สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เมื่อฉันลองตื่นก่อนโลก
ผู้เขียน : คิมยูจิน
ผู้แปล : ภัททิรา จิตต์เกษม
สำนักพิมพ์ : อมรินทร์ฮาวทู
วิธีเริ่มต้นวันให้แตกต่างนั้นง่ายมาก แค่ตื่นในเวลาที่ต่างจากปกติลองตื่นเช้าขึ้นสักนิด เก็บที่นอนแล้วทานอาหารเช้า ถ้าได้ละเอียดและเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลายามเช้าอย่างไม่เร่งรีบ แทนที่จะเริ่มเช้าวันใหม่อย่างกลับถูกใครวิ่งไล่เพราะนอนตื่นสาย วันนี้จะแตกต่างจากเมื่อวาน เมื่อมีวันที่แตกต่างเพิ่มมากขึ้นทีละวันสองวันก็จะกลายเป็นชีวิตประจำวัน
ทุกคนมีเวลาต่อวันเท่ากัน แต่ต่างกันที่วิธีใช้เวลา ฉันไม่ปล่อยให้คุณคิดหาวิธีใช้เวลาให้เหมาะสมกันเอง เพราะหนังสือเล่มนี้บอกวิธีเรียกเวลาที่เคยปล่อยทิ้งไปเพราะโลกแห่งความเป็นจริงอันแสนยุ่งเหยิง ตอนนี้ถ้าอยากทิ้งความกังวลและบาดแผลในใจก้าวสู่โลกภายนอกอีกครั้ง ขอให้หนังสือเล่มนี้เป็นอีกแรงที่จะช่วยผลักดันให้คุณพบกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆของตัวเอง
สั่งซื้อหนังสือ “สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เมื่อฉันลองตื่นก่อนโลก” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก
ส่วนที่ 1 : เวลาเช้ามืดไม่เคยทรยศใคร
บทที่ 1 : ในวันที่ตื่นเช้าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป
โรคของใจไม่มีอาการ
เริ่มต้นจากการตื่น เตรียมตัวไปทำงาน พอถึงบริษัทก็ทำงาน บางครั้งหลังเลิกงานก็บังคับตัวเองไปออกกำลังกายแบบไม่ค่อยเต็มใจ ก่อนกลับบ้านมาทานข้าวเย็นและเข้านอนทันที ฉันไม่ได้เกลียดชีวิตแบบนี้และเชื่อว่าใครๆหลายคนก็คงมีกิจวัตรประจำวันคล้ายกัน ตอนนี้ฉันไม่ใช่นักศึกษาแต่เป็นทนายความแล้วเป็นพนักงานบริษัท จึงไม่ควรทำอะไรใหม่ๆหรือแปลกจากปกติ ถ้าตั้งใจทำงานเสียอย่างก็ไม่น่าจะมีปัญหา ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ใช้ชีวิตแบบนี้เพื่อนร่วมงานในออฟฟิศต่างๆก็ใช้ชีวิตคล้ายๆกัน ทุกวันจึงผ่านไปอย่างธรรมดาได้แต่นั่งทำงานเงียบๆ
เช้าวันธรรมดาวันนึงฉันตระหนักได้ว่าตัวเองแปลกไป เมื่อทันทีที่เขาบริษัท มองไปที่คอมพิวเตอร์แล้วอยู่ๆน้ำตาก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยแต่กลับหายใจไม่ออก ฉันรีบเข้าห้องน้ำเพราะกลัวใครจะเห็นว่าร้องไห้ ภาพของฉันที่ปรากฏอยู่บนกระจกดูไม่เรียบร้อยเอาเสียเลย เมื่อพยายามอดทนไปเรื่อยๆสุดท้ายก็ระเบิดออกมา เย็นวันหนึ่งฉัน ระเบิดความโกรธที่กักเก็บเอาไว้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาลงไปบนบทสนทนาของกลุ่มทีม ความหดหู่และเสียใจทำให้ฉันตั้งใจว่าจะลาออกภายในสองสัปดาห์
พลังจากความเงียบตอนเช้าตรู่
เมื่อลองคิดดูแล้วฉันไม่ใช่คนที่ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้ง่ายและไม่เคยชอบตัวเองในเรื่องนี้เลย เวลาดูคนอื่นกำลังจะคิดว่าฉันต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ แล้วคอยเปรียบเทียบตัวเองกับคนเหล่านั้นตลอดเวลาทำให้ตัวตนของฉันหายไป ฉันว่าตารางลงในกระดาษเปล่าและเขียนหัวข้อแต่ละช่องว่า ปัญหาปัจจุบัน สาเหตุ วิธีแก้และสรุป จากนั้นจึงจัดระเบียบความคิดทีละอย่างช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ไม่ว่าจะตั้งใจทำงานแค่ไหนกลับไม่รู้สึกถึงความสำเร็จเลย แต่เวลาเจอเพื่อนๆก็ไม่ได้รู้สึกสนุกสนาน จึงอยากจัดการทั้งความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ โต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสาร รวมไปถึงหัวใจที่สับสนวุ่นวายไม่ต่างจากโต๊ะทำงาน
การกระทำต่างๆแม้จะเป็นปฏิกิริยาที่ไม่คาดคิด แต่ฉันกลับมาอารมณ์ดีคงเป็นเพราะฉันยอมรับข้อบกพร่องของตัวเองและตั้งปณิธานตั้งแต่เช้าตรู่ว่าต่อไปจะทำให้ดีขึ้น ทั้งที่วันนี้ไม่ใช่วันศุกร์แต่หัวใจกลับเบาสบาย วันต่อมาฉันก็ตื่นก่อนเวลาปกติสองชั่วโมง แม่กิจวัตรประจำวัน ชีวิตการทำงานจะไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ การเริ่มต้นวันเร็วขึ้นอีกนิด ก็ทำให้ฉันสามารถเตรียมตัวไปทำงานได้อย่างช้าๆไม่ต้องเร่งรีบกลัวว่าจะไปทำงานสาย แล้วยังได้ตรวจสอบตัวเองอีกด้วย แถมยังได้จัดระเบียบความกังวลไร้สาระและหันมามองตัวเองด้วยอารมณ์ที่แปลกใหม่ทุกวัน เหมือนได้จัดเสื้อผ้าในตู้เวลาเปลี่ยนฤดูทุกๆวัน ส่งผลให้จิตใจเบาสบายมากขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้ชาร์ตพลังงานที่ไม่ว่าจะนอนอย่างไรก็เหมือนชาร์จไม่เข้าหรือเปล่า รู้สึกว่าชีวิตของฉันก็ไม่แย่อย่างที่คิด
เช้าตรู่คือเวลาพักผ่อนของฉัน
ผู้คนต่างคิดว่าตื่นเช้าเพื่อทำอะไรบางอย่าง แต่จริงจริงแล้วเช้ามืดไม่ใช่เวลาพุ่งออกตัวสำหรับฉัน แต่เป็นเวลาพักผ่อนเพื่อชาร์ตพลังชั่วคราว กล่าวคือการตื่นเช้าเป็นสิ่งที่ช่วยให้ฉันกระตือรือร้นในการใช้ชีวิตต่อไปเรื่อยๆ แต่บางครั้งฉันก็รู้สึกไม่สบายใจและหดหู่ใจแต่ก็สามารถสงบจิตสงบใจได้ด้วยการใช้เวลายามเช้าที่เป็นของฉันคนเดียว ประโยชน์จากการตื่นเช้าไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันเพียงคนเดียวแต่ยังส่งผลในทางที่ดีต่อสุขภาพจิตของผู้คนจริงๆ จังหวะวงจรชีวิตของมนุษย์จะยาวกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงเล็กน้อยเซลล์จอประสาทตาที่ตรวจจับแสงจะปรับให้ตรงกับเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงทุกเช้าจะช่วยให้เราปรับตัวเข้ากับชีวิตประจำวันได้ดี
คุณภาพของการนอนขึ้นอยู่กับว่าสมองและหัวใจรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่ร่างกายเรากำลังทำอะไรอยู่ถ้าได้ลองสัมผัสความสบายใจจริงๆแม้จะเพียงชูคู่ตอนเช้าตรู่ หัวใจที่ว้าวุ่นตลอดเวลาก็จะผ่อนคลายได้
บทที่ 2 : เหตุผลที่ฉันตื่นตีสี่ครึ่ง
เช้ามืดเป็นเวลาที่ฉันได้เป็นผู้นำ
ในวันหนึ่งๆจะมีช่วงเวลาที่ฉันใช้ได้ตามความตั้งใจของตัวเองไม่มากนัก ส่วนใหญ่แล้ว เวลาและสติของฉันมักใช้ไปกับเรื่องที่ไม่คาดคิดและไม่เกี่ยวข้องกับแผนการของตัวเอง ในขณะช่วงเช้าฉันสามารถตื่นมาจดจ่อกับงานได้ดีไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตามนอกจากเวลาเช้ามืดจะไม่มีปัจจัยรบกวน ยังเป็นช่วงเวลาที่ฉันตื่นมาหลังจากนอนเต็มอิ่มจึงมีพลังงานมากกว่าตอนเย็นที่อ่อนเพลียแรงหลังจากทำงานเสร็จ
ตอนเช้ามืดยกให้ตัวเองเป็นอันดับแรก
ฉันไม่มีเหตุผลพิเศษที่ตัดสินใจตื่นตีสี่ครึ่ง แค่รู้สึกว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมกับการตื่นเช้ากว่าปกติโดยได้นอนหลับเต็มอิ่มและไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เมื่อมีเวลาว่างในตอนเช้าๆแบบนี้ ฉันก็จะได้เก็บที่นอนทั้งที่ไม่เคยใส่ใจมาก่อนเช็ดฝุ่นบนโต๊ะทำงาน ผ่อนคลายยกกล้ามเนื้อระหว่างอาบน้ำร้อนและทานอาหารเช้าจนอิ่มทั้งที่ปกติมักจะอด ถ้าได้ใช้เวลายามเช้าๆแบบนี้เราจะรู้สึกปฏิบัติตัวเอง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในตัวเองสูงขึ้น
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากทัศนคติที่ให้ความสำคัญกับตัวเองเป็นอันดับแรก การใช้เวลาคนเดียวเฉยๆกับการยกให้ตัวเองสำคัญเป็นอันดับแรกนั้นแตกต่างกัน กรณีแรกเป็นการใช้ช่วงเวลากับตัวเองอย่างสบายๆเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่กรณีหลังเป็นการใช้เวลาตามใจตัวเองทั้งสิ่งที่อยากทำและสิ่งที่คิดว่าสบายแม้จะดูเห็นแก่ตัวไปหน่อยก็เถอะ
บทที่ 3 : ระหว่างที่คุณหลับใหล
คนอื่นเริ่มต้นวันไปแล้ว
ตอนเช้ามืดมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่าที่เราคิด ในขณะหลับใหลโดยไม่รู้ว่าโลกหมุนไปอย่างไรนั้น บางคนกำลังอ่านหนังสือเพื่อทำเป้าหมายให้บรรลุผล บางคนกำลังวิ่งไปหาเป้าหมายใหม่ สำหรับพวกเขาแล้วเวลาเช้ามืดเป็นเวลาเคลื่อนไหวไม่ใช่เวลาหลับใหล
ถ้าบอกว่าเหนื่อยแล้วมัวแต่นอนอยู่บนเตียงไปเรื่อยๆจะไม่มีอะไรดีขึ้นและไม่สามารถก้าวไปไกลขึ้นได้ ถ้านำตัว ตัวหนักๆของตนเองขึ้นมาได้และท้าทายกับเรื่องใหม่ๆโอกาสเหนือความคาดหมายอาจจะเดินทางมาหาเราก็ได้ ในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกลัวการล้มเหลวเพราะความจริงแล้วการตื่นแต่เช้ามืดก็คือการก้าวนำคนอื่นไปก้าวนึงอยู่แล้ว เวลาหนึ่งวันจะถูกใช้อย่างไรขึ้นอยู่กับการเลือกของตัวเราแล้วชีวิตก็จะเปลี่ยนไปตามการตัดสินใจนั้น
เช้ามืดเวลาที่ประตูบานใหม่เปิดออก
เวลาที่ได้จากการตื่นเช้ามืดเป็นเหมือนโบนัสของชีวิต ในช่วงเวลานี้จะไม่มีงานที่ต้องทำเหมือนการบ้านจากโรงเรียนหรืองานจากบริษัท ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่เสียหาย เช้ามืดถือว่าเป็นเวลาลองทำสิ่งที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่เป็นงานที่อยากทำแล้วไม่ใช่งานที่ต้องบังคับให้ตัวเองทำ ลองทำงานที่เคยได้แต่จินตนาการหรือสิ่งที่ไม่คิดจะทำถ้าไม่มีเวลาเหลือว่างมากมากจริงๆ ฉันก็ท้าทายตัวเองด้วยงานต่างๆตอนเช้ามืดบางครั้งก็ไม่ดีอย่างที่คาด แต่หลายครั้งก็ได้เห็นผลลัพธ์ราวกับปาฏิหาริย์
บทที่ 4 : ไม่ต้องรีบแต่เริ่มให้ไว
ชีวิตที่ไม่เป็นไปตามแผน
ฉันเคยคิดว่าเราต้องนำหน้าเสมอจึงจะประสบความสำเร็จ และเชื่อว่าฝันจะเป็นจริงเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ถ้าช่วงเวลานั้นเป้าหมายจะถูกบรรลุได้ยาก จึงพยายามทำสิ่งต่างๆล่วงหน้าและทำอย่างรวดเร็ว แต่แปลกแผนของฉันกลับไม่เป็นอย่างที่วางไว้ ฉันเริ่มต้นชีวิตในสังคมเลวแต่กลับได้เงินไม่ได้อย่างที่ตั้งใจ ทำไมสิ่งที่ฉันทำจึงล้มเหลวไปหมดไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ทุกอย่างกลับไม่เดินไปตามแผนที่วางไว้
ฉันคิดว่าถ้าก้าวนำทุกคนได้จะประสบความสำเร็จคิดว่าถ้าวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบแค่ทำตามนั้นก็สำเร็จแล้ว ปัญหาคืออะไรกว่าจะได้เป็นทนายฉันต้องผ่านข้ามสิ่งกีดขวางจำนวนมากที่ไม่คาดคิด ลูกแล้วลูกอีกก็ใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้มาก
เริ่มวันให้เร็วขึ้นอีกหน่อยก็พอแล้ว
การใช้ชีวิตเร็วกว่าคนอื่นไม่ได้หมายความว่าเราจะทำให้ความฝันเป็นจริงได้เร็วขึ้น แต่วิธีที่จะทำให้เป้าหมายบรรลุผลได้จริงจริงคือการเริ่มต้นวันที่เรามีหรือเริ่มต้นทำงานที่ทำได้ณตอนนี้ให้เร็วขึ้นต่างหาก บางช่วงเวลาเราต้องเปลี่ยนแผนและทิศทางแต่ไม่ต้องกังวลเพราะชีวิตใหม่ไม่ได้เริ่มต้นจากตรงนั้น
ส่วนที่ 2 : เจอฉันคนใหม่ตอนตีสี่ครึ่ง
บทที่ 5 : วิธีตื่นนอนตอนตีสี่ครึ่ง
ลุกขึ้น
ฉันไม่มีแม้แต่ช่วงเวลาที่จะคิดอื่น ทันทีที่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุก ตีสี่ครึ่งฉันก็จะตั้งกฎนับถอยหลังเวลา ห้าวินาที ในช่วงเวลานั้นจะต้องปิดเสียงนาฬิกาปลุก แล้วลุกขึ้น การตื่นแต่เช้าไม่ได้มีวิธีพิเศษอย่างที่คิดวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็แค่ไม่ต้องคิดอะไรมาก พอลืมตาขึ้นมาก็ลุกขึ้นเท่านั้นเมื่อทำเช่นนั้นก็จะไม่รู้สึกลำบาก ถ้าเอาชนะการต่อสู้ระยะสั้นที่แสนลำบากนี้ได้ กระบวนการเหล่านี้เป็นวิธีการปลุกตัวเองให้ตื่นจากความง่วงนอนและเป็นพิธีเริ่มต้นวันใหม่ที่สดใสได้อีกด้วย
ปรับตัวให้เข้ากับช่วงเวลาเฉพาะของตัวเรา
ถ้าอยากตื่นแต่เช้าจนเป็นนิสัย อย่างแรกต้องเลิกเข้าใจผิดก่อนว่าเมื่อถึงเวลาตื่นในตอนเช้าตาจะลืมขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะนอนกี่โมงการตื่นก็ถือเป็นเรื่องยากสำหรับคุณ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะรู้สึกเหนื่อยล้าเมื่อได้ยินเสียงในการปลุก ถ้ารักษากิจวัตรตามช่วงเวลาเฉพาะตัวให้สม่ำเสมอ การตื่นแต่เช้าจะง่ายขึ้นเล็กน้อย การสร้างช่วงเวลาเฉพาะตัวเพื่อให้เริ่มต้นวันเป็นเรื่องง่ายจะต้องหันไปมองช่วงเย็น ถ้าไม่มีนัดพิเศษก็ควรเข้านอนก่อนเวลา ไม่ว่าจะวันก่อนหน้ายุ่งแค่ไหนก็ยังจะตื่นเช้ามืดได้
แม้จะคุ้นเคยกับช่วงเวลาของตัวเองแล้ว บางครั้งก็กลับตื่นสายเพราะกิจวัตรประจำวันไม่ได้สร้างขึ้นง่ายๆด้วยการนอนเร็วตื่นเร็วแค่วันหรือสองวัน แต่ต้องพยายามเริ่มต้นและสิ้นสุดชีวิตประจำวันในเวลาที่ใกล้เคียงกันทุกวัน นี่คือพื้นฐานการใช้ชีวิตอย่างสม่ำเสมอ เมื่อคุ้นเคยแล้วเรื่องนี้ก็จะกลายเป็นกิจวัตรประจำวันที่ราบรื่นขึ้น
บทที่ 6 : ความเหนื่อยไม่ได้อยู่ที่เวลาเช้าแต่เป็นตัวคุณ
หลักของการตื่นเช้ามืดคือเวลานอนหลับ
จริงๆแล้วปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพมากๆไม่ใช่เวลาตื่นแต่เป็นเวลานอนทั้งหมด ระยะเวลานอนที่เหมาะสมกับผู้ใหญ่คืออย่างน้อยเจ็ดชั่วโมง นอกจากการนอนดึกจะเป็นปัญหาแล้วความรู้สึกไม่อยากเสียเวลานอนจนพยายามลดระยะเวลานอนลงก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี แน่นอนว่าการนอนน้อยแค่ไม่กี่วันไม่ได้กลายเป็นปัญหาในทันที แต่ยิ่งวันเวลาแบบนั้นเพิ่มพูน การนอนหลับที่ไม่เพียงพอก็จะสั่งสมในท้ายที่สุดก็จะส่งผลเสียต่อการใช้ชีวิตและสุขภาพ ถ้าอยากใช้ชีวิตแบบคนตื่นเช้าจะต้องเตรียมตัวตั้งแต่คืนก่อน การตื่นเช้ามืดไม่ใช่การลดระยะเวลานอนแต่เป็นการดึงวงจรการนอนให้เร็วขึ้น
ถ้าไม่สามารถนอนให้พอได้
เราไม่ใช่หุ่นยนต์เป้าหมายของการพยายามตื่นเช้า ไม่ใช่แค่เพื่อให้ตื่นเช้าในวันถัดไปเพียงวันเดียว แต่เพื่อสร้างนิสัยตื่นเช้าเพื่อเริ่มต้นวันให้เร็วกว่าคนอื่น แม้จะบอกว่าสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อการตื่นเช้าคือระยะเวลานอน แต่ไม่จำเป็นต้องหักโหมกับการนอนหลับ สิ่งที่สำคัญคือความ สามารถในการควบคุมวงจรการนอนหลับของทุกวันเพื่อรักษาระยะเวลานอนให้เหมาะสม อย่าเปลี่ยนแปลงวงจรการนอนบ่อยเกินไป ไม่ใช่ว่าวันนี้นอนสามทุ่มตื่นตีสี่แล้วอีกวันนอนตีสามตื่นบ่ายสองแบบนี้ก็จะไม่ส่งผลดี
อย่าคิดว่าแค่ตื่นเช้ามืดก็ล้มเหลวเสียแล้ว
แม่จะเป็นคนที่ตื่นเช้าก็ใช่ว่าต้องตื่นเช้าทุกวัน วันไหนเหนื่อยการนอนตก็ช่วยให้วันนั้นผ่านไปได้ด้วยดี ถ้ามานั่งละอายใจว่าตัวเองมีปัญหาเพียงเพราะตื่นสายวันเดียว รับรองว่าไม่มีวันตื่นเช้าได้ บางครั้งสภาพร่างกายไม่ดีจึงนอนมากกว่าปกติและในวันแบบนี้ให้คิดว่าเป็นวันที่ได้นอนหลับเต็มอิ่ม แทนที่จะคิดว่าเป็นวันนอนตื่นสายหรือล้มเหลวกับการตื่นเช้า
บทที่ 7 : ถ้าอยากผ่านช่วงเวลาเช้ามืดด้วยดี
ไม่ต้องทำงานที่ยิ่งใหญ่ตลอดเวลาก็ได้
การพัฒนาตัวเองให้เติบโตก็ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลหรือหาสาเหตุชั้นเลิศ การตื่นแต่เช้ามืดก็เช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องยึดติดว่าเมื่อตื่นเช้าต้องทำแต่เรื่องยิ่งใหญ่ เราใช้เวลาช่วงโบนัสที่ได้รับจากการตื่นเช้ามืดได้ตามต้องการ และความสำคัญของการติดเช้ามืดก็ไม่ได้อยู่ตรงสิ่งที่คุณทำในเวลานั้น แต่เป็นการที่อดทนต่อความอ่อนเพลียจนตื่นแต่เช้าได้ต่างหาก
จัดการงานที่ค้างคา
ฉันชอบทำงานตอนเช้ามืดมากกว่าทำงานดึก ถ้าทำไว้ตั้งแต่เช้าเราจะใช้ชีวิตในวันนั้นได้อย่างสบาย ตอนทำงานดึกฉันจะรู้สึกอึดอัดใจที่มีงานค้างจนเลิกทำงานไม่ได้ แต่การทำงานให้เสร็จตั้งแต่เช้ามืดกลับทำให้รู้สึกเบิกบานใจ ตอนเช้ามืดเพื่อนร่วมงานคนอื่นยังไม่ทำงาน แทนที่จะตอบอีเมลเราจะจัดการกับงานง่ายๆที่ทำคนเดียวได้ เมื่อมาถึงบริษัทก็จะอยู่ในสภาพที่พร้อมระดับหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะทำให้สบายใจแล้วยังรู้สึกมั่นใจในการทำงานด้วย
ลองขยับตัวตอนเช้ามืด
หลายคนเข้าใจผิดว่าการออกกำลังกายตั้งแต่เช้าจะทำให้เหนื่อยล้าทั้งวัน แต่จริงๆแล้วการเริ่มต้นวันด้วยการออกกำลังกายแต่เช้าช่วยให้แจ่มใสมากกว่าการเริ่มต้นด้วยการอ่านหนังสือซะอีก แถมไม่ได้ทำให้เหนื่อยล้าแต่ร่างกายจะเบาสบายและมีสมาธิมากขึ้น เพราะเหตุนี้ในวันสำคัญฉันมักเริ่มต้นวันด้วยการออกกำลังกายเสมอ อีกทั้งการออกกำลังกายตอนเช้ายังช่วยเพิ่มความสามารถทางร่างกายและการรับรู้ในวันนั้นได้
การอ่านแต่เช้ามืดช่วยเปลี่ยนชีวิต
ถ้ามีหนังสือที่ซื้อไว้แต่ยังไม่ได้อ่านลองหยิบมาตอนเช้ามืด แล้วจะรู้สึกเหมือนเป็นหนังสือคนละเล่ม หรือจะหยิบหนังสือที่เคยอ่านระหว่างทางกลับบ้านหลังเลิกงานมาอ่านดูตอนเช้าก็ได้ ก็จะได้รับอะไรใหม่ๆราวกับเพิ่งอ่านเป็นครั้งแรก การอาจเป็นการสัมผัสสถานที่ที่ไม่เคยไปทางอ้อม ช่วยให้เรียนรู้ว่าคนที่เราไม่มีโอกาสเจอคนที่ไม่ได้อยู่รอบตัวเรานั้นเค้าคิดอย่างไรกับการใช้ชีวิตและประสบความสำเร็จอย่างไร ซึ่งทำให้เราหันกลับมามองตัวเองและตรวจสอบตนเองมากขึ้น
การเรียนตอนเช้ามืด
ข้อดีของการเรียนรู้ตอนเช้ามืด คือเราสามารถทบทวนเนื้อหาที่เรียนไปเมื่อเช้าในตอนกลางวันได้อีกครั้ง แต่บางคนก็เริ่มอ่านหนังสือในตอนเย็นและโต้รุ่งจนถึงเช้า ในกรณีเช่นนี้มีความเป็นไปได้สูงที่ในวันถัดมาจะลืมเนื้อหาที่เรียนรู้ แต่ถ้าตื่นเช้ามืดมาอ่าน เนื้อหาที่อ่านในวันนั้น พอตอนกลางวันจะได้เรียนก็นำไปใช้ได้ทันที ตอนเย็นถ้าทบทวนอีกครั้งก็จำได้ง่าย
บทที่ 8 : วิธีใช้วันหยุดสุดสัปดาห์แบบมนุษย์ยามเช้ามืด
วันเสาร์ก็เป็นช่วงเวลาโบนัส
วันเสาร์ถือเป็นช่วงเวลาโบนัสอีกวัน เป็นช่วงเวลาที่ได้ทำงานที่พลาดไปเพราะยุงระหว่างสัปดาห์ ถ้ามีงานที่ทำไม่เสร็จในวันธรรมดาหรือเป็นงานที่สำคัญมากจนต้องใส่ใจพิเศษ ก็มักจะทำได้ในวันเสาร์จนเสร็จ ใช้วันหยุดสุดสัปดาห์ไปกับการทำสิ่งต่างๆที่ทำไม่ได้ในวันธรรมดา โดยเลิกคิดว่าวันธรรมดาตื่นเช้าจนได้ใช้เวลาในแต่ละวันไปอย่างสบายๆแล้ว วันหยุดต้องใช้เวลาแห่งอิสรภาพให้เต็มที่เพราะในวันเสาร์ยังมีพลังงานเพียงพอที่จะลองทำงานหรืออะไรไหม
วันอาทิตย์นี้มีไว้หายใจอย่างเดียว
ในวันอาทิตย์ฉันจะพักผ่อนอย่างเดียวต่างจากวันเสาร์ แม่ตื่นเช้าเหมือนกันฉันก็จะนอนเฉยๆดูรายการทีวีที่อยากดูหรือเช็คเรื่องราวในโซเชียลมีเดีย แล้วยังทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา วางแผนว่าสัปดาห์ต่อไปจะใช้ชีวิตอย่างไร วันอาทิตย์จะจดจ่ออยู่กับการใช้พลังงานเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสัปดาห์ใหม่อย่างเดียว เมื่อทำเช่นนี้แล้วแม้สัปดาห์ที่ผ่านมาจะเหน็ดเหนื่อย หัวใจก็จะผ่อนคลายลงเพราะจัดการสิ่งที่ต้องทำเสร็จแล้วและยังท้าทายกับสิ่งที่อยากทำไปหมดแล้วในวันเสาร์
ส่วนที่ 3 : วิธีทำให้ตนเองเติบโตขึ้นทีละนิด
บทที่ 9 : จงควบคุมตัวเองไม่ใช่เวลา
เราควบคุมเวลาไม่ได้
จริงๆแล้วฉันไม่รู้แม้แต่ความหมายของการควบคุมเวลาเหลือด้วยซ้ำ ถ้าต้องคิดว่าเวลาไหนต้องทำอะไรคงปวดหัวน่าดู ในเมื่อเราไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้จะทำให้สำเร็จอย่างไรและเมื่อไหร่ เราคาดเดาและวางแผนการทำงานแต่ละอย่างได้อย่างไร เดี๋ยวนี้ฉันจึงไม่ควบคุมเวลาแต่ควบคุมตัวเองแทน โดยใส่ใจกับการเจริญเติบโตที่เกิดขึ้นอย่างละช้าๆ ไปทุกวัน เพื่อให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นจริง และทุกครั้งที่เป้าหมายบรรลุผลก็จะได้รับสิ่งตอบแทนที่มีความหมาย ไม่ว่าจะทำอย่างไรถ้าทำต่อเนื่องไปเรื่อยๆก็จะกลายเป็นนิสัยแล้วยังกลายเป็นแรงผลักดันในการกำหนดเป้าหมายอื่นอีกด้วย
นิสัยสร้างโอกาส
ตอนเช้ามืดฉันได้ทำเป้าหมายให้บรรลุผลหลายอย่าง แต่จริงๆแล้วฉันไม่ได้ตื่นเช้าเพื่อทำให้เป้าหมายอย่างหนึ่งบรรลุ เพียงควบคุมนิสัยการใช้ชีวิตตอนเช้ามืดเพื่อรักษาทัศนคติและใช้เวลาที่ได้รับให้มีความหมายขึ้นอีกนิด ถ้าอยากเปลี่ยนชีวิตควรทิ้งทัศนคติที่ว่าแค่ทำเป้าหมายเล็กๆให้บรรลุผลง่ายๆทั้งหมดในคราวเดียวชีวิตก็จะเปลี่ยน เมื่อโอกาสที่เคยคิดว่าไม่มีวันมาหาเราแน่ๆก้าวเข้ามา สิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เงียบๆทีละนิด เมื่อมีโอกาสที่เคยคิดว่าไม่มีวันมาหาเราแน่ๆ สิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงตัวเองอยู่เงียบๆทีละนิด ต้องทำก็คือไม่ปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือไป
บทที่ 10 : พัฒนาการเป็นเรื่องที่ต้องทำด้วยตนเอง
ความเหงาเป็นสัญญาณบอกให้หันมาใส่ใจตัวเอง
ความเหงาเป็นเสมือนเข็มแหลมคม ถ้าใครเอามาทีมก็เจ็บและเลือดออก แต่ถ้าเอาเข็มมาเย็บเสื้อผ้าหรูที่ขาดไปก็จะหาย แล้วฉันก็ได้เรียนรู้วิธีเติมเต็มความว่างเปล่าให้เต็มด้วยการพัฒนาตัวเอง โดยคิดว่าความเหงาเป็นสภาวะที่ไม่ดีอย่างหนึ่งเท่านั้นแล้วการหาอะไรทำคนเดียวก็กลายเป็นนิสัยมาตั้งแต่ตอนนั้น
ถ้าบอกว่าไม่เหงาเลยก็คงจะโกหก แต่จริงๆแล้วไม่ว่าจะเหงาแค่ไหนเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งคุณจะตั้งสติได้ ทุกครั้งที่เหงาถือเป็นการกระตุ้นให้เราหันมองตัวเองในขณะนั้น ความเหงาไม่ใช่เรื่องน่าเจ็บปวดแต่เป็นสัญญาณให้เราหันมาใส่ใจตัวเอง ถ้าไม่สามารถเอาชนะความเหงาได้บางทีนี่อาจเป็นโอกาสให้เราจดจ่ออยู่กับตัวเองจงอย่าละเลยสัญญาณ
อย่ากลัวที่จะพัฒนาตัวเองคนเดียว
หลังจากลองผิดลองถูกหลายครั้งก็จะหนากว่า การพัฒนาตัวเองเป็นเรื่องที่ต้องทำคนเดียว นี่เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ท่าทีของคนที่อยากเรียนอะไรบางอย่างด้วยความสนุก กับท่าทีของคนที่อยากพัฒนาตัวเองจริงจังไม่มีวันเหมือนกัน ถ้าอยากลองทำเรื่องใหม่ๆเพื่อแก้เบื่อการเริ่มต้นทำผองเพื่อนอาจมีส่วนช่วยระดับหนึ่ง แต่ถ้าอยากท้าทายกับการพิชิตเป้าหมายจะต้องทำคนเดียว แล้วเราจะไม่หวั่นไหวไปกับความคิดเห็นของคนอื่น จดจ่ออยู่กับตัวเอง แล้วเจอจุดที่ต้องพัฒนาตัวเองไปอีก
บทที่ 11 : ไมนด์มินิมัลลิสม์
วิธีสร้างพื้นที่ในจิตใจ
ฉันเคยตัดสินใจลบแอปพลิเคชันโซเชียลมีเดียและแอพพลิเคชั่นสำหรับพูดคุย เพื่อจดจ่ออยู่กับตัวเอง ตอนแรกฉันกังวลไปต่างๆนานากลัวจะพลาดเรื่องใหญ่กลุ่มพูดคุยและข่าวสารสำคัญ ถ้าเกิดมีใครต้องการติดต่อฉันแบบเร่งด่วนจะทำยังไง นี้เป็นความทุกข์ของคนที่พยายามทำตามแนวมินิมอลลิสต์
แต่นั่นเป็นความกังวลที่ไร้ประโยชน์ ตอนแรกฉันก็หยิบมือถือมาดูเรื่อยๆ เพราะกลัวจะพลาดอะไรไป แต่เมื่อคุณคุ้นเคยกับการปล่อยวางไปทีละอย่าง วันเวลาของคุณก็จะเปลี่ยนไป เมื่อจัดการกับสิ่งยั่วยุที่เข้ามาทำให้หวั่นไหวและบทสนทนาที่ไม่จำเป็นออกไปหมด ชีวิตก็จะว่างมากขึ้น พอมีที่ว่างเกิดขึ้นในหัวใจก็หยิบความกังวลต่างๆที่เคยแก้ไม่ตกออกมาจัดการได้
มนุษยสัมพันธ์ก็จำเป็นต้องใช้มินิมัลลิสม์
การควบคุมตัวเองไม่ให้ยุ่งเรื่องของคนอื่นถือเป็นการกระทำที่ฉลาด ภายในห่วงใยและใส่ใจอีกฝ่ายเราก็สามารถให้คำแนะนำได้ แต่อย่าใส่ใจเรื่องของคนอื่นจนเราความรู้สึกและพลังงานของตัวเองไปทิ้งอย่างเปล่าประโยชน์ วิธีนี้จะดีต่อสุขภาพจิตมากกว่า อย่ากังวลกับการรักษาความสัมพันธุ์มากเกินไป ความอึดอัดในการปฏิเสธเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปรับตัวให้เข้ากับวิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ การมองว่าตารางของตัวเองสำคัญกว่าการพบปะกับคนอื่นไม่ใช่เรื่องแปลก
บทที่ 12 : ตรงนี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางแต่เป็นด่าน
สิ่งที่ฉันอยากทำคืออะไร
แม้สมองจะรู้ว่าชีวิตของคนเรานั้นไม่สามารถทำสิ่งที่ตนต้องการได้ทั้งหมด แต่หัวใจกลับไม่ฟัง และเชื่อมาตลอดว่า ถ้าตั้งใจทำไม่ว่าอะไรก็ทำได้หมด พอเปลี่ยนความคิดแบบนี้ทำให้หันกลับมามองว่า ฉันกำลังทำงานอย่างที่ควรจะทำเมื่อยืนอยู่ตรงจุดนี้จริงหรือไม่ เมื่อลองถอยมามองก็จะได้เห็นว่าฉันคุ้นเคยกับการทำงานต่างๆของบริษัทที่ทำอยู่ในตอนนี้ และยังได้รับโอกาสดีๆอีกด้วย เมื่อคิดว่างานที่ทำอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุดแต่เป็นเพียงด้านหนึ่งระหว่างเส้นทาง ก็สนุกและทำงานได้อย่างสบายใจขึ้น
ความฝันเปลี่ยนแปลงได้
ถ้าจดจ่ออยู่กับเป้าหมายเพียงอย่างเดียว นอกจากจะทำให้เหนื่อยล้าง่ายแล้ว ยังคงพลาดโอกาสมากมายที่วิ่งเข้ามาได้ ไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แล้วก็ไม่อาจรู้ด้วยว่าตอนนี้เราพลาดเป้าหมายหรืออยู่ระหว่างการก้าวไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า
ฉะนั้นจงยอมรับว่าเวลามีอะไรที่ไม่คลี่คลายจนน่าอึดอัด เราเปลี่ยนแปลงความฝันได้ ลองสำรวจสัญญาณจากตัวเองเรื่อยๆ แล้วหาคำตอบได้ง่ายกว่าที่คิด
บทที่ 13 : เมื่อออกตามหาความสุขเล็กน้อยตั้งแต่ตอนนี้
ความสุขคือแสงสว่างในความมืด
นิยามความสุขของแต่ละคนแตกต่างกัน ฉันเคยคิดว่าการได้ทำสิ่งที่อยากทำทั้งหมดคือความสุข เคยเข้าใจว่าถ้าได้ทำในสิ่งที่อยากได้ทั้งหมด และตัวรู้สึกสบายคือความสุข แต่ตอนนี้ตระหนักแล้วว่าบางครั้งเราต้องทำบางอย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องลองทำสิ่งที่ไม่อยากทำด้วยจึงจะสัมผัสความสุขที่แท้จริง
แม้ชีวิตประจำวันในตอนนี้จะทำให้เราเหน็ดเหนื่อย แต่ต้องพาตัวเองออกมาและจดจ่ออยู่กับความสุขในหัวใจ ชีวิตจะเปลี่ยนแม้ยากลำบากเพียงใด จงแยกเวลาทำสิ่งที่ต้องทำกับสิ่งที่ทำให้ตัวเองมีความสุขออกจากกันให้เป็นนิสัย
วิธีตามหาความสุขแบบเห็นผลได้ชัด
ตอนเช้ามืดฉันจะมีความสุขมาก ฉันจึงเพลิดเพลินกับความสุขเล็กน้อยในช่วงเช้ามืดเพราะเป็นเวลาส่วนตัว แต่ก็ใช่ว่าความสุขจะหาได้จากเวลาเช้ามืดเพียงอย่างเดียว วิธีค้นหาความสุขจะเล็กน้อยมีมากมาย ซึ่งไม่ได้อยากยิ่งใหญ่อะไร ฉะนั้นลองใช้โอกาสนี้ในการสร้างเวลาที่เราจะได้มีความสุขด้วยตัวเองดู
ก่อนอื่นลองสร้างเวลาแสนสุขโดยแยกตัวเองออกจากสิ่งแวดล้อม หรือพื้นที่ซึ่งทำให้เราเครียดหรือรำคาญ ถ้าตอนนี้มีเป้าหมายชีวิตที่จำเป็นต้องทำให้บรรลุผลจนไม่สามารถแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นได้ ลองสละเวลาพยายามเพื่อความฝันมาลงทุนให้กับตัวเองแค่วันละหนึ่งชั่วโมงก็พอ แล้วใช้เวลาไปกับการลองทำในสิ่งที่พักผ่อนเอาไว้ว่าค่อยทำเมื่อบรรลุความฝันได้ แต่ยังคงให้ความสำคัญ
ส่วนที่ 4 : มอนิ่งแพลนเปลี่ยนชีวิต
บทที่ 4 : เคล็ดลับการสอบทนายให้ผ่าน
ตารางเวลาที่สร้างความท้าทาย
ฉันวางแผนท้าทายตัวเองด้วยการสอบทนายของรัฐนิวยอร์กแทนการสอบทนายของรัฐจอร์เจีย การสอบทนายของสหรัฐอเมริกาจะใช้เวลาสองวัน ในแต่ละส่วนจะใช้เวลาสอบสามชั่วโมง ดังนั้นฉันต้องสร้างนิสัยนั่งลงครั้งนึงแล้วต้องอ่านให้ได้สามชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ตอนเช้ามืดฉันจะทบทวนเนื้อหาที่อ่านไปวันก่อนและดูเนื้อหาที่อ่านในวันนี้เป็นเวลาสามชั่วโมง และทองบันทึกเนื้อหาสำคัญที่จดเอาไว้ก่อนดูเนื้อหาที่จ้าในวันนี้โดยแยกเป็นเรื่องๆ หลังเลิกงานจะรีบกินข้าวเย็นแล้วทำข้อสอบเก่าเป็นเวลาสี่ชั่วโมง
และแล้วก็ถึงเวลาที่ประกาศผลสอบฉันแน่ใจว่าผลจะออกวันนี้แน่ แต่ว่าผลจก็กินเวลาไปกว่าห้าทุ่มแล้ว ฉันสอบผ่านนี่เป็นประโยคที่รอคอยมานานจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฉันรู้สึกขอบคุณตัวเองที่เอาชนะช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมาได้ด้วยตัวเอง แล้วยังทนต่อความไม่สบายใจและแบ่งเวลาได้ดี มากกว่ารู้สึกดีใจที่ได้เป็นทนายความเสียอีก
ไม่มีเวลาจริงๆหรือ
เราไม่มีเวลาจริงๆหรือ ถ้ามีเวลาเลื่อนดูโซเชียลมีเดียแต่กลับไม่มีเวลาอ่านหนังสือ ถ้ามีเวลาไปเจอเพื่อนแล้วนั่งด่าคนอื่นแต่กลับไม่มีเวลาออกกำลังกาย แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าเวลาไม่พอแต่เรียกว่าไม่สร้างเวลาขึ้นมาต่างหาก ร่างกายของเราขยับตามความเคยชิน ถ้าจะทำสิ่งที่ไม่ได้ทำทุกวันจำเป็นต้องใช้ความตั้งใจและแรงผลักดันมากกว่าปกติเพื่อเอาชนะแรงเฉื่อย ความตั้งใจเพียงอย่างเดียวไม่อาจช่วยให้เป้าหมายได้บรรลุผล จำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำแผนในวันนั้นให้สำเร็จได้ด้วย
บทที่ 15 : วันของฉันเริ่มต้นตอนตีสี่ครึ่ง
ก่อนนอนเตรียมให้พร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้
ฉันใช้แพลนเนอร์เพื่อตรวจสอบกิจกรรมในแต่ละวัน กระบวนการนี้ทำให้ได้รู้ว่า วันนี้ฉันตั้งใจทำงานหรือปล่อยเวลาผ่านไปอย่างเกียจค้าน ถ้าฉันทำได้ดีจะรู้สึกมั่นใจว่าวันพรุ่งนี้ก็จะทำได้ดีเช่นกัน หลังจากหันกลับมามองสิ่งที่ทำไปในวันนี้แล้วก็จะเขียนสิ่งที่ต้องทำตั้งแต่เช้ามืดจนถึงเย็นวันพรุ่งนี้ ถ้าตื่นเช้าแล้วไม่มีอะไรต้องทำเป็นพิเศษฉันก็จะเขียนตัวเลือกเอาไว้หลายอย่าง ถ้าสร้างตัวเลือกเอาไว้ให้สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นของเช้าวันถัดไป ความกดดันที่จะต้องตื่นเช้ามืดก็จะน้อยลง สิ่งสำคัญตอนนี้คือไม่เขียนเวลาลงไปในแพลนเนอร์อย่างละเอียด จะได้ไม่มีปัญหาเวลามีนัดหมายไม่เกิดขึ้นหรือเกิดการเปลี่ยนแปลงในตลาดงาน
ตื่นเช้ามืดช่วงเวลาเฉพาะตัวฉัน
ชัชวาลกิจวัตรตอนเช้ามืดให้ยุ่งยากน้อยที่สุด ขอแค่การตื่นนอนตอนเช้าก็เหนื่อยมากพอแล้ว ถ้าจะต้องลุกมาทำอะไรยุ่งยากหรือต้องใช้พลังงานมากวันนี้จะผ่านไปอย่างเหน็ดเหนื่อย และการตื่นแต่เช้ามืดก็จะยากขึ้น กลับกันถ้าให้ความสำคัญกับตัวเองด้วยเรื่องง่ายๆนอกจากจะไม่รู้สึกต่อต้านการตื่นเช้ามืดแล้ว ยังลดความเครียดและปลอบประโลมหัวใจที่อ่อนล้าได้ด้วย
บทส่งท้าย : เช้ามืดเป็นเวลาปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการเปลี่ยนแปลง
ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วฉันอยากให้คาดหวังว่าตัวเราจะเปลี่ยนแปลงนับจากนี้ไป นี่ไม่ใช่แค่การตื่นเช้าและลงทุนเวลาสองสามชั่วโมง เพียงแค่ขอให้คุณนอกจากพื้นที่ที่คุ้นเคยแล้ววิ่งตรงไปข้างหน้า ระหว่างนั้นคุณจะได้รู้จักตัวเองที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ทุกครั้งที่เหงาหดหู่หรือเหนื่อยล้า อ่านหนังสือเล่มนี้อีกครั้งและอย่าทำเพียงแค่อ่าน
ฉันเชื่อว่านี่จะช่วยปลอบประโลมตัวแล้วได้มากกว่าการพึ่งพาคนอื่น เข้าช่วยให้คุณดึงตนเองที่แม้แต่คุณยังเมินให้ขึ้นมาเป็นอันดับแรก และหานิสัยในการใช้ชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเองจริงๆเจอ
สั่งซื้อหนังสือ “สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เมื่อฉันลองตื่นก่อนโลก” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก