สรุปหนังสือ เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด
โดย คิมรันโด
สั่งซื้อหนังสือ “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก
PART 1 คำตอบนั้นไม่อาจหาได้จากที่ไหน นอกจากนัยน์ตาของคุณ
1. นาฬิกาชีวิตตอนนี้กี่โมงแล้ว เวลาของชีวิตหมุนผ่านไปเร็วเสมอ หากชีวิตปราศจากการวางแผนที่มุ่งมั่น หรือไม่อาจทำให้ความฝันใด ๆ ลุล่วงเป็นจริงได้ พลังชีวิตที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม ก็จะมอดมลายหายไปกับกาลเวลา หากจะเปรียบเทียบอายุ 80 ปีของชีวิตกับเวลาในหนึ่งวันที่มี 24 ชั่วโมงจะได้อย่างนี้ ถ้าตอนนี้อายุ 20 ปี นาฬิกาชีวิตอยู่ที่ 6 โมงเช้า พระอาทิตย์ขึ้นพอดี วัยรุ่นหลายคนเพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงาน ถ้าตอนนี้อายุ 30 ปี นาฬิกาชีวิตอยู่ที่ 9 โมงเช้า เป็นเวลาในการทำงาน ถ้าตอนนี้อายุ 40 ปี นาฬิกาชีวิตอยู่ตอนเที่ยงตรง เป็นช่วงเวลาพักสั้นๆ ก่อนจะกลับไปสู่ชีวิตอีกครั้ง ถ้าตอนนี้อายุ 50 ปี นาฬิกาชีวิตอยู่ที่เวลา 3 โมงเย็น ยังมีเวลาเพียงพอที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำอีกมาก ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เมื่อรู้สึกว่าทุกอย่างมันสายไปแล้ว ไม่ได้เกิดจากความจริง แต่เป็นผลมาจากภาพลวงตาที่สร้างขึ้นมาเอง ไม่มีอะไรสายเกินแก้ และไม่มีอะไรมาเร็วเกินไปหรือช้าเกินไป คนเรายังมีเวลาเหลืออีกมากที่จะลงมือทำ ยังมีเวลาเหลือที่จะได้ออกไปใช้ชีวิต
2. จงไล่ตามความปรารถนาไป ในปัจจุบันมีการแข่งขันสูงมากเรียกได้ว่า มองไปทางไหนเจอแต่บัณฑิตจบใหม่ ทุกคนล้วนพยายามที่จะเพิ่มขีดความสามารถของตนเอง เช่น ไปเรียนทักษะต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้ได้งานในตำแหน่งดี ๆ ง่ายขึ้น มีบทบัญญัติ 10 ประการในการเลือกงานของเกาหลี
โดยสรุปมันเป็นบทบัญญัติของโรงเรียน มัธยมปลายคอชัง ในเกาหลี บทบัญญัตินี้จะพูดถึงงานชนิดที่เราควรจะเลือก ซึ่งทั้ง 10 ข้อได้ท้าทายคนทั่ว ๆ ไปมาก นั่นก็คือหลัก ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ชอบงานแบบไหน ให้เดินสวนทาง เช่น เลือกงานที่เงินน้อย,งานที่คนไม่อยากทำ,ไม่มีโอกาสก้าวหน้า,ไม่มีอนาคต,ไม่มีใครไปถึง,งานที่ครอบครัวคัดค้าน, เลี่ยงงานที่สมบูรณ์พร้อม, งานที่ไม่ได้รับการยกย่องจากสังคม, งานที่อยู่ริมขอบ, งานที่รอการประหาร
โดยผู้เขียนได้พูดถึงเพื่อนเขาคนหนึ่ง ที่อยากเป็นอาจารย์อัตราจ้างในมหาวิทยาลัย ซึ่งเพื่อนของเขานั้นจบปริญญาเอก โดยในขณะนั้นเขาได้รับการทาบทาม ให้เข้าไปทำงานบริษัทที่เงินเดือนมากกว่า และเป็นบริษัทชื่อดังด้วย โดยที่การเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยนั้น เป็นความใฝ่ฝันของเขา แต่ถ้าเขาไปทำงานบริษัทแล้ว เวลาในการเขียนวิทยานิพนธ์ และสะสมชั่วโมงบินในเรื่องของการสอนจะน้อยมาก พอรู้ตัวอีกทีก็ออกห่างจากความฝันเริ่มต้นของตัวเองไปไกลแล้ว
ผู้เขียนแนะนำเพื่อนเขาว่า ถ้ามีความฝันและมุ่งมั่นจะเป็นอาจารย์จริง ๆ ให้ปฏิเสธงานในบริษัทนั้น และเพื่อนเขาก็ทำเช่นนั้น เขาบอกว่าทางเลือกนี้มันอาจจะเป็นความโง่เขลาในสายตาคนทั่วไปก็จริง แต่ในการดำเนินชีวิต ความฝันและความหวังของตัวเราต่างหาก ที่จะเติมเต็มชีวิตของตนเองให้มีความหมาย คนที่ตัดสินใจในการทำสิ่งที่โง่เขลาในวันนี้ มันอาจจะกลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความปรารถนาของตัวเราเอง
คนเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อความฝัน ซึ่งคำว่า passion ที่แปลว่าแรงปรารถนานั้น รากศัพท์มาจากคำว่า passio ซึ่งแปลว่าความทรมาน นั่นก็คือในความคิดของเรานั้น การที่จะก้าวข้ามไปสู่ความฝันได้นั้น เราจะต้องผ่านช่วงที่เป็นความทุกข์ และความทรมานของชีวิตเราไปให้ได้ นอกจากนี้การที่ตัดสินใจทิ้งความฝัน ก็เป็นสิ่งที่ทรมานเช่นเดียวกัน
3. ฤดูกาลที่ผลิบาน การให้เห็นฤดูกาลที่หมุนเวียนไปตลอดระยเวลาหนึ่งปี นับเป็นความสุขใจอีกอย่างหนึ่งของชีวิต เมื่อพูดถึงดอกไม้แล้ว แต่ละคนก็อาจจะมีดอกไม้ที่ชอบไม่เหมือนกัน
ผู้เชียนได้ตั้งคำถามว่า “คุณคิดว่าดอกไม้ชนิดไหนเยี่ยมที่สุด ไม่ใช่ดอกไม้ที่คุณชอบ แต่หมายถึงดอกไม้ที่เยี่ยมที่สุดในความคิดคุณ ?” ถ้าลองครุ่นคิดดูอาจจะตอบได้ต่าง ๆ นานา แต่ผู้เขียนเฉลยว่า “ไม่มีดอกไม้ที่เยี่ยมที่สุด เนื่องจากดอกไม้แต่ละชนิดมีเวลาในการผลิบาน และอยู่ในช่วงที่สวยที่สุดในต่างฤดูกาลและต่างช่วงเวลากัน”
เมื่อเทียบดอกไม้กับชีวิตคนเราก็เหมือนกัน วิสัยทัศน์แคบ ๆ ก็อาจทำให้มองข้ามความงดงามของดอกไม้แต่ละชนิดไป เหมือนกับที่มองไม่เห็นจมูกด้วยตาตนเอง หากตอนนี้กำลังท้อแท้และเลื่อนลอย เพราะเห็นเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกันเริ่มทยอยประสบความสำเร็จ ขอให้คิดแบบนี้ ลองมองดอกไม้เหล่านั้น บางทียังอาจไม่ถึงช่วงเวลาก็ได้ การที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในเวลานี้ มันแค่ยังไม่ถึงช่วงเวลาที่จะผลิบานเท่านั้นเอง
คนรุ่นใหม่จำนวนมากพากันท้อแท้ในความล้มเหลวแรกของชีวิต รู้สึกต้อยต่ำและหมดค่า จงอย่ากังวลใจไป เพราะโอกาสที่จะสามารถประสบความสำเร็จได้ยังมีมากมายเหลือเกิน ชีวิตวัดกันที่งานที่ทำเป็นงานสุดท้ายไม่ใช่งานแรก ความสำเร็จของชีวิตวัดกันที่การทำความฝันให้เป็นจริงในที่สุด ไม่ได้วัดกันที่ใครทำความฝันให้เป็นจริงเร็วกว่าใคร มีหลายคนที่ต้องรอถึงอายุ 50-60 ปีกว่าที่จะทำความฝันได้สำเร็จ เพราะฉะนั้นจงอย่าท้อ มุ่งหน้าทำตามความปรารถนาของเราต่อไป และเตรียมพร้อมรอวันที่เราจะผลิบาน
4. คำตอบไม่อาจหาได้จากที่ไหนนอกจากนัยน์ตาตัวเอง ผู้เขียนได้พูดถึงลูกศิษย์ของเขาสองกลุ่มนั่นก็คือ กลุ่มลูกธนู กับ กลุ่มเรือกระดาษ พวกกลุ่มลูกธนู คือ นักเรียนที่เป็นหัวกะทิในชั้น ซึ่งพวกนี้จะมีการวางแผนในการดำเนินชีวิตที่รัดกุม รู้จักตั้งเป้าหมายตั้งแต่ยังอายุน้อย พวกเขาจึงเหมือนลูกธนูที่เล็งเข้าสู่จุดหมาย ก็คืออยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ในเส้นทางที่ตัวเองเลือก ซึ่งข้อดีเด็กกลุ่มนี้คือ เขาจะขยัน และทำตามเป้าหมายในทุกวัน แต่ข้อเสียก็คือ พวกลูกธนูนั้นจะไม่ค่อยยอมรับในความล้มเหลว หรือเขาก็จะหลงทางไปเลยเมื่อทำเป้าหมายนั้นไม่สำเร็จ มันเหมือนแผนการของเขาพลังทลายทั้งยวง นอกจากนี้เขายังไม่ค่อยเห็นโอกาสที่ผ่านมาตรงหน้าโดยบังเอิญ เพราะเอาแต่จดจ่อกับเป้าหมายของตัวเองอย่างเดียวจนไม่ดูว่า โอกาสที่เข้ามาในชีวิตอาจจะเป็นโอกาสทองก็ได้
ดังนั้น ผู้เขียนกล่าวว่า ลูกศิษย์กลุ่มนี้ ควรเรียนรู้ในการวางแผนอย่างหลวม ๆ และมีการวางแผนสำรอง และการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการที่อะไรก็ตามไม่เป็นอย่างที่เราคิด
ส่วนลูกศิษย์ที่เป็นเรือกระดาษ คือ ลูกศิษย์กลุ่มนี้จะตรงกันข้ามกับกลุ่มลูกธนู ก็คือเขามักจะเลื่อนลอย และไม่ได้มีเป้าหมายอะไรในชีวิตเป็นพิเศษ เปรียบเสมือนเรือกระดาษ ที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ มีความเฉื่อยชา โดยเด็กกลุ่มนี้มักจะเห็นเพื่อน ๆ เขามุ่งหน้าสู่เป้าหมายในชีวิต แต่เขานั้นจะคิดว่าตัวเองเลื่อนลอย และไม่เคยมีเป้าหมายอะไรใด ๆ กับเขาเลย แต่ในบางครั้งคนกลุ่มนี้ก็ลองทำบางอย่างดูบ้าง แต่อาจจะไม่สำเร็จ ทำให้เขายิ่งเฉื่อยชาไปอีก เนื่องจากพอลองทำครั้งหนึ่งไม่ได้แล้ว ก็เลยคิดว่าตัวเองคงจะไม่มีพรสวรรค์ในด้านนั้น ๆ ก็เลยถอดใจในที่สุด สุดท้ายสิ่งเหล่านี้มันเลยหล่อหลอมให้กลุ่มเรือกระดาษนั้น กลายเป็นคนไม่เอาไหนในช่วงกลางคน หรือช่วงท้าย ๆ ของชีวิต
ไม่ว่าจะตกอยู่ในกลุ่มไหนในสองกลุ่มนี้ก็ตาม ลองถามตัวเองว่าถ้าตัดเรื่องความต้องการ และความคาดหวังของพ่อแม่ และคนรอบตัวออกไปแล้ว อะไรกันแน่คือสิ่งที่ต้องการจริง ๆ ในชีวิต
5. บางครั้งอาจต้องพึ่งดวง บางคนมักจะมีเป้าหมายในชีวิตอะไรสักอย่างกันอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเด็กหรือจะโตแล้ว เช่น ถ้าเป็นเด็กก็ตั้งเป้าว่าขอให้สอบผ่านเลื่อนชั้นได้ พอโตหน่อยก็ตั้งเป้าหมายเอนท์เข้ามหาวิทยาลัยให้ติด พอเป็นช่วงทำงานก็สมัครงานบริษัทที่ตัวเองอยากทำแล้วได้งาน สิ่งเหล่านี้มันมาพร้อมกับความคาดหวัง
ในชีวิตต้องพบกับความล้มเหลวบ้างทั้งนั้น ไม่มีใครในโลกนี้ที่ทำทุกอย่างสำเร็จหมดอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีอะไรผิดพลาดเลย ถ้าเรามีความผิดพลาดในชีวิตมาก และทุก ๆ ครั้งที่ผิดพลาดล้มเหลว เราเรียนรู้จากความล้มเหลวนั้น ๆ การล้มเหลวจะทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น และสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในครั้งต่อ ๆ ไปได้ดีขึ้น ความผิดพลาดจะทำให้เราเติบโตขึ้น และอย่าหมดหวัง ถ้าสิ่งที่เราคาดหวังไว้หรือตั้งเป้าหมายไว้ ยังไม่เกิดขึ้นจริงในชีวิต ขอให้พยายามต่อไปอย่าได้ท้อ
6. ตัวฉันและบททดสอบ อย่าเร่งรีบดำเนินชีวิตไปเพื่อความมั่นคง คนเราย่อมปรารถนาที่จะเก่งและมีความสามารถเหนือคนอื่น จึงสะสมใบประกาศนียบัตร ถ้ายังมีความลังเลใจในชีวิต ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี อย่าเพิ่งไปสอบเรียนต่อ ความคลุมเครือที่คุณมีอยู่เช่น ไม่รู้จะอยากทำงานด้านนี้หรือไม่ ไม่รู้จะชอบเรียนด้านนี้หรือไม่ ให้ชะลอการสอบเรียนต่อไปก่อน ดังนั้นก่อนคิดจะเรียนต่อ ต้องทำการทบทวนความสามารถ และความต้องการของตัวเองให้ถ่องแท้ แม้จะสอบผ่านได้จริง แต่ก็เหมือนกับตัวเราก้าวห่างจากตัวตนที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น
ในยุคนี้ใบปริญญาไม่สามารถการันตีความสำเร็จในชีวิตคุณได้อีกแล้ว อย่าคิดว่าการเรียนต่อหรือเตรียมสอบจะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องงานได้ เพราะทุกสาขาอาชีพมีจำนวนคนมากจนเกินความต้องการแล้ว งานที่เงินเดือนสูง มั่นคง และดี มักเป็นเงื่อนไขอันดับแรก ๆ ที่ทุกคนนึกถึงกัน จึงนำไปสู่ความกดดัน เมื่อทำงานจะยิ่งรู้สึกทุกข์และกังวลใจมากกว่าเดิม เราไม่อาจใช้อัตราเงินเดือนและความมั่นคงเป็นตัวตัดสินอนาคตได้ แต่ต้องพิจารณาสิ่งที่สำคัญมากกว่านั้น สิ่งนั้นคือความสนุก
ชีวิตประกอบไปด้วยงานและเงินที่หาได้ ปริมาณค่าใช้จ่ายไม่ได้มีค่าเท่ากับคุณภาพชีวิตเสมอไป นั่นก็คือ คนส่วนมากในยุคปัจจุบัน มักจะชอบหางานที่รายได้มั่นคง และรายได้สูง ปริมาณค่าใช้จ่ายหรือความสนุกในการจับจ่ายนั้น เทียบไม่ได้เลยกับความสุขที่ได้ทำงานที่ตนเองชอบ งานที่มีรายได้สูง อาจจะซื้อวัตถุหรือสิ่งของที่ต้องการได้มาก แต่กลับเกิดความรู้สึกกลวงข้างใน ก็คือมันไม่ได้เติมเต็มในทุกด้านของชีวิตคน ๆ นั้น
หากฤดูใบไม้ร่วงเป็นเวลาเก็บเกี่ยวผลไม้สุกแล้ว ช่วงเวลาที่เราจะเก็บเกี่ยวผลไม้แห่งชีวิตยังห่างไกล คิดถึงงานที่อยากทำที่สุด งานที่ทำได้ดี เส้นทางชีวิตไม่ได้มีตัวเลือกแค่หมอหรือข้าราชการเท่านั้น จงทบทวนตัวเอง เมื่อเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้แล้ว จึงค่อยตั้งเป้าหมายชีวิต และลงมือเตรียมสอบ อย่าใจร้อน ถึงจะเริ่มต้นในตอนนั้นก็ยังไม่สาย
7. อย่าเพิ่งบริหารเงินตอนนี้ ในช่วงต้นหรือกลางอายุยี่สิบปี ขณะที่อายุในการทำงานยังน้อย เงินเดือนที่ได้รับก็ค่อนข้างน้อยด้วย อาจจะเก็บเรื่องการบริหารเงินเป็นเรื่องทีหลัง สิ่งที่วัยนี้ควรสะสมไม่ใช่เงิน แต่ควรเป็นประสบการณ์ชีวิต ผู้เขียนได้เล่าถึงนักแสดงตลกคนหนึ่ง เขาบอกว่า นักแสดงตลกที่เปิดบัญชีฝากประจำ จะทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพ เพราะว่า ถ้าหากคุณต้องฝากให้ครบทุกเดือน แต่อาชีพนักแสดงตลก เป็นอาชีพที่รายได้ไม่คงที่ แทนที่นักแสดงตลกคนนั้น จะได้พัฒนาฝีมือในการแสดงตลกของตัวเอง และพัฒนามุขตลกของเขา ทำให้ต้องคิดเรื่องเงินมากเกินจนขาดเวลาลงทุนเพื่อความสำเร็จ และส่งผลให้ไม่ประสบความสำเร็จในสายอาชีพตลกในที่สุด
ผู้เขียนกล่าวว่า ความคิดที่จะหาเงินให้ได้จากการลงทุนนั้น เป็นการแย่งชิงความสนุกไปจากสิ่งที่ทำอยู่ เพราะคนมักจะใช้เวลาไปกับการวิเคราะห์ธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งถ้าหาเงินจากความสนุกของงานที่ทำ หรืองานที่ชอบแล้ว มันเป็นสิ่งที่ให้กำไรชีวิตมากกว่าการหาเงินจากการลงทุนเสียอีก ตอนนี้ยังเด็กอย่าเพิ่งลงทุนกับธุรกิจ ให้ลงทุนกับความฝัน ลงทุนในความสามารถของตนเอง เพื่อทำความฝันนั้นให้เป็นจริง เมื่อประสบความสำเร็จ หรือไปได้ไกลในสายอาชีพระดับหนึ่งแล้ว จะไปบริหารเงินตอนนั้นก็ยังไม่สาย
8. หยุดเดินแล้วหันหลังมองสักเล็กน้อย อับราฮัม ลินคอร์น ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าใช้เวลา 8 ชั่วโมงในการตัดต้นไม้ เวลา 6 ชั่วโมงจะหมดไปกับการลับขวาน ก่อนที่เราจะทำอะไรก็ตามในชีวิต เราต้องคำนึงถึง เป้าหมาย และวิธีการก่อน โดยที่ไม่ใช่การมั่วทำไปเรื่อย ๆ แบบสะเปะสะปะ แบบนั้นก็ไม่มีทางทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันได้แน่นอน สิ่งที่วัยรุ่นขาดคือการทบทวนตัวเอง จึงควรถามตัวเองว่า ทำงานนี้ไปทำไม? ทำไปเพื่ออะไร? เพราะว่าการคำนึงถึงเป้าหมายก่อนนั้น มันจะเป็นตัวที่จะกำหนดสิ่งที่จะต้องทำในวันนี้ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำไปเรื่อย ๆ คือ เน้นแต่ปฏิบัติอย่างเดียว โดยไม่ได้ดูเลยว่าสิ่งที่ทำอยู่จะพาไปสู่จุดใดในชีวิต นั่นก็เหมือนกับคนที่ตัดต้นไม้โดยไม่ยอมลับขวานนั่นเอง
สิ่งที่สำคัญในวัยหนุ่มสาวคือ ต้องสะสมประสบการณ์ บางทีอาจจะต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น ๆ ซึ่งประสบการณ์นั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน มันเป็นไปได้ยากที่จะมีประสบการณ์กับเหตุการณ์จริงทุกอย่างในโลกนี้ เพราะฉะนั้นจึงควรเปิดใจ และคนกลุ่มที่ควรจะคุยด้วยมากที่สุด คือ กลุ่มคนที่เป็นผู้ใหญ่ ที่มีอายุมากกว่าประมาณหนึ่ง เนื่องจากพวกเขาจะสามารถมองอะไรก็ตามมากกว่า และมีมุมมองที่เราอาจจะไม่รู้ เนื่องจากประสบการณ์เขามากกว่า อย่างที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินนั่นก็คือ ผู้ใหญ่เขาอาบน้ำร้อนมาก่อนนั่นเอง
การท่องเที่ยวนับว่าเป็นหนทางที่ดีเช่นกัน จะทำให้ได้ค้นพบว่า สิ่งที่คิดว่าถูกต้องที่สุด แท้จริงแล้วอาจไม่เหมือนที่คิดไว้เลย การท่องเที่ยวยังช่วยปลดปล่อยอคติ และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เคยพันธนาการไว้ออกไป จงเก็บกล้องและมือถือลงลิ้นชักเสีย แล้วออกเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งการท่องเที่ยวมันควรเป็นการเก็บประสบการณ์ไม่ใช่แค่การไปเก็บภาพสวย ๆ อย่างเดียว เป็นการเดินทางเพื่อที่จะพบตัวตนของตัวคุณเอง
การที่ไม่มีเป้าหมายนั้นมันเทียบเท่ากับการไร้ความหมาย การลงมือทำในวิธีที่ไม่ถูกต้องก็ไร้ค่า และถ้าไม่ลงมือทำ ก็ไม่มีทางสำเร็จ สามสิ่งนี้มันเหมือนขาตั้งกล้อง ถ้าคุณขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปชีวิตคุณอาจจะล้มไม่เป็นท่าเหมือนขาตั้งกล้องที่ดึงขาออกมาไม่เท่ากัน การดำเนินชีวิตบางครั้งจงหยุดเดินแล้วย้อนมองตัวเอง ทบทวน และเผชิญหน้ากับความคิดของตัวเอง อาจค้นพบสาเหตุที่ทำให้ชีวิตล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า บางทีสาเหตุนั้นอาจเหมือนใบเลื่อยที่ทื่อเกินไปก็ได้
9. ถ้าไม่อิจฉาเลยคือความพ่ายแพ้ ดังนิทานเรื่องสุนัขจิ้งจอกกับพวงองุ่น มีสนุขจิ้งจอกตัวหนึ่งไปเจอพวงองุ่น พยายามหาทางกินยังไงก็กินไม่ได้ จึงปลอบใจตัวเองว่าสงสัยองุ่นจะเปรี้ยวจนกินไม่ได้ นิทานนี้สอนว่า เรามักจะหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ปรารถนา แต่ถ้าความคิดเข้าข้างตัวเองปนด้วยความริษยาจะส่งผลร้าย ทำให้ต้องทนกลัดกลุ้มใจ เพราะทนยอมรับความสำเร็จของผู้อื่นได้น้อยลง
แต่เมื่อใดที่ยอมรับว่าตัวเองอิจฉาได้ จะทำให้เกิดความสบายใจ และเริ่มหันมามองตัวเอง ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น นำความล้มเหลวมาพัฒนาให้ดีขึ้น ถ้าหากไม่อิจฉาใครเลย ก็มีแนวโน้มว่าจะอยู่ที่เดิม นั่นก็คือ ว่าจะหาแต่ข้อแก้ตัวเมื่อทำสิ่งนั้นไม่ได้ ก็จะบอกว่า สิ่งที่คน ๆ นั้นทำ หรือสิ่งที่คน ๆ นั้นประสบความสำเร็จ ในจุดที่อิจฉาเขานั้น มันธรรมดา ไม่มีความหมายอะไร
การที่คิดแบบนี้ มันก็เหมือนกับสุนัขจิ้งจอกที่มองไปด้านบน ทั้ง ๆ ที่อยากกินองุ่นมาก แต่ด้วยความที่ตัวเองไม่สามารถสอยลงมาได้ จึงกล่าวว่า ก็แค่องุ่นเปรี้ยว ๆ พวงหนึ่ง ไม่เห็นอยากจะได้เลย ซึ่งมันจะทำให้อยู่ในที่ ๆ อยู่เดิม ๆ นั่นก็คืออยู่ใน comfort zone ของตัวเองต่อไป
โลกใบนี้เต็มไปด้วยการแข่งขันที่ดุเดือด คนชนะอาจเป็นคนที่พิชิตการแข่งขันครั้งหนึ่งได้สำเร็จ จริง ๆ แล้วในชีวิตของแต่ละคน ไม่มีทางที่คน ๆ หนึ่งจะพ่ายแพ้ได้ตลอดไป หรือว่าชนะตลอดไป ทุก ๆ คนล้วนประสบทั้งกับการพ่ายแพ่ และการรับชัยชนะ ในหลาย ๆ ช่วงของชีวิต สิ่งที่สำคัญไม่ใช่การชนะ หรือแพ้ แต่มันขึ้นอยู่กับว่า เราเติบโตมากขึ้นแค่ไหนจากเรื่องนั้น ๆ ซึ่งสิ่งนี้เรียกว่า ประสบการณ์ นั่นเอง
10. จดหมายถึงความหดหู่ ปัญหานี้มาจากความขี้เกียจ มันอยู่ที่กระบวนการกำจัดแรงเฉื่อยที่ยังหลงเหลืออยู่ออกไปให้หมด เช่น การปั่นจักรยานในครั้งแรก การสตาร์ทรถ หรือแม้กระทั่งขับเคลื่อนชีวิต คำว่าความหดหู่ คือ ช่วงเวลาการชาร์จแบตเตอรี่ที่ดีกว่า มันเหมือนกับการที่คุณกินเหล้ามาก ๆ แล้วเมามาย และกำลังจะสร่างเมาในช่วงรุ่งสาง นั่นก็คือความหดหู่ถือเป็นการทรมานตัวเองอย่างหนึ่ง ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมาได้ จึงต้องผ่านความหดหู่ไปก่อน
ในการดำเนินชีวิตควรจะหาความปรารถนาอันแรงกล้าของตัวเองให้พบ ก็จะทำให้เลิกขี้เกียจได้ ซึ่งจะต้องลงมือทำอะไรก็ตาม ที่ทำให้เข้าใกล้จุดมุ่งหมายในชีวิต ในวันนี้ไม่ใช่วันพรุ่งนี้ หรือวันอื่น ๆ เหมือนกับการขี่จักรยาน ที่เราแค่ปั่นไปเรื่อย ๆ และต้องพอใจกับความเร็วในการปั่นของเราในวันนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ปั่นให้เร็วขึ้น ในทุก ๆ วัน โดยผู้เขียนได้สรุปสั้น ๆ ในสิ่งที่ควรจะทำ 3 ข้อ คือ 1.อย่าลุ่มหลงไปกับความขี้เกียจ ถ้าเป็นคนขี้เกียจแล้วชีวิตลำบาก ก็อย่ามาบ่น 2. จงเคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกาย พบผู้คน ทำงานที่อยากทำ อย่าดื่มเหล้า เข้านอนเร็ว ๆ 3. อย่าจมอยู่กับความหดหู่และความเศร้ามากเกินไป และอย่าทรมานตัวเอง
PART 2 พื้นไม่ลึกเท่าที่คิด
11. ความทุกข์คือพลัง ถ้าตอนนี้กำลังเจอความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่ แม้มันจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่ในทางตรงกันข้ามมันก็คือพลังยิ่งใหญ่ ที่จะช่วยผลักดันให้ชีวิตก้าวต่อไปได้ มีคำกล่าวไว้ว่า พระเจ้ารักมนุษย์จึงให้ความทุกข์มาเป็นบททดสอบ จงคิดว่าความทุกข์คือการอวยพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมนุษย์ ถ้าไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่เกิด ความทุกข์คือพลังที่ยิ่งใหญ่ ที่จะผลักดันให้ไปอยู่ในจุดที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยคนที่อาจจะมีฐานะทางบ้านมาแต่แรก พ่อแม่อาจจัดการทุกสิ่งอย่างไว้ให้พร้อมแล้ว ก็อาจจะเสียโอกาสที่จะมีประสบการณ์อันมีค่านี้ ที่ไม่เหมือนกับเราที่กำลังลำบาก และเหนื่อยล้าอยู่ก็ได้ แต่เชื่อเถอะว่าประสบการนั้นจะหล่อหลอมให้เกิดความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
12. พื้นไม่ลึกเท่าที่คิด ในบางครั้งอาจจะต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยเชือก เมื่อประสบปัญหาในชีวิต จนไม่รู้ว่าจะต้องไปทางไหน ชีวิตเจ็บปวดทรมานแต่เดินมาไกลกว่าที่จะหันหลังกลับ จะกลับไปก็เสียดายในสิ่งที่ทำมาแล้ว แต่ในบางครั้งก็ต้องเข้าใจว่า บางเรื่องนั้นดันทุรังทำต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรในชีวิต นอกจากนี้มันอาจจะเสียเวลาที่เราจะสามารถเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
มันก็เหมือนกับการที่เรากำลังจับเชือกที่ห้อยลงไปในบ่อน้ำ ตัวเรากำลังจะตกลงไป และแรงกำลังจะหมด แทนที่จะทู่ซี้ในการที่จะยื้อเชือกไว้ต่อไป ถ้าเราปล่อยมัน เราอาจจะตกลงไปเจ็บ หรือ บ่อน้ำนั่นมันอาจจะไม่ลึกเท่าที่เราคิดก็ได้ สิ่งที่น่ากลัวคือจิตที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาหลอกตัวเอง ทั้งที่จริงอาจจะแขวนไว้สูงจากพื้นแค่ 30 เซนติเมตรก็ได้ ประเด็นคือเรามองไม่เห็นพื้นด้านล่าง เลยกลัวว่าพื้นลึกมาเพราะมองไม่เห็นนั่นเอง
ในกรณีนี้ถ้าปล่อยมือ แล้วก็ให้ตัวเราตกลงไป อาจจะคิดได้ว่าบ่อไม่เห็นลึกเลย และก็แค่ปีนเชือกกลับขึ้นไปใหม่ ตอนที่มีแรงกลับมาแล้ว เมื่อตัดใจจากเรื่องนั้นได้แล้ว ค้นหาคำตอบให้ได้ การตัดใจไม่ใช่ความขี้ขลาด แต่มันคือความเข้มแข็งในการยอมรับความจริง เพราะฉะนั้นอย่ากลัว ที่จะตกลงไปข้างล่าง การที่อายุยังน้อย ถ้าตกไปแล้วเจ็บ ได้พักสักหน่อยอาจจะดีขึ้น อย่าไปกลัว ไม่แน่ระหว่างที่กำลังตกนั้น ปีกแห่งความเชื่อมั่นในตนเองอาจจะสยายก็ได้ ปล่อยมือจากเชือกก่อนแล้วหาคำตอบ
13. ใครคนหนึ่งคือทะเลกว้าง ผู้เขียนกล่าวว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนนั้นไม่ใช่การจัดการเชิงซ้อน
โดยเขาพูดถึงเรื่องของกิ๊ก เป็นศัพท์ที่ใช้ในหมู่วัยรุ่นอาจจะคุ้นเคยคำนี้ดี คำว่ากิ๊กนั้นใช้กับคนที่มากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน และส่วนมากนั้นเป็นความสัมพันธ์ชั่วคราวเวลาเหงา นั่นก็คือเวลาที่อาจจะมีแฟนอยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจจะไม่ได้ชอบคนนั้นอย่างสุดหัวใจ มันจะเกิดกิ๊กขึ้นก็ต่อเมื่อ กำลังคิดว่าความสัมพันธ์ที่มีอยู่ในขณะนี้ คนที่คบด้วยอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด หรืออาจจะเป็นคนที่ยังไม่คิดว่าคือคนที่ใช่ และคิดว่าอาจจะเจอคนที่เหมาะสมเป็นคนที่ดีกว่า และคนที่ชอบมากกว่าได้ เลยเปิดใจมีกิ๊ก ทั้ง ๆ ที่ก็มีแฟนอยู่แล้ว
เหมือนอย่างเวลาที่ลงทะเบียนเรียน มันอาจจะมีลงวิชาเลือกได้หลาย ๆ ตัว ซึ่งแน่นอนวิชาเลือกบางตัวนั้นก็แค่ลงไปเผื่อ ๆ ไม่ได้อยากเรียนจริง ๆ แต่วิชาที่อยากลง คนแย่งกันลงเยอะแล้ว ถ้าพลาดอาจจะไม่ได้ลงวิชาอื่น เพราะฉะนั้นคนส่วนมากก็จะลงวิชาอื่น ที่ไม่ได้อยากเรียนเป็นวิชาสำรอง
เช่นเดียวกับเวลาที่ไปซื้อของหรือซื้ออะไรก็ตาม อาจจะมีการเปรียบเทียบราคาของสินค้า และเลือกสิ่งที่คิดว่าดี หรืออาจจะมีสิ่งของเหล่านั้นได้มากกว่า 1 ตัว แล้วค่อย ๆ เลือกสิ่งที่มีคุณสมบัติดีที่สุดทีหลัง เรียกการตัดสินใจแบบนี้ว่า การจัดการเชิงซ้อน ข้อดีคือหลังจากตรวจตราสภาพทุกสิ่งทุกอย่างจนพอใจแล้ว จึงค่อยเลือกสิ่งที่ดีที่สุดในภายหลัง
ในความเป็นจริง ความสัมพันธ์ระหว่างคนไม่ใช่การจัดการเชิงซ้อน เมื่อพบเจอคนที่ถูกใจแล้วจึงตัดสินใจว่าจะคบเขาหรือเธอเป็นแฟนหรือไม่ ไม่สามารถสะสมแล้วเอามาคัดเลือกได้ในภายหลัง เป็นการจัดการเชิงเดี่ยว เพราะมีโอกาสตัดสินใจเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
กิ๊กเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความสัมพันธ์ตามหลักบริโภคนิยม เพราะคิดว่าสามารถเลือกคบกันได้เหมือนการเลือกซื้อสิ่งของ ไม่ใช่การเลือกคู่ที่ดีที่สุด แต่คือการเป็นคู่ที่ดีที่สุดต่างหาก มนุษย์สำหรับมนุษย์การมีตัวเลือกหลากหลายอาจทำให้แย่มากกว่ามีตัวเลือกหนึ่งเดียว กิ๊กเป็นการคบกันแบบไร้ความรับผิดชอบ คนที่มีกิ๊กมากมายบางทีก็ไม่เห็นว่าจะหาคู่ที่ไร้ที่ติดได้จริง ๆ และมีลักษณะเป็นคนที่เสพติดความรัก แถมมีบ่อยครั้งที่ตัวเลือกสุดท้ายอาจเลวร้ายที่สุดด้วยซ้ำไป ถ้าใครกำลังมีกิ๊กอยู่ จงตื่นจากฝันหวานเสียที แล้วเลือกที่จะรักใครคนหนึ่ง เพราะใครคนนั้นอาจเป็นทะเลกว้างก็ได้
14. ไม่จำเป็นต้องรัก 2.0 พวกเราจะมีความรักที่ร้อนแรงราวกับไม่มีพรุ่งนี้ได้จริงหรือ การครองคู่กันไม่ได้คำนึงแค่เพียงฐานะทางสังคม และการศึกษาเท่านั้นแต่ต้องมีความรักดำเนินควบคู่ไปด้วย ความรักเป็นประสบการณที่ดีที่สุด ที่จะสัมผัสได้ในเวลาที่เป็นหนุ่มสาว
คนที่คบกันบางคนนั้น ยอมเปลี่ยนการใช้ชีวิต และสิ่งที่ชอบทำ เช่น กิจกรรม งานอดิเรก เพื่อน การเรียน ไปตามคนที่ชอบ ซึ่งเรื่องนี้นั้นมันเป็นเรื่องที่ฉาบฉวย เนื่องจากเราจะไม่เห็นตัวตนของตัวเองที่เป็นอยู่ ความสัมพันธ์ในลักษณะนี้จึงน่าเป็นห่วงมากที่สุด โดยคนที่รักกันจำนวนมากคิดว่า ถ้ารักก็ควรจะทุ่มเทให้อีกฝ่ายหนึ่งทุกอย่าง เป็นการยอมเสียสละให้กันและกัน
แม้จะบอกว่ารักอีกฝ่าย แต่กลับเรียกร้องให้อีกฝ่ายทุ่มเททุกอย่าง ให้ใช้ชีวิตไปตามปรารถนาของตนเอง แบบนั้นไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ถ้าความสัมพันธ์นั้นทำให้เสื่อมถอย หรือไม่มีการพัฒนาตัวเองในด้านใดก็ตามของชีวิต แม้ปากจะบอกว่ารักอีกฝ่ายมาก แต่มันกลับเป็นเพียงการรักตัวเองโดยการหวังให้อีกคนแสดงความโรแมนติคออกมา ซึ่งนั่นคือความโลภของคน ๆ นั้น ที่สะท้อนไปยังผู้อื่น
ถ้าคิดจะมีความรัก รักคน ๆ นั้นให้มากกว่าหรือเท่ากับตัวเอง นั่นแหละคือความรัก ถ้าไม่พร้อมที่จะคิดแบบนี้ ก็อย่าคิดมีความรัก การที่รักใครสักคน เราไม่จำเป็นต้องทิ้งตัวตนของตัวเอง แต่เราสามารถเดินไปกับคน ๆ นั้นเหมือนเส้นขนาน จงรักและรักในแบบที่คิดว่าวันพรุ่งนี้จะไม่มีอยู่
15. ปฏิวัติจากภายใน เป็นเรื่องของจิตรกรสาวชาวเม็กซิโก ชื่อฟรีดา คาห์โล เธอนั้นเป็นโปลิโอตอนเด็ก ๆ ขาลีบ และไม่สามารถเดินแบบคนทั่วไปได้ เมื่ออายุ 18 ปี เธอยังประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บสาหัสที่กระดูกเชิงกรานรวมไปถึงมดลูก และเธอต้องทนเจ็บปวดกับร่างกายท่อนล่างไปตลอดชีวิต ต่อมาเมื่ออายุ 22 เธอแต่งงานกับสามีที่ชื่อ ดิเอโก ริเวรา อายุของเขามากกว่าถึง 21 ปี และที่เขาสร้างบาดแผลทางจิตใจให้แก่เธอโดยการมีชู้ ฟรีดาเรียกการแต่งงานกับดิเอโกว่า อุบัติเหตุครั้งที่สองของชีวิต เพราะดิเอโกนั้นเจ้าชู้และเป็นเพลย์บอยไม่เว้นแม้แต่น้องสาวแท้ ๆ ของฟรีดาเอง
นอกจากนั้นเธอยังแท้งลูก 2 ครั้ง ผ่าตัดกระดูกสันหลัง 2 ครั้ง และมีขาที่พิการข้างขวา เธอจึงได้รับความเจ็บปวด ทั้งทางร่างกายและจิตใจ เธอวาดภาพเพราะการวาดภาพนั้นเป็นสิ่งที่เธอสามารถหมกมุ่นกับมันได้ และเป็นสิ่งที่ทำให้เธอเหนื่อยน้อยลง ด้วยงานภาพเขียนของเธอนั้น ได้แสดงถึงจิตรกรรมในยุคสมัยใหม่ และเป็นแนวที่สร้างสรรค์ ซึ่งถ้าเธอไม่มีชีวิตแบบนี้ เธออาจจะไม่สามารถทำได้ถึงขนาดนี้
ถ้าเราอยากจะทำอะไรสักอย่าง อาจจะต้องปฏิวัติตัวเอง ซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่ว่าจะสามารถหมกมุ่นกับสิ่งไหนก็ตามจนกระทั่งสิ่งนั้น ๆ มันเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ และสามารถช่วยให้แข็งแรงและมั่นคงได้ เหมือนกับฟรีดาที่เอาชนะความเจ็บปวดทางร่างกาย และจิตใจ แม้เธอจะพิการ แต่ก็เอาชนะโชคชะตาที่พิการนั้นได้ด้วยการวาดภาพ จนภาพของเธอผลักให้เธอไปอยู่ในวงสังคมที่สูงขึ้นได้ แม้จะมาจากคนชนชั้นกลางธรรมดา ๆ และดูเหมือนจะติดลบด้วยก็ตาม ซึ่งการปฏิวัติที่แท้จริงก็คือการลงมือทำนั่นเอง
16. สมุดตรวจข้อผิดพลาดของชีวิต ที่เกาหลีนักเรียนทำการบ้านจะมีสมุดตรวจข้อผิด
เพื่อเช็คว่าที่ทำผิดนั้นทำผิดตรงไหน และผิดเรื่องอะไร จะได้ไม่ทำผิดในโจทย์เดิม หรือคล้าย ๆ เดิมผิดเป็นครั้งที่สอง ซึ่งถ้าเทียบกับชีวิตของคนนั้น ประสบการณ์ที่เจ็บปวดมันจะสอน ก็คือจะเข้าใจสิ่งนั้น ๆ ได้อย่างถ่องแท้ก็ต่อเมื่อผ่านความเจ็บปวดนั้น ๆ มาก่อน จึงจะเข้าใจมันดี ถึงกระนั้นก็ตาม คนเราก็ยังทำผิดในเรื่องเดิม ๆ หนแล้วหนเล่า
บ่อยครั้งที่เราทำผิด และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำอีกแล้ว แต่กลายเป็นว่าเมื่อสถานการณ์เดิม ๆ เกิดขึ้นซ้ำ หรือเวลาที่เราทำผิดพลาด ก็มักจะหาข้ออ้างที่เข้าข้างตัวเองได้ตลอด การนั่งคิดว่าต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว มันเป็นเพียงแค่การแก้ตัวเท่านั้น โดยสิ่งที่ไม่สามารถลืมได้เช่น ความเศร้าอาจจะเสียน้ำตาไปเยอะมาก หรือความปลื้มปิติจนน้ำตาอาบแก้มก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปอาจจะลืม หรือเวลานั้นมันสามารถบรรเทา ทั้งความเจ็บปวด และความสุขที่จางหายไปเรื่อย ๆ
ผู้เขียนเองก็มีสมุดตรวจข้อผิด ที่เขาจะไม่เลิกเขียนสมุดนี้ง่าย ๆ และก็ถามกลับว่า “มีสมุดตรวจข้อผิด ในชีวิตของหรือยัง ?”
17. ตอนนี้คืออายุที่แก่สุดในชีวิต อายุ 20 นั้นเป็นช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตวัยรุ่นคนหนึ่ง
นั่นคือช่วงเวลาที่ อดีต ปัจจุบัน อนาคต จะมาบรรจบกัน นั่นก็คืออาจจะมีทางเลือกหลากหลายที่รออยู่ และไม่รู้จะไปเส้นทางไหนดี วัยนี้จะเกิดทุกข์ก็ต่อเมื่อมองไม่เห็นอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง นอกจากทางเลือกจำนวนมากแล้ว
เมื่ออายุมากขึ้นทางเลือกของเราจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ ความกังวลจะน้อยกว่าตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น เปรียบเหมือนการที่ลูกอ็อดจะกลายเป็นกบ ซึ่งรูปร่างต่างกันมาก ๆ ระหว่างลูกอ็อดตัวเล็ก ๆ กับลูกกบ
ดังนั้นช่วงอายุ 20 ปีจึงเป็นช่วงเวลาที่น่ากังวลใจที่สุดในชีวิต ให้ไตร่ตรองตัวเลือกที่น่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ หาข้อมูลที่หลากหลาย เพราะการตัดสินใจที่ดีมาจากข้อมูลที่ดี พบผู้คนมากมายยกเว้นคนที่ทำให้หดหู่ใจยิ่งขึ้น เปิดใจและเตรียมใจยอมรับความกังวล แล้วจะผ่านพ้นช่วงนั้นไปได้ด้วยดี
18. แม้วันนี้ลำบากมากจนอยากตาย แต่อาจมีใครหลายคนปรารถนาอยากเป็นเรา มนุษย์ส่วนมากนั้นมักจะวิ่งเข้าหาแสงแห่งความปรารถนา และไม่อาจจะปล่อยมันลงไปได้ ชีวิตอาจจะถูกทำลายเพราะความโลภ เหมือนกับลิงที่ถูกล่อด้วยไหที่มีอาหาร แต่เมื่อลิงล้วงลงไปก็กำมือแน่น ไม่ยอมปล่อยอาหาร ทั้ง ๆ ที่แค่มันปล่อยมือที่กำออก มันก็จะหนีจากการถูกจับไปได้
ไม่มีใครสามารถนำชื่อเสียง เงินทองติดตัวไปได้ เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านั้นอาจจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์ การที่คุณไขว่คว้าชื่อเสียง เกียรติยศ หรือการยอมรับทั้งหลาย มันเหมือนกับการที่ไม่สามารถวางมันลงได้ จึงไม่ต่างอะไรจากลิงที่ไม่ยอมปล่อยมือ และหลบหนีไปได้อย่างมีอิสระ
ไม่ควรเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น การเอาความสุขของตัวเอง ไปเปรียบเทียบกับความสุขของผู้อื่น คือ การไปโฟกัสที่คนอื่น ไม่ใช่ตัวเอง ซึ่งเราจะเป็นทุกข์มากกว่าถ้าทำเช่นนั้น แม้คนที่ตัวเองก็มีความสุขดีอยู่แล้วก็ตาม ถ้าไปโฟกัสที่คนอื่นหรือมองเส้นทางของคนอื่น ก็จะเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง เมื่อนั้นแหละมันจะทำให้เกิดทุกข์
ถ้าลำบากมองคนที่อยู่ต่ำกว่า แต่ถ้าอยากพัฒนาตัวเองให้มองคนที่สูงกว่า หมายความว่า ถึงจะเหนื่อยก็อย่าท้อถอย และถ้าอยากได้ดีก็จงอย่าทะนงตน เส้นทางของความสุขอยู่ที่ความซาบซึ้งในสิ่งที่มี ชีวิตอาจจะสร้างความลำบากจนอยากตาย แต่อาจจะมีใครบางคนอยากเป็นเราแม้เพียงวันเดียวในชีวิตของเขาก็เป็นได้
19. จดหมายถึงความฝันที่ลุกโชติช่วง ความกดดันที่ต้องมีชีวิตไปพร้อมกับความยากลำบาก และความทรมานใจที่มองไม่เห็นอนาคต ความรู้สึกนี้ไม่ได้มาจากผู้คนรอบข้าง แต่มาจากความฝันที่ลุกโชติช่วง การมีอายุที่มากขึ้นไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ทิ้งความฝัน แต่เป็นเพราะการเริ่มแสวงหาความมั่นคง และความสุขสงบต่างหาก จึงปฏิเสธความทรมานใจที่เป็นสารกันบูดของความฝัน ลืมไปว่าความล้มเหลวที่เกิดอาจเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง
ความล้มเหลวทุก ๆ ครั้งสามารถเข้าใกล้ความสำเร็จไปทุกที แม้เป็นเพียงก้าวสองก้าวของชีวิตก็ตาม เพราะฉะนั้นอย่าทิ้งความฝังของตัวเอง การทำความฝันแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ยังดูแย่น้อยกว่าการที่ไร้ความฝันใด ๆ ในชีวิต และศัตรูตัวฉกาจก็คือการพึงพอใจ หรือยึดติดกับความสำเร็จที่ผ่านมา
20. จดหมายหลังจากเลิกรา อย่าเจ็บปวดไปเลย คำนี้อาจไม่ช่วยอะไรได้มาก จงเก็บประสบการณ์ให้เหมือนรอยสัก ทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ต่างต้องทนเจ็บปวด ยามที่พลัดพรากจากสิ่งที่รัก จงเรียนรู้จากประสบการณ์นี้ เพื่อจะได้เติบโตยิ่งขึ้น
ฟีนิลเอทิลเอมีน (phenylethylamine) เป็นฮอร์โมนกระตุ้นชนิดหนึ่ง เมื่อเห็นคนถูกใจร่างกายจะหลั่งออกมาทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น เกิดความรู้สึกตื่นเต้น สันนิษฐานว่ารักแรกพบเกิดจากฮอร์โมนนี้ ไม่เพียงเท่านั้นยังมี เอนดอร์ฟิน อะดรีนาลิน นอร์อะดรีนาลิน โดพามีน ออกซิโตซิน วาโซเพรสซิน คอร์ติซอล เซโรโทนิน ฯลฯ จะทำให้เกิดภาพลวงตา จึงทำให้เปลี่ยนแปลงไป ไม่รู้สึกหิวแม้จะไม่ได้กินอะไรเลย
ถ้าเลิกกับคนรักฮอร์โมนต่าง ๆ จะถูกปรับเปลี่ยนเวทมนต์ที่ดีจะตรงกันข้าม ทำให้นอนไม่หลับ กังวลใจ ความเจ็บปวดทางใจนี้ เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยจริง เปรียบไปก็คล้ายกับช่วงเลิกยาบ้า เมื่อกาลเวลาผ่านไป ฮอร์โมนทุกชนิดจะกลับคืนสู่สภาพปกติ จึงมีคำพูดว่า เวลาคือยา
การที่ใครคนหนึ่งจากไปเป็นเพราะบางสิ่งบางอย่างที่คาดหวังมีไม่เพียงพอ และไม่เคยบอกบางสิ่งบางอย่างนั้นให้ทราบ การยอมรับความจริงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด จะช่วยให้หายป่วยจากแผลใจได้เป็นปลิดทิ้ง คนที่ทำให้ล้มจะไม่กลับมาแล้ว แม้จะมีโอกาสก็อย่ากลับไปหาคนเดิมอีกเลย ต่อให้กลับไปคบกันใหม่ เหตุการณ์แบบเดิม ๆ ก็จะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ตรงกันข้ามถ้าพบใครอีกคน เขาอาจคิดว่าสิ่งที่เป็นและสิ่งที่มีอยู่มากพอแล้วสำหรับเขา จงยืนหยัดลุกขึ้นอีกครั้ง ชีวิตที่เหลือยังไม่จบลงง่าย ๆ การทรมานตัวเองไม่ช่วยอะไรหรอก
PART 3 ปาฏิหาริย์คือสิ่งที่สำเร็จได้ทีละเล็กทีละน้อย
21. การเลิกล้มภายในสามวันเป็นเรื่องปกติ เพราะรูปแบบของชีวิตไม่ใช่การตัดสินใจที่แน่วแน่ แต่เป็นการฝึกหัด การล้มเลิกสิ่งที่ตั้งใจภายใน 3 วันไม่ใช่ปัญหา ทุก ๆ คนต่างก็สามารถล้มเลิกได้เหมือนกันหมด ความตั้งใจส่วนใหญ่มักจะเป็นสิ่งที่เคยทำในอดีต แต่ก็ต้องล้มเลิกไปตามกันครั้งแล้วครั้งเล่า สาเหตุที่ทำให้การปฏิบัติจริงเป็นไปได้ยาก นั่นเพราะจะต้องปรับปรุงพฤติกรรมเคยชิน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องยากมากอาจารย์อิชิอุระ โชอิจิผู้เชี่ยวชาญด้านสมองชาวญี่ปุ่นได้กล่าวไว้ว่า หากเราต้องการปรับปรุงพฤติกรรมเคยชิน จะต้องเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสมอง ต้องฝึกทำสิ่งนั้นซ้ำ ๆ อย่างน้อยที่สุดหนึ่งเดือนไม่ใช่ภายในสามวัน
แบบแผนของชีวิตที่แท้จริง ไม่ใช่การตัดสินใจที่แน่วแน่แต่เป็นการฝึกหัด หากเปรียบกับการว่ายน้ำ ถ้าอยากว่ายน้ำเก่งแล้วเอาแต่อ่านทฤษฎีในหนังสือ แม้จะมีความตั้งใจที่แน่วแน่ว่าจะว่ายน้ำเก่งให้ได้ ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะว่ายน้ำเก่งได้จริง ถ้าอยากว่ายน้ำเก่งต้องหมั่นฝึกซ้อม ฝีมือจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังไม่เคยเห็นคนว่ายน้ำเก่งได้ภายใน 3 วันเลย การฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอซ้ำ ๆ ทำให้เป้าหมายที่ไม่คาดคิดว่าจะเป็นจริงสำเร็จได้จริง การฝึกทำให้สิ่งต่าง ๆ เป็นจริงได้ ชีวิตของเราก็เช่นกันยิ่งมีความตั้งใจมากเท่าไหร่ ความล้มเหลวก็อาจมากขึ้นตามไปด้วย การล้มเหลวสามวันเป็นเรื่องปกติ ประเด็นคืออย่าคิดล้มเลิกจริง ๆ อย่าใส่ใจว่ามันเกิดขึ้นช้าเกินไป แต่จงตระหนักว่าจะไม่หยุดทำ
22. อย่าเล่นคนเดียว ความสัมพันธ์ของมนุษย์เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนมาก ปัจจุบันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เปราะบางมากกว่าอดีต เพราะคนสมัยนี้มีความเป็นปัจเจกชนสูง คนส่วนใหญ่จึงหันไปแก้ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ด้วยการรู้จักเพื่อนใหม่ผ่านอินเทอร์เน็ต ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงดูธรรมดาไม่มีจุดเด่น แต่กลับไปโด่งดังมากในสื่อออนไลน์ ปัญหาก็คือมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ซึ่งสังคมไม่มีที่ให้อยู่ตัวคนเดียว ต้องพยายามเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นให้ได้ ถึงแม้จะไม่ถูกใจใครถึงขนาดไม่อยากคุยด้วยแล้ว ก็ยังต้องคิดที่จะปรับเปลี่ยนตัวเองก่อน เพื่อนที่ดี ความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่ว่าจะหาซื้อได้ทั่วไปที่ไหน ต้องพยายามและสร้างสัมพันธ์นั้นขึ้นมาด้วยกัน
23. จงตามหาอาจารย์ ในอดีตมนุษย์มีความเป็นมนุษย์มากกว่าปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงของสังคมสมัยก่อน มันจะค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างเชื่องช้า การแข่งขันเรื่องความสามารถไม่รุนแรงเท่านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจึงเป็นไปด้วยดี
อาจารย์สมัยนี้ก็ยุ่งมากกว่าอาจารย์สมัยก่อนมาก จึงทำให้อาจารย์และลูกศิษย์ห่างเหินกันไปทุกที การสอนและการให้คำแนะนำนักเรียน ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของอาจารย์ถูกลดคุณค่าลง มหาวิทยาลัยมุ่งมั่นเรื่องอันดับมหาวิทยาลัยโลก แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ในมหาวิทยาลัยสั่นคลอน นักศึกษาในปัจจุบันนี้อ้างว้างมาก หมดเวลาไปกับการเรียนพิเศษเพื่อเพิ่มความรู้ให้สูงขึ้น พักอยู่หอคนเดียวแม้จะอยากได้คำปรึกษาและคำชี้แนะ แต่ก็ไม่มีใครเลยที่อยู่เคียงข้าง
ถ้าตอนนี้รู้สึกลำบากใจจงเข้าไปหาอาจารย์ของตัวเอง อาจารย์ที่ปรึกษามีประสบการณ์ชีวิตและความรู้ด้านการศึกษาเพรียบพร้อม อย่ามัวนั่งกังวลใจอยู่เพียงคนเดียว หรือขอคำปรึกษาจากรุ่นพี่ที่ยังอ่อนประสบการณ์เช่นเดียวกัน จงเริ่มเป็นผู้สานต่อ จงอย่าลังเลใจรีบไปพบอาจารย์กันเถอะ
24. จงเปิดโลกเช้าวันใหม่ ด้วยกลิ่นน้ำหมึกที่สดชื่น ปัจจุบันคนรุ่นใหม่อ่านหนังสือพิมพ์กันน้อยลงเพราะคิดว่าการดูข่าวจากทีวี และหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือพิมพ์เพิ่มอีก ปัญหาทั่วไปของข่าวในอินเทอร์เน็ตก็คือ การสืบค้นข้อมูลโดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง พวกเรามักจะเลือกอ่านข่าวที่ดูน่าสนุกหรือที่ตัวเองสนใจ จากบรรดาข่าวสารมากมาย ผลลัพธ์ก็คือเรื่องที่อ่านมีแต่ข่าวไร้สาระ ในทางตรงกันข้ามหนังสือพิมพ์ตีพิมพ์บทความหลากหลายประเภท ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อ่านเนื้อหาข้างใน แค่เปิดข้ามก็ยังมีโอกาสได้ชำเลืองมอง และได้รับข้อมูลเหล่านั้นไปโดยปริยาย สามารถรู้เหตุการณ์ที่สำคัญต่าง ๆ ได้ในทันที แม้จะมีเวลาเล็กน้อยก็จงอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสม่ำเสมอ หนังสือพิมพ์นั้นเปี่ยมด้วยพลังไม่เสื่อมคลาย
25. บทความเติมพลังให้ชีวิต ถ้ามีความจำเป็นต้องฝึกฝนความสามารถด้านหนึ่งให้เก่งกาจ การฝึกฝนความสามารถทางการเขียนเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าคนที่เขียนบทความได้ดีหรือสละสลวยจริง ๆ มีไม่มากนัก มีคนมากมายคิดว่าการเขียนบทความได้ดี เป็นพรสวรรค์ของนักเขียนหรือนักวิชาการเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ความจริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับการเขียนคือ การฝึกเขียนอยู่สม่ำเสมอ การเขียนบทความได้ดีไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำหรับนักเขียนเท่านั้น แต่ยังจำเป็นสำหรับทุกคนด้วย
สาเหตุที่เขียนบทความไม่ได้เป็นเพราะไม่รู้ว่าจะถ่ายทอดเรื่องราวอะไร แล้วจะเริ่มฝึกฝนอย่างไรนั่นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เหมือนกันหมด ถ้าฝีมือการเขียนไม่ดีแต่ฝึกฝนสม่ำเสมอ ฝีมือก็จะพัฒนาขึ้น ถ้าอยากเขียนเก่งขึ้นจงใช้เวลาฝึกฝน จำ อ่านงานของผู้อื่นและลงมือเขียน การฝึกเขียนแสดงความคิดของตัวเอง หรือหัดเขียนบทความที่สามารถโน้มน้าวใจคนอื่นได้ อาจไม่ต้องเก่งถึงขั้นตีพิมพ์เป็นหนังสือ แต่ก็ควรฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ การเขียนบทความที่ดีสำคัญมากกว่าสำนวนภาษาที่ใช้ถ่ายทอด จะต้องมีความคิดที่ลึกซึ้ง ต้องวางโครงเรื่องได้อย่างเหมาะสม เมื่อฝึกเขียนจนเก่งแล้ว จะสามารถถ่ายทอดความคิด เป็นลำดับขั้นตอนอย่างมีเหตุผล จนสามารถโน้มน้าวใจผู้อื่นได้ ทักษะนี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เป็นความสามารถที่สำคัญมาก
26. จงอยากได้ความรู้หลากหลายที่อยู่รอบกาย โลกใบนี้มีวิชาเอกหลากหลาย ซึ่งสังคมต้องการความรู้จากวิชาเอกที่หลากหลายนั้น แต่คนทั่วไปกลับไม่คิดเช่นนั้น ปัจจุบันนี้ความสำคัญของวิชาการ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอันดับคะแนนสูงต่ำของคณะภาควิชาหรือวิชาเอกอีกแล้ว แต่คือทักษะที่สามารถนำความรู้จากวิชาเอกของตัวเอง ไปปรับใช้กับความต้องการของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งเหล่านี้สำคัญและจำเป็นมากกว่าการเรียนจบ จากภาคที่เคยมีคะแนนสูงเป็นอันดับต้น ๆ อาจเป็นเพราะอคติ 3 ประการนั่นคือ 1. อยากยกระดับตัวเอง 2. กลัวสายตาของคนรอบข้างและ 3. รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า อคติเหล่านี้มาหมดบังอยู่ จึงลืมตระหนักถึงความจริงข้อนี้ไป
ในยุคสมัยใหม่เราจำเป็นต้องรู้กว้าง ๆ และนำมาปรับใช้ให้เหมาะสม นำความรู้ที่หลากหลายนั้นมาสร้างเป็นเรื่องราวของตัวเอง ให้ตรงกับความต้องการของสังคม สิ่งเหล่านี้จำเป็นมากกว่าประวัติการศึกษา อุปสงค์อุปทานทางวิชาการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การที่วิชาเอกมีมากมายเป็นเพราะความรู้สมัยใหม่ละเอียดและซับซ้อนมากขึ้น จึงเกิดความต้องการในศาสตร์ใหม่ ๆ เพิ่มตามไปด้วย
27. จิ๊กซอว์ชีวิต 29,220 ชิ้น เป็นไปตามอายุไขโดยเฉลี่ยของมนุษย์คือ 365 วันคูณ 80 ปี จุดที่แตกต่างกันระหว่างจิ๊กซอว์ทั่วไปกับจิ๊กซอว์ชีวิตคือ จิ๊กซอว์ทั่วไปเราสามารถเห็นภาพที่สมบูรณ์แล้ว ก่อนลงมือต่อจนสำเร็จ ในทางตรงกันข้ามไม่มีใครรู้ได้ว่าภาพจิ๊กซอว์ชีวิต จะออกมาเป็นอย่างไรจนกว่าจะต่อเสร็จ มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่ต้องต่อภาพขึ้นเองทีละเล็กทีละน้อย ผู้คนมากมายอยากประสบความสำเร็จในชีวิตเร็ว ๆ ดูเหมือนว่าการประสบความสำเร็จด้วยอายุน้อย เป็นความหวังสูงสุดที่ทุกคนปรารถนา
พวกเขาดูนาฬิกาบ่อย ๆ เพื่อตรวจสอบว่าสิ่งที่ทำก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว แต่เรากลับลืมไปว่าสิ่งที่จำเป็นมากกว่านาฬิกาคือเข็มทิศ เพราะความสำเร็จของชีวิตตัดสินจากจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย สิ่งที่สำคัญมากกว่าไปได้เร็วแค่ไหนคือไปถูกทางหรือไม่ นอกจากนี้สิ่งที่จำเป็นมากกว่าเข็มทิศคือกระจก เราต้องใช้กระจกส่องย้อนดูตัวเองเสมอว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ แต่คนเรามักต้องการนาฬิกามากกว่าเข็มทิศ ต้องการเข็มทิศมากกว่ากระจก ความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่ความสำเร็จยิ่งใหญ่เพียงครั้งเดียว แต่เป็นการถักทอชัยชนะขึ้นทุกวัน การเฝ้ารอชัยชนะแบบพลิกล็อคหรือรอจุดเปลี่ยน เป็นการเสียเวลาชีวิตในแต่ละวันไปโดยเปล่าประโยชน์ ต่อให้สามารถย้อนเวลากลับไปในอดีตก็ไม่มีทางแก้ไขอดีตได้ แต่ถ้าเริ่มต้นใหม่ในตอนนี้ จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ จงร่างภาพจิกซอว์ชีวิตตั้งแต่ตอนนี้ จงจินตนาการถึงภาพขนาดใหญ่ของชีวิตที่อยากเห็น ในวันสุดท้ายเมื่อต้องลาจากโลกใบนี้ไป
28. อย่าอ้างว่ายุ่งจนไม่มีเวลา เวลา 15 นาทียาวนานนัก ในช่วงที่รอเพื่อน รอขึ้นรถไฟ รอคาบเรียน เป็นช่วงเวลาที่ก้ำกึ่งไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แต่ถ้าปล่อยผ่านไปเฉย ๆ ก็รู้สึกเบื่อ การมีเศษเวลาเหลือว่างอยู่ไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นเรื่องทั่วไปของคนสมัยนี้ เพราะสังคมสมัยใหม่รีบเร่งและยุ่งเหยิงมาก การเคลื่อนย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จึงเกิดเศษเวลาเล็ก ๆ ขึ้นมามากมาย
ใช้เศษเวลาเพื่อการค้นพบตัวเอง ถือเป็นการใช้เศษเวลาได้อย่างมีคุณค่าที่สุด การพบตัวเองคือการครุ่นคิดกับตัวเองว่า เราต้องการอะไรกันแน่ อยากใช้ชีวิตรูปแบบใด เป็นสิ่งจำเป็นของมนุษย์ทุกคน ต้องถามตัวเองให้กระจ่างก่อนว่า ในอนาคตอยากเป็นคนแบบไหน ปัจจุบันนี้กำลังทำอะไรอยู่ เพื่อเปิดโอกาสให้ทำความเข้าใจกับตัวเอง การครุ่นคิดเงียบ ๆ อาจทำให้ค้นพบความจริงที่ยิ่งใหญ่
การจัดการเวลาให้สัมพันธ์กับเป้าหมาย การจัดการเวลาคือการเรียงลำดับสิ่งที่ต้องทำก่อนและหลัง ถ้าอยากจัดการเวลาได้ดี ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน และเป็นรูปธรรมที่สุด จงงดงานอดิเรกที่ไม่มีประโยชน์ต่อชีวิต หรืองานอดิเรกที่มีไปเพื่อฆ่าเวลาเท่านั้น ทุกคนมีโจรขโมยเวลาอยู่ในตัวเอง ถ้าไม่จับโจรขโมยเวลาให้ได้ก่อน ก็เป็นไปได้ยากที่จะสามารถจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด แบ่งการกระทำที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นออกเป็น 3 ประเภท ข้อแรกการกระทำที่คุ้นเคยจนติดเป็นนิสัย ข้อสองการกระทำที่ไม่มีแผนสำรอง และข้อสามการกระทำที่ไม่สามารถทำได้เพราะคนอื่น ความสนุกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษย์ สิ่งนั้นน่าจะเป็นความสนุกที่ได้เติบโตขึ้น
สิ่งเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่ควรทำแทนกิจกรรมที่ไร้ประโยชน์คือ อ่านหนังสือแทนการเล่นเกม อ่านหนังสือพิมพ์แทนการเล่นอินเตอร์เน็ต ดูภาพยนตร์แทนการดูทีวี การทบทวนแทนการคิดเพ้อฝัน พูดคุยอย่างสร้างสรรค์แทนการพูดเพ้อเจ้อ เดินช้า ๆ หรือเร็ว ๆ แทนการตีกอล์ฟ ออกกำลังแทนการอดอาหาร อาบน้ำอุ่นแทนการซาวน่า งีบหลับแก้เหนื่อยแทนการนอนกลางวัน ดื่มเหล้าเพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศไม่ใช่เพื่อการเมา นอกจากเวลาแล้วชีวิตมนุษย์จะมีอะไรสำคัญอีก เวลาเป็นวัตถุดิบของวิญญาณ เวลาคือทุกสิ่งทุกอย่าง เวลามีคุณค่ามากกว่าที่คิด
29. วิธีใช้ คาร์เพ เดียม คำว่า คาร์เพ เดียม เป็นภาษาละตินมีความหมายว่า จงฉกฉวยวันนี้ไว้ ส่วนคนทั่วไปใช้ในความหมายว่าจงสนุกกับปัจจุบัน ถ้อยคำดังกล่าวน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความสุข มนุษย์ดำรงอยู่เพื่อแสวงหาความสุข เรามีชีวิตอยู่เพื่อความสุข ทำงานหาเงิน คบเพื่อนเพื่อความสุข แต่ความสุขนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อประสบความสำเร็จ หากแต่ต้องพยายามและฝึกฝน ต้องรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการใช้ชีวิต ซึ่งความรู้สึกเพลิดเพลินกับชีวิตที่ว่านี้ ไม่ได้หมายความว่าให้ใช้ชีวิตเสเพลไปวัน ๆ แต่ต้องทำงานที่ตัวเองรู้สึกว่ามีคุณค่า ต้องหมั่นควบคุมจิตใจในช่วงเวลาที่จำเป็น นั่นแหละคือความรู้สึกเพลิดเพลินกับชีวิตอย่างแท้จริง แม้ว่าสิ่งนี้ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน ก็ต้องเชื่อมั่นว่าจะทำมันให้เป็นจริงได้ในสักวันหนึ่ง นี่แหละคือความหมายที่แท้จริงของคาร์เพ เดียม
30. เสียงสัมผัสของชีวิต ศาสนาพุทธยกย่องดอกบัวว่าเป็นดอกไม้ที่สูงส่ง เพราะแม้ว่าจะเกิดในโคลนตม แต่ก็สามารถชูช่อพ้นน้ำได้ และมีกลีบดอกที่สวยสดงดงาม เปรียบไปก็เหมือนมนุษย์ผู้สิ้นหวัง และหมดหนทาง หากสามารถกลับมายืนหยัดได้อย่างสง่างามอีกครั้ง เขาผู้นั้นก็สูงส่งไม่ต่างจากดอกบัว เมื่อใดรู้สึกเป็นทุกข์ให้ย้อนมองคนที่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ชีวิตของเขาไม่ได้เพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวแตกแยก ยากจน ไร้ความสามารถ พิการทางร่างกายหรือจิตใจ เป็นต้น เรื่องราวของคนที่ต่อสู้กับโชคชะตาที่แสนโหดร้ายอย่างกล้าหาญ มักให้ความหวังและแรงบันดาลใจแก่คนทั่วไปเสมอ
เสียงสัมผัสมันเป็นกฎที่ควบคุมถ้อยคำที่เชื่อมต่อกัน อาจเป็นได้ทั้งคำด่าหรือคำกลอน ขึ้นอยู่กับว่ามีหรือไม่มีเสียงสัมผัส เมื่อถูกควบคุมด้วยเสียงสัมผัส ก็อาจกลายเป็นบทเพลงหรือบทกวีได้ ชีวิตมนุษย์จำเป็นต้องมีเสียงสัมผัสที่สอดประสาน เช่น การที่ทุกคนสามารถเป็นกวีแห่งชีวิตได้ เพียงแค่สร้างกฎขึ้นมาควบคุม และใช้ชีวิตให้ตรงกับกฎนั้น เสียงสัมผัสแห่งชีวิตจะทำให้ก้าวข้ามอุปสรรค ที่แสนยากลำบากไปได้โดยง่าย เหมือนดั่งดอกบัวที่หลุดพ้นจากโคลนตมขึ้นมา ชูช่อเบ่งบานอย่างสวยงามได้
31. ปาฏิหาริย์คือสิ่งที่สำเร็จได้ทีละเล็กทีละน้อย เป็นหลักการที่ดีกล่าวคือ ถ้าลงทุนเรื่องใดก็ตามวันละ 1 ชั่วโมงเป็นเวลา 1 ปี จะต้องเกิดอะไรดี ๆ ขึ้นกับชีวิตแน่นอน หลักการนี้ไม่อาจทำให้เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่สำเร็จได้ แต่จะช่วยให้เป้าหมายเล็ก ๆ เกิดขึ้นได้จริง ในหนังสือเรื่องสัมฤทธิ์พิศวงของ มัลคอล์ม แกลดเลลล์ กล่าวถึงเรื่องปรากฏการณ์ 10,000 ชั่วโมง เป็นเรื่องราวความสำเร็จของเอ๊าต์ไลร์ส (outliers แปลว่า ความเหนือปกติ) เวลา 10,000 ชั่วโมงคิดง่าย ๆ เท่ากับวันละ 3 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 20 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 10 ปี การฝึกที่ใช้ระยะเวลายาวนานขนาดนี้ การช่วยพัฒนาฝีมือให้เก่งแต่เหนือคนอื่น ๆ
32. จดหมายถึงเด็กซิ่วทั้งหลาย นักศึกษาที่เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง ต้องลำบากมากอยู่แล้ว ในเดือนพฤษภาคมตั้งแต่เวลา 7 โมงเช้าถึง 5ทุ่ม คงเป็นเวลาที่ใช้ทบทวนบทเรียนที่เคยอ่านไปแล้วอีกครั้ง จะทำให้รู้สึกอึดอัดเพราะความกังวลใจที่มองไม่เห็นอนาคตข้างหน้า ถ้าถามว่าอะไรคือสิ่งที่ยากลำบากที่สุดสำหรับชีวิตเด็กซิ่ว ข้อแรกความคาดหวังของคนรอบข้าง ข้อสองการจัดการตัวเอง สองข้อนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเด็กซิ่วเท่านั้น แต่มันคือปัญหาของชีวิตด้วย
หลายคนเชื่อว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ให้ได้คือความรับผิดชอบ และความกตัญญูที่ต้องตอบแทนต่อพ่อแม่ ส่วนข้อสองที่บอกว่าการจัดการตัวเองเป็นเรื่องยาก เป็นปัญหาชีวิตของมนุษย์ทุกคน ความสามารถในการข่มใจต่อปัจจุบันเพื่ออนาคต เป็นหลักสำคัญที่ทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ และนี่คือจุดเริ่มต้นและจุดจบ
การทบทวนกับตัวเองอยู่เสมอว่า อะไรคือปัญหาที่แท้จริง เป็นพื้นฐานแห่งความสำเร็จที่มั่นคง เพราะความสำเร็จครึ่ง ๆ กลาง ๆ เลวร้ายเสียยิ่งกว่าการล้มเหลวตั้งแต่แรก ความสามารถในการจัดการตัวเองไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงหากค่อย ๆ เริ่มลงมือปฏิบัติ แต่ถ้ายังไม่สำเร็จ ก็อย่าหมดหวังจนสูญเสียการควบคุมตัวเอง จงเริ่มจัดการตัวเองให้เหมาะสมกับความคาดหวังที่มีต่อตัวเอง
PART 4 พรุ่งนี้และงานนำทางชีวิต
33. จงพาชีวิตไปตามการตัดสินใจ แม่เป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูลูก หุงหาอาหารให้กิน ความเสียสละของแม่มีมากล้นจนเกินจะพรรณนา คนที่ปลอบโยนในยามที่เครียดหรือท้อใจ จะเป็นใครได้ถ้าไม่ใช่แม่ และเป็นบุคคลที่ช่วยค้ำจุนชีวิต ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหน ท่านก็คอยอยู่เคียงข้างเป็นกำลังใจให้เราเสมอ
ถึงแม้แม่จะบอกว่าสิ่งที่เลือกให้ลูกดีที่สุดแล้ว แต่เราก็ควรตัดสินด้วยตัวเอง เพราะคือเจ้าของชีวิตที่แท้จริง ชีวิตถูกถักทอขึ้นจากความพึงพอใจและความเสียใจ เพื่อให้ความสุขและทุกข์สมดุลกัน จะต้องตัดสินทุกอย่างด้วยตัวเอง แก่นหลักของชีวิตคือตัวเราเอง
ถ้ารู้ว่าจะต้องแบบสัมภาระหนักขึ้นไว้บนหลัง หากสัมภาระเหล่านั้นเป็นของตัวเองจะรู้สึกว่าเบา ในทางตรงข้ามหากมันเป็นสัมภาระของคนอื่น จะรู้สึกว่ามันหนักมากทั้งที่ยังไม่ได้ลองแบกดู ต้องลืมแม่ไปสักพักก่อน ต้องชัดเจนในตัวเองตั้งแต่ตอนนี้ แม่เป็นฝ่ายตรงกันข้าม วางไม้ค้ำที่ชื่อว่าแม่ลงเสีย หัดเดินด้วยเท้าของตัวเองครั้งแรก อาจรู้สึกไม่มั่นคงและโดดเดี่ยว แต่จงหัดก้าวเดินด้วยเท้าไปเรื่อย ๆ ณ เส้นชัยจะเห็นตัวเองที่สมบูรณ์แบบ
34. พรุ่งนี้และงานนำทางชีวิต หนังสือเรื่องประเทศแห่งความฟุ่มเฟือย: Luxury Korea ได้รับการตีพิมพ์และจัดจำหน่ายในปี ค.ศ 2007 ผู้เขียนคิดว่าหนังสือเล่มนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของเขา เพราะเลือกที่จะเขียนในประเด็นที่คนส่วนใหญ่ในสังคมสนใจ มากกว่าที่จะดื้อดึงใส่เนื้อหาที่ตัวเองอยากนำเสนอจนเกินไป หัวข้อต่อมาที่สนใจคือเทรนด์การบริโภค คำว่าเทรนด์หมายถึงรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา การวิเคราะห์และคาดเดาในประเด็นนี้ น่าจะเป็นสิ่งที่สังคมต้องการ ผู้เขียนจึงเริ่มลงมือวิจัยหัวข้อนี้ทันที ในปี ค.ศ 2008 หนังสือเรื่องเทรนด์ โคเรีย จึงได้รับการตีพิมพ์ขึ้น
การวิจัยเรื่องเทรนด์น่าจะนำไปใช้พัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ได้ในภายหลัง การวิเคราะห์เทรนด์และแนวโน้มผู้บริโภค จะช่วยพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์และโดนใจผู้บริโภคได้มากขึ้น ถ้าการเรียนการสอนหัวข้อนี้ได้รับการพัฒนาจนสมบูรณ์แบบ ผู้บริโภคจะอยู่ดีกินดีขึ้น และทุกภาคส่วนจะมีแต่ความสุข จงคิดเสมอว่าจะต้องข้ามฝ่าตัวเองในตอนนี้ไปให้ได้ อย่าเพิ่งพอใจในความสำเร็จที่มีอยู่ จงค้นหาพลังที่ซ่อนอยู่ จงสร้างโลกขึ้นมาใหม่ด้วยสองมือที่มี อย่าให้กระแสสังคมนำพาไป ชีวิตของเรายาวไกลมากกว่าที่คิด
ถ้าต้องใช้ชีวิตซ้ำ ๆ วนเวียนเหมือนวัฏจักรแห่งสายพานจะไม่รู้สึกเบื่อบ้างเหรอ จงจำไว้ว่าหากลูกเจี๊ยบกะเทาะเปลือกไข่ของตัวเองจนแตกมันจะมีชีวิตรอด แต่ถ้ามันถูกคนอื่นทำให้เปลือกไข่แตกก่อน มันจะกลายเป็นอาหารอันโอชะของเขาคนนั้น จงทำงานของตัวเอง จงให้พรุ่งนี้นำพาชีวิต
35. จุดบอดของเด็กแอลฟา เด็กพวกนี้ถูกเรียกว่าเด็กเอลฟา เป็นเด็กที่เรียนเก่งมีความรับผิดชอบ และมีความเป็นผู้นำสูง แม้ว่าเด็กกลุ่มนี้จะดูสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน แต่พ่อแม่ของเด็กกลุ่มแอลฟาจะพูดคล้ายกันว่า ลูกของเราโตแต่ตัวเท่านั้น แต่ความคิดยังเป็นเด็กอยู่ ซึ่งจุดบอดของแอลฟาน่าจะตรงกับสุภาษิตที่ว่า ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง คนหนุ่มสาวที่ดูสมบูรณ์แบบในชั้นเรียน แต่เมื่อปิดตำราเรียนลงก็แทบไม่รู้อะไรเลย
เด็ก ๆ กลุ่มนี้ไม่ได้สนใจหรือเป็นกังวลเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว พวกเขาคิดว่าแค่ตัวเองเรียนเก่ง มีความสามารถครบครัน เท่านี้ก็มากเพียงพอแล้ว คนที่ทำงานต่างรู้ดีว่า การทำงานได้ดีไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนในมหาวิทยาลัยเลย คนที่มีความสามารถรอบด้านแต่ถ้าขาดความรับผิดชอบในฐานะผู้ใหญ่ ก็ไม่มีประโยชน์ต่อสังคม
เมื่อทำงานใดก็ตาม จำเป็นต้องมีความสามารถระดับหนึ่ง แต่อย่าลืมว่าความสำเร็จและความสุข ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความสามารถเสมอไป ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษาอังกฤษ แต่ต้องรู้จักการวางตัวกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม ไม่จำเป็นต้องมีความรู้สูง แต่จำเป็นต้องมีไหวพริบและปัญญาสูง
36. มหาวิทยาลัยเป็นเส้นชัยหรือจุดออกตัว ถ้าพูดให้ถูกต้องมหาวิทยาลัยไม่ใช่เส้นชัย แต่คือจุดออกตัวสู่การแข่งขันอีกครั้งต่างหาก การเรียนจบจากมหาวิทยาลัยไม่ใช่สิ่งสุดท้ายของชีวิต มหาวิทยาลัยเป็นหนึ่งในหลาย ๆ กระบวนการที่ทำให้ได้เรียนรู้ว่า จะต้องทำอย่างไรชีวิตจึงจะประสบความสำเร็จ และมีความสุข มหาวิทยาลัยที่เรียนจบออกมา อาจมีความสำคัญในตอนสมัครงาน แต่ภายหลังเมื่อทำงานจริง ระดับความสำคัญจะลดลง อีกทั้งในปัจจุบันแต่ละบริษัทมีวิธีการที่หลากหลาย ในการคัดเลือกพนักงานใหม่ เช่น การสัมภาษณ์อย่างละเอียด คาดว่าในอนาคตความสำคัญของมหาวิทยาลัยที่เรียนจบน่าจะลดลงอีก
มหาวิทยาลัยเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ความจริงข้อนี้อาจทำให้ใครหลายคนผิดหวัง ดูเหมือนว่าการลงทุนเรียนเป็นสิบ ๆ ปี ไม่มีหลักค้ำประกันอะไรเลย ในทางตรงกันข้ามความจริงข้อนี้ อาจสร้างความหวังที่ยิ่งใหญ่ให้กับใครหลายคน เพราะได้ค้นพบว่าชีวิตที่ผ่านมาเป็นเพียงจุดปล่อยตัว ยังมีเวลาปรับปรุงแก้ไขได้อีกมาก จงจำไว้เถิดว่าชีวิตของเราไม่มีอะไรที่เป็นหลักค้ำประกันได้แน่นอน การเรียนจบจากมหาวิทยาลัยที่ดี เป็นเพียงการยืนอยู่ในจุดออกตัวที่ได้เปรียบมากกว่าคนอื่นเล็กน้อยเท่านั้น มหาวิทยาลัยเป็นจุดออกตัวเป็นการเริ่มต้นที่น่าหลงใหล
37. ไม่ใช่ความสามารถแต่จงสร้างเรื่องราว ไม่ใช่ว่าการมีความสามารถหลายด้านไม่มีประโยชน์ แต่การเพิ่มความสามารถทั้งที่ตัวเองยังไม่มีเป้าหมายในชีวิต หรือไม่รู้ความสามารถแท้จริงที่ซ่อนอยู่ อาจทำให้เสียเวลาและเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์
สิ่งสำคัญคือจะถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองอย่างไร ให้บริษัทคัดเลือกเข้าทำงานได้ จะต้องเล่าเรื่องราวของตัวเอง ที่สามารถโน้มน้าวใจคณะกรรมการสัมภาษณ์ จนพวกเขายอมคัดเลือกเข้าทำงาน คนเก่งที่ทุกบริษัทอยากร่วมงานด้วยคือ คนที่สามารถทำให้บริษัทเติบโตขึ้นแม้จะเรียนจบแค่ชั้นประถม แต่ถ้ายืนยัน 100% ว่าสามารถทำให้ยอดขายของบริษัทเติบโตได้แน่นอน รับรองว่าทุกบริษัทจะต้องคัดเลือกเข้าทำงาน แต่ปัญหาคือใครจะกล้ายืนยัน 100% กันได้
ประวัติและผลงานต่าง ๆ เป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่จะช่วยทำให้ได้งานง่ายขึ้น สิ่งที่ควรแสดงให้บริษัทเห็นคือ เรื่องราวของตัวเองซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า เรามีศักยภาพที่ซ่อนอยู่มากล้น เพียงพอต่อการทำงาน เพราะปัจจุบันการแข่งขันเข้าทำงานเป็นไปอย่างดุเดือด จึงต้องมีแบรนด์ของตัวเองไม่ใช่ผลงานและประวัติต่าง ๆ หลักการของการสร้างแบรนด์คือ โฟกัสไปที่จุดเดียวนั่นคือ การถ่ายทอดเรื่องราวที่เก่งที่สุดสนใจที่สุด ก่อนจะใช้กลยุทธ์นี้จะต้องมีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน และรู้ว่าตัวเองเก่งอะไรที่สุด ต้องพิจารณาอย่างลึกซึ้งว่า เรื่องราวของตัวเองคืออะไร หากยังรู้สึกคลุมเครือใจ อย่าเพิ่งลงเรียนพิเศษ เหมือนฝูงปลาที่ว่ายตามกันไป แต่จงเขียนความสามารถที่แท้จริง และความฝันลงในกระดาษ
38. วัยยี่สิบมีสิ่งที่สำคัญกว่าเงิน ในปัจจุบันนี้นักศึกษาที่ฐานะทางบ้านยากจน อาจต้องทำงานพิเศษควบคู่กับการเรียน แต่ทว่ารายได้ต่อชั่วโมงของงานพิเศษค่อนข้างต่ำมาก งานพิเศษที่ทำแล้วได้เงินมหาศาล เป็นความฝันของทุกคน ปัญหารุนแรงจะเกิดขึ้นทันที หลังจากวันที่ได้ค่าตอบแทนมหาศาล เนื่องจากเราจะคิดโลภ รายได้ดีขนาดนี้จะเปลี่ยนไปทำงานอื่นทำไม ปัญหาจะเริ่มเกิดขึ้นจากจุดนี้ ถ้าได้เงินค่าตอบแทนน้อยมาก ก็จะรู้สึกท้อใจและหมดหวัง แต่ในทางตรงกันข้าม หากได้รับค่าตอบแทนที่สูงมาก จะรู้สึกว่าไม่เห็นจำเป็นต้องเรียนให้จบเลย หรือทำงานบริษัทเงินเดือนน้อยจะตาย
ปัญหาไม่ใช่เรื่องเงิน แต่คือการควบคุมจิตใจตัวเอง ถ้าตอนนี้หมดแรงไร้กำลัง ชีวิตในภายภาคหน้าก็ว่างเปล่า สิ่งสำคัญไม่ใช่เงิน แต่คือความฝันยิ่งใหญ่ที่จะต้องทำให้สำเร็จ จงเรียนรู้ความยากจนด้วยจิตใจที่มองโลกในแง่ดี จงสะสมพลังในแง่บวก ตอนที่ยังเยาว์วัยจะประเมินคุณค่าของงานด้วยตัวเงินไม่ได้ แต่ต้องประเมินด้วยเกณฑ์ที่ว่า งานนั้นจะทำให้มีชีวิตใกล้เคียงกับสิ่งที่วาดฝันไว้มากน้อยแค่ไหน สิ่งที่สำคัญกว่าเงินคืออนาคต
39. มหาวิทยาลัยคืออะไรสำหรับเรา คำว่า แทฮัก เป็นคำที่ใช้เรียกมหาวิทยาลัยในสมัยโคกูรยอและสมัยจีนโบราณ มีความหมายว่าสถานที่รับการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่สถานที่เรียนรู้เท่านั้น แต่ต้องรับการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ด้วย ถ้าเปรียบเทียบกับการศึกษาในปัจจุบัน น่าจะตรงกับองค์กรการศึกษาชั้นมัธยมปลายมากกว่ามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยค่อย ๆ ถูกเปลี่ยนไปเป็นสถานที่สอนปัญญาชนและศึกษาปรัชญา ที่นี่มีประวัติศาสตร์มีหน้าที่ในเชิงสังคม ไม่ใช่องค์กรที่เหมือนกับสถาบันกวดวิชา
ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ จุดที่มหาวิทยาลัยแตกต่างกับองค์กรการศึกษาอื่นคือ การวิจัยซึ่งเป็นการศึกษาความจริงเชิงวิชาการผลิตความรู้เชิงสร้างสรรค์ สิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติของมหาวิทยาลัยที่เหนือกว่าองค์กรการศึกษาอื่น ความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ มหาวิทยาลัยเป็นองค์กรการศึกษาที่ได้รับสิทธิพิเศษมากมายจากสังคม มีความหมายลึกซึ้งว่าจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแน่วแน่ เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ที่จะต้องทำหน้าที่เสมือนรถลากแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคม พัฒนาประเทศ กล้าวิพากษ์วิจารณ์เพื่อกระตุ้นความคิดของคนในสังคม ความฝันที่ยิ่งใหญ่ มหาวิทยาลัยเป็นองค์กรที่มีเป้าหมายสู่อนาคต เป็นแหล่งประเทืองปัญญา และสร้างสรรค์งานวิชาการศาสตร์ต่าง ๆ เป็นสถานที่เพาะมุมความรู้ใหม่ ๆ แห่งอนาคต ที่ส่งคุณค่าทำให้มวลมนุษย์ชาติเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
มหาวิทยาลัยมีหน้าที่มอบอนาคตที่ยิ่งใหญ่มากกว่าปัจจุบัน ให้แก่สมาชิกทุกคนในสังคม มหาวิทยาลัยมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ เป็นกลุ่มสังคมที่มีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล
40. จงขึ้นรถไฟชีวิตสักครั้ง ปัจจุบันนี้อัตราการหางานที่ใช้ได้เป็นไปอย่างดุเดือด เมื่อเปรียบเทียบกับอดีต จำนวนนักศึกษาที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเพิ่มสูงขึ้นมาก ในทางตรงกันข้ามอัตราการจ้างงานกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดเป็นปัญหาของสังคม ผู้เขียนอยากแนะนำสักนิดว่า จงขึ้นรถไฟชีวิตสักครั้ง เพื่อเริ่มต้นการเดินทาง เป็นการสะสมประสบการณ์ทำงานจากบริษัทน้อยใหญ่ น่าจะมีประโยชน์มากกว่ารายการความสามารถที่เขียนขึ้น เพื่อยืนยันว่าเป็นคนเก่งที่มีพลังซ่อนอยู่มากมาย ทำให้ได้เห็นชีวิตจริงอย่างชัดขึ้น ซึ่งเหตุผลมีอยู่ 2 ประการคือ 1.ได้ซ้อมการจัดการชีวิต 2. นี่คือหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าเป็นคนมุ่งมั่น ไม่ได้ใช้ชีวิตผ่านไปวัน ๆ อย่าลังเลใจที่จะเริ่มต้นทำงานในบริษัทขนาดเล็ก
ข้อดีที่สุดในการทำงานที่นี่คือ ได้รับประสบการณ์หลากหลาย ความจริงแล้วงานที่สำคัญที่สุดในชีวิต ไม่ใช่งานแรกแต่เป็นงานสุดท้าย อย่ารีบร้อนตัดสินผลแพ้ชนะ จากการประลองครั้งแรก การแข่งขันต้องดูนาน ๆ ถึงจะรู้ว่าท้ายที่สุดใครเป็นผู้ชนะ ดังนั้นจึงควรมีแบบแผนอาชีพที่ยิ่งใหญ่สำหรับตัวเองไว้อย่างคร่าว ๆ อย่าทุ่มหมดตัวในการแข่งขันยกแรก ให้ทำเท่าที่ทำได้โลก เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ชีวิตนี้ยาวนานนัก สิ่งสำคัญไม่ใช่จะออกเดินทางแบบไหน แต่จะก้าวออกเดินทางในชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไรต่างหาก
41. แด่เธอผู้อยู่ที่ลานมหาวิทยาลัย ชีวิตที่หลายคนเรียกว่าประสบความสำเร็จคือ ชีวิตที่มีความสมดุลระหว่างความสุขส่วนตัวกับความสำเร็จทางสังคม ปัจจุบันคนหนุ่มสาวจำนวนมาก กระหายในความสำเร็จจนถอนตัวไม่ขึ้น คนแบบนี้ถ้าเริ่มทำงานในบริษัทหรือทำธุรกิจ จะทำงานแบบ เฟาสต์ คือยอมขายวิญญาณเพื่อแลกกับความสำเร็จ ยอมทอดทิ้งทุกอย่าง หยุดการทำกิจกรรม ไกลห่างจากครอบครัวและเพื่อน ฝูงหมกมุ่นอยู่กับงานที่ตนรัก ทุ่มเทพพลังทั้งหมดเพื่องานของตนเอง งานคือจักรวาลของชีวิต คนเหล่านี้อาจได้รับคำชื่นชมจากผู้คนรอบข้าง แต่หลังจากที่ประสบความสำเร็จสูงสุดแล้ว จะต้องจ่ายชีวิตเป็นค่าตอบแทน
การใช้ชีวิตในสังคมคือ การเดินอยู่บนเชือกเส้นเดียว ต้องเดินให้สมดุลระหว่างความสุขส่วนตัวกับความสำเร็จทางสังคม ต้องเดินหน้าอย่างแน่วแน่ว่าจะอยู่หรือจะไป ความสมดุลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การรักษาสมดุลชีวิต ทำได้เพียงแค่ทบทวนตัวเองเป็นประจำก็มากเพียงพอแล้ว ความขี้เกียจที่จะทบทวนตัวเอง ชีวิตจึงเสียสมดุลและพังทลายลงอย่างง่ายดาย
42. จดหมายถึงจินตนาการบั้นปลายชีวิต จะมีใครบ้างไหมที่ไม่รู้สึกหนักใจกับอายุที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อจินตนาการถึงบั้นปลายชีวิตแล้ว กลับเกิดความอิ่มเอมใจกับอายุที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างบอกไม่ถูก หลังจากเรียนจบชีวิตอาจจะร้อนรุ่มไปถึง 10 ปีเต็ม ต้องสอบใบประกาศนียบัตรต่าง ๆ ต้องหางานให้ได้ เมื่ออายุขึ้นเลข 3 ก็ควรมีตำแหน่งหน้าที่การงาน ได้รับการยอมรับจากผู้คนในสังคม ราวกับว่าช่วงเวลานี้คือ การตามล่าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ชีวิตไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหนก็มีการเติบโต และต้องเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด
บทส่งท้าย ลูกชายที่รักของพ่อ จุนคือชื่อลูกชายของผู้เขียน ที่กำลังเรียนหนึ่งสืออยู่ในชั้นมัธยมหก ต้องอ่านหนังสือวิชาต่าง ๆ เพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยจนดึกดื่น เป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดในชีวิตวัยรุ่น ตอนนี้น่าจะมีเวลาเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ทุ่มเทอ่านหนังสือในวิชาที่ไม่ถนัด คงเกิดความกังวลใจเป็นอันมาก ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าเป็นใคร มีเป้าหมายอะไร จะไปที่ไหน แต่ก็อยากให้รู้สึกท้าทายอยู่เสมอ อยากให้โอบกอดความปรารถนาที่ร้อนระอุ มีฝันที่งดงามเป็นประกายไปตลอดทั้งชีวิต
ถ้าไม่รู้จะไปที่ไหนก็แค่ไป สิ่งที่เลวร้ายมากกว่าการทำผิดพลาดคือ ไม่ยอมลงมือทำอะไรเลย ถ้าเรือจอดอยู่ที่ท่าเรืออาจปลอดภัยที่สุด แต่เรือไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้จอดไว้เฉย ๆ เรือจะมีคุณค่าต่อเมื่อได้ออกทะเลผจญคลื่นลม เช่นเดียวกันแม้จะมีประตูมากมาย แต่ถ้าไม่ได้ถูกเปิดออกเลย ประตูเหล่านั้นก็ไม่ต่างไปจากผนัง จงเปิดประตูเหล่านั้นออก ลองผิดลองถูกดู วัยรุ่นคือความเจ็บปวด ดังนั้นอย่าหวั่นไหว จงยอมรับความทรมานอย่างเข้มแข็ง ความเจ็บปวดนี้ในภายหลัง จะกลายเป็นเชื้อเพลิงทำให้ชีวิตลุกโชติช่วงขึ้น.
สั่งซื้อหนังสือ “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก