สั่งซื้อหนังสือ วิธีอยู่ร่วมกับหัวหน้าทุกสไตล์ (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ SURROUNDED BY BAD BOSSES (AND LAZY EMPLOYEES)

วิธีอยู่ร่วมกับหัวหน้าทุกสไตล์ (และเข้าได้กับลูกน้องทุกแบบ)

คำนำ

ทำไมถึงควรอ่านหนังสือเล่มนี้

โลกนี้เต็มไปด้วยหัวหน้าแย่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นบรรดาหัวหน้าทีม หัวหน้ากลุ่ม ผู้จัดการแผนกผู้จัดการหน่วย รองกรรมการผู้จัดการ กรรมการผู้จัดการ รวมกลุ่มหัวหน้าทั้งหลายของบรรดากรรมการผู้จัดการอีกที ในองค์กรทุกประเภทและในทุกระดับ จะมีหัวหน้าที่มาอยู่ผิดที่ผิดทาง ซึ่งสร้างปัญหาให้ตัวเองและลูกน้อง มีหัวหน้าที่ไร้ประสิทธิภาพ และหัวหน้าที่ไร้เดียงสา หัวหน้าที่ดีเสียเหลือเกินก็มี หัวหน้าที่แสนใจดำก็มี บางคนจำชื่อลูกน้องของตัวเองยังไม่ได้ บางคนก็คอยแต่จะหลบหนีความรับผิดชอบ บางคนก็ไร้ประสิทธิภาพเสียจนจะดีกว่านี้ถ้าบริษัทไม่มีพวกเขา  หัวหน้าพวกนี้ไร้ประโยชน์ไม่ต้องมีพวกเขาก็ได้ พวกเขาไม่ได้มีส่วนช่วยอะไรเลยสักนิด และเอาแต่สร้างเรื่องปวดหัวและความเครียด

แล้วหัวหน้าที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ยอดเยี่ยม พวกเขาเข้าใจอะไรที่หัวหน้าคนอื่นไม่เข้าใจ มีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่า หนังสือเล่มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ตอน

ตอนที่ 1 ในวงล้อมของหัวหน้ายอดแย่ บรรยายให้เห็นว่าจะทำงานได้ยากเย็นขนาดไหนเวลาที่มีหัวหน้าแย่ ๆ และในฐานะพนักงานคนหนึ่งจะทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง

เนื้อหาในตอนที่ 2 คือวิธีรับมือกับลูกน้องสันหลังยาว ทั้งนี้ เพราะมีคนทำงานบางคนไม่ได้ทุ่มเทกับงานมากพอ ที่บริษัทอยากจะยกตำแหน่งพนักงานดีเด่นประจำเดือนให้ ทุกคนมีจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองกันทั้งนั้น

ลองอ่านเนื้อหาในเล่มเพื่อจะได้รู้ว่า จะช่วยลูกน้องให้ค้นพบศักยภาพของตัวเอง รวมถึงแรงขับที่แท้จริงได้อย่างไร สำหรับคนไหนที่สงสัยจริง ๆ ว่าหัวหน้าทำแบบนั้นแบบนี้ด้วยเหตุผลอะไรกันแน่ ก็ขอให้อ่านต่อไปจะได้เรียนรู้ว่าทำไม หัวหน้าบางคนถึงเป็นหัวหน้าที่ดี ขณะที่บางคนก็เป็นหัวหน้ายอดแย่

เมื่ออยู่ในวงล้อมของคนงี่เง่า ความแตกต่างในแนวทางการสื่อสาร และเหตุผลว่าทำไมคนบางคนถึงเข้าใจยากเสียเหลือเกิน ระบบ DISC ของ วิลเลียม โมลตัน มาร์สตัน ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ โดยผู้เชี่ยวชาญ จนกลายเป็นโมเดลเรียบง่าย ที่แบ่งพฤติกรรมของคนออกเป็น 4 สีได้แก่ คนสีแดง คนสีเหลือง คนสีเขียว และคนสีน้ำเงิน จุดมุ่งหมายคือต้องการให้รู้ว่าจะเข้าใจคนที่แตกต่าง หรือสื่อสารคนละแบบให้ดีขึ้นได้ยังไง แต่โมเดลนี้ให้จุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการพูดคุย และวิธีสร้างความเปลี่ยนแปลง น้อยคนนักที่จะมีสีเดียวอยู่ในตัว ส่วนใหญ่มักประกอบด้วย 2 สีหรือแม้กระทั่ง 3 สี

ถ้าให้คนที่ทำงานเก่งและเน้นผลลัพธ์มาก ๆ มาร่วมแก้ปัญหาสักอย่างกับอีกคนหนึ่ง ที่ให้คุณค่ากับความมั่นคงและความสุขสงบเหนือสิ่งอื่นใด ปัญหามากมายย่อมตามมาแน่ ถ้าพวกเขาสองคนไม่เรียนรู้ที่จะพบกันครึ่งทาง จำเป็นต้องเข้าใจคุณสมบัติส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็ต้องอย่าลืมพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ในสภาพการทำงานคนใดคนหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกคน ถ้ามีเพื่อนเลว ๆ สักคนหนึ่งสามารถตีจากได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าหัวหน้าเรียกร้องสิ่งต่าง ๆ อย่างไร้เหตุผล สถานการณ์จะซับซ้อนขึ้นทันที ซึ่งการพูดคุยกันให้เข้าใจเพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์ลักษณะนี้ย่อมมีค่ามาก เหตุผลที่หัวหน้าจำนวนมากไร้ประสิทธิภาพก็แตกต่างกันไป แต่กลับมีรูปแบบบางอย่างที่เหมือนกัน เป็นความคิดที่ดีที่จะเรียนรู้วิธีดูรูปแบบเหล่านี้ให้ออก

มีหน้าที่และความรับผิดชอบแต่ไม่มีอำนาจ การได้แต่คอยแบกรับปัญหา สร้างความอึดอัดคับข้องใจอย่างมาก เพราะขาดโอกาสตัดสินใจ และอำนาจในการกำหนดว่างานนั้นควรจะทำยังไงตั้งแต่แรก และยิ่งน่าอึดอัดขึ้นไปอีกเมื่อไม่มีใครฟังข้อเสนอหรือความคิด ทุกอย่างมีข้อยกเว้น มีหัวหน้าที่เป็นนักฟังที่ดี ซึ่งเปิดรับความคิดเห็นและไอเดียจากบรรดาลูกน้อง บางคนถึงขั้นให้เกียรติยอมรับว่าเรื่องนั้น ๆ เป็นไอเดียของใครเลยด้วยซ้ำ ลองมาดูเหตุผลบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมของบรรดาหัวหน้าดู ดำดิ่งลงไปในโลกที่แสนประหลาดของการเป็นหัวหน้าไปด้วยกัน

ตอนที่ 1 ในวงล้อมของหัวหน้ายอดแย่

ความเป็นผู้นำที่ห่วยแตกกับผลอันน่ากลัวที่ตามมา

ความเป็นผู้นำที่ดี ขึ้นอยู่กับการที่หัวหน้าและลูกน้องเข้าใจว่า ต่างฝ่ายต่างเอื้อประโยชน์ต่อกัน โดยทั้งสองฝ่ายต้องตระหนักว่า ต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน เพื่อให้ระบบทำงานได้ ทุกคนล้วนเคยเจอหัวหน้าไร้ประสิทธิภาพกันมาแล้วทั้งนั้น ในจุดใดจุดหนึ่งของการทำงาน และสงสัยว่าทำไมพวกเขาเหล่านี้ถึงไม่ทำงานให้ดีกว่านี้ แน่นอนคนส่วนใหญ่ไม่ได้รับตำแหน่งบริหารมาเพื่อจะตั้งใจทำงานให้ออกมาแย่ หัวหน้าส่วนใหญ่ก็คงจะพยายามทำงานให้ออกมาดี แต่บางครั้งสิ่งต่าง ๆ ก็ผิดแผนชนิดยากที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

การเป็นหัวหน้าอาจชวนสับสนได้ และเมื่อไหร่ก็ตามที่การเอื้อประโยชน์ต่อกันระหว่างหัวหน้ากับบรรดาลูกน้องขาดสะบั้นลง ก็อาจจะเกิดบรรยากาศอึมครึมน่าอึดอัดสุด ๆ การเป็นหัวหน้าเป็นเรื่องยากเหลือเกิน มันไม่ใช่แค่เรื่องของพลัง คนไม่ได้กลายเป็นพนักงานดีเด่นระดับโลกขึ้นมาทันที เพียงเพราะอยู่ในตำแหน่งหัวหน้า คนเป็นหัวหน้าก็จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ นั่นไม่ใช่สัญญาณของความอ่อนแอ หากไม่รู้ว่าควรทำอะไร ความเป็นผู้นำเป็นศิลปะ เป็นงาน เป็นภารกิจอย่างหนึ่ง ท่ามกลางงานอื่น ๆ อีกมากมาย และต้องเรียนรู้งานนี้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานขึ้นไป เพราะส่งผลกระทบต่อคนอื่นเมื่อทำงานนี้ หัวหน้าสร้างผลกระทบต่อบรรยากาศโดยรวมของบริษัทได้มากกว่าเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ หัวหน้ามีอำนาจมากกว่า ซึ่งตามมาด้วยความรับผิดชอบที่สูงกว่าด้วย

ความเป็นผู้นำคือกระบวนการสื่อสาร

ความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพกับลูกน้อง เป็นทักษะที่สำคัญที่สุดที่ซึ่งหัวหน้าคนหนึ่งจะมีได้ นั่นคือต้องสามารถสื่อสารให้ลูกน้องเข้าใจ ไม่ว่าสิ่งที่ต้องการจะสื่อคืออะไรก็ตาม แต่ต้องพูดกันอย่างตรงไปตรงมาว่า หัวหน้าบางคนไม่ค่อยเก่งในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยกย่องชื่นชม การวิพากษ์วิจารณ์ การชี้แนะ หรือการสนับสนุน ถ้าการสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพ ก็ย่อมไม่เกิดผลอะไรทั้งสิ้น การเป็นหัวหน้าค่อนข้างง่ายเมื่อเทียบกับอย่างอื่น มันเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง เป็นตำแหน่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อันหนึ่งของแผนผังผู้บริหารองค์กรบทบาทหน้าที่นี้นำมาซึ่งประกาศิตและอำนาจในระดับหนึ่ง รวมถึงความรับผิดชอบและภาระงานที่เป็นรูปธรรมในสายงานบางอย่าง

หัวหน้าเป็นบทบาทหน้าที่ ภารกิจ และงาน แต่ไม่ใช่รูปแบบพฤติกรรม การเป็นผู้นำยากกว่าพอสมควร การที่ได้รับการแต่งตั้งต้องสามารถบริหารจัดการคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความเป็นผู้นำเป็นกระบวนการสื่อสาร การจะก้าวไปเป็นผู้นำได้ จำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองจะสื่อสารยังไง จะนำพาผู้คนให้ก้าวไปข้างหน้าได้ยังไง จะสร้างแรงจูงใจและความมุ่งมั่นได้ยังไง ความเป็นผู้นำเป็นเรื่องของสิ่งที่ทำมากกว่าสิ่งที่เป็น หัวหน้าไม่สามารถบรรลุได้เพียงเพราะตำแหน่ง แต่จะสร้างปัญหาได้จริง ๆ ด้วยการลงมือทำอย่างเป็นมืออาชีพเท่านั้น

การสื่อสารคือหัวใจสำคัญ คนเราแตกต่างกันได้มากขนาดไหน คนที่เน้นงานกับคนที่เน้นความสัมพันธ์ ไม่มีใครถูกหรือผิดกว่ากัน เพียงแต่ว่าคนสองประเภทนี้ให้ความสำคัญกันคนละเรื่อง

คนเน้นงาน สนใจเรื่องงานและประเด็นปัญหามากกว่าเรื่องความสัมพันธ์ การเน้นงานคือการทุ่มเทความสนใจไปยังสิ่งที่จำเป็นต้องทำ แทนที่จะคิดแล้วคิดอีกว่าใครควรจะอยู่ในกลุ่มงาน มักมองไปยังสิ่งที่ต้องทำจริง ๆ และเดินหน้าทำสิ่งนั้น ใช่ว่าจะไม่สนใจคนอื่นเสมอไป เพียงแต่ให้ความสำคัญกับงานเป็นอย่างแรก ข้อดีของคนที่เน้นงาน ไม่ต้องการการสนับสนุนอะไรมากมายเพื่อให้งานเสร็จ คนเหล่านี้ไม่หมดแรงง่าย ๆ จากปัญหาด้านอารมณ์ พวกเขาไม่หลุดโฟกัสแบบเดียวกับคนเน้นความสัมพันธ์ และคนประเภทนี้จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างง่ายดาย ข้อเสียของคนเน้นงาน มีงานมากมายเหลือเกินที่ต้องอาศัยความร่วมมือ แต่หัวหน้าที่เน้นงานอาจจะลืมคำนึงถึงความคิดเห็นและทัศนคติของคนอื่นในทีม และเป็นไปได้สูงที่หัวหน้าประเภทนี้จะเดินหน้าโดยไม่ฟังเสียงของคนอื่น คนที่เน้นงานอาจถูกมองว่าไร้ความรู้สึกและหยาบกระด้าง

คนเน้นความสัมพันธ์ สนใจความสัมพันธ์มากกว่างานที่เป็นรูปธรรม และประเด็นปัญหา หัวหน้าที่เน้นความสัมพันธ์จะให้ความสำคัญกับคนในที่ทำงาน และการมีปฏิสัมพันธ์ของพวกเขามากกว่าตัวงาน ไม่ได้หมายความว่าหัวหน้าประเภทนี้ไม่สนใจที่จะให้งานสำเร็จลุล่วง แต่ความสัมพันธ์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับพวกเขา หากจะทำงานเป็นทีมได้ดีก็ต้องรู้จักเพื่อนร่วมงาน รวมถึงเข้าอกเข้าใจเพื่อนร่วมงานอย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง เมื่อนั้นงานจึงจะออกมาดี ข้อดีของคนเน้นความสัมพันธ์ โดยปกติแล้วหัวหน้าประเภทนี้ จะฟังความคิดเห็นและไอเดียของสมาชิกในทีมอยู่แล้ว พวกเขาไม่ต้องคอยเตือนตัวเองว่าให้มองไปรอบ ๆ และคิดทบทวนสิ่งที่สมาชิกในทีมอาจจะคิด พวกเขาดูจะเก่งในการโน้มน้าวใจเพื่อนร่วมงาน และมักจะลองพิจารณาไอเดียหลาย ๆ อย่างก่อนจะเริ่มโครงการใดโครงการหนึ่ง ข้อเสียของคนเน้นความสัมพันธ์ คนประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะฟังคนที่ตัวเองชอบมากกว่าคนที่รู้จริง ถ้าสมาชิกในทีมคนใดคนหนึ่งทำงานไม่ดี หัวหน้าที่เน้นความสัมพันธ์จะรู้สึกอึดอัดทันที เพราะพวกเขาต้องให้ feedback ในเชิงลบ พวกเขาชอบที่จะคงบรรยากาศดี ๆ ภายในกลุ่มเอาไว้มากกว่า และมีความสุขเหลือเกินหากเลี่ยงโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งได้ ซึ่งอาจจะทำให้งานออกมาแย่ก็ได้

พฤติกรรมแบบเอ็กซ์โทรเวิร์ตกับอินโทรเวิร์ต มิติต่อไปนี้ก็น่าสนใจมากเช่นกัน อาจมีหลายอย่างขัดกันอยู่ระหว่าง 2 พฤติกรรมนี้

เอ็กซ์โทรเวิร์ต ชอบออกไปพบปะผู้คนมากกว่าคิดอยู่คนเดียว การเป็นคนแบบเอ็กซ์โทรเวิร์ตหมายความว่า ละเอียดอ่อนกับสิ่งที่คนอื่นมอง สิ่งนี้ทำให้คนบางคนมีแนวโน้มจะทำอะไรที่แตกต่างจากคนอินโทรเวิร์ต มนุษย์เอ็กซ์โทรเวิร์ตเปลี่ยนความคิดเป็นการกระทำค่อนข้างเร็ว และให้เวลากับการคิดทบทวนน้อยกว่า คนประเภทนี้มักจะเน้นผลลัพธ์ และชอบใจที่เห็นอะไร ๆ เดินหน้าไปตามนั้น พลังงานของคนเหล่านี้จะแผ่กระจายออกไปถึงคนอื่น ๆ รวมถึงโลกรอบตัว ความคิดที่หลากหลายเป็นเรื่องดี และคนประเภทนี้ได้พลังความแข็งแกร่งจากโลกภายนอก การจับคนเอ็กซ์โทรเวิร์ตมานั่งลง กลับสร้างความเครียดให้พวกเขามากขึ้น การอยู่คนเดียวน่าเบื่อและทำให้พลังงานหดหาย คนประเภทนี้ชอบพูดคุยกับคนอื่น บุคลิกภาพแบบนี้นี่เองที่ทำให้เกิดการจัดพื้นที่สำนักงานแบบเปิดโล่ง คนเหล่านี้ต้องการสร้างความคึกคัก ชอบการตัดสินใจที่รวดเร็ว และการสื่อสารที่ไร้ขอบเขต พวกเขาได้พลังจากการเคลื่อนไหวของคนรอบตัว

ข้อดีหัวหน้าที่เป็นคนเอ็กซ์โทรเวิร์ต แทบจะไม่เสียเวลาวิเคราะห์ข้อมูล และรายละเอียดมากเกินไป รวมถึงไม่ให้ความสนใจกับคนรอบตัวมากเกินไป คนเหล่านี้ไม่กลัวและกล้าเข้าไปอยู่ท่ามกลางผู้คนกลุ่มใหญ่ ด้วยความที่พวกเขาได้รับอิทธิพลจากความรู้สึกนึกคิดของคนภายนอก พวกเขาจึงได้รับไอเดียใหม่ ๆ มากมาย อีกด้านของพฤติกรรม บางครั้งการทำอะไรรวดเร็วก็สร้างปัญหาได้เหมือนกัน อย่างเช่น การตัดสินใจเร็ว มันอาจเร็วก็จริงแต่ก็อาจผิดพลาดได้ง่าย ด้วยความที่มีอีโก้สูงมาก บางครั้งคนประเภทนี้จะครองพื้นที่มากเกินไป และลืมฟังสิ่งที่คนอื่นคิด

อินโทรเวิร์ต ชอบคิดอยู่คนเดียวมากกว่าออกไปพบปะผู้คน คนเหล่านี้ไม่อยู่นิ่งเมื่ออยู่ภายในโลกของตัวเอง มีอะไรมากมายเกิดขึ้นในความคิดของพวกเขามากกว่าที่คนอื่นคิดเยอะเลยทีเดียว พวกเขามักจะชอบรอดูก่อน คนเหล่านี้คิด 2 รอบก่อนจะทำอะไรก็ตาม และสามารถใช้เวลาเก็บข้อมูลได้นาน ๆ เมื่อต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญ พวกเขาต้องการสันโดษ การบังคับให้พวกเขาออกไปเต้นรำ หรือลากพวกเขาไปงานสังสรรค์ไม่รู้จบ รังแต่จะสร้างความเหน็ดเหนื่อยให้กับคนเหล่านี้ พวกเขาต้องการความเงียบสงบอย่างมากเพื่อให้มีสมาธิ พวกเขาต้องการและชื่นชอบการทบทวนความคิด คำที่เขียนออกมามีค่ามากกว่าคำที่พูดออกมาทั้งในตอนที่ให้และรับข้อมูล คนเหล่านี้มีปัญหากับออฟฟิศแบบเปิดโล่ง การถูกขัดจังหวะไม่จบสิ้น และบางครั้งก็ต้องอยู่ท่ามกลางเสียงดัง ทำให้พวกเขาต้องเริ่มใหม่กับทุกสิ่งที่คิด การทำงานในออฟฟิศแบบเปิดโล่งเปรียบเหมือนการทำงานในสภาพมึนเมา สมองของพวกเขาจะไม่เฉียบคมเอาเสียเลย

ข้อดีของหัวหน้าแบบอินโทรเวิร์ต จะไม่ค่อยสะเพร่าในเรื่องใดเลย พวกเขาชอบที่จะคิดให้รอบคอบ ซึ่งหมายความว่าคำตอบของพวกเขาสำหรับคำถามใด ๆ มักจะผ่านการคิดพิจารณามาอย่างดีแล้ว คนเหล่านี้ไม่มีปัญหากับการรอดู และปล่อยให้คนอื่นได้ทำงานอย่างราบรื่น อีกด้านของพฤติกรรม บางครั้งหัวหน้าแบบอินโทรเวิร์ตจะรอดูนานเกินไป บ่อยมากที่พวกเขาจะนั่งเงียบในที่ประชุม บรรดาลูกน้องโดยเฉพาะคนที่เป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต น่าจะตีความการเงียบว่าเป็นการเห็นด้วย ซึ่งอาจกลายเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงได้ ความเงียบไม่ใช่การเห็นด้วยแต่หมายความว่า หัวหน้ารู้สึกไม่สะดวกใจที่จะแสดงมุมมองของตัวเอง หรืออาจจะแค่ยังคิดไม่เสร็จ

มีรูปแบบพฤติกรรมพื้นฐาน 4 แบบ ใช้สีในเชิงจิตวิทยาของ มักซ์ ลุชเชอร์ ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาชาวสวิสเซอร์แลนด์มาช่วยอธิบาย แดงคือสีของไฟ เหลืองคือสีของลม เขียวแทนดิน และน้ำเงินแทนน้ำ

สีแดงอยู่ในข่ายของคนที่เน้นงานและเป็นเอ็กซ์โทรเวิร์ต คนสีนี้ขับเคลื่อนด้วยแรงผลักดันที่อยากจะรับมือปัญหาและความท้าทาย ยิ่งท้าทายมากเท่าไหร่ยิ่งทำงานได้ดีเท่านั้น  ถ้างานราบรื่นเกินไปพวกเขาเกือบจะเรียกได้ว่าหวาดระแวงเลยทีเดียว เพราะเขาจะคิดว่ามีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า ความยากลำบากจะทำให้แข็งแกร่ง คนเหล่านี้ชอบความเร็ว การลงมือทำ และความน่าตื่นเต้น

คนสีเหลืองจะสนใจเรื่องความสัมพันธ์และเป็นคนแบบเอ็กซ์โทรเวิร์ต คนสีนี้เน้นการมีปฏิสัมพันธ์ คนประเภทนี้ชอบโน้มน้าวคนอื่นให้คิดและรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะไม่ออกจากห้องจนกว่าทุกคนจะเห็นด้วย

คนสีเขียวเน้นความสัมพันธ์และเป็นอินโทรเวิร์ต คนสีนี้รักความมั่นคง คนสีเขียวจำนวนมากไม่ค่อยสนใจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไร แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะสำคัญมาก

คนสีน้ำเงินเน้นงานและเป็นอินโทรเวิร์ต คนสีนี้ชื่นชอบกฎระเบียบ พวกเขาทำตามกฎและรู้เสมอว่าควรทำอะไร พวกเขาอ่านคำแนะนำการใช้งานที่เขียนเป็น 3 ภาษา เพียงเพื่อหาข้อมูลเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะเปิดกล่องบรรจุสินค้า

เมื่อทัศนคติทั้ง 4 แบบนี้ประกอบเข้ากับลักษณะนิสัยที่เน้นงานหรือความสัมพันธ์ รวมถึงพฤติกรรมแบบเอ็กซ์โทรเวิร์ตกับอินโทรเวิร์ต ก็จะนำไปสู่พฤติกรรมในแบบของใครของมัน

วิธีทำความเข้าใจและคาดเดาพฤติกรรมหัวหน้า

ถ้าสังเกตโดยรวมว่า ผู้คนรอบตัวเป็นคนยังไง จะมองเห็นรูปแบบหลายอย่างได้ชัดเจน ดังนี้

หัวหน้าสีแดงโมโหง่ายที่สุด พวกเขาอารมณ์ขึ้นได้ภายในเสี้ยววินาที ทุกคนต้องทำใจไว้เลยว่าจะเกิดการปะทุขึ้นมาบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เกือบทุกเวลา คนสีแดงบางคนคิดว่าไม่เห็นจำเป็นต้องซ่อนความหงุดหงิดเอาไว้ พวกเขาให้คนอื่นรับรู้ว่าตัวเองกำลังโกรธ ลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้คนจำนวนมากพยายามหลบหน้าคนสีแดง และไม่ปริปากพูดอะไรเมื่ออยู่กับคนสีนี้ ซึ่งอาจจะหมายถึงว่าหัวหน้าสีแดงถูกตัดออกจากวงจร และไม่ได้รับรู้ข้อมูลสำคัญ

ส่วนหัวหน้าสีเหลืองมองโลกในแง่ดีแบบสุด ๆ พวกเขามองทุกอย่างในแง่ดี และยากที่จะรับมือกับข่าวร้ายอย่างสงบนิ่งและมีสติ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาอยากจะคิดบวกอยู่ตลอดเวลา ก็เลยชอบเลี่ยงข่าวร้าย คนสีเหลืองอาจโกรธยากกว่าคนสีแดง แต่ก็โกรธได้มากพอ ๆ กัน ลักษณะนิสัยเช่นนี้อาจทำให้ลูกน้องไม่อยากเดินไปหาหัวหน้าสีเหลืองเมื่อมีปัญหา เพราะหัวหน้าจะไม่ฟังพวกเขาอยู่ดี

หัวหน้าสีเขียวโมโหช้าสุด ๆ บางทีอาจจะช้าเกินไปด้วยซ้ำ พวกเขามักซ่อนความรู้สึกเอาไว้อย่างมิดชิด ทำให้คนรอบข้างไม่รู้เลยว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ คนสีเขียวไม่ต้องการให้ความกังวลของตัวเองรบกวนคนอื่น ดังนั้น พวกเขาจะเงียบและบางครั้งก็เก็บความรู้สึกพลุ่งพล่านเอาไว้ข้างใน พวกเขาไม่แสดงอะไรให้เห็นจากภายนอกเลย ลักษณะนิสัยเช่นนี้ทำให้เกิดปัญหาตามมานั่นคือ พวกเขาอดทนมากเกินไปนั่นเอง

หัวหน้าสีน้ำเงินคนมักตีความว่าไร้ความรู้สึก ซึ่งแน่นอนว่าไม่จริง คนไหนยิ่งมีสีน้ำเงินมากก็จะยิ่งทำตามกฎเกณฑ์มาก เพราะกลัวจะถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพ คนสีน้ำเงินมักควบคุมการแสดงสีหน้าและท่าทางได้ดี จึงแทบมองไม่ออกว่าพวกเขารู้สึกจริง ๆ ยังไง เมื่อเผชิญกับความท้าทายอะไรสักอย่าง

คนทุกสีมีจุดแข็งที่เห็นได้ชัดในตัวเอง แต่ก็มีจุดอ่อนด้วยเช่นกัน จำเป็นต้องมองทั้ง 2 ส่วน

หัวหน้าสีแดงมาพร้อมกับพลังและทัศนคติที่พร้อมลุยงาน แต่ก็ให้คุณค่ากับความมีระบบระเบียบ ไม่อดทนกับเรื่องไร้สาระใด ๆ ทั้งสิ้น อยากให้ลูกน้องทุกคนรักษามาตรฐานให้สูงเข้าไว้ เพราะพวกเขาให้คุณค่ากับผลลัพธ์เหนือสิ่งอื่นใด ข้อเสียถ้ามีหัวหน้าเป็นคนสีแดง อาจจะสังเกตได้ว่าบางครั้งความคิดสร้างสรรค์จะลดน้อยถอยลงไป บางทีอาจจะไม่มีแรงจูงใจเท่าเดิม ในการพูดข้อเสนอและไอเดีย หรือถ้าให้พูดตรง ๆ ก็คือมันรู้สึกแย่ที่ถูกตีตกทุกครั้งที่นำเสนออะไรสักอย่าง ความคึกคักภายในกลุ่มอาจน้อยลง หากหัวหน้าใช้อำนาจครอบงำลูกน้องมากเกินไป

หัวหน้าสีเหลืองที่เน้นความสนุกและสร้างแรงบันดาลใจ หัวหน้าประเภทนี้มักสร้างบรรยากาศการทำงานที่สนุก และชื่นชอบอารมณ์เบิกบาน รวมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในเชิงบวก เสน่ห์และความกระตือรือร้นของหัวหน้าสีนี้ มักทำให้ทีมอยากจะคิดไอเดียใหม่ ๆ ออกมา ข้อเสียคือบ่อยครั้งจะไม่รู้เลยว่าสถานการณ์จริงเป็นอย่างไร หัวหน้าสีเหลืองชอบพูดถึงไอเดียสุดเจ๋งล่าสุด แลกเปลี่ยนเป้าหมายและแนวคิดไปเรื่อย ๆ บางครั้งบรรดาลูกน้องถึงกับถอดใจ ก็จะรีบทำโครงการใหม่ไปทำไม ในเมื่อหัวหน้าจะลืมเรื่องนี้ในอีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า

หัวหน้าสีเขียวที่มาพร้อมอ้อมกอดอันปลอดภัยและแรงสนับสนุน มักใส่ใจเพื่อนร่วมงานทุกคน และจะมองเห็นเสมอ เขาหรือเธอจะพยายามประสานทุกคนเข้าด้วยกัน ด้วยคุณค่าและเป้าหมายร่วมกัน หรือบางทีก็อาจเป็นวิสัยทัศน์ร่วมกัน ทุกคนควรจะหาพื้นที่ที่เหมาะสมกับตัวเองภายในองค์กร หัวหน้าสีเขียวสนับสนุนลูกน้องทุกคนตลอดเวลา และชอบแก้ปัญหาด้วยการให้ทุกคนมีส่วนร่วม และผ่านการเห็นชอบร่วมกัน ข้อเสียหัวหน้าสีเขียวอาจจะสั่งงานไม่ค่อยชัดเจน ที่เป็นแบบนี้เพราะส่วนหนึ่งพวกเขาคาดหวังว่า ลูกน้องจะรู้ได้เองโดยสัญชาตญาณว่าหัวหน้าต้องการอะไรกันแน่ หัวหน้าประเภทนี้ไม่ค่อยสบายใจที่ต้องออกคำสั่งอย่างชัดเจน จึงทำให้พวกเขาแสดงออกอย่างคลุมเครือ พวกเขาไม่ได้พูดตรงประเด็นเสมอไป และหวังว่าจะเข้าใจ ถ้าเกิดความขัดแย้งขึ้น หัวหน้าสีเขียวอาจหายหน้าไปเลย

หัวหน้าสีน้ำเงินที่ช่างสังเกตและจับตามองทุกรายละเอียด หากชอบวิเคราะห์เจาะลึกลงไปถึงก้นบึ้งของทุกอย่างที่เข้ามาหา ก็จะเข้าใจหัวหน้าสีน้ำเงิน คนสีนี้เน้นรายละเอียดและนำทีมด้วยการวิเคราะห์และแยกแยะปัญหา พวกเขาแก้ปัญหาเก่ง หากปัญหาเหล่านั้นกระตุ้นความสนใจพวกเขาได้ หัวหน้าสีน้ำเงินมีสายตาแหลมคมที่จะมองออกว่าใครมีความสามารถ และพวกเขายังให้คุณค่ากับทักษะทางวิชาชีพ ข้อเสียอาจมองว่าหัวหน้าค่อนข้างสงวนท่าที บางทีอาจถึงขั้นรู้สึกว่ามีระยะห่าง อาจจะเข้าไม่ถึงตัวตนของเขา คนสีนี้แทบจะไม่เปิดเผยตัวตน หัวหน้าสีน้ำเงินยังอาจง่วนอยู่กับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับงาน จนลืมบริหารจัดการลูกน้องไปเลย หัวหน้าสีนี้มักจะเป็นผู้เชี่ยวชาญฝีมือดี ซึ่งอาจไม่ค่อยถนัดกับบทบาทผู้นำสักเท่าไหร่

คนเราตอบสนองต่อพฤติกรรมต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นคนสีอะไร ถ้าเป็นคนสีแดงก็จะไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับพฤติกรรมที่ชอบครอบงำของหัวหน้าสีแดง ถ้าเป็นคนสีเหลืองก็อาจจะไม่รู้สึกรำคาญใจหากหัวหน้าสีเหลืองเริ่มต้นทุกประโยคด้วยคำว่าฉัน ถ้าประกอบด้วยสีเขียวเป็นหลัก อาจจะคิดว่าดีจังเลยที่หัวหน้าไม่เคยกดดันมากเกินไป และถ้าเป็นคนสีน้ำเงินจะชื่นชมที่หัวหน้าสีน้ำเงินรอบคอบเหลือเกิน แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ไม่มีกฎไหนปราศจากข้อยกเว้น คนเราเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน แม้ว่าจะเห็นนิสัยหลัก ๆ ที่บ่งชี้พฤติกรรมของสีใดสีหนึ่งก็ไม่ควรฟันธงว่า หัวหน้าจะทำอะไรต่อไป แต่ด้วยแนวทางที่เหมาะสมทุกอย่างจะง่ายขึ้นมาก

ส่วนผสมที่พบบ่อยที่สุดและวิธีมองให้ออก

น้อยคนนักที่จะมีเพียงสีเดียว ต้องอย่าลืมว่าแม้ว่าสีพื้นฐานจะมีเพียง 4 สี แต่สีเหล่านี้สามารถผสมกันได้หลายแบบด้วยกันคือ

คนสีแดงกับเหลือง นักสร้างแรงจูงใจ สร้างสรรค์ และยืดหยุ่น คนที่มีส่วนผสมระหว่างสีแดงกับเหลืองจะชอบคิดอะไรใหม่ ๆ มีความคิดสร้างสรรค์ กระตือรือร้น และยืดหยุ่น พวกเขาชอบไอเดียใหม่ ๆ และมองเห็นความเป็นไปได้ต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ทั้งยังชอบคิดโครงการใหม่ ๆ ถ้าพวกเขาสนใจงานนั้นพวกเขาก็จะอยู่กับมันได้นาน คนประเภทนี้ต้องการการยืนยัน และการยอมรับว่าพวกเขาจะเปล่งรัศมี พวกเขาก็ส่งพลังและแรงจูงใจไปยังคนรอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ พวกเขารู้สึกว่ารับมือกับเพื่อนร่วมงานสีเขียวปนน้ำเงินได้ยาก เพราะคนเหล่านี้มีระบบระเบียบมากเกินไปสำหรับพวกเขา

คนสีเหลืองกับเขียว นักช่วยเหลือ เปิดกว้าง และเข้าอกเข้าใจ คนที่เน้นความสัมพันธ์คนประเภทนี้แสดงให้เห็นว่าเปิดกว้าง สนุกกับการมีส่วนร่วม และมักเข้าอกเข้าใจคนอื่นอย่างมาก พวกเขาอยากเป็นที่ชื่นชอบ และอาจจะหวงแหนคนรอบตัว พวกเขาอยากรู้สึกว่าตัวเองมีค่า คนประเภทนี้มักจะทิ้งความสนใจส่วนตัวไปเลยเมื่ออยู่ในกลุ่ม จึงทำให้การร่วมมือกับพวกเขาเป็นเรื่องง่ายมาก คนเหล่านี้ชอบช่วยเหลือและอาจพร้อมช่วยคนอื่นมากเกินไปหน่อย จนทำให้คนเริ่มจะพึ่งพาพวกเขาในเรื่องอื่นไปด้วย และบางทีอาจรวมไปถึงเรื่องส่วนตัว พวกเขามีแนวโน้มที่จะรู้สึกด้อยกว่าคนอื่น ซึ่งอาจส่งผลให้คนประเภทนี้คอยมองหาคนที่มีอำนาจ เรื่องนี้เป็นปัญหาอย่างชัดเจนในสถานการณ์ที่พวกเขาเป็นฝ่ายบริหารจัดการ สิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดมาจากคนสีน้ำเงินปนแดงที่ช่างจัดระเบียบ พวกเขามองว่าคนเหล่านี้เป็นทางการและไม่ยืดหยุ่น แถมยังจดจ่อกับงานมากเกินไป

คนสีเขียวกับน้ำเงิน นักประสานงาน มีระบบ และระเบียบ คนที่เข้าข่ายส่วนผสมสูตรนี้ชอบคิดทบทวน และมักตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัว พวกเขาประมวลผลและประเมินข้อมูลปริมาณเยอะ ๆ ได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ แม้ว่าพวกเขาจะเก่งสุด ๆ ในสายงานของตัวเองแต่พวกเขามักจะประเมินความเก่งของตัวเองต่ำไป บางครั้งพวกเขาจำเป็นต้องได้ใครสักคนมาช่วยผลักดันให้ทำหน้าที่ผู้นำ พวกเขาไม่มีปัญหากับการทำงานแบบเดิมเป็นเวลานานหลายปี ในทางตรงกันข้ามพวกเขาออกจะชอบแนวแบบนี้มากกว่าด้วย คนสีเขียวปนน้ำเงินมีความอดทนน้อยมากกับคนสีแดงปนเหลืองซึ่งเป็นนักสร้างแรงจูงใจ พวกเขาถือเป็นขั้วตรงข้ามกันเลยก็ว่าได้ แล้วมองว่าคนสีแดงปนเหลืองไม่ค่อยจริงจัง แต่โชคดีที่หลอกง่าย

คนสีน้ำเงินปนแดง นักจัดระเบียบเปี่ยมด้วยเหตุผลและวินัย คนที่ผสมได้ 2 สีนี้ทำงานหนัก มีเหตุผลมาก และเป็นตัวของตัวเอง ปกติแล้วพวกเขาจะชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสีย รวมถึงสร้างสมดุลระหว่างความเร็วกับความระมัดระวังให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่ออยู่ภายในกลุ่มนักจัดระเบียบเหล่านี้จะรู้สึกมีความสุขอย่างประหลาด ถ้าทุกคนยืนหยัดในสิ่งเดียวกัน คนสีเหลืองปนเขียวผู้ชอบช่วยเหลือนับเป็นฝันร้ายสำหรับคนสีน้ำเงินปนแดง พวกเขามองว่านักช่วยเหลือเหล่านี้อารมณ์อ่อนไหวเกินไปจนไม่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

ทำไมบางครั้งถึงเครียดในที่ทำงาน

การที่คนส่วนใหญ่ประกอบด้วย 2 สีหมายความว่า พฤติกรรมบางอย่างสมดุลมากขึ้น เวลาที่คนเราตัดสินและประเมินพฤติกรรมของใครสักคน บ่อยครั้งที่จะเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของตัวเอง ยากเหมือนกันที่จะไม่ใช้ตัวเองเป็นพื้นฐานในการวัดคนอื่น แต่จะสามารถเข้าใจความคิดของคนอื่นได้มากขึ้นจากความรู้และข้อมูลเชิงลึก ไม่มีพฤติกรรมรูปแบบไหนถูกหรือผิดกว่ากัน การที่ถูกไม่ได้หมายความว่าหัวหน้าผิดเสมอไป แต่เมื่อไหร่ที่การสื่อสารล้มเหลว ความเครียดก็พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ ปัจจัยความเครียดในที่ทำงานซึ่งพบเห็นได้บ่อยที่สุด น่าจะเป็นความรู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีพอ ความเครียดมักจะมาจากความรู้สึกว่ามีงานต้องทำมากเกินไป แต่มีเวลาทำน้อยเกินไปเวลาไม่พอเอาเสียเลย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการมีเวลาไม่พอเสมอไป บางครั้งแค่จัดลำดับงานไม่เป็นหรือเป็นพวกสับสนวุ่นวายซึ่งไม่เคยทำอะไรเสร็จสักอย่าง ถ้าเจอแรงกดดันอย่างหนักและรู้สึกว่าต้องแบกรับความคาดหวังที่สูงก็อาจจะเครียดได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องเวลา ทั้งแรงกดดัน สิ่งที่ต้องแบกรับ และความคาดหวังล้วนสร้างความเครียด ซึ่งจริง ๆ แล้วบางครั้งต้องคุยกับหัวหน้าในเรื่องนี้

คนเราตอบสนองกับความเครียดต่างกัน บางทีการตอบสนองดังกล่าวอาจเชื่อมโยงกับสีที่อยู่ในตัว คนสีต่างกันอาจได้ประสบการณ์ต่างกันจากเหตุการณ์เดียวกัน และคนเดียวกันอาจได้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันจากเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันในแต่ละโอกาส ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับวันและความรู้สึกในขณะนั้น ถ้ามองดูความเป็นผู้นำจะเห็นรูปแบบที่น่าสนใจหลายรูปแบบ ชัดเจนว่าหัวหน้าโดยตรงส่งผลกระทบอยู่ทุกวัน ถ้าพวกเขาทำงานดีก็จะเกิดแรงใจในการทำงาน ถ้าพวกเขาทำงานแย่แรงจูงใจในการทำงานก็จะถูกบั่นทอน ความเป็นผู้นำที่ไร้ประสิทธิภาพสามารถส่งผลอย่างรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ของบรรดาลูกน้อง หรือสิ่งที่เรียกว่าสภาพแวดล้อมเชิงจิตใจ และสังคมในที่ทำงาน ถ้าหัวหน้าไร้ประสิทธิภาพก็มีโอกาสที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมทางด้านร่างกายต่อลูกน้อง

ความเครียดของคนสีแดง สิ่งต่อไปนี้อาจสร้างความเครียดให้ได้ เช่น ไม่ได้ร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ไม่เจอสิ่งที่ท้าทายมากพอ ทำอะไรไม่บรรลุผลสักอย่าง ความไร้ประสิทธิภาพทั่วไปและการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ งานจำเจ ควบคุมอะไรไม่ได้ คนขอให้ลดเสียงลง ผู้นำที่เก่งจะเข้าใจเรื่องนี้ และรู้ว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่อะไร ผู้นำที่แย่กลับรู้สึกหงุดหงิดและฝืนธรรมชาติของคนสีแดง ด้วยการพยายามลดทอนสิ่งนี้ลง พวกเขาทำให้พลังที่มีอยู่นั้นเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ทางแก้ก็มีอยู่เหมือนกัน สามารถปลดปล่อยความเครียดได้เล็ก ๆ น้อย ๆ และลดความรุนแรงของสถานการณ์ได้ นอกจากจะพยายามสงบสติอารมณ์แล้ว อาจจะต้องรีบพาตัวเองออกมาจากจุดนั้น กลับบ้าน และทำอะไรที่ได้ออกแรงสิ่งนี้มักช่วยได้ และเมื่อกลับมาความเครียดก็หายไป

ความเครียดของคนสีเหลือง จะรู้สึกคุ้นเคยกับปัจจัยความเครียดเหล่านี้ดี เช่น ถูกปฏิบัติเหมือนไม่มีตัวตนหรือไม่มีใครสนใจ รู้สึกว่าหัวหน้าไม่เชื่อมั่นในตัวเอง งานที่น่าเบื่อและธรรมดาเกินไป ถูกกันออกจากกลุ่ม ถ้อยคำอย่างเช่นต้องเริ่มจริงจังกับอะไรมากกว่านี้ เถียงกันด้วยเรื่องเล็กน้อย ถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าผู้คน คนสีเหลืองจำนวนมากจะกลายเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ ที่อารมณ์บูดบึ้งเมื่อพวกเขาเครียด จะหงุดหงิดมากเมื่อบางอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด บางคนอาจโมโหอยู่นานเลยทีเดียวเมื่อเกิดความเครียด ฉะนั้นต้องคอยสังเกตอยู่เสมอ อีโก้ของคนเหล่านี้ทำให้พวกเขาห้ามตัวเองไม่ได้ที่จะทำตัวใหญ่เพื่อกลบเกลื่อนว่ารู้สึกแย่ บางครั้งจำเป็นต้องควบคุมความเครียดของตัวเอง เปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต พยายามหาอะไรสนุก ๆ ทำ อะไรก็ได้ไม่ว่าจะเป็นการจัดกิจกรรมในที่ทำงาน บางทีอาจสังสรรค์กันหลังเลิกงาน อะไรก็ได้ที่หันหนีความสนใจนอกจากสิ่งน่าเบื่อและความเครียด ยิ่งออกไปอยู่กับคนอื่นมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีความสุขและจะทำงานได้ดีมาก

ความเครียดของคนสีเขียว อาจรู้สึกว่าบางอย่างในรายการต่อไปนี้สร้างความเครียดได้ คือ ความรู้สึกไม่มั่นคงทั่วไป งานที่ยังคั่งค้าง มีคนมากเกินไปอยู่ใกล้ ๆ การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องที่อธิบายไม่ได้ ความขัดแย้งถูกบีบให้ต้องเป็นจุดสนใจ การวิพากษ์วิจารณ์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อหน้าผู้คน ทั้งหมดที่ว่ามานี้ทำให้คนสีเขียวรู้สึกแย่สุด ๆ บางข้อทำให้รู้สึกแย่ได้มากกว่าบางข้อ ความท้าทายอยู่ตรงที่ว่าความเครียดเช่นนี้อาจไม่แสดงให้เห็นจากภายนอก คนสีเขียวชอบซ่อนความรู้สึกของตัวเองเวลาที่เครียด จะช่วยให้สถานการณ์ดังกล่าวดีขึ้นได้อาจจะขอให้หัวหน้าเรียกร้องน้อยลง อย่างน้อยชั่วคราวก็ยังดี หาเวลาปิดสวิตช์ตัวเองสักหน่อยด้วยการทำกิจกรรม อย่างเช่น ทำสวน นอนหลับ หรือพักผ่อนหย่อนใจแบบอื่น ๆ อาจจะวางแผนใช้เวลาช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แบบสบาย ๆ โดยไม่ต้องทำกิจกรรมอะไรมากเกินไป หรือหาหนังสือดี ๆ สักเล่มของนักเขียนคนโปรดที่สามารถอ่านจบได้ใน 2 วัน การทำเช่นนี้ไม่กระทบชีวิตประจำวันทั้งหมด อย่างน้อยก็จนกว่าความเครียดจะเบาบางลงแล้ว ก็จะกลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง

ความเครียดของคุณสีน้ำเงิน ปัจจัยความเครียดต่อไปนี้ดูจะมีผลคือ มีคนสงสัยในความสามารถแม้ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวยง การตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วนของหัวหน้า พฤติกรรมสุ่มเสี่ยงทุกประเภทและการเสี่ยงโชค หรือการลงทุนที่มีโอกาสประสบความสำเร็จน้อย การที่เพื่อนร่วมงานขัดจังหวะตลอดเวลาโดยไม่ทันตั้งตัว ความผิดพลาดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำของคนอื่น ถูกเรียกว่าพวกยึดติดรายละเอียดเวลาที่แค่กำลังอธิบายว่ากฎระเบียบเป็นยังไง คนอารมณ์อ่อนไหวที่ชอบพูดเรื่องส่วนตัว ถ้าหัวหน้าเป็นคนช่างสังเกตพวกเขาก็จะเข้าใจสิ่งที่เป็นในบริบทเหล่านี้ หัวหน้าที่แย่จะยืนอยู่ตรงนั้นและคอยต่อว่า บอกให้คนสีน้ำเงินเร่งทำงาน บอกให้คิดบวก ยอมรับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และอยู่กับสิ่งนั้นให้ได้ สิ่งที่คนสีน้ำเงินต้องการจริง ๆ ในช่วงเวลาแบบนี้คือ ปลีกตัวออกมาเพื่อให้มีเวลาและพื้นที่ที่จะใช้ความคิด ด้วยความที่ต้องการวิเคราะห์สถานการณ์ และเข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ เชื่อมโยงกันยังไง จำเป็นต้องมีเวลาที่จะทำอย่างนั้น ควรขอเวลาและพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกหน่อย แล้วจะกลับมาเป็นตัวเองได้ในที่สุด

ค้นพบหรือยังว่าอะไรคือปัจจัยสร้างความเครียดให้ ขอแนะนำให้ยอมรับว่าย่อมเกิดความเครียดได้เป็นปกติกับใครเขาได้เหมือนกัน มันไม่ใช่ความผิด มันเป็นแค่ผลพวงของโลกที่ใช้ชีวิตอยู่ แต่ว่าการรู้ว่าอะไรกระตุ้นความเครียดในตัวน่าจะมีประโยชน์ สิ่งที่แย่ที่สุดคือใช้ชีวิตอยู่กับความเครียดบางอย่างมาเป็นเวลานานโดยไม่ได้ทำอะไรเลย นี่คือสิ่งที่นำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน

ความแตกต่างระหว่างบุคลิกภาพกับพฤติกรรม

บุคลิกภาพหยั่งรากลึกกว่าพฤติกรรมมากพอสมควร บุคลิกภาพมีพื้นฐานมาจากแรงขับสิ่งที่สร้างแรงจูงใจให้ สิ่งที่ชอบ การเลี้ยงดู ประสบการณ์ และสติปัญญา รวมถึงอะไรอีกมากมาย นานมาแล้วที่คนคิดว่าพันธุกรรมคือปัจจัยหลักที่ทำให้เป็นอย่างที่เป็น ดีเอ็นเอกำหนดว่าเป็นใคร ถ้าเกิดมาพร้อมพันธุกรรมนั้นก็ต้องอยู่กับมันไปตลอด สิ่งที่สืบทอดมาจากพ่อแม่แก้ไขยากกว่าอะไรเกือบทั้งหมด เป็นต้น แต่ในเวลาต่อมาผู้คนก็เข้าใจว่า ความจริงกลับตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ใครบางคนค้นพบว่า คนที่มีพ่อแม่เดียวกันอาจมีบุคลิกภาพต่างกันสุดขั้ว มันต้องเป็นเพราะสภาพแวดล้อมอย่างแน่นอน คำว่าสภาพแวดล้อมหมายถึงทุกอย่างที่มีอิทธิพลกับคนคนหนึ่ง นอกเหนือจากองค์ประกอบด้านพันธุกรรมและการถ่ายทอดทางสายเลือด อีกด้านหนึ่งความเข้าใจที่ว่านี้ก็ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดเช่นกัน คนที่ได้รับการเลี้ยงดูเหมือนกันและเรียนรู้ในแบบเดียวกัน มีโอกาสโตขึ้นมาแตกต่างกันมากอยู่ดี

พฤติกรรมก็เรื่องหนึ่งบุคลิกภาพก็อีกเรื่องหนึ่ง สิ่งนี้สำคัญ ถ้าทุกคนปรับตัวเข้ากับคนอื่นอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายแล้วก็จะไม่เหลือใครที่เป็นตัวเองจริง ๆ ทุกอย่างจะกลายเป็นแค่เกม จะเป็นยังไงถ้าหลงติดอยู่ในความสับสนวุ่นวายนี้ ชัดเจนว่าพฤติกรรมส่วนใหญ่ที่สังเกตเห็นในตัวคนอื่นเป็นเพียงแค่เกม ทุกคนปรับตัวตลอดเวลาและบ่อยครั้งที่ทำไปโดยแทบไม่ต้องคิด แต่นั่นเป็นการหลอกลวงคนอื่นและตัวเอง มีแรงจูงใจมากมายให้คนเรายอมปรับตัว ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ความจริงก็คือหัวหน้าส่งผลกับชีวิตในแต่ละวัน ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นก็แสดงว่ามีปัญหาคนละอย่าง หัวหน้าที่ไม่แคร์ก็จะเป็นปัญหาอีกอย่าง พูดกันไปแล้วเกี่ยวกับลักษณะทั่วไปของหัวหน้าสีต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ลองมาดูกันว่าแต่ละคนควรปรับตัวในแบบเดียวกันสำหรับหัวหน้าคนเดียวกันหรือไม่ เคล็ดลับสั้น ๆ คือไม่ควร หากหัวหน้าเป็นคนสีเขียวส่วนลูกน้องเป็นคนสีเหลือง ต้องปรับตัวด้วยการทำอะไรให้ช้าลงและพูดน้อยลง แต่ถ้าหัวหน้าเป็นคนสีน้ำเงินลูกน้องต้องปรับตัวด้วยการแสดงความสนใจตัวตนที่อยู่เบื้องหลังตำแหน่งของหัวหน้าให้มากขึ้น เห็นไหมว่าหัวหน้าคนเดียวกันแต่การปรับตัวต่างกัน

เมื่อเจอแต่หัวหน้าที่ไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

บรรดาหัวหน้าต้องรับผิดชอบมากที่สุด พวกเขาควรช่วยชี้แนะให้ผ่านวงจรของช่วงเวลาที่ประสบปัญหา แต่หัวหน้าก็ไม่รู้แง่มุมต่าง ๆ ของวงจรที่เกี่ยวกับแรงจูงใจหรือความมั่นใจนี้ รวมตั้งอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์และสิ่งที่เกิดขึ้นข้างในนั้น มันไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกเสมอไป บางครั้งการรอหัวหน้ามาช่วยไม่ใช่การแก้ปัญหา

ผู้นำไม่ใช่นักอ่านใจ อาจจะจริงที่หัวหน้าควรจะรู้อยู่แล้ว แต่คงจะดีกว่าถ้าหัวหน้าสามารถมองทะลุเข้ามาในหัวและเข้าใจความกังวล แต่การอ่านใจน่าจะยังเป็นปริศนาที่พิสูจน์ไม่ได้ จึงต้องหาทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีอื่น มีวิธีหนึ่งที่ง่ายเหลือเชื่อคือ ไปหาหัวหน้าและบอกว่าอย่างนี้ไม่ไหวขอคุยเรื่องนี้หน่อยได้ไหม วินาทีที่ทำอย่างนั้นจะแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา นี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์วุฒิภาวะในการรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น การรับผิดชอบก็คือการรู้จักเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ จะคุ้มค่าแค่ไหนหากได้คลี่คลายปมทั้งหมด ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหลาย

ถ้ามีหัวหน้าที่ดีพวกเขาจะเข้ามาช่วยพร้อมกับเสนอทางเลือกต่าง ๆ พวกเขาจะสังเกตเห็นว่าลูกน้องกำลังดิ้นรนกับอะไรบางอย่าง และพวกเขามาอยู่ตรงนี้เพื่อสนับสนุนให้เดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตามถ้าหัวหน้าไม่ได้เสนอความช่วยเหลือในแนวทางที่ต้องการ บางทีเพราะเขาอาจแค่กำลังมองไม่ออกว่าลูกน้องกำลังมีปัญหาอะไรกันแน่ ให้โอกาสหัวหน้าสักหน่อย ขอเวลาพูดคุยด้วย นั่งลง อธิบายสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น แล้วก็บอกว่าต้องการความช่วยเหลือ ลูกน้องที่ทำแบบนี้กำลังเดินไปสู่การแก้ปัญหาอย่างแท้จริง หากได้หัวหน้าและผู้นำที่ดีปัญหานั้นก็อาจคลี่คลายลงไปได้ ปัญหาคือหัวหน้าจำนวนมากเหลือเกินที่จะไม่ฟัง พวกเขาเองก็หมดพลังหรือไม่ได้ให้เวลากับเรื่องนี้ หรือตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยยังไง คนเหล่านี้เรียกว่าหัวหน้าที่ไม่ต้องมีก็ได้ งานของหัวหน้ามาพร้อมกับความคาดหวังบางอย่าง และพวกเขาถูกจ้างมาให้รับผิดชอบในเรื่องต่าง ๆ แต่พวกเขากลับไม่ใส่ใจเอาเสียเลย นี่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ หัวหน้าบางคนจะไม่เปลี่ยนแปลงอะไรจนกว่ามันจะสายเกินไป

ข้อสรุปที่ได้คือ แต่ละคนจะต้องแก้ปัญหาที่ตัวเองเผชิญ ในลักษณะที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้ ขึ้นอยู่กับว่าเป้าหมายคืออะไร อย่างที่รู้กันว่าการคิดวิเคราะห์เป็นสิ่งสำคัญ ลูกน้องเปลี่ยนหัวหน้าไม่ได้ จะเปลี่ยนได้แค่ตัวเองเท่านั้นนี่คือความจริง ทุกคนเป็นผู้ใหญ่จึงไม่สามารถเอาแต่ชี้นิ้วไปที่คนอื่น และพูดว่าเป็นหน้าที่ของหัวหน้าทั้งหมด นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมแพ้ ท้ายที่สุดแล้วถ้าต้องนั่งจมอยู่กับอาชีพการงานที่พังยับเยินและสภาพการเงินที่ย่ำแย่ มันจะไม่ช่วยอะไรเลย ถ้าเพิ่งคิดขึ้นมาได้ว่า ตอนนั้นน่าจะทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเอง ถ้ามีหัวหน้ายอดแย่ จึงจำเป็นต้องตัดสินใจครั้งนี้เพื่อตัวเอง จะจมปลักอยู่อย่างนี้และหวังว่าสักวันจะดีขึ้น หรือจะเริ่มลุกขึ้นมาหาทางออกด้วยตัวเอง

ตอนที่ 2 เมื่อรายล้อมด้วยลูกน้องสันหลังยาว

ทำไมลูกน้องถึงทำงานเสร็จได้ยากเย็นนัก

หนังสือเล่มนี้เขียนจาก 2 มุมมอง เพราะอยากให้ทั้งหัวหน้าและลูกน้องได้เห็นสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองที่แตกต่างกัน ถ้าเป็นหัวหน้าสิ่งนี้จะช่วยพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำ การเป็นหัวหน้ามีความท้าทายหลายอย่าง และมีความลึกซึ้งมากพอที่จะเข้าใจว่า ตัวเองสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ จากการขัดเกลาด้านความเป็นผู้นำ บางทีอาจจะเผชิญกับความท้าทายเดียวกับที่หัวหน้าอีกจำนวนมากเผชิญอยู่ นั่นคือลูกน้องทำงานได้น้อยเหลือเกินในแต่ละวัน การศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่งซึ่งบริษัทจำนวนมากในสหภาพยุโรปร่วมกันทำ เผยสถิติที่น่าเจ็บปวดให้เห็นดังนี้ เพียง 10% ของพนักงานทั้งหมดเท่านั้นที่จัดได้ว่าเป็นคนทำงานเก่ง ประมาณ 70% หากมองในแง่ดีสักหน่อยสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นคนทำงานฝีมือปานกลาง ประมาณ 20% อยู่ในประเภทต่ำกว่ามาตรฐาน นี่เป็นความจริงที่ยากจะรับได้ ถ้าชำเลืองตามองดูพวกเขาจะดูเหมือนว่าพวกเขากำลังยุ่งกับงาน แต่ถ้ามองให้ดีจะเห็นว่าพวกเขาแกล้งทำนั่นทำนี่ให้ดูยุ่งเท่านั้นเอง อันที่จริง 2-3 คนในกลุ่มนี้ดูเหมือนจะเป็นพวกสันหลังยาวขนานแท้

มีปัญหาหนึ่งที่ติดมาด้วยเป็นปกตินั่นคือโครงสร้างของบริษัท ถ้าอยากมีอาชีพการงานที่ดีก็ต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้า ถ้าสนใจที่จะประสบความสำเร็จในด้านอาชีพการงาน การขยับตำแหน่งขึ้นก็ยังมีให้เห็นมากกว่าการขยับจากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่งในปรับระดับเดียวกัน หัวหน้าจำนวนมากทุกวันนี้ไม่ได้ตั้งใจไขว่คว้าหาตำแหน่งนี้พวกเขาได้มาเอง เหตุผลที่ยอมรับตำแหน่งหัวหน้าอาจมาจากแรงขับบางอย่าง เช่น บางทีอาจคิดว่าการได้ขึ้นเงินเดือนคือรางวัล บางทีอาจชอบที่ตำแหน่งนี้ทำให้มีอำนาจเหนือคนอื่น อาจคิดว่าตัวเองสามารถสร้างความแตกต่างได้ถ้ามีอำนาจนั้น จะให้เหตุผลอะไรก็ได้ทั้งนั้น แรงจูงใจเหล่านี้ไม่มีอะไรเสียหาย

แถลงการณ์พันธกิจ วัตถุประสงค์ของการสร้างแถลงการณ์พันธกิจคือ อธิบายจุดประสงค์ของบทบาทหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง และจำเป็นต้องหาคำตอบให้ได้ สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับบทบาทในฐานะหัวหน้าหรือผู้นำ ต้องพูดกับตัวเองได้ว่านี่คือ เหตุผลทำไมจึงลุกจากเตียงในตอนเช้า ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นอะไร ต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง “ในฐานะหัวหน้าและผู้นำ ฉันควรจะมุ่งมั่นตั้งใจรับผิดชอบหน้าที่ในการสร้างแรงบันดาลใจและพัฒนาทีมของฉัน เพื่อช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ฉันต้องการให้คนมองว่าเป็นผู้นำที่พูดตรงไปตรงมา น่าเชื่อถือ และเป็นมืออาชีพ” มีแถลงการณ์พันธกิจของตัวเองหรือไม่ ไม่ต้องทำแบบทางการขนาดนี้ก็ได้ แต่ถ้ายังไม่รู้เลยว่าทำไมต้องมาอยู่ตรงจุดนี้ แล้วลูกน้องจะมีทิศทางในการทำงานได้ยังไง ฉะนั้นคิดดูว่าต้องการให้คนมองยังไง นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของแถลงการณ์พันธกิจได้เลย ต้องรู้สิ่งนี้ถ้าไม่อยากถูกมองว่าเป็นหัวหน้าที่แย่หรือถึงขั้นไม่ต้องมีก็ได้ จำเป็นต้องมีเป้าหมายที่ครอบคลุม ให้เริ่มต้นจากตัวเอง สิ่งที่น่าสนใจในเรื่องนี้คือ ทันทีที่เริ่มจริงจังกับพันธกิจ จะเห็นลูกน้องสันหลังยาวในที่ทำงานน้อยลง

เป็นที่ชื่นชอบหรือเป็นที่เคารพดีกว่ากัน พอสถานการณ์เริ่มยากและถูกเรียกร้องมากขึ้น ก็จะเกิดคำถามกับตัวเองอีกว่า ทำไมถึงก้าวเข้ามารับงานนี้ หัวหน้าควรทบทวนคำถามนี้อย่างน้อยก็สักคืนหนึ่ง มีหัวหน้ามากมายเหลือเกินที่อยากให้ตัวเองเป็นที่ชื่นชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพวกเขาได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าของเพื่อนร่วมงานของตัวเอง อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาเช่นนี้อาจเป็นต้นเหตุให้มีจำนวนลูกน้องขี้เกียจเพิ่มขึ้นได้ การปกครองลูกน้องจะไม่ค่อยราบรื่นนัก ในฐานะหัวหน้า ลูกน้องบางคนจะฉวยโอกาสใช้ประโยชน์จากจุดนี้ คนที่ไม่ใส่ใจกับการทำงานอาจใช้เรื่องนี้เป็นช่องทางเอาตัวรอด ตั้งแต่ขอเวลาทำงานแปลก ๆ ไปจนถึงที่จอดรถใกล้ประตูทางเข้ามากที่สุด คนเราไม่มีทางเป็นที่ชื่นชอบตลอดเวลา ไม่สามารถทำให้ใครพอใจได้ตลอด นั่นเป็นจินตนาการอันสวยหรู ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย

ถ้าสลับมุมมองและดูว่า การเป็นที่เคารพหมายถึงอะไร จะพบจิตวิทยาบางอย่างที่น่าสนใจซ่อนอยู่ คำว่าเป็นที่เคารพไม่ได้หมายถึงเป็นที่หวาดกลัว การเป็นที่เคารพหมายถึงเคารพในความสามารถซึ่งเป็นที่กล่าวขานในฐานะผู้นำที่เก่งและยุติธรรม ได้รับการชื่นชมในสิ่งที่ทำ และลูกน้องศรัทธาอย่างเช่น ตัดสินใจเรื่องยาก ๆ และยืนหยัดกับการตัดสินใจเหล่านั้น การอยากเป็นที่เคารพคือการตระหนักว่า บางครั้งต้องตัดสินใจในสิ่งที่ลูกน้องจะไม่ชอบ บางครั้งต้องมีความกล้าที่จะยืนหยัดในสิ่งที่ทำ และเผชิญหน้ากับสมาชิกบางคนของทีม การอยากเป็นผู้นำที่ลูกน้องชื่นชอบเป็นเส้นทางที่อันตราย การพยายามเป็นที่เคารพเป็นหนทางที่ปลอดภัยกว่า สิ่งที่น่าแปลกเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ถ้ากลายเป็นที่เคารพจะเป็นที่ชื่นชอบไปด้วย ซึ่งอาจคิดไม่ถึง

พวกสันหลังยาวบทสรุปนั้นชัดเจน การกดดันในช่วงแรกและผ่อนคลายลงหน่อยในช่วงหลังเป็นวิธีที่ได้ผล การปล่อยให้ทุกคนทำตัวสบาย ๆ ในช่วงแรก และค่อยมากดดันในช่วงหลังไม่ได้ผลดีเท่า คนจะไม่พอใจ มันเป็นผลทางจิตวิทยามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเป็นเรื่องของการจัดการกับบรรดาลูกน้องที่ขี้เกียจ การตามงานอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็น นั่นคือวิธีที่จะจัดการกับคนซึ่งน่าจะรู้ว่าตัวเองควรทำอะไร แต่อาจทำตัวตามสบายกับงานที่ทำมากไปสักหน่อย

บทลงโทษหรือรางวัลจะสร้างแรงจูงใจให้ลูกน้องได้ยังไง

สิ่งหนึ่งที่เจอเป็นประจำเวลาที่อบรมกลุ่มผู้จัดการในเรื่องความเป็นผู้นำคือคำถามเรื่องความรับผิดชอบต่อผู้อื่น และพวกเขามองลูกน้องในปัจจุบันและอนาคตยังไง เมื่อปี 1960 ดักลาส แม็คเกรเกอร์ เขียนหนังสือชื่อ The Human side of Enterprise สิ่งหนึ่งที่เขาทำคือพยายามค้นหาให้แน่ใจว่า แรงจูงใจในการทำงานความเป็นผู้นำ และการบริหารจัดการทำงานยังไง เขาพัฒนาทฤษฎีขึ้นมา 2 ทฤษฎี เขาเรียกว่าทฤษฎีเอ็กซ์และทฤษฎีวาย ทฤษฎีเหล่านี้บรรยายถึงทัศนคติ 2 แบบที่แตกต่างกัน

ทฤษฎีเอ็กซ์ ระบุว่าคนเรามีสัญชาตญาณที่น่ารังเกียจการทำงานอยู่แล้ว และพยายามเลี่ยงหากทำได้ คนเราต้องถูกบังคับ ควบคุม ปกครอง และข่มขู่ว่าจะถูกลงโทษเพื่อที่จะยอมทำงาน คนเราชอบที่จะมีผู้นำ เพราะคนทั่วไปขาดความทะเยอทะยานและต้องการเรื่องความรับผิดชอบ ดังนั้น ผู้นำตามทฤษฎีเอ็กซ์จึงสันนิษฐานว่า คนทำงานของพวกเขาไม่มุ่งมั่นตั้งใจเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในงานที่ตัวเองทำ คนเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการชี้นำที่ชัดเจน รวมถึงได้รับการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด และจะทำงานหนักก็ต่อเมื่อต้องทำเท่านั้น ทางเดียวที่จะทำให้พวกเขาทำงานคือควบคุมพวกเขาตลอดเวลา ถ้าหัวหน้าหันหลังเมื่อไหร่งานจะหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง

ส่วนทฤษฎีวาย ระบุว่าคนเราอาจมองหา และต้องการการจะรับผิดชอบอะไรบางอย่างในสถานการณ์ที่เป็นประโยชน์ คนเราให้คุณค่ากับการสื่อสารและความมุ่งมั่นตั้งใจ ถ้าคนเราสามารถดูแลและควบคุมงานของตัวเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้การควบคุมและการลงโทษ ผู้นำตามทฤษฎีวายสันนิษฐานว่า ลูกน้องของพวกเขาสามารถมีแรงจูงใจในการทำงานได้ โดยอาศัยความชี้แนะน้อยที่สุด เพราะเขาสามารถกำกับดูแลตัวเองได้ดี และต้องการทำงานให้ออกมาดี บทบาทของผู้นำคือช่วยให้พวกเขาทำตามนั้นได้ เพียงแต่หัวหน้าต้องพร้อมที่จะให้พวกเขาปลดปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกมา นี่หมายความว่าในฐานะหัวหน้า ต้องกล้าที่จะปล่อยให้ลูกน้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง

บางครั้งหัวหน้าต้องถอยออกมาสักนิด และมองดูสถานการณ์ให้ดี ๆ อีกทั้งข้อสรุปของเรื่องนี้ทั้งหมดก็ง่าย ๆ ปล่อยให้แต่ละคนทำงานของตัวเอง งานในฐานะหัวหน้าคือดูให้มั่นใจว่าลูกน้องทุกคนมีสิ่งที่จำเป็นในการทำงาน

ผู้นำหรือผู้เชี่ยวชาญอันไหนคืองานในฐานะหัวหน้า

ลูกน้องอาจจะคาดหวังให้หัวหน้าแก้ปัญหาให้พวกเขาทุกอย่าง งานของหัวหน้าคือยืนเคียงข้างลูกน้อง เรื่องนี้ถูกและผิดในเวลาเดียวกัน ถูกในแง่ที่ว่าหัวหน้าควรดูให้มั่นใจว่า ลูกน้องทุกคนได้รับเงื่อนไขที่ดีที่สุดซึ่งเอื้อต่อการทำงานของตัวเอง ทัศนคติเช่นนี้ถือว่าผิดเหมือนกัน เพราะงานของหัวหน้าไม่ใช่การทำงานให้คนอื่น งานคือการทำงานของตัวเอง งานของหัวหน้าคือดูให้มั่นใจว่าทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างราบรื่น แต่การลงมือทำงานจะเป็นงานของลูกน้องแต่ละคนเสมอ ไม่ว่าบางครั้งงานนั้นจะน่าเบื่อแค่ไหนก็ตาม ถ้าคนคนเดียวต้องทำทุกอย่าง สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็จะพัง เพราะทุกคนมัวแต่รอหัวหน้า ถ้าหัวหน้าต้องทำทุกอย่างแล้วจะมีลูกน้องไปเพื่ออะไร ชีวิตในแต่ละวันของคนเป็นหัวหน้าพอจะแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน

  1. ทุกอย่างเกี่ยวข้องกับความเป็นผู้นำ ซึ่งก็คือกิจกรรมอย่างเช่น การชี้แนะลูกน้อง การฝึกอบรมลูกน้อง การติดตามความก้าวหน้า รวมถึงเรื่องอื่น ๆ วัตถุประสงค์ของทั้งหมดนี้คือ เพื่อให้ลูกน้องทำงานของตัวเองได้ แทนที่หัวหน้าจะต้องเป็นคนทำ
  2. คนจำนวนมากยังคงยืนกรานว่าหัวหน้าควรเก่งที่สุดในทุกเรื่อง นั่นถือเป็นโชคร้ายเพราะมันทำให้หัวหน้ากลายเป็นคอขวดขนาดมหึมา เนื่องจากเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถตอบคำถามด้านเทคนิคเหล่านี้ได้ หัวหน้าเหล่านี้แทรกแซงทุกเรื่อง และควบคุมรายละเอียดมากมาย เพราะมองว่าตัวเองเป็นเพียงคนเดียวที่เข้าใจปัญหา

อย่างไรก็ตามประเด็นคือในชีวิตแต่ละวัน สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นเร็วมาก ไม่มีทางที่จะทำทุกอย่างที่ควรทำได้ทั้งหมด มีอะไรให้ทำเพิ่มอีกเสมอ จึงต้องเรียงลำดับความสำคัญ หากให้ความสำคัญผิดจุดจะพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ต่อไปนี้ จะไม่มีเวลาสำหรับการเป็นผู้นำที่ได้คิด ใคร่ครวญ และสร้างแรงจูงใจ จะมีแต่เวลาที่เป็นหัวหน้า บรรยากาศจะเต็มไปด้วยเสียงตะโกนโวยวาย และการสั่งด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว แต่ไม่มีการสร้างกำลังใจ ลืมความคิดที่จะเป็นผู้รับฟังปัญหา และข้อเสนอแนะของลูกน้องไปเลย ลองคิดถึงข้อบกพร่องที่อาจจะมี ในการเป็นผู้นำแบบรับงานที่ไม่ใช่ของตัวเองมากเกินไป หรือโยนงานทุกอย่างไว้บนโต๊ะของคนอื่น คงอยู่ตรงจุดไหนสักแห่งระหว่าง 2 จุดนี้ คิดดูว่าอยู่ตรงจุดที่เหมาะสมหรือไม่ จำเป็นต้องตระหนักเรื่องนี้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้กำลังทำงานจริง ๆ

ถ้าเป็นหัวหน้าสีแดงที่เปลี่ยนประสิทธิภาพ

สีที่เด่นที่สุดคือสีแดง มักชอบความเร็ว และไม่ลังเลที่จะให้คำสั่งที่เป็นรูปธรรมและชัดเจน ต้องการเห็นผลลัพธ์ และพร้อมจะลงไปลุยเองเมื่อจำเป็น ถ้าหยุดคิดสักนิดจะสงสัยว่า ลูกน้องบางคนน่าจะคิดว่าเร่งรีบเกินไปและพูดตรงเกินไป แต่ถ้ามองลูกน้องตามสีของพวกเขา จะเริ่มเห็นรูปแบบต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ดังนี้

ลูกน้องสีแดง ชอบที่หัวหน้าตรงไปตรงมา อันที่จริงเข้ากับลูกน้องได้ดีทีเดียว ลูกน้องสีแดงชื่นชอบการสื่อสารที่ชัดเจน และชอบที่ไม่ปกปิดแม้กระทั่งเรื่องแย่ ๆ พวกเขายังมองสิ่งที่ทำ มีรูปแบบบางอย่าง เป้าหมายค่อนข้างชัดเจน และท้าทาย มีเหตุผลหลายอย่างว่า ทำไมบรรดาหัวหน้าสีแดงจึงรับพนักงานที่เป็นคนสีแดง เพราะมีเรื่องไร้สาระน้อยกว่า และไม่ต้องพูดจาหวานหูทุกเรื่องตลอดเวลา ในทางตรงกันข้ามมันก็ดีที่จะทำแต่งาน

ในทางตรงกันข้าม บางครั้งลูกน้องสีแดงคิดว่าหัวหน้างี่เง่าสุด ๆ เพราะชอบชี้นำ คนสีแดงเกลียดการถูกชี้นำ อย่างไรก็ตามลูกน้องที่คิดว่าจำกัดอิสรภาพของพวกเขาและชอบควบคุม อาจจะสร้างความรำคาญใจ เพราะพวกเขาจะสร้างปัญหาเมื่อรู้สึกไม่พอใจ พวกเขาจะทำทุกอย่างให้ยุ่งเหยิง และสามารถสร้างความวุ่นวายภายในกลุ่มได้อย่างมากมาย ความขัดแย้งอันดุเดือดอาจปะทุขึ้นได้ไม่ยาก ซึ่งจะไม่เป็นผลดีกับคนที่ไม่ใช่สีแดง

ลูกน้องสีเหลือง ชอบเวลาที่มีอะไรเกิดขึ้นตลอดเวลา พวกเขาชอบมากที่ไม่ชี้แนะละเอียดยิบ แต่ปล่อยให้พวกเขาได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์ พวกเขาไม่คิดอะไรที่อยู่ในกรอบเลย ซึ่งดีที่หัวหน้ายอมรับได้ เพราะเขารู้ว่าหัวหน้าเน้นการถือเป้าหมายมากกว่าจะมาก้าวก่ายว่าพวกเขาจะไปถึงเป้าหมายยังไง ไม่แปลกที่หัวหน้าสีแดงจะรับคนสีเหลืองเข้ามาเป็นลูกน้อง ทั้งสองชอบการลงมือทำ งานมากมายเกิดขึ้นได้โดยที่ทั้งคู่ไม่ต้องวุ่นวายในเรื่องรายละเอียด คนสีเหลืองยังเป็นนักสื่อสารตัวฉกาจ พวกเขาสามารถหักห้ามใจตัวเองได้ และพูดเท่าที่หัวหน้าสีแดงอยากฟังเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม คนสีเหลืองรู้สึกว่าหัวหน้าไม่ค่อยสร้างแรงบันดาลใจ สุดท้ายแล้วพวกเขาต้องการแรงบันดาลใจ และชอบที่จะพูดเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งทำให้คนสีเหลืองรู้สึกเศร้ากว่า เขาชอบที่จะสนุกในที่ทำงานด้วย คนสีเหลืองจึงรู้สึกว่าถูกมองข้ามเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเขาจึงอาจเหมือนกับเด็กที่ชอบแหย่เพื่อเรียกร้องความสนใจ อีกอย่างหนึ่งที่อาจสร้างความเครียดให้กับลูกน้องสีเหลืองคือ การที่สามารถวาดภาพให้ดูแย่สุด ๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากทีมไม่สามารถทำตามเป้าที่ตั้งไว้ได้ วิธีหนึ่งในการเอาชนะใจลูกน้องสีเหลืองคือ ให้ความเป็นกันเองและเป็นมิตร ลองเล่าเรื่องตลกและสนุกด้วยกันบ้าง พยายามอย่าไปสนใจว่าโต๊ะเต็มไปด้วยเอกสารมากมายที่ต้องจัดการ การคุยเล่นกับคนสีเหลืองบ้างถือเป็นการใช้เวลาที่มีประโยชน์ เพราะจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น ถ้าพวกเขารู้สึกอึดอัดอาจจะไม่มีผลงานอะไรให้อวดได้เลย เหตุผลหนึ่งที่ทำงานกับคนสีเหลืองได้ดีมากคือ ชอบสิ่งที่ได้ยินจากพวกเขา ลูกน้องสีนี้พูดถูกเสมอและเห็นด้วยกับหัวหน้า แน่นอนนั่นช่วยประหยัดเวลา แค่พยายามตรวจดูสิ่งที่พวกเขาทำจริง ๆ สิ่งที่ลูกน้องพูดกับสิ่งที่ทำจริงไม่เหมือนกันเสมอไป

ลูกน้องสีเขียว บุคลิกของคนสีเขียวต่างจากหัวหน้ามาก ข้อดีคือเสริมกันและกัน หัวหน้าเร็วคนสีเขียวให้เวลาตัวเองมากกว่า หัวหน้าสนใจประเด็นที่เป็นรูปธรรมคนสีเขียวช่วยรักษาความสัมพันธ์ภายในกลุ่มให้เดินไปได้ หัวหน้าชอบออกคำสั่งคนสีเขียวไม่มีปัญหาเลยกับการเป็นฝ่ายรับคำสั่งที่สุภาพ ลักษณะอย่างนี้เสริมกันได้ดี คนสีเขียวชื่นชมเพราะแม่นยำ พวกเขาชอบความมั่นคงปลอดภัย และถ้าคนสีเขียวเข้าใจหัวหน้าจริง ๆ สิ่งนี้จะสร้างเสถียรภาพเหมือนหินแกร่งที่ยืนหยัดสู้กับพายุได้ และคนสีเขียวก็จะต้องการหลบอยู่ข้างหลัง

ในทางตรงกันข้าม คนสีเขียวใช้ความรู้สึกในการตัดสินใจทุกครั้ง พวกเขาอาศัยความรู้สึกลึก ๆ เป็นตัวชี้นำ ถ้าเข้าไปถามว่าอะไรเป็นยังไงบ้าง คำตอบจะไม่ออกมาในทันที เริ่มแรกพวกเขาต้องคิดเรื่องนี้ และคิดว่าพวกเขารู้สึกยังไงด้วย อาจต้องรอสัก 2-3 วินาที คนสีเขียวชอบหลบจากความขัดแย้งมากกว่าอะไรทั้งหมด แค่เสียงที่เฉียบขาดเล็กน้อย หรือการมองด้วยสายตาที่เฉยชา ก็จะทำให้ลูกน้องสีเขียวรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจได้แล้ว ลูกน้องสีเขียวอยากรู้สึกว่าคาดเดาอะไรได้ในที่ทำงาน พวกเขาต้องการรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพวกเขาไม่อยากรับรู้ปัญหาและเรื่องยุ่งยาก ทุกครั้งที่พบกับลูกน้องสีเขียวขอให้ชะลอความเร็วลง ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่พูด เวลาที่คิด เวลาที่ตัดสินใจ สิ่งที่ต้องทำคือทำให้คนสีเขียวไว้เนื้อเชื่อใจ ทำอย่างนั้นได้ด้วยการพยายามกล่อมให้พวกเขาแสดงความคิดเห็นจริง ๆ ออกมา จงให้ข้อมูลเบื้องหลังของเรื่องที่เกี่ยวข้องให้มากพอ แต่อย่ามากจนล้น แต่ให้เพียงพอที่จะสร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัย คนสีเขียวชอบความละเอียดรอบคอบในการตัดสินใจ เพราะนั่นทำให้พวกเขารู้สึกดีกว่า

ลูกน้องสีน้ำเงิน มองว่าหัวหน้าค่อนข้างใช้ได้ เพราะอย่างน้อยก็โฟกัสกับงาน สนใจงานที่อยู่ในมือ สิ่งนี้ช่วยให้หัวหน้าได้คะแนนจากคนสีน้ำเงิน คนสีน้ำเงินซาบซึ้งที่หัวหน้าไม่ถามเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของพวกเขา คนสีนี้ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเล่าถึงสิ่งที่ตัวเองทำในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พวกเขาคิดว่าการทำแบบนั้นไม่เป็นมืออาชีพ พวกเขาชอบเมื่อแสดงออกอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องตีความ คนสีน้ำเงินไม่ชอบความคลุมเครือเมื่อต้องทำความเข้าใจวิธีการทำงาน แม้ว่าคำสั่งจะไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่อย่างน้อยถ้าชัดเจนก็ถือว่าดีแล้ว

ในทางตรงกันข้าม พวกเขาจะมองว่าหัวหน้าไม่ได้เรื่อง มองข้ามสิ่งต่าง ๆ ที่สำคัญ และขาดการโฟกัสที่ชัดเจน ไม่เสมอต้นเสมอปลาย และอารมณ์เสียในเรื่องที่ไม่ใช่สาระเลย คนสีน้ำเงินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ มันไม่ทำให้คนสีน้ำเงินเครียด พวกเขาแค่รอจนทุกอย่างจบ แล้วก็กลับไปทำงาน คนสีน้ำเงินตระหนักดีว่าหัวหน้าเร่งรีบ แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่ารีบไปทำไม เวลาช้าเร็วขึ้นอยู่กับว่าเทียบกับอะไร การอยากได้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว สวนทางกับการพยายามทำงานให้สมบูรณ์แบบ ทางออกคือแค่แนะว่าจะหารายละเอียดได้จากที่ไหน แล้วปล่อยให้ลูกน้องสีน้ำเงินทั้งหลายหารายละเอียดกันเอง ยื่นรายงานแล้วบอกให้พวกเขาอ่าน ไม่จำเป็นต้องบอกให้พวกเขาอ่านให้ละเอียด เพราะพวกเขาจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามปล่อยให้พวกเขาซึมซับข้อมูลตามความช้าเร็วของพวกเขาเอง อย่าขอให้พวกเขารีบอ่านเพราะเสียเวลาเปล่า สิ่งที่ต้องทำคืออดทนให้มาก ความรู้สึกเร่งรีบที่มีอยู่เสมอไม่มีประโยชน์ต้องพยายามควบคุมในลักษณะอย่างอื่นแทน วิธีหนึ่งคือการติดตามงานตามมาตรฐานทั่วไป ต้องคิดล้ำหน้าไปให้ไกลในเรื่องนี้

ในฐานะหัวหน้าสีแดงต้องตระหนักได้ว่า คนสีอื่น ๆ มองแตกต่างออกไปเล็กน้อย พวกเขาอาจจะเห็นด้วยในบางเรื่อง แต่ไม่ใช่ทุกเรื่อง ลูกน้องก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบให้การพูดคุยดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่ในฐานะหัวหน้าต้องรับผิดชอบมากที่สุด ท้ายที่สุดแล้วจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่าพร้อมที่จะพยายาม แน่นอนว่าในฐานะหัวหน้าสีแดงย่อมต้องการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้สูงภายในเวลาอันรวดเร็ว

ถ้าเป็นหัวหน้าสีเหลืองที่สร้างแรงบันดาลใจเก่ง

หัวหน้าสีเหลืองเป็นนักสร้างแรงบันดาลใจโดยธรรมชาติ และมักส่งคลื่นพลังบวกไปให้คนรอบตัว เป็นนักสื่อสารตัวฉกาจ และโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นดีเห็นงามกับไอเดียได้ง่าย ๆ ความคิดสร้างสรรค์พาไปสู่การทดสอบแนวคิดใหม่ ๆ อยู่เสมอ มองโลกในแง่ดีเกินไป และบางครั้งก็เผลอออกนอกเรื่อง มาดูกันว่าลูกน้องพูดถึงความเป็นผู้นำยังไงบ้าง

ลูกน้องสีแดงคิดว่าหัวหน้ามีพลังและคล่องแคล่ว พวกเขาชอบตรงที่มีไอเดียนั้นไอเดียนี้และไม่กลัวที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ พวกเขาเห็นด้วยว่าคนเราไม่มีทางที่จะรู้แน่ชัดว่าทุกอย่างจะนำไปสู่อะไรบ้าง เพราะเขาชอบที่หัวหน้ามองสิ่งต่าง ๆ ในภาพกว้าง หัวหน้าสีเหลืองชอบลูกน้องสีแดงมากทีเดียว เหตุผลก็ง่าย ๆ สองสีนี้มีความสำคัญที่เอื้อให้ทำงานได้ราบรื่น คนสีแดงชอบลุยซึ่งถูกใจหัวหน้าสีเหลืองที่เปิดโอกาสให้ฝ่าด่านที่หนักหน่วงที่สุดไปก่อน แต่คนสีแดงไม่ต้องการให้หัวหน้ามาควบคุมอย่างใกล้ชิด ซึ่งโทนสีเหลืองรับรู้ได้นี่เป็นเรื่องดี เพราะหัวหน้าสีเหลืองจะตามงานไม่ครบอยู่ดี ลูกน้องสีแดงจึงมีอิสระมากพอ

ในทางตรงกันข้าม ลูกน้องสีแดงจะคิดว่าหัวหน้าทำตัวเหมือนพวกงี่เง่าอยู่บ่อยครั้ง เรียกร้องความสนใจจากพวกเขามากเกินไป เพื่อให้พวกเขาเชื่อมั่น ความงี่เง่า ไร้สาระ และการแหย่เล่นไปทั่วสร้างความรำคาญเหลือเกิน และทำไมต้องมาวุ่นวายตลอดเวลา พวกเขายังไม่ชอบที่เป็นกันเองมากเกินไป วัน ๆ เอาแต่พูดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงาน ทว่าก็ยังรักษามารยาท พวกเขารู้จักยิ้มและพยักหน้าเพราะยังไงก็เป็นหัวหน้า แต่พวกเขาอยากเดินหนีเพื่อไปทำอย่างอื่นใจจะขาด มีวิธีเปลี่ยนสภาพการเช่นนี้อยู่เหมือนกัน สิ่งเดียวที่ต้องทำคือคิดถึงพฤติกรรมของคนสีแดง พวกเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อสนุกสนาน พวกเขาไม่ได้มาทำงานเพื่อเป็นเพื่อนกับหัวหน้า คนสีแดงต้องการแค่ผลลัพธ์ ดังนั้นพูดถึงเป้าหมายดีกว่าพูดถึงแรงบันดาลใจและวิสัยทัศน์ ลูกน้องสีแดงเป็นนักปฏิบัติซึ่งเป็นเรื่องที่สุดยอดมาก พวกเขาพูดน้อยและทำงานมาก แค่อย่าขวางทางพวกเขาก็พอ วางตัวให้เป็นมืออาชีพและเป็นการเป็นงานตลอดเวลา อย่าออกนอกเรื่อง และถ้าความคิดที่มีคลุมเครือเกินไปก็อย่าพูดออกมาดีกว่า

ลูกน้องสีเหลืองทำงานเข้าขาได้ดีเหลือเกิน ลักษณะนิสัยของคนสีเหลืองมักโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย เหตุผลคือคนสีเหลืองมองโลกในแง่ดี มีความคิดสร้างสรรค์ พูดเก่ง และโน้มน้าวเก่ง พวกเขาไม่รู้จักคำว่ากลัว และชอบติดต่อกับคนแปลกหน้า บ่อยครั้งที่คนสีเหลืองจะรับคนแบบตัวเองหรือคนแบบที่ตัวเองชอบเข้าทำงาน คนเหล่านั้นก็คือคนที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกับพวกเขา  พวกเขาชอบบรรยากาศการทำงานดี ๆ สิ่งที่ลูกน้องสีนี้พอใจเป็นพิเศษคือ แทบจะไม่ขอให้พวกเขาส่งรายงาน หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาต้องถูกประเมิน พวกเขาชอบความอิสระที่หัวหน้าให้

ในทางตรงกันข้าม บนเวทีไม่มีพื้นที่พอสำหรับดาวเด่นที่มีจำนวนมากเกินไป คนสีเหลืองทุกคนคิดว่าตัวเองคู่ควรจะเป็นจุดสนใจ ถ้าในฐานะหัวหน้ายึดพื้นที่ไว้เองมากเกินไป ซึ่งลูกน้องสีเหลืองจำนวนมากคิดว่าทำอย่างนั้น พวกเขาจะรู้สึกว่าน่ารำคาญ จำเป็นต้องปล่อยให้ลูกน้องพูดมากกว่า พวกเขาต้องได้พื้นที่ในการแสดงออก พวกเขาชอบสนุกในที่ทำงานตลอดเวลา ปัญหาคือไม่ใช่ทุกอย่างจะสนุกสุด ๆ ได้ตลอดเวลา จำเป็นต้องสร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี แต่ในเวลาเดียวกันก็ต้องคอยจับตาดู เพื่อไม่ให้อะไร ๆ เลยเถิด ความคิดกับการกระทำเป็นคนละเรื่องกัน ฉะนั้นต้องติดตามดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นจริงบ้าง จากแผนทั้งหมดที่วางไว้อย่างสวยหรู

ลูกน้องสีเขียว คนสีนี้ชอบที่หัวหน้าพูดคุยกับพวกเขาด้วยเรื่องต่าง ๆ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องงานเสมอไป ด้วยความที่คนสีเขียวชอบการสื่อสารที่เป็นกันเองสักหน่อย พวกเขาจึงชื่นชอบที่ไม่กดดันพวกเขาหนักเกินไป ด้วยความที่โดยรวมแล้วลูกน้องสีเขียวไม่มีปัญหากับการทำงานเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างน่าเบื่อ งานที่พยายามมอบหมายให้คนสีเหลืองแต่พวกเขาไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่อาจเป็นงานที่ควรมอบให้คนสีเขียวมากกว่า คนสีเขียวไม่คิดอะไรที่ชอบเป็นที่สนใจ เพราะพวกเขาไม่ต้องการสิ่งนั้นอยู่แล้ว

ในทางตรงกันข้าม คนสีเขียวคิดว่ากินพื้นที่มากเกินไป พูดตลก และแหย่คนเล่นไปทั่ว ซึ่งบางครั้งพวกเขาหวังว่าหัวหน้าจะเพลา ๆ ลงบ้าง คนสีเขียวไม่ต้องการเป็นศูนย์กลางของอะไรก็จริง แต่ลึก ๆ แล้วพวกเขาไม่ต้องการให้ใครเป็นศูนย์กลางด้วย พวกเขาต่อต้านการเปลี่ยนแปลงโดยนิสัย ซึ่งแนวทางที่ดีที่สุดคือไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย อย่าเปลี่ยนแปลงอะไรถ้ามันใช้ได้อยู่แล้ว ถ้าจำเป็นต้องปรับสิ่งที่จะสื่อกับลูกน้องสีเขียวให้มากขึ้น จงทำให้พวกเขาเกิดศรัทธา แสดงให้เห็นว่าใส่ใจพวกเขาทั้งในแง่ตัวบุคคลและการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม จำไว้ว่าทีมสำคัญกว่าอีโก้ของใครคนใดคนหนึ่ง คิดสิ่งที่ต้องการสื่อออกไปให้รอบคอบ เพียงแค่รับฟังความคิดเห็นของพวกเขา และไม่ปฏิเสธความกังวลของพวกเขา แค่นี้ก็ได้ความไว้วางใจจากพวกเขาแล้ว

ลูกน้องสีน้ำเงินไม่มีทางเลยที่จะทำให้เรื่องนี้ฟังดูดี ลูกน้องสีน้ำเงินยอมรับ อาจจะเคารพในระดับความเป็นส่วนตัว แต่อาจจะไม่มีทางรู้เรื่องนี้ได้เลย หัวหน้าสีเหลืองน่าจะรับพนักงานสีน้ำเงินเข้ามาทำงานในบางโอกาส แต่พอจะสันนิษฐานได้ว่ารับเข้ามาโดยไม่ตระหนักรู้อย่างเต็มที่ หัวหน้าสีเหลืองแทบจะไม่เข้าใจพฤติกรรมของคนสีน้ำเงินเลย

ในทางตรงกันข้าม ความสัมพันธ์ในการทำงานไม่ได้เริ่มต้นดีนัก คนสีน้ำเงินรับฟังไอเดียแต่พวกเขาคิดว่าปล่อยให้ไอเดียเหล่านั้นลอยไปกับสายลม ไม่ศึกษาหาความรู้ให้ดีพอ และทำแค่เสี้ยวเดียวของสิ่งที่พูด พวกเขาคิดถูกซึ่งหัวหน้าเองก็รู้ การพูดเปิดใจเป็นสิ่งที่คนสีน้ำเงินรู้สึกว่าค่อนข้างรบกวนจิตใจ เรื่องหนึ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเกี่ยวกับคนสีน้ำเงินคือ พวกเขาจำได้ทุกอย่าง การขอให้คนสีน้ำเงินแก้ปัญหาจะไม่ค่อยได้ผล ให้บอกไปเลยว่าต้องการเห็นการพิจารณาในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ถ้ามีปัญหาให้รายงานกลับมาพร้อมคำถาม เมื่อทำเสร็จก็ให้รายงานด้วย และข้อสำคัญมากให้ระบุไปด้วยว่าต้องเสร็จเมื่อไหร่ ไม่เช่นนั้นงานชิ้นนี้จะลงไปอยู่ด้านล่างสุดของรายการสิ่งที่ต้องทำ คนสีน้ำเงินชอบทำงานทีละอย่าง นอกจากควรเลี่ยงการถามลูกน้องสีน้ำเงินเรื่องครอบครัวและชีวิตส่วนตัวแล้ว ควรเลี่ยงที่จะพูดถึงชีวิตส่วนตัวของหัวหน้าเองด้วย คนสีน้ำเงินไม่สนใจเลย พวกเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องพร่ำพรรณนาเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวให้คนที่แทบไม่รู้จักฟัง อันที่จริงหัวหน้าทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัด แค่ทำตัวมีไมตรีด้วยและคอยเตือนตัวเองให้ไม่ออกนอกเรื่องก็เพียงพอแล้ว

ถ้าเป็นหัวหน้าสีเขียวที่ช่างใส่ใจ

หัวหน้ามีความอ่อนโยน เป็นกันเอง และใส่ใจลูกน้อง เป็นผู้ฟังที่ดี และจะไม่มีทางอ้างความดีความชอบในไอเดียของคนอื่น หัวหน้าสามารถยืดอกด้วยความภูมิใจ มีคุณสมบัติมากมายที่น่าอิจฉา และลูกน้องก็รู้ดี ลูกน้องบางคนอาจหวังว่าหัวหน้าจะชัดเจนกว่านี้อีกนิด และตัดสินใจเร็วขึ้น มาดูกันว่าลูกน้องคนไหน ที่หัวหน้าจะรู้สึกว่าเป็นความท้าทายมากที่สุด

ลูกน้องสีแดงคิดว่าหัวหน้าเป็นคนดี เป็นคนที่ยอมให้พวกเขาจัดการงานของตัวเอง และไม่รบกวนพวกเขามากเกินไป ทั้งยังเป็นคนที่คนจำนวนมากชื่นชอบ พวกเขาคิดว่าเก่งในการสร้างทีม แม้ว่าพวกเขาไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทีม พวกเขาตระหนักว่าหัวหน้าพยายามสร้างบรรยากาศที่ดีภายในกลุ่ม ถ้าต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และเป็นใครสักคนที่ลูกน้องชอบ คนสีแดงก็อาจจะถือเป็นความท้าทาย อันที่จริงด้านที่อ่อนโยนและเป็นกันเองของหัวหน้าไม่มีผลกับคนสีแดงเลย พวกเขาไม่ต้องการความใส่ใจอะไรขนาดนั้น ข้อดีคือสามารถให้เวลากับลูกน้องคนอื่นได้มากขึ้น

ในทางตรงกันข้าม ลูกน้องสีแดงคิดว่าหัวหน้าเป็นคนอ่อนแอ ไม่เคยยืนหยัดในจุดยืน และพวกเขาสามารถเอาชนะได้ง่าย แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องดีสำหรับคนสีแดง เป็นเรื่องปกติที่ลูกน้องสีแดงจะเมินคำแนะนำของหัวหน้าสีเขียว ขณะที่คิดว่าพฤติกรรมของคนสีแดงสร้างความรำคาญใจเมื่อต้องรับมือด้วย แต่ก็ตระหนักดีด้วยเช่นกันว่า ลูกน้องสีแดงทำอะไรสำเร็จลุล่วงได้มากมาย แน่นอนพวกเขาล้ำเส้นบ่อย แต่พวกเขาก็ทำงานเสร็จ เพราะเขาชอบความท้าทาย และสามารถรับมือกับงานที่ไม่น่าอภิรมย์ได้มากมาย หากแค่รู้ว่าจะบริหารจัดการพวกเขายังไง

ลูกน้องสีเหลืองคิดว่าหัวหน้าก็เป็นคนดีอีกเหมือนกัน ไม่ค่อยทำให้อารมณ์เสีย และไม่ค่อยมีปัญหา ด้วยความที่ไม่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ และปล่อยให้ลูกน้องทำอะไรได้ตามต้องการ พวกเขาจึงไม่มีปัญหาเวลาที่พวกเขาทำผิดพลาดด้วยความประมาทเลินเล่อ พวกเขาละเอียดอ่อนมากกับคำวิพากษ์วิจารณ์ แนวทางที่นุ่มนวลเหมาะกับเรื่องนี้พอดี ถ้าถึงขั้นจำวันเกิดของพวกเขาได้จะได้ใจพวกเขาอีกเยอะทีเดียว

ในทางตรงกันข้าม คนสีเหลืองก็คิดว่าหัวหน้าไม่กล้าแสดงออกเอามาก ๆ ในบางครั้งพวกเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหนในความคิดของหัวหน้า เพราะเก็บซ่อนความรู้สึก ถ้าพวกเขานำเสนอไอเดียที่แปลกแหวกแนว และอยากได้ยินว่าพวกเขาสร้างสรรค์ขนาดไหน หัวหน้าจะตอบสนองด้วยการไม่เอาด้วย พร้อมกับพูดว่าไม่เชื่อมั่นในไอเดียนั้น ปัญหาคือชอบเก็บความคิดเห็นไว้กับตัวเองคนเดียว หรือเมื่อไอเดียใหม่ ๆ ซึ่งการกระทำเช่นนี้สามารถส่งผลลบต่อกำลังใจของคนสีเหลือง ถ้าเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง จุดนี้หัวหน้ากำลังเจอกับความท้าทายอย่าง เคล็ดลับคืออย่าดับความกระตือรือร้นของพวกเขา อย่างไรก็ตามขอให้พิจารณาทุกไอเดียที่ดูน่าสนใจ เรื่องนี้สำคัญ ปกติบางครั้งจริง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องให้โอกาสพวกเขา

ลูกน้องสีเขียว พวกเขาเข้าใจหัวหน้าดีมาก และเกือบจะอ่านความคิดได้เลย ทั้งสองฝ่ายมีสิ่งที่เหมือนกันเยอะมาก และพวกเขาคิดว่าหัวหน้าไม่ควรเป็นหัวหน้าเลย น่าจะเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมทีมมากกว่า ลูกน้องสีนี้ชอบเป็นพิเศษที่ยอมให้พวกเขาทำงานตามจังหวะของตัวเอง หัวหน้าจะไม่มาพร้อมกับไอเดียมากมายที่ทำไม่ได้จริง ถ้าต้องเปลี่ยนแปลงอะไร หัวหน้าจะชะลอการดำเนินการเอาไว้ก่อน โอกาสที่จะรับคนที่เหมือนกัน ซึ่งก็คือคนสีเขียวด้วยกันเข้ามาทำงานนั้นค่อนข้างสูงเพราะมันทำให้รู้สึกดี

ในทางตรงกันข้าม ลูกน้องสีเขียวจะไม่มีทางฝันอยากเป็นหัวหน้าเลย คนสีเขียวเน้นความสัมพันธ์และโทนสีนี้ใส่ใจทีม แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ใครเด่นเกินไป ลูกน้องสีเขียวชอบความรู้สึกมั่นคง แต่พวกเขาคิดว่าบางครั้งก็ค่อย ๆ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ หัวหน้าต้องคำนึงว่าเพื่อนร่วมงานสีเขียว มีแนวโน้มที่จะซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนสีเหลืองและคนสีน้ำเงิน แค่ต้องเตือนตัวเองให้มองเห็นทุกคนในเวลาเดียวกัน แม้กระทั่งคนที่ชอบหลบเลี่ยง

ลูกน้องสีน้ำเงิน หัวหน้าชอบพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างใจเย็น และลูกน้องสีน้ำเงินก็ชอบจังหวะที่ช้าลง คนสีน้ำเงินชอบที่หัวหน้าไม่คอยจับตามอง และก้าวก่ายสิ่งที่พวกเขากำลังทำหรือไม่ทำ และยังชอบที่ไม่ใช่คนพูดไปเรื่อย พวกเขาประเมินทุกแง่มุม และรู้ว่าเป็นคนที่ใช้อารมณ์ความรู้สึกมากเกินไป พวกเขาจึงค่อนข้างรู้กาลเทศะเวลาคุย ไม่ไล่บี้พวกเขาแบบนี้ดีมากเลย

ในทางตรงกันข้าม จริง ๆ แล้วพวกเขาไม่ใช่คู่หู หัวหน้าอาจเข้าใจผิดว่าพวกเขาเป็นคนสีเขียวได้ไม่ยาก แม้ว่าพวกเขาจะสงบเยือกเย็น ควบคุมสติอารมณ์ได้ดี และผ่านวันที่ยากลำบากได้โดยไม่บ่น แต่พวกเขาไม่ใช่คนสีเขียว พวกเขาตรงข้ามกับคนที่เน้นความสัมพันธ์อย่างสิ้นเชิง คนสีน้ำเงินไม่สนใจในแบบส่วนตัวเลยจริง ๆ เมื่อมองจากภายนอก คนเราสามารถมองผิดคิดว่าคนสีน้ำเงินเป็นคนสีเขียว อาจตีความว่าความเงียบหมายถึงการตั้งใจฟัง คนสีน้ำเงินจะมีกระบวนการทางความคิดที่ดุเดือดอยู่ภายใน ในแง่ของการสร้างความมั่นคงปลอดภัย สิ่งที่ต้องทำคือรักษาความนิ่งต่อไป อย่าเปลี่ยนความเร็วในการทำงาน มีความเร็วที่เหมาะเจาะพอดีกับงานอยู่แล้ว คนสีน้ำเงินยังช้ากว่าอีก ฉะนั้นการที่มีความอดทนโดยรวมมากกว่าจึงเป็นเรื่องดี

ถ้าเป็นหัวหน้าสีน้ำเงินที่ช่างวิเคราะห์และเป็นกลาง

เนื่องจากสีที่เด่นที่สุดในตัวคือสีน้ำเงิน จึงรู้เสมอว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น อะไรเกิดขึ้นไปแล้ว และอะไรอาจจะเกิดขึ้น ไม่มีอะไรพลาดสายตาอันแหลมคมไปได้ และชอบดำดิ่งลงไปในรายละเอียด มาดูความคิดของคนสีต่าง ๆ และพยายามพิจารณาความแตกต่างที่สำคัญ

ลูกน้องสีแดงมองว่าการที่หัวหน้าสามารถควบคุมการทำงานได้อย่างเบ็ดเสร็จเป็นเรื่องน่าชื่นชม พวกเขาเคารพที่ไม่ปล่อยให้ความรู้สึกที่ไม่จำเป็นเข้ามาแทรกแซงงาน พวกเขาชอบที่หัวหน้าควบคุมสติอารมณ์ได้ และพวกเขาเหมือนเลือกจะพูดเรื่องร้ายอย่างตรงไปตรงมา การพูดคำหวานไม่ใช่สิ่งที่คนสีแดงถนัด หัวหน้าสีน้ำเงินมีแนวโน้มที่จะเลือกลูกน้องสีแดงมากที่สุด เพราะจะได้ไม่ต้องใช้ความเป็นผู้นำมากนัก คนสีแดงไม่ต้องการถูกชี้นำอยู่แล้ว พวกเขาไม่ต้องการให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวาย และสิ่งนี้ค่อนข้างลงตัว สามารถบริหารจัดการกลุ่มได้ในรายละเอียด

ในทางตรงกันข้าม ลูกน้องสีแดงจะถามตัวเองว่า หัวหน้าทำไมทุกอย่างจึงใช้เวลานานขนาดนี้ การขอคำตอบสำหรับคำถามง่าย ๆ มันยากขนาดนั้นจริง ๆ หรือ ลูกน้องสีแดงต้องการเร่ง และไม่เข้าใจว่าทำไมหัวหน้าจึงไม่ยอมให้คำตอบตรง ๆ ในทันทีที่ถาม คนสีแดงชอบการเดินหน้าหรือไม่ก็ถอนตัวออกมาเลย ถ้าชักช้าเกินไปพวกเขาจะเลิกทำงานที่ทำ ปัญหาคือความเร็วสำคัญกว่าสำหรับคนสีแดง สิ่งที่ดีคือทั้งสองฝ่ายไม่คิดมาก ถ้าความสัมพันธ์จะไม่ค่อยราบรื่น และนั่นถือเป็นจุดแข็ง คนสีแดงต้องการเห็นผลลัพธ์ ความใจเย็น และการค่อยเป็นค่อยไปตามแบบแผนกวนใจพวกเขาจริง ๆ เมื่อหัวหน้าสื่อสารกับพวกเขาขอให้ตรงไปยังข้อมูลที่สำคัญที่สุด ซึ่งมีอยู่ในมือตรงไปที่เนื้อหาสำคัญ รายละเอียดเป็นเหมือนยาพิษสำหรับคนสีแดง เตรียมสิ่งที่จะพูดกับลูกน้องสีแดงด้วยการเขียนประเด็นสำคัญไว้สัก 3 ข้อ ถ้าจะให้ดีควรเขียนประเด็นละ 1 บรรทัดเท่านั้น เตือนตัวเองว่าคนสีนี้มีอีโก้สูง ถ้าสามารถตอบสนองอีโก้ของพวกเขาได้ จะสร้างแรงจูงใจให้พวกเขายึดกฎระเบียบได้

ลูกน้องสีเหลือง คิดว่าเป็นหัวหน้าที่จริงจัง พวกเขาตระหนักได้ว่ามีคุณสมบัติที่ดีหลายอย่าง และมีบางวันที่พวกเขาเองก็หวังว่าตัวเองจะมีสัญชาตญาณด้านความเป็นระเบียบอย่างที่หัวหน้ามีบ้าง แน่นอนว่าเป็นไปได้น้อยมากที่หัวหน้าสีน้ำเงินจะเลือกลูกน้องสีเหลืองเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เพราะต้องใช้ความเข้าอกเข้าใจจากคนเป็นหัวหน้าอย่างมาก

ในทางตรงกันข้าม ผู้สมัครงานสีเหลืองที่มีชีวิตชีวา และโฆษณาสรรพคุณตัวเองมากมายในการสัมภาษณ์ครั้งแรก จะไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 หัวหน้าสีน้ำเงินจะถามคำถามต่อเนื่องจากสิ่งที่คนสีเหลืองพูด ซึ่งนั่นคือจุดจบดี ๆ นี่เอง หัวหน้าจะมองว่าลูกน้องสีเหลืองเข้มเป็นตัวทำให้การบริหารจัดการพังไม่เป็นท่า แต่คนสีเหลืองอยากมีประสบการณ์ที่น่าสนใจในการทำงาน หัวหน้ารู้ดีว่าพวกเขามีไอเดียน่าสนใจ มีความคิดแหวกแนวที่จะไม่มีทางเกิดขึ้น ลูกน้องสีเหลืองมีอารมณ์ดี สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ ขณะที่ลูกน้องสีเหลืองที่หงุดหงิดงุ่นง่านและขี้รำคาญก็เป็นฝันร้ายสำหรับคนอื่นได้เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องคอยตามไปหมดทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจพวกเขา แต่อย่างน้อยอาจจะลองยิ้มสักหน่อยเวลาฟังพวกเขา เคล็ดลับดี ๆ ก็คือถ้าคิดว่าลูกน้องสีเหลืองหลุดออกจากโลกของความเป็นจริง อาจจะขอให้พวกเขาเขียนไอเดียของตัวเองลงในกระดาษ อธิบายให้ชัดเจนว่าต้องการเห็นวัตถุประสงค์ของไอเดีย เป้าหมายน่าจะเป็นอะไร รวมถึงข้อเสนอแนะที่ชัดเจนบางอย่างสำหรับเป้าหมายที่วัดผลได้ อย่าลืมเน้นที่ตัวตนของคนคนนั้นด้วย แวะไปที่โต๊ะทำงานถามไถ่เรื่องส่วนตัวบ้าง แล้วฟังอย่างตั้งใจ แสดงให้เห็นว่าใส่ใจ

ลูกน้องสีเขียว พอใจกับจังหวะการทำงานของหัวหน้า เพราะใจเย็นและไตร่ตรองอย่างดี พวกเขาชอบที่ไม่ต้องรู้สึกเครียดตลอดเวลา คนสีเขียวถูกใจความอดทนของหัวหน้า เพราะช่วยให้พวกเขามีโอกาสคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ลูกน้องสีนี้ยังประทับใจกับความรู้แบบมืออาชีพ และบ่อยครั้งก็หวังว่าตัวเองจะรู้เยอะแบบหัวหน้า คนสีเขียวไม่ค่อยมีความมั่นใจในตัวเอง แต่พวกเขารู้สึกอุ่นใจที่ได้ทำงานกับหัวหน้าที่เป็นมืออาชีพ หัวหน้าสีน้ำเงินดึงดูดลูกน้องสีเขียว เพราะคนสีน้ำเงินสร้างสภาพแวดล้อมที่สงบและคาดเดาได้ แม้ว่าลูกน้องสีเขียวจะไม่ชอบงานกิจวัตร แต่พวกเขาก็ทำอะไรเดิม ๆ ได้เก่ง ถ้าพวกเขารู้ว่าตัวเองควรต้องทำอะไร โดยรวม ๆ แล้วพวกเขาก็จะทำ

ในทางตรงกันข้าม มีความเสี่ยงที่หัวหน้าจะลืมสื่อสาร คนสีเขียวจะอยากพูดคุยเรื่องความรู้สึกด้วย พวกเขาต้องการรู้ว่าหัวหน้าคิดอะไร และรู้สึกยังไงเกี่ยวกับบางเรื่อง คนสีเขียวคิดว่าหัวหน้าขาดความละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของคนอื่นมากเกินไป และช่างวิพากษ์วิจารณ์มองเห็นข้อผิดพลาดเล็ก ๆ ทุกอย่าง คนสีเขียวละเอียดอ่อนกับคำวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งสำคัญซ่อนอยู่ในรายละเอียดก็จริง จำเป็นต้องตระหนักว่าพวกเขามีความรู้สึกและอ่อนไหวกับสิ่งต่าง ๆ มากกว่า คนสีเขียวมักรู้สึกเครียดถ้าพวกเขาไม่รู้ว่าหัวหน้ามีจุดยืนอยู่ตรงไหน พวกเขาจะรู้สึกถึงความไม่แน่นอน วิธีหนึ่งในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและความศรัทธาในตัวคือ ให้ความเป็นกันเองอีกนิด คนสีเขียวปรับตัวให้เข้ากับความเร็วได้ดี จำไว้ว่าคนสีเขียวอาจตอบคำถามไม่ค่อยได้ การมีข้อเท็จจริงครบถ้วนพร้อมทุกอย่างอาจไม่เพียงพอเสมอไป ให้หัวหน้ามอบเอกสารข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรมอย่างที่ทำมาตลอด พวกเขาคงไม่อ่านทุกหน้า แต่พวกเขาชอบที่จะมีเอกสารไว้กับตัวทั้งหมดเพราะรู้สึกอุ่นใจดี คนสีเขียวซื่อสัตย์ ภักดี และรับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างที่สุด ภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสม แค่ทำให้พวกเขามั่นใจ ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความมั่นคงปลอดภัย และสามารถพึ่งพาหัวหน้าได้ แล้วจะได้งานคุณภาพแบบที่มองหา

ลูกน้องสีน้ำเงิน พอใจมากที่หัวหน้าให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพ ถ้างานใหม่คุ้มค่าที่จะทำก็ควรทำอย่างถูกต้อง พวกเขาแม่นในความรู้ พวกเขารู้โดยสัญชาตญาณว่าหัวหน้าก็มีเกณฑ์ที่สูงเหมือนกัน ฉะนั้นนี่คือคู่แห่งความสมบูรณ์แบบ หัวหน้าสีน้ำเงินจะเห็นตัวเองในลูกน้องสีน้ำเงินอย่างแน่นอน 2 ฝ่ายจะเข้าใจกันดี ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแรงขับเล็กน้อยด้วย

ในทางตรงกันข้าม จะมีทัศนคติที่เหมือนกันมากเกินไป ภายในกลุ่มมีความเสี่ยงที่จะตกหลุมพรางเดียวกับหัวหน้าสีเหลืองนั่นคือ คนในกลุ่มเหมือนกันมากเกินไป จะเกิดแรงเสียดทานที่ต่างไปจากการที่ต่างกันเกินไป ทุกคนล้วนคิดว่าตัวเองรู้ดีที่สุด และมองว่าการประชุมเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า สิ่งสำคัญคือต้องควบคุมสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นให้ได้ ลูกน้องสีน้ำเงินชอบเดินไปตามทางของตัวเองจนเจอทางตัน หัวหน้าต้องพยายามดูให้แน่ใจว่า ลูกน้องสีน้ำเงินไม่ออกนอกเส้นทาง สัญชาตญาณของพวกเขาคือขุดลึกลงไปจนถึงก้นหลุม แต่ทั้งกลุ่มจะไม่ก้าวหน้าไปไหนเลย ถ้าหัวหน้าปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้มากเกินไป เมื่อหัวหน้ากำหนดแนวทางการทำงาน ขอให้ระมัดระวัง จงศึกษาข้อดีข้อเสียทั้งหมดของวิธีการนั้น ๆ ไปพร้อม ๆ กับลูกน้อง ให้หลักฐานที่เป็นเหตุเป็นผลและจัดมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เปิดโอกาสให้หารือกันแต่อย่าให้เกินควบคุม อย่ายอมรับการเลื่อนส่งงานเพียงเพราะว่าอยากตรวจสอบเพิ่มเติม เวลาลงมือทำแล้วขอให้ทำจริง ๆ

บทสรุป หัวหน้าจำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไง และจะรับมือกับลูกน้องยังไง เมื่อรู้จักพวกเขาดีขึ้น การพูดคุยและการสื่อสารในแต่ละวันจะดีขึ้นตามไปด้วย ต้องลงมือทำเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น จงลงมือทำเพราะมันคุ้มค่ากับความพยายาม

บทส่งท้าย

ผู้คนลาออกเพราะหัวหน้าไม่ใช่เพราะงาน

เหตุผลหลักที่คนลาออกจากงานมาจากหัวหน้าโดยตรง บางครั้งหัวหน้าสร้างสภาพแวดล้อมที่คนรู้สึกอึดอัด รู้สึกไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม และบางทีอาจถึงขั้นไม่มีโอกาสที่จะทำงานให้ออกมาดี ตัวอย่างของเทคนิคแย่ ๆ ในการเป็นผู้นำมีให้เห็นอยู่นับไม่ถ้วน ซึ่งมีส่วนบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง หัวหน้าเองก็ต้องการสภาพการทำงานที่ดีเช่นกัน และพวกเขามีอะไรต้องคิด คอยติดตามดูมากมาย การเป็นผู้นำไม่เหมาะสำหรับคนที่คาดหวังว่าจะได้ทำงานสบาย ๆ และไม่ต้องจริงจังกับอะไร มีอุปสรรครออยู่มากมาย หากไม่ได้รับการฝึกฝนที่ถูกต้อง การเป็นหัวหน้าและผู้นำจะยาก

การเป็นผู้นำที่ดีคือการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อจำเป็น และเปิดโอกาสให้คนอื่นได้รับความดีความชอบที่สมควรได้ ผู้นำพื้น ๆ จะโทษคนอื่นทุกเมื่อที่เกิดความล้มเหลวขึ้น จะได้เปรียบจากการทำแบบนั้นแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะข้อบกพร่องจะปรากฏออกมาเสมอ หัวหน้าแย่ ๆ ไม่สามารถบริหารจัดการอะไรได้มากนัก ซึ่งนั่นคือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงเป็นส่วนเกินขององค์กร ไม่มีใครต้องการ การเป็นหัวหน้าไม่ได้ง่าย มีเรื่องมากมายมหาศาลที่อาจผิดพลาดได้ แต่ไม่ว่าจะยากยังไง พยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เสมอ เมื่อบริหารจัดการคนพวกเขาสมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุด

ถ้าหัวหน้ามีทัศนคติว่า คนทำงานออกมาไม่ดีเพราะพวกเขาขี้เกียจจะต้องคิดใหม่ คนส่วนใหญ่สามารถทำงานให้ออกมาดี และมีประสิทธิผลสูงสุดได้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม งานของหัวหน้าคือการสร้างสภาพการทำงานแบบนั้นขึ้นมา คำแนะนำสุดท้ายมีเคล็ดลับอย่างหนึ่งสำหรับหัวหน้า ขอให้ท่านอ่านหนังสือนี้อีกครั้ง พร้อมกับปากกาในมือ เขียนขีดเส้นใต้สิ่งที่รู้สึกว่าน่าสนใจ วงกลมวลีสำคัญหรือเนื้อหาในส่วนที่น่าจะประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของหัวหน้าได้ คั่นหน้านั้น ๆ หรือใช้โพสต์อิทสีต่าง ๆ ก็ได้ ทั้งนี้อาจจะต้องอ่านหนังสือเล่มนี้หลายรอบ เพื่อให้เข้าใจอย่างแท้จริง ว่าส่วนไหนที่สำคัญที่สุด จงให้โอกาสตัวเองคิดใตร่ตรองถึงเนื้อหา และนำไปใช้ได้เป็นพิเศษ

สั่งซื้อหนังสือ วิธีอยู่ร่วมกับหัวหน้าทุกสไตล์ (คลิ๊ก)