สั่งซื้อหนังสือ “ความลับของความสุข” (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ ความลับของความสุข

100 ความลับที่ทำให้มีความสุขมากขึ้น

มองให้ดีชีวิตมีของขวัญให้ทุกวัน เพียงแค่บางทีกระดาษห่ออาจไม่ถูกใจนัก และต้องใช้เวลามากสักหน่อยกว่าจะแกะเจอของดีที่อยู่ข้างใน ซึ่งถูกห่อไว้อย่างสลับซับซ้อน เรื่องดีเป็นของขวัญกระดาษสวย ถูกใจง่าย เรื่องร้ายเป็นของขวัญที่ท้าทาย ผู้ที่ได้รับว่าจะอดทนพอที่จะแกะหน้าตาอัปลักษณ์นั้นออกไปเรื่อย ๆ หรือไม่ ผ่านวันเวลาไปจะเข้าใจของขวัญบางชิ้นมากขึ้น กระทั่งอาจดีใจที่ได้รับมา

หนังสือเล่มนี้คือบันทึกฉบับคัดสรร จากข้อเขียนนับพันสเตตัสในเฟสบุ๊ก นำมาร้อยเรียงและเรียบเรียงอย่างประณีตบรรจง เพื่อตกผลึกเป็นบทสรุปเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างเท่าทันและเข้าใจ เมื่อนำมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน ผู้เขียนพบว่าแม้ชีวิตของเราแต่ละคนจะแตกต่างกัน กระนั้นก็มีเส้นทางที่มีลำดับขั้นคล้ายคลึงกันอยู่ โดยผ่านขั้นตอนการเรียนรู้ รู้จักตัวเอง ผิดพลาด การงาน ความสำเร็จ สร้างสมดุล จัดการเวลา เข้าอกเข้าใจ ความสัมพันธ์ พบเคล็ดวิชา ทบทวนตกผลึกจนเข้าใจไปตลอดทาง สิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ เกิดขึ้นเพื่อให้ค้นพบหลักการบางอย่างของชีวิต เมื่อเข้าใจแล้วก็รอพบหลักการใหม่อีกและอีก หากไม่ปล่อยทิ้งประสบการณ์ไปเปล่า ๆ ชีวิตในแต่ละวัน แต่ละวัย ย่อมนำพาไปสู่ความเข้าใจความลับของชีวิตมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งความลับที่ว่านั้นจะนำไปสู่การมีชีวิตที่มีความสุขมากขึ้นเช่นกัน

เรียนรู้

  1. สิ่งที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลง

ชีวิตไม่ได้เปลี่ยนเพราะคำพูดของใครบางคน แต่คำพูดที่มีพลังทำให้อยากเปลี่ยนพฤติกรรม จากนั้นเองชีวิตจึงค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง คนเราเปลี่ยนชีวิตเพราะเปลี่ยนพฤติกรรม และบางครั้งพฤติกรรมใหม่ ๆ เกิดจากการอ่านและฟังจากผู้มีประสบการณ์ชีวิตต่างไป อ่านอย่างเดียวไม่เปลี่ยน ฟังอย่างเดียวไม่เปลี่ยน อ่านฟังแล้วทำจึงเปลี่ยน ส่วนจะเปลี่ยนเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับอ่านและฟังอะไร เหมือนที่ว่ากันว่าชีวิตในอีก 5 ปีจะเป็นอย่างไร ดูได้จากหนังสือที่อ่านและผู้คนที่คบหา

  1. ภาพในใจ

คิดว่าตัวเองเป็นแบบไหนก็จะเป็นแบบนั้น ภาพในใจที่มีต่อตัวเองเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่พิสูจน์มาครั้งแล้วครั้งเล่า จนเน้นย้ำว่าสิ่งนี้คือความจริง แรก ๆ อาจเกิดจากการทำบางสิ่งไม่ได้ อดีตสร้างตัวเราในปัจจุบัน และภาพนี้ในปัจจุบันก็จะสร้างตัวเราในอนาคต การตรวจสอบภาพในใจ จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการทะลายกำแพง เพื่อเดินออกไปสู่ชีวิตแบบอื่น ซึ่งเริ่มจากการบอกตัวเองว่า “ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้ ฉันเป็นแบบอื่นได้” ความไม่คุ้นอาจทำให้กังวลและหวาดกลัว แต่ภาพนั้นจะค่อย ๆ ชัดขึ้นผ่านการเปลี่ยนแปลง แล้วจะค่อย ๆ เห็นภาพตัวเองในแบบใหม่ปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อไม่ยึดติดว่าฉันเป็นแบบนี้ ก็จะพบตัวเองในเวอร์ชั่นอื่น

  1. ยึดพื้นที่คืน

คำพิพากษาจากผู้คนมีผลร้ายต่อจิตใจ ความกลัวเจ็บเป็นเรื่องเข้าใจได้ ปล่อยเวลาผ่านไปนาน ๆ พื้นที่ปลอดภัยจากการไม่ทำอะไรเลย กลับกลายเป็นพื้นที่น่าอึดอัด ถึงวัยหนึ่งก็เลือกก้าวออกมาแล้วใช้ชีวิตไปตามความมุ่งมาดปรารถนา บางครั้งความกล้าหาญเกิดจากธรรมชาติที่ทนความอัดอั้นไม่ไหว ทำบ่อย ๆ ยิ่งแคร์สายตาคนอื่นน้อยลง พยักหน้ารับคำตัดสินมากขึ้น ยักไหล่ใส่ความไม่เข้าใจแล้วเดินไป กลับรู้สึกว่าโลกปลอดภัยกว่าเดิม หวั่นไหวกับการพิพากษาของผู้คนน้อยลง โลกค่อย ๆ เป็นของเรามากขึ้น เป็นการยึดคืนพื้นที่ของตัวเองกลับมา หากวันใดหัวใจบอกว่าก็ช่างเขาคิดยังไงก็คิดไปจะทำในแบบของฉัน วันนั้นโลกจะค่อย ๆ เป็นของเรา และแน่นอนโลกก็เป็นของทุกคนเท่า ๆ กัน

  1. 4 รู้เพื่อทิศทางชีวิต

คุณบรรยง พงษ์พาณิชย์ได้มอบปัญญาเรื่อง 4 รู้โดยบอกว่า ถ้าตอบตัวเองได้ว่า

1.ทำอะไรได้ดี แล้วทำสิ่งนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ฝึกปรือให้เก่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็จะเจอตำแหน่งแห่งที่ที่เหมาะสม ทำได้ดีมีพลังมีความสุข

  1. ทำอะไรไม่ได้ อันนี้ยากเพราะคนเราไม่ค่อยยอมรับว่าหวยเรื่องไหน มักคิดว่าทำได้ทุกอย่าง หากทำไม่ได้ก็พยายามจะทำให้จงได้
  2. อยากได้มันไหม ถ้าตอบว่าอยากก็ลุยไปเลย แต่หลายครั้งไม่ได้อยากได้มันจริง ๆ เพียงแค่เสียดายเพราะมีโอกาสจะได้มันมา
  3. ไม่อยากได้อะไรบ้าง จะไม่เสียดายโอกาส พึงพอใจกับชีวิตที่อยู่ในขอบเขตที่อยากได้ แถมยังเหลือเวลาและพลังงานทำในสิ่งที่อยากทำ ไม่ต้องทุ่มทั้งหมดไปเพื่อใคว่คว้าสิ่งที่มากเกินกว่าที่อยากได้

คนเราทำอะไรได้ดีไม่มากนัก ไม่ได้อยากได้อะไรมากนักเช่นกัน บางครั้งเพียงหลงคิดว่าทำได้เยอะ และหลงอยากได้มากกว่าที่ต้องการและจำเป็นชีวิตจึงสับสน

  1. วัดกันที่แกว่งแขน

มีเรื่องเล่าว่าในวันเปิดการศึกษา โสกราติสนักปรัชญาคนสำคัญแห่งเอเธนส์ กล่าวกับนักเรียนของเขาว่า นับแต่นี้ไปพวกคุณทุกคนต้องพยายามแกว่งแขนไปข้างหน้าและข้างหลังติดต่อกันทุกวัน เวลาผ่านไป 1 เดือนมีเพียง 2 ใน 3 ผ่านไปอีก 1 เดือนเหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น 1 ปีให้หลังมีคนแค่คนเดียว เขาชื่อเพลโตและนี่คือเหตุผลที่เพลโตเป็นนักปรัชญาที่ประสบความสำเร็จ ความสม่ำเสมอคือรากฐานความสำเร็จในระยะยาว ในตอนเริ่มต้นมีคนออกสตาร์ทพร้อมกันจำนวนมาก นักฝันมีมาก นักลงมือทำมีน้อย แต่น้อยกว่านั้นคือคนที่ลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ

  1. ชีวิตเปลี่ยนได้ด้วยสัจจะ

คนเราสามารถปรับใช้สัจจะบารมี เข้ากับชีวิตประจำวันได้ในหลายเรื่องคือ การตั้งเป้าไว้แล้วควบคุมตัวเองให้ทำตามนั้น สำคัญคือใจที่รักดีและเอาจริง เริ่มจากสิ่งที่ติดขัดในชีวิต เช่น เป็นคนชอบโกรธคนอื่น ชอบตะคอก นินทา คิดร้าย หรืออาจเสพติดบางอย่าง เช่น เกม มือถือ เหล้า บุหรี่ ขนมหวาน หรือพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่ไม่ชอบของตัวเอง ให้หยิบเหล่านี้มาตั้งเป็นสัจจะ แล้วให้สัจจะว่าจะไม่ทำพฤติกรรมนั้นในเวลาหนึ่งชั่วโมง จากนั้นค่อย ๆ ขยายออกไปเป็น 2 3 4 ชั่วโมง แล้วก็กลายเป็นวัน เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี จนกลายเป็นชีวิต เมื่อให้สัจจะที่ดีแล้วทำตามสัจจะนั้น จะคุ้มครองเรานำพาไปสู่ทิศทางที่อยากไป

  1. ทำยังไงไฟจึงไม่มอด

สิ่งดี ๆ ที่ได้รับรู้มาจะทำปฏิกิริยากับหัวใจเกิดไฟลุกโชนประมาณ 1 วัน จะอยู่ในสมองเกิดเป็นความคิดดี ๆ ประมาณ 1 สัปดาห์ จากนั้นค่อย ๆ จางลงและหายไป เริ่มจะไฟมอดและหลงลืม วิธีเก็บรักษามันไว้คือ ลองเก็บมาทำปฏิบัติตั้งแต่ตอนที่ยังมีไฟ หรือยังมีความคิดว่ามันดี พอปฏิบัติไปจะไม่มอดเหมือนเอาไม้ขีดต่อเทียนไข  พอเทียนเล่มหนึ่งหมดก็ต่ออีกเล่ม ไฟจะไม่ดับในเวลาอันสั้น สิ่งนั้นจะค่อย ๆ หลอมรวมกลายเป็นนิสัย มากเข้าก็กลายเป็นตัวตน แต่ละวันจะได้รับสิ่งดี ๆ มากมาย แต่รักษาไว้ได้ไม่มากนัก ไฟลุกโชนอยู่บ่อย ๆ แต่มอดมากกว่าโหม แนวคิดดี ๆ ผ่านสมองตลอด แต่ไม่ถูกนำไปใช้ ไม่สามารถทำได้กับทุกประกายไฟในชีวิต ต้องเลือกประกายไฟที่เห็นว่าไม่ควรปล่อยให้มอด ต่อไปต่อเนื่อง ต่อไปและต่อไป ไฟจึงกลายมาเป็นแสงสว่างในตัวเอง

  1. เป็นธรรมชาติ

เสน่ห์คือความเป็นธรรมชาติแต่กลับทำได้ยากสุด ความเป็นธรรมชาติที่ไม่ได้มานั่งคิดเรื่องหลักการ มันไหลออกมาจากประสบการณ์ จังหวะนั้นเสน่ห์เฉพาะตัว หรือความเป็นตัวของตัวเองจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องวางแผน ถ้าอยากเป็นธรรมชาติต้องฝึก ฝึกจนชิน จึงเลิกกังวล แล้วจึงกลับมาเป็นธรรมชาติ

  1. จิตไม่รู้

ความไม่รู้คือประตูทางเข้าของความรู้ สาเหตุที่ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ เพราะมักด่วนบอกตัวเองหรือคนอื่นอยู่เสมอว่ารู้แล้ว พอรู้แล้วก็เลยอดรู้เพิ่ม จมอยู่ในความคิดแคบ ๆ ของตัวเอง ทันทีที่พูดคำว่าไม่รู้ออกมา ผู้รู้ย่อมยินดีมอบวิชาให้ ทันใดนั้นปัญญาก็งอกเงย คนยอมโง่จึงฉลาดขึ้น คนที่นึกว่าตัวเองฉลาดมักจะโง่ลง จิตของผู้เริ่มต้นไม่ใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลางในการตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ และตระหนักเสมอว่า ยังมีอะไรอีกมากในจักรวาลอันยิ่งใหญ่ที่ยังไม่ล่วงรู้ จิตของผู้เริ่มต้นจิตไม่รู้เป็นเรื่องเดียวกับจิตที่ไม่มีอัตตา เมื่อไม่มีอัตตาจึงเปิดกว้างพร้อมเรียนรู้จากทุกคนและทุกสิ่ง

  1. ผมไม่รู้

ความรู้เมื่ออยู่ติดตัวนาน ๆ จะกลายร่างเป็นความคิดเห็นโดยไม่รู้ตัว ใช้ความคิดเห็นไปตัดสินเรื่องราวและผู้คน โดยนึกว่าเป็นความรู้ ปัญหาคือโลกยังมีสิ่งที่ไม่รู้อีกมาก เมื่อใช้ความรู้เดิมไปปฏิสัมพันธ์กับทุกอย่างโดยไม่เปิดใจ จึงนำมาซึ่งทุกข์ เพราะปัจจัยว่าสิ่งที่รู้คือถูก เมื่อคนอื่นรู้ไม่ตรงกันเขาจึงผิด ความรู้แบบนี้นำมาซึ่งความทุกข์ ความรู้ที่ดีควรนำมาซึ่งความสุข ความรู้ที่ดีควรขยายขนาดหัวใจ เปิดใจกว้าง ๆ พร้อมสำหรับทุกสิ่งที่เข้ามา มอบความเข้าใจใหม่ โดยไม่ยึดติดกับความรู้เก่า อัตตาน้อยก็ทุกข์น้อย จึงไม่ควรเรียกคนที่ไม่รู้ว่าคนโง่ เพราะคนทุกข์น้อยย่อมไม่โง่ และคนที่เอ่ยคำว่าไม่รู้บ่อย ๆ ย่อมได้เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน ฉลาดขึ้นทุกวัน

  1. เติมหยิน

สามคนเดินมาหนึ่งในนั้นคือครู คนจีนเชื่อว่าเกิดมาเป็นศูนย์ พอเริ่มเติบโตรู้เรื่องราวหยางจะเพิ่มขึ้นตามความรู้ เมื่อรู้เยอะอีโก้ก็เยอะเป็นเงาตามตัว วิธีลดหยางและเพิ่มหยินคือฟัง การฟังแสดงถึงความถ่อมตน ตระหนักว่าตนยังไม่รู้ยังไม่ฉลาด สองสิ่งที่เป็นคุณสมบัติของหยินคือกตัญญูและถ่อมตัว หยางมากก็ร้อน ร้อนมากก็ฟาดฟัน เติมหยินเข้าไปดับร้อนก็จะดีขึ้น คุณสมบัติของนักฟังที่ดี ต้องเป็นคนไม่ยึดมั่นในบางสิ่งที่ชัดเจนแบบเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยังเปิดกว้างต่อการรู้สิ่งใหม่ พร้อมเปลี่ยนความคิดของตัวเองเมื่อได้ข้อมูลที่แตกต่างไป เปิดหูฟัง ตราบที่ยังฟังแปลว่าหยางไม่เต็มเสียจนไม่เหลือที่ให้หยิน คือกระบวนการเรียนรู้ สามคนเดินมาเป็นครูหรือศัตรู คำตอบอยู่ที่สภาวะหยิน-หยางในตัว

  1. ถาม เถียง ถก แถลง

ด้วยหน้าที่การงานและจังหวะโอกาส ทำให้มีโอกาสได้พบปะขุมทรัพย์ทางปัญญาอยู่เสมอ ล้วนมีเรื่องให้เรียนรู้ได้ทั้งสิ้น มีกุญแจสำหรับเปิดหีบสมบัติแห่งปัญญาอยู่ด้วยกัน 4 ดอก คือ

  1. ถาม คำถามที่ดีนำมาซึ่งคำตอบที่น่าสนใจ คำถามที่ดีเกิดขึ้นได้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งเกิดขึ้นได้จากฐานความรู้กว้าง ๆ อาจไม่ต้องรู้ลึกแต่ต้องรู้ไว้บ้างในเรื่องที่อยากคุย เพราะจะนำไปสู่บทสนทนา
  2. เถียง เถียงไม่จำเป็นต้องก้าวร้าว เถียงแล้วถ่อมตนไปด้วยก็ได้ ท่าทีในการเถียงเป็นไปได้หลายแบบ การเถียงนับเป็นรสชาติในการสนทนา ทำให้เกิดความท้าทายในการพูดคุย คนเก่งคนฉลาดมักชอบผู้สนทนาที่ดื้อนิด ๆ ท้าทายหน่อย ๆ ทำให้สมองของเขาได้ทำงานหนักขึ้น
  3. ถก นักถกที่ดีย่อมมิใช่คนที่ยึดเอาความคิดตัวเอง ไว้ว่าเป็นสัจธรรมหนึ่งเดียว มิได้ทำเหมือนกำลังโต้วาที เพื่อเอาชนะตลอดเวลา และมิได้ถกกันแบบเอาเป็นเอาตาย
  4. แถลง นักแถลงมักเป็นนักอ่าน นักสื่อ นักสนทนา แล้วรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ มาโยนเข้าไปในวงสนทนา เป็นเชื้อเพลิงในการก่อไฟ

บทสนทนาที่ดีทำให้ได้เรียนรู้จากกันและกัน รู้นิสัยใจคอ นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดี ถาม เถียง ถก แถลง มีลวดเส้นหนึ่งคล้องกุญแจ 4 ดอกนี้เข้าด้วยกันคือถ่อม

  1. Mentor

เมื่อศิษย์พร้อมครูก็ปรากฏตัว เมนทอที่ดีมิได้เป็นกันง่าย ๆ เพราะคนส่วนใหญ่มักชี้นำมากกว่าชี้แนะ พร่ำสอนมากกว่ารับฟัง พี่เลี้ยงที่ดีไม่ได้ดูแค่ฟอร์มการเล่นในปัจจุบันเท่านั้น แต่ต้องรับฟังเพื่อเข้าใจเบื้องหลังทั้งหมด ต้องดูว่าเขาผ่านอะไรมา มีเงื่อนไขอะไรบ้าง ทุกข์ใจเรื่องใด แบกอะไรไว้บนบ่า เป็นต้น ไม่ต้องเชื่อพี่เลี้ยงไปเสียทั้งหมด คำแนะนำไม่ใช่คำสั่ง เถียงพี่เลี้ยงได้ ดื้อได้ เพราะคำแนะนำนั้นอยู่นอกสังเวียน บนสังเวียนเป็นเรื่องของตัวเอง

รู้จักตัวเอง

  1. แสงในตัว

สำเร็จไหมก็แล้วแต่วัดยังไง จากอะไร กับใคร หรือใครจะวัด ซึ่งจะว่าไปแล้วบางทีก็ไม่รู้จะวัดทำไม ที่น่าสนใจคือได้ใช้ศักยภาพในแบบของเรา อย่างเป็นที่น่าพอใจกับตัวเองแล้วหรือยัง ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องการงาน อาจหมายถึงความกรุณา อ่อนโยน ดูแลรับผิดชอบ แบ่งเบาภาระ แสงสว่างที่ว่าอาจไม่ต้องส่องสว่างกระจ่างแจ้งจนแสบตาใคร แต่เรืองรองในใจตัวเองว่า มีแสงที่น่าพอใจ และใช้มันเต็มศักยภาพ น้อยกว่านั้นก็เสียดาย

  1. วิธีค้นหาพรสวรรค์

เครื่องมือในการค้นหาพรสวรรค์มี 3 อย่างคือ

เครื่องมือที่ 1 ให้แยกแยะระหว่างพรสวรรค์ที่มีมาตามธรรมชาติออกจากสิ่งที่สามารถเรียนเพิ่มเติมได้ คนเราสามารถเรียนรู้ฝึกฝนสิ่งไม่ชำนาญแล้วทำได้ดีขึ้น แต่สิ่งนั้นไม่ใช่จุดแข็งอยู่ดี เพราะพรสวรรค์เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หรือก่อร่างมาตั้งแต่ในวัยเด็ก กระทั่งกลายมาเป็นตัวเราที่แตกต่างจากคนอื่น

เครื่องมือที่ 2 ให้ลองเฝ้าสังเกตตัวเองว่า มีกิจกรรมใดบ้างที่เรียนรู้ได้เร็ว เข้าใจ และทำได้ดีกว่าเพื่อนร่วมห้อง หรืออาจคิดบางอย่างออกก่อนที่ผู้สอนจะบอกเสียอีก และสามารถทำกิจกรรมนั้น ๆ ได้อย่างลืมเวลา สิ่งนั้นอาจเป็นพรสวรรค์ของเราก็ได้

เครื่องมือที่ 3 ที่มองไม่เห็นพรสวรรค์ของตัวเอง เพราะไม่ค่อยมีภาษาที่ใช้เรียกมันดี ๆ บุคลิกโดดเด่นของคนหนึ่งมักถูกพูดถึงในเชิงลบ เมื่อมันถูกแสดงออกชัดเจน เช่น ถ้าเป็นคนอัธยาศัยดีมาก อาจถูกเรียกว่าคนที่เจ๊าะแจ๊ะ ถ้าชอบตั้งคำถามก็อาจถูกเรียกว่าพวกขวางโลก เป็นต้น

แต่ที่จริงสามารถเรียกบุคลิกเหล่านี้ด้วยภาษาที่เป็นบวกได้เช่นกัน คนที่เจ๊าะแจ๊ะคือคนมนุษย์สัมพันธ์ดี คนขวางโลกคือนักคิดนักตั้งคำถาม ฉะนั้น หากมีบุคลิกเด่นชัดบางอย่างที่ถูกเพื่อนล้อหรือเรียกขานด้วยคำที่เป็นลบ ต้องตรวจสอบคุณสมบัตินั้นให้ถี่ถ้วน มันอาจเป็นพรสวรรค์ก็ได้

พรสวรรค์คือแบบแผนของความคิด หรือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำซ้ำนั่นเอง คำถามมีอยู่แค่ว่าจะใช้สิ่งที่เกิดซ้ำ ๆ มาประยุกต์ให้เกิดประโยชน์กับชีวิต หรือคนอื่นได้อย่างไร ถ้าทำได้จะเจอกับงานที่เหมาะกับตัวเอง

  1. เป็นทุกอย่าง

พออยากเป็นอะไรอย่างหนึ่งมาก ๆ จะอดเป็นอะไรอีกหลายอย่าง พออยากเป็นอะไรอย่างหนึ่งมาก ๆ จะตีกรอบตัวเองให้ต้องเป็นสิ่งนั้นเท่านั้น แต่ที่จริงเป็นสิ่งนั้นและเป็นอย่างอื่นไปพร้อมกันก็ได้ อาจสนุกดีเพราะได้เป็นอย่างอื่น การได้เป็นอย่างอื่นคือ ได้วิ่งเล่นไปที่นู่นที่นี่ ชีวิตกว้างขวางและน่าสนุก พอไม่อยากเป็นอะไรมากนัก จะได้เป็นทุกอย่าง ไม่ได้เป็นได้ดีทุกอย่างแต่มันคุ้มที่จะได้ทดลองเป็น ในสิ่งที่กว้างไปกว่าสิ่งที่อยากเป็นเท่านั้น

  1. ชนขอบ

เมื่อใช้ชีวิตและทำงานไปถึงจุดหนึ่ง มักชนกำแพงบางอย่าง อีกอย่างอาจเจอโดยไม่ตั้งใจนั่นคือ ชนเข้ากับสิ่งไม่คุ้นชิน ทั้งสองอย่างแสดงให้เห็นขอบของเส้นรอบวง ซึ่งมีอยู่จริง ขนาดคนเก่ง ๆ ฉลาด ๆ ก็ยังมีขอบด้วยกันทุกคน เพราะมนุษย์มีข้อจำกัด ชนกำแพงจึงจะเห็นกำแพง หากมองว่าตัวเองมีข้อจำกัด จะใช้เวลาทบทวนตัวเอง และสั่งสมความรู้ความเข้าใจ เพื่อขยายขอบของตัวเองออกไปให้กว้างกว่าเดิม ก้าวออกไปนอกตัวตนเดิม

  1. ข้ามขอบ

คุณูปการของผู้คนที่เห็นต่างนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันทำให้ได้เห็นขอบหรือข้อจำกัดของตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องดีต่อการปรับปรุงพัฒนา เพียงเปิดใจกว้าง ๆ นี้ อาจเป็นโอกาสดีในการก้าวไปสู่ตัวตนที่มีมิติ ที่ครบถ้วนมากขึ้น เสียงตักเตือนที่สมเหตุสมผล เป็นกระจกสะท้อนความจริง แม้เป็นความจริงที่ไม่อยากมองมันเต็ม ๆ ตา แต่ความจริงประเภทนี้เอง ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาพฤติกรรม ความคิด และจิตวิญญาณ

  1. เบื่อตัวเอง

ความรู้สึกเบื่อตัวเอง เป็นความรู้สึกที่ดีในการเริ่มต้นเรียนรู้ และทำสิ่งที่ต่างจากเดิม มันเป็นยาต้านอาการเบื่อโลก ที่เกิดจากการทำอะไรซ้ำ ๆ พอเบื่อตัวเองแล้วจะเริ่มสนุก ตื่นเต้น กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งในสนามใหม่

  1. ความมั่นใจแค่ไหนดี

ช่วงอันตรายที่สุดคือ ช่วงที่ความมั่นใจในตัวเองพุ่งถึงขีดสูงสุด เป็นช่วงที่บางคนเผลอรู้สึกว่า ความสามารถทั้งหลายที่มีนั้นผุดเกิดจากตัวเอง พูดถึงตัวเองมากขึ้น ขอบคุณคนอื่นน้อยลง น่ากลัวกว่านั้นคือ เริ่มรู้สึกเหนือกว่าคนอื่น ความมั่นใจที่มากล้นจะพาไปในทิศทางที่โดดเดี่ยวขึ้นเรื่อย ๆ มั่นใจเกินไปก็ไม่ดี ไม่มั่นใจเลยก็ไม่ดี มั่นใจว่าตัวเองมีดีสำคัญ ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่า มีเรื่องที่ต้องพึ่งพาคนอื่น เป็นจุดอ่อน เป็นข้อด้อย แต่ช่องโหว่นี้เองที่เปิดโอกาสให้เชื่อมโยง พึ่งพาให้คนอื่นได้เติมเต็ม

  1. ท่าไม้ตาย

ในเมื่อไม่มีใครเพอร์เฟค การตระหนักถึงจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเองจึงสำคัญ อาจไม่ต้องซ่อมจุดอ่อน แต่ดึงจุดแข็งมาใช้ให้เต็มที่ แล้วจะอุดจุดอ่อนของตัวเองได้ หากเป็นคนไม่เก่งการเรียนในรูปแบบ แต่มีทักษะมนุษยสัมพันธ์ดีมากเพื่อนรัก ปรากฏว่าเวลาจะสอบเพื่อนก็เป็นห่วงว่าจะทำได้ไหม จึงอาสามาติวให้จนได้คะแนนดี ให้ลองสังเกตว่าใช้วิธีไหนในการเอาตัวรอด นั่นคือจุดแข็งเรียกสิ่งนี้ว่า ท่าไม้ตาย ซึ่งมีแตกต่างกัน

  1. งานเพื่อบรรลุศักยภาพสูงสุด

จุดมุ่งหมายสูงสุดของคนเราคือ การบรรลุศักยภาพสูงสุดของตัวเอง การงานเป็นหนทางไปสู่การค้นพบศักยภาพสูงสุดที่ว่า จึงมีบางคนเท่านั้นที่รู้สึกดีกับตนเองและงานที่ทำ เคล็ดลับคือเขาไม่ได้ทำงานเพียงเพื่ออยู่รอด หากมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่องานที่เห็นว่าสำคัญ มีคุณค่าและคู่ควรต่อการลงแรง อาจต้องเปลี่ยนวิธีคิด และความทุ่มเทที่มอบให้การงานเดิม เพื่อเติบโตขึ้นทุกวัน มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ อันจะนำไปสู่ความภาคภูมิใจกับตนเอง

  1. Monster

แต่ละคนเติบโตขึ้นมากับมอนสเตอร์ในร่างตัวเอง มันคือส่วนที่ไม่ชอบ กระทั่งเป็นความรู้สึกเหมือนสัตว์ประหลาดที่มาสิงร่าง ไม่อยากนับมันเป็นส่วนหนึ่ง มอนสเตอร์เป็นไปได้หลายอย่าง เช่น อารมณ์โมโหร้ายที่พร้อมเปลี่ยนร่างให้กลายเป็นอีกคน หรือเหตุการณ์ในอดีตที่ตามมาหลอกหลอน น้อยคนที่ไม่มีมอนสเตอร์ในร่าง น้อยคนที่จะพึงพอใจตนเองทุกระเบียบนิ้ว โดยไม่มีส่วนที่ต้องการกำจัด หรือแกล้งทำเป็นลืมมันไป ความทุกข์ยากก็คือสัตว์ประหลาดในร่าง จะโผล่ออกมาในเวลาไม่เป็นใจเสมอ ทำลายสถานการณ์ อารมณ์ ความสัมพันธ์ กระทั่งชีวิตในช่วงเวลานั้น

  1. คุณรักสิ่งไหนมากกว่า

คนเรามี 3 ระดับ คือ

  1. ผู้รักในทรัพย์สมบัติบางคนประกอบกิจขึ้นเพื่อมุ่งเน้นไปที่การสะสมทรัพย์สมบัติเป็นหลัก
  2. ผู้รักในเกียรติ ขณะที่บางคนยอมสละทรัพย์แลกกับการรักษาเกียรติยศ กระทั่งละวางปัญญาในบางสถานการณ์เพื่อรักษาเกียรติยศหรือศักดิ์ศรีของตนไว้
  3. ผู้รักในปัญญา ส่วนบางคนก็ไม่ค่อยสนใจทรัพย์หรือเกียรติยศใด ๆ มุ่งแสวงหาปัญญาเติมสมองของตน

แต่โดยหลักแล้วย่อมมีบางสิ่งที่ให้คุณค่า และขณะที่บางสิ่งก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจ จึงไม่แน่ในระหว่างทางชีวิตจะให้คุณค่าก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน ปัญญา เกียรติ ทรัพย์ ดูเป็นสิ่งมีค่าทั้งหมด แต่เมื่อต้องเลือกแต่ละคนเลือกคนละสิ่ง โดยมากแล้วจะเลือกสิ่งที่ตัวเองให้คุณค่าสูงสุด

  1. เธลีส

เธลีสคือนักปรัชญากรีก เขาว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการรู้จักตัวเอง สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการแนะนำคนอื่น คนเราจะมีชีวิตอย่างมีคุณธรรมและยุติธรรมได้อย่างไร เมื่อไม่ทำในสิ่งที่ติเตียนผู้อื่น

  1. ห่วยบ้างก็ได้

บางวันก็สร้างบรรยากาศที่ดีได้ แต่บางวันรู้สึกว่าไม่ดีเลย บรรยากาศก็มึน ๆ อึน ๆ ผิดหวังกับตัวเอง แต่ก็ทำให้เห็นความเก่ง ๆ ห่วย ๆ ของตัวเอง ซึ่งดีเหมือนกันที่เกิดขึ้น ในความเป็นจริงก็สลับสลับกันแบบนี้แหละคือ ดี ๆ แย่ ๆ เก่ง ๆ ห่วย ๆ แต่ก่อนอาจจะจมอยู่กับความรู้สึกว่า ตัวเองห่วยนาน เมื่อวางแล้วให้อภัยตัวเองได้เร็วขึ้น จงอนุญาตให้ตัวเองมีวันเบื่อ ๆ เซ็ง ๆ ห่วย ๆ บ้างก็ได้

  1. ได้บ้างก็พอแล้ว

เวลาพลังแห้งเหี่ยวแล้ว ได้รับรู้เรื่องราวของคนก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเอง ในมุมเล็ก ๆ อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ มักได้รับพลังทุกที คนตั้งใจทำงานและใส่พลังทั้งหมดลงไปในสิ่งที่เชื่อและชอบ มักทำให้เห็นว่าจำนวนไม่ใช่คำตอบทั้งหมด อาจไม่จำเป็นต้องได้เยอะ แต่ได้บ้างก็หน้าดีใจแล้ว และบ่อยครั้งที่ไม่ใช่มูลค่า แต่เป็นคุณค่าที่ได้รับมา ซึ่งชีวิตก็ต้องการคุณค่าไม่น้อยไปกว่ามูลค่า มูลค่าเอามาซื้อข้าว คุณค่าหล่อเลี้ยงจิตใจ

ผิดพลาด

  1. สนามที่แพ้ได้

อุปสรรคขัดขวางการลงมือทำตัวฉกาจคือความกลัว ความกลัวเป็นผลลัพธ์จากวิวัฒนาการมนุษย์ ต้องมีความกลัวเพื่อมีชีวิตรอด ถ้ากล้าหาญไปเสียทุกสถานการณ์ก็เสี่ยงตาย ความกลัวจึงไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ มีเทคนิคร่วมอย่างหนึ่งที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ได้นั่นก็คือเริ่มให้เล็ก เสียให้น้อย อายแค่พอประมาณ ลองสนามเล็ก ๆ ดูก่อน แล้วจะกล้าทดลองมากขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มเล็ก ๆ ต้นทุนต่ำ ทำเงียบ ๆ ดูก่อน ลองไปเล่นในสนามทดลองดู แพ้ก็ไม่เป็นไรไม่มีอะไรน่ากลัวหรือน่าอาย สนามที่แพ้ได้นี้มีประโยชน์กับชีวิต มันช่วยบ่มเพาะความกล้า สร้างความมั่นใจว่า ความล้มเหลวไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น

  1. บอกตัวเองตอนอายุ 18

ชีวิตคือการเดินดุ่มไปในความไม่สมบูรณ์แบบ คำตอบที่ได้มีทั้งผิดและถูก ชอบและไม่ชอบ ใช่และไม่ใช่ อย่าลืมสนุกกับการเดินทางผ่านเรื่องราวร้ายดีเหล่านี้ โดยไม่ต้องตั้งเป้าหมายชัด ๆ ตายตัวว่า ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น และสนุกที่มันจะเป็นแบบนั้น สนุกกับการออกนอกเส้นทางที่ตัวเองขีดไว้ สะดุดกับการที่ชีวิตไม่ได้มอบสิ่งที่คาดหวังไว้ แต่ให้สิ่งอื่นที่ดีไปอีกแบบ อย่ากดดันตัวเอง บอกกับตัวเองตอน 18 ว่าใจดีกับตัวเองหน่อย ให้โอกาสตัวเองหลงทางบ้าง ช้าบ้าง ผิดพลาดบ้าง ห่วยบ้าง ไม่ต้องรีบมีความสุขกับชีวิต ทุกรสชาติร้องไห้และหัวเราะให้คุ้ม อย่าโอบกอดแต่ความสำเร็จ แล้วรังเกียจความล้มเหลว และสุดท้ายจงวางใจว่า ชีวิตจะพาไปสู่จุดที่เข้าใจมันมากขึ้น มีความสุขง่ายขึ้น

  1. ใช้อดีตแก้ไขอนาคต

ถ้ากลับไปแก้อดีตได้จะแก้อะไร เป็นคำถามยอดฮิตที่มักหยิบขึ้นมาถามกันเล่น ๆ และคนส่วนใหญ่มักตอบว่า จะไม่แก้ไขอะไร เพราะอดีตทำให้เขากลายเป็นอย่างในทุกวันนี้ นอกจากคำตอบเช่นนั้น อดีตยังมีคุณค่าในอีกมุมหนึ่งนั่นคือ มันช่วยทำให้อนาคตไม่เป็นเหมือนที่ผ่านมา อดีตทำให้ผิดน้อยลง ถูกมากขึ้น ตัดสินใจได้ดีขึ้น เช่นนี้แล้วอดีตจึงช่วยสร้างอนาคตที่ดีกว่า หรืออย่างน้อยก็เจ็บปวดน้อยลง ถ้าเข้าใจว่ามันดีต่ออนาคต ก็มีเหตุผลที่จะทนอยู่กับบทเรียนนั้น แล้วบอกกับตัวเองว่ากำลังอยู่ในช่วงเวลาวิจัย

  1. ผิดซ้ำ

ผิดพลาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วควรเรียนรู้ และไม่ปล่อยให้เกิดอีก เช่นกันกับคนแย่ ๆ ที่หลีกเลี่ยงได้ หากไม่หลีกเลี่ยงย่อมไม่อาจเรียกว่าผิดพลาด เพราะเท่ากับเป็นการตัดสินใจของตัวเอง ผิดเพื่อไม่ผิดอีก คบคนผิดเพื่อหลีกเลี่ยง ทำงานผิดเพื่อเรียนรู้ เลือกผิดเพื่อเลือกอย่างอื่น ผิด 1 ครั้งเท่ากับปกติ ผิดซ้ำ ๆ แปลว่าเลือกเอง

  1. กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

แต่ละคนใช้เวลาปรับตัวเข้าหาสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป หรือเวลาในการอยู่กับแผลที่เกิดขึ้นต่างกัน บางแผลก็เร็ว บางแผลก็นาน เมื่อหัวใจเติบใหญ่ขึ้น จะได้เรียนรู้ว่าแผลเป็นไม่ได้น่าเกลียดอะไร เมื่อนั้นจะปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เคยคิดว่าไม่อาจทานทนได้แล้ว ตอนนั้นจะมองย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ฉิบหาย แล้วตระหนักขึ้นมาในใจว่า ปัญญาที่ได้รับมาในครั้งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ โดยไม่ผ่านความสูญเสีย

ทัศนคติต่องาน

  1. มุมมองต่อการงาน

งานที่ทำมี 2 แบบเท่านั้น อยากทำและจำเป็น งานที่อยากทำต่อให้เหนื่อยก็สนุก งานที่จำเป็นต่อให้ไม่สนุกยังไงก็ต้องทำ พ้นเกณฑ์สองข้อนี้ไปมักไม่ทำ เพราะเมื่อเหนื่อยแล้วตอบตัวเองไม่ได้ว่า ทำไมต้องทำ จะหมดแรง งานจะออกมาแบบขอไปที ไม่ดีต่อตัวเองและเพื่อนร่วมงาน เลือกงานที่ได้เรียนรู้หรือพัฒนาทักษะไปด้วย แบ่งงานเป็นแปลงเก็บเกี่ยวกับแปลงทดลอง มีงานที่ทำจบด้วยตัวเองกับงานที่ร่วมทำกับคนอื่น บางงานไม่ได้ผลตอบแทนเป็นรายได้ ทดลองได้ไม่เวิร์คก็เลิก การทำงานมีผลอย่างมากต่อชีวิต งานกินเวลาส่วนใหญ่ของชีวิต หากมีความสุขกับงานย่อมมีความสุขกับชีวิตด้วย

  1. เคล็ดลับคนงานล้นมือ

โอกาสเหมือนการยิงประตู บางคนใช้โอกาสเดียวทำประตู แบบนี้เรียกใช้โอกาสไม่เปลือง ทำงานด้วยครั้งเดียวประทับใจ ความประทับใจนี้ส่งผลต่อเนื่องมหาศาล อาจมีงานแบบนี้อีกจะนึกถึงเขาเป็นคนแรก ไม่เพียงเท่านั้นถ้าใครให้ช่วยก็แนะนำคนทำงานคนนี้ให้ ลูกค้า 1 คนเหมือนกิ่งไม้ แยกย่อยเป็นกิ่งก้านเล็ก ๆ อีกมากมาย การทำงานแย่หรือทำตัวแย่เท่ากับหักกิ่งไม้นั้นทิ้ง ขณะที่ถ้าทำดีก็รอดอกผลแตกยอดออกมาจากกิ่งนั้นอีกมากมาย คนใช้โอกาสไม่เปลืองย่อมได้รับโอกาสใหม่อีกและอีก ทุกงานจึงสำคัญ พลาดหนึ่งครั้งเท่ากับพลาดเป็น 10 ซึ่ง 10 โอกาสที่หายไปจากความชุ่ยนั้น จะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ด้วยซ้ำ

  1. ลูกโซ่แห่งโอกาส

งาน 1 ชิ้นไม่จบแค่ 1 หากดีมันจะงอกเป็น 2 เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 เพราะลูกค้าซื้อชิ้นหนึ่งไปจะบอกต่อความประทับใจ เป็นได้หลายแบบ เก่ง ถูก ประหยัด ตั้งใจ ใส่ใจ ประณีต และอะไรอีกมากมายที่เป็นคุณค่า โอกาสเกิดจากไม่ปล่อยโอกาส ไม่ละเลยงานเล็กงานน้อย เพราะงานเล็กพาไปสู่งานใหญ่ขึ้น งานแต่ละชิ้นจึงสำคัญ เป็นขั้นบันไดของสิ่งที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ บางงานเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี กำไรอาจไม่เยอะแต่เป็นโอกาสได้แสดงฝีมือ ถ้าทำได้ดีอาจได้สิ่งมีค่าไม่แพ้กำไรนั่นคือการบอกต่อจากลูกค้า หรือเพื่อนร่วมงานซึ่งพาไปต่อได้ไกลขึ้นอีก

  1. จบในตัวเอง

ในงานก่อสร้างครั้งหนึ่งนายช่างต้องการประแจ จึงสั่งลูกน้องที่อยู่แถวนั้นว่า ไปเอาประแจมาให้หน่อย ลูกน้องวิ่งหายไปนาน จากนั้นจึงกระหืดกระหอบมาพร้อมกับประแจอันใหญ่ นายช่างเห็นเข้าก็หงุดหงิดมาก แต่ครั้นนายช่างคิดได้ว่า ตอนแรกไม่ได้ระบุเองว่าให้ไปหยิบประแจเบอร์อะไร จากที่ไหน คราวนี้เลยบอกใหม่ว่า ต้องการขนาดเท่าไหร่ วางอยู่ตรงไหนของห้อง เพียงแป๊บเดียวลูกน้องก็หยิบสิ่งที่ถูกต้องมาให้ได้ ทุกคนช่วยทำหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อย ดูแลงานของตัวเองให้จบในตัวเอง คนอื่นก็จะมีชีวิตที่ดี ทำงานง่ายขึ้นด้วย หากทุกคนทำหน้าที่ตัวเองจบในคราวเดียว ละเอียดถี่ถ้วนกับการงาน ทุกอย่างจะราบรื่น ทุกคนจะมีชีวิตที่ดี งานจะมีประสิทธิภาพ

  1. ค่าตอบแทน

ถ้าพูดถึงค่าตอบแทนจากการทำงาน คนจำนวนมากคงคิดถึงเงิน แต่ที่จริงงานแต่ละชิ้นมีค่าตอบแทนหน้าตาแตกต่างกัน บางทีทรงพลังกว่าเงินด้วยซ้ำ อาทิ ประสบการณ์ ความรู้ ทักษะที่ได้รับ ความสัมพันธ์ มิตรภาพ ความสบายใจ ความภูมิใจ รอยยิ้มของคนอื่น ความยอมรับของเพื่อนร่วมงาน ความสนุก ความสุข ความรู้สึกคุ้มค่า เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบในการตัดสินใจ คู่ขนานไปกับค่าจ้าง บางงานมีสิ่งเหล่านี้เยอะเงินอาจน้อยลงได้

  1. ราคาของประสบการณ์

คนประสบการณ์สูงเคยผิดหลายหน เขาจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับความผิดพลาดนั้นมามาก จึงไม่ผิดง่าย ๆ อีก คนเก่งจึงค่าตัวสูง แต่เวลาได้คุยกับคนเก่ง เหมือนได้อ่านหนังสือดี ๆ สักเล่ม เวลาร่วมงานกับคนเก่ง เหมือนเจอครูดี ๆ สักคน เวลาได้ปรึกษาคนเก่ง เหมือนได้พบคัมภีร์เฉลยข้อสอบ มืออาชีพคือคนผ่านประสบการณ์มามากและหลากหลาย มองเผิน ๆ มืออาชีพอาจค่าตัวสูงกว่า แต่หากลบส่วนได้ส่วนเสียแล้ว มืออาชีพมักมอบมูลค่าที่มากกว่าค่าตัวของเขา บางครั้งความเสียหายจากคนไม่มืออาชีพหรือด้อยประสบการณ์นั้น มหาศาลจนก่อความพินาศได้เลยทีเดียว

  1. ความรับผิดชอบยิบย่อยของวิชาชีพ

แต่ละอาชีพการงานมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งดูเผิน ๆ เหมือนไม่เกี่ยวข้องเสียทีเดียว แต่ที่จริงเกี่ยว อย่างการเป็นผู้ดำเนินรายการนั้น ต้องการเสียงที่ดีอาจไม่ต้องทุ่มนุ่มลึก แต่ก็ควรเปล่งได้เต็มเสียง ไม่แหบไม่สะดุดไม่ไอ การดูแลเสียงจึงเป็นส่วนหนึ่งของวิชาชีพด้วยเหมือนกัน นักร้องหลายคนดื่มน้ำอุณหภูมิห้อง แทนที่จะใส่น้ำแข็งเพื่อรักษาเสียงตัวเองไว้สำหรับร้องเพลง แต่ละอาชีพมีความรับผิดชอบยิบย่อยแบบนี้แตกต่างกันไป เป็นรายละเอียดสำคัญ อันนำมาซึ่งการทำได้ดีของคนคนนั้นคือ ความใส่ใจอันนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

  1. ผู้ไม่เชื่อใน Work life balance

ความรักในการงานนั้น เมื่องานที่ทำตอบสนองความต้องการจากภายใน จะไม่นั่งดูเข็มนาฬิกาว่า เมื่อไหร่จะเลิกงาน การงานเช่นนี้สามารถกลายมาเป็นสิ่งยืนยันตัวตน กลายมาเป็นสิ่งสร้างสมดุล และภูมิฟักจิตวิญญาณได้ด้วยซ้ำ แต่มันต้องการการทำงานหนักเพื่อไปถึงจุดนั้น ช่วงอายุ 20 ถึง 30 ปีถ้าต้องการเป็นที่จดจำ เชี่ยวชาญในอาชีพต้องทำงานหนัก ถ้าทำงานในช่วง 20 ถึง 30 ปีแล้วรู้สึกต้องการ work life balance อาจเลือกอาชีพผิดก็ได้

  1. เอ่ยปากขอความช่วยเหลือ

การเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ เป็นสัญญาณของความเป็นผู้นำ ไม่ใช่ความอ่อนแอ โดยให้เหตุผลว่า หากเป็นพนักงานแล้วเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ หรือคำปรึกษาจากหัวหน้า หรือเพื่อนร่วมทีมย่อมหมายความว่า มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จอย่างดีที่สุด ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของพนักงานหรือผู้นำ สิ่งสำคัญที่สุดคือให้ความสำคัญกับเป้าหมายร่วมของทุกคน ไม่ใช่หมกมุ่นกับความดูดีของตัวเอง เช่นนี้แล้วการเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ กลับกลายเป็นการกระทำที่สะท้อนความตั้งใจ ความฉลาด ความกล้าหาญ เสียด้วยซ้ำ

  1. เครดิตใครคิดใครทำ

ทุกคนควรภูมิใจได้ว่านี่คือผลงานของพวกเรา ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่ง มิตรภาพเกิดขึ้น ความอิจฉาริษยาไม่มี กล้าคิดกล้าเสนอไอเดียกันอีกเรื่อย ๆ ในทางตรงกันข้าม เวลาที่ใครสักคนอยากได้เครดิต ชี้นิ้วไปที่ความคิดเพื่อนว่าไม่ดี แล้วกล่าวถึงตนเองว่าเป็นคนคิดสิ่งนี้ขึ้นมา แน่นอนสิ่งที่ได้ในทันทีคือเครดิตเจ้าของไอเดีย แต่สิ่งที่เสียในทันทีคือเครดิตของการเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ใครก็อยากทำงานกับคนที่ให้เกียรติกัน การผายมือให้เครดิตคนอื่นจึงไม่ใช่มารยาท แต่มันคือการบอกความจริงให้คนอื่นรับทราบ คนหิวเครดิตจึงมักเสียเครดิต มากกว่านั้นเขาจะเสียเพื่อนร่วมงานและทีมที่ดีไป

  1. เหตุผลที่คนไม่ลาออก

สิ่งหนึ่งที่หลายคนเห็นตรงกันว่า สำคัญคือกลับบ้านแล้วนอนหลับไหม น่าสนใจดีที่จะประเมินความดีงามของงานที่ทำว่า ทำแล้วนอนหลับดีไหม น่าจะมีหลายองค์ประกอบที่ทำให้เดินออกจากที่ทำงาน เดินทางกลับบ้านแล้วหลับโดยไม่ต้องเก็บเรื่องหนักใจไปคิด เหตุผลที่คนไม่ลาออกพอจะประมวลได้มีอยู่ 3 ข้อคือ

  1. ได้เรียนรู้พัฒนาตัวเองเก่งขึ้นทุกวัน
  2. ทีมดี ทัศนคติดี เก่งทำงานด้วยแล้วสนุก
  3. รายรับดีสมฝีมือ

ซึ่งวัฒนธรรมการทำงานที่ดีคือ ได้เรียน ได้ทำ ได้มันส์ ได้ตังค์ และได้ภูมิใจ

  1. ถ้าไม่ทำงานจะทำอะไร

คนจำนวนหนึ่งอาจถามตัวเองอย่างครุ่นคิดว่า ถ้าไม่ทำงานแล้วจะทำอะไร ขณะที่คนอีกจำนวนหนึ่งถามคำถามนี้ ตอนที่ท้องร้องคิ้วขมวดด้วยความเครียด ไม่มีเวลาครุ่นคิดความหมายลึกซึ้งใด ๆ ทั้งสิ้น มีปัญหาสลับซับซ้อนอยู่มากมาย ไหนจะเป็นการวางแผนชีวิตและการเงิน นิสัยเก็บออมที่ผ่านมา ไหนจะโครงสร้างของโอกาสที่ไม่เท่าเทียม การศึกษา การเข้าถึงเทคโนโลยี เป็นต้น การที่หนึ่งคนมีโอกาสเลือกว่าจะทำอะไรจึงไม่ใช่เรื่องของประเทศเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับระบบและโครงสร้างในสังคมด้วย ระบบโครงสร้างสังคมต้องเกลี่ยโอกาส และเกื้อกูลกันมากกว่ารวบความรวย และความได้เปรียบไว้ที่คนกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งอันที่จริงงานกับชีวิตก็คือเนื้อเดียวกัน ต้องการมันเพื่อความอิ่มท้องและอิ่มใจ

ความสำเร็จ

  1. อะไรทำให้บิลเกตส์รวย แล้วอะไรทำให้เพื่อนเขาไม่รวย

ในชีวิตนั้นมีปัจจัยควบคุมไม่ได้ ที่มีผลมหาศาลกับชีวิตเกิดขึ้นเสมอ บ่อยครั้งที่มันสร้างผลลัพธ์ได้มากกว่าสิ่งที่ตั้งใจทำเสียอีก ความสำเร็จของแต่ละคนมีองค์ประกอบซับซ้อน ลอกเลียนกันยาก อาจเรียนรู้บางอย่างได้ แต่ต้องตระหนักในรายละเอียดของโชค และความเสี่ยงที่แตกต่างกันด้วย หากใครกำลังประสบความสำเร็จอยู่ ก็น่าคิดว่าโชคมีส่วนสักกี่เปอร์เซ็นต์ และถ้ายังไปไม่ถึงเป้า ก็อภัยตัวเองได้ เมื่อมองเห็นว่ามีความเสี่ยงมากมาย ที่เป็นตัวแปรระหว่างทาง แต่ละคนมีโชคและความเสี่ยงเฉพาะตัว ปัจจัยควบคุมไม่ได้นั้นมีผลต่อชีวิตมากกว่าที่คิด เมื่อมองเห็นมันจะไม่หยิ่งผยองว่าเก่ง และไม่โทษตัวเองว่าห่วยไปเสียทั้งหมด

  1. ชอบตัวเอง

ในชีวิตนี้จะมีเวลาที่ทำได้และเวลาที่ล้มเหลว แต่ไม่ว่าการทำได้หรือล้มเหลว ก็ไม่ใช่ตัววัดความสำเร็จทั้งนั้น ตัววัดความสำเร็จที่แท้จริงคือ สิ่งที่คิดเกี่ยวกับสิ่งที่ทำ ขีดเส้นใต้ชัด ๆ ด้วยวิธีพูดอีกแบบ วิธีที่จะมีความสุขคือ ชอบตัวเอง และวิธีชอบตัวเองคือ ทำเฉพาะสิ่งที่ทำให้ภูมิใจ ในบางช่วงเวลาอาจให้ความสำคัญกับสำเร็จหรือล้มเหลว แต่เมื่อชีวิตผ่านไปถึงจุดหนึ่ง สิ่งที่มองเห็นชัดกว่า 2 คำนั้นคือ คุณค่าของความพยายาม ความพยายามอย่างถึงที่สุดในช่วงเวลายากลำบากที่สุดนี่เอง ที่ทำให้ภาคภูมิใจกับตัวเอง

  1. องค์ประกอบความสำเร็จ

ถ้าอายุ 30 ปีในวันนี้ สิ่งที่จะบอกตัวเองให้ทำคืออะไร เพื่อทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่เติบโต และประสบความสำเร็จ ซึ่งถ้ามีครบทุกอย่างนี้ประสบความสำเร็จร่ำรวยแน่นอน โดยเริ่มจากรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร หาคนเก่งมาร่วมทีม เดินทางเสาะหาไอเดียใหม่ ๆ สะสมมิตรที่ดี ทำได้ทั้งหมดนี้สำเร็จแน่นอน

  1. บทเรียนจากโควิด

คุณตันบอกว่ามีบทเรียนที่ได้จากโควิด 19 คือ

  1. ต้องมีเงินออมอยู่เสมอ โควิดทำให้ได้เห็นว่าชีวิตไม่แน่นอน จึงควรมีเงินออมติดกระเป๋าไว้เสมอ
  2. หารายได้จากหลายทาง การทำธุรกิจหรืองานการเพียงอย่างเดียวนั้นเสี่ยงเกินไป แหล่งรายได้อาจหายวับไปเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน
  3. อย่าปฏิเสธเทคโนโลยี โควิดเร่งให้ทุกสิ่งอย่างเติบโตในโลกออนไลน์ คนที่เคยไม่คล่องกลายเป็นคล่อง

4.แยกทรัพย์สินกับภาระให้ออก ตอนนี้อาจมีข้าวของราคาถูกหรือลดกระหน่ำ ถ้าซื้อแล้วสร้างรายได้คือทรัพย์สิน แต่ถ้าซื้อมาแล้วไม่ก่อรายได้นั่นคือภาระ

5.เกิดก็เกิด ตายก็ตาย เมื่อลองทำธุรกิจหรือลองทำงานที่หลากหลาย ต้องยอมรับว่ามีทั้งสำเร็จและล้มเหลว

6.อย่าสู้ตายให้สู้บ้างหลบบ้าง ในวิกฤตใหญ่ขนาดนี้ลมหายใจของธุรกิจการงานเป็นเรื่องสำคัญ

  1. ทุกอย่างไม่ว่าอะไรมันจะผ่านไปแน่ ๆ ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์หนักหนาขึ้น ถึงจุดหนึ่งก็ผ่านไป สิ่งต่าง ๆ กลับเข้ารูปเข้ารอย โควิดก็เช่นกัน

สุดท้ายโควิดก็เป็นอีกเรื่องที่ผ่านไป เพียงต้องประคองตัวเองให้อยู่ถึงวันนั้น ปรับตัวตามไปด้วยเสมอ แล้วจะมีโอกาสใหม่ ๆ ให้สนุกกับมัน ถ้าผ่านไปได้จะเข้มแข็งทั้งธุรกิจและจิตใจ

  1. Celebrate, don’t be late

ความสำเร็จของคนอื่น ไม่เกี่ยวกับความสุขของเรา ความสำเร็จของเรา ก็ไม่ต้องวางเทียบกับคนอื่นแต่อย่างใด บางทีพอเผลอเทียบแล้วรู้สึกว่ามันเล็กน้อยเหลือเกิน สามารถรู้สึกได้ว่ามันดีงาม และดีพอต่อการชื่นชมแล้ว คนอื่นอาจทำได้ดีกว่า ทว่าสิ่งนั้นไม่ควรทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง หรือสุขน้อยลง ภูมิใจน้อยลง อาจจะเกี่ยวกับสุขของเรา น่าจะเป็นความรู้สึกชื่นชมที่เห็นเขาทำได้ดี เก็บแบบอย่างบางอย่างเป็นแรงบันดาลใจและทำตาม

  1. The last dance

บทเรียนจากสารคดีที่เล่าเรื่องราวความสำเร็จในยุคทองของทีมบาสเกตบอลเอ็นบีเอ ชิคาโกบูลส์ที่นำมาปรับใช้ได้กับเกมชีวิต

  1. คนอยากชนะเท่านั้นที่จะชนะ และต้องอยากมาก ๆ ด้วย อยากมากกว่าคนที่จะเอาชนะเขา แต่อยากคนเดียวไม่ได้ ต้องกระตุ้นทีมให้อยากด้วยกัน
  2. อย่ายอมแพ้จนกว่าเสียงนกหวีดดัง ต่อให้จบเกมแล้วก็อย่ายอมแพ้เกมหน้ายังมี ต่อให้จบฤดูกาลแล้วก็อย่ายอมปีหน้ายังมี
  3. พลังของความอยากสำเร็จ ทำให้คนนั้นเป็นผู้นำโดยอัตโนมัติ เพราะพลังมันพวยพุ่งออกมา กระเด็นไปโดนคนอื่น จะมีคนที่ชอบและไม่ชอบ ความอยากสำเร็จมีทั้งแสงสว่างและเงามืด
  4. เคารพในสิ่งที่คนอื่นเป็น รู้นิสัย ยอมรับ ดึงศักยภาพของเขาออกมา โลกส่วนตัวก็เรื่องหนึ่ง โลกการงานก็เรื่องหนึ่ง แยกให้ได้
  5. ถ้าทำในสิ่งที่รักสุขใจ มันจะเป็นเรื่องเดียวกับชีวิต สมหวัง ผิดหวัง มิตรภาพ บทเรียน ความหมายของชีวิต
  6. คู่ต่อสู้ที่เก่งกาจคือ ขวากหนามที่ต้องการ ความยากทำให้ชัยชนะรสชาติดีขึ้น ยิ่งเก่งคู่แข่งก็จะยิ่งเก่งขึ้นด้วย ในสังเวียนการแข่งขันต่างก็ดึงศักยภาพสูงสุดของกันและกันเสมอ
  7. อย่าลืมผายมือให้เพื่อนร่วมทีมเมื่อสำเร็จ ให้เกียรติกันและกัน เก็บความดีความชอบไว้กับตัวเอง มีแต่จะทำให้ลดน้อยลง ผายมือชมเชยคนอื่นกลับทำให้มีมากขึ้น
  8. What time is it? game time! ไม่สำคัญว่าเวลาไหน แต่นี่คือเวลาลงไปเล่นให้เต็มที่
  9. การนั่งมองอดีตเข้มข้นนับเป็นอาหารมื้ออร่อยของความทรงจำ
  10. การเล่าขานตำนานตัวเองคือ ชีวิตที่มีความหมาย ทุกคนล้วนมีตำนานของตัวเอง และโมเม้นมหัศจรรย์ส่วนตัวอันน่าภาคภูมิใจ

51. ปรัชญารักบี้

ปีเตอร์ เอฟ. ดรักเกอร์ เคยพูดถึงลักษณะเฉพาะของกีฬารักบี้ ที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ 4 ประการ คือ

  1. ทั้งทีมทำเพื่อ 1 คน รักบี้เป็นกีฬาที่คนทั้งทีม ทุกตำแหน่งทุ่มเทเพื่อสร้างโอกาสให้ 1 คนได้วิ่งไปวางไทร์ ถามว่าคนไหนไม่มีใครรู้ อาจเป็นใครก็ได้
  2. คนทำงานหนักสุดไม่ค่อยมีใครเห็น แต่คนในทีมให้เกียรติ ตำแหน่งที่อยู่ในสกรัมอย่างกองหน้า ต้องชนต้องงัดกันอย่างหนัก ไม่โดดเด่นเหมือนตำแหน่งที่อยู่ในไลน์วิ่งอย่างอินไซด์
  3. ไม่สรรเสริญฮีโร่ เวลาวางไทร์ได้คนที่ทำแต้มได้ จะไม่วิ่งดีใจทำท่าอะไรมากมาย อย่างมากก็ตบหลังตบไหล่แสดงความยินดีกัน
  4. ผู้ชนะวิ่งมาตั้งแถวรับผู้แพ้ เมื่อจบการแข่งขันผู้ชนะจะรีบวิ่งมาตั้งแถวยืนปรบมือให้ทีมแพ้ ถือเป็นการให้เกียรติกันที่สู้อย่างสมศักดิ์ศรี

52. ผู้สนใจเรื่องคนอื่น

คำว่าเรื่องของคนอื่นไม่น่าหมายถึงเรื่องส่วนรวม แต่หมายถึงไปหมกมุ่นสนใจในธุระปะปังของเขา เขาจะกินอะไร แต่งตัวยังไง มีแฟนเป็นใคร อะไรแบบนั้น เวลาเป็นทรัพยากรจำกัด ทุกครั้งที่ใช้เวลาไปกับอย่างอื่น ก็ลดทอนเวลาที่จะใช้ไปกับสิ่งที่อยากทำ หรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง คนที่โฟกัสกับจุดหมายของตัวเอง มักใช้เวลากับเพื่อนที่ตัวเองสนใจ พัฒนาตัวเอง หรือการงานที่ทำ ยิ่งทำก็ยิ่งรู้ว่าต้องการเวลาอีกมาก กว่าจะทำได้ดีอย่างที่ฝัน

  1. จุดจบนักฝัน

ทุกคนมักโฟกัสไปที่สิ่งที่ต้องการ มีฝันสวยหรู หลายคนบอกเล่าความฝันนั้นให้คนอื่นฟัง  มีสิ่งที่ต้องการมากมายหลายอย่างและรู้ชัด แต่ทุกความฝันยังมีอีกองค์ประกอบหนึ่งนั่นคือ สิ่งที่ต้องทำ ส่วนนี้เองที่ผู้คนส่วนใหญ่สนใจน้อยเกินควร เหมือนรู้ว่าอยากเดินทางไปไหน แต่ไม่สนใจว่าต้องเตรียมอุปกรณ์ เตรียมตัว หรือเดินทางไปด้วยวิธีใด ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการนั่งพูดถึงจุดหมาย ออกแรงน้อยกว่าการก้าวเท้าออกเดินทางจริง ๆ การได้เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกันกับจุดหมายซึ่งได้ให้คุณค่า ทำให้ตื่นมาอย่างมีพลัง ผสานความฝันกับความจริงเป็นเนื้อเดียวกัน ชีวิตที่มีพลังอาจสำคัญกว่าความสำเร็จด้วยซ้ำไป

  1. ปิดฉากความสำเร็จ

ไม่มีความสำเร็จไหนยั่งยืน จึงไม่ควรลากยาว คนเราตื่นเต้นกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง ถ้าตอกย้ำความสำเร็จเดิมซ้ำ ๆ จะไม่สำเร็จเท่าเดิมแล้ว ต่อให้เป็นกิจกรรมที่ดีก็ต้องเลิก คิดใหม่ และปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จะทำอะไรก็ตามต้องมีจุดหยุดที่ชัดเจนว่า สิ่งนี้จะไปจบที่ตรงไหน ตอนไหน และจะได้ผลลัพธ์เป็นอะไร การลากต่อเนื่องยาวนานกลับลดแรงจูงใจลง ความสำเร็จอาจพาไปสู่ยอดคลื่น แต่ไม่มีคลื่นลูกไหนที่จะสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่ม้วนตัวลง เมื่อขึ้นไปถึงจุดสูงสุดถัดจากนั้นก็จะม้วนลง หน้าที่ของเราคือหาคลื่นลูกใหม่ในตัวเอง หรือที่ภาษาการตลาดเรียกกันว่า S-Curve ใหม่ ความสำเร็จไม่ได้มีไว้ทำซ้ำ เมื่อทำสำเร็จครั้งต่อไปต้องรู้จักวิชาความสำเร็จเดิมด้วย

  1. ยอดเขากับที่ราบสูง

ที่ราบสูงต่างจากยอดเขาตรงที่การตั้งเป้า ไม่ได้มีเป้าเดียวแคบ ๆ ชัด ๆ แต่ยังเปิดพื้นที่ให้อย่างอื่นด้วย ถ้ายอดเขาคือยอดขายถล่มทลาย ที่ราบสูงอาจจะเป็นยอดขายดีกว่าเมื่อวาน การมุ่งขึ้นสู่ที่ราบสูงจึงมีเรื่องให้ดีใจและพอใจง่ายกว่า แน่นอนว่ามิได้หมายถึงการไม่ทุ่มเทปีนไปสู่จุดหมายที่มีค่า ทว่าคำตอบอาจไม่ใช่สูงสุด หากคือสูงค่า ซึ่งอาจไม่ใช่ยอดเขาแต่คือที่ราบสูง

เผชิญปัญหา

  1. ปัญหา

งานคือการแก้ปัญหา ปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของงาน เหมือนเมฆดำเป็นส่วนหนึ่งของท้องฟ้า พื้นความคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งและเป็นธรรมดา สร้างความรู้สึกที่แตกต่างเวลาเจอปัญหา เมื่อเจอปัญหาบางคนรู้สึกแย่มาก ขณะที่บางคนรู้สึกว่าก็แก้กันไป แก้เท่าที่แก้ได้ เก่งเท่าที่เก่งในวันนี้ ค่อย ๆ เก่งขึ้น แก้ปัญหาได้ดีขึ้น ใจเย็น ๆ เพียงเข้าใจว่าปัญหาเป็นส่วนหนึ่งของงาน เหมือนบันไดเป็นส่วนหนึ่งของการขึ้นชั้น 2 ขึ้นไหวก็ขึ้น ไม่ไหวก็พัก พอไหวก็ไปต่อ ไม่ควรสร้างปัญหาให้ตัวเองด้วยการพยายามแก้ทุกปัญหา หรือคาดหวังว่าชีวิตและการงานต้องปราศจากปัญหา เพราะนั่นอาจเป็นปัญหาใหญ่

  1. ปัญหา 2 ชั้น

คนเราส่วนใหญ่มักเจอปัญหาถึง 2 ชั้น คือ

  1. คือตัวปัญหาเอง
  2. คือความคิดว่าเราไม่ควรมีปัญหา

ปัญหาแรกนี่เลี่ยงไม่ได้ แต่ปัญหา 2 น่าจะฝึกวางใจใหม่ได้ นั่นคือเตรียมใจไว้เลยว่า ชีวิตคือการเผชิญปัญหาอยู่แล้ว ความเชื่อว่าจะดำเนินชีวิตอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำการงานราบรื่นไร้อุปสรรค ชีวิตรักสมบูรณ์ไร้ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นการวาดฝันที่เกินจริง ส่วนหนึ่งก็กดดันตัวเอง อีกส่วนก็เป็นความคาดหวังที่ง่ายต่อการผิดหวัง เวลาเผชิญปัญหาน่าสำรวจว่าเจออยู่กี่ชั้น ถ้าคำตอบคือ 2 ชั้น หากลงจากชั้น 2 มาได้ก่อน อาจทำให้แก้ปัญหาชั้น 1 ได้ดีกว่าเดิม

  1. นอตที่หายไป

มีเรื่องเล่าว่าวิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ท่านหนึ่ง ขับรถไปทำงานที่ชานเมือง เมื่องานเสร็จเขาเดินมาที่รถแล้วพบว่า ยางล้อรถถูกมือดีงัดไป 1 เส้น เขาไปท้ายรถเพื่อนำยางสำรองมาใส่ ปัญหาคือน็อตทั้ง 4 ตัวที่ล้อก็หายไปด้วย ระหว่างนั้นเองมีเด็กน้อยคนหนึ่งเดินผ่านมาแล้วเอ่ยถาม วิศวกรตอบแบบขอไปทีว่ากำลังหาทางใส่ยางล้อรถอยู่ แต่น็อตมันหายไปหมดแล้ว เด็กน้อยเอ่ยออกมาว่า ก็แค่ถอดน็อตในล้อที่เหลืออีก 3 ล้อมาล้อละตัวก็ใส่ยางสำรองได้แล้ว แน่นอนว่าน็อต 3 ตัวไม่ได้ปลอดภัย แต่มันก็ทำให้วิศวกรคนนั้นขับเข้าเมืองใกล้ ๆ เพื่อไปใส่น็อตเพิ่มได้ บางครั้งสิ่งบังตามากที่สุดในการแก้ปัญหาคือ ความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ซึ่งกลายเป็นกรอบคิดตายตัว ทำให้คิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นเท่านั้น บางทีต้องลองเปลี่ยนวิธีมองปัญหา ด้วยสายตาของผู้ไม่รู้หรือผู้ไร้ประสบการณ์ดูบ้าง

  1. เห็นทุกอย่างเป็นตะปู

เวลาขบโจทย์ไม่ออก อาจไม่ใช่เพราะโจทย์นั้นยาก แต่เป็นเพราะอุปกรณ์ทางความคิดมีจำกัด ยิ่งใช้ค้อนบ่อยก็ยิ่งชาชิน มองการแก้ปัญหาด้วยวิธีเดิม ๆ เท่านั้น เมื่อพบปัญหาที่แก้ไม่ได้ แทนที่จะมองแค่ตัวปัญหา น่าลองหันกลับมามองค้อนในมือตัวเองว่า ใช้วิธีการเดิมแบบเดียวเท่านั้นหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นคงได้เวลาแล้ว ที่จะสะสมอุปกรณ์ทางความคิดเพิ่มเติม รวมถึงการเอ่ยปากขอความคิดที่แตกต่างไป จากคนที่ไม่ชำนาญการใช้ค้อน และไม่ได้มองทุกอย่างเป็นตะปู

  1. ตัดสินใจผิด

คุณบรรยง พงพาณิชย์กล่าวว่า ไม่มีการตัดสินใจที่ผิด เมื่อตัดสินใจแล้วไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง ก็ดำเนินการต่อไป สุดท้ายแล้วก็จะไปถึงทางแพ่งที่ต้องตัดสินใจอีก ไปสู่การตัดสินใจครั้งใหม่ นั่นทำให้ได้ตัดสินใจอีกครั้ง แม่น้ำไม่เคยไหลผิดทาง มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่อยากให้แม่น้ำไปในทิศทางที่ต้องการ หากชีวิตเหมือนแม่น้ำ มองกันยาว ๆ บางช่วงอาจนึกว่าผิดทางไป แต่ถ้าไหลต่อไปมันก็มีทางไปต่อ และไปต่ออีกเรื่อย ๆ

  1. เมื่อสับสนให้ถอยออกมามองไกล

ในยามสับสนไม่รู้ว่าควรตัดสินใจอย่างไร ให้ลองถอยออกมามองจากระยะไกลขึ้น แล้วจะได้คำตอบว่าควรทำอะไร ในมุมมองที่กว้างขึ้น จะตัดสินใจทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ เวลาเป็นทุกข์และสับสน เมื่อได้นั่งนิ่ง ๆ อยู่กับธรรมชาติที่กว้างใหญ่และโอบอุ้ม จะรู้สึกผ่อนคลายลง อาจเป็นเพราะคิดถึงตัวเองน้อยลง มองเห็นความเชื่อมโยงกับสิ่งต่าง ๆ รู้สึกว่ายังมีอะไรอีกมากมายที่ดำเนินไป แม้ไม่สามารถกำหนดทุกสิ่งได้ แต่สิ่งต่าง ๆ จะเกื้อหนุนกันไปในทิศทางที่ควรเป็น ความทุกข์เกิดจากการที่พยายามให้สิ่งนั้นเป็นอย่างที่คิดเท่านั้น

  1. วรยุทธ์เมื่อต้องประมือ

ในชีวิตจะมีคนที่ต้องปะทะด้วย ไม่ได้ผิดที่ใคร อาจเป็นเคมี ประวัติส่วนตัว ภูมิหลัง หรืออะไรที่หล่อหลอมมาคนละแบบ ทำให้คิดคนละอย่าง หรืออาจเป็นนิสัย บุคลิก พฤติกรรมบางอย่างที่ขบเหลี่ยมกันจนต้องปะทะ แน่นอนหนีได้หนี เลี่ยงได้เลี่ยง เลิกได้เลิก แต่ก็มีบางกรณีที่หนีไม่ได้ เพราะติดล็อคเงื่อนไขจำเป็น มีคาถาอยู่ 3 ข้อคือ

  1. เอาที่สบายใจ เรื่องไม่สลักสำคัญไม่รบด้วย ผ่านได้ผ่าน
  2. แปลงร่างเป็นหิน คำพูดและอารมณ์จะหลุดร่วงอยู่รอบตัวเขา ขอสงวนพลังภายในไว้ไม่เก็บอารมณ์มาเข้าตัว
  3. ขอโทษและขอบคุณ เวลาออกอาวุธนี้เขาจะงง ๆ มึน ๆ ไป แต่พอตั้งตัวได้ก็จะท้ารบต่อ

หนึ่งท่าไม้ตายสำคัญคือ วางให้เร็ว เก็บแรงไว้ทำเรื่องสำคัญดีกว่า

  1. ยิ่งนานยิ่งหนัก

อาจารย์ในมหาวิทยาลัยท่านหนึ่ง ที่เปิดคลาสด้วยการยกแก้วน้ำที่มีน้ำเกือบเต็มแก้วขึ้นมา แล้วถามว่าคิดว่าน้ำในแก้วหนักเท่าไหร่ คำตอบหลากหลาย 100 กรัม 200 กรัม 300 กรัม อาจารย์ฟังแล้วพูดต่อว่า สิ่งสำคัญไม่ใช่น้ำหนักของน้ำในแก้ว แต่มันอยู่ที่ว่าตัวเราถือนานแค่ไหน ถ้าถือนาทีเดียวก็ไม่หนัก แต่ถ้าถือไว้สักชั่วโมงก็จะปวดแขน และรู้สึกว่าแก้วใบเดิมหนักขึ้น ปัญหาต่าง ๆ ก็เช่นกัน การคิดวนเนิ่นนาน การถือสาผู้คนและเรื่องราว หรือการครุ่นคิดถึงความผิดพลาดผิดหวังของตัวเอง ยิ่งนานก็ยิ่งหนัก ปัญหามี 2 แบบแก้ได้กับแก้ไม่ได้ ที่แก้ได้ก็ควรจัดการแก้ไขให้จบไป ที่แก้ไม่ได้ก็ไม่ควรแบกไว้ในใจ หาวิธีวางมันลงโดยรู้เท่าทันความคิดถึงจะดี

  1. งานคือสนามฝึกใจ

คนเราคาดหวังสิ่งใดจากการทำงาน แน่นอนเพื่อความอยู่รอดต้องการรายได้ แต่มากกว่านั้นต้องการเติบโตผ่านงานที่ทำ เติบโตทั้งฝีมือ ประสบการณ์ และเติบโตภายในคือจิตวิญญาณ งานจึงเป็นเสมือนโรงเรียนให้พบเจอวิชา แบบทดสอบ และครูใหม่ ๆ ไม่หยุดหย่อน เพื่อหาวิธีดีลด้วยได้ เมื่อผ่านปัญหาไปได้ก็จะค่อย ๆ เติบโตขึ้น ฝีมือดีขึ้น จิตใจมั่นคงขึ้น งานช่วยหล่อหลอมทั้งความคิดและจิตใจเสมอ หากมองงานเป็นเส้นทางการเรียนรู้ บ่มเพาะตนเอง ปัญหาและอุปสรรคล้วนเป็นเครื่องขัดเกลาตัวตนทั้งสิ้น

  1. ทน หนี แก้

เวลาเจอปัญหามี 3 วิธีอยู่ที่ว่าจะใช้แบบไหนนั่นคือ

  1. ทน อาจแย่ที่สุด เพราะต้องทนอยู่ไปโดยไม่มีความสุข แถมยังไม่ลงมือสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรด้วย
  2. หนี ก็อาจไม่ใช่ทางที่ดีนัก เพราะหนีโดยไม่แก้ปัญหา ก็อาจไปเจอปัญหาเดิมอีกในที่อื่นกับคนอื่น
  3. แก้ ดูเหมือนจะดีเพราะได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ถ้าก้มหน้าก้มตาแก้โดยไม่สนใจเลยว่า จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหนก็ปวดหัวไปอีกแบบ

ทางที่ดีต้องใช้ทั้ง 3 อย่างผสมกัน ดูจังหวะว่าตอนไหนเรื่องไหนควรแก้ ระหว่างแก้ก็ต้องทนไปด้วยเพราะต้องใช้เวลา แต่ถ้าเกินเยียวยาก็หนี เปิดทางให้ตัวเองได้หนีไว้ด้วย ใช้ได้กับแทบทุกปัญหาในชีวิต

  1. รีบหรือรอ

จานที่ล้างง่ายที่สุดคือจานที่เพิ่งกินเสร็จ ห้องที่จัดง่ายที่สุดคือห้องที่จัดทุกวัน กางเกงวิ่งที่ซักง่ายที่สุดคือตัวที่เพิ่งถอด หลายอย่างในชีวิตง่ายเมื่อจัดการแต่เนิ่น ๆ ยากและซับซ้อนมากขึ้นเมื่อพอกหางหมู บางปัญหาถ้าแก้ไขแต่เนิ่น ๆ จะไม่ยาก หากรู้ความลับของชีวิตก็คงดี เมื่อรู้ว่าสิ่งไหนต้องรีบแก้รีบทำ สิ่งไหนควรรอเวลา ประสบการณ์น่าจะบอกความลับนี้ ให้เร่งมือทำในสิ่งที่ควรเร่ง ปล่อยวางสิ่งที่จำเป็นต้องปล่อย คงรู้สึกว่าชีวิตง่ายกว่าเดิม จัดการสิ่งที่จัดการได้ รอคอยสิ่งที่จำเป็นต้องรอคอย แยก 2 สิ่งนี้ออกจากกันได้ถูกต้อง ถ้าทำได้หลายอย่างคงง่ายขึ้น

สร้างสมดุล

  1. กำลังดี

คนเราต่างกำลังตามหาจุดสมดุลบนตาชั่ง มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี ไม่มีอะไรที่มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วจะดีเสมอ ถึงจุดหนึ่งจะเริ่มไม่ดี ไม่มีอะไรดีอย่างเดียว ไม่มีอะไรแย่อย่างเดียว ความยากคือต้องต่างขยันหาจุดสมดุลนั้นในแทบทุกเรื่อง และอาจใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อหาจุดที่กำลังดี ชีวิตคือการขยับหาสมดุล สนุกแต่ยาก ยากแต่สนุก

  1. งานที่ไม่เสร็จ

สำหรับบางคนงานคือปัญหาของชีวิต มันกลายเป็นสิ่งทำลายความสงบสุข เบื่อ ขี้เกียจ เหนื่อยล้า ที่เป็นเช่นนั้นเพราะแยกงานออกจากชีวิต จึงไม่แปลกที่จะรักเสาร์-อาทิตย์ เพราะไม่มีงาน เวลาเบื่องานมักคิดว่าเมื่อไหร่จะจบ ๆ ไปเสียที แต่พอทำเสร็จก็จะผุดงานใหม่ปัญหาใหม่เสมอ งานจึงไม่เคยจบจนกว่าชีวิตจะจบ งานนั้นไม่มีเศษหรือไม่มีการงาน พูดอีกอย่างคือสิ่งที่ทำนั้นไม่มีความหมายเป็นงาน แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ตื่นมาทำให้เต็มที่ได้เท่าที่ทำได้ ทำไปเรื่อย ๆ ด้วยหัวใจไม่คาดหวัง พอจิตวุ่นการงานก็เป็นทุกข์ พอจิตว่างการงานก็สนุก

  1. เหนื่อยกายไม่เหนื่อยใจ

บ่อยครั้งที่ทุกข์ทรมานกับงาน เพราะมีคำถามมากมายในหัว ยิ่งไม่ชอบงานยิ่งคาดหวังกับงาน ยิ่งอยากให้มันเสร็จยิ่งเป็นทุกข์ เพราะไม่ได้อยู่กับงานตรงหน้า แต่ใจลอยไปอยู่ที่อื่น งานจึงเป็นปัญหา งานจึงไม่สนุก ที่จริงแล้วมองงานได้ 2 แง่ หนึ่งคือมันไม่มีวันเสร็จ อีกแง่คือมันเสร็จทุกวัน แล้วก็ตื่นมาทำงานต่อไป ชีวิตก็เหมือนกันมันไม่มีวันเสร็จ แต่ถ้าคิดอีกแง่ แต่ละวันก็สำเร็จเสร็จสิ้นของมันไป หมดวันก็จบไปพรุ่งนี้เริ่มกันใหม่

  1. บริหารความกดดัน

ความกดดันเป็นเรื่องที่ดี ถ้ามันอยู่ในจุดที่เหมาะสม ความกดดันเหมือนมอเตอร์ช่วยส่งพลังให้เคลื่อนไปข้างหน้า ถ้าไม่มีความกดดันเลย  ก็อาจเฉื่อยเกินไป ไม่ค่อยไปไหน ไม่พัฒนา ในทางตรงกันข้าม ความกดดันที่แบกขึ้นบ่าตัวเองมากเกินไป กลับทำให้หมดแรงเหนื่อยล้าอยากยอมแพ้ เพราะทำได้ไม่เท่าความคาดหวังที่ตั้งไว้เสียที  เช่นนี้คือการแบกความคาดหวังเกินจำเป็น กดดันแต่พอสมควร คาดหวังกำลังดี มีความสุขกับเป้าหมายสั้น ๆ และกล้าฝันถึงเป้าหมายไกล ๆ เติมไฟให้ตัวเองเสมอด้วยการมองเห็นว่า ทำได้เท่าที่ผ่านมาก็เก่งมากแล้ว

  1. บ่าวที่ดี นายที่เลว

ความคิดเป็นบ่าวที่ดีแต่เป็นนายที่เลว ถ้ามันเป็นบ่าวมันช่วยได้เยอะเลย ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ มากมาย แต่ถ้าปล่อยให้มันเป็นนายแย่เลยจะถูกมันปั่นหัว ถ้าจะเป็นนายความคิดได้จะต้องรู้จักวางความคิด จะรู้เท่าทันมันดีขึ้น ถึงเวลาจะคิดก็คิด ถึงเวลาไม่คิดก็วางมันลงได้ จะว่าไปแล้ว การที่รู้จักวางความคิดเพื่อให้จิตสงบ กลับทำให้ความคิดมีคุณภาพมากขึ้น ฉะนั้น ความคิดไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่มันมีข้อจำกัด ถ้าจะคิดให้โปร่งให้ชัดต้องรู้จักวางความคิด เมื่อจิตสงบจะเกิดความคิดที่เรียก Intuition ซึ่งผุดโพลงขึ้นมาเอง มักเกิดขึ้นตอนที่จิตสงบ จิตผ่อนคลาย จิตโปร่งเบา

  1. ให้แล้ว

คิดตอนที่ต้องคิด วางความคิดตอนที่ไม่ต้องคิดแล้ว การคิดตลอดเวลาทำให้ความคิดไม่เฉียบคม การวางความคิดเป็นช่วยให้เป็นผู้เลือกว่าจะใช้มันตอนไหน ไม่ใช่ถูกมันใช้ตลอดเวลา พอจบกิจกรรมที่ต้องคิดก็วางมัน แล้วไปแล้วจบแล้วก็จบ กลับมาอยู่กับสิ่งที่ทำในปัจจุบัน ขนาดนักคิดยังไม่คิดทั้งวันทั้งคืนเลย ด้วยเหตุนั้นหรือเปล่าถึงทำให้ความคิดของเขามีประสิทธิภาพ แจ่มชัด และมีพลัง คิดเมื่อต้องคิด กินเมื่อต้องกิน นอนเมื่อต้องนอน

  1. เสพติดความเครียด

ความเครียดไม่ดีต่อสุขภาพ นำมาซึ่งโรคร้าย และอาจทำให้ตายไวกว่าที่ควร เพราะว่าทุกคนล้วนใช้ชีวิตอยู่กับความเครียดทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง เรื่องแปลกคือแม้รู้ว่าความเครียดไม่ดี แต่พอใช้ชีวิตกับมันบ่อยเข้ากลับกลายเป็นว่า บางคนขาดมันไม่ได้กระทั่งกลายเป็นเสพติด วิธีแก้คือปลีกตัวออกจากสิ่งที่ทำให้ใจเต้นแรงเสียบ้าง จะให้ดีก็แบ่งเวลาขยับร่างกาย ออกกำลังกายสักครึ่งชั่วโมง หรือออกไปเดินในสวนสาธารณะ กระนั้น ความเครียดก็มีประโยชน์ การรับข่าวสารต่าง ๆ ก็จำเป็น การทุ่มเททำงานก็เป็นเรื่องดี แต่จะทำอย่างไรให้สมดุลมิใช่เสพติด เพราะขึ้นชื่อว่าเสพติดเมื่อไหร่ไม่ได้เป็นฝ่ายควบคุมมัน แต่มันจะเป็นฝ่ายบงการเรา

  1. เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มาแล้ว

ป๋าเต็ดบอกว่ามีนิสัยหนึ่งได้มาจากตอนเป็นดีเจคือ ไม่ฟูมฟายกับความผิดพลาด พลาดไปก็ไม่เป็นไรเอาใหม่ทำใหม่ ที่เป็นแบบนั้นเพราะดีเจเป็นอาชีพที่จัดรายการสดทุกวัน ความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของงานเลยก็ว่าได้ ความทุกวันนี่แหละทำให้วางเร็ว เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็มีรายการตอนใหม่ให้ทำ จะมามัวแต่ติดค้างกับเรื่องเมื่อวานไม่ได้ ไม่แบกความเจ็บช้ำไว้นานเกินจำเป็น หากสามารถมองงานที่ทำให้เหมือนอาชีพดีเจ ผิดพลาดไปพรุ่งนี้ก็ต้องมานั่งประจำการ แล้วเริ่มต้นใหม่ คงวางอดีตได้ไว กลับมาอยู่กับปัจจุบันกับงานที่ทำได้บ่อย

  1. ความสำคัญของความบ้า

การเก็บรักษาฝั่งขวาของสมองไว้ให้แข็งแรงคือ ต้องพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่หัวใจได้โลดแล่นบ่อย ๆ คนเราต่างทราบดีว่า พื้นที่นั้นคือที่ใดบ้าง วงสนทนาบ้าบอกับเพื่อนไร้สาระ ดูหนังฟังเพลง เสพงานตื่นเต้น รำ วาดรูป สาดสี แต่งแฟนซี และทำอะไรหลุดกรอบที่ต้องอธิบายด้วยเหตุผลตลอดเวลาพื้นที่บ้า ๆ เหล่านี้สำคัญมากกับชีวิต เพราะบ้าจึงเป็นปกติ ถ้าไม่อนุญาตให้ตัวเองบ้าเลย และพยายามประคองความเป็นปกติไว้ตลอดเวลา สุดท้ายจะกลายเป็นบ้า บางทีช่วงเวลาบ้า ๆ คือช่วงเวลาที่อนุญาตให้ตัวตนอีกตัวหนึ่งได้ออกมาโลดแล่น ปล่อยใจให้ทำอะไรตามใจ โดยไม่ต้องอธิบายหรือขอคำอนุมัติจากคนอื่น ปล่อยใจโล่งเหมือนฟ้า ไม่ค่อยมีเหตุผลมัน เป็นแบบฝึกหัดในโลกที่ต้องการผลลัพธ์ให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงมือทำ ทั้งที่จริงชีวิตควรทำในสิ่งที่ไร้ผลลัพธ์บ้าง ไร้ค่าตอบแทน และบางทีไร้เหตุผล เพราะนั่นก็คือส่วนหนึ่งของชีวิต

  1. ประโยชน์ของความว่าง

ในการทำงานดูเพลิน ๆ ช่วงว่างเป็นช่วงไม่ก่อประสิทธิผล มักให้ความสำคัญกับช่วงเวลาที่ทำงานให้เกิด Productivity มากกว่าเวลาพัก แต่ที่จริงช่วงว่างเป็นช่วงเวลาได้อยู่เงียบ ๆ กับตัวเอง เปิดโอกาสให้ความคิดในหัวจัดเรียงตัวกันใหม่ ไอเดียดี ๆ มักเกิดขึ้นในช่วงว่าง ซึ่งเป็นช่วงตกผลึกของความคิด เวลาว่างที่ดูคล้ายไม่ Productivity ในความเป็นจริงแล้ว สำคัญยิ่งต่อการทำงาน  เพราะว่างจึงสร้างสรรค์ กระดาษว่างเปล่าจึงมีที่ว่างให้เขียนความคิดใหม่ลงไป ผ้าใบว่างจึงเกิดงานศิลปะ ช่วงบรรเลงจึงทำให้เพลงไพเราะ ช่วงเวลาว่างของชีวิตสร้างประสิทธิภาพในการทำงาน

การใช้เวลา

  1. 9 ขั้นตอนทำงานให้เสร็จ

คนที่ชอบทำหลายสิ่ง ไม่แปลกที่พลังจะกระจัดกระจาย จึงต้องหาวิธีรวบรวมสมาธิไม่งั้นงานไม่เสร็จ ยิ่งเป็นงานที่ต้องอาศัยความพยายามและสมาธิ ยิ่งต้องการสมาธิยาวให้ทำตามนี้ คือ

  1. เห็นภาพตอนเสร็จ
  2. วางแผน
  3. เตรียมเครื่องปรุง เหมือนวัตถุดิบที่เตรียมพร้อมสำหรับเชฟ ต่อไปคือคลุกเคล้าต้มผัดแกงทอด
  4. จัดรูทีนให้มัน
  5. จัดสภาพแวดล้อม
  6. ไม่ตะบันทำ ถึงจุดที่รู้สึกสมองล้าก็ลุกขึ้นมายืดเหยียด จะช่วยคลายความเครียดได้
  7. มีสมาธิแบบยาว สมาธิมี 2 ระดับ 1. คือจดจ่อตอนทำ 2. คือสมาธิของช่วงเวลานั้น ถ้าประคองสมาธิแบบยาวเอาไว้ได้คือ โฟกัสกับงานชิ้นที่เลือกในเดือนนั้นจะมีพลังมาก
  8. ปล่อยให้ไหลไป หากคำทั้งหมดที่ว่ามาแล้ว สุดท้ายจะไปถึงจุดหนึ่งคือ จุดที่งานไหลไปเอง นั่นคือช่วง Flow จะสนุกขึ้น ดีขึ้น เร็วขึ้น ยิ่งใกล้เสร็จไฟก็ยิ่งโหม ใจเต้น คือความสุขของการทำงานที่รัก
  9. เสร็จและเฉลิมฉลอง

หากรวบรวมสมาธิได้ เตรียมงานมาดี สภาพแวดล้อมเป็นใจ เข้าสู่สภาวะลื่นไหล ไม่ช้างานชิ้นนั้นจะเสร็จสิ้น

  1. เวลาที่สอง

ในชีวิตประจำวันมีเวลาที่มองเห็นชัดเจนคือ เวลาที่ใช้ไปกับการทำงานจริงจัง การเรียนในตารางกิจกรรมประจำต่าง ๆ ที่วางไว้เป็นรูทีน แต่ยังมีอีกสิ่งที่ทำให้คนเราแตกต่างกันออกไป สิ่งนั้นเรียกว่าเวลาที่ 2 ซึ่งเห็นไม่ชัดเจนเท่าแบบแรก เพราะแทรกตัวอยู่แบบกระจัดกระจาย มันคือเศษเวลาในห้วงระหว่างกิจกรรมต่าง ๆ เศษเสี้ยวเวลาเมื่อสะสมมากเข้า ก็เหมือนทรายเม็ดเล็กที่รวมเป็นกองทราย มากขึ้นไปอีกก็ก่อปราสาททรายสวยงามได้เช่นกัน การใช้เวลาจิ๋วให้เป็นประโยชน์ อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตได้ไม่น้อย ทุกคนมีเวลาที่ 2 บางคนเห็นบางคนไม่เห็น บางทีชีวิตก็วัดกันที่สิ่งที่มองไม่เห็น

  1. ห้วงเวลาขนาดยาว

ชีวิตปัจจุบันขโมยห้วงเวลาขนาดยาวไป แอปต่าง ๆ หน้าจอต่าง ๆ ทำให้ใช้เวลากับสารพัดเรื่องในห้วงเวลาสั้น ๆ เวลาถูกหั่นย่อยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กระจัดกระจายดูไม่รู้เรื่อง รับรู้อะไรมากมายแต่น้อยครั้งที่จะอยู่กับสิ่งนั้น ๆ แบบดำดิ่งลงไป ทำกิจกรรมที่มีห้วงเวลาขนาดยาว อ่านหนังสือโดยไม่หยิบมือถือสักร้อยหน้า คุยกับใครสักคนยาวนานเป็นชั่วโมงโดยไม่มีอะไรแทรก ห้วงเวลาขนาดยาวเป็นของมีค่ายิ่ง ในโลกปัจจุบันคนเราต่างคิดถึงมันไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

  1. กลับสู่ปกติเมื่อเลิกอ่านข่าว

มนุษย์มีธรรมชาติของการจัดลำดับชั้นของตัวเองอยู่เป็นทุนเดิม นิสัยเปรียบเทียบมีอยู่ทั่วทุกตัวคน จึงไม่แปลกที่ผู้มีสถานะทางสังคมต่ำ หรือรู้สึกว่าตนเองเป็นเช่นนั้น มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคซึมเศร้าและเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากกว่า ข่าวต่าง ๆ ทำให้สัญชาตญาณการเปรียบเทียบถูกกระตุ้นเร้า เพราะข่าวจำนวนมากชอบนำเสนอความสำเร็จและสิ่งสวยงาม ฉะนั้น หากลดการบริโภคข่าวหรือบริโภคอย่างเท่าทันว่า ข่าวนั้นกำลังจะขายอะไร หยิบอะไรมาดึงดูดความสนใจ ย่อมได้คำตอบว่าข่าวหยิบความแปลกมานำเสนอ และความทั่วไปไม่ได้ต้อยต่ำอะไร หากคือความปกติ พอไม่อ่านข่าวหน้าตา รูปร่าง ฐานะ ความสามารถก็ดูปกติขึ้นมาทันที ปกติเหมือนคนจำนวนมากบนโลก

  1. พักได้ไม่ผิด

ในโลกที่เร่งเร้าให้มีประสิทธิภาพ การพักผ่อนดูเป็นเรื่องไร้ประสิทธิภาพที่ไม่ควรทำ ที่จริงแล้วไม่ควรเป็นเช่นนั้น เพราะการพักผ่อนคือสิ่งสำคัญไม่แพ้ประสิทธิภาพในการทำงานเช่นกัน แถมยังส่งผลโดยตรงด้วย พักเต็มที่ยิ่งทำงานได้ดียิ่งขึ้น โลกเร่งเร้าให้ขยัน ประสบความสำเร็จ วิ่งให้ทันโลก เป็นบรรยากาศอันชวนให้เหน็ดเหนื่อย คนพักเป็นคือคนที่น่าชื่นชม เพราะเป็นอิสระจากค่านิยมที่บอกให้วิ่งไว แต่ลืมถามว่าวิ่งไปไหน สมดุลชีวิตเป็นเรื่องสวยงามยิ่งกว่าความสำเร็จ การงานคือความหมายของชีวิต การพักคือความสุขของชีวิต ในมุมหนึ่งชีวิตต้องการความหมาย ในอีกมุมหนึ่งชีวิตต้องการความสุข ในช่วงพักเลือกทำในสิ่งที่อยากทำ กินในสิ่งที่อยากกิน อยู่กับคนที่อยากอยู่ด้วย แล้วจะรู้สึกดีขึ้นกับชีวิต

  1. สักอย่างที่รู้สึกดี

การมองหาจุดสนใจของวัน ทำให้แต่ละวันผ่านไปอย่างไม่น่าเบื่อ มีความพิเศษเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือบางทีก็ใหญ่ในทุกวัน บางทีเกิดจากความพยายามให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เช่น การงาน การออกกำลังกาย บางทีเกิดจากการเสาะหา เช่น หนังสือ หนัง ขนม บางทีก็เกิดจากการให้เวลา เช่น เพื่อน แฟน ครอบครัว อันที่จริงแต่ละวันอาจไม่ต้องคาดหวังจากตัวเองมากมายอะไร ขอแค่มีสักอย่างที่รู้สึกโอเคกับวันนี้ ท่ามกลางความทรมานวุ่นวายของชีวิตก็พอแล้ว

  1. 4 คำถามทบทวนตัวเอง

คุณบรรยง พงษ์พาณิชย์แบ่งปันเทคนิคทบทวนตัวเองในแต่ละวันว่า ตอนตื่นก่อนลุกจากเตียงจะใช้คำถาม 4 ข้อนี้ คือ

  1. อะไรที่คิดแล้วยังไม่ได้ทำ แล้วทำไมถึงยังไม่ทำ ติดขัดเงื่อนไขไหน ต้องทำอย่างไรจึงทำได้
  2. อะไรที่ทำไปโดยไม่ได้คิด อาจเป็นเรื่องที่สะเพล่าไม่รอบคอบ ทบทวนเพื่อไม่เกิดอีก
  3. อะไรที่ไม่ได้ทำแล้วเสียดาย เผื่อวันพรุ่งนี้จะลงมือทำ หรือไม่พลาดโอกาสแบบนี้อีก
  4. อะไรที่ทำไปแล้วเสียใจ เพื่อจะไม่ทำสิ่งเหล่านี้อีก และมีสติมากขึ้นในครั้งหน้า

บางครั้งก็ใช้ 4 คำถามนี้ทบทวนตัวเอง ในช่วงปลายปีก่อนขึ้นปีใหม่ด้วยเช่นกัน

  1. เลือกจังหวะ

ในช่วงเวลาที่ความรู้สึกพลุ่งพล่าน หยุดสักนิด รอสักหน่อย จะตอบสนองได้ดีกว่า บางชัยชนะไม่ต้องการความเร็วและแรง แต่ต้องการความแม่นยำ ไม่บาดเจ็บโดยไม่จำเป็น ใจเย็นรอคอยถอยเป็น ฟังดูเหมือนไม่ใช่นักสู้ แต่นี่แหละคุณสมบัติของผู้ชนะ

เข้าอกเข้าใจ

  1. แบ่งกันรวย

ของดีบวกใจดีนี่สู้ยากพร้อมชนะทุกสังเวียน เหมือนเก่งบวกนิสัยดีย่อมไปไกล ธุรกิจงานการที่ทำด้วยจิตใจแบบนี้ย่อมได้เพื่อน หากร้านทำอาหารอร่อยแล้วไม่ให้สั่งข้าวร้านอื่นมากินก็อาจขายดีเหมือนเดิม แต่ร้านข้าง ๆ อาจรำคาญหรือริษยาในความขายดี ตรงกันข้ามพอให้สั่งมากินด้วยกันได้ การขายดีของเขากลายเป็นผลดีต่อร้านข้าง ๆ ไปด้วย แบ่งกันรวย เมื่อเห็นปริมาณอาหารเทียบกับราคาแล้วก็คิดว่า ร้านไม่ได้แบ่งร้านข้าง ๆ รวยเท่านั้น แต่ยังแบ่งลูกค้าให้มีตังค์เก็บด้วย ร้านแบบนี้เจ้าของก็รวย ร้านข้าง ๆ ก็รวย คนกินก็รวย แบ่งกันรวย

  1. ยิ่งไม่อยากขายยิ่งอยากซื้อ

ผู้เขียนไปซื้อพู่กันและกระดาษเตรียมหัดวาดพู่กันจีน อาเฮียเจ้าของร้านวาดพู่กันจีนด้วย  จึงให้คำแนะนำละเอียดตั้งแต่ความแตกต่างของขนพู่กัน กระดาษ และวิธีฝึก แต่แทนที่จะชวนซื้อของที่ตัวเองขาย กลับผายมือไปร้านอื่นในซอยถัดไป ให้ไปซื้อกระดาษที่ร้านนั้นดีกว่า ไม่แพงเหมาะที่จะใช้หัดวาด ยิ่งคุยไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าเฮียได้เงินน้อยลงไปเรื่อย ๆ ขณะที่ผู้เขียนได้รับคำแนะนำดี ๆ เพิ่มมากขึ้น พ่อค้าแม่ขายแบบนี้ สงสัยว่าฐานความคิดหรือความต้องการของเขา คงไม่ใช่กำไรสูงสุดเป็นแน่ คุณค่าของเฮียคืออยากให้ลูกค้าได้ของดี ซึ่งดีคือเหมาะสมไม่สิ้นเปลือง ถามว่าเฮียเป็นนักขายที่เก่งไหม เป็นนักการตลาดที่ดีไหม คำตอบคือไม่ แต่ถามว่าผู้เขียนอยากซื้อของกับเฮียหรือเปล่า อยากกลับมาที่ร้านนี้อีกไหม คำตอบคือประทับใจมาก และอยากอุดหนุนอีก ยิ่งไม่อยากขายยิ่งอยากจะซื้อ

  1. ทำนองของความเข้าใจ

พอทำงานไปเรื่อย ๆ มีประสบการณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ อาจเข้าใจว่าความเก่งไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด แต่การที่สามารถร่วมงานกับคนอื่นได้ดีเป็นสิ่งสำคัญกว่า คนเก่งบางคนไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เพราะทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ในภาษาของชาวอเมริกาพื้นเมืองอย่างชาวเซอโรกีไม่มีคำว่าความรัก มีแต่คำว่าความเข้าใจ หากเขาเข้าใจผู้ใดนั่นแสดงถึงความรักด้วย บางสิ่งที่ผู้อาวุโสมากประสบการณ์ตกผลึกผ่านช่วงเวลายาวนานของชีวิต ขณะที่ในวัยหนุ่มสาวมักโฟกัสที่ความเก่งของตัวเอง แท้จริงแล้ววงดนตรีที่เล่นเพลงไพเราะนั้น เกิดจากเพื่อนร่วมวงที่เข้าใจกัน การทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี นับเป็นฝีมือแบบหนึ่ง

  1. ตัวนำ ตัวตาม

นักแสดงที่ดีต้องรู้ว่าฉากนี้รับบทตัวนำหรือตัวตาม มุมมองการละครนี้นำมาปรับใช้กับชีวิตและการงานได้มาก ในแต่ละฉากที่ก้าวเข้าไป ถามตัวเองสักนิดว่า ฉากนี้รับบทอะไร แล้วเล่นในบทนั้นให้เหมาะสมและสุดฝีมือ รางวัลนักแสดงสมทบยอดเยี่ยมก็ได้รับเสียงปรบมือ ไม่แพ้นักแสดงนำเช่นกัน

  1. ทักษะสังคม

ใครคนหนึ่งทำอะไรสำเร็จได้ คิดว่ามี 1 องค์ประกอบสำคัญแน่ ๆ คือทักษะสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่คนไม่น้อยมองข้าม คุยกับคนสองคนเรื่องเดียวกัน คนหนึ่งคุยเสร็จอยากทำงานด้วย อีกคนอาจไม่อยากเจออีกเลย ทีเด็ดกว่านั้นคือ คนที่ประทับใจต่อให้ไม่ได้ร่วมงานกัน ก็ยังอยากคบหาเป็นเพื่อนเป็นพี่ ความอยากร่วมหัวจมท้ายไม่ได้เกิดจากความเก่งหรือผลตอบแทนเท่านั้น บางคนเก่งกาจฉลาดเฉลียวแต่ไปไม่ถึงไหน หากลองสำรวจถ้วนถี่อาจพบว่า เขาขาดทักษะอย่างหนึ่งที่จำเป็นมาก แต่เขาอาจเห็นว่าไม่จำเป็น

  1. น้ำตาชนะ AI

มนุษย์จะค้นพบงานและความหมายในยุคปัญญาประดิษฐ์ได้ มนุษย์ต้องทำในสิ่งที่ AI ทำไม่ได้นั่นคือความเป็นมนุษย์ แม้ AI จะปราดเปรื่อง จดจำข้อมูล ตรวจสอบแม่นยำไม่ผิดพลาด หรือเก่งกาจแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่มันทำไม่ได้คือ ความรู้สึกรู้สาแบบที่มนุษย์เป็น AI ไม่ร้องไห้ การร้องไห้มีข้อดี การร้องไห้เป็นเพียงตัวอย่างของความรู้สึก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ด้วยกันเองสัมผัสได้ เมื่อเห็นน้ำตาจากความพยายาม คนเราไม่สนแล้วว่าเขาจะแพ้หรือชนะ แต่จะรักเขาเห็นใจอยากโอบกอด ทางรอดในยุค AI ก็คือ จะต้องมีความเข้าใจและเข้าถึงมนุษย์ด้วยกันให้มากขึ้น เอาชนะใจมนุษย์ให้ได้ สุดท้ายโลกจะต้องการสิ่งเหล่านี้มากขึ้น ยิ่งโลกใช้งาน AI มากขึ้นเท่าไหร่ มนุษย์จะยิ่งโหยหาความเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น

  1. พื้นที่ปลอดภัย

เวลาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ร่างกายจะทำงานโดยไม่เคร่งเครียด สุขภาพดี มีความสุข เหมือนคนอยู่ในบ้านที่ทุกคนเป็นมิตร แต่ตรงกันข้ามเมื่ออยู่ในโซนอันตราย ร่างกายทำงานในหมดสู้หรือหนีตลอด สารความเครียดหลั่งความคิดตีบ การคิดแต่จะสู้มองเห็นอันตรายของพวกอื่นตลอด โดยธรรมชาติแล้วจำเป็นต้องปกป้องตัวเอง รู้ว่าตรงไหนปลอดภัย ตรงไหนอันตราย การอยู่ในโหมดหรือโซนอันตรายตลอดเวลานั้น ไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย ความรู้สึกอันตรายหรือปลอดภัย ระหว่างผู้คนน่าจะเกิดจาก 2 สาเหตุหลักคือ

  1. พื้นฐานของคนคนนั้น ซึ่งอาจไม่ปลอดภัยสำหรับเรา แต่เขาอาจปลอดภัยสำหรับคนอื่น
  2. ท่าทีที่เราปฏิสัมพันธ์กับคน ๆ นั้น ซึ่งมีผลให้เขากลายเป็นคนปลอดภัยหรืออันตราย

92. เคล็ดลับการเจรจา

การเจรจาที่ดีเริ่มจากการให้เกียรติคู่สนทนาคือ ให้เกียรติในความคิด ความรู้สึก และความต้องการ การเจรจาที่ดีเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อฝ่ายหนึ่งรู้สึกด้อยอำนาจกว่าอีกฝ่าย หรืออยู่ในโหมดว่าจะเอาชนะ จงปรับไปสู่โหมดหาคำตอบร่วมกัน หาทางออกร่วมกัน หรือหาความจริงร่วมกัน อาจนำไปสู่ผลการเจรจาที่ดี ตรงกันข้าม ถ้าเริ่มด้วยความคิดว่า จะเอาชนะและจะได้ทุกอย่างกลับไป ยังไม่ทันเจรจาก็น่าจะล้มเหลวแล้ว

  1. ข้อจำกัดของมนุษย์

เวลาฟังใครพูดอะไรบางอย่าง ไม่นานนักจะจับโลกทัศน์ของเขาได้ว่า เขาให้คุณค่ากับอะไร มองโลกแบบไหน หวังผลสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตจากอะไร คนเราสวมแว่นคนละแบบ ทุกคนมีข้อจำกัดที่จะเห็น คิดรู้เข้าใจเพียงบางอย่าง และบางแบบเท่านั้น เป็นเรื่องดีที่มองเห็นข้อจำกัดของตัวเอง และของคนอื่นบ่อย ๆ เห็นข้อจำกัดตัวเอง เป็นจุดเริ่มของการขยายสมองให้ฉลาดขึ้น เห็นข้อจำกัดของคนอื่น เป็นจุดเริ่มต้นของการขยายหัวใจ ให้กว้างขวางกว่าเดิม

  1. ฝั่งไหนของบานประตู

1 นาทีนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าอยู่ฝั่งไหนของประตูห้องน้ำ ภาพคน 2 คนอยู่คนละฝั่งประตูห้องน้ำ ชวนให้ตระหนักอยู่เสมอ ในแต่ละกรณีคนเราอยู่ฝั่งไหนของประตู จงระวังไม่เป็นคนนั่งกดมือถือเล่นในห้องน้ำ แล้วปล่อยให้อีกคนจะเป็นจะตายอยู่ข้างนอก นั่นเพราะ 1 นาทีของคนที่รอคอยนั้น บางทีทรมานแสนสาหัส และโลกนี้มีบานประตูห้องน้ำเต็มไปหมด

ความสัมพันธ์

  1. สนามพลัง

ในพื้นที่หนึ่งจำนวนและลักษณะของคน ในพื้นที่นั้นมีผลต่อความรู้สึกมาก เช่น เวลาอยู่ในห้องคนเดียวจะรู้สึกแบบหนึ่ง พอมีอีกคนเดินเข้ามาบรรยากาศทั้งหมดเปลี่ยนไปทันที โดยที่เขายังไม่ต้องพูดหรือทำอะไรเลย อันที่จริงแล้ว ต้นไม้ ภูเขา ทะเล ก้อนเมฆ แสงแดด ลำธาร สิ่งก่อสร้าง การเพิ่มเข้ามา การยกออกไป การเคลื่อนเข้าหา การถอยออกห่าง มีผลต่อความรู้สึกภายในทั้งสิ้น เมื่อรู้สึกสดใสหรือหม่นหมอง ลองสำรวจแหล่งพลังงานในช่วงนี้ที่ได้ประสบพบเจอ อาจเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบว่า เพราะพลังงานอะไรบ้าง และกำลังอยู่ในสนามพลังงานแบบไหน

  1. ความสัมพันธ์เป็นดั่งเก้าอี้

ความสัมพันธ์น่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผ่าน 3 ขั้นตอนด้วยกัน คือ

  1. สนใจ มีความสนใจในตัวคน ๆ นั้น ในด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้เขยิบเข้าหาเพื่อทำความรู้จักกัน
  2. ใส่ใจ เมื่อรู้จักกันแล้วรู้สึกว่าคนนี้น่ารักน่าคบหา ถ้าเป็นมิตรที่ดีย่อมใส่ใจว่า เขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
  3. ให้ใจ เมื่อสนิทสนมกลมเกลียวแล้ว ถ้าต้องการความช่วยเหลือ ก็ยินดีช่วยอย่างเต็มใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน

ในความสัมพันธ์ ให้ทำตัวเหมือนเก้าอี้ ให้ลองสังเกตว่า ถ้าเก้าอี้ตัวไหนนั่งสบาย รู้สึกว่ามานั่งเมื่อไหร่ก็สบายตัวสบายใจ จะอยากกลับไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้นบ่อย ๆ เก้าอี้เพียงอยู่ตรงนั้นและมอบความรู้สึกว่า ถ้าต้องการความสบายใจก็เดินมาหาได้ทุกเมื่อ หากเป็นเก้าอี้ที่ใครสักคนนึกถึง ในยามที่เขาต้องการที่พึ่งพิงที่สบายใจ นั่นแปลว่ารักษาสัมพันธ์ที่ดีกับใครคนนั้นได้

  1. 5 คนที่จริงแท้

โรบิน ดันบาร์ นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ ทำวิจัยแล้วได้ผลสรุปว่า มนุษย์คนหนึ่งจะมีคนที่รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยด้วยราว 150 คน ในจำนวนนี้มีอยู่เพียง 5 คน หรือน้อยกว่านั้นที่อยู่ในวงกลมในสุดคือ เป็นเพื่อนแท้ที่แชร์เรื่องส่วนตัวและเปราะบางให้ฟังได้แบบสบายใจ วงที่ห่างออกไประดับ 2 อาจมีคนอยู่ราว 15 คน คนเหล่านี้อบอุ่น รู้สึกต่างตอบแทนกันในทางใดทางหนึ่ง วงที่ 3 มีคนประมาณ 50 คน อาจเรียกว่าคนรู้จักเห็นหน้าค่าตา ไม่ได้อยากนัดเจอ เจอกันบ้างตามโอกาส วงที่ 4 ก็คือคนอื่น ๆ ที่เหลือ 80 คน ไม่มีความสัมพันธ์ที่มีความหมาย และวงที่ 5 คือคนที่มีความสัมพันธ์ในระดับผิว ๆ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การที่ใครคนหนึ่งมีเพื่อนเยอะกลับกลายเป็นเรื่องกดดันตัวเอง คนจำนวนไม่น้อยเป็น imposter syndrome โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่งพอ จากการสะสมเพื่อนไว้เยอะ เพราะภายในใจรู้สึกว่าโหวง เพราะความสัมพันธ์เหล่านั้น กลับมีอยู่น้อยนิดที่สนิทชิดเชื้อ

เคล็ดวิชา

  1. ความลับของมังกร

หนึ่งความสำเร็จนั้นประกอบจากความเข้าใจหลายอย่าง เครื่องมือหลากประเภท มังกรนั้นพิเศษเพราะเป็นสัตว์ผสม มันมีพลังและพิสดารก็เพราะไม่เหมือนใคร ไม่หมกมุ่นอยู่กับบางสิ่ง ไม่มีความสามารถเฉพาะเพียงบางอย่าง คนเราไม่สามารถเลียนแบบมังกรได้ แต่สามารถเก็บสะสมชิ้นส่วนอย่างเปิดกว้างที่สุด คล้าย ๆ รวบรวมลูกแก้วมังกร หรือดราก้อนบอลที่ละลูกจากประสบการณ์ และพื้นที่หลากหลายในโลก ชีวิตไม่รู้เหมือนกันว่าต้องมีครบกี่ลูก มังกรถึงจะปรากฏกาย แต่ที่แน่ ๆ ลูกแก้วลูกเดียวย่อมไม่เป็นมังกร และจะว่าไปจะกลายร่างเป็นมังกรหรือเปล่านั่น อาจไม่สำคัญเท่าการสะสมลูกแก้วไว้หลาย ๆ ลูกนั้นทำให้ส่งมองโลกและตัวเองได้หลายเหลี่ยมกว่าเดิม ซึ่งทำให้ใจกว้างและเบิกบานง่าย วันหนึ่งลูกแก้วมังกรที่สะสมไว้จะรวมตัวของมันเอง

  1. คัมภีร์ในตำนาน

จอมยุทธหนุ่มออกเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล เพื่อตามหาเคล็ดวิชาพิชิตภูผาข้ามมหาสมุทร ว่ากันว่าสุดยอดคัมภีร์เล่มบางมีเพียงกระดาษ 1 แผ่น 2 หน้าเท่านั้น เขาดั้นด้นค้นหาจนเคราหงอก ผ่านยอดเขา ภูผา และมหาสมุทรนับไม่ถ้วน สุดท้ายจึงพบคัมภีร์ในตำนานเล่มบางนั้น หน้าแรกมันเขียนว่า สม่ำเสมอและทำต่อไป พลิกอีกหน้าเขียนว่า ถ้าไม่ได้ดั่งใจให้ปล่อยวาง แล้วพลิกไปอ่านหน้าแรก

  1. วิถีแห่งความร่ำรวย

กาลครั้งหนึ่งชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยานอยากร่ำรวยได้ยินว่า ในป่าลึกมีชายชราเคราขาวผู้ยินยอมมอบสิ่งเลอค่า แก่ผู้มีวาสนาที่ได้ประสบพบท่าน หลังเดินทางยาวนานเขาได้พบผู้เฒ่าเคราขาวจริง ๆ เขาเอ่ยปากขอวิชาสู่ความร่ำรวย ชายชรายิ้มเอ่ยปากชวนกินแตงโม มีหลายชิ้นที่หั่นออกมาวางบนโต๊ะ หากให้เลือกปริมาณผลประโยชน์จะเลือกชิ้นไหน ชายหนุ่มตอบเลือกชิ้นใหญ่สุด ท่านผู้เฒ่าจึงบอกว่าเชิญเลย ท่านผู้เฒ่านั่งมองเขากินจนหมดแล้วจึงหยิบชิ้นเล็กสุดเข้าปาก จากนั้นก็หยิบชิ้นต่อไปและต่อไปจนหมดทั้งโต๊ะ ชายหนุ่มเข้าใจความหมายในทันที แม้ชายชราจะไม่ได้กินแตงโมชิ้นใหญ่ที่สุด แต่กลับได้กินมากกว่าตน ก่อนจากกันผู้เฒ่าเอ่ยบอกเขาว่า หากอยากร่ำรวยต้องเรียนรู้ที่จะสละ ทิ้งผลประโยชน์เฉพาะหน้าบางอย่าง และรู้จักเล็งเห็นผลประโยชน์ระยะยาว นี่แหละวิถีแห่งความร่ำรวย

สั่งซื้อหนังสือ “ความลับของความสุข” (คลิ๊ก)