หลายคนคงจะเคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับ ก.ล.ต. มาบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่คลุกคลีในวงการตลาดทุนก็น่าจะคุ้นเคยกับชื่อนี้ดี แล้วเคยสงสัยหรือไม่ว่าก.ล.ต.คือใคร ทำหน้าที่อะไร แตกต่างจากตลท.อย่างไรบทความนี้จะเล่าให้ฟัง

ก.ล.ต.คือใคร?

ก.ล.ต. หรือ “สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์”  เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนา ตลอดจนกำกับดูแลตลาดทุน*หรือแหล่งระดมเงินทุนภาคธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ น่าเชื่อถือและทุกภาคส่วนเข้าถึงได้

*ตลาดทุน เป็นกลไกที่ช่วยให้กิจการที่ต้องการเงินทุนกับผู้ต้องการเงินทุน มาพบกันโดยตรงเพื่อขยายธุรกิจ โดยเป็นทางเลือกในการลงทุนนอกเหนือจากการกู้ยืมเงินจากธนาคาร

ที่มาในการจัดตั้ง ก.ล.ต.

เนื่องจากเดิม การกำกับดูแลตลาดทุนนั้นอยู่ภายใต้หลายหน่วยงาน คือ

  • กระทรวงการคลัง: เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์หรือให้ความเห็นชอบหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์กำหนด สั่งรับหรือเพิกถอนหลักทรัพย์ในตลาด และเป็นผู้ออกหรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย: เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และกำกับดูแลการประกอบธุรกิจของบริษัทหลักทรัพย์
  • ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย: ทำหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับบริษัทสมาชิก ด้วยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ ดูแลการเสนอขายหุ้นและหุ้นกู้ของบริษัทจำกัดที่อยู่ระหว่างการพิจารณารับเป็นบริษัทจดทะเบียนหรือบริษัทรับอนุญาต
  • กระทรวงพาณิชย์: ทำหน้าที่รับจดทะเบียนหนังสือชี้ชวนของบริษัทมหาชนจำกัดที่ออกหลักทรัพย์ เสนอขายต่อประชาชนและเป็นนายทะเบียน

จะเห็นได้ว่ามีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้อำนาจหน้าที่และการกำกับดูแลกระจัดกระจายอยู่ในหลายหน่วยงานและหลายกฎหมาย ทำให้มีการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนกัน และการซื้อขายในตลาดหุ้นช่วงปี พ.ศ. 2530 มีความคึกคัก จึงได้มีการตรา พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) และจัดตั้ง ก.ล.ต. ขึ้น เป็นองค์กรอิสระทำหน้าที่กำกับดูแลและพัฒนาตลาดทุน เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2535

พันธกิจหลัก 3 ประการของก.ล.ต. คือ

  • กำกับดูแลให้ตลาดทุนมีมาตรฐาน
  • พัฒนาตลาดทุนให้ก้าวหน้า
  • ส่งเสริมให้ตลาดทุนมีความน่าเชื่อถือและยั่งยืน

บทบาทของก.ล.ต.

มีหน้าที่กำกับดูแลผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในตลาดทุน ได้แก่

  • ดูแลและอนุญาตให้กิจการที่ต้องการระดมทุนออกเสนอขายหลักทรัพย์ให้แก่ประชาชนทั่วไป หรือที่เรียกกันว่า IPO เช่น ตรวจสอบคุณสมบัติ ตรวจสอบการเปิดเผยข้อมูล งบการเงินหรือข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน เพียงพอ (โดยจะพิจารณาคำขอไม่เกิน 45 วันนับจากที่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน)
  • ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายเมื่อพบการกระทำผิดในตลาดทุน เช่น กรณีแพร่ข่าวเท็จ ปั่นหุ้น เป็นต้น
  • ดูแลผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องที่เตรียมความพร้อมให้แก่กิจการในการออกหลักทรัพย์ เช่น ที่ปรึกษาทางการเงิน ผู้สอบบัญชี ให้ปฏิบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด
  • ดูแลและให้ใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และปฏิบัติงานของบุคลากร ได้แก่ ผู้แนะนำการลงทุน(Investment consultant), ผู้จัดการกองทุน(Fund manager), นักวิเคราะห์การลงทุน(Investment analysis) เพื่อให้พวกเขาให้คำแนะนำที่เหมาะสม
  • สนับสนุนนวัตกรรมด้านการเงินและการลงทุน เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า Trust และสินทรัพย์ดิจิทัล
  • ให้ความรู้ด้านการลงทุนกับประชาชน
  • เปิดรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับตลาดทุน

การลงทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.ได้แก่

  • หลักทรัพย์ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
  • สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงสินค้าบางประเภท เช่น หลักทรัพย์ ราคาทองคำ
  • สินทรัพย์ดิจิทัล เช่น โทเคนดิจิทัล

ก.ล.ต. และ ตลท. แตกต่างกันอย่างไร

  • ก.ล.ต. = SEC สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (The Securities And Exchange Commission) ดูแลสอดส่องให้การค้าขายในตลาดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ให้ตลาดหลักทรัพย์มีระบบการซื้อขายชำระราคาและส่งมอบครบถ้วนถูกต้อง
  • ตลท. = SET ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (The Stock Exchange of Thailand) เหมือนตลาดทั่วไปที่ให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาพบเจอกัน อำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า
  • ก.ล.ต.มอบหมายให้ตลท.ทำหน้าที่เป็นด่านแรกในการตรวจสอบความผิดปกติ ก่อนส่งเรื่องให้ก.ล.ต.ตรวจสอบและลงโทษผู้กระทำผิด
  • ตลท.จะพิจารณาว่าจะรับหลักทรัพย์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ และดูแลความเรียบร้อยในการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์
  • บริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดการตัดสินใจของผู้ลงทุน โดยส่งข้อมูลผ่านตลท.

สรุป

ตลท.(SET) คือตลาดสำหรับซื้อขาย ส่วนก.ล.ต.(SEC) ดูแลภาพรวมของตลาดนั่นเอง ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ SET คือเจ้าของตลาด, ก.ล.ต.คือตำรวจ, บริษัทต่างๆก็เหมือนคนตั้งแผงที่ขายในตลาดหุ้น, นักลงทุนคือคนที่มาเดินซื้อหุ้นในตลาดนั่นเอง