เราอาจจะรู้จัก Jaymart ในนามร้านจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ แต่รู้ไหมว่า Jaymart มีบริษัทย่อยที่เป็นธุรกิจติดตามเร่งรัดหนี้และบริหารหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ด้วย โดยมีรายได้ถึง 30% ของธุรกิจ และมีสถานะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ของธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งธุรกิจที่กล่าวถึงนั้นก็คือ “JMT” และบทความนี้จะเล่าให้ฟังว่า JMT คือบริษัทอะไรและทำธุรกิจอะไรบ้าง
ประวัติ JMT โดยย่อ
- JMT คือ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) ให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ฟ้องสืบทรัพย์และบังคับคดีทั่วประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี 2537 โดยกลุ่มเจมาร์ท (JMART) หรือบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)
- JMART มีสถานะเป็นโฮลดิ้ง คอมพานี มีประสบการณ์จากการดำเนินธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้ายี่ห้อต่างๆ ก่อนเข้าสู่ธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือหรือร้าน JAYMART ที่เรารู้จักกัน
- ต่อมาในปี 2549 JMT ได้ขยายธุรกิจไปยังธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ
- ในปี 2554 เริ่มให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ (หยุดประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ตั้งแต่ปี 2556)
- 27 พ.ย. 2555 ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 765,552,00 บาท ชำระแล้ว 729,869,781.00 บาท (ณ 31 ธ.ค. 2567)
- JMT เป็นบริษัทหนึ่งในเครือของบริษัท เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JMART โดย JMARTถือหุ้น 08% (ณ วันที่ 27 ก.พ. 2567)
JMT มี 4 ธุรกิจหลัก คือ
1.) ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ : รับจ้างติดตามและจัดเก็บหนี้ รวมถึงงานด้านกฎหมายฟ้องร้องและสืบคดี โดยครอบคลุมหนี้ทุกประเภท ทั้งหนี้ส่วนบุคคล หนี้บัตรเครดิต โดยบริษัทจะได้รับค่าบริการติดตามหนี้จากผู้ว่าจ้างคิดเป็นสัดส่วนร้อยละของมูลหนี้ที่บริษัทสามารถติดตามและตกลงให้ลูกหนี้มาชำระหนี้ได้ โดยผู้ว่าจ้างหลัก ได้แก่ สถาบันการเงิน และบริษัทเช่าซื้อและบริษัทให้บริการเช่าซื้อ (ปี 2567 มีรายได้ 314.7 ล้านบาท)
2.) ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ : โดยการซื้อหนี้ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินหรือบริษัทต่างๆด้วยวิธีการประมูลในราคาที่มีส่วนลดจากมูลหนี้เต็ม แล้วบริษัทนำมาบริหารติดตามหนี้นั้นๆต่อ ซึ่งรายได้หลักของJMTมาจากธุรกิจกลุ่มนี้
3.) ธุรกิจนายหน้าประกันภัย : เป็นนายหน้าและมีรายได้มาจากค่าคอมมิชชั่นจากค่าเบี้ยประกันภัยของลูกค้า ซึ่งเป็นธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยงในด้านการด้อยค่าของสินค้า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่จำเป็นต้องมีสต๊อกสินค้าหรือกรมธรรม์อยู่กับบริษัท
4.) ธุรกิจประกันภัย : แบ่งเป็น
- ประกันภัยรถยนต์ ทั้งภาคบังคับและภาคสมัครใจ
- ประเภทประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ ได้แก่ ประกันอัคคีภัย ประกันขนส่ง ประกันเบ็ดเตล็ด (ประกันเดินทาง, ประกันภัยโจรกรรม, ประกันภัยก่อสร้างตามสัญญาจ้าง)
ผลประกอบการ
- ปี 2565 รายได้(จากธุรกิจหลัก) 4,409.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,745.6 ล้านบาท
- ปี 2566 รายได้(จากธุรกิจหลัก) 5,086.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,010.7 ล้านบาท
- ปี 2567 รายได้(จากธุรกิจหลัก) 5,225.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,615.2 ล้านบาท*
*กำไรปี 2567 ลดลงจากปี 2566 จากผลจากการที่บริษัทมีการตั้งสำรอง Expected Credit Loss (ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) ที่เพิ่มขึ้นจากการจัดเก็บหนี้ที่น้อยกว่าประมาณการณ์ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567
โดยรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทจะเป็นกลุ่มรายได้ดอกเบี้ยจากการซื้อลูกหนี้ด้อยคุณภาพ ซึ่งปี 2567 มีสัดส่วน 75% ของรายได้ทั้งหมด รองลงมาเป็นกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ มีสัดส่วน 13% ของรายได้ทั้งหมด
ส่วนในปี 2568 JMT มีการตั้งเป้าว่าจะมีงบลงทุนซื้อหนี้ ไว้ถึง2พันล้านบาท
ทั้งนี้จากข้อมูลเครดิตบูโร พบว่าภาพรวมหนี้ครัวเรือนไทยไตรมาส3ปี 2567 มี Non-Performing Loans (NPLs) แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งอาจส่งผลให้เป็นโอกาสต่อ JMT ที่จะเข้าไปบริหารหนี้เสีย ปรับโครงสร้างหนี้ให้กลับสู่ระบบได้
สาระเพิ่มเติม
ความสำคัญของการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) หรือที่เราเคยได้ยินคำว่าค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ หรือก็คือการตั้งสำรองการโดนเบี้ยวหนี้นั่นเอง เพราะการที่บริษัทเป็นเจ้าหนี้แล้วมีการรับรู้รายได้ไว้ล่วงหน้า ทั้งๆที่ยังไม่ได้รับเงินสดจริงๆ และถ้าตั้ง “ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) เอาไว้ต่ำเกินไป” ก็แปลว่าบริษัทรับรู้รายได้เกินความเป็นจริงไป อาจทำให้ภาพธุรกิจดูดีเกินจริงไปนั่นเอง
บทสรุป
จากที่รายได้หลักของ JMT มาจากดอกเบี้ยจากการซื้อลูกหนี้ด้อยคุณภาพ ดังนั้นถ้าเศรษฐกิจไม่ดีก็อาจกระทบให้หนี้ที่คาดว่าจะเสียสูงไปด้วย และส่งผลกระทบต่อ JMT ทั้งแง่บวกในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพและธุรกิจติดตามเร่งรัดหนี้สินเติบโต แต่ในทางกลับกันก็อาจส่งผลกระทบแง่ลบด้วยเช่นกัน เพราะการที่เศรษฐกิจไม่ดี ประชาชนอาจไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ไหว ก็อาจเป็นหนี้สูญไปได้เลยเช่นกัน