สั่งซื้อหนังสือ “เทคนิคเลิกเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่” คลิ๊ก
สรุปหนังสือ เทคนิคเลิกเป็นคนเก็บเงินไม่อยู่
บทนำ
ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเมื่อใช้ชีวิตแบบมินิมอล คนที่ใช้ชีวิตแบบมินิมอลส่วนใหญ่คือ คนที่ได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานในแบบของตัวเอง แถมยังมีเงินและเวลาเพิ่มมากขึ้น เรียกได้ว่าเขามีชีวิตแบบที่ใครหลายคนใฝ่ฝันเมื่อใช้ชีวิตแบบมินิมอล ด้วยการลดจำนวนสิ่งของลงแล้ว ไม่เพียงเปลี่ยนวิธีจัดการสิ่งของเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนวิธีจัดการเงินและเวลาด้วย ซึ่งเมื่อพฤติกรรมเปลี่ยนไป นิสัยก็จะเปลี่ยนตาม หนังสือเล่มนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงหนังสือที่ให้ลดสิ่งของตามหลักการใช้ชีวิตแบบมินิมอล แต่ยังบอกเล่าเรื่องราวของผู้เขียนที่เคยยากจน ซึ่งพอใช้ชีวิตแบบมินิมอลแล้ว ก็ตระหนักถึงสิ่งสำคัญในชีวิต สามารถใช้ชีวิตอย่างสบายใจ และมีอิสระได้
คิดเรื่องเงินอย่างจริงจัง นอกจากเรื่องจำนวนเงินแล้ว ให้คิดพิจารณาทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเงิน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ความคิด ความสัมพันธ์กับคนอื่น งาน สภาพแวดล้อม หรือกระแสสังคม การประหยัดเงิน การหาเงิน การเก็บเงิน การดูแลเงิน การทำให้เงินงอกเงย และการใช้เงิน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กัน ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวเงิน แต่อยู่กับสิ่งรอบตัวที่รายล้อม คนที่คอยสนับสนุน และตัวเอง การจะตระหนักถึงความสุขที่แท้จริงได้นั้น แค่ใช้ชีวิตอย่างอิสระและผ่อนคลายก็พอ นี่แหละคือวิธีทำให้เงินงอกเงยในแบบชาวมินิมอลลิสต์ที่มีของน้อยชิ้น
บทที่ 1 วิธีใช้ชีวิตโดยไม่ถูกเงินครอบงำ
การทิ้งสิ่งของช่วยให้ได้เปิดมุมมองใหม่ ๆ นอกจากความสามารถในการทำงานแล้ว ยังต้องเพิ่มความรู้และทักษะเรื่องเงินด้วย ไม่อย่างนั้นก็จะผิดพลาดแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า การทำทุกอย่างเหมือนเดิมทุกวัน หรือการลาออกไม่ได้ช่วยให้เงินงอกเงยขึ้น มีแต่จะทำให้ชีวิตถูกงานและเงินครอบงำเท่านั้น ก่อนจะเริ่มทำอะไรให้นึกถึงการทิ้งหรือการลดเอาไว้ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกหมดหนทางเป็นเพราะแบกทุกอย่างเอาไว้มากเกินไป ลองทิ้งหรือลดบางอย่างดู แล้วจะรู้สึกโล่งขึ้น ต่อให้ไม่มีเงินมากมายอะไร แต่ถ้ามีเวลาและแรงใจมากพอ ไม่ว่าใครก็สามารถริเริ่มเปลี่ยนแปลงบางสิ่งได้ คนที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ก็คือ คนที่ทำให้ตัวเองมีเวลาและแรงใจเหลือเฟืออยู่เสมอนั่นเอง ซึ่งการจะทำได้แบบนั้น จำเป็นต้องทิ้งหรือลดบางสิ่งไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นงาน งานบ้าน ความสัมพันธ์กับคนอื่น ความฟุ่มเฟือย สิ่งของ หรือนิสัยก็ตาม
ยิ่งอยากได้เงินเงินยิ่งหนีหาย ยิ่งอยากหาเงินได้เร็วเท่าไหร่ ความเสี่ยงก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดีไม่ดีอาจต้องสูญเสียเงินที่มีอยู่ในชั่วพริบตา การทำงานคือการช่วยเหลือคนอื่น และการทำให้ลูกค้าพึงพอใจ ทำให้ลูกค้ารู้สึกขอบคุณและอยากสนับสนุนจนยอมจ่ายเงินให้ เงินก็จะมาหาเองตามธรรมชาติ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงาน จึงเป็นการคำนึงถึงลูกค้าเป็นอันดับแรก โดยคิดเสมอว่าจะสร้างประโยชน์อะไรให้กับลูกค้า จะแก้ปัญหาให้ลูกค้าด้วยวิธีไหน และจะทำให้ลูกค้าพึงพอใจได้อย่างไร
ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดคือเวลากับสุขภาพ เมื่อมีคนถามว่าทรัพย์สินคืออะไร? คนส่วนใหญ่ก็คงตอบว่าเงิน หุ้น หรือที่ดิน แต่หารู้ไหมว่าสิ่งที่หลาย ๆ คนมักมองข้ามอย่างเวลากับสุขภาพ ก็ถือเป็นทรัพย์สินอันล้ำค่า แถมยังสำคัญมากถึงขนาดที่พลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลย มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการเก็บเงินให้ได้มากขึ้นเป็นเรื่องยาก แต่เมื่อไหร่ที่เลิกใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย และหันมาใช้เงินอย่างชาญฉลาดได้ เงินก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ในทางกลับกันไม่สามารถเก็บออมเวลาได้เหมือนกับเงิน ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน ไม่ว่าจะตั้งใจใช้ให้คุ้มค่าหรือนั่งเหม่อลอยไปวัน ๆ เวลาที่เสียไปก็ไม่มีทางนำกลับคืนมาได้อีกด้วย การมีสุขภาพแข็งแรงก็ถือเป็นทรัพย์สินอันล้ำค่าเช่นกัน เพราะเมื่อไหร่ที่สุขภาพย่ำแย่จะทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเลยสักอย่าง แม้คนส่วนใหญ่จะชอบมองข้ามไป จุดเริ่มต้นของความสุขคือการตระหนักและใส่ใจเวลากับสุขภาพ ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่สำคัญและล้ำค่าที่สุด
บทที่ 2 การใช้เงินจะเปลี่ยนไปเมื่อใช้ชีวิตแบบมินิมอล
ก่อนจะเริ่มทำอะไรให้นึกถึงการทิ้งหรือการลดเอาไว้ คนส่วนใหญ่ชอบเริ่มจากการบวกเพิ่มบางอย่างเข้ามาในชีวิต จึงต้องแบกรับภาระไว้หลายอย่างจนไม่สามารถลงมือทำอะไรได้เลย ชาวมินิมอลลิสต์จะโยนสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับความฝันทิ้งไปตามหลักลบออก เพื่อให้มีเวลาว่างสำหรับการจัดระเบียบความคิด และกำหนดสิ่งที่ต้องทำอย่างชัดเจน มีเงินมากพอที่จะใช้ไล่ตามความฝันและมีจิตใจที่สงบนิ่ง นอกจากนี้เมื่อภายในบ้านปราศจากสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับความฝันแล้ว ต่อให้ความคิด ความรู้สึก หรือสภาพห้องจะยุ่งเหยิงแค่ไหน ก็จะสามารถรีเซ็ตมันได้ในเวลาอันรวดเร็ว และเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้ทุกเมื่อ บางครั้งการทิ้งก็นำไปสู่การสร้างใหม่ด้วย อาจเป็นการสร้างพื้นที่ว่าง ความสบายใจ เวลาว่าง หรือเงิน นั่นคือต้องคิดว่าจะลดอะไรให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อเพิ่มอะไรให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ว่าโยนทุกสิ่งทุกอย่างทิ้งไปก็หมดเรื่อง แต่ต้องคิดด้วยว่าจะทิ้งอะไรไป เพื่อให้ตัวเองได้สิ่งที่ต้องการเพิ่มมากขึ้น
คำถาม 10 ข้อที่ใช้ถามตัวเองก่อนจะซื้อของ การซื้อของไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้ทำให้รวยขึ้น การซื้อของเท่าที่จำเป็นต่างหากที่ช่วยให้เก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ จงใช้คำถามต่อไปนี้ถามตัวเองก่อนจะตัดสินใจซื้ออะไรสักอย่าง ซึ่งมันช่วยลดการซื้อของด้วยอารมณ์ชั่ววูบ หรือการซื้อของที่ไม่จำเป็นได้
คำถามที่ 1 จะใช้เมื่อไหร่? เกณฑ์ในการตัดสินใจที่ชัดเจนอยู่ที่ว่า ของที่ใช้ได้ใช้จริงเท่ากับของที่จำเป็น และของที่ไม่ได้ใช้เท่ากับของที่ไม่จำเป็น
คำถามที่ 2 ใช้บ่อยแค่ไหน? ถ้ามันเป็นของที่ซื้อมาแล้วได้ใช้ทุกวัน ก็ถือว่าเป็นของที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต
คำถามที่ 3 อยากใช้นานแค่ไหน? คนที่เก็บเงินเก่งมีนิสัยชอบซื้อของที่มีคุณภาพ แล้วใช้มันไปนาน ๆ เพราะเขาไม่อยากเสียเวลาเลือกซื้อของใหม่บ่อย ๆ และไม่อยากเครียดเวลาที่ของพัง
คำถามที่ 4 ได้อะไรจากสิ่งนี้? หากมันไม่มีผลตอบแทนบางอย่างให้ ดังนั้นซื้อเฉพาะของที่ทำให้ตัวเองมีความสุข ของที่นำความอิ่มเอมใจมาให้ หรือของที่คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปก็พอ
คำถามที่ 5 ต้องทำงานหนักแค่ไหน? เพื่อซื้อสิ่งนี้การพิจารณาจำนวนชั่วโมงที่ต้องทำงานเพื่อแลกกับเงิน จะช่วยให้ตัดสินใจซื้อของได้อย่างมีสติมากขึ้น
คำถามที่ 6 ซื้อไหวจริง ๆ หรือเปล่า? คนจำนวนมากชอบใช้เงินเกินตัว หรือซื้อของเกินฐานะตัวเอง แถมบางคนก็ถึงขั้นกู้หนี้ยืมสินมาซื้อของเลยทีเดียว เกณฑ์ที่ใช้พิจารณาว่าจะซื้อไหวหรือเปล่าก็คือ รายได้กับทรัพย์สินของตัวเอง
คำถามที่ 7 จำเป็นต้องซื้อจริง ๆ หรือใช้ของที่มีอยู่ในบ้านแทนได้ไหม? สาเหตุที่ชาวมินิมอลลิสต์ตัดสินใจไม่ซื้อเมื่อรู้สึกลังเลก็เพราะคำถามข้อนี้ ส่วนมากแล้วจะไม่ค่อยได้ใช้ของที่ซื้อมาด้วยความรู้สึกลังเล เพราะฟังก์ชั่นการทำงานของมันมักจะไม่ดี หรือได้เจอของที่ดีกว่า
คำถามที่ 8 มีค่าใช้จ่ายรายเดือนหรือรายปีเท่าไหร่? แม้เงินที่จ่ายในแต่ละครั้งจะเป็นจำนวนเงินเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าจ่ายบ่อย ๆ มันก็กลายเป็นเงินก้อนโตได้ แนะนำให้ลองคำนวณดูก่อนว่า หากซื้อแล้วจะทำให้ค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่าใช้จ่ายคงที่ และค่าใช้จ่ายรายปีเพิ่มขึ้นประมาณเท่าไร
คำถามที่ 9 เวลาที่ขายต่อจะได้ราคาดีหรือไม่? หากซื้อแต่ของที่ราคาตกลง ก็ต้องทำงานหนักขึ้นและใช้เวลานานในการสร้างฐานะ แต่ถ้าลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเท่าที่จะทำได้ แล้วเปลี่ยนมาลงทุนกับของที่มูลค่าไม่ตกลงแทน ก็จะสามารถทำให้ทรัพย์สินงอกเงยขึ้นได้
คำถามที่ 10 ซื้อเวลาในอนาคตได้กี่ชั่วโมง? ทางที่ดีควรทิ้งสิ่งของที่ขโมยเวลาไปด้วย ให้ลดจำนวนสิ่งของที่ต้องใช้เวลานานในการเก็บกวาด จัดระเบียบ และบำรุงรักษา
อิสรภาพทางการเงิน 10 ระดับ
ระดับ 1 ความชัดเจน คือภาวะที่เข้าใจรายรับรายจ่าย ทรัพย์สิน และหนี้สินของตัวเองในปัจจุบัน
ระดับ 2 การพึ่งพาตัวเอง คือภาวะที่มีรายรับแค่พอใช้ประทังชีวิตได้
ระดับ 3 ความอุ่นใจ คือภาวะที่มีรายรับเพียงพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างมั่นคง
ระดับ 4 ความผ่อนคลาย คือภาวะที่มีเงินสำรองไว้ใช้ในช่วง 6 เดือนและปลดหนี้หมดแล้ว
ระดับ 5 ความมั่นคง คือภาวะที่มีรายได้จากงานเสริมด้วย
ระดับ 6 ความยืดหยุ่น คือภาวะที่มีเงินเก็บสำรองไว้ใช้ในช่วง 1 ปี
ระดับ 7 ความสบายใจ คือภาวะที่มีรายได้จากทรัพย์สินมากกว่าค่าใช้จ่ายอยู่ครึ่งหนึ่ง
ระดับ 8 อิสรภาพทางการเงิน คือภาวะที่มีรายได้จากทรัพย์สินมากพอที่จะเรียนชีพได้โดยไม่ต้องทำงาน
ระดับ 9 ความมั่งคั่ง คือภาวะที่สามารถทำสิ่งที่ชอบทุกวันได้โดยที่ทรัพย์สินไม่ลดลง
ระดับ 10 อิสรภาพทางจิตใจ คือภาวะที่ไม่ได้มีแค่ความมั่งคั่งทางการเงิน แต่ยังมีความสัมพันธ์ที่ดี และมีความมั่งคั่งทางจิตใจด้วย เป็นเหตุให้ผู้คนจำนวนมากพลอยมีความสุขไปด้วย
เมื่อเลิกใช้เงินเกินฐานะ ความเครียดหรือความวิตกกังวลเรื่องงานก็จะลดน้อยลง มีทางให้เลือกมากขึ้น และได้รับโอกาสใหม่ ๆ มากมาย
บทที่ 3 คุณค่าของเงินที่พึ่งเข้าใจตอนเป็นชาวมินิมอลลิสต์
อารมณ์เชิงลบที่เกิดจากเงินซึ่งทำให้โดนเงินครอบงำ เวลาที่คิดเรื่องเงินในชีวิตประจำวัน อาจจะเกิดอารมณ์เชิงลบ หรือบางทีก็เกิดอารมณ์เชิงบวก มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มักจะโดนเงินครอบงำได้ง่าย หากเข้าใจอารมณ์ดังกล่าว และหาหนทางรับมือได้อย่างเหมาะสม ปัญหากลุ้มใจเกี่ยวกับเงินก็จะค่อย ๆ หายไปเอง เมื่อเกิดอารมณ์เชิงลบขึ้น มันก็อาจจะขัดขวางกระแสการเงินแบ่งอารมณ์เชิงลบที่เกิดจากเงินออกเป็น 5 แบบคือ
- ความกังวล ความไม่สบายใจ หรือความกลัว คนที่กังวลเรื่องเงินบ่อย ๆ จึงจำเป็นต้องหาวิธีสร้างความรู้สึกอุ่นใจ โดยเริ่มจากการกำหนดจำนวนเงินที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตอย่างชัดเจน กำหนดจำนวนเงินที่คิดว่าถ้ามีเงินเท่านี้ก็มีความสุข และจินตนาการถึงชีวิตความเป็นอยู่ขั้นต่ำที่คาดหวัง
- ความอิจฉา ความเกลียดชัง หรือความโกรธ เมื่อเกิดความอิจฉาคนอื่นในเรื่องเงินหรือความสำเร็จ กระแสการเงินก็จะติดขัด การทำให้คนรู้สึกไม่พอชอบใจกลายมาเป็นพวกพ้อง ก็จะสามารถเปลี่ยนศัตรูให้มาเป็นมิตรและคู่แข่งที่ดีได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นดังเสือติดปีกเลยทีเดียว
- ความรู้สึกเหนือกว่าความรู้สึกด้อยกว่า หรือความหยิ่งยโส อารมณ์ที่เป็นสาเหตุหลักของการซื้อของแบบไม่ยั้งคิด เพื่อไม่ให้รู้สึกเหนือกว่าหรือด้อยกว่าใคร จนเผลอแสดงท่าทีหยิ่งยโสหรือดูถูกคนอื่น ให้พยายามรักษาท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน และขอบคุณคนรอบข้างอยู่เสมอ คนที่มีความมั่งคั่งอย่างแท้จริงจะทำกันแบบนี้ ผู้คนกับเงินถึงเข้ามาหาเองโดยธรรมชาติ
- ความเกรงใจ ความรู้สึกผิด หรือความอับอาย โอกาสต่าง ๆ ที่ได้รับล้วนมีที่มาจากตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นผลงาน การกระทำ หรือนิสัย คนรอบข้างเชื่อมั่นจึงมอบหมายงานให้ มอบเงินหรือของขวัญเป็นสิ่งตอบแทน รวมทั้งหยิบยื่นโอกาสที่ดีให้ เลิกเกรงใจที่จะตอบรับโอกาส แล้วหันมามุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาตัวเอง เพื่อให้กลายเป็นคนที่เหมาะสมกับโอกาสที่เข้ามา
- ความเศร้า ความเสียใจภายหลัง หรือความสิ้นหวัง เมื่อเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้น การยอมรับว่าไม่อาจแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ และคิดหาวิธีรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เป็นวิธีที่ชาญฉลาดกว่า หยุดพักสักระยะเพื่อเยียวยาความบอบช้ำ จะเกิดความเข้มแข็งขึ้นเอง เมื่อจิตใจสงบลงแล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน และก้าวไปข้างหน้าได้
ทักษะ 4 อย่างที่ทำให้เงินงอกเงย ในการเพิ่มเงินและสร้างความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่องนั้นจำเป็นต้องมีทักษะ 4 อย่างดังนี้
- ทักษะการออมเงิน ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิต
- ทักษะการหาเงิน หากพึ่งการประหยัดอดออมอย่างเดียว เมื่อหักรายจ่ายออกจากรายรับในแต่ละเดือนแล้ว ก็จะเหลือกำไรในจำนวนที่จำกัด จึงต้องใช้ทักษะการหาเงินและทักษะการออมเงินควบคู่กันไป เพื่อให้คงเหลือกำไรมากขึ้น
- ทักษะการเพิ่มเงิน นำเงินที่มีอยู่มาลงทุนเพื่อทำให้เงินเพิ่มขึ้น
- ทักษะการใช้เงิน คือการคิดว่าจะใช้เงินไปกับอะไร และจะแบ่งสัดส่วนการใช้เงินอย่างไร จากนั้นจึงค่อยลงมือทำจริง ถ้าไม่สนุกหรือไม่มีความสุขกับชีวิตและการทำงาน ก็จะสูญเสียความหมายของชีวิตและความภาคภูมิใจในการทำงานไป ดังนั้น การใช้จ่ายฟุ่มเฟือยเพื่อสร้างความสุขจึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
เมื่อหาเงินเก่งแล้วอย่าทำตัวหยิ่งยโส เงินมีพลังมากถึงขนาดทำให้คนขาดสติได้ กล่าวคือพอหาเงินได้เยอะ บางคนก็จะคิดไปเองว่าเป็นคนเก่ง และกลายเป็นคนยิ่งยโสไปในที่สุด การมีความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าลืมว่าเบื้องหลังของการได้เงินมานั้นมีครอบครัว และเพื่อนร่วมงานคอยสนับสนุนอยู่ ลูกค้าจำนวนมากที่จ่ายเงินให้ก็เช่นกัน หากพวกเขาเห็นท่าทีหยิ่งยโสและก้าวร้าวแล้วพวกเขาจะคิดอย่างไร เมื่อมีเงินเยอะก็ยิ่งต้องแสดงท่าทีนอบน้อมและรู้สึกขอบคุณ คนรวยที่มีความสุขอย่างแท้จริงจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว และหาเงินจากสิ่งที่ตัวเองรัก ในขณะที่ได้รับความไว้วางใจ ความเคารพนับถือจากเพื่อนร่วมงานและลูกค้าของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นควรตระหนักด้วยว่า สิ่งที่ควรเพิ่มให้มากขึ้นคือความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่รายได้หรือทรัพย์สิน
บทที่ 4 วิธีปรับจิตใจให้ไม่ถูกเงินครอบงำ
เงินเป็นสิ่งที่มีผลต่อความรู้สึกนึกคิด และการกระทำของมนุษย์อย่างมหาศาล มันสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ที่ใครหลายคนรู้สึกเหนื่อยล้าเองก็เป็นเพราะถูกเงินครอบงำ การปรับจิตใจเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างชีวิตที่มีความสุข และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเงิน เพราะสภาพจิตใจสามารถส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงความคิด การกระทำ และนิสัยได้ การใช้ชีวิตอย่างตั้งใจและเป็นระเบียบเรียบง่ายจะช่วยบ่มเพาะจิตใจที่ดี
ถอยห่างจากการหาเงินมากขึ้นสักก้าวหนึ่ง ทุกวันนี้โลกถูกขับเคลื่อนด้วยเงิน คนส่วนใหญ่จึงคิดว่าความสุขเกิดจากการมีเงินเพิ่มขึ้น เมื่อทำงานหนักขึ้นหรือหาเงินมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงหลังจากที่พยายามทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมากขึ้นแล้วได้อะไรกับมาบ้าง แน่นอนว่าคงมีข้าวของเพิ่มมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็อาจมีหนี้เยอะขึ้น หรือเครียดหนักขึ้นด้วย หากไม่อยากถูกเงินครอบงำจำเป็นต้องทบทวนวิธีใช้ชีวิตใหม่อีกครั้ง นอกจากนี้อย่าลืมคิดดูว่าอะไรคือความสุขที่ต้องการจริง ๆ เพราะการอยากมีความสุขในหลาย ๆ เรื่องมากเกินไป ทำให้ต้องสูญเสียความสุขในเรื่องที่สำคัญจริง ๆ ไปได้ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่โง่เขลา เพราะมักจะตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งที่มีอยู่ในตอนที่สูญเสียมันไปแล้ว ทุกคนมีอิสระในการเลือกชีวิตของตัวเอง ลองเลือกสิ่งที่ทำให้มีความสุขตั้งแต่วันนี้
ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์เพื่อจัดระเบียบจิตใจของตัวเอง หากใช้ชีวิตแบบเร่งรีบการกระทำต่าง ๆ จะกลายเป็นเพียงกิจกรรมธรรมดาที่ไม่มีความหมาย แต่ถ้าใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ก็จะตระหนักได้ว่า กิจกรรมธรรมดาเหล่านี้มีคุณค่าและเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต ก้าวแรกในการเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตคือ การเปลี่ยนแปลงจิตใจ ดังนั้น ขอให้เริ่มจากการใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์ และใส่ใจกระทั่งสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ สิ่งสำคัญที่ช่วยให้ได้ใช้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์คือการลด เพราะถ้ามีของมาก มีงานเยอะ ก็จะมีเวลาทำสิ่งต่าง ๆ น้อยลง และต้องเร่งรีบจนอาจเกิดความเครียดสะสม ดังนั้น หากอยากใช้ชีวิตอย่างสบาย ๆ ก็ต้องลดสิ่งของก่อน เมื่อมีของน้อยลงงานบ้านจะน้อยลงตามไปด้วยเอง สุดท้ายก็จะเขยิบเข้าใกล้ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์มากขึ้น นอกจากนี้อย่าลืมลงมือทำเรื่องธรรมดาอย่างใส่ใจ
การเสียสละความสุขไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา เงินเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ แต่บ่อยครั้งกลับไม่ค่อยคิดว่าจริง ๆ แล้วตัวเองต้องการอะไร ก็เลยมักจะใช้เงินไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ บางคนยึดติดกับเงินจนถึงขั้นยอมเสียสละความสุขของตัวเองไปด้วยซ้ำ ลองตั้งสติแล้วถามตัวเองว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้มีความสุข หรืออะไรที่จะนำพาความสุขเข้ามาในชีวิต จะได้ใช้เงินอย่างระมัดระวัง และมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น สิ่งสำคัญคือการรักษาความสุขของตัวเอง ควบคู่ไปกับการเก็บออมเงินเพื่ออนาคต ต่อให้เป็นคนที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ถ้ากำหนดว่าจะใช้ชีวิตด้วยเงิน 90% ของรายได้ในแต่ละเดือน ก็คงต้องเริ่มไตร่ตรองลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องการ และให้ใช้เงินไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นน้อยลงอย่างแน่นอน การใช้เงินโดยไม่เข้าใจความต้องการของตัวเอง หรือการประหยัดจนไม่ยอมใช้เงินเลยนั้น ไม่ได้ทำให้ชีวิตมีความสุข
สร้างวงจรแห่งความสุขด้วยการขอบคุณ ยิ่งพูดขอบคุณมากเท่าไหร่ คำขอบคุณก็ยิ่งกลับมาหามากเท่านั้น คนที่ประสบความสำเร็จแล้วลืมขอบคุณคนรอบข้าง จะกลายเป็นคนถือตัวที่คิดว่าการได้รับเงินไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร ไม่ว่าชีวิตจะราบรื่นหรือประสบความสำเร็จมากขนาดไหนก็ควรถ่อมตน และแสดงความรู้สึกขอบคุณต่อไปเรื่อย ๆ เบื้องหลังความสำเร็จนั้นมาจากการสนับสนุนของผู้คนมากมาย อย่าโอ้อวดว่ามันเป็นความสำเร็จของตัวเองเพียงคนเดียว นอกจากนี้เงินของเราก็คือเงินที่ได้มาจากคนอื่นอีกที ต่อให้ตอนนี้ยังเป็นจำนวนที่น้อยอยู่ แต่ถ้าถ่อมตนและไม่ลืมขอบคุณคนรอบข้างอยู่เสมอ เงินก็จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นจนเป็นจำนวนที่เยอะในที่สุด
บทที่ 5 วิธีใช้เงินที่ทำให้เงินงอกเงยในอนาคต
การใช้ชีวิตแบบมินิมอลไม่ได้หมายถึงแค่การมีของน้อยชิ้น แต่ยังเป็นการตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นในทุก ๆ ทางทิ้งไป เพื่อจะได้ไตร่ตรองเกี่ยวกับชีวิตอย่างลึกซึ้ง เพียงเท่านี้ก็จะคิดได้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด และอะไรเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
ใช้เงินอย่างกระตือรือร้นกับสิ่งที่สร้างความประทับใจ การใช้เงินกับสิ่งที่ขับเคลื่อนจิตใจ หรือสิ่งที่สร้างความประทับใจ จะช่วยขัดเกลาประสาทสัมผัสเรื่องเงินของตัวเอง การขัดเกลาประสาทสัมผัสเช่นนี้ จะทำให้รู้สึกประทับใจกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ทั้งยังได้ขัดเกลาความเป็นมนุษย์ของตัวเอง จึงส่งผลดีต่อการทำงานด้วย แนวทางการใช้เงินมี 5 ข้อคือ
- ใช้เงินกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกสนุกสนาน หากหมั่นใช้เงินกับสิ่งที่ทำให้รู้สึกสนุกสนาน ก็จะรู้สึกสนุกสนานกับเรื่องเงินจากใจจริงได้ ทั้งยังรู้วิธีสร้างความสนุกสนาน หรือความประทับใจให้ลูกค้า ทำให้ดึงดูดเงินเข้ามาได้ง่ายขึ้น
- ใช้เงินด้วยความรู้สึกขอบคุณ ธุรกิจสร้างขึ้นจากคน และคนเหล่านั้นก็มีอารมณ์ความรู้สึก ถ้าทำให้พวกเขารู้สึกดี พวกเขาก็จะให้บริการที่ดีกับลูกค้าคนถัดไป ทำให้ลูกค้าคนนั้นรู้สึกขอบคุณเช่นกัน แล้วความรู้สึกดี ๆ เช่นนี้ก็จะวนกลับมาหาเราอีก
- ใช้เงินในการเพิ่มรอยยิ้ม การใช้เงินในการทำให้คนอื่นดีใจหรือยิ้มได้ จะทำให้ทั้งเราและอีกฝ่ายมีความสุข ในทางกลับกันถ้ามีทัศนคติว่า เงินเป็นสิ่งที่ไม่ควรใช้ก็จะไม่รู้สึกยินดี หรือไม่มีความสุข
- ใช้เงินในการแบ่งปันความรู้สึกของตัวเอง การทำให้ตัวเองและคนรอบข้างมีความสุขจะทำให้ได้รับประโยชน์ เพราะเมื่อมีความสุขก็จะดึงดูดคนที่มีความสุขเข้ามาหาอีกที
- ใช้เงินในการสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ลองออกจากพื้นที่ที่ใช้ชีวิตเป็นประจำ แล้วไปสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ๆ บ้าง เพียงเท่านี้ก็จะได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากแล้ว การได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ รวมถึงการได้สัมผัสวัฒนธรรมกับค่านิยมใหม่ ๆ นั้น จะช่วยเปิดโลกทัศน์ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และช่วยกระตุ้นทำให้มองโลกได้กว้างขึ้น
ลงทุนกับการพัฒนาตัวเองในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม คนที่ทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบ จะดูโดดเด่นกว่าคนอื่น ๆ ที่ทำงานแบบเดียวกัน มีคนจำนวนมากที่อยากทำให้พรสวรรค์เปร่งประกาย แต่พรสวรรค์จะไม่อาจฉายแววได้หากเงื่อนไขไม่เหมาะสม บางคนจึงใช้ชีวิตจนตายไปโดยที่ไม่เคยตระหนักถึงพรสวรรค์ของตัวเองเลย การบ่มเพาะพรสวรรค์ก็เหมือนกับการปลูกดอกไม้ ต้องจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แล้วหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งพรสวรรค์ลงไป โดยให้แสงสว่างส่องถึง และให้สารอาหารด้วย พรสวรรค์ถึงจะงอกงาม ก้าวแรกในการตระหนักถึงพรสวรรค์ของตัวเองคือ การค้นหา คนที่ชื่นชมหรือการให้ความสนใจกับสิ่งที่ตัวเองหลงใหล ความรู้สึกสนุกและตื่นเต้นก็สำคัญเช่นกัน จึงต้องเรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์มากมาย ส่วนสารอาหารก็คือความรู้ ข้อมูล ทักษะ และประสบการณ์จริง ปัญหาสำคัญในการบ่มเพาะพรสวรรค์ก็คือเรื่องเงิน การจะสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการพัฒนาพรสวรรค์นั้นมักต้องใช้เงิน ทางที่ดีควรนำเงินไปลงทุนกับการพัฒนาตัวเองในขอบเขตที่ทำได้ โดยต้องเป็นคนมอบสภาพแวดล้อม แสงสว่าง และสารอาหารให้กับพรสวรรค์ของตัวเอง เมื่อแสดงพรสวรรค์ออกมาได้ นอกจากจะมีประโยชน์กับตัวเองแล้ว ยังใช้มันในการช่วยเหลือคนรอบข้าง และทำให้พวกเขามีความสุขได้ด้วย
ทำงานในสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่ถนัด คนที่มีความสุขที่สุดในโลกก็คือ คนที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักทุกวัน ถ้ามองในแง่นี้คนที่สามารถหาเงินจากงานอดิเรกได้ ย่อมเป็นคนที่มีความสุขมาก ๆ อยู่กับสิ่งที่ชอบไม่ว่าใครก็สามารถทุ่มเทให้กับมันได้ มีไอเดียผุดขึ้นมามากมาย และไม่ต้องใช้ความพยายามมาก ดังนั้น ถ้าได้ทำงานในสิ่งที่ชอบก็จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง คนทำงานระดับแถวหน้าทุกคนล้วนสนุกกับงานของตัวเอง ถ้าทำแบบเดียวกันโดยเริ่มจากการทำสิ่งที่ชอบหรือสิ่งที่ถนัดเป็นงานเสริม ก็มีโอกาสที่จะทำมันได้นานและเติบโตได้ง่าย เมื่อหางานที่พร้อมจะทุ่มเททั้งชีวิตให้มันเจอแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือการลงทุนในการพัฒนาตัวเอง และในธุรกิจที่สนใจอย่างไม่นึกเสียดาย การทำเช่นนี้จะนำมาซึ่งผลตอบแทนก้อนโตในอนาคต
มาเพิ่มทรัพย์สินยุคใหม่กันเถอะ ความสามารถในการเผยแพร่ข้อมูล ชื่อเสียง และอิทธิพลถือเป็นอาวุธที่สำคัญ เนื่องจากโซเชียลมีเดียมีพลังในการดึงดูดความสนใจ และพลังในการสร้างอิทธิพลต่อชีวิตของผู้คน นั่นจึงถือเป็นทรัพย์สินยุคใหม่ การเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นนั้นสามารถเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม ที่จะช่วยสนับสนุนและสร้างรายได้เสริมให้ โซเชียลมีเดียนับว่าเป็นทรัพย์สินด้วยเหตุผล 4 ข้อดังนี้
- สร้างความน่าเชื่อถือ ความสามารถในการเผยแพร่ข้อมูล ชื่อเสียง และอิทธิพล สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ง่าย ๆ จากจำนวนผู้ติดตาม ในโซเชียลมีเดียการมีผู้ติดตามจำนวนมากจะเป็นข้อได้เปรียบในการหางานใหม่ การขายสินค้า การทำธุรกิจส่วนตัว หรือการรับสมัครพนักงาน จำนวนผู้ติดตามจึงเป็นเครื่องยืนยันความน่าเชื่อถือ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้คน งาน และโอกาสต่าง ๆ จะเข้ามาหาคนที่ได้รับความน่าเชื่อถือ
- สร้างทักษะ การจะดึงดูดความสนใจจากคนจำนวนมากได้ต้องใช้ทักษะ ตัวเลขที่ชี้วัดทักษะเหล่านี้ได้ง่ายก็คือจำนวนผู้ติดตาม และจำนวนการเข้าชมในโซเชียลมีเดีย ซึ่งคนที่มีทักษะย่อมได้รับความสนใจเป็นธรรมดา
- สร้างเครือข่าย เวลาที่เผชิญกับความยากลำบาก มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ได้รับความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ จากผู้ติดตามในโซเชียลมีเดีย ผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียจึงนับว่าเป็นคนที่สำคัญมาก
- สร้างรายได้ โซเชียลมีเดียแต่ละช่องทางย่อมมีจุดที่แตกต่างกัน ให้ใส่ใจเวลาที่เผยแพร่ข้อมูลในโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 เรื่องดังนี้
เรื่องแรกคือการนำเสนอคอนเท้นต์ที่ช่วยแก้ปัญหาของผู้ชม โอกาสทางธุรกิจเกิดจากปัญหา ความไม่พอใจ และความไม่สะดวก ในโลกใบนี้การไม่มองข้ามสิ่งเหล่านี้และสร้างประโยชน์ให้ผู้ชม จะทำให้ได้รับคำขอบคุณ (เงินจำนวนมาก)
- หากต้องการได้ยอดการเข้าชมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ต้องทำคอนเทนต์เกี่ยวกับข่าวที่กำลังได้รับความสนใจ กระแสสังคมในตอนนี้ หรือสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยม แต่คลิปวีดีโอที่มีประโยชน์แม้จะมาดูในอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า แม้จะไม่ได้มียอดการเข้าชมสูงขึ้นพรวดพราด แต่ยอดการเข้าชมจะเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคง และมีผู้ชมจะกลับมาดูซ้ำ ๆ
เรื่องสุดท้ายคือการสร้างคอนเทนต์ที่โดดเด่นไม่แพ้ใครพูดง่ายๆก็คือการสร้างความแตกต่าง
ใช้เงินในการท้าทาย หากไม่ลองท้าทายอะไรเลย ก็จะไม่เติบโตและไม่อาจประสบความสำเร็จ มีแต่คนที่กล้าท้าทายเท่านั้นถึงจะคว้าความสำเร็จและความมั่งคั่งทางการเงินเอาไว้ได้ แต่เวลาที่ท้าทายก็ต้องเผชิญกับโลกที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกกลัวหรือกังวล แล้วพอเกิดความลังเลขึ้นมาหลายคนก็เลือกที่จะไม่ท้าทาย สิ่งต้องห้ามในเวลาที่ท้าทายสิ่งใหม่ก็คือ การเลือกเส้นทางที่จะไม่ล้มเหลว การท้าทายย่อมมาพร้อมกับความล้มเหลวเสมอ ไม่ว่าจะวางแผนอย่างรอบคอบแค่ไหน ก็ต้องมีสักเรื่องสองเรื่องที่ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมอง ถ้าอัตราความสำเร็จคือ 10% ก็หมายความว่าเมื่อลองทำ 10 ครั้งจะมีโอกาสสำเร็จ 1 ครั้ง และเมื่อลองทำ 100 ครั้งก็จะมีโอกาสสำเร็จ 10 ครั้ง ถ้าไม่ยอมลองทำเลยแม้แต่ครั้งเดียว โอกาสสำเร็จก็จะเป็นศูนย์อย่างไม่ต้องสงสัย จงเพิ่มจำนวนครั้งของความสำเร็จ สะสมผลงาน และสร้างความน่าเชื่อถือ การล้มเหลวซ้ำ ๆ จะทำให้ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น และมีข้อมูลสำหรับนำไปใช้วิเคราะห์มากขึ้น ด้วยเหตุนี้อัตราความสำเร็จจึงเพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 20% 30% หรือมากกว่านั้นได้
บทที่ 6 เงินจะเพิ่มขึ้นเมื่อเปลี่ยนวิธีใช้เวลา
ทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ถึงอย่างนั้นกลับมีความสามารถ รายได้ เงินเก็บ และผลลัพธ์ในการทำงานที่ไม่เหมือนกันเลย เหตุผลก็เพราะแต่ละคนมีวิธีใช้เวลาที่แตกต่างกันนั่นเอง
การมีเวลาจะนำไปสู่การมีเงิน การจัดสรรเวลาคือวิธีพัฒนาตัวเองที่ดีที่สุด สิ่งนี้เป็นเรื่องที่รู้กันดีในหมู่คนที่ทำผลงานได้ ดังนั้นถ้าอยากไล่ตามคนที่มีความสามารถหรือคนที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้วให้ทัน ก็ต้องรู้จักจัดสรรเวลาให้ดี หากอยากจะมีความมั่งคั่งทางการเงินแนะนำให้คิดถึงเรื่องการมีเวลาก่อนที่จะคิดถึงเรื่องการมีเงิน นี่เป็นก้าวแรกสู่ความมั่งคั่ง เพราะต่อให้ไม่มีเงินก็ยังพอมีวิธีอื่นที่จะขับเคลื่อนชีวิตต่อไปได้ แต่หากไม่มีเวลาจะทำอะไรไม่ได้เลย ลองเริ่มจากการหาเวลาว่างสัก 1 ชั่วโมงต่อวันเพื่อทำสิ่งที่ควรทำดู โดยการตรวจสอบตารางเวลาและงานที่ต้องทำตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอนอย่างถี่ถ้วน แล้วพิจารณาว่ามีอะไรที่เป็นความสูญเปล่า หรือมีอะไรที่ตัดออกได้บ้าง ลองเขียนตารางเวลาในอดุมคติออกมาดู การประหยัดมากเกินไปอาจทำให้เสียเวลาเปล่าเช่นกัน เมื่อเชื่อว่าเงินเป็นสิ่งหายาก จะรู้สึกอยากประหยัดจนยอมเสียสละเวลาของตัวเอง เช่น เสียเวลามานั่งตัดคูปองส่วนลด เสียเวลาเดินวนในซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อตามล่าของลดราคา เวลาที่เสียไปจะไม่มีวันย้อนกลับคืนมา ในบางกรณีสู้เอาเวลาเหล่านั้นไปทำงานหาเงินเพิ่มยังจะดีเสียกว่า ในการเปลี่ยนงานหรือพัฒนาตัวเองเพื่อเพิ่มเงินเดือน การทำอาชีพเสริมเพื่อหารายได้พิเศษ หรือการลงทุนเพื่อเพิ่มรายรับ จำเป็นต้องหาเวลาสำหรับเรียนรู้และฝึกฝนทักษะ ข่าวดีคือการจัดสรรเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ อาจทำให้ใช้เวลาเพียงครึ่งเดียวในการหารายได้ที่มากกว่าเดิมถึง 2 เท่า ขอแค่หันมาจัดสรรเวลาจนติดเป็นนิสัย หรือพยายามเพิ่มรายได้แทนที่จะประหยัดเพียงอย่างเดียว ก็จะมีเงินมากขึ้นโดยที่ใช้เวลาทำงานน้อยลง เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าและหายากยิ่งกว่าเงิน
ทำไมการตื่นเช้าถึงช่วยในการเพิ่มรายได้ ถ้าอยากเป็นที่หนึ่งในวงการ อาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการเพิ่มรายได้ ทรัพย์สิน ฐานลูกค้า และผลประกอบการ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้สามารถเป็นที่หนึ่งได้ทันทีตั้งแต่พรุ่งนี้นั่นคือการตื่นเช้า การตื่นเช้าเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ก็ทำได้หากมีความตั้งใจ การตื่นเช้าทำให้รวยได้เพราะว่า
- การตื่นเช้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ตอนเช้าคือช่วงเวลาทองที่สมอของคนเราสดชื่นแจ่มใสมากที่สุด จึงสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ
- การตื่นเช้าช่วยให้มีเป้าหมายชัดเจน เมื่อกำหนดสิ่งที่อยากทำอย่างชัดเจน ก็จะมีแรงจูงใจในการตื่นมาใช้เวลาตอนเช้าอย่างมีประสิทธิภาพ เวลาที่เคยเสียไปอย่างสูงเปล่าจะเปลี่ยนเป็นเวลาที่ก่อให้เกิดประโยชน์
- การตื่นเช้าช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดี แน่นอนว่าแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน เพราะคนที่ทำงานจนดึกมีอยู่เต็มไปหมด แต่คนที่ทำงานตั้งแต่เช้ากลับมีอยู่แค่หยิบมือเดียว ถ้ามาทำงานตั้งแต่เช้าก็จะมีภาพลักษณ์ในทางที่ดีกว่า เป็นคนกระตือรือร้น หรือเป็นคนตั้งใจทำงาน
- การตื่นเช้าช่วยให้ทำงานเสร็จก่อนคนอื่น เมื่อไปทำงานเร็วขึ้น 1 ชั่วโมงก็จะทำงานเสร็จก่อนคนอื่น 1 ชั่วโมงเช่นกัน ซึ่งการเริ่มงานเร็วกว่าคนอื่นแบบนี้ จะทำให้ได้รับการประเมินว่าเป็นคนทำงานเร็ว ถ้าทำงานเสร็จก่อนกำหนดก็จะได้รับความชื่นชมมากกว่าตอนที่ส่งงานช่วงดึก ๆ หรือส่งงานในนาทีสุดท้าย
- การตื่นเช้าช่วยให้มีเวลารับมือกับปัญหา พอเริ่มทำงานตั้งแต่เช้างานก็จะเสร็จเร็วขึ้น จึงมีเวลาเผื่อไว้สำหรับรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
- การตื่นเช้าช่วยเพิ่มเวลาว่างให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานให้เสร็จเร็ว ๆ หรือการตื่นนอนเช้า ๆ ก็ช่วยเพิ่มเวลาว่างให้ได้ทั้งนั้น
- การตื่นเช้าช่วยสร้างความมั่นใจ เมื่อตื่นเช้าจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะได้รับความชื่นชมจากคนรอบข้าง นี่จึงยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้มากยิ่งขึ้นไปอีก
- การตื่นเช้าช่วยให้ทำงานสนุกขึ้น ถ้าตื่นเช้าและทำงานเสร็จเร็วก็จะมีเวลาเหลือไปพัฒนาทักษะของตัวเอง จนสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้เรื่อย ๆ พอมีผลงานดี ๆ คนรอบข้างก็จะชื่นชมมากขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกว่าการทำงานเป็นเรื่องสนุก และสัมผัสได้ถึงความพึงพอใจหลังจากที่ทำงานสำเร็จ
- การตื่นเช้าช่วยให้ใช้ชีวิตในแต่ละวันได้โดยไม่สูญเปล่า เมื่อนิสัยเปลี่ยน ความคิด การกระทำ และบุคลิกก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน นอกจากนี้ความรู้สึกที่ว่ามีเวลาเพิ่มขึ้นยังช่วยให้มีกำลังใจมากขึ้นอีกต่างหาก การทำแบบนี้ช่วยให้มีกำลังใจและสบายใจกับการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เพราะจะสามารถเอาเวลาที่เหลือไปทำงานอื่น หรือทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ
วิธีใช้เวลาตอนเช้าอย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกหลังจากตื่นนอน สมองของมนุษย์จะยังไม่อ่อนล้า และอยู่ในสภาพที่เป็นระเบียบ การทำงานของสมองในช่วงนี้ก็เลยมีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ การเลือกทำงานให้เหมาะสมกับช่วงเวลาเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากกว่า แค่คิดดูว่างานไหนต้องใช้สมาธิมากหรือน้อย และกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการทำงานนั้น ๆ ก็จะทำงานได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน ช่วงเวลาตอนเช้าเป็นช่วงเวลาล้ำค่า จนถึงกับได้ชื่อว่า ช่วงเวลาทอง แค่ตื่นมาใช้เวลาในช่วงนี้ชีวิตก็จะเปลี่ยนไป
วิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากขึ้นเป็น 2 เท่า นอกจากจัดสรรเวลาแล้ว ต้องรู้วิธีเพิ่มสมาธิหรือประสิทธิภาพในการทำงานด้วย ถ้าอยากทำงานได้เร็วขึ้นหรืออยากยกระดับคุณภาพงาน ขอแค่ทำตามคำแนะนำต่อไปนี้
- กำหนดสิ่งที่ต้องทำในวันนั้นอย่างชัดเจน ทุกเช้าตรวจสอบตารางงานและรายการสิ่งที่ต้องทำ จัดลำดับงานตามความสำคัญ และวางแผนการทำงานให้เหมาะสม วิธีนี้ช่วยให้ไม่ต้องปวดหัวว่าต้องทำอะไรต่อ และสามารถทำงานได้อย่างมีสมาธิ
- แบ่งเวลาทำงานเป็นช่วง ๆ ใช้นาฬิกาจับเวลาในการทำงาน เพราะการแบ่งเวลาทำงานเป็นช่วง ๆ ช่วยเพิ่มสมาธิได้ แถมยังชวนให้รู้สึกสนุกตื่นเต้นเหมือนกันกำลังเล่นเกมอยู่ด้วย การหยุดพักเป็นเรื่องที่สำคัญมาก หากทำงานจนถึงช่วงเวลาที่กำหนดแล้ว ให้พักประมาณ 10-15 นาที เพราะถ้าไม่หยุดพักเลยหรือใช้สมาธิต่อเนื่องเป็นเวลานาน สมองก็จะทำงานแย่ลง
- กำหนดเส้นตายในการทำงาน การกำหนดเส้นตายเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเพิ่มสมาธิได้ สำหรับการทำงานการรักษาเวลาอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะหากเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งก็จะชะล่าใจ และไม่เอาจริงเอาจังกับงานสักที การรักษาเวลาอย่างเคร่งครัด และทำงานให้เสร็จล่วงหน้าไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ยังช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับคนรอบข้างด้วย
- พัฒนาทักษะเพื่อเพิ่มเวลาให้ตัวเอง การพัฒนาทักษะคือการสร้างวงจรดี ๆ ที่ช่วยเพิ่มเวลาให้ตัวเอง ถ้าพัฒนาทักษะจนมีประสิทธิภาพในการทำงานเพิ่มขึ้นสัก 10% หรือ 20% จะสามารถทำงานได้เร็วขึ้น และมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ซึ่งหากนำเวลานั้นไปพัฒนาทักษะอย่างต่อเนื่อง ประสิทธิภาพในการทำงานก็จะเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งพัฒนาทักษะมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีเวลาไปเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นเท่านั้น
- ไม่ผัดวันประกันพรุ่งและทำทันที เวลาที่ต้องทำงานหรือทำงานบ้าน ไม่ว่าใครก็น่าจะเคยผัดวันประกันพรุ่งไปก่อน ทั้งที่สามารถจัดการให้เสร็จได้ในทันที การลังเลว่าจะทำหรือไม่ทำเป็นเรื่องที่เสียเวลาอย่างยิ่ง ถ้าเป็นงานที่ทำเสร็จได้ภายใน 3 นาทีก็รีบทำให้เสร็จไปเลยดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกกังวลใจไปตลอด จนไม่สามารถทำอะไรอย่างมีสมาธิได้
- แบ่งแยกระหว่างเวลาที่ควรทำแค่อย่างเดียวกับเวลาที่ควรทำหลายอย่างพร้อมกัน ถ้าแบ่งแยกได้อย่างชาญฉลาด ก็จะมีเวลาทำสิ่งต่าง ๆ มากขึ้นได้ใน 1 วัน
- ปรับอุณหภูมิในที่ทำงานให้เป็นอุณหภูมิที่เหมาะสมกับตัวเอง อุณหภูมิมีผลต่อสมาธิอย่างมาก ถ้าอุณหภูมิสูงไปก็จะรู้สึกร้อน คอแห้ง หรือกังวลเรื่องกลิ่นเนื้อกลิ่นตัวจนไม่สามารถตั้งสมาธิได้ ในทำนองเดียวกันถ้าอุ่นหากภูมิต่ำไป ก็จะรู้สึกหนาวและตัวสั่นเกร็งจนไม่มีสมาธิทำงาน
- ไม่วางสิ่งของไว้บนโต๊ะ เวลาทำงานที่โต๊ะให้หยิบเฉพาะของที่จำเป็นมาใช้ และเก็บเข้าที่เมื่อทำงานเสร็จ เพียงเท่านี้ก็จะได้ทำงานในสภาพแวดล้อมที่เป็นระเบียบเรียบร้อย และมีสมาธิอยู่กับงานตรงหน้าได้ วิธีนี้ช่วยประหยัดเวลา และพลังงานที่ใช้ในการจัดโต๊ะอีกด้วย
- ทำให้เป็นกิจวัตรและใช้เครื่องทุ่นแรง จริงอยู่ว่าปริมาณงานที่ทำได้ในแต่ละวันขึ้นอยู่กับพลังงานสมอง แต่สำหรับบางเรื่องไม่ต้องใช้พลังงานสมองมากนักก็ได้ มนุษย์ต้องตัดสินใจหลายต่อหลายครั้งในแต่ละวัน ยิ่งตัดสินใจบ่อยเท่าไหร่และมีตัวเลือกมากเท่าไหร่สมองก็จะยิ่งอ่อนล้ามากเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการทำให้เป็นกิจวัตรและการใช้เครื่องทุ่นแรง การทำให้เป็นกิจวัตรคือการเลือกทำสิ่งเดิมเสมอ เช่น จัดกระเป๋าแบบเดิมทุกวัน ไปร้านค้าร้านเดิมทุกรอบ การใช้เครื่องทุ่นแรงคือการทำงานบ้านด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำงานอัตโนมัติ เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า หุ่นยนต์ทำความสะอาด เครื่องล้างจาน เพื่อให้ทำงานสำคัญ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทที่ 7 วิธีคิดแบบชาวมินิมอลลิสต์ที่ช่วยเปลี่ยนชีวิต
เรื่องที่คิดอยู่เป็นประจำ ค่านิยม สามัญสำนึก และเรื่องที่ตระหนักได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้พฤติกรรมและชะตาชีวิตเปลี่ยนไป เวลาที่มุ่งมั่นตั้งใจทำงาน หรือเวลามีความฝันที่อยากทำให้สำเร็จ คิดจะทำอย่างไร? ขณะอยู่ในช่วงที่ดีที่สุดหรือช่วงที่แย่ที่สุดของชีวิต วิธีคิดเหล่านี้จะช่วยให้หลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้ายได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้รักษาสถานการณ์ที่ดีให้คงอยู่ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
เปลี่ยนแปลงวิธีทำงานของตัวเอง การลดชั่วโมงการทำงานจะทำให้รายได้ลดลงชั่วคราว ชีวิตความเป็นอยู่จึงอาจจะลำบากบ้าง แต่มันก็เป็นโอกาสดีในการเริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ สำหรับคนที่ไม่สามารถลดชั่วโมงการทำงานของงานหลักได้ในทันที ถ้าอยากลดชั่วโมงการทำงานไปพร้อมกับทำงานที่ชอบ แนะนำให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ลดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันให้ต่ำที่สุด
- เก็บออมเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินจากรายได้หลัก
- เพิ่มเวลาให้ตัวเองด้วยการตัดเวลาที่เปล่าประโยชน์ทิ้งไป
- นำเงินไปลงทุนในการพัฒนาตัวเอง หรือจะนำเงินก้อนเล็ก ๆ ไปลงทุนในดัชนีหุ้นก็ได้
- เริ่มทำงานเสริมที่ตัวเองชอบ เพื่อสร้างรายได้เสริม ตั้งเป้าให้รายได้เสริมครอบคลุมครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
6. ขยายขอบเขตของงานเสริมด้วยการลงทุนในการพัฒนาตัวเองหรือธุรกิจตั้งเป้าให้รายได้เสริมเป็น 2 เท่าของค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
- ลดเวลาในการทำงานหลัก
- เพิ่มรายได้แบบ passive โดยการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์และความสำเร็จที่ผ่านมา
- ลดเวลาทำงานด้วยการสร้างระบบการทำงานอัตโนมัติ หรือจ้างบุคคลภายนอกเพื่อเพิ่มเวลาให้ตัวเอง
- นำเงินไปลงทุนในดัชนีหุ้นเพื่อทำให้ทรัพย์สินงอกเงยมากยิ่งขึ้น
สิ่งสำคัญไม่ใช่การร่ำรวยขึ้นมาในทันทีทันใด แต่อยู่ที่การพยายามอย่างไม่ย่อท้อ และความต่อเนื่องต่างหาก คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานอย่างเดียว แล้วก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเงินอย่างเดียวด้วย เกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ตัวเองรู้สึกสนุกจากใจจริง ดังนั้น ลองค่อย ๆ ก้าวออกจากโลกที่หมุนรอบเงินและงาน ไปสู่โลกที่หมุนรอบสิ่งที่ชอบดู
เงินจะงอกเงยขึ้นเมื่อปรารถนาให้ใครสักคนมีความสุข เมื่อทำให้ลูกค้ารู้สึกขอบคุณ ก็จะได้รับเงินเป็นสิ่งตอบแทน และถ้าคนจำนวนมากรู้สึกขอบคุณ ก็จะได้เงินตอบแทนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เมื่อทำงานด้วยวิธีคิดเช่นนี้ นอกจากจะได้เงินเป็นสิ่งตอบแทนแล้ว มันยังทำให้หัวใจอิ่มเอมอีกด้วย สามารถเพิ่มความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้ โดยการทำให้พวกเขารู้สึกขอบคุณมากยิ่งขึ้น แล้วความไว้วางใจดังกล่าวจะสร้างความมั่งคั่งให้เพิ่มมากขึ้นได้ การมีอิสรภาพทางการเงินไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงได้ด้วยความรีบร้อน ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินแบบไหนก็มีความรู้สึกของผู้คนซ่อนอยู่เบื้องหลัง ถ้าสามารถทำให้ลูกค้าจำนวนมากรู้สึกขอบคุณและไว้วางใจในระยะยาวอย่างมั่นคงได้ ก็จะมีอิสระภาพทางการเงินในที่สุด
ความต่อเนื่องคือบ่อเกิดของความมั่งคั่ง อยากประสบความสำเร็จ อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเอง อยากมีเงินเยอะ ๆ คงมีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่คิดแบบนี้ และมีหลายคนที่กำลังมุ่งมั่นพยายาม โดยวาดฝันถึงสิ่งเหล่านี้อยู่ ความต่อเนื่องคือพลังที่ช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง และเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ เคล็ดลับในการเพิ่มพลังความต่อเนื่องคือ
- วาดภาพอนาคตด้วยแผน 10 ปี สิ่งสำคัญในการเปลี่ยนแปลงชีวิตคือความยืดหยุ่นทางจิตใจ การยอมรับความล้มเหลว และความตั้งใจที่จะพยายามอย่างต่อเนื่อง ด้วยการวางแผน 10 ปีจะไม่หลุดจากทิศทางที่ควรจะมุ่งไป ลองจินตนาการถึงอนาคตในอีก 10 ปีข้างหน้า จากนั้นนำอนาคตดังกล่าวมาพิจารณาเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบัน (สถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้) เมื่อเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างปัจจุบันกับอนาคต ก็จะตระหนักถึงสิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่จำเป็นได้เอง หลังจากทำความเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว ให้วางแผนย้อนกลับไปกำหนดเป้าหมาย และแผนการปฏิบัติจะทำ (อะไร ที่ไหน และเมื่อไหร่) แบบรายปีอย่างเป็นขั้นตอน สิ่งสำคัญคือต้องระบุเป็นตัวเลขอย่างละเอียด เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการวัดความสำเร็จ เช่น อายุ รายได้ต่อปี ยอดขาย กำไร จำนวนทรัพย์สิน จำนวนสาขา จำนวนพนักงาน จำนวนผู้ติดตาม จำนวนสินค้า น้ำหนัก และคะแนนสอบ เอาเป็นว่าให้กำหนดเป็นตัวเลขไว้ก่อน เพราะมันจะทำให้ความฝันชัดเจนยิ่งขึ้น
- รับรู้ความจริงด้วยการเผชิญหน้ากับตัวเลข ตัวเลขไม่เคยโกหก ดังนั้น การเผชิญหน้ากับตัวเลขทุกวันจึงเป็นสิ่งสำคัญ การเผชิญหน้ากับตัวเลขคือการมองความจริงอย่างตรงไปตรงมา คนที่เผชิญหน้ากับตัวเลขทุกวัน จะสามารถลงมือทำเพื่อเป้าหมายได้อย่างเป็นระบบ ในทางกลับกันคนที่ไม่ได้เผชิญหน้ากับตัวเลขเป็นเวลานาน ๆ จะมองข้ามการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวัน ด้วยเหตุนี้การลงมือทำเพียงอย่างเดียวจึงไม่มีประโยชน์อะไร ในแต่ละวันต้องเผชิญหน้ากับตัวเลข วิเคราะห์มัน และปรับปรุงวิธีการเล็ก ๆ น้อย ๆ ซ้ำไปซ้ำมา หากลงมือทำแล้วล้มเหลวก็แค่เปลี่ยนมันเป็นบทเรียนเพื่อความสำเร็จในครั้งต่อไป ด้วยการสั่งสมความสำเร็จเล็ก ๆ ทุกวัน ก็จะเข้าใกล้เป้าหมายได้ง่ายขึ้น เบื้องหลังของความสำเร็จคือการทำงานที่จืดชืดเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา
- ใส่ใจกับการเรียนรู้ ความคิดของคนเราถูกสร้างขึ้นจากข้อมูลและความรู้ที่ได้รับ ดังนั้น การใส่ใจกับการเรียนรู้โดยไม่เกี่ยงอายุจึงเป็นสิ่งสำคัญ ปัญหาหรือความกังวลที่พบในชีวิตประจำวันไม่ใช่เรื่องใหม่ สำหรับมนุษย์ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นสิ่งที่ใครสักคนเคยพบเจอ และก้าวข้ามไปได้แล้ว เพราะเหตุนี้หนังสือของคนที่เคยประสบปัญหาเดียวกัน จึงมีวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม หนังสือมีวิธีแก้ปัญหาที่สามารถนำไปใช้ได้ทันที การอ่านหนังสือจึงช่วยลดเวลาที่เสียไปกับความกังวล และช่วยให้มีเวลาแก้ไขปัญหามากขึ้น ถ้าฝึกนิสัยจดบันทึกหรือคิดไอเดียในการลงมือทำเป็นประจำ เมื่อพบเจอกับอุปสรรคก็จะคิดหาวิธีแก้ไขได้ง่ายขึ้น
- ลองเปลี่ยนคำพูดของตัวเองดู คำพูดมีพลังเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ คำพูดจะสร้างความคิดและความคิดจะนำไปสู่การกระทำ พูดง่าย ๆ ก็คือคำพูดที่พูดออกมามีผลต่อความคิด ความรู้สึก และการกระทำ ซึ่งจะช่วยสร้างอนาคต หากใช้คำพูดที่เปี่ยมด้วยความหวัง วิสัยทัศน์ ความเห็นอกเห็นใจ และความรู้สึกขอบคุณ อนาคตก็จะสว่างไสวขึ้น ดังนั้น จงเล่าความฝันและความหวัง ค้นหาสิ่งที่ตัวเองทำได้ คิดแผนการปฏิบัติที่ลงมือทำได้จริงอย่างกระตือรือร้น และกล่าวขอบคุณให้มากขึ้น มนุษย์เราใช้คำพูดแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมที่ตัวเองอยู่ เพราะเหตุนี้การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนคิดบวกจึงเป็นสิ่งสำคัญ
- ตัดทางถอยของตัวเอง นี่อาจเป็นวิธีที่ยากลำบากอยู่สักหน่อย ถือเป็นเคล็ดลับสำคัญในการเพิ่มพลังความต่อเนื่อง เมื่อตัดทางถอยของตัวเองเพื่อกดดันตัวเองให้อยู่ในสถานการณ์ที่ถอยกลับไม่ได้ ก็จะสามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่
การเป็นคนที่ดึงดูดความมั่งคั่ง หลายคนคิดว่าเงินเป็นสิ่งที่ต้องหามาด้วยความพยายาม ก็เลยพยายามหาเงินอย่างสุดกำลัง ทว่าหากมัวแต่ทำเช่นนั้นเงินก็จะไม่เพิ่มขึ้น เพราะไปจดจ่ออยู่กับการได้รับเงิน เงินเป็นพลังงานที่มีการไหลเวียน เงินคือพลังงานที่ไหลเวียนระหว่างผู้คนมากมายในทุกหนทุกแห่ง คนรวยมีพลังในการดึงดูดเงินที่แข็งแกร่งมาก ถ้าอยากมีพลังแบบนั้นบ้างก็ต้องเป็นคนที่ดึงดูดความมั่งคั่งเช่นเดียวกับคนรวย ซึ่งมีวิธีการ 5 ข้อดังนี้
- มีความหลงใหล คนที่มีความหลงใดในสิ่งที่ทำ มีวิสัยทัศน์ และพลังงาน จะดึงดูดผู้คนและเงินให้ไหลมารวมกัน ถ้ามีแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นสูง ทั้งคน งาน เงิน และโอกาสดี ๆ ก็จะเข้ามาหาเอง
- มีทรัพย์สินสะสมไว้ เงินที่เก็บออมไว้ในระดับหนึ่ง จะกลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเงินให้ไหลเข้ามามากขึ้น งานที่มีเงื่อนไขดี ๆ จะเข้ามาหาคนที่มีรายได้สูง หรือมีทรัพย์สินพอสมควร แถมคนแบบนี้ยังจะได้รับความสนใจจากผู้อื่นด้วย
- สร้างคุณค่าได้ คนที่สร้างผลงานหรือคุณค่าแล้วทำให้ลูกค้ามีความสุขได้ ย่อมดึงดูดความมั่งคั่งได้ง่าย
- มีคุณธรรม คนที่น่าเอ็นดู อัธยาศัยดี อ่อนน้อมถ่อมตน และจริงใจ คนที่มีเสน่ห์เช่นนี้จะดึงดูดโอกาสดี ๆ เข้ามาในชีวิตได้ง่าย เพราะคนส่วนใหญ่มักเป็นมิตรกับเขา ไม่ว่าคลื่นลมจะแรงแค่ไหน คนรอบข้างก็จะคอยให้กำลังใจ จนเขาก้าวข้ามผ่านไปได้
- เดินตามกระแสของยุคสมัย คนที่ดึงดูดความมั่งคั่งส่วนมากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ท่ามกลางกระแสการเงินที่ดี เพราะพวกเขาดึงดูดเงินได้ง่าย รวมถึงได้ใช้เวลาและเงินไปกับสิ่งที่ทำให้ตัวเองตื่นเต้นดีใจอย่างแท้จริง
เมื่อหมุนเวียนพลังงานที่เรียกว่าเงินเช่นนี้ นอกจากจะมีชีวิตที่มั่นคงแล้ว ยังได้สานสัมพันธ์กับผู้คนมากมาย ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้น ความฝันกลายเป็นความจริง และกลายเป็นคนที่ดึงดูดความมั่งคั่งได้มากขึ้น
ทบทวนตัวเองเพื่อไม่ยึดติดกับกรอบเดิมๆ ชีวิตที่ผ่านมาเป็นชีวิตในแบบที่ต้องการจริง ๆ หรือเปล่า? หลังแล้วจากนี้ไปอยากใช้ชีวิตแบบไหน? ลองนึกทบทวนช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รายได้เปลี่ยนแปลงไปมากไหม? งานเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง? ความสัมพันธ์กับคนอื่นเปลี่ยนไปหรือเปล่า? พักอาศัยอยู่ในที่แบบไหน? แล้วคู่ชีวิตเป็นอย่างไร? เมื่อเคยชินกับการอยู่ในกรอบก็จะไม่กล้าเปลี่ยนแปลงชีวิตและกลัวที่จะออกนอกกรอบ คนเราย่อมมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป ย้อนกลับไปมองชีวิตที่ผ่านมาแล้วรู้สึกพอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง นั่นก็คือเป็นสิ่งที่วิเศษสุดแล้ว แต่ถ้านึกสงสัยขึ้นมาว่า ใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปจะดีหรือเปล่า ซึ่งนั่นอาจเป็นโอกาสให้พิจารณาทบทวนชีวิตของตัวเองอีกครั้ง เลือกใช้ชีวิตแบบเดิมหรือเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต การตัดสินใจจะเป็นตัวกำหนดว่าชีวิตในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนไปหรือไม่
บทส่งท้าย
แม้ว่าคำแนะนำในหนังสือเล่มนี้จะไม่ช่วยให้มีเงินเพิ่มขึ้นได้ภายในข้ามคืน แต่ถ้าลงมือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ในระยะยาวเงินจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน การบ่มเพาะนิสัยจะช่วยสร้างชีวิต แม้ระดับของความยากลำบากที่แต่ละคนต้องเผชิญจะแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ชีวิตบรรลุเป้าหมายนั้นเรียบง่ายมาก นั่นคือการเริ่มลงมือทำตั้งแต่วันนี้และตอนนี้ ทบทวนบัญชีรายรับรายจ่าย หาทางประหยัดเงิน เริ่มทำงานเสริม คิดเรื่องเปลี่ยนงาน เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ เพิ่มอัตราการออม 1% ลงทุนในการพัฒนาตัวเอง ตื่นเช้ามาทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือสร้างเครือข่ายใหม่ ๆ จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ แต่ขอให้ลองลงมือทำในทันที ลงมือทำไปก่อน ถึงจะยุ่งยากเพราะต้องลองทำดู ลงมือทำไปเรื่อย ๆ เช่นนี้จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป
การประหยัด การจัดบ้าน การใช้ชีวิตแบบมินิมอล การหาเงิน การออมเงิน การลงทุน สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงวิธีการเท่านั้น อย่าใช้มันเป็นเป้าหมายในชีวิต หัวใจสำคัญของชีวิตคือการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน เงินเป็นมิตรเสมอ แต่จะใช้ประโยชน์จากเงินได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับวิธีใช้เงิน
แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็อย่าลืมความฝัน จะเปลี่ยนความฝันก็ได้ แต่อยากให้มีความฝันอยู่เสมอ เพราะความฝันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ความฝันทำให้เติบโต คอยให้กำลังใจ และเมื่อสับสนความฝันก็จะช่วยส่องแสงนำทางให้แม้ในยามที่ชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด การหาเงินมาใช้ไล่ตามความฝัน และการใช้เงินเพื่อทำให้ความฝันเป็นจริง ในชีวิตไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นยินดีเท่านี้อีกแล้ว
การใช้ชีวิตต่อจากนี้ก็คือคำตอบ อยากมีชีวิตแบบนี้ อยากเป็นคนแบบนี้ อยากใช้ชีวิตแบบนี้ ถ้ามีความปรารถนาเหล่านี้อยู่ ลองใช้เงินในการท้าทายสิ่งใหม่ ๆ หรือสิ่งที่น่าตื่นเต้นสนุกสนานดู แล้วความรู้สึกตื่นเต้นสนุกสนานที่เกิดขึ้น จะทำให้จิตใจและชีวิตมีความมั่งคั่ง อีกทั้งชีวิตจะดีขึ้นอย่างแน่นอน.