สรุปหนังสือ SUPER THINKING ความคิดที่ไม่เหมือนใคร เปลี่ยนโลกไปให้ดีกว่าเดิม

บทนำ

การเดินทางสู่สุดยอดการคิด

โมเดลความคิด (Mental models) เมื่อคุ้นเคยกับแนวคิดเหล่านี้แล้ว จะใช้มันสร้างภาพทางความคิดขึ้นมาในใจเกี่ยวกับสถานการต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งภาพเหล่านั้นจะกลายเป็นโมเดลที่นำไปใช้กับสถานการณ์อื่น ๆ ที่คล้ายกันได้ในภายหลัง แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้รู้จักแนวคิดเหล่านี้เร็วกว่านี้ เพราะมันช่วยให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ดีขึ้น และยังทำให้ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในทุกด้านของชีวิตได้ดีขึ้นด้วย เรียกโมเดลความคิดที่มีประโยชน์ในวงกว้างเหล่านี้ว่า สุดยอดโมเดล (Super Models) เพราะเมื่อนำไปใช้เป็นประจำ พวกมันจะมอบสุดยอดพลังความคิด (Super thinking) ให้ นั่นคือความสามารถในการคิดเกี่ยวกับโลกได้ดีขึ้น ที่นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้ในการตัดสินใจให้ดีขึ้นทั้งในเรื่องการงานและในชีวิตส่วนตัว

สุดยอดโมเดลเป็นทางลัดสู่การคิดในระดับสูงขึ้นไป ถ้าสามารถเข้าใจโมเดลที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์นั้น ๆ ก็จะข้ามการคิดในระดับต่ำกว่าไปได้เลย และกระโดดไปสู่การคิดในระดับสูงขึ้นได้ทันที ในทางตรงกันข้ามคนที่ไม่รู้จักโมเดลเหล่านี้ อาจไม่มีวันคิดในระดับสูงได้เลยก็ได้ หรือไม่ก็ไปถึงการคิดในระดับนั้นได้ไม่เร็ว ลองคิดย้อนกลับไปสมัยเรียนเรื่องการคูณดู อาจจำได้ว่าการคูณก็คือการบวกซ้ำ ๆ นั่นเอง อันที่จริงการคิดทางคณิตศาสตร์ทั้งหมด ตามหลักเลขคณิตตั้งอยู่บนหลักการบวกเท่านั้น แม้แต่การลบก็คือการบวกเลขติดลบเข้าไป การหารก็คือการลบซ้ำ ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การใช้แค่การบวกคิดเลขแบบซับซ้อนจะช้ามาก เลยใช้การคูณมาคิดแทนนั่นเอง เมื่อรับโมเดลความคิดอย่างการคูณเข้าไปแล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองโลกโดยไม่ผ่านโมเดลนี้

โมเดลมาจากหลากหลายสาขา เพราะภูมิปัญญาของโลกไม่ได้อยู่ในคณะเล็ก ๆ คณะใดคณะหนึ่งเท่านั้น ต้องมีโมเดลจากสาขาวิชาต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง โชคดีที่มันไม่ยาก เพราะโมเดลหลัก ๆ จำนวน 80-90 โมเดลก็เพียงพอที่จะทำให้เข้าใจโลกในเรื่องต่าง ๆ มากถึง 90% แล้ว และในจำนวนโมเดลที่ว่านั้น มีเพียงไม่กี่เรื่องที่มีบทบาทมากกว่าเรื่องอื่นอย่างมาก เมื่อนำโมเดลมารวมกันสุดยอดโมเดลเหล่านี้จะมีประโยชน์ไปตลอดชีวิต ช่วยให้เข้าใจสถานการณ์ต่าง ๆ ช่วยทำให้เกิดความคิดใหม่ ๆ และช่วยในการตัดสินใจได้สุดยอด โมเดลเหล่านี้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อนำมันไปใช้ถูกที่ถูกเวลา และจะทำแบบนั้นได้ก็ต่อเมื่อรู้จักมันดีพอที่จะเลือกโมเดลที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ เมื่อเข้าใจโมเดลทางความคิดแบบใดอย่างถ่องแท้แล้ว หนังสือเล่มนี้ออกแบบมาเพื่อช่วยเรื่องเดินทางสู่การมีสุดยอดพลังในการคิด

บทที่ 1

คิดผิดน้อยลง

คนเราอาจไม่รู้ตัวว่ามีเรื่องให้ต้องตัดสินใจหลายสิบเรื่องในแต่ละวัน และเมื่อตัดสินใจเรื่องเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องงานก็ต้องอยากตัดสินใจถูกมากกว่าผิดอยู่แล้ว ทว่าในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานี้ การตัดสินใจให้ถูกตลอดย่อมทำได้ยาก การคิดแบบพลิกกลับ ช่วยรับมือกับความท้าทายในการตัดสินใจให้ดี ตัวผกผันของการตัดสินใจถูกให้มากขึ้นก็คือการตัดสินใจให้ผิดน้อยลงนั่นเอง โมเดลความคิดนี้เป็นชุดเครื่องมือที่ช่วยให้ตัดสินใจผิดน้อยลง ซึ่งเป็นชุดแนวคิดที่ช่วยให้ฝ่าฟันโลกที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โมเดลความคิดอีกแบบที่ช่วยปรับปรุงการคิดให้ดีขึ้นได้คือความต้านความเปราะบาง มีความหมายเหนือความแข็งแกร่ง หรือความทนทานขึ้นไปอีก ความแข็งแกร่งต้านทานความช็อกและยังคงสภาพเดิมไว้อยู่ แต่ความต้านความเปราะบางจะทำให้มีสภาพที่ดีขึ้น

สุดท้ายเพื่อให้คิดผิดน้อยลง ยังต้องนำสมมติฐานเหล่านั้นไปทดสอบในโลกจริง ซึ่งเรียกว่ากระบวนการลดความเสี่ยง มีความเสี่ยงที่สมมติฐานจะไม่เป็นความจริง ดังนั้น ข้อสรุปที่ได้ก็อาจเป็นเท็จได้เช่นกัน

คนมักทำผิดพลาดด้วยการทำงานมากเกินไป ก่อนที่จะทดสอบสมมติฐานในโลกจริง ในสาขาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์เรียกกับดักนี้ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดก่อนเวลาอันควร เป็นการปรับแต่งโค้ดหรืออัลกอริทึมให้สมบูรณ์แบบ (Optimize) เร็วเกินไป (Prematurely) ถ้าปรากฏว่าสมมติฐานผิด ก็ต้องทิ้งงานทุกอย่างที่ทำมา ซึ่งทำให้เสียเวลาอย่างที่สุด กรณีธุรกิจสตาร์ตอัป มีโมเดลทางความคิดเพื่อทดสอบสมมติฐานอีกแบบหนึ่งที่ใช้กัน เรียกว่าผลิตที่ใช้ได้จริงจากคุณสมบัติที่น้อยสุด(Minimum Viable Product : MVP) MVP คือผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมาให้มีฟีเจอร์แค่เพียงพอในปริมาณน้อยที่สุด ที่ผ่านการทดสอบอย่างเพียงพอโดยคนจริง MVP ช่วยให้ไม่ต้องทำงานเพียงลำพังนานเกินไป

มีการนำโมเดล MVP ไปใช้ในหลายบริบท เหมือนกับการลดความเสี่ยง โมเดล MVP บังคับให้ต้องรีบประเมินสมมติฐานของตัวเองว่า มีชุดสมมติฐานที่เรียบง่ายกว่าให้เริ่มใช้ได้ แนวคิดมีดโกนของอ๊อกคัมช่วยได้ในกรณีนี้ หลักการนี้เสนอว่า คำอธิบายที่ง่ายที่สุดมีแนวโน้มเป็นจริงมากสุด ถ้ามีคำอธิบาย 2 แบบที่ใช้อธิบายข้อมูลที่มีอยู่ได้ดีพอกัน ควรเลือกทดสอบตามคำอธิบายที่ง่ายสุดก่อน โมเดลนี้เรียกว่ามีดโกน เพราะมันโกนข้อสมมติฐานที่ไม่จำเป็นออกไป คนเราไม่ควรสร้างเงื่อนไขที่เจาะจงมาทำให้ตัวเลือกของตัวเองน้อยลงโดยไม่จำเป็น

ถ้าไม่ทำให้สมมติฐานของตัวเองง่ายเข้าไว้ ก็อาจตกเป็นเหยื่อกับดักทางความคิดได้คือ

1.การที่คนส่วนใหญ่ยึดมั่นในสมมุติฐานที่ไม่จำเป็นอย่างฝังใจ เป็นแนวโน้มที่เรียกว่าการด่วนสรุปการเกิดร่วม

2.ความพอดีเกินไป ซึ่งเป็นแนวความคิดทางสถิติ คือการใช้ความพอดีเกินไปนั่นเอง ความพอดีเกินไปเกิดขึ้นได้เมื่อเลือกคำอธิบายที่ซับซ้อนเกินไป ทั้งที่มีคำอธิบายง่ายกว่าที่ใช้ได้

วิธีหนึ่งที่ใช้รับมือกับหลุมพลางความคิดทั้ง 2 นี้ได้คือ การถามตัวเองว่า ข้อมูลที่มีสนับสนุนข้อสรุปมากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับข้อสรุปอื่น

เอาใจเขามาใส่ใจเรา

วิธีที่ช่วยไม่ให้ด่วนตัดสินการกระทำของคนอื่นเรียกว่ามีดโกนของฮานลอนคือ การไม่ตัดสินว่าสิ่งนั้นเกิดจากความมุ่งร้ายถ้ายังเป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากความสะเพร่า มีดโกนของฮานลอนก็เป็นแนวคิดที่มุ่งหาคำอธิบายที่เรียบง่ายที่สุดเวลาที่คนทำเรื่องไม่ดี คำอธิบายง่ายที่สุดก็คือพวกเขาเลือกวิธีง่ายที่สุดนั่นก็คือ ผลทางลบที่เกิดขึ้นมาจากความสะเพร่าไม่ใช่ความคิดมุ่งร้าย มีดโกนของฮานลอนมีประโยชน์เป็นพิเศษในการสร้างความสัมพันธ์ในโลกเสมือนจริง

การตีความแบบเคารพและมีดโกนของฮานลอน สร้างเป็นความพยายามที่จะเอาชนะสิ่งที่นักจิตวิทยาเรียกว่าความผิดพลาดในการอนุมานว่าเป็นนิสัยพื้นฐาน นั่นคือการที่มักสร้างความผิดพลาดจากการมองว่า พฤติกรรมของคนอื่นมาจากแรงจูงใจพื้นฐาน หรือที่อยู่ภายในตัวบุคคล แทนที่จะเกิดจากปัจจัยภายนอก

แต่แน่นอนว่าจะมองพฤติกรรมตัวเองในแบบตรงข้ามนั่นคือการลำเอียงเข้าข้างตัวเอง แล้วเวลาเป็นผู้กระทำจึงมักมีเหตุผลที่เข้าข้างตัวเอง มาอธิบายพฤติกรรมของตัวเอง อีกโมเดลหนึ่งเรื่องม่านแห่งความไม่รู้ เมื่อคิดถึงวิธีจัดระเบียบสังคม ควรคิดโดยจินตนาการว่าไม่รู้ ราวกับว่ามีม่านมาบดบังไม่ให้เห็น เมื่อพูดถึงเรื่องอภิสิทธิ์ มักพูดว่าพวกเราโชคดีถูกลอตเตอรี่ตอนเกิด เพราะมีชีวิตที่สบายมากกว่าเด็กที่เกิดมาพร้อมความยากจน ความพิการ หรือข้อเสียเปรียบอื่น ๆ เหมือนถูกลอตเตอรี่ตอนเกิดเพราะไม่มีข้อเสียเปรียบเหล่านั้น

คนส่วนใหญ่เลือกที่จะเชื่อว่าโลกยุติธรรม มีระเบียบ และคาดเดาได้ที่เรียกว่าสมมติฐานว่าโลกยุติธรรม หรือความเชื่อที่ว่าคนได้รับสิ่งที่คู่ควรอยู่แล้ว การเชื่อว่าโลกยุติธรรมมักเข้ามาขัดขวางการสร้างความยุติธรรม เพราะชักนำให้คนโทษเหยื่อ เหยื่อของสถานการณ์ถูกกล่าวโทษว่าเป็นต้นเหตุของสถานการณ์นั้น แต่มักเป็นการตัดสินที่ผิด ถ้าพิจารณากันในระดับรายบุคคลต้องอย่าลืมโมเดลที่เรียกว่าภาวะสิ้นหวังที่เกิดจากการเรียนรู้ ซึ่งสามารถอธิบายแนวโน้มที่จะเลิกพยายามหลบหนีออกจากสถานการณ์ยากลำบาก เพราะเมื่อเวลาผ่านไปก็ชินกันสถานการณ์นั้นแล้ว

อย่าไว้ใจสัญชาตญาณ

สัญชาตญาณ ตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ใช้จิตใต้สำนึกมาช่วยให้หยั่งรู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อไปโดยอัตโนมัติ มันเป็นความรู้สึกลึก ๆ หรือสัมผัสที่ 6 ที่ดึงมาจากลางสังหรณ์ หรือจากประสบการณ์ในอดีต รวมทั้งการถูกตั้งโปรแกรมตามธรรมชาติให้โต้ตอบกับสถานการณ์ในลักษณะนั้น สาเหตุใกล้ชิดจะเป็นสิ่งที่คิดว่าก่อให้เกิดเหตุนั้น สาเหตุต้นตอ คือสิ่งที่อาจเรียกว่าเป็นสาเหตุที่แท้จริงก็ได้ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้น

บทที่ 2

อะไรที่ผิดพลาดได้จะผิดพลาด

ทุกการกระทำมีผลตามมา แต่บางครั้งก็เป็นผลที่ไม่ได้คาดคิด มองเผิน ๆ เหมือนจะคาดเดาไม่ได้ แต่ถ้าขุดให้ลึกลงไปจะพบว่า ผลที่ไม่คาดคิดมักเกิดขึ้นตามแบบแผนเดิม ๆ และบ่อยครั้งก็หลีกเลี่ยงได้ แค่ต้องมองหาแบบแผนนั้นให้เจอ โดยใช้โมเดลความคิดที่ถูกต้อง ผลกระทบแบบไม่ตั้งใจไม่ใช่เรื่องตลกในสถานการณ์ที่จริงจัง เช่น แพทย์มักจ่ายยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ให้ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรัง แต่ยากลุ่มนี้เสพติดได้ง่ายมาก จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดใช้ใบสั่งยาเกินความจำเป็น หรือไม่ก็หายาอันตรายที่ส่งผลคล้ายคลึงกัน แต่ราคาถูกกว่ามาทดแทน เช่น เฮโรอีนที่ซื้อกันตามถนน

ทำร้ายเพื่อนบ้านอย่างไม่ตั้งใจ

มีผลกระทบแบบไม่ได้ตั้งใจเกิดขึ้นได้มากมาย เมื่อคนจำนวนมากเลือกทำสิ่งที่ดีกับตัวเอง แต่การตัดสินใจของแต่ละคนนั้น เมื่อนำมารวมกันแล้วกลับสร้างผลเสียยิ่งกว่าให้กับทุกคน นักเศรษฐศาสตร์ได้บรรยายถึงเหตุการณ์สมมติที่ใช้กัน เมื่อที่ดินที่ใช้ร่วมกันถูกใช้งานมากเกินไป โดยเรียกสถานการณ์นี้ว่าโศกนาฏกรรมของคอมมอนส์ (คอมมอนส์คือสิ่งที่เป็นสาธารณะใช้ร่วมกัน) ครอบครัวที่ร่ำรวยซื้อวัวเพิ่มขึ้นตลอด นำไปสู่การกินหญ้ามากเกินไป จนกระทั่งมีการกำหนดให้ที่ดินสาธารณะนั้นรองรับวัวได้ไม่เกิน 70 ตัว

การแบ่งปันทรัพยากรให้ใช้ร่วมกันเสี่ยงต่อการเกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้ได้ เช่น การทำประมงมากเกินไป การตัดไม้ทำลายป่า และการทิ้งขยะ เป็นต้น ประเด็นเหล่านี้มีส่วนคล้ายคลึงกับการกินหญ้ามากเกินไป โศกนาฎกรรมนี้เกิดจากสิ่งที่เรียกว่าเผด็จการของการตัดสินใจเล็กๆ  ซึ่งเรื่องเล็ก ๆ ของแต่ละคน ในที่สุดก็นำไปสู่ผลทางลบต่อทั้งระบบ หรือเป็นเผด็จการนั่นเอง สิ่งนี้มีอยู่ในชีวิตด้วย ลองนึกถึงยอดซื้อของจำนวนเล็ก ๆ ในใบแจ้งหนี้บัตรเครดิต หรือค่าใช้จ่ายที่ดูเหมือนจำเป็นในขณะนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันปรับเพิ่มขึ้น จนทำให้เป็นหนี้บัตรเครดิตก้อนใหญ่ หรือเกิดปัญหาเงินขาดมือ

ในบริบทการทำงานมันอาจเป็นการเสียสมาธิเป็นครั้งคราว หรือการผัดวันประกันพรุ่งทีละนิดจนเมื่อรวมกันแล้ว ทำให้ทำงานตามกำหนดเวลาได้ยากขึ้น แต่มันสามารถเลี่ยงได้ เมื่อคนที่มองเห็นระบบโดยรวมแย้ง หรือยับยั้งการตัดสินใจเมื่อเห็นผลลบที่อาจเกิดขึ้น อีกหนึ่งสาเหตุของปัญหาคือปัญหาคนใช้งานฟรี การใช้งานฟรีเกิดขึ้นเป็นปกติกับของส่วนรวม จึงดูเหมือนว่าการใช้ฟรีไม่มีผลเสียอะไร แต่เมื่อมีคนจำนวนหนึ่งใช้ของส่วนรวมฟรีมาก มันก็ทำให้ของสิ่งนั้นเสื่อมลงจนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมขึ้นมาได้

ในทางเศรษฐศาสตร์ ผลที่เกิดโดยไม่ตั้งใจมีชื่อว่าผลภายนอก หรือผลที่ไม่ว่าจะดีหรือร้ายซึ่งเกิดต่อสิ่งหนึ่งจากภายนอก ผลภายนอกเกิดขึ้นได้เมื่อใดก็ตามที่มีเอฟเฟคล้นออกมา หรือสิ่งที่เกิดนอกเหนือจากปฏิสัมพันธ์หลักในกิจกรรมนั้น ๆ เช่น เมื่อซื้อรถก็ได้เพิ่มความหนาแน่นของการจราจรเวลาขับรถ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้ร่วมทางทุกคนต้องจ่ายร่วมกัน การจัดการกับผลภายนอกเชิงลบมักเรียกว่าเป็นการเปลี่ยนผลภายนอกให้เป็นผลภายใน มีอยู่หลายวิธีรวมทั้งการเสียภาษี ค่าปรับ ข้อบังคับ และการฟ้องร้อง อีกหนึ่งวิธีที่เปลี่ยนผลภายนอกให้เป็นผลภายในได้คือผ่านมาร์เก็ตเพลส

ระวังสิ่งที่คุณต้องการ

เป็นเวลาหลายปีที่เป้าหมายถูกกำหนดด้วยคำพูดที่จับต้องได้ กฎของกูดฮาร์ตสรุปประเด็นนี้ไว้ว่า เมื่อการวัดกลายเป็นเป้าหมายมันก็ไม่ใช่การวัดที่ดีอีกต่อไป เมื่อพยายามสร้างแรงจูงใจต่อพฤติกรรมหนึ่งด้วยการกำหนดเป้าหมายที่วัดได้ คนจะมุ่งเน้นไปที่การทำให้ได้ตามตัวชี้วัดนั้นเป็นหลัก โดยไม่ได้ทำตามวิธีที่ตั้งใจอยากให้ทำ และสำคัญที่สุดก็คือการมุ่งเน้นไปที่ตัวชี้วัดของคนเหล่านั้นอาจไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมที่ต้องการเสริมสร้างขึ้นมาเลยก็ได้ วัฒนธรรมการวัดระดับที่มีเดิมพันสูง ไม่ว่าจะเป็นการสอบในโรงเรียน การสัมภาษณ์งาน หรือการมีใบอนุญาตทางวิชาชีพ ทั้งหมดล้วนสร้างแรงจูงใจทางที่ผิด คือสอนเพื่อไปทำข้อสอบ หรือแย่ไปกว่านั้นคือให้โกง

อันที่จริงยังมีโมเดลทางความคิดอีกโมเดลหนึ่ง ที่อธิบายถึงสถานการณ์เจาะจงแบบนี้เอาไว้เลยชื่อว่าปรากฏการณ์งูเห่า หรือทางออกที่ทำแล้วกลับทำให้ปัญหาแย่ลงกว่าเดิม อีกหนึ่งกับดักที่ต้องคอยระวังคือเอฟเฟกต์ผู้สังเกตการณ์ คือการสังเกตการณ์มีเอฟเฟคต่อสิ่งที่ถูกสังเกตการณ์ ซึ่งอยู่กับวิธีที่สังเกตการณ์ หรือแม้แต่คนสังเกตการณ์ ตัวอย่างที่พบได้ในชีวิตประจำวันคือ เมื่อเวลาเจ้านายลงใหญ่ลงพื้นที่ ทุกคนก็จะพร้อมใจกันทำตัวดีหรือแต่งตัวดีขึ้น เพราะคนตระหนักว่าพวกเขากำลังถูกจับตามอง พวกเขาคิดว่าอาจทำให้ตัวเองเดือดร้อน ชื่อของแนวคิดนี้ก็คือเอฟเฟกต์เย็นยะเยือก

บางครั้งเอฟเฟกต์เย็นยะเยือกก็ถูสร้างขึ้นมาอย่างตั้งใจ เช่น เมื่อมีการเชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อสื่อให้คนเห็นว่าผู้ทำความผิดจะได้รับการปฏิบัติอย่างไร ทว่าหลายครั้งที่เอฟเฟคเย็นยะเยือกก็เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ การบังคับให้ต้องรายงานเมื่อถูกคุกคามทำร้าย อาจทำให้เหยื่อหยุดคิดว่าจะขอความช่วยเหลือดีหรือไม่ เพราะอาจยังไม่พร้อมที่จะถูกซักไซ้ไต่ถาม ผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจเชิงลบที่เกิดขึ้นนี้ อาจพิจารณาได้ว่าเป็นความเสียหายข้างเคียง บางครั้งความเสียหายใกล้เคียงก็อาจมีผลต่อสิ่งที่สร้างความเสียหายนั้นขึ้นมาเองซึ่งเรียกกันว่าลมตีกลับ

กฎของกูดฮาร์ตและโมเดลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเอฟเฟกต์ผู้สังเกตการณ์และเอฟเฟคเย็นยะเยือกนี้ เกี่ยวข้องกับผลที่ตามมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ที่เกิดขึ้นได้หลังตั้งใจลงมือทำสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้นโยบาย การทำการทดลอง หรือการทำแคมเปญรณรงค์ ฉะนั้นควรคิดล่วงหน้าว่าการกระทำอาจเป็นแรงจูงใจให้เกิดพฤติกรรมใดขึ้นมาได้บ้าง และคิดดูว่าอาจจะมีแรงจูงใจที่ผิดเกิดขึ้นได้ไหม จะมีความเสียหายข้างเคียง หรือลมตีกลับแบบใด ที่สร้างแรงจูงใจผิดขึ้นมาได้

ของดีที่มีมากไป

เป็นธรรมชาติที่จะต้องการของดีจำนวนมากขึ้น แต่ถ้ามีมากไปก็จะไม่ดี เรื่องนี้ใช้ได้กับการรับข้อมูลเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่จะได้ยินคนบ่นว่ามีข้อมูลมากเกินไป แน่นอนว่าต้องการข้อมูลเพื่อทำการตัดสินใจที่ดี แต่ข้อมูลที่ว่าเกินไปก็นำไปสู่สภาวะข้อมูลท่วมท้นได้เหมือนกัน เมื่อมีข้อมูลมากไปก็ทำให้การตัดสินใจใช้เวลานาน ผลกระทบที่เกิดโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ก็คืออัมพาตจากการวิเคราะห์ ในสถานการณ์ที่รุนแรงกว่านั้น มักเลือกทำงานที่ตนเองไม่ค่อยชอบต่อไป เพราะไม่แน่ใจว่าจะทำอะไรต่อไปดี

โมเดลที่ว่าความสมบูรณ์แบบเป็นศัตรูของความดีแสดงให้เห็นประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันอาจจะแย่กว่าการตัดสินใจใด ๆ ก็ตามที่ควรทำไปนานแล้วก็ได้ การตัดสินใจแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ

1.การตัดสินใจที่แก้ไขได้

2.การตัดสินใจที่แก้ไขไม่ได้ การตัดสินใจแบบนี้ยากที่จะย้อนกลับไปแก้ไขในแบบที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และก็มักจะเป็นการตัดสินใจที่สำคัญมากเหมือนประตูทางเดียว การตัดสินใจเหล่านี้จำเป็นต้องทำอย่างละเอียดอ่อน ระมัดระวัง ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการไตร่ตรองและปรึกษาหารือกันอย่างดี

แต่การตัดสินใจส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแบบนั้น มันเปลี่ยนแปลงได้ แก้ไขได้ เหมือนประตูที่มี 2 ทาง

วิธีหนึ่งที่ช่วยเรื่องอัมพาตจากการวิเคราะห์ได้คือการทำจำกัดตัวเลือก เพราะยิ่งมีตัวเลือกมากก็ยิ่งเลือกได้ยาก ตัวเลือกที่มากขึ้นจะเพิ่มเวลาในการตัดสินใจแบบลอการิทึม โดยมีสูตรเขียนออกมาด้วยในชื่อว่ากฎของฮิก ในชีวิตเองกฎของฮิกก็นำไปใช้ได้ ถ้าอยากให้คนตัดสินใจเร็วก็จงลดจำนวนตัวเลือก การมีตัวเลือกมากยังทำให้เกิดความวิตกกังวลในบางสถานการณ์อีกด้วย ความวิตกกังวลนี้มีชื่อเรียกว่าความขัดแย้งของตัวเลือก การมีตัวเลือกมากไปความกลัวว่าจะตัดสินใจไม่ดีพอ และความเป็นไปได้ที่จะรู้สึกเสียดายโอกาสที่พลาดไป ทำให้คนไม่มีความสุขได้

กฎของฮิกและความขัดแย้งของตัวเลือกอธิบายถึงผลเสียของการมีตัวเลือกมากเกินไป แต่ก็ยังมีอีกโมเดลหนึ่งที่พูดถึงผลเสียของการตัดสินใจมากเกินไปในเวลาที่จำกัดเรียกว่าความเหนื่อยล้าจากการตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจในหลายเรื่องเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จะเริ่มเหนื่อยล้าทำให้คุณภาพการตัดสินใจถดถอยลง พอได้พักสมองแล้วจะสามารถรีเซ็ตตัวเอง และกลับมาตัดสินใจได้ดีขึ้นอีกครั้ง

บทที่ 3

ใช้เวลาอย่างฉลาด

ในโลกธุรกิจมีโมเดลทางความคิดที่ได้ชื่อว่าโมเดลดาวเหนือ ซึ่งใช้พูดถึงวิสัยทัศน์นำทางของบริษัท ถ้ามีดาวเหนือของตนเองก็สามารถวางแผนกิจกรรมต่าง ๆ ให้ชี้ไปทางอนาคตระยะยาวที่ต้องการได้ ถ้าไม่มีดาวเหนือก็จะหลงอยู่ในทะเลได้ง่าย เสี่ยงตกเป็นเหยื่อของผลกระทบที่ไม่ได้ตั้งใจ ที่เกิดจากการมองสถานการณ์ต่าง ๆ ในระยะสั้น นับว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่แต่ละบุคคลควรมีดาวเหนือหรือมีสารพันธกิจของชีวิต ถ้ายังไม่มีควรเริ่มสร้างขึ้นมาได้แล้ว จงให้ความสำคัญกับสิ่งที่ต้องทำ เมื่อเวลาผ่านไปจะทำสิ่งต่าง ๆ ที่น่าทึ่งจนสำเร็จได้ ดาวเหนือคือวิสัยทัศน์ระยะยาว จึงไม่เป็นไรถ้าในเร็ว ๆ นี้จะยังไปไม่ถึงจุดนั้น ดาวเหนือจะช่วยนำทางผ่านการตัดสินใจต่าง ๆ ในชีวิต ค่อย ๆ ชี้นำให้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น

ได้รับผลตอบแทนมากกว่าเงินที่ลงทุนไป

คานงัดเป็นเครื่องมือง่าย ๆ ที่ประกอบด้วยคานยาวที่วางอยู่บนจุดหมุน หรือจุดฟัลครัม ตำแหน่งของจุดฟัลครัมทำให้การงัดเพิ่มแรงขนาดเล็กในระยะที่ไกลออกไป เพื่อสร้างแรงที่มีพลังมากกว่าระยะที่ใกล้ขึ้น ข้อได้เปรียบทางเครื่องกลที่ได้จากการใช้การงัดยังรู้จักกันในชื่อเรียกว่าแรงงัด แนวคิดเรื่องแรงงัดนี้เป็นพื้นฐานที่นำไปใช้ได้ในหลากหลายสถานการณ์ เพื่อใช้พลังหรือความพยายามในพื้นที่หนึ่ง ในการสร้างผลลัพธ์ที่มากขึ้นเป็นพิเศษ ในทางการเงินพลังงานนี้หมายถึงการยืมเงินเพื่อไปซื้อสินทรัพย์ เพื่อทำให้รายได้หรือการขาดทุนเพิ่มทวีคูณ ในบริบทนี้การเพิ่มพลังงัดคือการเพิ่มหนี้ ในขณะที่การลดพลังงัดจะมีความหมายตรงข้ามคือการลดหนี้สิน ส่วน Leverage buyout ก็หมายถึงการกู้ยืมเงินคนอื่นมาเข้าซื้อกิจการ

ในสถานการณ์ทางการเงิน แรงขนาดเล็กจะหมายถึงเงินที่วางลงไปตอนต้น ซึ่งทำให้ได้แรงขนาดใหญ่ขึ้นจากเงินที่ได้สร้างหนี้มาลงทุน เมื่อนำมาใช้กับคนทั่วไป กิจกรรมหรือการกระทำบางอย่างอาจมีแรงงัดมากกว่ากิจกรรมหรือการกระทำแบบอื่นค่อนข้างมาก และการใช้เงินหรือเวลาไปกับกิจกรรมที่มีแรงงัดสูง จะยิ่งสร้างผลกระทบที่ใหญ่ที่สุดได้ การคิดถึงแรงงัดช่วยให้มองค่าเสียโอกาสเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจ กฎก็คือกิจกรรมที่มีแรงงัดสูงสุดจะเสียค่าเสียโอกาสน้อยที่สุด

กฎพาเลโตช่วยมองหากิจกรรมที่มีแรงงัดสูงที่สุดได้ กฎข้อนี้กล่าวไว้ว่าในหลาย ๆ สถานการณ์ 80% ผลที่ได้จะมาจากความพยายาม 20% การคำนึงถึง 20% นี้ก็คือกิจกรรมที่มีแรงงัดสูงนั่นเอง การเรียงตัวของผลลัพธ์ 80/20 นี้ยังรู้จักกันในชื่อการกระจายตัวตามกฎแห่งกำลัง หรือการที่เหตุไม่กี่อย่างนำไปสู่ผลลัพธ์ในอัตราส่วนที่ใหญ่มากอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากหาสัดส่วน 80/20 เจอแล้ว และจัดการกับส่วนที่ให้ผลง่ายและดีที่สุดแล้ว ชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นหลังจากนั้นจะให้ผลลัพธ์น้อยลงเรื่อย ๆ ในทางเศรษฐศาสตร์โมเดลนี้มีชื่อว่ากฎการลดน้อยถอยลงของผลตอบแทน หรือแนวโน้มที่ความพยายามอย่างต่อเนื่องจะให้ประสิทธิภาพที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ หลังได้ผลลัพธ์ในระดับหนึ่งแล้ว ยังมีอีกหนึ่งแนวคิดที่คล้ายกันชื่อว่ากฎการลดน้อยถอยลงของอรรถประโยชน์ ที่กล่าวไว้ว่าคุณค่าหรืออรรถประโยชน์ของการบริโภคสิ่งหนึ่งเพิ่มเติม มักลดน้อยลงจากสิ่งที่บริโภคก่อนหน้านี้หลังผ่าเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ลองนึกถึงความเพลิดเพลินของการกินโดนัทชิ้นแรกกับการกินโดนัทชิ้นที่ 2 หรือชิ้นที่ 3 ต่อมา

การฝืนทำต่อหลังจากผ่านจุดนั้นไป มักทำให้อะไร ๆ แย่ลง ผลตอบแทนที่ลดน้อยถอยลงจนกลายเป็นผลตอบแทนเชิงลบ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เมื่อขวนขวายความสมบูรณ์แบบ จนมันกลายเป็นสิ่งที่ถ่วงความก้าวหน้า การทำบางสิ่งมากเกินไปยังเป็นทางลัดสู่อาการหมดไฟ เมื่อความเครียดสูงขึ้นจนก่อให้เกิดผลทางลบ จนทำให้หมดแรงผลักดันหรือแย่กว่านั้น ผลตอบแทนเชิงลบและอาการหมดไฟพบได้ทั่วไป ในสภาพแวดล้อมที่ตึงเครียดสูง ในชีวิตของยุคสมัยใหม่ทั่วโลก

หาทางลัดสู่ความสำเร็จ

แผนการโจมตีที่ดีคือแผนที่ช่วยให้ใช้เครื่องมือ และวิธีการทำงานที่เหมาะสมในการทำภารกิจให้สำเร็จ เวลาเริ่มทำสิ่งใหม่ควรย้ำกับตัวเองว่า ไม่มีความจำเป็นต้องคิดค้นล้อใหม่ นั่นคือแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเป็นคนแรกในโลกที่ทำงานนี้ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่หันมาเผยแพร่ผลงานของตัวเอง จึงมีแนวโน้มที่จะเจอสิ่งที่จะทำแทบทุกเรื่อง การลงทุนในความรู้ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด คอนเซ็ปตเรื่องแบบแผนการออกแบบหรือทางออกของปัญหาการออกแบบที่นำมาใช้ได้ แนวคิดนี้ได้ถูกนำมาปรับใช้ในสาขาวิชาอื่น ๆ มากมาย โดยเฉพาะในสาขาวิชาการคอมพิวเตอร์ ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่เป็นไปได้ที่จะมีแบบแผนการออกแบบที่มีอยู่ก่อนแล้วให้นำมาปรับใช้ได้

สิ่งที่อยู่ตรงข้ามเรียกว่าตัวต้านแบบแผน ตัวต้านนี้ก็คือทางแก้ของปัญหาทั่วไป ที่อาจมีทางแก้อื่นที่ดีกว่าอยู่แล้ว เมื่อทำการค้นหาแบบทุกซอกทุกมุมนี้เป็นทางออกประเภทใช้กำลัง คำว่าใช้กำลังที่ว่านี้มาจากบริบทการใช้กำลังกายแก้ปัญหา วิธีการแบบใช้กำลังมีประสิทธิภาพดีในการแก้ปัญหาระดับเล็ก ถ้าปัญหาเริ่มใหญ่ขึ้นมันก็อาจเป็นทางออกที่ใช้ไม่ได้ บางปัญหาก็อาจจะแก้ยากแม้จะมีเครื่องมือที่ซับซ้อนมาช่วย วิธีที่ดีกว่าวิธีนี้เรียกว่าทางออกที่ผ่านการคิดแบบจิตสำนึกหรือก็คือทางแก้ปัญหาที่ผ่านการลองผิดลองถูกมาแล้ว ที่อาจไม่รับรองผลที่ดีที่สุดหรือสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังให้ผลดีในหลายครั้ง ควรนึกถึงทางออกแบบจิตสำนึกไว้บ้าง เพราะในตอนนั้นมันอาจเป็นทางลัดสู่วิธีแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า

อัลกอริทึมหรือกระบวนการเป็นขั้นตอน ก็นับว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาอีกแบบ อัลกอริทึมพบได้ทั่วไปในชีวิตยุคใหม่ และช่วยแก้ปัญหายาก ๆ มากมาย แต่มักไม่ค่อยตระหนักถึงมัน อัลกอริทึมจำนวนมากทำงานเหมือนกล่องดำหมายความว่า ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรู้ขั้นตอนการทำงานทั้งหมดว่ามันทำงานอย่างไร เวลาคิดถึงการใช้เครื่องมือเพื่อให้ทำงานได้เร็วขึ้น ควรเริ่มจากการค้นหาตัวเลือกวิธีทำงานที่หยิบมาใช้ได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นระบบอัตโนมัติควรนำมาใช้เมื่อเวลาและเงินที่ประหยัดได้ผ่านระบบที่มีประสิทธิภาพ และให้ผลที่ดียิ่งขึ้นมีค่าเกินการลงทุนในการติดตั้งระบบนั้น

ระบบอัตโนมัติยังเป็นวิธีที่ดีในการใช้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาด จากนั้นบริษัทจะสามารถกระจายค่าใช้จ่ายคงที่ในตอนต้นให้เป็นต้นทุนโดยเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้นที่ผลิตออกมาได้จำนวนมาก ทำให้การผลิตและขนส่งสินค้ามีอัตราถูกลงโดยรวม ความมีประสิทธิภาพโดยรวมนี้ทำให้บริษัทเหล่านั้นคิดราคาสินค้าได้ถูกกว่าคู่แข่งมาก อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความเร็วได้คือการประมวลผลแบบขนาน หรือการที่แก้ปัญหาชุดหนึ่งไปพร้อมกัน การประมวลผลแบบขนานเป็นตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธ์แบ่งแยกเพื่อโจมตี ถ้าแตกปัญหาออกเป็นส่วน ๆ ได้กระจายชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกไปให้ฝ่ายต่าง ๆ ช่วยแก้จะทำงานได้มากขึ้นและเร็วขึ้น

บทที่ 4

เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

ผีเสื้อกลางคืนลายผงพริกไทยจะมีสีอ่อน พวกมันใช้เปลือกไม้และไลเคนสีอ่อนในการอำพรางตัวเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของนก ในปี ค.ศ 1811 มีรายงานการพบผีเสื้อกลางคืนสีเข้มครั้งแรก แต่พอถึงปี ค.ศ 1895 ผีเสื้อกลางคืนลายผงพริกไทยสีเข้มก็พบถี่เพิ่มขึ้นจาก 0.01% เป็น 98% เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมลภาวะจากโรงงานถ่านหินใหม่ทำให้ต้นไม้มีเขม่าจับและยังฆ่าไลเคนสีอ่อน ทำให้ต้นไม้มีสีเข้มขึ้นในปี ค.ศ 1956 อังกฤษออกพระราชบัญญัติอากาศสะอาดทำให้มลภาวะหมดไป ต้นไม้จึงกลับมามีสีอ่อนอีกครั้ง จนทำให้แนวโน้มนี้ตีกลับ และผีเสื้อกลางคืนสีเข้มหายกลับมาหายากอีกครั้งในที่สุด

การเพิ่มและลดลงของผีเสื้อกลางคืนลายผงพริกไทยสีเข้มนี้เป็นตัวอย่างของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผลักดันวิวัฒนาการทางชีววิทยา คุณลักษณะที่มีประโยชน์ต่อการสืบพันธุ์จะถูกคัดเลือกโดยธรรมชาติในแต่ละชั่วรุ่น ทำให้คุณลักษณะเหล่านั้นแพร่หลายมากขึ้น เมื่อสปีชีส์วิวัฒน์ขึ้นมาให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของผีเสื้อกลางคืน ผู้คนได้ใช้ชีวิตผ่านความเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากมาย ทั้งวงจรการเศรษฐกิจ คลื่นนวัตกรรม ขนบธรรมเนียม และมาตรฐานที่วิวัฒน์ไป ยิ่งตอนนี้มีจำนวนคนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน และทุกคนเชื่อมโยงกันได้ด้วยอินเตอร์เน็ต โลกาภิวัตน์ความเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดขึ้นเร็วกว่าในอดีต จึงต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เหล่านี้เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ

โชคดีที่วิทยาศาสตร์มีโมเดลความคิดที่ทำให้มั่นใจได้ว่าคนเราจะอยู่ในกลุ่มที่เหมาะสมที่สุดเสมอ โมเดลนั่นก็คือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือวงจรที่เข้มงวดของการคอยสังเกต สร้างสมมติฐาน ทดสอบสมมติฐาน วิเคราะห์ข้อมูล และพัฒนาทฤษฎีใหม่ การคัดเลือกทางธรรมชาติและวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังมีกฎทางธรรมชาติอีกมากมายที่ช่วยให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัว และปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ หรือแม้แต่เข้าไปปรับเปลี่ยนความเปลี่ยนแปลงนั้นเอง

อย่าฝืนธรรมชาติ

บทเรียนคือความเลี่ยงให้ได้มากที่สุด ที่จะล็อคตัวเองแน่นอยู่ในกลยุทธ์ระยะยาว เพราะสถานการณ์เปลี่ยนไปได้เร็ว หลักการเชอร์กีที่กล่าวไว้ว่าสถาบันจะพยายามรักษาปัญหาที่ตัวมันเป็นทางออก บางครั้งคนหรือแผนกจะพยายามเก็บขั้นตอนที่ไม่มีประสิทธิภาพเอาไว้ แม้จะมีแนวคิดหรือเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้สิ่งต่าง ๆ ง่ายขึ้น ให้คิดถึงคนหัวโบราณในที่ทำงานหรือที่โรงเรียนดู คนที่ชอบพูดเกี่ยวกับวิธีทำงานแบบแต่ก่อน และกังวลเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงหรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดเวลา คนคนนั้นเป็นตัวแทนของหลักการเชอร์กี แม้สิ่งต่าง ๆ จะคงอยู่ได้นาน แต่มันก็ย่อมเสื่อมความนิยมลงไปในที่สุด

บทที่ 5

คำโกหก โกหกทั้งเพ และสถิติรองรับ

ในปัจจุบันข้อมูล ตัวเลข และสถิติเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนแทบจะทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดจะพบว่ามีคนสองฝ่าย ที่ต่างมีตัวเลขสนับสนุนจุดยืนของตัวเอง ทำให้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าข้อมูลถูกบิดเบือนได้ง่าย เพื่อนำมารองรับสารที่คนคนนั้นต้องการสื่อออกมา ทางออกไม่ใช่การปฏิเสธหลักฐานเชิงสถิติถึงข้อมูลว่าไร้สาระ จนต้องตัดสินใจจากความคิดเห็นหรือการคาดเดาเท่านั้น แต่ควรใช้โมเดลความคิดในการทำความเข้าใจประเด็นนั้น ๆ มากขึ้น รวมทั้งทำความเข้าใจงานวิจัยที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อให้มองออกว่าข้อมูลใดน่าเชื่อถือ

จะเชื่อหรือไม่เชื่อ

เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะใช้ประสบการณ์ และการสังเกตการมาชี้นำการตัดสินใจ ซึ่งก็สมเหตุสมผลอยู่ถ้ามองจากมุมมองด้านวิวัฒนาการของมนุษย์ การใช้หลักฐานที่มาจากเรื่องเล่าหรือการเก็บหลักฐานมาจากเรื่องเล่าส่วนบุคคล จะเจอปัญหาแน่ถ้าให้น้ำหนักหลักฐานแบบนั้นมากกว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน หรือสัมพันธ์กันไม่ได้หมายความว่า เหตุการณ์แรกก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่สอง สิ่งที่มักถูกมองข้ามเมื่อมีตรรกะวิบัติเกิดขึ้นคือตัวแปรกวนหรือตัวแปรที่ 3 ที่อาจไม่เด่นชัด แต่มีอิทธิพลต่อทั้งสิ่งที่คาดว่าเป็นสาเหตุและผลที่มองเห็น โดยตัวแปรนี้จะก่อกวนความสามารถในการหาข้อสรุปที่ถูกต้อง

ถ้าเริ่มเก็บข้อมูลหรือประเมินหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการทดลองขั้นแรก ต้องนิยามหรือเข้าใจข้อสันนิษฐานหรือสมมติฐานของการทดลองนั้นให้ได้ ข้อสันนิษฐานคือคำอธิบายที่ตั้งต้นไว้สำหรับสิ่งที่ศึกษา การนิยามข้อสันนิษฐานให้ได้ตั้งแต่แรก ทำให้เลี่ยงตรรกะวิบัติของนักแม่นปืนเท็กซัสได้ โมเดลนี้ตั้งชื่อตามเรื่องตลกเกี่ยวกับคนที่บังเอิญเจอโรงนาที่มีรูปเป้าวาดอยู่ด้านข้างและมีรูกระสุนอยู่ตรงกลางแต่ละเป้า เขารู้สึกทึ่งในความแม่นยำของคนยิงมาก แล้วเพิ่งมารู้ว่าเป้าวาดไว้ทีหลังรอบรูกระสุนหลังจากยิงออกมาแล้ว อีกแนวคิดที่คล้ายกันคือเรื่องเป้าเคลื่อนที่ หรือการที่เป้าหมายของการทดลองถูกเปลี่ยน เพื่อสนับสนุนผลที่ต้องการหลังจากเห็นผลการทดลองแล้ว การทดลองยังทำแบบอำพรางได้อีกด้วย โดยผู้ที่เข้าร่วมจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่กลุ่มไหน เพื่อป้องกันไม่ให้อคติทั้งที่แบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว การอำพรางแบบนี้ช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากอคติจากความคาดหวังของผู้สังเกตการณ์ อคติของผู้ทดลองที่เกิดจากความเอนเอียง หรืออคติทางความคิดของผู้วิจัยหรือผู้สังเกตการณ์ ที่อาจมีอิทธิพลเปลี่ยนผลการทดลองให้เป็นไปในแนวทางที่พวกเขาคาดหวัง

จะทำซ้ำได้ไหม

ถึงตอนนี้ควรรู้ด้วยว่าผลการทดลองบางอย่างก็ได้มาแบบบังเอิญ ถ้าอยากทดสอบให้แน่ใจว่าไม่ใช่ผลที่บังเอิญได้มาก็จำเป็นต้องทำซ้ำ น่าสนใจที่ในบางสาขาวิชาอย่างเช่นจิตวิทยา มีความพยายามที่จะทำซ้ำการทดลองที่ได้ผลบวก แต่ปรากฏว่าการทดลองซ้ำที่ให้ผลบวกเหมือนกันกลับมีต่ำกว่า 50% อัตรานั้นต่ำทีเดียว และปัญหาของการได้ผลบวกมาไม่ได้นี้เรียกว่าวิกฤตการทำซ้ำ ความพยายามทำซ้ำคือความพยายามแยกแยะระหว่างผลบวกเทียมและผลบวกแท้ การทดลองที่ไม่เกิดซ้ำไม่ควรจะเป็นผลบวกแท้ตั้งแต่แรก

แม้ความน่าจะเป็นและสถิติไม่ใช่เวทมนต์ แต่มันก็ช่วยให้มั่นใจความน่าจะเป็นของผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ แน่นอนว่ามีจุดบอดมากมายที่ต้องคอยระวังไว้ แต่ก็ยังหวังว่าจะได้รู้ว่าการใช้ข้อมูล และงานวิจัยมีประโยชน์ในการจัดการกับความไม่แน่นอนได้ดีกว่าการใช้ความรู้สึกและความคิดเห็นส่วนตัว

บทที่ 6

การตัดสินใจ การตกลงใจ

ถ้าหยั่งรู้ได้ว่าการตัดสินใจจะส่งผลอย่างไร ก็คงตัดสินใจได้อย่างง่ายดาย แต่การตัดสินใจก็ทำได้ไม่ง่าย เพราะมีข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ ในสถานการณ์แบบนี้แนวทางที่คนส่วนใหญ่มักใช้คือการทำรายการข้อดี-ข้อเสีย โดยเขียนสิ่งที่เป็นเรื่องดีทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจนั้น(ข้อดี) และนำมาชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบกับเรื่องลบทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้ (ข้อเสีย) แต่วิธีนี้ก็มีจุดบอดสำคัญอยู่เหมือนกัน

ข้อ 1 รายการนั้นอนุมานว่ามีตัวเลือกแค่ 2 แบบ แต่มักจะมีตัวเลือกมากกว่านั้นมาก

ข้อ 2 นำเสนอข้อดีและข้อเสียราวกับว่าทุกข้อมีน้ำหนักเท่ากัน

ข้อ 3 พิจารณาแต่ละข้อแยกจากกัน ทั้งที่ปัจจัยเหล่านั้นมักเกี่ยวข้องกันปัญหา

ข้อ 4 ข้อดีมักเห็นได้ชัดกว่าข้อเสีย จึงนำไปสู่ความคิดหญ้าข้างบ้านเขียวกว่า

ชั่งน้ำหนักต้นทุนและผลประโยชน์

วิธีปรับปรุงรายการข้อดีข้อเสียอย่างง่าย ๆ คือการเพิ่มตัวเลขเข้าไป การให้คะแนนแบบนี้ช่วยก้าวข้ามจุดอ่อนบางข้อของการทำรายการข้อดี-ข้อเสียไปได้ ตอนนี้แต่ละข้อจะไม่ถูกมองว่าเท่ากันอีกต่อไป วิธีนี้เป็นการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์แบบง่าย ๆ สำหรับสถานการณ์ที่ไม่ซับซ้อน วิธีให้คะแนนอย่างที่อธิบายไปก็ใช้ได้ดีแล้ว  เวลาวิเคราะห์แบบซับซ้อนขึ้น สิ่งแรกที่เปลี่ยนคือแทนที่จะให้คะแนน เริ่มด้วยการใส่มูลค่าของแต่ละข้อ เมื่อนำต้นทุนและผลประโยชน์มาคิดรวมกัน ก็จะได้ค่าประมาณของตัวเลือกนั้น การใส่มูลค่าตามความเข้าใจลงไป (แม้จะไม่ใช่ความจริง) ช่วยปรับปรุงผลการวิเคราะห์ให้ดียิ่งขึ้น มันมีวิธีทดสอบว่ามูลค่าเหล่านั้นส่งเหตุผลต่อผลการวิเคราะห์มากขนาดไหน การใส่ต้นทุนและผลประโยชน์ตามระยะเวลาที่ผ่านไปด้วยวิธีนี้สำคัญเพราะ (นอกจากความชัดเจนที่เพิ่มขึ้นแล้ว) ผลประโยชน์ที่ได้ในวันนี้มีมูลค่ามากกว่าผลประโยชน์เดียวกันเมื่อเวลาผ่านไป

ปราบความซับซ้อน

หลายครั้งสถานการณ์อาจซับซ้อนมากจนมองไม่เห็นตัวเลือกที่ชัดเจนตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะในกรณีใด จำเป็นต้องใช้โมเดลความคิดตัวอื่นมาช่วยรับมือกับความซับซ้อนนี้ มีโมเดลความคิดที่ตรงไปตรงมาอีกแบบที่นำมาใช้ทำความเข้าใจผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นทั้งหมดเหล่านี้ได้ โมเดลนี้มีชื่อว่าต้นไม้ตัดสินใจ ซึ่งเป็นแผนผังที่ดูเหมือนต้นไม้ ที่ช่วยวิเคราะห์การตัดสินใจที่มีผลลัพธ์ไม่แน่นอน ตอนนี้ยังสามารถใช้ความน่าจะเป็นที่คาดการณ์ไว้มาคำนวณหาค่าคาดหวัง โดยคูณความน่าจะเป็นของแต่ละผลลัพธ์ที่เป็นไปได้กับต้นทุนของมัน จากนั้นก็นำมารวมกัน การใช้ค่าที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ในต้นไม้ตัดสินใจ ทำให้สามารถรวมราคาของค่าใช้จ่ายเสริมได้อย่างมีประสิทธิภาพ มูลค่าใหม่ที่รวมค่าใช้จ่ายเสริมทุกอย่างที่ต้องจ่ายมีชื่อว่าค่าอรรถประโยชน์ ที่สะท้อนให้เห็นตัวเลือกที่น่าเลือกในสถานการแบบต่าง ๆ มันทำให้มองเห็นภาพรวม และช่วยให้ตัดสินใจได้ดีกว่าเดิม อันที่จริงแล้วในทางปรัชญาก็มีแนวคิดเรื่องประโยชน์นิยม ที่สะท้อนมุมมองที่ว่าการตัดสินใจที่มีศีลธรรมที่สุดคือ การตัดสินใจที่สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่ต้องระวังในการวิเคราะห์แบบนี้คือความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์หงส์ดำ ซึ่งหมายถึงเหตุการณ์ที่มีผลกระทบรุนแรง แต่มีโอกาสเกิดขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้ในตอนแรกอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อนำไปใช้ในการวิเคราะห์ด้วยต้นไม้ตัดสินใจ วิธีที่รัดกุมขึ้นมาคือการเพิ่มค่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ที่มีผลกระทบสูงแต่ความเป็นไปได้ต่ำ เช่น การล้มละลาย การแก้ด้วยวิธีนี้ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งที่กำลังพิจารณาอาจทำให้เกิดเหตุการณ์หงส์ดำได้ ดังนั้นอาจมองความน่าจะเป็นของเหตุการณ์นั้นผิดไป

บทที่ 7

รับมือกับความขัดแย้ง

ในสถานการณ์ความขัดแย้ง การตัดสินใจเลือกเกือบทั้งหมดจะส่งผลต่อคนอื่นไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อม และผลกระทบเหล่านี้มีบทบาทอย่างมากต่อการคลี่คลายความขัดแย้ง โมเดลการแข่งขันทางอาวุธเป็นตัวอย่างหนึ่ง ในอดีตหมายถึงการแข่งขันสะสมอาวุธระหว่าง 2 ประเทศหรือมากกว่านั้น เพื่อเตรียมตัวรับมือกับความขัดแย้งที่อาจมีการใช้อาวุธ แต่คำนี้ยังใช้แบบกว้าง ๆ เพื่อพูดถึงการแข่งขันที่ดุเดือด การแข่งขันทางอาวุธไม่ส่งผลดีกับใครที่เกี่ยวข้องเลย ไม่มีใครรู้ว่าการแข่งขันนี้จะจบลงเมื่อใด แล้วทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็มัวแต่ใช้ทรัพยากรที่มีไปกับการแข่งขัน แทนที่จะใช้กับสิ่งอื่นซึ่งมีประโยชน์มากกว่า

ในฐานะปุถุชนคนหนึ่ง วิธีเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธที่ทำได้คืออย่าให้ตัวเองโดนดูดเข้าไปแข่ง ควรใช้เงินเติมเต็มความต้องการของตนเอง เช่น ไปเที่ยวกับครอบครัว หรือไปลงเรียนในคลาสที่สนใจ แทนที่จะเอาไปใช้กับสัญลักษณ์ทางสังคมที่ไม่เติมเต็มอะไรให้

ในฐานะองค์กร การเลี่ยงการแข่งขันทางอาวุธหมายถึง การแยกตัวเองออกมาจากการแข่งขัน แทนที่จะคอยไล่ล่าแย่งชิงข้อตกลงกัน ซึ่งอาจกัดกินผลกำไรขององค์กรโดยไม่รู้ตัว

แอบสะกิด ขยิบตา

เพื่อให้ได้ผลที่ต้องการอาจต้องโน้มน้าวให้ผู้เล่นคนอื่นเดินเกมในแบบที่ต้องการ แม้แต่แรกจะไม่ใช่การเดินเกมที่พวกเขาอยากทำก็ตาม โมเดลความคิดที่ช่วยโน้มน้าวใจคนอื่นได้เรียกว่าการต่างตอบแทน หมายถึงการที่รู้สึกจำเป็นต้องทำอะไรให้คืนตอบแทนกลับ เมื่อมีคนอื่นทำอะไรให้ ไม่ว่าสิ่งที่ได้รับมาจะเป็นสิ่งที่ขอ ต้องการ หรือไม่ก็ตาม การให้บางสิ่งกับบางคนแม้พวกเขาจะไม่ได้ขอ จะเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะทำอะไรต่างตอบแทนได้อย่างมาก อีกโมเดลคือเรื่องคำมั่นสัญญา ถ้าตกลงให้คำมั่นในบางสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กแค่ไหน มีแนวโน้มมากขึ้นที่จะยังตกลงต่อไปในภายหลัง ทั้งยังมักพยายามหาสิ่งที่มีร่วมกันผ่านโมเดลที่เรียกว่าความเหมือนพูดง่าย ๆ ก็คือมีแนวโน้มฟังคำแนะนำจากคนที่ชอบมากกว่า และมีแนวโน้มชอบคนที่มีลักษณะเหมือนกับตัวเอง

เทคนิคการสะท้อนเลียนแบบก็มาจากโมเดลนี้ นั่นคือพยายามเลียนแบบภาษากายและคำพูดของคนที่คุยด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่คนมักทำเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว โมเดลการโน้มน้าวแบบที่เรียกว่าหลักฐานจากสังคมนั่นคือ การมองหาคำใบ้จากสังคมมารองรับว่าตัดสินใจถูก มักทำสิ่งที่คนอื่นทำเพราะมีสัญชาตญาณอยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ความขาดแคลนเป็นโมเดลโน้มน้าวอีกแบบหนึ่งที่อธิบายแนวโน้มที่จะสนใจโอกาสที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ซึ่งไปกระตุ้นความกลัวที่จะพลาดโอกาสไป โมเดลโน้มน้าวใจแบบผู้มีอำนาจซึ่งอธิบายแนวโน้มที่จะทำตามคนที่มองว่ามีอำนาจ ผู้มีอำนาจมักมีความรู้ในข้อเท็จจริง และประเด็นที่เกี่ยวกับสาขาความเชี่ยวชาญของตัวเอง แต่ถึงกระนั้นก็ควรกลับไปยังหลักการแรก และประเมินข้อโต้เถียงของคนเหล่านั้นตามจริง โมเดลโน้มน้าวใจนำมาใช้ได้ในหลายสถานการณ์ รวมทั้งสถานการณ์ความขัดแย้งที่พยายามโน้มน้าวให้คนอื่นเลือกตัวเลือกบางอย่าง

ทางชนะเดียวคือไม่ลงไปเล่น

การมองความขัดแย้งผ่านเลนส์ของทฤษฎีทำให้เห็นว่าจะได้และเสียอะไร แค่ต้องหาโมเดลที่เพิ่มโอกาสได้ผลลัพธ์ที่ดีผ่านการโน้มน้าวผู้เล่นคนอื่น ความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ใด ๆ จะเร่งก่อให้เกิดการรับประกันความพินาศระหว่างกัน ดังนั้นไม่มีฝ่ายใดมีแรงจูงใจพอให้ใช้อาวุธในการโจมตีหรือให้ถอดอาวุธไปเลย จนสุดท้ายนำไปสู่สภาวะสงบสุขแบบตึงเครียดแทน ยังมีผลเชิงลบที่เป็นไปได้อื่น ๆ อีกมากมายที่เกิดจากความขัดแย้ง เพราะความขัดแย้งเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และมักก่อให้เกิดความเสียหายข้างเคียง นั่นคือสาเหตุที่ควรพิจารณาวิธีป้องกันความขัดแย้ง เช่น การไกล่เกลี่ย หรือพูดรวม ๆ ก็คือใช้วิธีทางการทูต

ถ้าวิธีทางการทูตไม่ได้ผล ก็ยังมีชุดโมเดลอีกชุดหนึ่งที่นำมาใช้ได้เริ่มจากการใช้การป้องปราม หรือการใช้การขู่ปรามเพื่อป้องกัน (ยับยั้ง) ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือ ความท้าทายหลักของการใช้โมเดลนี้อยู่ที่การเลือกหาการป้องปรามที่มีประสิทธิภาพ ต้องประเมินก่อนว่ามันจะให้ผลจริงหรือไม่ และจะเกิดผลข้างเคียงที่ไม่ได้ตั้งใจอย่างอื่นหรือไม่ กลวิธีป้องปรามหนึ่งที่นำมาใช้ได้คือโมเดลแคร์รอทและไม้เรียว ที่สัญญาว่าจะให้รางวัล (แครอท) พร้อมกับการขู่ลงโทษ (ไม้เรียว) เพื่อป้องกันพฤติกรรมบางอย่าง เมื่อนำแครอทกับไม้เรียวมาใช้ด้วยกันต้องระวังไม่ให้มันมีน้ำหนักน้อยเกินไป จนทำให้การตัดสินใจมองข้ามแครอท และยอมทนไม้เรียวเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลที่สุด

โมเดลที่มาคู่กับการป้องปรามคือการสกัดกั้น ในการสกัดกั้นหมายถึงความพยายามสกัดกั้นศัตรูไม่ให้ขยายตัวออกไปมากกว่าเดิม การสกัดกั้นคือการยอมรับว่ามีเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นแล้วและแก้ไขไม่ได้ง่าย ๆ จึงจำเป็นต้องหยุดไม่ให้สิ่งนั้นแพร่กระจายออกไปหรือเกิดขึ้นอีกในอนาคต สถานการณ์นี้สามารถบานปลายได้อย่างรวดเร็ว ต้องคอยห้ามเลือดอยู่บ่อย ๆ ด้วยวิธีที่รวดเร็วและสกปรกถ้าจำเป็น เมื่อสถานการณ์นิ่งแล้วลองถอยออกมาสักก้าว และมองหาสาเหตุต้นตอ และจากนั้นจึงค่อยมองหาทางแก้ที่เชื่อถือได้มากกว่าในระยะยาว

การกักกันเป็นกลวิธีการสกัดกั้นแบบหนึ่ง หมายถึงการจำกัดการเคลื่อนย้ายคนหรือสิ่งของ เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย อีกกลวิธีที่เกี่ยวข้องกันมีชื่อว่าทฤษฎีกระดาษกาวจับแมลงวัน ที่พยายามหลอกล่อศัตรูไปยังบริเวณหนึ่งที่พวกมันจะอ่อนแอที่สุด เหมือนการล่อแมลงวันไปติดกระดาษกาว ถ้าไม่มีการสกัดกั้นเหตุร้ายอาจแพร่กระจายออกไปได้ นำไปสู่ที่เหตุการณ์หนึ่งนำไปสู่เหตุการณ์อื่น ๆ ต่อเนื่องกันเหมือนโดมิโนที่ล้มต่อกัน

อย่างไรก็ตามขอให้ระวังว่าโดมิโนเอฟเฟกต์มักยกขึ้นมาพูดมากกว่าโอกาสที่มันจะเกิดขึ้นจริง การคำนวณผิดพลาดเหล่านี้มักจะแสดงให้เห็นผ่านโมเดล 3 แบบ

แบบแรกคือการโต้เถียงแบบไหลไปเรื่อย หรือการโต้เถียงว่าสิ่งหนึ่งจะนำไปสู่เหตุการณ์ที่เกิดเป็นลูกโซ่อย่างเลี่ยงไม่ได้จนนำไปสู่ผลที่ร้ายแรง

โมเดลที่ 2 คือทฤษฎีหน้าต่างแตกที่เสนอว่าหลักฐานของการก่อเหตุขนาดเล็ก จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการก่อเหตุรุนแรงขึ้น

โมเดลที่ 3 ที่ต้องระวังไว้คือทฤษฎียาทางผ่านที่อ้างว่ายาประเภทหนึ่ง เช่น กัญชาเป็นยาทางผ่านสู่การใช้ยาที่รุนแรงขึ้น

อย่างไรก็ตามยังมีตัวอย่างที่โมเดลเหล่านี้พิสูจน์ว่าถูก ลองนึกถึงการที่ธุรกิจหนึ่งจับกลุ่มลูกค้าด้วยกลยุทธ์ตั้งราคาต่ำกว่าตลาด นั่นก็คือการตั้งราคาสินค้าหนึ่งให้ต่ำ (ยาทางผ่าน) เพื่อเพิ่มความต้องการผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้คู่กันที่ทำกำไรได้มากกว่า

ถ้าไม่อยู่ในตำแหน่งที่สามารถป้องปรามหรือสกัดกั้นความขัดแย้งที่อยากเลี่ยงได้ บางทีการจำยอมก็เป็นทางเลือกที่จำเป็น ซึ่งหมายถึงการจำยอมต่อฝ่ายตรงข้ามเพื่อเลี่ยงความขัดแย้งโดยตรงหรือความขัดแย้งเพิ่มเติม ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือการไม่ไปยุ่งกับคนเหล่านั้น อย่าให้ค่า อย่าลดตัว อย่าเปลืองตัว แต่ก็เหมือนกับทุกสถานการณ์ที่ยังต้องประเมินแต่ละสถานการณ์หน้างานอยู่ดี

บทที่ 8

ปลดล็อคศักยภาพของคน

คนส่วนใหญ่คงไม่สามารถสร้างหรือได้เป็นส่วนหนึ่งของดรีมทีมที่อัดแน่นไปด้วยคนเก่ง ๆ ในด้านต่าง ๆ จากทั่วโลก มีโมเดลความคิดหนึ่งชื่อว่ากฎของจอยกล่าวว่า ใช้กองทัพที่มีไปทำสงคราม แม้พวกเขาไม่ใช่กองทัพที่อาจจะต้องการหรืออยากได้ในเวลาต่อมา น้อยครั้งที่องค์กรจะมีทรัพยากรสมบูรณ์แบบตามที่ต้องการ แต่จะให้รอจนถึงวันที่มีทรัพยากรพร้อมก่อนเดินหน้าต่อก็คงไม่ได้ กฎของจอยยังย้ำอีกว่าคนเก่งมากไม่จำกัดตัวเองอยู่ในองค์กรเดียวอีกด้วย

ใครอยู่ตรงไหน

ทีมที่แข็งแกร่งที่สุดคือทีมที่วางคนถูกบทบาท เพื่อให้แต่ละคนได้นำจุดแข็งและทักษะที่มีออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ในทางกลับกันถ้าคนอยู่ผิดที่ผิดทาง ก็อาจได้ทีมที่ผิดรูปผิดร่างมาแทน แนวคิดหลักการของปีเตอร์เขียนไว้ว่า ผู้จัดการจะเติบโตไปถึงระดับความไร้ประสิทธิภาพของตัวเอง หมายความว่าคนจะได้เลื่อนตำแหน่งไปยังบทบาทใหม่ โดยพิจารณาจากผลงานในบทบาทเก่า แต่ชุดความสามารถที่ต้องใช้ในหน้าที่ใหม่อาจแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง และอาจไม่เหมาะกับเขาด้วยซ้ำ สุดท้ายแล้วเขาจะได้เลื่อนตำแหน่งไปสู่บทบาทที่ไม่เหมาะกับตัวเองเลย ซึ่งเป็นจุดที่คนจะมีปัญหา

เวลาคนทำงานได้ดีเป็นเรื่องธรรมดาที่จะให้รางวัลด้วยการเลื่อนตำแหน่ง แต่เวลาจะเลื่อนตำแหน่งให้ใครต้องคำนึงถึงหลักการของปีเตอร์ด้วย นอกจากนี้ตำแหน่งที่สูงขึ้น มักต้องใช้กลยุทธ์มากกว่ากลวิธี กลยุทธ์คือแผนระยะยาวที่กำหนดสภาพความสำเร็จปลายทาง ส่วนกลวิธีเป็นแผนระยะสั้นที่กำหนดสิ่งที่ต้องทำต่อไปเพื่อเดินไปสู่ความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม แค่เพราะคนคนหนึ่งไม่เหมาะกับหน้าที่หนึ่งในตอนต้น ก็ไม่ได้หมายความว่าหน้าที่นั้นจะไม่มีวันเหมาะกับเขาเมื่อเวลาผ่านไปและได้ฝึกฝนฝีมือ พวกเขาอาจโดดเด่นขึ้นมาในบทบาทนั้นก็ได้ มีเหตุผลหลักอยู่คือ

1.พนักงานใหม่มักต้องการเวลากว่าจะเร่งเครื่อง และกลายเป็นฟันเฟืองขององค์กรที่มีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง

  1. ถ้าองค์กรไม่มีเส้นทางให้สมาชิกในทีมที่มีอยู่ได้เติบโต หลายคนจะเลือกออกจากองค์กรไปอยู่ในที่ซึ่งพวกเขาจะได้รับโอกาสที่ดีกว่า
  2. การที่องค์กรมักลงประกาศงานที่เกินจริงที่มีแต่ผู้สมัครแบบยูนิคอรนเท่านั้นที่จะทำได้

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่องค์กรต้องทำคือ การกำหนดขอบข่ายงานให้ชัดเจน โมเดลความคิดเรื่องผู้รับผิดชอบโดยตรงมาใช้ แนวคิดเรื่องนี้ป้องกันการฝูงกระจายของภาระหน้าที่ได้เรียกว่าปรากฏการณ์คนมุง หรือเวลาที่คนไม่รับผิดชอบงานในกลุ่มของตัวเอง เพราะคิดว่าคนอื่นจะรับผิดชอบงานนั้นไป

ฝึกฝนจนสมบูรณ์แบบ

การสร้างบทบาทที่ใช่ให้กับใคร ไม่ว่าจะสำหรับตัวเองหรือเพื่อนร่วมงานก็ตาม ก็ไม่การันตีว่าจะปลดล็อคศักยภาพได้อย่างเต็มที่ คนยังต้องการคำแนะนำเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จในจุดสูงสุดได้ โดยเฉพาะคนที่เข้ามารับบทบาทหน้าที่ใหม่ การศึกษาวิธีที่จะเก่งให้เร็วที่สุดเป็นโมเดลชื่อการตั้งใจฝึก นั่นคือการตั้งใจจับคนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่จะทดสอบขีดความสามารถของพวกเขา ที่พวกเขาจะได้ฝึกทักษะที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอ การฝึกแบบตั้งใจเข้มข้นกว่าการฝึกธรรมดา การตั้งใจฝึกจะเหนื่อยทั้งทางกายและใจ การบังคับให้ใครมาฝึกแบบนี้จึงไม่มีวันได้ผล มันต้องอาศัยความมุ่งมั่นจากข้างในของทั้งผู้สอนและผู้ฝึกอีก โมเดลหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องนี้มีชื่อว่าเอฟเฟกต์การเว้นระยะ โมเดลนี้อธิบายว่าเอฟเฟกต์ที่เกิดจากการเรียนรู้ฝึกฝนจะยิ่งเพิ่มขึ้นถ้ามีการเว้นระยะการเรียน แทนที่จะเร่งเรียนในเวลาจำกัด

การนำการฝึกแบบตั้งใจไปใช้ในองค์กร ต้องหาวิธีให้ฟีดแบ็ก และส่งเสริมการเรียนรู้แบบซ้ำ ๆ วิธีหนึ่งที่ทำได้คือการประชุมแบบตัวต่อตัวประจำสัปดาห์กับผู้จัดการ ที่ปรึกษา หรือโค้ช การประชุมนี้ทำหน้าที่เน้นย้ำอีกคอยให้ฟีดแบ็กอย่างต่อเนื่อง การเริ่มต้นที่ดีคือการประกาศความตั้งใจที่จะฝึกฝนทักษะใดทักษะหนึ่ง จากนั้นก็หาที่ปรึกษาที่เต็มใจมาโค้ชอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นที่ปรึกษาอาจคอยมองหาโอกาสที่จะได้ฝึกทักษะนั้นโดยไม่ส่งผลต่อองค์กรมาก เช่น อาจเลือกรับหน้าที่ในโครงการเล็ก ๆ ที่จะมีโอกาสฝึกทักษะนั้น แต่ตัวโครงการไม่มีผลมากกับบริษัท

ปลดล็อคศักยภาพ

มีโมเดลความคิดทางจิตวิทยาที่ปรากฏขึ้นมาซ้ำ ๆ เวลาช่วยใครสักคนปลดล็อคศักยภาพของตัวเองออกมา ถึงแม้คนคนนั้นจะเปิดใจที่จะฝึกฝนแบบตั้งใจ และยอมรับฟังฟีดแบ็กที่ตรงไปตรงมา กระบวนการนี้ก็อาจจะไม่ได้ผลอยู่ดี ถ้าคน ๆ นั้นมีกรอบความคิดที่ผิด โมเดลชื่อกรอบความคิดยึดติดคือการเชื่อว่าลักษณะส่วนตัวและความสามารถเป็นสิ่งตายตัวไม่สามารถเติบโตและเปลี่ยนแปลง

กรอบความคิดที่ตรงข้ามกันก็คือกรอบความคิดเติบโตหรือการมองว่าสามารถเติบโตและเปลี่ยนแปลงได้เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ความคาดหวังอาจมีอิทธิพลกับผลงานโมเดลชื่อเอฟเฟกต์พิกเมเลียนบอกไว้ว่า ความคาดหวังยิ่งสูงยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพ เพราะคนจะพยายามทำให้ได้ตามความคาดหวังที่ตั้งไว้ ในทางตรงข้ามเอฟเฟกต์โกเลม เป็นปรากฏการณ์ที่ความคาดหวังต่ำนำไปสู่ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง เอฟเฟคทั้ง 2 ประเภทถือว่าเป็นปรากฏการณ์ความคาดหวังสร้างความจริง

อย่างไรก็ดีการสร้างความหวังไว้สูงตลอดเวลา และกดดันให้คนต้องอยู่ในสถานการณ์ท้าทายซ้ำ ๆ อาจทำให้พวกเขาเหนื่อยล้าและไม่มั่นคง เวลาเริ่มเรียนสิ่งใหม่จะเห็นความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดด เพราะมีสิ่งที่ต้องให้เรียนรู้มากมาย การเรียนรู้ได้เร็วทำให้คนมั่นใจในความสามารถของตัวเองสูง แต่อาจกำลังหลอกตัวเองอยู่ว่าทักษะนี้มันง่าย แต่ในความเป็นจริงอาจยังไม่เข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับทักษะนั้น รวมถึงวิธีพัฒนาทักษะให้ดียิ่งขึ้น ยิ่งเรียนสูงมากความมั่นใจจะยิ่งลดลงเพื่อมองเห็นหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่รู้ และเริ่มเห็นว่าต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน ก่อนที่จะได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในทักษะนั้น ต้องชี้ให้พวกเขาเห็นจุดที่ยังพัฒนาได้อีก เพื่อไม่ให้มั่นใจจนเกินไป ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยหมั่นชมความก้าวหน้าของพวกเขาด้วย เพื่อไม่ให้เสียกำลังใจ

บทที่ 9

อวดอำนาจตลาดของคุณ

เมื่อมีโอกาสทำกำไร คนหัวการค้าทั้งหลายจึงพากันซื้อของยอดฮิต เพื่อที่จะมาขายต่อในตลาดรองในราคาที่สูงขึ้น เวลาใช้ประโยชน์จากส่วนต่างของราคาสินค้าเดียวกันใน 2 บริบทที่แตกต่างกัน จะเรียกว่าเป็นการทำกำไรแบบอาร์บิทราจ ความแตกต่างของราคาแบบนี้มักอยู่ได้ไม่นาน เพราะคนอื่นจะสังเกตและทำตามจนช่วงต่างของราคาไม่มีอีกต่อไป สิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับอาร์บิทราจ นั่นคือความได้เปรียบทางการแข่งขันแบบยั่งยืนโมเดลความคิดนี้อธิบายชุดปัจจัยที่ทำให้ได้เปรียบในการแข่งขัน เป็นความได้เปรียบที่รักษาเอาไว้ได้ในระยะยาว เอกลักษณ์ของความได้เปรียบทางการแข่งขันแบบยั่งยืนคือสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่าอำนาจตลาด หมายถึงอำนาจที่จะเพิ่มราคาสินค้าให้ทำกำไรได้ในตลาด อำนาจตลาดแบบสุดโต่งก็คือการผูกขาด บริษัทที่ผูกขาดตลาดจะมีอำนาจตลาดมากเพราะมีคู่แข่งน้อย

วิสัยทัศน์ที่ไม่ลงมือทำก็เป็นแค่ความเพ้อฝัน

ความคิดเปลี่ยนโลกที่สำเร็จมักเกี่ยวกับการเปลี่ยนพฤติกรรมของคนกลุ่มใหญ่ทั้งในการใช้ชีวิต การทำงาน การหาความบันเทิง หรือแม้แต่วิธีการคิด ไม่ว่าความคิดจะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหรือไม่ แต่ให้ลองมองคนที่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมว่าเป็นลูกค้าคนหนึ่งดู แม้ว่าจะเป็นเจ้าแรกที่ทำตลาดแนวคิดนั้นก็อาจจะยังแพ้ให้กับคู่แข่งได้ ถ้าสินค้าไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมที่จำเป็นได้ คนแรกหรือองค์กรแรกที่พยายามทำกำไรจากความลับจะมีข้อได้เปรียบของผู้ขับเคลื่อนแรก นั่นคือข้อได้เปรียบจากการเป็นคนแรกที่นำสินค้าเข้าสู่ตลาด อย่างไรก็ตามจะเป็นเจ้าแรกก็ต้องประสบกับข้อเสียเปรียบของผู้ขับเคลื่อนแรกได้เหมือนกัน ถ้าทำผิดพลาดบ่อย ผู้ตามที่เร็วจะลอกเลียนผู้ขับเคลื่อนแรก เรียนรู้จากความผิดพลาดของพวกเขา และแซงหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว

ความแตกต่างระหว่างความสำเร็จและล้มเหลวคือ คนแรกที่หาจุดลงตัวระหว่างผลิตภัณฑ์และตลาดเจอ บริษัทที่ไม่มีจุดลงตัวระหว่างผลิตภัณฑ์และตลาดจะรักษาลูกค้าได้ยาก โมเดลที่บรรยายปรากฏการณ์มีชื่อว่าความถี่สั่นพ้อง โมเดลนี้มาจากกฎทางฟิสิกส์และอธิบายได้ว่า ทำไมถ้าเล่นโน้ตถูกตัวจะทำให้แก้วแตกได้ เมื่อหาจุดที่ลงตัวได้ระหว่างผลิตภัณฑ์และตลาดก็จะได้ผลคล้ายกัน  ถ้ามีจุดลงตัวผลที่ได้จะไม่ใช่ผลที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาเลยทีเดียว วิธีเพิ่มโอกาสหาจุดลงตัวระหว่างผลิตภัณฑ์และตลาดให้เจอคือการพัฒนาลูกค้า ซึ่งเป็นแนวคิดการพัฒนาสินค้าแบบหนึ่งที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง แน่นอนว่าคงไม่สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าอยากได้จริง ๆ ตั้งแต่ครั้งแรก เมื่อพยายามนำความลับที่มีมาลงมือสร้างอย่างเป็นรูปธรรม กำลังแข่งกับคู่แข่งในการหาจุดลงตัวระหว่างผลิตภัณฑ์และตลาด จะมีโอกาสชนะการแข่งขันมากที่สุด ถ้าเข้าไปพัฒนาลูกค้าได้เร็วที่สุด

อีกโมเดลในบริบทนี้อาจช่วยได้นั่นคือวงจร OODA หรือวงจรการตัดสินใจที่ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนคือ สังเกตการณ์ (Obbserve) กำหนดตำแหน่ง (Oriet) ตัดสินใจ (Decide) และลงมือ (Act) ถ้าทำการพัฒนาลูกค้ามาอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็ยังหาจุดลงตัวนั้นไม่ได้สักทีก็ต้องหมุนแกนไปหาสิ่งอื่น การหมุนแกนคือการเปลี่ยนทิศทางกลยุทธ์ การหมุนแกนทำได้ยากเพราะมันสวนทางกับแรงเฉื่อยขององค์กร จึงต้องเปิดอกยอมรับความล้มเหลว และต้องหาทิศทางใหม่ที่ดีกว่าให้เจอ รวมทั้งต้องทำทั้งหมดนี้พร้อมกัน

การหมุนแกนควรนำไปใช้เมื่อกลยุทธ์ที่ใช้ในปัจจุบันไม่น่าจะนำความสำเร็จที่ต้องการมาให้ได้แล้ว โมเดลที่ช่วยสร้างความกระจ่างได้อีกแบบคือการถามว่าคุณกำลังล่าลูกค้าประเภทไหน การล่าลูกค้าขนาดต่าง ๆ ตั้งแต่เล็กมาก ๆ (แมลงวัน) ไปจนถึงใหญ่มาก ๆ (ช้าง) เหตุผลหลักที่โมเดลนี้สำคัญก็เพราะวิธีที่มีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าขึ้นอยู่กับประเภทของลูกค้าที่ตามหาอยู่ ถ้าต้องการหาลูกค้าให้ได้ 10 ล้านคน คงจะตามไปคุยกับลูกค้าทุกคนตัวต่อตัวไม่ได้ นอกจากนี้จะให้คน 10 ล้านยอมจ่ายให้สินค้าราคาสูงก็ท้าทายมาก ในทางตรงข้ามสามารถติดต่อลูกค้า 1,000 คนแบบตัวต่อตัวได้ และโน้มน้าวให้พวกเขาจ่ายมากขึ้นได้

การประเมินเชิงปริมาณแบบนี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งของการคำนวณหลังซองจดหมาย หรือการคำนวณทางตัวเลขอย่างรวดเร็วที่ทำได้จริง การคิดถึงคนไม่ว่าจะเป็นคนที่มีอยู่จริงหรือสร้างขึ้น ก็สามารถจะยึดให้อยู่กับมุมมองของลูกค้า และช่วยให้ใช้โมเดลการประเมินต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ระวังอย่าให้อคติจากการพร้อมใช้งานมาจำกัดปัจจัยที่ใช้ในการสร้างมนุษย์จำลองขึ้นมา มนุษย์จำลองที่มีประโยชน์จริง ๆ ที่สุด อาจไม่ได้มาจากข้อมูลที่มีอยู่แล้ว หรือหามาได้ง่ายที่สุดก็ได้ ถ้ายังตอบได้ไม่ชัดตัดสินใจได้โดยการถามว่าเห็นจุดสว่างสัญญาณบวกห้ามปรามสัญญาณลบต่าง ๆ หรือไม่? ในทางธุรกิจสิ่งนี้จะหมายถึงลูกค้ากลุ่มย่อยที่ชอบสิ่งที่กำลังทำจริง ๆ และสนใจผลิตภัณฑ์อย่างมาก

ถ้ายังไม่มีจุดสว่างหลังจากใช้เวลากับสิ่งนั้นไปสักพักก็น่าจะต้องหมุนแกน  ถ้ามีจุดสว่างอยู่บ้างลองคิดต่อดูว่า ทำไมสิ่งนั้นถึงได้ผลดีและมุ่งเน้นไปที่การเติบโตจากจุดนั้น อันที่จริงนี่เป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับการพัฒนาแนวคิดที่อาจกำลังมีปัญหาอยู่ เป็นโมเดลที่มาจากแนวคิดชื่อหัวหาด ซึ่งเป็นจุดที่กองกำลังเข้ายึดมาได้และคอยป้องกันไว้ เพื่อที่กองกำลังที่เหลือจะได้เคลื่อนคนผ่านหัวหาดไปยังพื้นที่ใหญ่กว่าได้ กลยุทธ์หัวหาดเป็นแค่วิธีหนึ่งในการดำเนินตามขั้นตอนการเปลี่ยนความลับที่มีเป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีจุดลงตัวระหว่างผลิตภัณฑ์กับตลาด

กระบวนการนี้อาจเปรียบเทียบความกว้างได้กับการหาทางออกในเขาวงกต นักลงทุนเรียกว่าเขาวงกตความคิด ลองนึกถึงเขาวงกตจริง ๆ ดู จุดเริ่มต้นคือจุดที่เริ่มคิดถึงความคิดนั้น ทางออกคือความสำเร็จสูงสุดของความคิด ภายในเขาวงกตมีทางตันมากมาย จึงมีหน้าที่ต้องหาทางออกในเขาวงกตนั้น และออกไปสู่อีกด้านให้สำเร็จ

บทสรุป

นี่คือหนังสือที่อยากให้ใครสักคนหยิบอ่านในตอนที่เริ่มทำงานใหม่ ๆ เพราะโมเดลความคิดปลดล็อคความสามารถในการคิดระดับสูงได้ บางความคิดอาจเป็นเรื่องใหม่ จะต้องนำไปฝึกใช้เพื่อจะได้ประโยชน์สูงสุดจากมัน มีความแตกต่างระหว่างการรู้ชื่อของสิ่งหนึ่งกับการรู้เกี่ยวกับสิ่งหนึ่ง โมเดลที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือลัทธิตู้สินค้า เป็นกลุ่มคนที่มีอยู่จริง พวกเขาอาศัยอยู่ในหมู่เกาะเมลานีเซีย และวิธีที่พวกเขาแสดงออกเมื่อได้พบกับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาก ๆ พวกเขาเชื่อแบบผู้ที่เชื่อในลัทธิว่า การเลียนแบบสิ่งที่เห็นจากคนที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้ากว่าจะนำความมั่งคั่งหรือตู้สินค้ามาให้ แต่พวกเขาไม่ได้เข้าใจจริง ๆ ว่า ต้องทำตัวอย่างไรเพื่อให้ได้ผลที่ต้องการ พวกเขาคิดว่าถ้าสร้างรันเวย์ให้ดีเครื่องบินก็จะแล่นลงจอดเองพร้อมกับข้าวของฟรี แน่นอนว่ามันไม่เกิดขึ้น เพราะตั้งแต่แรกพวกเขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าอะไรทำให้เครื่องบินลงจอด แล้วยังมีเทคโนโลยีจริง ๆ แบบอื่นที่ต้องใช้เพื่อให้เครื่องแล่นลงจอดได้อย่างปลอดภัยอีก

เมื่อคนไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังทำอยู่อย่างแท้จริง พวกเขาก็เป็นเหมือนคนในลัทธิตู้สินค้า และไม่น่าจะได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ถ้าไม่อยากเป็นสุดยอดนักคิดแบบลัทธิตู้สินค้า โดยใช้โมเดลความคิดอย่างไม่เข้าใจ จนทำให้ไม่ได้ประโยชน์จากโมเดลเหล่านั้น มีขั้นตอนที่ทำตามได้เพื่อให้มั่นใจว่า จะเป็นสุดยอดนักคิดอย่างแท้จริงคือ

  1. หาคู่คิด การคิดประเด็นที่ซับซ้อนคนเดียวจะไม่ได้ผลที่ดีที่สุด การได้แชร์ความคิดกับคนอื่น และได้ฟีดแบ็กมาจะได้ผลดีกว่ามาก ไม่จำเป็นต้องมีคู่คิดคนเดียวกันในทุกประเด็น แต่สำคัญมากที่ต้องคุยกับคนที่สนใจในแก่นความจริงของเรื่องนั้น
  2. ลองเขียน การเขียนทำให้การคิดกระจ่างชัดขึ้น และทำให้มองเห็นจุดบอดในข้อโต้แย้งของตัวเอง

เมื่อเวลาผ่านไป ความพยายามจะขยายออกเป็นสิ่งที่เรียกว่าวงความถนัด ด้านในของวงครอบคลุมพื้นที่ที่มีประสบการณ์หรือความรู้ เป็นสิ่งที่ถนัดและคิดได้อย่างช่ำชองในพื้นที่นั้น โซนอันตรายที่สุดอยู่นอกวงความถนัด แต่เป็นสิ่งที่คิดว่าถนัด แม้ความจริงจะไม่ถนัดเลยในทุกด้านของชีวิต อัตราความสำเร็จจะลดลงเมื่อทำงานนอกวงความถนัด ข่าวดีคือโมเดลความคิดในหนังสือเล่มนี้ จะช่วยขยายวงความสามารถ การได้พูดคุยกับคนที่รู้วิธีนำโมเดลเหล่านี้ไปใช้ จะช่วยแก้ไขความผิดพลาดของตัวเอง และขยายวงออกไปได้เร็วยิ่งขึ้นอีก.