Source: https://www.investopedia.com/terms/f/five-c-credit.asp

หลักการโดยทั่วไปที่นักวิเคราะห์เครดิตทางการเงินใช้คือหลัก 3 Cs ไปจนถึง 5Cs มีองค์ประกอบดังนี้:

  1. Character คือชื่อเสียงของบริษัทและประวัติการชำระหนี้ในอดีต
  2. Collateral คือมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัทที่สามารถใช้ค้ำประกันหนี้สินได้
  3. Capacity คือความสามารถในการจ่ายคืนหนี้สิน
  4. Capital คือจำนวนเงินที่บริษัทวางเอาไว้เพื่อแสดงความเชื่อมั่นในการกู้ยืม (เงินดาวน์)
  5. Conditions คือเงื่อนไขต่างๆในการกู้ยืม เช่น อัตราดอกเบี้ย และปริมาณเงินที่ขอกู้ยืม

ตามปกติแล้วองค์กรที่วิเคราะห์เครดิตของบริษัทต่างๆจะให้น้ำหนักของอัตราส่วนทางการเงินของบริษัทในแต่ละอุตสาหกรรมแตกต่างกัน และมีสิ่งที่ต้องพิจารณาหลักๆดังนี้:

  1. ขนาดและความหลากหลาย บริษัทที่มีขนาดใหญ่ และมีความหลากหลายของทั้งไลน์สินค้าและตำแหน่งที่ตั้ง มักจะมีเครดิตที่ดีกว่า
  2. ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน การที่บริษัทเป็นเจ้าของกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ (Vertical integration) รวมถึงตัวเลขอัตราส่วน ROA, Operating margin, และ EBITDA margin ที่สูง แสดงถึงประสิทธิภาพการดำเนินงานที่สูง และเครดิตที่ดีด้วยเช่นกัน
  3. ความคงที่ของอัตรากำไร อัตรากำไรที่คงที่ทำให้ผู้ปล่อยกู้มีความมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถชำระหนี้คืนได้ตามกำหนด ส่งผลให้บริษัทมีเครดิตที่ดีและจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลง
  4. ระดับในการใช้ Leverage บริษัทที่มีการใช้เงินกู้ (ที่มีดอกเบี้ย) ในระดับที่สูงเทียบกับกำไรที่ทำได้ จะส่งผลให้มี Interest coverage ratio ซึ่งเป็นการนำ EBIT หารด้วย Interest expense มีค่าต่ำ แสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ที่ต่ำลง และมีเครดิตที่แย่ลงนั่นเอง

Source: https://www.investopedia.com/ask/answers/022415/what-factors-are-taken-account-quantify-credit-risk.asp

จากปัจจัยต่างๆที่ใช้ในการประเมินระดับเครดิตของบริษัทที่กล่าวไว้ข้างบน นักวิเคราะห์เครดิตจะคำนวณความเสี่ยงต่างๆออกมาเป็นตัวเลขหลักๆ 3 อย่างดังนี้:

  1. Probability of default (PD) เป็นโอกาสที่บริษัทจะผิดนัดชำระหนี้
  2. Loss given default (LGD) เป็นปริมาณเงินที่คาดว่าบริษัทจะผิดนัดชำระ หาก 2 บริษัทมีคะแนนเครดิตอยู่ในระดับเดียวกัน แต่กู้เงินในปริมาณที่แตกต่างกัน จะทำให้บริษัทที่กู้เงินมากกว่ามี LGD สูงกว่าด้วยเช่นกัน
  3. Exposure at default (EAD) มีความคล้ายคลึงกับ LGD เป็นเป็นปริมาณเงินที่มีศักยภาพในการผิดนัดชำระได้ในทุกเวลา ไม่ใช้เพียงแค่เวลาที่จะผิดนัดชำระจริงๆเท่านั้น

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง