไปข้างหน้า แม้มันจะเป็นสิ่งที่ต้องการ
- ความคิดที่ทำให้รู้สึกเป็นอิสระมากที่สุด
ชีวิตจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามการค้นพบที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความคิดที่ทำให้รู้สึกเป็นอิสระนั้น มีความชัดเจนในตัวมันเอง ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความคิดเหล่านั้น เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่ามันเป็นจริง ทุกความคิดในระดับจิตสำนึก จะพากลับเข้าสู่วงจรความคิด ไม่ก็ปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากวงจรนั้น บางวงจรส่งผลดีแต่บางวงจรก็ไม่ บางวงจรควรเก็บเอาไว้แต่บางวงจรก็ไม่ บางวงจรควรเปลี่ยนและก็รู้ว่าตัวเองอยากเปลี่ยนมัน บางวงจรควรเปลี่ยนแต่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากเปลี่ยน บางวงจรจำเป็นต้องเปลี่ยนแต่ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนอย่างไร สิ่งดี ๆ บนโลกนี้ล้วนเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ นับพันครั้งคนเราก็ไม่ต่างกัน ความคิดที่ทำให้รู้สึกเป็นอิสระมากที่สุดคือ มีสิทธิ์เลือกว่าจะคิดเกี่ยวกับอะไร สามารถมีทุกสิ่งที่ต้องการได้ เลือกครอบครัวของตัวเองได้ ไม่ต้องยอมรับ ทุกสิ่งมีหนทางอยู่เสมอแม้ในยามที่ไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย มาอยู่ตรงนี้เพื่อเติบโต
- ไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่
คนที่ไม่มีความสุขไม่ได้หัวเสียเพราะสถานการณ์ของตัวเอง แต่พอพวกเขามอบอำนาจควบคุมของตัวเองให้เป็นปัจจัยภายนอก พวกเขาเชื่อว่าจะได้พบคนที่ใช่ ไม่ใช่เชื่อว่าตัวเองจะสามารถดึงดูดและเลือกคนที่ใช่ และเชื่อว่าจะได้งานดี ๆ ในสภาพเศรษฐกิจที่ดี ไม่ใช่ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ จนถึงจุดที่บริษัทจะเสียโอกาสถ้ามองข้ามพวกเขาไป ถ้าอยากเริ่มต้นใหม่จริง ๆ ขอให้ลืมทุกสิ่งที่เคยคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการชีวิตให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ต้องทำนาย จินตนาการ อ่านใจ หรือทึกทักเอาเอง จงเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตให้มากกว่าที่จะมานั่งสงสัยเกี่ยวกับมัน การเอาแต่นั่งคิดทบทวนไม่สามารถทำให้สร้างชีวิตใหม่ขึ้นมาได้ แต่จะทำให้ติดอยู่ที่เดิม
- ความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่รั้งแต่จะเหนี่ยวรั้งไว้
คนส่วนใหญ่ถ้าไม่ประสบความสำเร็จ อย่างที่ตัวเองตั้งใจในตอนแรก แทนที่จะเอาแต่มุ่งมั่นไปให้ถึงจุดหมาย ควรเพลิดเพลินไปกับกระบวนการที่ทำให้ตัวเองไปถึงจุดหมายนั้น ไม่ว่าความสำเร็จจะเกิดจากโอกาสหรือโชคชะตา สิ่งเดียวที่สามารถควบคุมได้คือ ทุ่มเทมากแค่ไหน ไม่มีใครได้อะไรมาเพียงเพราะพวกเขาต้องการมันมากพอ ต้องอยากได้มันมากจนถึงขั้นยอมอุทิศตัว และทุ่มเทอย่างหนักจนกว่าตัวเองจะมีคุณสมบัติครบถ้วน รวมถึงยืนหยัดแม้จะถูกปฏิเสธ และถูกกังขาหลายต่อหลายครั้ง จากนั้นก็ทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ
- วิธีกลายเป็นคนที่คู่ควรกับการใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ
คนเราได้รับการปลูกฝังให้เชื่อว่า ความสุขนั้นมีอยู่จำกัด ตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อยต่างก็แข่งขันกัน เพื่อให้ตัวเองเหนือกว่าคนอื่น ความคิดนี้ยังคงแทรกซึมอยู่ในการปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน อีกทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญของวัฒนธรรม เพื่อยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ปัจจัยเชื่อว่าความสุขและความสำเร็จเป็นสิ่งที่คนอื่นมอบให้ เช่น เจ้านายมอบหมายงานให้ หรือคนรักตกลงว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดกาล จึงไม่น่าแปลกใจที่รู้สึกสูญเสียการควบคุมตลอดเวลา สิ่งที่น่าเกลียดที่สุดที่สามารถมีได้คือ ความต้องการมันทำให้อยู่ในภาวะไม่มีตลอดเวลา และกีดกันสิ่งดี ๆ ออกไป สิ่งต่าง ๆ จะจบลงด้วยดีกว่าที่เลือกหรือวางแผนเอาไว้ อย่างไรก็ตาม ชีวิตจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับว่า เชื่อว่าตัวเองคู่ควรมากแค่ไหน ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ปริมาณของสิ่งที่คิดว่าตัวเองควรจะได้ครอบครอง แต่อยู่ที่ความเชื่อว่าคู่ควรกับมันมากแค่ไหน
- สิ่งที่คาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยน
คนเราคาดหวังให้คนอื่นซื่อสัตย์ และเผยเจตนาออกมา แต่มีไม่กี่คนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขามากนัก มีกี่คนที่ปล่อยให้เสียเวลา นึกสงสัย และเฝ้ารอ เพียงเพราะสะดวกที่จะทำแบบนี้มากกว่า พยายามสอนให้เด็ก ๆ อ่อนโยน ในการลงโทษในเวลาที่พวกเขาไม่ทำเช่นนั้น เวลาเรียกร้องให้คนอื่นมีใจเปิดกว้างและเอาใจใส่ โดยมักใช้วิธีใจแคบและไม่เอาใจใส่พวกเขาเลย คาดหวังให้คนอื่นเชื่อใจในทันที แต่ก็มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อใจคนอื่นอยู่เสมอ คาดหวังให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืน เช่น เลือกกินอาหารให้ดีขึ้นเพื่อดูแลสุขภาพ ออกจากงานหรือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ เมื่อพวกเขาบ่อนทำลายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด มักคิดว่าการพูดให้กำลังใจจะช่วยเปลี่ยนพวกเขาได้ แต่มันแทบไม่ได้ผลเลย ลองสังเกตแบบแผนพฤติกรรมที่ส่งผลเสียของตัวเองดูก็ได้แล้วจะเข้าใจ
- ไม่ต้องรักตัวเองโดยสมบูรณ์ ก็คู่ควรกับความรักของคนอื่นได้
ความรักทำหน้าที่เหมือนแว่นขยายขนาดใหญ่ มันทำให้มองเห็นสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในตัวเอง รวมถึงในชีวิตความสัมพันธ์ที่ใช่ จะช่วยให้มองเห็นสิ่งเหล่านั้น และพัฒนามันให้ดีขึ้น รวมถึงช่วยให้เรียนรู้วิธีรักตัวเอง ความสัมพันธ์ที่ใช่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งเสมอ แม้วิธีที่ปฏิบัติต่อตัวเอง จะกำหนดวิธีที่คนอื่นปฏิบัติต่อตัวเรา ทว่าการเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ พัฒนา อิ่มเอม เป็นที่รัก และรักผู้อื่นนั้นไม่ใช่เรื่องของการเติบโตเพียงลำพัง แต่เป็นเรื่องของการยืนหยัดเพื่อตัวเอง เรียกร้องความเคารพจากคนอื่น เลือกที่จะรักและเรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้า พร้อมพัฒนาตัวเองต่อไป แม้แต่ตอนที่คนที่กำลังตามหามาตลอดอยู่ข้างกายแล้วก็ตาม การรักตัวเองหมายถึงการยอมให้ตัวเองได้รับความรักเช่นกัน
- คำถามที่ต้องถามตัวเอง ถ้ายังไม่เจอความสัมพันธ์ที่ต้องการ
คิดว่าความสัมพันธ์คือสิ่งที่ได้รับเมื่อตัวเองดีพอ หรือสิ่งที่คิดสร้างขึ้นเมื่อตัวเองเข้มแข็งพอที่จะเปิดใจ ความรักมีความหมายอย่างไร มันเป็นแค่ความรู้สึกดี ๆ การอยู่เป็นเพื่อนกันความสบายใจ หรือทิศทางสู่อนาคตจะมีสิ่งเหล่านั้นในชีวิตได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะการคบหาและการใกล้ชิดกับใครบางคน ที่อาจยังไม่รู้จักสิ่งที่ทำให้มีความสุขคืออะไร นอกจากความรักที่ได้รับจากคนอื่น ถ้าวันนี้ตัดสินใจที่จะควบคุมโชคชะตาด้านความสัมพันธ์ของตัวเอง ไม่ใช่นั่งรอให้มันเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาจะเริ่มทำอะไรให้ต่างออกไป เมื่อความต้องการเหล่านั้นไม่ได้รับการตอบสนองดั่งใจ จะยืนยันตามเดิม หรือว่ายอมล้มเลิกความต้องการเหล่านั้น ถ้าได้ดูดีในสายตาคนรักมากขึ้น
- ความเชื่อซื่อสัตย์แบบสุดขั้วเป็นสิ่งต้องห้ามในวัฒนธรรมและนั่นคือปัญหา
คนเราไม่ก้าวหน้าไปไหนเพราะวัฒนธรรม และผู้คนที่ไร้ความสามารถในการอยู่ร่วมกับคนอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ อันเป็นเหตุผลจากการไม่เห็นคุณค่าของความซื่อสัตย์ คนเราทุกข์ทรมานเพราะความกังวล ความหดหู่ ความโดดเดี่ยว ความสงสัย ความหวาดกลัว และความล้มเหลว ส่วนใหญ่เป็นเพราะต้องคอยสร้างภาพลักษณ์อยู่ตลอดเวลาว่า ตัวเองไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อไม่ตระหนักว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ และมีความสำคัญต่อชีวิต จึงมองว่ามันเลวร้าย ไม่มีใครใช้ชีวิตด้วยความซื่อสัตย์เลย ไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง จึงไม่เจอคนที่รักอย่างที่เป็น และพบเจอเพียงคนที่รักเพียงเปลือกนอก ซึ่งต่างก็รู้ดีว่ามันเปราะบางแค่ไหน
65.เหตุผลว่าทำไมความทุกข์ทรมานถึงจำเป็นต่อการเติบโตของมนุษย์
มีกวี นักคิด และนักปรัชญาจำนวนมาก ที่เคยกล่าวไว้ว่าความทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่มีความหมาย ความทุกข์ทรมานอาจไม่เกี่ยวพันกับการเติบโตขั้นพื้นฐานในทางชีวภาพของมนุษย์ แต่ส่งผลต่อความคิด จิตใจ และจิตวิญญาณ ความทุกข์ทรมานเป็นสิ่งจำเป็นที่จะรู้สึกขอบคุณเมื่อมันผ่านพ้นไปแล้ว มันคือกระบวนการเปลี่ยนสัณฐานในแบบฉบับมนุษย์ เป็นความมืดมิดที่ทำให้มองเห็นแสงสว่างในที่สุด ถ้าเข้าใจความจำเป็นของความเจ็บปวด ก็จะอดทนกับมันได้อย่างสง่างามยิ่งขึ้น หรืออย่างน้อยก็เรียนรู้ที่จะรับฟังมัน ก่อนที่จะถูกบังคับให้ทำเช่นนั้น
- เหตุผลที่ยึดติดกับสิ่งที่ไม่ใช่ของตัวเอง
สาเหตุที่ยึดติดกับสิ่งที่ไม่ได้ถูกกำหนดมาเอาไว้แน่น ก็เพราะรู้ว่าจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ของตัวเอง ถ้าหยุดคิดหยุดพูดและหยุดทบทวนรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นซ้ำ ๆ ทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลงจริง ๆ เมื่อสิ่งเดียวที่มีอยู่คือภาพในหัว การยึดติดกับความคิดเกี่ยวกับมัน จึงเป็นทางเดียวที่จะรักษามันเอาไว้ได้ สิ่งสำคัญจึงไม่ใช่สิ่งที่สูญเสียไป แต่เป็นสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่แรก ไม่ควรไขว่คว้าความสำเร็จราวกับจะเอาไปประดับในเรซูเม่ แต่ความสำคัญสิ่งต่าง ๆ และปล่อยให้มันพัดผ่านไป สิ่งที่เป็นของตัวเองจะบีบให้เลิกแสวงหาแสงสว่างจากภายนอก และกลายเป็นแสงสว่างภายในนั่นเอง สิ่งที่เป็นของตัวเองล้วนยากลำบากและน่าเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็งดงาม และช่วยให้เบิกบานใจ มันเป็นสิ่งที่มักไม่ได้นึกถึง มันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องยึดติด เพื่อทำให้เป็นจริง
- ช่วงอายุ 20 ปีสั้นเกินกว่าที่จะทำสิ่งเหล่านี้
การรักษาความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ชอบ เพราะควรทำอย่างนั้น เพราะมันเป็นประโยชน์มากกว่า เพราะจะรู้สึกผิดถ้าตัดความสัมพันธ์ และเพราะกลัวสายตาของผู้คน ถ้าเริ่มซื่อสัตย์กับตัวเองและคนรอบตัวสักที ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในชีวิตไปกับการพยายามอย่างหนัก เพื่อทำให้คนอื่นพึงพอใจทั้งที่พวกเขาไม่ทำแบบเดียวกัน การต้องการความสุขเพียงอย่างเดียว ชีวิตมีอะไรอีกมากมายนอกเหนือจากการมีความสุขตลอดเวลา ประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตจะไม่ทำให้มีความสุขเสมอไป แต่มันจะนำมาซึ่งความทุกข์ทรมาน ความโศกเศร้า ความยินดี ความตื่นตระหนก ความกลัว ความรักรวมถึงตัวตนที่เปลี่ยนไป หลังจากเผชิญสิ่งเหล่านั้น สัตว์ร้ายเพียงตัวเดียวที่ต้องถูกทำให้เชื่องคือ ตัวตนของตัวเองที่ไม่ได้อยากใช้ชีวิตอย่างแท้จริง
- ยิ่งพึงพอใจกับการตัดสินใจของตัวเองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งอาศัยคนอื่นน้อยลงเท่านั้น
ความพึงพอใจอาจดูเหมือนความปรารถนาอันลึกลับ ที่ขับเคลื่อนวัฒนธรรมบริโภคนิยมอยู่ เพียงเพราะคนหัวใสจำนวนหนึ่งกำลังหาประโยชน์จากสิ่งที่มีมาแต่เดิม นั่นคือความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะใช้ชีวิตที่มีความหมาย บางครั้งก็เข้าใจผิดว่า ความสุขเกิดจากสิ่งที่มีไม่ใช่สิ่งที่ทำ คิดว่าการถมพื้นที่รอบตัวจะช่วยเติมเต็มความว่างเปล่าที่ไม่อาจเข้าใจ การรู้สึกพึงพอใจอย่างแท้จริงเกิดจากการที่ตระหนักรู้ในตัวเอง เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าไม่อาจเพิกเฉยต่อสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ ความพึงพอใจคือการมองไปให้ไกลกว่ากรอบคิดที่มี หรืออุดมคติที่ไม่ได้เป็นของตัวเองมาแต่เดิม มันคือความเรียบง่ายของสิ่งที่อยากมอบให้โลกใบนี้ในแต่ละวัน รวมถึงความรักที่เกิดขึ้นขณะลงมือทำสิ่งนั้น
- สิ่งที่คนสูญเสียความรักรู้ดี
คนสูญเสียความรักรู้ว่า ความรักของคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่จะสูญเสียได้ คนสูญเสียความรักรู้ว่า สามารถสูญเสียสิ่งที่ตัวเองไม่เคยครอบครองจริง ๆ จบความสัมพันธ์ที่ไม่เคยเริ่มต้น และไม่เป็นไปอย่างที่วาดฝัน หรือวางแผนร่วมกัน รวมถึงคร่ำครวญถึงคนที่ไม่เคยอยู่เคียงข้าง พวกเขารู้ว่าคู่แท้ไม่ได้เป็นอย่างที่ใคร ๆ คิด คู่แท้ไม่ใช่คนที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดเวลา ความรักของคู่แท้จะสาดแสงสว่างเข้าไปยังทุกส่วน และเผยให้เห็นส่วนที่ไม่ได้รับการเยียวยา คนที่เป็นคู่แท้ตัวจริงคือ คนที่ทำให้มองเห็นตัวเอง ไม่มีวันสูญเสียความรักและสิ่งสำคัญ อยู่ที่ว่าความรักทำให้เจอกับอะไร เติบโตอย่างไร รวมถึงได้เรียนรู้ เข้าใจ และลงมือทำอะไร ประเด็นไม่ใช่การครอบครองความรักไปตลอดกาล เป็นการกลายเป็นคนที่ความรักหล่อหลอมให้เป็น และรู้ว่ามอบความรักนั้นให้ตัวเอง
- ความเรียบง่าย
จงเรียนรู้ที่จะชอบสิ่งที่ไม่มีราคาค่างวดมาก นี่คือสิ่งที่คู่ควรกับเวลาใช้เงินซื้อสิ่งที่ต้องการ และเดินทางไปยังที่ที่อยากไปได้ แต่ใช้เงินซื้อประสบการณ์ที่เกิดจากสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ จงเลือกที่จะรักษาไว้เพียงสิ่งที่มีประโยชน์และมีความหมาย เมื่อเดินไปรอบ ๆ พื้นที่ของตัวเองแล้ว ได้สัมผัส มองเห็น และใช้งานเฉพาะสิ่งที่ทำให้รู้สึกปลอดภัย มีเป้าหมาย มีความหมาย และเบิกบาน ก็เท่ากับว่าชีวิตประจำวันมีพื้นฐานอยู่บนความสุขแล้ว ในขณะที่ความเรียบง่ายเป็นเรื่องยาก เพราะต้องอาศัยวิธีคิดที่บริสุทธิ์ เป็นหนทางที่ยาวไกลและยากลำบาก เลือกรับรู้ได้ว่าสิ่งชั่วคราวเหล่านั้นมีความหมาย และมีประโยชน์เพียงใด รวมถึงเห็นคุณค่าและมีความสุขกับมันมากแค่ไหน เมื่อเลือกชีวิตที่ตั้งอยู่บนความเรียบง่าย สิ่งที่ธรรมดาก็จะกลายเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์
- ข้อเตือนใจเล็กๆ สำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรกับชีวิต
บางคนอาจรู้ดีกว่าว่าตัวเองกำลังทุ่มเทเพื่อสิ่งใด แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครคาดการณ์ หรือสรุปเกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ได้อย่างถูกต้อง การวางแผนชีวิตไม่ใช่ความทะเยอทะยานเสมอไป แต่เป็นเพียงความคิดที่จะทำให้สบายใจมากกว่า จงหันมาจดจ่อกับสิ่งที่อยากทำในทุกวันของชีวิต นี่คือการกระทำที่สูงส่ง คุ้มค่า และทำให้เข้าใกล้ความสำเร็จยิ่งขึ้น ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตตัวเอง จงเลิกคิดว่าตัวเองกำลังหลงทาง และเริ่มทำสิ่งที่สามารถทำได้ เพื่อมุ่งสู่ทิศทางที่เป็นประโยชน์ การคิดเพื่อหาวิธีลงมือทำใหม่ ๆ ย่อมยากกว่าการลงมือทำ เพื่อหาวิธีคิดใหม่ ๆ ไม่ต้องประสบความสำเร็จ ถึงจะเป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าได้ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เกิดมาเพื่อเป็นคนที่พิเศษอย่างแท้จริง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ไม่สามารถสัมผัสความพึงพอใจ ความรัก ความยินดี และความอัศจรรย์ในชีวิต จะดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับการรับรู้ การรู้สึกว่าตัวเองหลงทาง หรือไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร สามารถแก้ไขได้ด้วยการเรียนรู้ ที่จะคิดให้ต่างไปจากเดิมแค่นี้เอง
- ศิลปะของการตระหนักรู้หรือวิธีที่ช่วยไม่ให้เกียรติตัวเองโดยสิ้นเชิง
ความเกลียดชังทั้งมวลเกิดจากความเกลียดชังตัวเอง และทุกสิ่งล้วนเป็นผลสะท้อนกลับ ทุกสิ่งเป็นภาพสะท้อนตัวตน เพราะมันเป็นอย่างที่รับรู้ ขอบเขตของประสบการณ์จะสอดคล้องกับการรับรู้โดยตรง พูดอีกอย่างก็คือทุกสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่มันเป็น แต่เป็นอย่างที่เป็น การตระหนักรู้เป็นตัวช่วยในการแก้ปัญหามากมายที่ดูแก้ไม่ได้ แค่รู้ว่าความคิดที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง กำลังตีความการกระทำ และความคิดของคนอื่นในทางที่ทำให้เจ็บปวด ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ความคิดสงบลง ศิลปะของการตระหนักรู้คือ การเลิกกำหนดว่าสิ่งที่มองเห็นและรู้สึก รวมถึงสิ่งที่คนอื่นแสดงออกนั้น ดี แย่ ถูก หรือผิด เพราะสุดท้ายแล้ว แม้แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ก็อาจเป็นประโยชน์ และทำให้มองเห็นความจริง ที่ไม่รู้ว่าไม่ได้ตกอยู่ในสถานะการนั้น
- คำถามที่ควรถามตัวเองเมื่อไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับชีวิตต่อไป
ถ้าได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อจินตนาการถึงชีวิตที่ตัวเองต้องการ แทนที่จะจดจ่อกับภาพกว้าง ๆ ให้จดจ่อกับสิ่งที่จะทำในแต่ละวันในชีวิตนี้ สิ่งที่กระตุ้นความสนใจอย่างบอกไม่ถูกคืออะไร สิ่งที่ทำให้มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกคืออะไร สิ่งที่ชอบทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชอบคืออะไร นี่คือสิ่งที่ต้องให้ความสนใจ เพราะมันคือสิ่งที่แท้จริง ความคิดจะตอบสนองต่อสิ่งที่คิดว่าตัวเองชอบ แต่ความรู้สึกจะตอบสนองต่อสิ่งที่สำคัญจริง ๆ ถ้าอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต สิ่งที่ควรพูดกับตัวเองซ้ำ ๆ คือ เริ่มต้นจากจุดที่ตัวเองอยู่ ใช้สิ่งที่ตัวเองมี และทำสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ มีเพียงวิธีนี้ที่จะช่วยให้ก้าวไปข้างหน้าได้แล้ว
- การปล่อยวางไม่มีอยู่จริงทำได้เพียงยอมรับว่ามันจบแล้ว
ทุกสิ่งล้วนดีทั้งนั้น ทุกสิ่งล้วนถูกออกแบบมาเพื่อสร้างประโยชน์ให้ ในท้ายที่สุดมันจึงดีทั้งนั้น คนเรามีความรู้สึกมากมาย ทำไมบางความรู้สึกถึงเป็นสิ่งที่ดี และบางความรู้สึกกลายเป็นสิ่งที่แย่ไปเสียได้ ความรู้สึกกลายเป็นสิ่งที่แย่ก็ต่อเมื่อต่อต้านมัน แทนที่จะรับฟังเสียงของตัวเอง และปล่อยให้ความรู้สึกต่าง ๆ ที่แม้จะชวนให้อึดอัดใจนั้นเกิดขึ้นกลับต่อต้าน ความรู้สึกเหล่านี้จึงกลายเป็นเรื่องแย่ทั้งที่มีประโยชน์ รวมถึงช่วยให้มองเห็นบางแง่มุมของตัวเองที่ต้องได้รับการเยียวยา และจุดที่ควรเปลี่ยนเส้นทางเสียใหม่ ถ้ามองในภาพกว้างสิ่งที่ดีและสิ่งที่แยกเกิดจากการกำหนดคุณค่าซึ่งแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละบุคคล ครอบครัว วัฒนธรรม ประเทศ และอื่น ๆ สิ่งที่ถูกต้องสำหรับคนคนหนึ่งอาจผิดสำหรับอีกคน และสิ่งที่ดีงามสำหรับคนคนหนึ่งก็อาจเลวร้ายสำหรับอีกคนก็ได้
- คุณคือหนังสือที่เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ไม่ใช่แค่นิยายเรื่องเดียว
ตัวตนในอดีตไม่จำเป็นต้องส่งผลถึงตัวตนในอนาคต มักทำให้ตัวเองติดอยู่ที่เดิมด้วยการผูกตัวตนในอดีต เข้ากับตัวตนที่คิดว่าตัวเองต้องเป็น ไม่สามารถวางแผนอนาคตได้ โดยไม่พิจารณาสิ่งที่ตัวเองเคยมองว่าสมเหตุสมผล เมื่อหลีกเลี่ยง และไม่ยอมเผชิญหน้า ความสุขก็สิ้นสุดลง คนเราไม่ได้ถูกกำหนดมาให้ใช้ชีวิตราวกับว่ามันเป็นเรื่องราวที่ดำเนินไปอย่างราบรื่น ชีวิตไม่ใช่การเล่าเรื่องย้อนอดีต ทว่ามันเกิดจ้า ผันแปรอยู่เสมอ เกิดขึ้นจริง ไม่อาจคาดเดา และซับซ้อน เค้าโครงของชีวิตมีเพียงแค่ว่า ตอนนี้กำลังอยู่กับปัจจุบันในปัจจุบัน โดยอิงจากความเชื่อเก่า ๆ ที่ยังคงยึดติดในระดับจิตใต้สำนึก เพราะความคิดที่มีต่อตัวเองกลายเป็นสิ่งที่ยอมให้ตัวเองรับรู้ สิ่งนั้นคือประสบการณ์ และประสบการณ์จะสั่งสมจนกลายเป็นชีวิต มันเป็นเหมือนหนังสือที่รวมเรื่องราวมากมาย โดยแต่ละเรื่องไม่ต้องเกี่ยวเนื่องกัน หรือบรรยายด้วยวิธีเดียวกัน เรื่องราวชีวิตจะดำเนินไปอย่างไร แต่ตอนที่จะเขียนบทใหม่ต้องทำให้เสียงในหัว ที่คอยกระซิบเรื่องราวชีวิตซ้ำ ๆ ปล่อยวางบทเก่าให้ได้เสียก่อน
- สัญญาณในชีวิตประจำวันที่บ่งบอกว่าการรับรู้ในโลกกำลังเปลี่ยนแปลง
มีทฤษฎีทางสังคมที่กล่าวว่า ความก้าวหน้าของมนุษยชาติไม่ได้ดำเนินเป็นเส้นตรง แต่วนเวียนเป็นวัฏจักร อารยธรรมรุ่งเรืองแล้วล่มสลาย คนเราพยายามอย่างหนักที่จะทำความเข้าใจตัวเอง เรียนรู้ที่จะรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง และดำเนินชีวิตในรูปแบบที่สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของตัวเอง ไม่ใช่สิ่งที่ถูกบีบให้ทำ แต่ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเพราะอะไร ต่อไปนี้คือผลลัพธ์ของมัน ผู้คนเริ่มตระหนักถึงอำนาจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการเสริมพลังให้ตัวเอง ความเป็นปัจเจกบุคคล หรืออิสระในการตัดสินใจด้วยตัวเอง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการมีชีวิตที่สมบูรณ์ และน่าพึงพอใจ
- ทำไมถึงให้คุณค่ากับความทุกข์ทรมานของตัวเองมากเหลือเกิน
ความทุกข์ทรมานคือสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็นต้องเผชิญ แต่ถึงความทุกข์ทรมานจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องนั่งเฉย ๆ รอหายนะที่มันสร้างขึ้น ความทุกข์ทรมานเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ที่ส่งสัญญาณให้รู้ว่ายังมีสิ่งอื่นที่ต้องทำ อาจทำใจเชื่อได้ยากว่าตัวเองสมควรมีความสุข จึงพยายามอย่างหนักที่จะหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บปวดอยู่เสมอ การทำสิ่งที่สุดขั้วเช่นนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ และเป็นธรรมดาของมนุษย์ แต่ก็มีวิธีเอาชนะมันได้เช่นกัน ถ้าคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็จะทุกข์ทรมานอยู่เรื่อยไป และถ้ายังคงต้องการให้คุณค่ากับความทุกข์ทรมาน เพราะมันทำให้มีความเป็นมนุษย์ก็เชิญตามสบาย แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่ทำให้เป็นมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ทำร้าย แต่เป็นสิ่งที่ช่วยให้สร้างตัวตนขึ้นมาได้อีกครั้งต่างหาก
- สิ่งที่ค้นพบในความสันโดษ
ความเหงาเป็นเพียงความคิด ความเหงาบอกเป็นนัย ๆ ว่า ไม่ได้รู้สึกเชื่อมโยงกับคนรอบตัว และมันเกิดขึ้นเมื่อต้องพึ่งพาการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น เพื่อทำความเข้าใจตัวเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การตระหนักว่าการอยู่คนเดียวไม่ได้หมายถึงความโดดเดี่ยว เพราะในความสันโดษอันน่ายกย่องนั้น จะพบความแปลกใหม่ที่น่าอัศจรรย์เกินบรรยาย จะหยุดดิ้นรนและเริ่มเป็นตัวของตัวเอง เลิกนิยามตัวเองโดยบทบาทที่ต้องแสดงเพื่อคนอื่น ความสันโดษคือแนวทางปฏิบัติที่สำคัญที่สุด มันทำให้อยู่กับความเป็นจริง และช่วยให้หลีกหนีจากสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม ความสันโดษทั้งชวนให้เดือดดาลและทำให้รู้สึกเป็นอิสระ
- วิธีเลี้ยงดูเด็กๆ ให้ไม่มีปัญหาเรื่องความวิตกกังวล
คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าตัวเองหมกมุ่นกับการควบคุมอารมณ์ เพราะพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงความรู้สึกของตัวเอง อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับนึกถึงทุกสิ่งที่ต้องทำให้เหมาะสม จะได้ไม่ต้องเกิดความรู้สึกใด ๆ คนที่มีปัญหาด้านอารมณ์ที่เอ่อล้นหรือไร้เหตุผล สามารถบอกได้ว่าต้นต่อของความกังวล และความตื่นตระหนกส่วนใหญ่คือ การกลัวที่จะเผชิญความกังวล และความตื่นตระหนก การทำสิ่งอื่น ๆ เพื่อพยายามหลบเลี่ยงมัน พยายามควบคุมผลลัพธ์ ลดความเสี่ยง การตัดขาดจากอารมณ์ของตัวเองเช่นนี้เริ่มต้นในวัยเด็ก อันเป็นผลมาจากการถูกลงโทษเมื่อรู้สึกแย่ เด็ก ๆ กลัวว่าตัวเองจะขาดความรัก และมีแนวโน้มที่จะไขว่คว้าความรักจากพ่อแม่ ถ้าไม่ได้รับความรักอย่างที่ควร พวกเขาก็จะควบคุมการแสดงออกของตัวเองเพื่อให้ได้มันมา นี่ทำให้พวกเขาเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ตื่นตระหนก ชอบตัดสิน และวิตกกังวล ซึ่งไม่อาจอยู่ในความสัมพันธ์ได้อย่างราบรื่น
- คู่มือจัดการอารมณ์สำหรับมือใหม่เหตุผลที่ต้องการความเจ็บปวด
ความสุขเยียวยาความเจ็บปวดไม่ได้ นี่เป็นหนึ่งในประเด็นทางจิตวิทยาที่มีการเข้าใจผิดมากที่สุด เนื่องจากผู้คนเข้าใจว่ามันคือความรู้สึกที่อยู่กันคนละขั้ว แต่ในทางชีววิทยาการตอบสนองต่อความสุขและความเจ็บปวด ล้วนถูกสั่งจากการจากสมองส่วนเดียวกัน และสารเคมีแห่งความสุขที่ทำให้รู้สึกพึงพอใจ ก็เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อความเจ็บปวด เชื่อว่าความสุขหมายถึงความรู้สึกดี ที่ต้องคอยประคับประคองไว้ และความเชื่อเช่นนี้เองที่ทำให้ไม่มีความสุข
คนที่มีความสุขไม่ได้รู้สึกดีอยู่ตลอดเวลา เมื่อเกิดความรู้สึกเชิงลบ พวกเขาสามารถรับฟังสิ่งที่ความรู้สึกเรานั้นต้องการจะบอก ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองทำอะไรไม่ถูก ความสุขไม่เกี่ยวกับว่ารู้สึกดีได้มากแค่ไหน แต่เกี่ยวกับว่าทำไมถึงรู้สึกดีต่างหาก ชีวิตที่มีความหมายและมีเป้าหมายย่อมชวนให้รู้สึกดี แต่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความโลกและความเห็นแก่ตัวก็ทำให้รู้สึกดีไม่ต่างกัน เพราะว่าชีวิตแบบหนึ่งกลับดีกว่าชีวิตอีกแบบหนึ่ง
เหตุผลก็คือความโลภและความเห็นแก่ตัว เป็นลักษณะสำคัญของคนที่แสวงหาความสุขเพื่อกำจัดความเจ็บปวด ในขณะที่การขับเคลื่อนชีวิตด้วยความหมายและเป้าหมาย เป็นลักษณะของคนที่ยอมรับความเจ็บปวด และเลือกที่จะร่วมมือกับมันไม่ใช่ต่อต้าน ชีวิตแบบแรกเป็นอันตรายและไม่ทำให้มีความสุข ในขณะที่ชีวิตแบบหลั่งแม้จะลำบากกว่าแต่ก็คุ้มค่า
- ความสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีคือความสัมพันธ์กับตัวเอง
น่าสนใจที่มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงสปีชีส์เดียว ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับตัวเอง แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงสปีชีส์เดียว ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับตัวเองผ่านคนอื่น พูดอีกอย่างก็คือโดยส่วนใหญ่แล้ว กำหนดมุมมองที่มีต่อตัวเองผ่านการรับรู้กรอบคิดของคนอื่น จะรู้สึกเป็นที่รักมากที่สุดเมื่อรับรู้ว่าคนอื่นเข้าใจ คนที่จะยืนยันได้ว่าดีพอจึงไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้ แต่คนคนนั้นต้องเป็นคนที่ให้คุณค่า สิ่งที่จะช่วยให้รู้สึกเป็นอิสระมากที่สุดคือ การตระหนักว่าทุกคนล้วนเชื่อมโยงกัน และเป็นแสงสว่างเล็ก ๆ ที่ตกกระทบกันและกัน ซึ่งเผยให้เห็นตัวตนของตัวเองที่จำเป็นต้องรู้และเข้าใจ แต่แสงสว่างนั้นเป็นสิ่งที่ควบคุมได้เสมอ ความสัมพันธ์ทั้งหมดที่มีคือ ความสัมพันธ์กับตัวเองและทุกคน ที่ทำให้รู้สึกเหมือนกลับถึงบ้าน ล้วนเป็นคนที่ทำให้ได้กลับมาหาตัวเอง
- การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ใกล้ชิดกับคนอื่นมากขึ้น
การอยู่ด้วยกันแบบสบาย ๆ ท่ามกลางความเงียบ การขับรถเล่นไกล ๆ และปล่อยให้ความเงียบก่อตัวขึ้นไปตามธรรมชาติ การอยู่กับใครสักคนเงียบ ๆ ช่วยให้ได้สัมผัสแง่มุมที่เป็นส่วนตัวมากที่สุดของพวกเขา โทรหาพวกเขาเมื่อรู้สึกไม่ดี ยอมให้พวกเขาอยู่เคียงข้าง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามที่พวกเขาสัญญาเอาไว้ เล่าความจริงให้พวกเขาฟัง ปล่อยให้พวกเขาปลอบโยน รวมถึงบอกพวกเขาว่าจะอยู่เคียงข้างในยามที่พวกเขาต้องการ และรักษาสัญญานั้นให้ดี สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้พวกเขา ตั้งใจรับฟังสิ่งที่พวกเขาเล่า โดยไม่ต้องคิดว่าจะตอบสนองอย่างไร อย่าดูโทรศัพท์มือถือ หรือเหม่อมองไปทางอื่น ทุ่มเทพลังทั้งหมดให้พวกเขา นี่คือการกระทำที่สำคัญ น่ายกย่อง และหาได้ยาก
- อนุญาตให้ตัวเองมีความสุขมากกว่าที่คิดว่าสมควรได้รับ
ถ้าบรรดาสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกิดจากสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งประกอบเข้าด้วยกัน ชีวิตที่ยอดเยี่ยมก็ถูกสร้างขึ้นจากช่วงเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นกัน ช่วงเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายล้านช่วงเวลาที่ไม่ได้ป่าวประกาศให้คนอื่นรู้ต่างหากที่สำคัญ มันไม่ใช่การมีงานทำแต่เป็นการมีชีวิตที่ต้องการ ไม่ใช่การมีใบปริญญาแต่เป็นค่ำคืนที่ได้สัมผัสสิ่งตรงข้ามกับความเหงา ไม่ใช่การมีความสัมพันธ์แต่เป็นการอยู่ในความสัมพันธ์ รวมถึงไม่ใช่การใช้ชีวิตที่คนอื่นพูดถึงแบบรวบยอดได้สบาย ๆ แต่เป็นการใช้ชีวิตที่สร้างขึ้นจากหลายล้านช่วงเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ส่งเสริมกันและกัน เมื่อปล่อยใจไปกับมันช่วงเวลาเหล่านั้นก็จะเพิ่มขึ้นอีก คงไม่มีชีวิตอยู่แล้วตอนที่คนอื่นบอกเล่าเรื่องราวและถ้อยคำสรรเสริญ แต่ตอนนี้ยังอยู่ตรงนี้ เพื่อใช้ชีวิตที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง
- วิธีคิดด้วยตัวเอง
โดยส่วนใหญ่แล้วสิ่งที่คิดในหนึ่งวันไม่ได้เป็นความคิดของตัวเอง อีกทั้งไม่ได้ผุดขึ้นมาด้วยตัวมันเอง ความคิดของคนเราเป็นเหมือนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่จะค้นหา ทำซ้ำ และเชื่อมสิ่งที่ตัวเองได้ยินมา คนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ว่าความคิดของตัวเอง ได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมมากแค่ไหน พวกเขาทึกทักเอาเองว่าสิ่งที่ตัวเองคิด และรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา การคิดด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่ต้องตั้งใจเรียนรู้ และมีน้อยคนที่ทำเช่นนั้น
- เหตุผลสำคัญที่เลือกรักคนที่ไม่อาจรัก
เป้าหมายของความสัมพันธ์ ไม่ใช่การที่ได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมหรือชั่วนิรันดร์ ไม่ใช่การสนองทุกความเพ้อฝันและความปรารถนา เป้าหมายความสัมพันธ์คือการที่เข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้ มันช่วยให้มองเห็นแง่มุมต่าง ๆ ของตัวเองที่ไม่เคยตระหนักถึงมาก่อน เลือกที่จะรักคนที่ไม่อาจรัก เพื่อสอนตัวเองว่าจริง ๆ แล้วคู่ควรกับการถูกรักตอบ เลือกที่จะรักคนเหล่านี้เพราะพวกเขาแสดงให้เห็นถึงแง่มุมที่ไม่ชอบ ไม่อย่างนั้นจะมีเหตุผลอะไรอีกที่จะเสียเวลากับคนที่ไม่รัก โดยส่วนใหญ่ที่รู้สึกสับสนเป็นเพราะไม่เคยมีใครบอกว่า ความรักจะทำให้หัวใจแตกสลายอยู่เรื่อยไป จนกว่าจะเปิดใจและจะพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์นั้นซ้ำ ๆ คู่ชีวิตคือคนที่เข้ามาหลังจากที่ความรักทำให้เปิดใจ ความรักครั้งสำคัญจะเผยตัวหลังจากที่คิดว่า ตัวเองสูญเสียมันไปแล้ว
- ความรักบางรูปแบบที่ไม่เข้าใจ
สำหรับหลายคนประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าพวกเขารักอีกฝ่ายหรือไม่ แต่อยู่ที่รายละเอียดปลีกย่อย และรูปแบบของการมีความรัก ความไม่มั่นใจเล็ก ๆ ที่คนอื่นบอกว่าไม่ควรมี ความคิดเห็นที่ว่าพวกเขายังอายุน้อย เดียวก็ได้เจอคนที่ไม่มีปัญหาและดีกว่านี้ คนรักเก่าที่พวกเขารู้สึกสบายใจมากกว่าระยะทางที่ต้องอยู่ห่างกัน ความกลัวการผูกมัด จังหวะเวลา สิ่งล่อตาล่อใจ และแรงกระตุ้นให้ลองทำสิ่งอื่น และทุกคนคงเข้าใจว่ามันรู้สึกอย่างไร เมื่อความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัว ปัญหาคือคนเราแทบไม่ตระหนักเลยว่า หัวใจเป็นสิ่งที่ใช้ได้มากกว่า 1 ครั้ง ตระหนักว่าบ่อยครั้งก็เดินจากไป มีปากเสียงและทำตัวแย่ ๆ ใส่อีกฝ่าย แม้ว่าจะรักพวกเขา นี่ไม่ใช่เพราะรักไม่มากพอ แต่เพราะความรักกับความขัดแย้งเป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกันได้ในตัวเรา ดังนั้นความรักจึงไม่ได้เป็นอย่างที่คิดว่ามันควรจะเป็นเสมอไป ในตัวเรามีช่องว่างและความซับซ้อนอยู่ เมื่อความรักแทรกผ่านเข้ามาในบริเวณเหล่านี้ ผลลัพธ์จึงแตกต่างกันไปในบางครั้ง
- วิธีควบคุมปีศาจร้ายในตัว
ปีศาจร้ายในตัวโจมตีจุดอ่อนไหว สาธยายให้ฟังเกี่ยวกับทุกสิ่งที่กลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิดไป รวมถึงทำให้ติดอยู่ในจุดที่คนอื่นมองว่าเป็นความเป็นจริง แม้นั่นจะเป็นเพียงมุมมองของพวกเขา ไม่ใช่ตัวตนของตัวเราตามปีศาจร้ายในตัว ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเอาชนะหรือเมินเฉย แค่ต้องยอมรับ เข้าใจ และบ่มเพาะมันไปในแบบที่ต่างออกไป สิ่งที่ช่วยได้คือการตระหนักรู้ ทันทีที่ตระหนักว่าความคิดเกิดจากความไร้เหตุผล และความกลัวก็เท่ากับว่าได้ทำให้มันเงียบลงไปแล้ว และทันทีที่ค้นพบว่าไม่จำเป็นต้องฟังเสียงนั้น และมันไม่ใช่ตัวตนก็จะไม่ถูกมันควบคุมอีกต่อไป
- เหตุผลที่ปฏิเสธการคิดบวก
เหตุผลสำคัญที่ผู้คนคิดว่า การพัฒนาตัวเองหรือจิตวิทยาเชิงบวกเป็นเรื่องไร้สาระ ก็เพราะมันดูเป็นไปไม่ได้ที่จะทำตามคำแนะนำเหล่านั้นให้สำเร็จได้ คิดบวกดูเป็นเรื่องง่าย ๆ แล้วทำไมถึงคิดบวกได้ยากลำบากนัก คำตอบก็เรียบง่ายทีเดียว การคิดบวกไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ นั่นเอง คนเรามีสารพัดอคติในระดับจิตใต้สำนึก ที่ต่อต้านการคิดบวก มันสั่งสมอยู่เป็นเวลานาน จนทำให้มีความเชื่อเชิงลบมากยิ่งขึ้น ถ้าอยากคิดบวกให้มากกว่าที่เป็นอยู่ จำเป็นต้องก้าวข้ามการไม่ยอมรับ ที่แฝงความเกรี้ยวกราดในช่วงแรกไปให้ได้
- ปรัชญาของการไม่ต่อต้าน
ความแตกต่างระหว่างการตามน้ำ กับการเป็นคนไม่มีปากเสียง การไม่ต่อต้านคือการหาจุดสมดุลระหว่างสิ่งที่ควบคุมได้ และสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ในชีวิต หากจะให้เปรียบเปรยการไม่ต่อต้านคือการแล่นเรือไปตามกระแสน้ำ ไม่ใช่ทวนกระแสน้ำ นี่ไม่ได้หมายความว่าต้องเลิกควบคุม หรือเลิกพยายามโดยสิ้นเชิง แต่หมายความว่าต้องควบคุมหรือพยายามอย่างชาญฉลาดมากขึ้น ในกรณีนี้ต้องตระหนักว่า หนทางสู่การไม่ต่อต้านไม่ได้บอกให้ยอมจำนนโดยสิ้นเชิง ต่ออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในชีวิต และตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า กระแสน้ำนั้นทรงพลังกว่านั้น เลือกได้ว่าจะต่อสู้ในศึกที่ตัวเองไม่มีวันชนะ หรือปล่อยให้ตัวเองไหลไปตามกระแสน้ำ
- ต้องใจดีกับตัวเองให้มากที่สุดตอนที่คิดว่าไม่สมควรได้รับมัน
เชื่อว่าการใจร้ายกับตัวเอง เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการปกป้องตัวเอง มองหาข้อบกพร่องของตัวเองเพราะเป็นนักเอาชีวิตรอดโดยธรรมชาติ และอยากรู้เหลือเกินว่าสิ่งที่คนอื่นมองว่าไร้ค่าหรือไม่ดีพอคืออะไร จะได้คอยคิดถึงทุกสิ่งที่พวกเขาอาจนำมาใช้โจมตีหรือต่อต้าน แต่การทำเช่นนี้ไม่มีทางทำให้แข็งแกร่งขึ้นมา ไม่ได้ช่วยให้มีภูมิคุ้มกันต่อการโจมตีของคนอื่น เพียงเพราะโจมตีตัวเองก่อน และคิดว่าพวกเขาจะพูดอะไร ก่อนที่จะเอ่ยปากออกมาก็ป้องกันจากคำพูดเหล่านั้นไม่ได้
ต้องใจดีกับตัวเองโดยเฉพาะในยามที่คิดว่าไม่สมควรได้รับมันเลย เป็นเรื่องของการเปลี่ยนกรอบคิด หรือในแง่หนึ่งของการเลือก ต้องเลือกที่จะขอความช่วยเหลือ ย้ายที่อยู่ จบความสัมพันธ์ สานสัมพันธ์ขึ้นมาอีกครั้ง รวมถึงกินอิ่มและนอนให้พอ ต้องย้ำเตือนกับตัวเองอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอว่าไม่เป็นอะไร ไม่ใช่เพราะหลอกตัวเองหรือใคร ๆ ก็พูดเช่นนั้น แต่เป็นเพราะสุดท้ายแล้วทุกคนจะไม่เป็นอะไร ไม่ใช่เพราะคนอื่นบอกว่าจะทำได้ แต่เป็นเพราะรู้สึกอย่างนั้น และรู้สึกที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง
- ความคิดบิดเบี้ยวที่พบได้แพร่หลายที่สุด
การคิดที่มีประสิทธิภาพคือ การคิดอย่างเป็นกลางและอิงข้อเท็จจริง สมองของมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อให้ยืนยันตัวมันเอง พูดอีกอย่างก็คือถูกกำหนดมาให้หาหลักฐาน ที่สนับสนุนสิ่งที่อยากเชื่อมากที่สุด และถ้าจิตสำนึกขุ่นมัวไปด้วยความคิดลบ ท้ายที่สุดก็จะมีความเชื่อมั่นอันแรงกล้าต่อความคิดเหล่านั้น ความบิดเบี้ยวมักเกิดขึ้นอย่างมีแบบแผน เช่นเดียวกับอีกหลายสิ่งบนโลกใบนี้
- สิ่งที่สำคัญกว่ารูปร่าง
เข้าใจว่าเนื้อแท้สำคัญกว่าเปลือกนอก รู้ว่าสิ่งที่คนอื่นพูดถึงรูปร่าง ไม่ได้ทำให้มันเป็นไปอย่างนั้น ยอมรับรูปร่างของคนอื่นอย่างที่เป็น ยอมรับตัวตนของคนอื่นอย่างที่เป็น ปล่อยให้ร่างกายได้ช่วยเหลือคนที่ต้องการ นี่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด ที่คนเราสามารถทำกับร่างกายของตัวเองได้ รู้ว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงโดยเฉพาะร่างกาย นี่คือการเดินทางและรถยนต์ก็ต้องแล่นเพื่อให้ไปต่อ คนอื่นจะตัดสินมากแค่ไหนก็ได้ แต่คนที่ต้องรับมือกับคำตัดสินเหล่านั้นคือ พวกเขาอาจไม่ได้รู้สึกดีอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีรูปร่างที่ต้องการ รู้ว่าบางครั้งก็ค้นพบความสบายใจท่ามกลางความอึดอัด แถมยังรู้ว่าไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบความสบายใจหรือไม่สบายใจของคนอื่น มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่อดพูดถึงรูปลักษณ์ของคนอื่นไม่ได้ การกระทำดังกล่าวเกิดจากความไม่มั่นใจ ส่วนลึกจึงไม่ควรโกรธพวกเขา แต่ควรแสดงความรักเพราะพวกเขาต้องการมัน ใช้ชีวิตนี้เพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการหาความสุขให้ตัวเอง นอนหลับอย่างเต็มอิ่ม รู้สึกดีกับร่างกายของตัวเอง ให้อภัยคนที่เคยใจร้ายกับร่างกาย และตระหนักว่าพวกเขามีบาดแผลเช่นกัน ตระหนักอีกว่าคนเรามักพูดวิจารณ์สิ่งที่จี้ใจดำตัวเองอย่างรุนแรง ให้อภัยตัวเองที่เคยใจร้ายกับร่างกาย
- คำสอนของนิกายเซนและวิธีปรับใช้กับชีวิตยุคใหม่
แม้นิกายเซนจะแตกแขนงมาจากศาสนาพุทธ แต่มันเป็นเพียงศิลปะของการตระหนักรู้ในตัวเอง มันไม่ได้บอกว่าควรรู้สึก ควรเชื่อ ควรเป็น หรือควรทำอะไร ขอแค่ตระหนักรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่เท่านั้น หลักการของนิกายเซนจึงเป็นสิ่งสากล และสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกความเชื่อหรือทุกวิถีชีวิต เช่น ประสบการณ์เป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา จึงต้องตระหนักว่าไม่ว่าธรรมชาติแล้วจะเป็นอย่างไร ก็สามารถสร้างประสบการณ์ที่ต่างจากเดิม ด้วยการเปลี่ยนและเลือกจุดสนใจใหม่ ความคิดเกี่ยวกับตัวตนก็เป็นภาพลวงตา ตัวตนคือแก่นสาร มันคือพลังงาน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมตัวตนถึงไม่เคยเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวได้นาน หรือเป็นเช่นนั้นในบริบทใดบริบทหนึ่ง และทำไมการเข้าใจตัวเองถึงเป็นเรื่องยาก ท้ายที่สุดแล้วจะกลับไปสู่สภาวะที่เป็นหนึ่งเดียว อันเป็นภาวะด้วยธรรมชาติ
- สัญญาณที่บ่งบอกว่าความอ่อนไหวต่อการเข้าสังคมในระดับปกติ
ในโลกที่ดูจะทึกทักการเป็นคนชอบเข้าสังคมคือบรรทัดฐาน ส่วนการเป็นคนเก็บตัวสวนทางกับบรรทัดฐานของสังคม และจำเป็นต้องพิสูจน์กับอธิบายตัวเองอยู่ตลอดเวลา นั้นดูจะเริ่มคิดจริงจังกันเกินไป ว่าความอ่อนไหวต่อการเข้าสังคม ในระดับที่ดีและปกตินั้นอยู่ตรงไหน การอยากอยู่อย่างสันโดษ ไม่ใช่ความบกพร่องในการเข้าสังคม ใช้คำว่าต่อต้านสังคม หรือกลัวการเข้าสังคมในบริบทที่ไม่เหมาะสม ทั้งที่สิ่งเหล่านี้เป็นอาการร้ายแรง และคำวินิจฉัยโรคที่อาจต้องคิดให้ดีก่อนจะนำไปใช้ การกลัวการเข้าสังคมมักเกิดจาก การคาดการณ์สิ่งที่คนอื่นอาจตัดสินหรือตั้งสมมติฐาน ถ้าไม่ระวังให้ดีมันอาจทำให้ตัวแข็งทื่อราวกับเป็นอัมพาต มากกว่าจะตระหนักรู้ในตัวเอง การกังวลว่าตัวเองกลัวการเข้าสังคมมากเกินไป หรือไม่นั้นอาจเป็นเรื่องที่ปกติสุดก็ได้ มันไม่ได้เกิดจากการมีปัญหาขั้นรุนแรง แต่เกิดจากความต้องการที่จะตระหนักรู้ในตัวเองมากพอ ที่จะรับมือกับปัญหานั้น
- ปัจจุบันคือทั้งหมดที่มี
ตลอดเวลาที่ใช้ไปกับการนั่งคิดวิเคราะห์ จะตระหนักว่าทุกปัญหานั้นมีมาจากปัญหาหลักเดิม ๆ นั่นคือไม่รู้วิธีอยู่กับความอึดอัดใจ และไม่รู้ว่าจะดื่มดำกับเรื่องดี ๆ โดยไม่ถูกเรื่องเลวร้ายขัดขวางได้อย่างไร ปัญหาคือการมองว่าส่วนต่าง ๆ ของชีวิตเป็นเพียงสัญญาณที่บอกว่า ถึงเวลาไปสู่เป้าหมายถัดไปแล้ว เพราะมันเป็นผลมาจากความคิดที่ว่า ตอนจบอันแสนสุขนั้นมีอยู่จริง ถ้าผ่านพ้นความเจ็บปวดไปได้ ก็จะได้รับการเยียวยาหมดปัญหา เปลี่ยนแปลง และกลายเป็นคนใหม่ที่สมบูรณ์อีกครั้ง ปัจจุบันคือทั้งหมดที่มี ต้องเลือกที่จะอยู่กับมัน ต้องอยู่กับความเป็นจริงที่น่าสลดใจ ซึ่งคือสิ่งที่เห็นและรับรู้ในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นความยุ่งเหยิงหรือความขัดแย้งอันงดงาม ซึ่งนำไปสู่สงคราม ความรัก การใกล่เกลี่ย ความเป็นอันหนึ่งอันเดียว และความเปลี่ยนแปลง ความแปลกใหม่ของชีวิตที่จะมองเห็น ก็ต่อเมื่อได้ลองสำรวจด้านที่บ้าคลั่งของตัวเอง ซึ่งไม่สนใจว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
- ศิลปะของการไร้สติ
การมีสติคือการอยู่กับปัจจุบัน และตระหนักถึงทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน การตระหนักรู้เช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ไขปัญหาของมนุษย์ แต่ยังเป็นเหมือนพรมแดนสุดท้ายที่จะพาตัวเองเข้าไปในสักวัน อาจโอบรับทุกชั่วขณะที่ผ่านมา หรือปล่อยให้มันผ่านไปอย่างไร้สติ เมื่อบอกว่าสิ่งที่ต้องจากการกันอย่างจริงจังคือการไร้สติ ไม่ได้หมายถึงการไม่มีสติโดยสิ้นเชิง คิดอะไรย่อมเป็นแบบนั้น และถ้าพิจารณาจากสิ่งที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ก็คงคิดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่สลักสำคัญ ทั้งยังไม่เผื่อที่ว่างให้ความไม่แน่นอน ความอึดอัดใจ รวมถึงสิ่งที่ไม่รู้ ทว่าทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งยิ่งใหญ่เกินกว่าสมองจะเข้าใจ
- ความแตกต่างระหว่างสิ่งที่รู้สึกกับสิ่งที่คิดว่าตัวเองรู้สึก
อารมณ์เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและเรียบง่าย เมื่อสังเกตร่างกายตัวเองจะพบว่า มันคือความรู้สึกซึ่งสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่ใช่ความตึงเครียดก็เป็นความผ่อนคลาย การแปลความหมายของความตึงเครียดหรือความผ่อนคลายนี้ ทำให้เกิดความคิดที่อารมณ์รุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอันแรงกล้า ความเบิกบานใจ หรือความอ่อนล้า เมื่อพิจารณาทุกสิ่งรวมกันแล้ว สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์ทางความคิดเหล่านี้คือ เหตุผลว่าทำไมมนุษย์ถึงทุกข์ทรมาน แม้ว่าจะวิวัฒนาการมากกว่าครั้งไหน ๆ คนเราถูกสอนว่าชีวิตที่คุ้มค่าคือชีวิตที่เหวี่ยงไปด้วยอารมณ์อย่างสูง ครั้งต่อไปที่รู้สึกเหมือนตกอยู่ในสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จงสังเกตร่างกายของตัวเอง แล้วดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ความคิดไม่ได้หล่อหลอมชีวิต หากแต่การที่ใช้ความคิดเพื่อวิเคราะห์ความหมายของอารมณ์ จากนั้นก็ตัดสินว่าอะไรดี เลว ถูก หรือผิด ของตัวเองจากความเชื่อของตัวเอง
- พลังของการคิดลบ
ประเด็นของการมีประสบการณ์กับทุกสิ่งคือ การเรียนรู้วิธีคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นให้ต่างออกไป เมื่อไม่เรียนรู้ที่จะคิดให้ต่างออกไปก็จะติดอยู่ที่เดิม ยิ่งมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถมองโลกด้วยมุมมองที่แตกต่าง คิดได้ในหลากหลายรูปแบบ และพิจารณาความเป็นไปได้ที่ไม่เคยฉุกคิดมาก่อนมากเท่านั้น การเรียนรู้วิธีมองข้ามความคิดเชิงลบให้ดีขึ้น ไม่ใช่การเรียนรู้วิธีคิด แต่เป็นวิธีตัดขาดจากความรู้สึกของตัวเอง การคิดลบให้ข้อมูลและมุมมองได้มากพอ ๆ กับการคิดบวก แทนที่จะรู้สึกกลัวสามารถฝึกมองว่าการคิดลบเป็นคำชี้แนะ หรืออย่างน้อยถ้าแยกแยะได้ว่าจะให้ความหมายกับสิ่งใด ก็สามารถตัดสินใจว่าสิ่งที่สำคัญกับตัวเองคืออะไร และมันสำคัญมากแค่ไหน แต่ที่สำคัญกว่าคือถ้าความรู้สึกนั้นไม่สมเหตุสมผล มองว่าการให้ความหมายกับความรู้สึกนั้นเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ ความอึดอัดใจบางครั้งไม่ต้องคิดหาทางเลือกที่ตัวเองไม่เคยจินตนาการถึง นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมความทุกข์ทรมาน ถึงจำเป็นต่อการเติบโตของมนุษย์ และทำไมอุปสรรคถึงเป็นทางออก แต่มีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่สามารถยอมรับเรื่องเชิงลบ และค้นพบสิ่งที่ล้ำลึกยิ่งกว่า
- สิ่งที่ต้องทำเพื่อบรรเทาความกังวลในชีวิต
สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับการเสพติด ไม่ใช่การมีสติสัมปชัญญะ แต่เป็นการเชื่อมโยงสัมพันธ์ ความกังวลก็เช่นเดียวกัน ความกังวลคือการตัดการเชื่อมโยงจากชั่วขณะปัจจุบัน ผู้คนหรือตัวเอง โดยส่วนใหญ่แล้วก็คือทุกสิ่งที่ว่ามา ต้องเชื่อมโยงกับชีวิตของตัวเองอีกครั้ง ต้องอนุญาตให้ตัวเองต้องการสิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง นี่เป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จงรับรู้ความต้องการของตัวเอง แล้วยอมรับมันไม่ว่าจะคนรัก งานที่ดี เงินที่มากขึ้น หรือการได้รับการยอมรับในผลงาน ถ้าไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร จงพิจารณาสิ่งที่กลัวมากที่สุดอย่างตรงไปตรงมา ต้องเริ่มต้นจากจุดที่ตัวเองอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองมี และทำสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ ไม่อย่างนั้นก็จะหนีปัญหา และละเลยชีวิตรวมถึงตัวตน ลองจินตนาการถึงชีวิตของตัวเอง จากมุมมองของคนที่อยากเป็น เมื่อมีจุดมุ่งหมายในการเติบโตที่แน่วแน่ ก็จะกังวลกับชีวิตน้อยลง แล้วหลาย ๆ สิ่งจะกลับเข้าที่เข้าทางของมันเอง
- เลิกไล่ตามความสุข
ความสุขไม่ใช่สิ่งที่แสวงหา แต่ต้องมีความสุขด้วยตัวเอง ความปรารถนาที่จะมีความสุขอยู่ตลอดเวลาคือ สิ่งที่ขับเคลื่อนลัทธิบริโภคนิยม ทำให้ไขว้เขวจากข้อเท็จจริงที่ว่า ทุกคนล้วนมุ่งหน้าไปสู่ความตาย ที่ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และการกระตุ้นให้กระหายมากกว่าเดิม ถ้าอยากมีความสุขก็ต้องเลิกแสวงหาความสุข ความสุขเป็นผลพลอยได้จากการทำสิ่งที่ท้าทาย เปี่ยมความหมาย งดงาม และคุ้มค่า ทางเลือกที่ฉลาดกว่าคือใช้ชีวิตเพื่อแสวงหาความรู้ หรือความสามารถในการคิดอย่างเฉียบคม และคิดหลายแง่มุม แทนที่จะเป็นแค่สิ่งที่ทำให้รู้สึกดี สุดท้ายแล้วการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด จะหมายถึงการหลีกเลี่ยงความสุข การปิดกั้นไม่ให้ตัวเองได้สัมผัสความรู้สึกหนึ่ง คือการปิดกั้นทุกสิ่ง มันทำให้ไล่ตามความสุขที่ไร้ความหมาย ซึ่งไม่มีวันเติมเต็มได้จริง ๆ และได้สัมผัสเพียงเศษเสี้ยวของตัวตนที่เกิดมาเพื่อเป็น
- สิ่งที่ควรรู้ถ้ากำลังเปลี่ยนแปลงความคิด
การเปลี่ยนแปลงความคิด ความรู้สึก ตัวตน หรือวิถีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างการมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติกับคนอื่นให้อ่อนโยนขึ้น การตระหนักถึงความจริงอันโหดร้ายที่ว่า ต้องรับผิดชอบความสุขของตัวเอง หรือการพยายามทำความเข้าใจโลกให้ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภาระที่สำคัญ และต้องทำหลายต่อหลายครั้งในชีวิต ไม่สำคัญว่าจะเปลี่ยนแปลงจากอะไรไปเป็นอะไร สิ่งที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจหรืออารมณ์นั้น มีแนวโน้มที่จะทำให้เผชิญกับสถานการณ์ แล้วความยากลำบากในลักษณะคล้าย ๆ กัน การรักตัวเองคือการกระทำไม่ใช่ความรู้สึก การรักตัวเองมันคืออารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการนับถือตัวเอง ทั้งนี้โดยส่วนใหญ่แล้วมันคือการยืนหยัดเพื่อตัวเอง มีกำลังใจที่จะพยายามต่อไป มีความกล้าหาญที่สะท้อนตัว ค้นพบความสุขได้ แม้สิ่งต่าง ๆ จะไม่เที่ยง และไม่มั่นคง และอื่น ๆ ความยากลำบากจะหล่อหลอมตัวตน ความอึดอัดใจเป็นแรงผลักดัน ที่ช่วยให้ลงมือทำในแบบที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อน ถ้ามองแบบผิวเผินมันอาจดูน่ากลัว เพราะเป็นสิ่งที่ไม่รู้จัก แต่ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต จะกระตุ้นการหล่อหลอมตัวตน ความท้าทายจะพัฒนาให้กลายเป็นคน ในแบบที่ไม่เคยนึกฝัน จะรู้สึกขอบคุณความยากลำบากของตัวเอง เมื่อข้ามผ่านมันไปได้.
สั่งซื้อหนังสือ “101 บทความเปลี่ยนชีวิตที่จะเปลี่ยนวิธีคิดคุณ” (คลิ๊ก)