นี่เงินเดือนหรือเงินทอน

ผู้เขียน : โอมศิริ วีระกุล

สำนักพิมพ์ : ซีเอ็ดยูเคชั่น

คำถามยอดฮิตสำหรับคนทำงานประจำหลายคน แต่ก็เป็นเรื่องตลกร้ายที่พูดกี่ทีก็ขำไม่ออก เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการนี้รายได้ไม่พอใช้จ่ายนั้นสร้างความลำบากให้กับการดำรงชีวิตอย่างมาก และคนที่มีสภาวะการเงินแบบนี้ก็มักจะพาตัวเองผ่านพ้นปัญหา ได้ไม่ง่ายนัก

สั่งหนังสือ “นี่เงินเดือนหรือเงินทอน” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก

ส่วนที่ 1 : MONEY

Latte Factor กลยุทธ์การออมที่ทำให้ชีวิตสนุกขึ้น

เดวิด บาค ผู้เขียนหนังสืออันโด่งดังอย่างเรื่อง เศรษฐีเงินล้านอัตโนมัติ บางแนะนำว่าสิ่งหนึ่งเล็กน้อยที่เราใช้จ่ายไปในแต่ละวัน อาจจะมองเป็นเพียงเงินจำนวนไม่เยอะแต่ถ้าเปลี่ยนหน่วยจากวันเป็นเดือนให้กลายเป็นปี จะพบว่า รายจ่ายที่ใช้ไปนั้นกลายเป็นเงินก้อนที่มีมูลค่ามหาศาลมากอย่างเช่น การซื้อกาแฟ

เขียนมาถึงจุดนี้ผมคาดการณ์ว่าจะมีดราม่าเรื่องเงินกับกาแฟเอาแน่ๆ แต่ขอบอกก่อนว่านี่เป็นเพียงแนวคิดที่มีตัวอย่างเริ่มต้นมาจากกาแฟ บากพยายามชี้ให้เห็นว่าจุดเล็กๆน้อยๆที่อยู่ในค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันสามารถเป็นจุดเริ่มต้นการออมเพื่อการลงทุนได้ ถึงแม้จำนวนจะไม่มากแต่ก็สำคัญต่อก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการเริ่มต้นเพื่อการออมต่อเนื่องอย่างมีวินัย

เราสามารถนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับค่าใช้จ่ายอื่นๆในชีวิตประจำวันได้หมดเลยไม่จำเป็นต้องเป็นกาแฟอย่างเดียว พอเขาจริงสำหรับบางคนกาแฟถือเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อการทำงานในแต่ละวัน เราจะทำอย่างไรถึงเรียกความสุขเช่นนั้นกลับคืนมาพร้อมกับการออมเงินได้ด้วย การประยุกต์ใช้วิธีนี้อาจจะเป็นการรอคอยวันพิเศษที่เราจะได้ดื่มกาแฟจากร้านที่เราชอบจริงๆ อาจจะหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ก็ได้แล้ววันที่เหลือก็อาจจะชงกาแฟธรรมดาที่บ้านหรือที่ออฟฟิศแทน

แคมเปญอนาคตการเงินที่กำหนดด้วยตัวคุณเอง

ต้นปีก่อนมีแคมเปญที่หลายๆคนเล่นกันในเฟสบุ๊คนั่นคือ #10yearschallenge ก็ถือว่าเป็นแคมเปญที่สนุกสนาน แต่ก็อยากเตือนว่าอย่าลืมลองคิดถึงชีวิตในอีกสิบปีข้างหน้าด้วยว่าจากนี้ ในอนาคตเราจะเป็นยังไง เรียกได้ว่าถ้าอยากทำแคมเปญต่อไป ก็ลองทำแคมเปญ การเตรียมพร้อมในอีกสิบปีข้างหน้าเพื่อเราจะได้รู้ว่า ความพร้อมกับชีวิตในเรื่องใดบ้างที่เรา ควรต้องตระหนักถึง ที่แน่ๆคงไม่พ้นเรื่องเงินและสุขภาพ ที่น่าจะเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ

Margin of Safety การลดระยะความเสี่ยงที่นำไปใช้กับเงินก็ได้ชีวิตก็ดี

กรณีสมมติถ้าเราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ สามารถใช้กินอยู่ได้อย่างไม่ขัดสน เรียกได้ว่าเงินเดือนจำนวนเท่านี้ครอบคลุมต่อการใช้จ่ายในชีวิตได้อย่างสบาย หากเราไม่ฮัทประเมินความเสี่ยง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นชีวิตจะเผชิญกับความเสี่ยงโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว อาจจะเป็นการถูกเลิกจ้างโดยกะทันหัน

ฉะนั้นเราต้องลดระยะเวลาของความเสี่ยงด้วยการเก็บเงินก่อนเพื่อใช้ในยามฉุกเฉินเล่นเอง คิดแบบไม่ซับซ้อนคือหกเท่าของค่าใช้จ่ายที่ครอบคลุมต่อเดือน หมายความว่าหากเราตกงานอย่างกะทันหันอย่างน้อยหกเดือนเรายังมีคุณภาพชีวิตได้เหมือนเดิมควบคู่ไปกับหางานใหม่นั่นเอง

Experience Marketing เมื่อประสบการณ์กลายเป็นสินค้าที่ทำให้เรายินดีจ่าย

แท้จริงนั้น Experience Marketing ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยและอาจจะเชยไปเสียด้วยซ้ำ ทว่ามีเจ้าของบริษัท ได้นำเสนอแนวคิดจากหนังสือ นำมาใช้กับธุรกิจตุ๊กตานี่เป็นเจ้าแรก ผลปรากฏว่าธุรกิจสร้างตุ๊กตาหมีด้วยตัวเองนั้นเติบโตเป็นอย่างมาก นี่คือตัวอย่างแรกในการนำสินค้ามาสร้างประสบการณ์ร่วมกับลูกค้าที่ทำให้เกิดตุ๊กตาหมีตัวพิเศษของเด็กแต่ละคน

ยุคนี้คือยุคเศรษฐกิจเชิงประสบการณ์และประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เกิดเศรษฐกิจขึ้นได้มีปัจจัยอยู่ด้วยกันสองอย่าง นั่นก็คือ

  1. การมีส่วนร่วม

การมีส่วนร่วมนั้นแบ่งออกได้อีกสองหัวข้อย่อย

  • คือการที่เรามีส่วนร่วมกับประสบการณ์นั้นโดยตรงด้วยตนเอง
  • คือการมีส่วนร่วมแบบเบาๆเหมือนเป็นผู้สังเกตการณ์
  1. การเชื่อมโยง

การเชื่อมโยงนั้นก็ยังคงแบ่งได้อีกสองหัวข้อย่อย

  • คือการเชื่อมโยงผ่านการซึมซับไปเรื่อยๆ
  • การเชื่อมโยงจากประสบการณ์เข้ากับงานอีเว้นท์ต่างๆ

นี่คือภาพรวมของ Experience Marketing ต่างๆ ที่สรุปรวบรวมมา อย่างน้อยทุกครั้งที่เรากำลังจะจ่ายเงินให้แก่สินค้าบริการอะไรสักอย่าง เราจะได้หาเหตุผลมาปลอบใจตัวเองว่ากำลังจ่ายเงินเพื่อแลกกับประสบการณ์แบบใด

การปฏิเสธเคลื่อนมายืมเงิน คือการรักษาความฝันและความสัมพันธ์ระหว่างเราให้เติบโตต่อไป

สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องพบเจอเมื่อโตขึ้น คือการรักษาความฝันที่วาดไว้บวกกับระยะทางของความฝันที่ไม่มีระยะห่างมากจนเกินไป ซึ่งสามารถแบ่งประเด็นนี้ออกเป็นเรื่องใหญ่ๆได้ก็คือ

  1. เมื่อเราผิดพลาดจงหัดให้อภัยตัวเอง

การบรรลุเป้าหมายที่ระหว่างทางต้องเจอช่วงความผิดหวัง ท้อแท้ สิ่งแรกเลย คือต้องให้โอกาสแก่ตนเองและอย่าซ้ำเติมตัวเอง ถึงแม้ว่าในบางสถานการณ์จะมีบ้าง แต่อย่าให้สภาวะนั้นอยู่นานเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดความรู้สึกภายในที่กดทับความกล้าในการเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับตนเอง ซึ่งนั่นจะทำให้ชีวิตเราปราศจากความสุขด้วยเช่นกัน

  1. ปฏิเสธคนอื่นให้เป็น

การหัดปฏิเสธให้เป็นนั้นอยู่ในบริบทของการที่เพื่อนเขามายืมเงินเงินทองทอง และหากเกิดเหตุการณ์นี้ในชีวิตของเราจงเตรียมใจไว้ได้เลยว่าความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อนกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน ทางที่ดีคือปฏิเสธไปเลยโดยไม่ต้องกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจกัน ซึ่งตรงนี้ก็มีเหตุผลเชิงจิตวิทยาในการเล่าอยู่เหมือนกัน ในเบื้องลึกของฝั่งคนถูกยืมจะเกิดจากความรู้สึกเกรงกลัวต่อคนที่ขอยืม กลัวว่าเขาจะมองว่าเราเป็นคนไร้น้ำใจจึงต้องให้ยืมเงินไป ทางออกของเรื่องนี้ก็มีอยู่สองวิธี

วิธีแรกก็ให้ยืมเงินไปนั่นแหละแต่ต้องให้ในจำนวนที่เราคิดแล้วว่าไม่เจ็บตัวแล้วคิดว่าจะไม่ได้คืนเงินก้อนนั้น อีกเลย วิธีที่สองคือต้องทบทวนต่อตัวเองถึงเป้าหมาย ถ้าในชีวิตเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วต้องอาศัยเรื่องเงินก็จงแสดงเจตจำนงของตัวเองและบอกเหตุผลต่อคนที่ขอยืมไป หรือไม่ก็ปฏิเสธไปแบบดื้อๆได้เลย พอเรารู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่ได้ให้เพราะเหตุใด

เงินที่ได้มาในแต่ละครั้งล้วนมีอารมณ์ติดตามมาด้วยเสมอ

หากมูลค่าเงินที่ได้รับเท่ากันแต่ปัจจัยอย่างต้นทางที่ได้มาไม่เหมือนกัน ส่งผลให้การตัดสินใจในการนำเงินก้อนที่ได้รับมา แล้วนำไปใช้อย่างแตกต่างกันสุดขั้ว และแน่นอนว่าโอกาสที่คนถูกหวยจะใช้เงินจำนวนครึ่งแสนพาตัวเองไปเที่ยวหรือใช้จ่ายอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังมีอยู่สูงเลยทีเดียว แตกต่างกับเงินเดือนหรือเงินที่ต้องใช้แรงกายและแรงใจในการแลกมาเพื่อรายได้ มักจะก่อให้เกิดอาการเสียได้ในการใช้จ่ายแต่ละครั้งเพราะเราตระหนักได้ว่าเงินที่เราได้มานั้น ล้วนมีต้นทุนลงทุน ไปอย่างชัดเจนจนรู้สึกได้

หลักการเหล่านี้ยังถูกนำไปใช้ในการตลาดให้กลายเป็นกลยุทธ์กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมในการซื้อขายได้ด้วย เมื่ออารมณ์อยู่เหนือเหตุและผลรวมถึงความจำเป็นในแผนการใช้จ่ายผนวกกับอำนาจในการซื้อ ที่สะดวกสบาย อย่างเช่นการใช้บัตรเครดิต ที่ได้มาพร้อมกับสิทธิพิเศษอีกมากมายเมื่อเราใช้จ่าย ก็สามารถทำให้ทุกคนเพลิดเพลินไปกับอารมณ์และพฤติกรรมเบื้องต้นที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ไปโดยไม่รู้ตัว

สังเกตตัวเองก่อนเข้าห้างเพื่อไม่ให้การช้อปปิ้งทำรายการเงินของเรา

นักวิจัยได้สำรวจผู้คนที่เข้ามาในห้างสรรพสินค้าด้วยการขออนุญาตถามเกี่ยวกับอารมณ์ก่อนจะมาซื้อของ ซึ่งคำตอบแบ่งเป็น เข้ามาที่ห้างเพื่อมาฉลองวาระบางอย่าง มาที่ห้างเพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรที่ไหน มาที่ห้างเพราะอารมณ์ไม่ดี

ผลสรุปออกมาว่า เกินครึ่งของกลุ่มตัวอย่างที่อารมณ์ไม่ดีก่อนเข้าห้างสรรพสินค้า จะหิ้วของที่เกิดจากการช้อปปิ้งออกมาเยอะ โดยบอกว่ามีความสุขมากขึ้นตอนเดินออกมา ซึ่งภาพรวมการวิจัยพฤติกรรมการช้อปปิ้งสามารถบำบัดความเครียดได้นั้นเป็นเรื่องจริง โดยเราสามารถหยุดยั้งพฤติกรรมการเสพติดช้อปปิ้งในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ เพียงเราอย่านำตัวเองไปรับสารจากช่องทางการบริโภคที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการยะซื้อ หรือสอบถามและทบทวนความรู้สึกตัวเองบ่อยๆ

การตลาดชิ้นสุดท้ายเมื่อรายจ่ายต้องแลกมาด้วยความรู้สึก

 คนเราจะมีความรู้สึกร้อนใจเมื่อมีอะไรติดค้างกับผู้อื่น เช่นการรับของเข้ามาทดลองใช้ การเขียนคำอวยพรอะไรบางอย่างให้แก่พวกเขา กลยุทธ์ลักษณะนี้เรียกว่า ให้และรับ สิ่งที่ควรใส่ใจคือความรู้สึกของเราต่อการยินยอมที่จะจ่ายเงินไปให้แก่สินค้าหรือเงื่อนไขผลประโยชน์ที่ควรจะได้รับ ซึ่งไปทางของมันมีอยู่แค่สองทางเท่านั้น ก็คือรู้สึกประทับใจกับไม่ประทับใจ นี่คือสิ่งที่ต้องคิดให้เยอะมากขึ้น

อย่างที่เรารู้กันว่าการขายสินค้าอาจเป็นเรื่องไม่ยากนัก แต่การที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกเป็นเรื่องที่ยากกว่า และที่ยากกว่านั้นคือการใช้สติต่อการใช้จ่ายของตัวเอง เพราะหากควบคุมตนเองได้ไม่ดีในการใช้จ่าย การตลาดชิ้นสุดท้าย ก็จะมาคอยดึงเงินในกระเป๋าของคุณอยู่เรื่อยๆ

เพราะการประหยัดอยู่ในรายละเอียด กรณีศึกษาการประหยัดหมึกจากโรงเรียนสู่การประหยัดงบของรัฐบาล

เรื่องราวเกิดขึ้นจากการที่ชูเวีย ต้องคิดโปรเจควิทยาศาสตร์ส่งอาจารย์ แล้วบังเอิญสังเกตเห็นว่า ใบปลิวที่แจกกันทั่วโรงเรียนมันเยอะเกิน เขาจึงตั้งสมมติฐานขึ้นมาเล่นๆว่าถ้าใบปลิวเยอะขนาดนี้ตัวอักษรก็ใช้มากมาย นี่ต้องใช้หมึกหมดไปกี่ทางกันแน่ในการพิมพ์เอกสารเหล่านี้

แน่นอนว่าการประหยัดเรื่องพวกนี้นอกจากกระดาษมือสองแล้วยังไม่มีใครพูดถึงการประหยัดฝึกพิมพ์เลย ซึ่งราคาในการซื้อหมึกพิมพ์มาใช้ก็ไม่เบาเหมือนกัน เขาจึงเริ่มโฟกัสกับโปรเจคนี้โดยทันที จากนั้นก็ทดลองด้วยการใช้มือจำนวนเท่ากันกับข้อความเท่ากัน แต่มีการใช้ฟอนต์ที่แตกต่างกันออกไป เขาทดลองอยู่หลายครั้งเพื่อความแน่ใจ ผลปรากฏว่าเขาพบเจอฟอนต์ที่สามารถประหยัดหมึกพิมพ์ได้มากกว่าฟอนต์ประเภทอื่นๆ เพราะฝนนั้นมีลักษณะที่ไม่มีความหนามากนั่นเอง

หลังจากการทดลองเขาได้นำไปคำนวณกับค่าใช้จ่ายของโรงเรียนที่ต้องลงทุนเรื่องหมึกพิมพ์ในทุกๆปี ซึ่งหากโรงเรียนนำวิธีของเขาไปใช้จะประหยัดไปมากกว่ายี่สิบสี่เปอร์เซ็นต์ หรือตีเป็นมูลค่ามากกว่าสองหมื่นหนึ่งพันดอลลาร์ต่อปี แน่นอนว่าโปรเจคของเขาไม่ได้หยุดอยู่แค่ในโรงเรียน เพราะโปรเจคของเขายังได้ถูกตีพิมพ์ลงบริศาลจนแพร่สะพัดไปยังสื่อต่างๆ รวมถึงการแนะนำช่วยประหยัดงบประมาณให้แก่ฝ่ายจัดการเอกสารของรัฐบาลสหรัฐ

ส่วนที่ 2 : LIFE

อายุเท่านี้จะมีเงินเท่าไหร่ ทำอย่างไรดีเมื่อความมั่นคงของคนรุ่นใหม่กลายเป็นคำที่แสนเปราะบาง

คุณอย่าเพิ่งมองจุดที่มีตำหนิอย่างเดียว เหมือนหมึกหยดลงเสื้อแล้วมองไม่เห็นส่วนที่ยังสะอาดของเสือเลย เรื่องการมองชีวิตจึงต้องอาศัยการออกแบบอยู่พอสมควร คุณต้องรู้จักยอมรับความจริงคนเราชอบต่อต้านความจริงและทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะความเป็นจริง ทุกครั้งที่เราพยายามต่อสู้หรือตั้งแง่กับความเป็นจริง ความจริงนั้นจะเป็นฝ่ายชนะเสมอ

ในภาวะที่ให้ความสำคัญถึงความมั่นคงและความสำเร็จ ลักษณะนี้คือค่านิยมที่หมุนเวียนของยุคสมัย ที่ไม่ว่าใครก็อยากสำเร็จเร็ว รวยเร็ว เป็นที่ยอมรับจนมีการกล่าวกันว่า เกิดต่างกันเพียงแค่ห้าปีก็รู้สึกเหมือนเกิดมาคนละยุคแล้ว คนรุ่นนี้เกิดมาพร้อมกับความรู้สึกมั่นคงทางการเงิน จึงมีความกล้าในการกู้ยืมเงินมาใช้จ่าย ทว่าอีกมุมนึงก็ไม่เคยเห็นความยากลำบากในชีวิตมาก่อน จึงทำให้ชีวิตมีความเปราะบางกว่าคนยุคก่อนก่อนได้ง่าย ทั้งในแง่ของทัศนคติความอดทน อันส่งผลถึงองค์รวมของชีวิต

ความมั่นคงของชีวิตอาจไม่ได้เริ่มหาคำตอบว่าจะมีเงินสักกี่สิบกี่ร้อยล้านถึงจะมั่นคง แต่ควรเป็นการตั้งคำถามและนิยามก่อนว่า ชีวิตในวันข้างหน้าเราต้องการอะไร อยู่แบบไหนใช้ชีวิตอย่างไร จึงจะเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจอย่างที่เราอยากจะเป็น โดยที่ไม่ต้องไปเปรียบเทียบหรือมองมาตรฐานคนรอบข้างมากนัก

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นเรากำลังเอาโครงสร้างชีวิตของคนอื่นมาออกแบบ ซึ่งไม่สามารถและสมส่วนต่อการใช้งานในอนาคตของเราจริงๆ จนวันหนึ่งเมื่อเราต้องเริ่มใช้มันเราอาจจะรู้ตัวในวันที่สายไปแล้ว

มารู้จักกลุ่ม DINKs สถานะชีวิตคู่ที่คนรุ่นใหม่ยินดีที่จะใช้

DINKs ย่อมาจาก Double Income No Kids ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ที่เน้นการมีชีวิตคู่ก็คือแต่งงานอยู่กินด้วยกัน แต่ไม่มีลูกนั่นเอง ถือเป็นแนวทางการออกแบบชีวิตคู่รูปแบบหนึ่งที่เริ่มจะขยายตัวมากขึ้นในสังคมเมือง ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ดังนั้นการมีชีวิตคู่โดยปราศจากการมีลูกจึงไม่ได้เป็นมาตรวัดว่าชีวิตจะไม่มีความสุข หรือความสุขชีวิตคู่จะลดลง

แต่ที่สุดแล้วหากยังคิดที่จะไม่มีลูกก็ต้องเคารพการตัดสินใจในเส้นทางอนาคตของตัวเอง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขพร้อมกับอย่าลืมเก็บออมหัดลงทุนเพื่อให้เงินในวันนี้กลับมาเลี้ยงดูตัวเราเองในอนาคตด้วย เพราะการที่ไม่มีบุตรหลานก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงอีกแบบหนึ่งที่เราเองก็ต้องออกแบบชีวิตให้ดี ไม่ว่าจะเป็นมุมมองในเรื่องของสุขภาพ และทรัพย์สินให้มั่นคงแข็งแรงอย่างยั่งยืนอีกด้วย

 อายุยืนเป็นความสุขหรือคำสาป คำตอบขึ้นอยู่กับการบริหารเงินในวันนี้ของเรา

หากพูดถึงอายุขัยโดยเฉลี่ยของคนไทย จะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่แปดสิบปี เมื่อค่าเฉลี่ยเป็นเช่นนี้นี่จึงเป็นสาเหตุให้นักวางแผนทางการเงินส่วนใหญ่นิยมให้เราคำนวณเงินใช้จ่ายหลังเกษียณที่ควรมี ที่จะใช้จ่ายหลังอายุหกสิบไปอีกยี่สิบปี ซึ่งมันจะบรรจบที่อายุแปดสิบปีพอดิบพอดี ด้วยการถามคำถามง่ายๆเช่น

  1. คุณคิดว่าจะมีค่าใช้จ่ายหลังเกษียณต่อเดือนเท่าไหร่
  2. คุณคิดว่าจะมีอายุอยู่บนโลกใบนี้ถึงอายุเท่าไหร่

เป็นคำถามง่ายๆแต่มีความหมายต่อชีวิตมาก เพราะอย่าลืมว่ายิ่งเราเมียอยู่มากขึ้นส่วนใหญ่ศักยภาพในการหารายได้จะลดลง ถ้าไม่มีการวางแผนการเงินด้านการลงทุนไว้ให้แก่ชีวิตอย่างรอบคอบ อาจจะพบเจออุปสรรคในการใช้ชีวิตยามเกษียณได้ ฉะนั้นการมีชีวิตที่ยืนยาวจึงสามารถเป็นได้ทั้งความสุขและคำสาปในเวลาเดียวกัน หากปราศจากการดูแลสุขภาพกายและใจ รวมถึงการเงินให้แข็งแกร่งอย่างยั่งยืน นี่คืออนาคตที่กำลังรอคุณอยู่

 ความสัมพันธ์อันดี คือสินทรัพย์อย่างหนึ่งที่เราห้ามละเลย

นอกเหนือจากสิ่งที่เรารู้ คนที่เรารู้จักก็สำคัญไม่แพ้กัน ที่น่าแปลกใจคือเราไม่รู้ว่ามีโอกาส ของงานใหม่ๆจากเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน แต่กลับรู้จักคนที่รู้จักอย่างผิวเผิน ผ่านเพื่อนของเพื่อนมากกว่า เพราะเหตุผลก็คือข้อมูลของเพื่อนกลุ่มเดียวกันมาซ้ำไปซ้ำมา ทุกคนรู้เรื่องเหมือนกันหมดแต่เมื่อเครือข่ายขยายไปครอบคลุมกลุ่มคนที่ไม่ได้รู้จักกันดี ส่งผลให้เกิดการเข้าถึงข้อมูลใหม่ๆ อย่างหลากหลายที่ได้ประสบในช่วงชีวิตเปลี่ยนผ่านเปลี่ยนสายงานหลายครั้ง เครือข่ายหลากหลายที่กว้างขวางนี้เองจะช่วยเพิ่มความสำคัญมากขึ้นในการทำงาน

ความสัมพันธ์อันดีคือสินทรัพย์อีกรูปแบบหนึ่งที่เราควรลงทุนติดตัวเอาไว้ย่อมไม่เสียหาย เรียกได้ว่าในชีวิตแม้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองเหมือนเศรษฐี แต่ถ้ายังมีมิตรสหายมากมายก็ยังพอให้ชีวิตรู้สึกผ่อนคลายความกังวลให้หายห่วงได้บ้างไม่มากก็น้อยนั่นเอง

 ประชากรน้อยลง ผู้สูงอายุมากขึ้น มีต้นทุนอะไรให้เราจัดการกับอนาคตบ้าง

การมองเห็นภาพรวมในอนาคตที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย โดยเฉพาะการเป็นสังคมผู้สูงอายุในวันข้างหน้า ทำให้นึกภาพถึงฝันดีกับฝันร้ายอยู่สองเรื่อง

เรื่องแรกถือว่าน่าตกใจสำหรับผม การได้อ่านข่าวของสาเหตุการอยากเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในคุกของผู้สูงวัยในญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องปัญหาของจำนวนผู้สูงวัยอีกประเทศหนึ่งในปัจจุบัน จากสถิติผู้สูงอายุที่มีพฤติกรรม  เหมือน กับเรื่องดังกล่าวในญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่น่าเชื่อสถานที่อย่างเรือนจำจะเป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุจะเลือกเข้าไปใช้ชีวิต เรื่องราวเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องการบริหารการเงินเป็นสิ่งสำคัญ

อีกเรื่องเป็นเรื่องที่สร้างกำลังใจให้แก่พวกเราในอนาคต การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยก็ไม่ได้มีแต่เรื่องไม่สบายใจอย่างเดียว เพราะอีกมุมหนึ่งก็คือเทรนด์กันเป็นผู้ประกอบการในผู้สูงอายุค่อยๆมีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน มีประเด็นที่ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่วัยใหญ่ ก็คือข้อได้เปรียบที่แตกต่างจากคนวัยหนุ่มสาว อย่างเช่นคอนเนคชั่นกับความสัมพันธ์ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับงานจำนวนมาก รวมถึงสามารถต่อยอดกับประสบการณ์ที่เคยผ่านมาทั้งในการใช้ชีวิตหรือในฐานะอดีตพนักงาน ทำให้ความสำคัญกับผู้คนรอบข้างด้วยสิ่งเหล่านี้คือโอกาสในอนาคต และอาจเป็นโรคการทำงานอีกใบในวัยเกษียณที่อาจสนุกกว่าที่เราคิดก็ได้

ส่วนที่ 3 : BALANCE

ใช้จ่ายอย่างไรให้คุ้มไปพร้อมกับโลกที่น่าอยู่

ถ้าใครเรียนพวกสถาปัตย์และการออกแบบมา คงจะรู้จักกับคำนี้เป็นอย่างดี คำว่า HUMAN SCALE  คือมาตรวัดสัดส่วนที่เอาไว้ใช้ออกแบบเพื่อมนุษย์

ทั้งปัญหาของการซื้อของเข้าบ้านมักมีอาการซื้อมากจนเกิดการเก่าเก็บไว้นานเกินไป เลยมีคำถามที่ว่าถ้าเราต้องซื้อของใช้ในปริมาณตามความต้องการของเราอย่างพอดี โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่อยู่คนเดียวตามคอนโด ต้องทำยังไง จากคำถามนี้เลยพบว่ามีร้านในอุดมคติแบบที่ว่าในเมืองไทยด้วย นั่นก็คือร้าน Zero Moment Refillery   เป็นร้านขายสินค้าอุปโภคบริโภค ถ้าถามว่าเขาขายอะไรบ้าง ก็ไล่ตั้งแต่ข้าวสาร เส้นสปาเก็ตตี้ น้ำตาล เกลือ น้ำมัน ซีอิ๊ว ซึ่งสินค้าแต่ละชนิดทางเจ้าของร้านก็เล่าว่า สินค้าแต่ละประเภทได้นำมาจากชุมชนซึ่งล้วนเป็นสินค้าออร์แกนิกทั้งสิ้น นี่คือเสน่ห์ข้อแรกของร้านนี้

เสน่ห์ข้อที่สองก็คือลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าสามารถนำภาชนะมาบรรจุเองในปริมาณตามความต้องการได้อย่างสบายใจ แถมยังธรรมชาติด้วย เพราะถือว่าเป็นการช่วยลดปริมาณขยะจากบรรจุภัณฑ์ไปในตัว

เสน่ห์ข้อที่สามสืบเนื่องจากข้อที่สอง คือราคาสินค้าที่เราซื้อก็จะได้ตามปริมาณที่เราบรรจุนั่นเอง แถมร้านนี้ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อด้วยนะ

สุดท้ายลูกค้าสามารถกดเองตักเอง สามารถทำได้ด้วยตัวเองทั้งสิ้น โดยราคาสินค้าแต่ละชนิดจะถูกเขียนกำกับไว้ตามป้ายชื่ออยู่แล้วว่ากรรมและเท่าไหร่

 การปล้นที่แท้จริงไม่ใช่เงินแต่คือเวลา

พอพูดถึงเรื่องเวลากับการเงินนั้น ผมจะนึกออกอยู่ไม่กี่ประเด็นจึงอยากนำมาฝากกัน ประเด็นแรก แค่คิดที่ให้แก่คนทำงานที่เป็นมนุษย์เงินเดือน อย่ามองว่าตัวเองเป็นเพียงคนทำงานธรรมดา แต่ควรหัดมองในมุมมองของนักธุรกิจด้วย ซึ่งเราใช้ความสามารถกับเวลา เพื่อแลกรายได้มา ดังนั้นเราควรบริหารเวลาที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อนำเวลาที่เหลือไปพัฒนาความสามารถในการสร้างรายได้ให้เติบโตขึ้น

ประเด็นที่สอง ผมนึกถึงสูตรแก้วสามประการของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรากร  ซึ่งโดยปกตินั้นนักลงทุนในตลาดหุ้นจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เรามาลองไปสำรวจแนวคิดนี้กัน

 แก้วใบแรกคือเงินออมเพื่อนำมาลงทุนในชีวิต แก้วใบแรกถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเงิน หากใครยังไม่เคยออมลองเริ่มต้นด้วยตัวเอง จากเพียงแค่สัดส่วน หนึ่งในสิบของรายได้ก่อนก็ได้ สะสมแบบนี้ไปเรื่อยๆจนกลายเป็นเงินก่อน จากนั้นก็ลองซื้อซะดูว่า เราสามารถนำเงินก่อนที่สะสมมาไปสร้างการเติบโตต่อได้อย่างไร

 แก้วใบที่สอง คือความสามารถในการลงทุน เมื่อมีเงินแล้วก็ควรนำมาสร้างการเติบโต นั่นคือการลงทุน แต่การลงทุนของแต่ละคนนั้นย่อมมีความแตกต่างกันออกไป เนื่องจากการแบกรับความเสี่ยงของการลงทุนไม่เหมือนกัน บางคนสามารถรับความเสี่ยงสูงมากได้ แต่บางคนก็ไม่สามารถรับได้เลย จุดร่วมอย่างหนึ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องมีคือการศึกษาความรู้ด้านการลงทุน ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เข้าถึงได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ยูทูบหรือหนังสือ

 แก้วใบที่สามคือระยะเวลาในการลงทุน แก้วใบนี้คือความหวังของใครหลายคน โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาวที่อายุยังน้อยและรายได้ยังไม่มาก ในอนาคตก็สามารถบางครั้งได้ถ้าเริ่มมีเงินออมและศึกษาเครื่องมือการลงทุน ผลตอบแทน รวมถึงระดับความเสี่ยงที่รับได้ การลงทุนไปเรื่อยๆอย่างมีวินัย ระยะเวลาที่ยาวนานจะสร้างพลังทวีในบั้นปลายให้อย่างมหาศาล สรุปได้ว่าระยะเวลาเป็นสิ่งสำคัญมากต่อการลงทุน

 ขอบคุณที่ไม่ใช้ถุงพลาสติก แคมเปญรณรงค์ที่ทำให้เราอยู่รวมกันบนโลกได้อย่างอิ่มใจ

บังเอิญได้ไปเห็นงานโฆษณาตัวหนึ่งเกี่ยวกับการรณรงค์ทิ้งขยะให้ถูกที่ถูกทาง หากเราทิ้งผิดทาง ทิ้งลงไปในธรรมชาติ ขยะจากการบริโภคของเรามันจะไม่สามารถย่อยสลายได้เอง โดยเฉพาะขยะประเภทพลาสติกและโฟมเป็นต้น งานโฆษณานี้จึงออกแบบและเล่าเรื่องมาให้เราได้เห็น ว่าการนำขยะไปทิ้งสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดและย่อยขยะตามระบบได้ภายในไม่กี่วินาทีหากเราใส่ใจ

ทุกคนรู้ว่าการใช้ถุงพลาสติกทำให้เกิดปัญหาโลกร้อน แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าบางครั้งเราไม่รู้ว่าการตัดสินใจเลือกที่จะไม่ใช้จำนวนถุงพลาสติก เพื่อลดโลกร้อนและลดความเสี่ยงในการไปทำลายธรรมชาติทางอ้อม มันจะมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน อย่างร้านสะดวกซื้อบางเจ้า เริ่มมีการตระหนักถึงเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งหากถอยไปดูภาพรวมปริมาณขยะของประเทศไทยเฉพาะพวกพลาสติก พบว่ามากถึง สี่หมื่นห้าพันล้านใบต่อปี ซึ่งแบ่งออกเป็นสัดส่วนจะพบว่าถุงหูหิ้วที่เอาไว้ใส่ขนมหรืออาหารนั้น มีประมาณสิบเปอร์เซ็นต์

ดังนั้นในสมัยนี้หากเรามีการเข้าร้านค้าเพื่อไปซื้อสินค้า พนักงานจะขอบคุณเราทุกครั้งเวลาที่เราปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติก คำถามต่อมาที่ใครหลายคนอาจทราบและหลายคนอาจจะยังไม่ทราบ ว่าแล้วการปฏิเสธการใช้ถุงพลาสติกนั้นมีข้อมูลบอกอะไรได้หรือไม่เมื่อเราลดการใช้ไปเท่าไหร่แล้ว หากใครอยากรู้ว่าตอนนี้เรามีคนปฏิเสธการใช้ถุงไปแล้วกี่ถุงแล้วตีเป็นมูลค่าเงินจำนวนเท่าไหร่ในเวลาที่เรานำสินค้าไปชำระเงิน สามารถดูตัวเลขเหล่านี้ได้ตรงเคาน์เตอร์ได้เลย แล้วเราจะได้เห็นพลังอันมหาศาลจากแคมเปญรณรงค์ตัวนี้ที่ส่งผลกระทบในเชิงบวกหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นทั้งเชิงพฤติกรรมในความจำและเป็นการต่อการใช้ถุง การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการสร้างวัฒนธรรมสีเขียวให้แก่องค์กร เรียกได้ว่าทำงานชิ้นเดียวได้ประโยชน์หลายทาง

กล่องความคิดจากฮอกไกโด บรรจุภัณฑ์มือสองที่ประหยัดต้นทุนแถมยังได้กำไร

ตอนนั้นผมเดินทางไปฮอกไกโดในฤดูหนาว ภูเขาโดยรอบเป็นสีขาวสะอาดตา ผมเดินตามผู้นำทัวร์คนหนึ่งไปในร้านขายของ เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินเข้าคิวเพื่อชำระสินค้า บางคนซื้อน้อยก็ใส่ถุง บางคนซื้อมาเพื่อนำกลับประเทศก็ต้องใส่กล่อง ซึ่งภายในร้านค้าจะมีจุดบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ลูกค้าบริการห่อและแพ็กสินค้าลงกล่องด้วยตนเอง จุดบริการตรงนั้นมีอุปกรณ์หลักคือกล่องสีน้ำตาล พร้อมด้วยอุปกรณ์ในการบรรจุ

แต่สิ่งหนึ่งอันเป็นที่น่าสังเกตสำหรับผมคือ กล่องแต่ละใบไม่ใช่แค่กล่องใบไม่เหมือนแม่ค้าออนไลน์ที่ใช้นำส่งไปรษณีย์ทั่วไป ผมจึงเข้าไปสอบถามกับผู้นำทัวร์ที่คาดว่าจะไขข้อสงสัยให้กับผมได้ สรุปแล้วมันคือกลยุทธ์การจัดการขยะของประเทศญี่ปุ่น กล้องมือสองที่ยังมีสภาพใช้ได้ จึงไม่จำเป็นต้องนำไปกำจัด และยังประหยัดงบประมาณไปได้ด้วยในการน้ำมาใช้ต่อกับนักท่องเที่ยว นั่นหมายความว่านักท่องเที่ยวนำเงินเข้าประเทศไม่พอยังช่วยนำกล้องมือสองกลับประเทศของพวกเขาอีกด้วย

นี่เป็นเรื่องราวเล็กๆแต่แฝงไปด้วยกลยุทธ์ที่กำจัดสิ่งที่ไม่ต้องการออกไปด้วยงบประมาณที่น้อยนิด เป็นอีกเรื่องราวที่ผมประทับใจมากในการเดินทางไปที่ประเทศญี่ปุ่น

 การทำบัญชีดีต่อเรายังไง

หากเราทำบัญชีอย่างละเอียดว่าในแต่ละวันเราใช้จ่ายไปกับอะไร หนึ่งปีผ่านไปเราสามารถกลับมาวิเคราะห์ เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาหรือลดงบประมาณที่เราใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยได้ ซึ่งมันสามารถทำให้คุณบรรลุเป้าหมายผ่านการบันทึก บัญชีรายรับรายจ่ายได้ชนิดที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

สถิติอย่างละเอียดทางบัญชีรายรับรายจ่ายยังสามารถกลับมาประเมินสุขภาพเราได้ด้วยว่า ก่อนที่เราจะป่วยนั้นเราจะเสียค่าใช้จ่ายไปกับการกินดื่มอะไรในช่วงเวลานั้น ซึ่งทำให้ครั้งหน้าเราสามารถวางแผนหลีกเลี่ยงหรือลดจำนวนต่อการกินดื่มได้เช่นกัน นี่คือประโยชน์จากการทำบันทึกรายรับรายจ่ายที่กลายมาเป็นแหล่งข้อมูลที่สามารถสะท้อนเกมชีวิตของเราได้อย่างไม่คาดถึงเลยทีเดียว

ฉะนั้นอย่ามองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพราะสิ่งเล็กน้อย ที่เราทำต่อเนื่องอยู่ทุกวัน จะเป็นกุญแจสำคัญในการขายพฤติกรรมและช่วยชี้ทางออกให้แก่ชีวิตในช่วงที่เจอมรสุมต่างๆได้ดี ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงิน สุขภาพ หรือภาพรวมของชีวิตในอดีตที่กำลังจะส่งผลต่อชีวิตในอนาคตก็ตาม

 กาแฟปริศนา คนที่ดื่มอุ่นกายคนจ่ายอิ่มใจ

ผมไปพบวัฒนธรรมหนึ่งที่น่ารักมา นั่นคือการจ่ายจองกาแฟไว้ล่วงหน้า เรื่องราวนี้เริ่มแพร่หลายจากการถูกส่งต่อในโซเชียลมีเดีย จะเริ่มกลายเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง วัฒนธรรมการจองกาแฟไว้ล่วงหน้ามีขั้นตอนเริ่มจากผู้ซื้อคนหนึ่งสามารถสั่งกาแฟจำนวนเท่าไรก็ได้ เพื่อให้คนต่อไปที่มาซื้อหรือคนที่ด้อยโอกาสได้มีโอกาสดื่มกาแฟอันแสนรื่นรมย์จากความหวังดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องระบุว่าใครเป็นผู้จ่ายล่วงหน้า

เมื่อสืบค้นว่าวัฒนธรรมอันแสนน่ารักนี้ เกิดขึ้นจากที่ใด ปรากฏว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นที่ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่ต้นกำเนิดวัฒนธรรมกาแฟแสนเข้มข้นที่มีมานาน เสน่ห์ของเรื่องนี้สอนอะไรเราได้หลายอย่างไม่วาจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องชีวิต และความสมดุลต่อสิ่งแวดล้อมรอบข้างอย่างคนไร้บ้านก็สามารถได้รับโอกาส เล็กๆน้อยๆ อันดีที่มีรสชาติให้พวกเขาได้ดื่มดับจากการใช้ความเห็นอกเห็นใจผ่านอำนาจการใช้เงินที่เราครอบครองอยู่ เพื่อให้สังคมและบรรยากาศของความน่ารักน่าอยู่หน้าอก ชนิดที่ไม่แพ้แสงแดดในยามสายของวันนั้นในอดีตเลย

 ทำงานให้เป็นจอมยุทธ์ที่ทั้งยุทธศักดิ์ต้องเรียกหา แล้วเงินกับโอกาสจะตามมาเอง

พอเขียนถึงฟรีแลนซ์แล้วหลายคนอาจจะนึกถึงวิธีและคุณภาพชีวิตแบบตัวละคร จากภาพยนตร์เรื่องฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพลาด ห้ามรักหมอ ซึ่งพระเอกเป็นมือรีทัชภาพที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนล้มป่วยและเกือบเอาชีวิตไม่รอด ชีวิตของหนุ่มในภาพยนตร์เหมือนกำลังบอกคนดูว่า อยากได้เงินมากก็ต้องทำงานให้มากแล้วเงินจะมาหาเอง

ปัจจัยหลักที่สำคัญต่อการอ้างอิงถึงความคุ้มค่าในการสร้างรายได้ที่ดีจากงานฟรีแลนซ์ มีอยู่สองประเด็นใหญ่ๆ คือระดับการศึกษากับประสบการณ์และคอนเนคชั่นนั่นเอง จากข้อมูลชี้ให้เห็นว่าเรื่องระดับการศึกษามีผลน้อยมากในวงการฟรีแลนซ์ แต่หากเป็นในแวดวงของมนุษย์เงินเดือนจะส่งผลกระทบมากกว่า ส่วนที่สำคัญที่สุดจึงเป็นเรื่องของประสบการณ์และความชำนาญ บวกกับการหางานจากคอนเน็คชั่น

จากข้อมูลระบุว่า ฟรีแลนซ์ที่มีรายได้สูงในระดับหลักแสนต่อเดือน มักได้งานจากคอลเลคชั่นมากกว่าการหางาน ตามเว็บไซต์ ซึ่งมีอัตราการแข่งขันสูงและเป็นสนามแข่งที่ดุเดือด จนบางครั้งมีการตัดราคากันเอง แล้วบางทีตลาดตรงนั้นยังไม่ได้ต้องการผู้ที่มีฝีมือเฉพาะทางมากนักในการว่าจ้าง

สิ่งที่สำคัญอย่ามีเรื่องบาดหมางกับคนในวิชาชีพเดียวกันให้มากนัก พอคำว่าโลกมันแคบที่คุณคิดนั้นเป็นเรื่องจริงในชีวิตการทำงาน บางทีคนที่เรามีเรื่องด้วยในปัจจุบัน อาจมีความเกี่ยวพันกับงานใหม่ในอนาคต ที่เราต้องไปทำงานด้วยก็เป็นได้ ดังนั้นแล้วก็ตั้งใจทำงานสร้างผลงานให้โดดเด่น บริหารเวลาให้เป็น และแวดล้อมไปด้วยกัลยาณมิตรที่เยอะๆ แค่นี้ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการออมและการลงทุน ชีวิตก็ไม่อดตายแล้วไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานะพนักงานเงินเดือนหรือ ฟรีแลนซ์

 เพิ่มมูลค่าตัวเองด้วยมาฮิโตะสไตล์ ห้าข้อสำคัญต่อการสร้างมูลค่าตัวเองให้เกิดขึ้นในองค์กร

เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินว่า ลงทุนอะไรไม่สำคัญเท่าการลงทุนในตัวเอง ซึ่งเป็นประโยคที่เป็นจริงทุกประการ เพราะถ้าเรามีความรู้และความคิดที่เท่าทันทุกเหตุการณ์ ความเสี่ยงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนย่อมน้อยลง ครั้งนี้ผมมีห้าข้อสำคัญมาแนะนำ ซึ่งมาจากผู้เชี่ยวชาญการประเมินกิจการ และผู้เขียนหนังสือทำงานยังไงให้คุณมีมูลค่าสูงสุดในองค์กร

  1. มองหาความหมายของงานที่ทำ

คนที่ทำงานส่วนใหญ่มักเฉยชากับงานที่ทำอยู่ เหมือนกับว่างานที่พวกเขาทำนั้นไม่มีความหมายและอาจไม่ได้เกิดจากตัวงาน แต่มาจากการไม่ได้มีวิธีคิดเชื่อมโยงเรื่องเงินเป็นพื้นฐาน อยากให้คิดด้วยความคิดใหม่ที่ว่า ทุกครั้งที่ได้โอกาสทำงานจงมองงานนั้นอย่างมีความหมายในวันข้างหน้า ทักษะที่ได้จัดงานที่เราตั้งใจทำในอดีตจะสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและต่อยอดมูลค่าในตัวเราเองได้ในอนาคต

  1. ความสามารถของลูกน้องก็คือมูลค่าของคุณ

ผมชื่นชอบข้อนี้เป็นพิเศษเพราะการบ่งชี้ว่าการลงทุนสร้างคุณค่าและมูลค่าให้ตัวเองนั้น ก็ใช่ว่าจะตักตวงเพื่อเติมความสามารถให้แก่ตัวเองเพียงมุมเดียว แต่ข้อนี้ยังชี้ให้เห็นด้วยว่าการดึงศักยภาพของลูกทีมที่ดูแลอยู่ให้มีประสิทธิภาพ เป็นอีกหนึ่งเกณฑ์การวัดถึงความสามารถที่มีมูลค่าที่องค์กรหรือบริษัทควรรักษาเอาไว้ด้วยเช่นกัน

  1. ปฏิเสธงานเก่งก็ยิ่งพัฒนา

การปฏิเสธงานนี้ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธเพื่ออู้งาน หรือไม่มีความรับผิดชอบแต่อย่างใด แต่เป็นบริบทของการปฏิเสธเพื่อเรียงลำดับความสำคัญของงานที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ ซึ่งการปฏิเสธงานที่มีความสำคัญน้อยซึ่งแทรกเข้ามา ก็เป็นอีกหนึ่งทักษะที่คนทำงานควรฝึกให้เป็นเพื่อสร้างมูลค่าจากงานที่ทำอยู่นั่นเอง

  1. ถ้าอยากพิสูจน์ตัวเองจงเลือกบริษัทอันดับสอง

หนึ่งข้อที่ตอนอ่านหัวข้อแล้วก็รู้สึกท้าทายไปโดยปริยาย การเลือกไปอยู่บริษัทอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ดีต่อประวัติการทำงาน แต่คุณอาจจะไม่ได้ทำอะไรที่แปลกใหม่ เพราะถูกควบคุมไปด้วยมาตรฐานอันดับหนึ่งที่ทำมาช้านาน แต่หากท้าทายความสามารถและต้องการพัฒนาตัวเองให้เกิดคุณค่าและมูลค่า การไปที่บริษัทอันดับที่สองคุณจะได้โอกาสที่มากกว่าในการทำสิ่งต่างๆ เพื่อแทรกที่ยืนอยู่ในอันดับที่หนึ่งได้มากกว่านั่นเอง

  1. ความน่าเชื่อถือคือการเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง

ถ้าถามว่าความน่าเชื่อถือควรเริ่มจากอะไร ก็ขอให้ย้อนกลับไปตั้งแต่ข้อแรกและค่อยๆทำให้เกิดเป็นผลลัพธ์จนเริ่มมีคนยอมรับกับงานที่เราทำนั่นแหละครับ ตัวเราเองไม่ต้องเป็นคนตะโกนบอกว่าเก่งหรือมีความน่าเชื่อถือแค่ไหน เพราะงานทุกชิ้นที่เราทำจะตะโกนบอกทุกคนเองว่าคนนี้คนนี้และคนนี้ มีมูลค่าเกินกว่าเงินเดือนที่ได้รับในทุกวัน องค์กรหรือบริษัทจะรับผิดชอบดูแลอย่างไรเพื่อไม่ให้มันสมองที่ดีในองค์กรรั่วไหลไปที่อื่นแทน

นี่คือหลักการสำคัญต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มให้คนทำงานที่ทุกองค์กรต้องการ ตามสไตล์ของหมาฮิโตะ ที่ผมชื่นชอบและนำมาฝากให้กับผู้อ่านทุกท่าน

สั่งหนังสือ “นี่เงินเดือนหรือเงินทอน” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก