ความไม่แน่นอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การเสียงาน อุบัติเหตุกะทันหัน ค่าซ่อมรถฉุกเฉิน หรือปัญหาสุขภาพที่ไม่คาดคิด เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า และหากไม่มีการเตรียมพร้อมทางการเงิน สถานการณ์เหล่านี้อาจกลายเป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของเราอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อระบบสวัสดิการยังไม่ครอบคลุมทุกด้านอย่างสมบูรณ์
เงินสำรองคืออะไร?
เงินสำรองหรือที่มักเรียกกันว่า “เงินฉุกเฉิน” คือเงินที่เราเก็บไว้เพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่ไม่คาดคิด โดยแยกออกจากเงินออมเพื่อเป้าหมายอื่นๆ เช่น เงินดาวน์บ้าน เงินเก็บเพื่อการศึกษา หรือเงินเก็บเพื่อการเกษียณ เงินสำรองนี้เปรียบเสมือนเกราะป้องกันทางการเงินที่จะช่วยให้เราไม่ต้องพึ่งพาการก่อหนี้เมื่อเกิดปัญหาการเงินแบบกะทันหัน
ทำไมเราควรมีเงินสำรอง?
1. รับมือกับความไม่แน่นอน
คนไทยจำนวนมากไม่มีเงินสำรองที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน และมีหนี้สินที่ต้องผ่อนชำระเป็นประจำ สถานการณ์นี้ทำให้หลายคนต้องพึ่งพาการกู้ยืมนอกระบบหรือบัตรเครดิตเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งนำไปสู่หนี้สินที่พอกพูนมากขึ้น
2. ระบบสวัสดิการที่ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด
แม้จะมีระบบประกันสังคมและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง 30 บาท) แต่ยังมีค่าใช้จ่ายหลายอย่างที่ไม่ครอบคลุม เช่น ค่ารักษาพยาบาลบางรายการ ค่ายาเฉพาะบางชนิด หรือการรักษาในโรงพยาบาลเอกชน การมีเงินสำรองจึงช่วยให้เรามีทางเลือกในการรักษาพยาบาลเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
3. ลดภาระทางจิตใจ
การมีเงินสำรองไม่เพียงช่วยให้เรามีความมั่นคงทางการเงิน แต่ยังช่วยลดความกังวลและความเครียดเกี่ยวกับอนาคต การมีเงินสำรองช่วยให้เราไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นเมื่อเกิดปัญหาการเงิน
4. รักษาอิสรภาพทางการเงิน
เงินสำรองช่วยให้เรามีอิสระในการตัดสินใจ เช่น หากไม่พอใจกับงานปัจจุบัน เรามีทางเลือกในการลาออกและมีเวลาในการหางานใหม่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในระยะสั้น หรือหากต้องการพักงานชั่วคราวเพื่อดูแลพ่อแม่ที่ป่วย ซึ่งเป็นค่านิยมสำคัญในสังคม เราก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้
5. หลีกเลี่ยงการก่อหนี้ที่ไม่จำเป็น
อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลค่อนข้างสูง การมีเงินสำรองช่วยให้เราไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้เหล่านี้เมื่อเกิดค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
เราควรมีเงินสำรองเท่าไหร่?
คำแนะนำทั่วไปคือควรมีเงินสำรองเท่ากับค่าใช้จ่ายจำเป็น 3-6 เดือน แต่จำนวนที่เหมาะสมจริงๆ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง:
1. สำหรับพนักงานประจำ
แนะนำให้มีเงินสำรองประมาณ 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าเช่า/ค่าผ่อนบ้าน ค่าสาธารณูปโภค ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าผ่อนรถ ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายประจำอื่นๆ โดยไม่รวมค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
สำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือข้าราชการที่มีความมั่นคงในการทำงานสูง อาจพิจารณาเก็บเงินสำรองที่ 3-4 เดือนของค่าใช้จ่าย
2. สำหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือเจ้าของธุรกิจ
สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น ฟรีแลนซ์ อาชีพอิสระ หรือเจ้าของธุรกิจ ควรมีเงินสำรองที่มากกว่าพนักงานประจำ อาจอยู่ที่ 6-12 เดือนของค่าใช้จ่ายจำเป็น เนื่องจากรายได้อาจมีความผันผวนสูงและช่วงเวลาระหว่างงานอาจยาวนาน
3. สำหรับผู้ที่เกษียณแล้ว
สำหรับผู้ที่เกษียณแล้ว คำแนะนำคือควรมีเงินสำรองมากกว่าคนทำงาน โดยอาจอยู่ที่ 6-12 เดือนของค่าใช้จ่ายจำเป็น เนื่องจากในวัยนี้มักมีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่ไม่คาดคิดมากขึ้น
4. สำหรับผู้ที่มีภาระทางการเงินสูง
หากคุณมีภาระหนี้สินจำนวนมาก มีบ้านหรือรถที่ต้องผ่อน หรือมีผู้ที่ต้องดูแลทางการเงิน เช่น ลูกที่กำลังเรียนหนังสือหรือพ่อแม่ที่สูงอายุ คุณอาจต้องการเงินสำรองที่มากกว่าคนทั่วไป อาจพิจารณาเก็บเงินสำรองให้ได้ 6-9 เดือนของค่าใช้จ่ายจำเป็น
5. สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น
หากกำลังเริ่มต้นสร้างเงินสำรอง อย่าท้อใจกับตัวเลขที่ดูสูงเกินไป เริ่มต้นด้วยเป้าหมายเล็กๆ เช่น 15,000-20,000 บาท หรือค่าใช้จ่าย 1 เดือน จากนั้นค่อยๆ สร้างขึ้นไปเรื่อยๆ แม้เงินจำนวนเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
จำนวนเงินสำรองโดยประมาณ
จากข้อมูลการสำรวจค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของคนไทยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล:
- พนักงานโสด: ควรมีเงินสำรอง 6 เดือนประมาณ 90,000-120,000 บาท
- ครอบครัวที่มีบุตร 1-2 คน: ควรมีเงินสำรอง 6 เดือนประมาณ 150,000-180,000 บาท
- ผู้ที่เกษียณอายุแล้ว: ควรมีเงินสำรอง 12 เดือนประมาณ 180,000-240,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้เป็นเพียงค่าเฉลี่ยและอาจแตกต่างกันไปตามสภาพความเป็นอยู่ในแต่ละพื้นที่และค่าใช้จ่ายส่วนตัวของแต่ละคน คนที่อาศัยในกรุงเทพฯ อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าคนที่อาศัยในจังหวัดอื่นๆ
ควรเก็บเงินสำรองไว้ที่ไหน?
เงินสำรองควรเก็บไว้ในที่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็วเมื่อต้องการใช้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียมูลค่า แต่ปลอดภัย ตัวเลือกที่เหมาะสมได้แก่:
1. บัญชีออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง
ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งมีบัญชีออมทรัพย์พิเศษที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป อัตราดอกเบี้ยอาจอยู่ที่ประมาณ 0.5-1.5% ต่อปี ซึ่งในปัจจุบันถือว่าไม่สูงมากนัก แต่มีความปลอดภัยสูงและสามารถเข้าถึงได้ง่าย
2. บัญชีเงินฝากประจำระยะสั้น
บัญชีเงินฝากประจำระยะสั้น 3-6 เดือนในธนาคารมักให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ โดยอาจอยู่ที่ประมาณ 1-2% ต่อปี แต่มีข้อจำกัดคือถอนก่อนกำหนดอาจได้รับดอกเบี้ยน้อยลงหรือไม่ได้รับดอกเบี้ยเลย
3. กองทุนรวมตลาดเงิน
กองทุนรวมตลาดเงินของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ มีความเสี่ยงต่ำและให้ผลตอบแทนที่อาจสูงกว่าเงินฝากธนาคารเล็กน้อย โดยสามารถถอนเงินได้ภายใน 1-2 วันทำการ
4. บัญชีออมทรัพย์ดิจิทัล
แอปพลิเคชันธนาคารต่างๆ มักมีบัญชีออมทรัพย์พิเศษที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป โดยอาจอยู่ที่ประมาณ 1-2.5% ต่อปี และมีความสะดวกในการเข้าถึงผ่านแอปพลิเคชัน
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
หลีกเลี่ยงการนำเงินสำรองไปลงทุนในตลาดหุ้น กองทุน RMF/LTF หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมูลค่าอาจลดลงเมื่อคุณจำเป็นต้องใช้เงิน และการถอนเงินจากกองทุนเหล่านี้อาจมีค่าธรรมเนียมหรือภาระภาษี
เมื่อไหร่ควรใช้เงินสำรอง?
เงินสำรองควรใช้เฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉินจริงๆ เท่านั้น เช่น:
- ตกงานหรือลดชั่วโมงทำงาน
- ค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉินที่ไม่ครอบคลุมโดยประกันสุขภาพหรือบัตรทอง
- ซ่อมแซมบ้านหรือรถที่จำเป็น เช่น น้ำท่วม รถเสียกะทันหัน
- ค่าใช้จ่ายจำเป็นระหว่างภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ไฟไหม้ หรือโรคระบาด
- ค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเกี่ยวกับครอบครัว เช่น การดูแลพ่อแม่ที่ป่วยกะทันหัน
ไม่ควรใช้เงินสำรองสำหรับ:
- การท่องเที่ยวช่วงวันหยุดหรือเทศกาล
- การซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่หรือสินค้าฟุ่มเฟือย
- การลงทุนในตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์ดิจิทัล แม้จะดูน่าสนใจเพียงใด
- ค่าใช้จ่ายที่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ เช่น ค่าเทอมบุตร หรือค่าประกันรถยนต์ประจำปี
เมื่อใช้เงินสำรองแล้ว ให้วางแผนเติมกลับคืนให้เร็วที่สุด เพื่อให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินครั้งต่อไป
สรุป
แม้อาจดูเป็นเรื่องยากในช่วงแรก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและวินัย ทุกคนสามารถสร้างเงินสำรองได้ เริ่มต้นด้วยเป้าหมายเล็กๆ และค่อยๆ สร้างขึ้นไป การมีเงินสำรองไม่เพียงช่วยให้คุณรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดเท่านั้น แต่ยังช่วยให้มีความสบายใจมากขึ้นอีกด้วย จำไว้ว่าไม่มีจำนวนเงินสำรองที่เหมาะสมกับทุกคน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ส่วนตัว ความเสี่ยง และความสบายใจของแต่ละคน สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นออมและสร้างนิสัยการออมที่ดีตั้งแต่วันนี้