ในการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือการซื้อขายหุ้น เราต้องทำการเปิดบัญชี เพื่อที่จะการทำซื้อขาย ซึ่งบัญชีหุ้น มีหลากหลายประเภท ให้นักลงทุนเลือกตามสไตล์การลงทุนที่ถนัด มือใหม่หลายคนที่ยังไม่รู้จะเปิดบัญชีประเภทไหน ลองมาดูกันว่า แต่ละประเภทบัญชีแบบไหนที่เหมาะกับเรา
บัญชีหุ้นของโบรกเกอร์ต่างๆ โดยหลักทั่วไปจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท
- บัญชีหุ้น Cash Balance
- บัญชีหุ้น Cash Account
- บัญชีหุ้น Credit Balance
1. บัญชีหุ้น Cash Balance
เป็นบัญชีที่ฝากเงินเท่าไหน ก็เทรดได้เท่านั้น โดยเราต้องนำเงินเข้าไปฝากกับโบรกเกอร์ก่อน และซื้อขายได้ตามวงเงินที่เราฝาก สมมติ ฝาก 1,000,000 บาท ก็จะเทรดหุ้นได้ 1,000,000 บาท ไม่สามารถเทรดได้เกินกว่าจำนวนเงินที่เราฝาก
เหมาะกับมือใหม่ เนื่องจากเป็นบัญชีที่เข้าใจง่าย ฝากเท่าไหน ก็เทรดเท่านั้น ทำการบริหารหน้าตักได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ยุ่งยากแต่อย่างใด
2. บัญชีหุ้น Cash Account
เป็นบัญชีที่เราสามารถสั่งซื้อหุ้นได้ก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินทีหลัง (ภายใน 2 วันทำการ T+2) โดยนักลงทุนต้องวางเงินประกันจำนวน 20% ของวงเงินที่ต้องการเทรด อย่างได้จะเทรดหุ้นมูลค่า 1,000,000 บาท ต้องวางเงินประกันจำนวน 200,000 บาทนั่นเอง และหากนักลงทุนซื้อหุ้นมูลค่า 1,000,000 บาทแล้ว ก็จะต้องนำเงิน 1,000,000 บาทเข้าบัญชี เพื่อให้ทางโบรกเกอร์ตัดเงิน (ATS) ออกจากบัญชีธนาคารของเรา
เหมาะสำหรับสาย Day trade ถ้าใคร Net ในวัน (ซื้อขายจบในวัน) ก็ไม่ต้องทำการฝากเงินเพื่อซื้อหุ้นเลย เพียงแค่ว่าหลักประกัน 20% ของมูลค่าการซื้อขายเท่านั้น แต่จะไม่เหมาะกับการนักลงทุนที่ถือหุ้นข้ามวัน เพราะสุดท้ายก็ต้องนำเงินมาจ่ายอยู่ดี (ภายใน 2 วันทำการ)
3. บัญชีหุ้น Credit Balance
เป็นบัญชีที่เราสามารถกู้ยืมเงินจากโบรคเกอร์มาซื้อหุ้นได้ แต่จะต้องวางเงินสดหรือหุ้นเป็นหลักประกันการชำระหนี้ในอัตราส่วนชั้นต่ำที่ทางโบรกเกอร์เป็นคนกำหนด โดยโบรกเกอร์จะทำการคิดดอกเบี้ยที่เรากู้ยืมเงินไปใช้ในการเทรด ส่วนมากโบรกเกอร์จะให้กู้ยืมอยู่ที่ 2 เท่าของเงินประกัน อย่างถ้าพอร์ต 1,000,000 บาท ก็จะสามารถเทรดหุ้นได้ 2,000,000 บาท
เหมาะสำหรับนักลงทุนมืออาชีพ ที่ต้องการขยายพอร์ตการลงทุน การใช้บัญชี Credit Balance ต้องคำนวณความเสี่ยงให้ดี เพราะจะมีเรื่องในกรณีถ้าหุ้นที่เราถืออยู่แล้วราคาลดลงมากเกินไป อาจจะต้องถูกเรียกเก็บค่าหลักประกันเพิ่ม (Margin call) หรืออาจถูกบังคับขาย (Force sell) ได้ ดังนั้นผู้ลงทุนควรต้องระมัดระวังการใช้บัญชี้เป็นอย่างมาก
สรุป
จะเห็นได้ว่าแต่ละประเภทบัญชีก็มีคุณลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนว่าชอบแบบไหน ดังนั้นควรเลือกตามความเหมาะสมให้เหมาะกับตัวเองให้มากที่สุด