สั่งซื้อหนังสือ “MINI PHILOSOPHY กะทัดรัดปรัชญา” (คลิ๊ก)

สรุปหนังสือ MINI PHILOSOPHY กะทัดรัดปรัชญา

บางครั้งปรัชญาก็ทำให้แหยง แต่จริง ๆ แล้วปรัชญาไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้น ปรัชญาควรเป็นเรื่องใกล้ตัว นำไปใช้ได้จริง อ่านรู้เรื่อง เข้าถึงได้ และที่สำคัญที่สุดมันควรจะต้องสนุก ในหนังสือเล่มนี้ได้อธิบายแนวคิดทางปรัชญา ในแบบที่สามารถเข้าใจ และดื่มด่ำไปกับมันได้ มันเป็นหนังสือสำหรับคนที่อยากรู้ว่าโครงสร้างนิยม ปรากฏการณ์วิทยา หรืออัตถิภาวนิยมหมายความว่าอะไร

ไม่ว่าจะมีพื้นเพมาแบบไหน เวลาที่หลงใหลอะไรขึ้นมา มนุษย์เป็นต้องรู้สึกเดียดฉันท์การอธิบายมันแบบง่าย ๆ เป็นที่สุด เพราะในแง่หนึ่งแล้ว การทำแบบนั้นไม่ต่างอะไรกับการด้อยค่า หรือดูเบามัน แต่บางครั้งคนเราก็ต้องการก้าวแรก หรือจุดผ่านแดน

หนังสือเล่มนี้จะอธิบายแนวคิดทางปรัชญา ในแบบที่ทำให้อยากไปหาอ่านเพิ่ม มันคือแผนที่ที่จะนำทางเข้าสู่ปรัชญา ทุกคนล้วนมีคำถามเชิงปรัชญาอยู่ในใจ และทุกคนสามารถเป็นนักปรัชญาได้

บทที่ 1 จริยธรรม

ไม่ว่าจะวันไหนก็ต้องตัดสินใจ ในสิ่งที่เป็นเรื่องทางศีลธรรมมากมายหลายครั้ง เพราะอะไรก็ตามที่ทำแล้วส่งผลต่อมนุษย์คนอื่น ล้วนเป็นประเด็นทางศีลธรรมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ในแง่หนึ่งศีลธรรมเป็นเรื่องของความผิดหรือถูก จริยธรรมเป็นเรื่องที่ว่าด้วยการกระทำที่ดี กับการกระทำที่เลว หรือไม่ก็คนดีกับคนเลว

1.เพลโต้กับการมองไม่เห็น

ถ้ากำลังเดิน ๆ อยู่แล้วก็มาเจอกับยายแก่คนหนึ่งเข้า เธอได้ให้ของขวัญชิ้นเล็กแต่เลอค่า มันคือแหวนวิเศษที่มีพลังทำให้ไม่มีใครมองเห็นได้ คำถามคือเมื่อได้แหวนมาแล้วจะใช้มันอย่างไร เรื่องราวข้างต้นคือแหวนแห่งไกจีส (Ring of Gyges) ซึ่งปรากฏเป็นครั้งแรกในงานเขียนที่โด่งดังที่สุดของเพลโตเรื่อง Republic

แหวนแห่งไกจีสเป็นการทดลองทางความคิด ที่ถูกหยิบยกมาใช้เพื่อท้าทายแนวคิด ที่เชื่อว่ามีพลเมืองที่โดยเนื้อแท้แล้วเป็นผู้มีความเป็นธรรม แหวนแห่งไกจีสไม่ได้แสดงให้เห็นว่าอำนาจทำให้มนุษย์ฉ้อฉล แต่เปิดเผยให้เห็นธาตุแท้ของมนุษย์ต่างหาก ทุกคนต่างมีปีศาจในตัวด้วยกันทั้งนั้น สิ่งที่ทำให้ยังคงควบคุมปีศาจตัวนั้นไว้ก็คือ ความกลัวการถูกตัดสินจากผู้อื่น เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ยังดำเนินอยู่ในทำนองคลองธรรม ทุกคนต่างก็ต้องได้รับการตรวจสอบและถ่วงดุล หรือได้รับการควบคุมโดยข้อบังคับใด ๆ ที่จะทำให้ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

ระบบยุติธรรมต้องมีความโปร่งใส และถูกบังคับใช้อยู่เสมอ ไม่แน่ว่าความลับของทางราชการ ข้ออ้างกลบเกลื่อนขององค์กรธุรกิจ และคำโกหกลื่นหูของนักการเมือง อาจเป็นผลลัพธ์จากแหวนแห่งไกจีสในโลกสมัยใหม่ก็เป็นได้

2.เบนแธมกับการคำนวณศีลธรรม

หากรู้ได้ทันทีว่าสิ่งใดถูกต้อง และควรทำก็คงจะดีไม่น้อย จะดีแค่ไหนหากมีเครื่องมือที่สามารถบอกได้ว่า ต้องทำตัวอย่างไรในสถานการณ์ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เจเรมี เบนแธม นักปรัชญาชาวอังกฤษสมัยศตวรรษที่ 18 พยายามจะทำตอนที่เขาคิดค้นแคลคูลัสสุขนิยม (Hedonic calculus) ขึ้นมา เขาเป็นบิดาแห่งทฤษฎีจริยศาสตร์เชิงบรรทัดฐาน (Normaltive Ethics) ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อว่าทฤษฎีประโยชน์นิยม (Utilitarianism)

โดยทฤษฎีนี้ระบุว่า การกระทำอย่างหนึ่งจะผิดหรือถูกขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ตามมา กล่าวคือหากการกระทำนั้นก่อให้เกิดประโยชน์สุขมันคือความดี หากก่อให้เกิดทุกข์มันคือความชั่ว สิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่าอะไรถูกหรือผิดก็คือ ความสุขที่ได้รับจากการกระทำนั้นเป็นเกณฑ์ 7 ข้อในการประเมินความสุข และความทุกข์ที่เกิดจากการกระทำใด ๆ ก็ตาม ซึ่งได้แก่ความเข้มข้น ความยาวนาน ความเป็นไปได้ ความใกล้ ความอุดมสมบูรณ์ ความบริสุทธิ์ และขอบเขต ยิ่งมีความเข้าใจเกี่ยวกับเกณฑ์เหล่านี้ และรู้ผลลัพธ์ของการกระทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น

3.อริสโตเติลกับความพอดี

ทุกคนต่างก็อยากทำสิ่งที่ถูกต้อง ในเวลาที่เหมาะสม และอยากเป็นคนดีมีเสือทำกันทั้งนั้น อริสโตเติลลูกศิษย์ของเพลโตได้เสนอผลงานเขียนเรื่อง Nicomachean Ethics แนะนำวิถีกึ่งกลาง (Golden Mean) มาใช้แก้ไขสถานการณ์เหล่านี้ คนเราสามารถฝึกตัวเองให้เป็นคนดีมีศีลธรรม ในเรื่องอะไรก็ได้ด้วยการฝึกฝน ทำซ้ำ และเอาอย่างคนอื่นแล้วจะเป็นได้แน่นอน คนเราคือผลจากการกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าของตัวเอง

ฉะนั้นความเป็นเลิศจึงไม่ใช่การกระทำ แต่เป็นนิสัย อริสโตเติลเสนอว่า การกระทำที่ดีนั้นคือกึ่งกลางระหว่าง 2 ฝั่ง การมีคุณธรรมนั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างสองขั้วตรงข้าม ความกล้าหาญคือตรงกลางระหว่างความบ้าบิ่นและความขี้ขลาด สรุปสั้น ๆ ก็คือจงทำทุกสิ่งด้วยความพอดี

แต่ว่าการหากึ่งกลางนี่สิคือสิ่งที่ยาก มันต้องใช้การฝึกฝน และประสบการณ์เข้ามาช่วย มันเรียกว่าภูมิปัญญาปฏิบัติ (phronesis) เมื่อทำสิ่งดี ๆ และฝึกฝนการทำสิ่งที่มีคุณธรรม ไม่นานก็จะเริ่มมีทักษะมากขึ้น เหมือนตอนที่ได้กล้ามจากการออกกำลังกาย

4.คานต์กับทฤษฎีจะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนทำแบบนั้น

ถ้าทุกคนบนโลกนี้ทำตัวเหมือนกัน มันจะกลายเป็นโลกที่น่าอยู่หรือเปล่า หรือมันจะกลายเป็นโลกที่น่าเกลียดไปเลย จะเป็นอย่างไรหากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยที่ทำ ก็กลายเป็นกฎระเบียบของมนุษยชาติ นี่คือแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังกฎข้อแรกของบัญญัติเบ็ดเสร็จเด็ดขาด (Categorical Imperative) ของ อิมมานูเอล คานต์ นักปรัชญาชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 18 เขาเชื่อว่ามนุษย์มีศีลธรรมจริงแท้อยู่ภายในตัวเอง และทุกคนล้วนสามารถแสดงมันออกมาได้

กฎศีลธรรมที่ว่านี้สามารถเข้าถึงได้ ด้วยเหตุผลที่แสนวิเศษของมนุษย์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้การมีศีลธรรมจึงเป็นการใช้เหตุผล ซึ่งเหตุผลจะกำหนดสิ่งที่เรียกว่าหลัก (Maxim) ขึ้นมา เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด เมื่อเหตุผลถูกนำมาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสม มันจะบอกให้รู้ว่าตัวเลือกทางศีลธรรมข้อไหน ที่ควรกลายเป็นบัญญัติ (Impetative) (ซึ่งหมายถึงสิ่งี่ต้องทำตาม) เหตุผลของมนุษย์สามารถทำสิ่งที่ว่า ความสามารถในการเป็นกฎสากล (Universalisability) ซึ่งหลัก ๆ แล้วก็คือให้ลองจินตนาการดูว่า จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนทำแบบนั้น

สมมุติว่ามีหลักปฏิบัติข้อหนึ่งระบุว่าโกหกไม่ผิด แล้วทุกคนบนโลกทำตามหลักข้อนี้ ผู้คนก็จะหันมาโกหกกันเป็นกิจวัตร และปกติมากเสียจนไม่เหลือเส้นแบ่ง ระหว่างความจริงและคำโกหกอีกต่อไป หากทำให้หลักปฏิบัติข้างต้นกลายเป็นกฎสากลสำหรับทุกคน มันก็จะเป็นกฎที่ทำลายตัวเองไปโดยปริยาย

ดังนั้น การไม่พูดปดควรถูกจัดให้เป็นบัญญัติ ที่เมื่อไม่ปฏิบัติตามแล้วจะเป็นตรรกะที่ทำลายตัวเองแบบนี้ว่าหน้าที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่า หน้าที่ไม่สมบูรณ์อยู่ด้วย สาเหตุที่ไม่สมบูรณ์ก็เพราะมันไม่ได้เกิดจากการใช้เหตุผลล้วน ๆ แต่ยังใช้ความชอบหรือความต้องการ ด้วย คำว่าเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในบัญญัติเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหมายถึง การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อสิ่งนั้นเอง เหมือนอย่างที่ดูหนังก็เพราะรู้สึกสนุกกับการดูหนัง

ดังนั้น เมื่อไหร่ที่รู้สึกสับสนว่าอะไรดี อะไรเลว ก็ลองใช้เครื่องมือง่าย ๆ ชิ้นนี้ดู เจียดเวลาสักนิดมาใคร่ครวญกับตัวเองว่า จะเป็นอย่างไรถ้าทุกคนทำแบบนั้น

5.แรนด์กับความเห็นแก่ตัว

จะทำดีไปทำไมถ้าเอาไปอวดในโซเชียลมีเดียไม่ได้ จะใจบุญสุนทานไปทำไมถ้าไม่มีใครชม ถ้าคิดจะทำอะไรดี ๆ ก็จงแน่ใจเสียก่อนว่ากำลังมีคนมองอยู่ นี่คือโลกแห่งอัตนิยมเชิงเหตุผล (Rational Egoism) ของ ไอน์ แรนด์ การที่มนุษย์จะใส่ใจแต่ตัวเองเป็นเรื่องธรรมชาติ และชอบด้วยเหตุผล ความสัมพันธ์ การกระทำ หรือความปรารถนาใด ๆ ก็ตาม สมควรตัดสินโดยการดูว่ามันจะมีประโยชน์ในฐานะที่เป็นปัจเจกบุคคลแค่ไหน

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร หากมันยิ่งสนองความต้องการส่วนตัวได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแรงจูงใจจะทำมันมากขึ้นเท่านั้น หากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้วชีวิตแย่ลง ก็ย่อมไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิดที่จะทำ เหมือนการเสียสละชีวิตตัวเอง เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในทุกกรณี

แรนด์เป็นนักคิดที่หากใครไม่รักก็จะเกลียดไปเลย ดังนั้น หากมีใครมาบอกให้เสียสละ ไม่ว่าจะในเรื่องไหนหรือให้ยอมยกประโยชน์โพดผลใด ๆ ให้ จงถามพวกเขากลับไปว่า ทำไมถึงต้องทำแบบนั้น มีตรงไหนของการไม่คิดถึงตัวเองเป็นอันดับแรก ที่เป็นความสมเหตุสมผล ทำไมสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาถึงต้องทำแบบนั้นด้วย

บทที่ 2 อัตถิภาวนิยม

อัตถิภาวนิยม (Existentialism) คือการปฏิเสธและการตอบรับ มันปฏิเสธกฎและบรรทัดฐานที่สมบูรณ์ เป็นภววิสัยและจำกัดขอบเขต มันตอบรับตัวเลือกของมนุษย์ อิสรภาพ การลิขิตชะตาตัวเอง และอัตลักษณ์ มันชี้ให้เห็นหน้ากากที่ใส่ รวมทั้งคำโกหกที่ใช้ในการดำรงชีวิต และเรียกร้องให้เลือกชีวิตในแบบของตัวเอง อัตถิภาวนิยมเป็นการปฏิเสธสิ่งที่คนอื่นบอกว่า ต้องทำและเรียกร้องให้เป็นคนกุมบังเหียนชีวิตของตัวเอง

1.ซาร์ตร์กับเจตนาไม่บริสุทธิ์

เคยโทษคนอื่นหรือสิ่งอื่นในเรื่องที่ตัวเองเป็นคนทำมาแล้วกี่ครั้ง เคยโมโหที่ถ้าไม่ใช่เพราะนั่นล่ะก็คงทำนี่ไปแล้วบ่อยครั้งแค่ไหน เคยรู้สึกเคืองเจ้านาย ครู พ่อ แม่ หรือเพื่อนเพราะพวกเขาทำให้ทำอะไรบางอย่างหรือเปล่า นักปรัชญาสายอัตถิภาวนิยมชาวฝรั่งเศสแห่งศตวรรษที่ 20 อย่าง ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ สังเกตเห็นและเรียกความรู้สึกดังกล่าวนี้ว่า เป็นเจตนาไม่บริสุทธิ์ (Bad Faith) การมีทางเลือกไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะง่ายเสมอไป มันมาพร้อมกับความรับผิดชอบ ความคาดหวัง และความกดดันจากการรู้ว่าสิ่งที่เลือกไปจะส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง การถูกสั่งให้ทำจึงเป็นเรื่องง่ายกว่าการตัดสินใจด้วยตัวเอง

เจตนาไม่บริสุทธิ์เกิดขึ้นเวลาที่พยายามปกปิดว่า ตัวเองมีส่วนรู้เห็นเป็นใจกับโครงสร้างที่ว่านี้ มันเกิดขึ้นตอนที่แสร้งทำเป็นว่ากฎระเบียบภายนอกบังคับให้ต้องทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ในความเป็นจริง แนวคิดกฎหรือธรรมเนียมใด ๆ ก็ไม่อาจบังคับให้ทำอะไรได้ทั้งสิ้น มีแค่ตัวเองเท่านั้นที่จะตัดสินใจได้ว่าจะทำอะไร

เจตนาไม่บริสุทธิ์คือการปฏิเสธ อาจรู้สึกว่าการปล่อยตัวให้ไหลไปตามน้ำแบบเชื่อง ๆ นั้นง่ายกว่า แต่นั่นคือการปฏิเสธตัวตนที่ดำรงอยู่ เดือดดาล บึ้งตึง พ่นคำผรุสวาทให้สาแก่ใจ แต่จำไว้ว่าโกรธได้แค่ตัวเองเท่านั้น

2.อัตถิภาวนิยมกับความว่างเปล่า

ทุกคนล้วนเคยฝันกลางวันถึงการทำบางสิ่งที่จะเปลี่ยนชีวิตไปตลอดกาล ฝันเฟื่องถึงการทำอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่ ระดับพลิกโลกให้กลับหัวกลับหางได้ ฝันเฟื่องถึงเส้นทางที่เมื่อเลือกแล้วจะไม่มีวันถอยหลังกลับไปได้อีก เสียงเพรียกจากความว่างเปล่า สื่อถึงความรู้สึกที่ว่านี้ได้เป็นอย่างดี และเหมาะอย่างยิ่งที่จะใช้แนะนำให้รู้จักกับอัตถิภาวนิยม ซึ่งเป็นปรัชญาที่ว่าด้วยตัวเลือก และความเป็นของจริงแท้

เซอร์เอิน เคียร์เกอกอร์ เสนอว่า มนุษย์ล้วนรู้สึกทั้งลิงโลด และขวัญผวากับอำนาจที่มีเหนือตัวเอง ส่วน ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ คิดว่าทุกคนล้วนโหยหาความไม่มีอยู่ หรือภาวะไร้สำนึก เพราะสิ่งที่มาพร้อมกับการมีตัวเลือกคือความรับผิดชอบ และสิ่งที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบคือ แรงกดดันและความหวั่นวิตก ไม่มีใครให้กล่าวโทษเวลาที่เลือกแล้วพลาดได้อีกต่อไป

เสียงเพรียกจากความว่างเปล่า จึงเป็นความรู้สึกที่จะมาเยือนเป็นครั้งคราว ในชั่วขณะที่เกิดความตระหนักขึ้นมาว่า ต้องมีความรับผิดชอบต่อตัวเองมากแค่ไหน อีกทั้งการกระทำยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างน่าขนพองสยองเกล้ามากเพียงใด มันเป็นความรู้สึกที่ธรรมดาสามัญ และพบเจอได้ทั่วไป (แต่ไม่ถึงขั้นทุกเมื่อเชื่อวัน) มันอาจเป็นความตื่นตระหนกที่แวบขึ้นมาตอนรถไฟแล่นผ่านชานชาลาที่ยืนอยู่ หรือไม่ก็เป็นความวิงเวียนชั่ววูบเวลายืนตรงขอบเหวแล้วก็มองลงไป

เสียงเพรียกจากความว่างเปล่าคือ เสียงที่ได้ยินจากส่วนลึกของจิตใจ มีแต่ตัวเองเท่านั้นไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ที่จะสามารถพลิกผันการมีอยู่ และเปลี่ยนทุกสิ่งในชีวิตได้ แค่ด้วยการกระทำที่เล็กน้อยที่สุด ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด ก็สามารถเป็นเจ้าแห่งจักรวาลได้

3.มงแตญกับมรณานุสสติ

ชีวิตเป็นเรื่องยากมันเต็มไปด้วยความกังวล ความหมกมุ่น ความวิตก ความหวาดกลัวสัตว์ประหลาดและผีสาง ว่าแต่จะสลัดสิ่งเหล่านี้ทิ้งไปได้อย่างไร ต้องทำอย่างไรถึงจะมองมันให้เป็นเรื่องเล็กอย่างที่มันเป็นได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ปรัชญาเสนอเครื่องมือที่เรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพให้ชื่อของมันคือมรณานุสสติ(Monento Mori)

มาร์กุส เอาเรลิอุส จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมัน ผู้เป็นเสาหลักของลัทธิสโตอิก (Stoicism) ให้ความสนใจและขบคิดเกี่ยวกับความตายอย่างลึกซึ้ง เขามองว่าความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งเสนอว่าการคิดคำนึงถึงมันเป็นประจำ จะช่วยลดความหวั่นวิตก ที่เป็นผลจากการเก็บกักสมบัติพัสถาน การไขว่คว้าหาความมั่งคั่ง และการยึดติดกับสิ่งที่ไม่จีรังลงได้ สักวันทุกอย่างก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลี

แล้วจะเสียเวลาแสนสั้นไปกับการนั่งกังวลทำไม ไม่ว่าอย่างไรความตายก็จะมาเยือนเสมอ ถ้าคิดถึงมันมากพอ ความวิตกกังวลในแต่ละวันจะเหือดหายไปโดยอัตโนมัติ ใครจะสนว่าเจ้านายคิดอย่างไร มันสำคัญด้วยหรือ ถ้าเพื่อนจะพูดอะไรแย่ ๆ แล้วจะบึ้งตึงใส่คนที่รักไปทำไม ชีวิตไม่ต่างอะไรกับเปลวเทียนที่วูบไหว แล้วดับไปในความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์ มรณานุสติบอกให้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องเล็ก และให้ใส่ใจกับเรื่องที่มีค่าควรใส่ใจ

4.นีตเชอกับความแข็งแกร่ง

มุมมองที่ ฟรีดรีช นีตเชอ มีต่อภาวะสมัยใหม่ และเขาได้เขียนเกี่ยวกับมันเอาไว้ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 แก่นแท้ของทุกชีวิตคือ ความปรารถนาในอำนาจ หากดูในแง่ของชีววิทยา ทุกชีวิตต้องต่อสู้กันแบบใครดีใครได้ เพื่อที่จะส่งต่อยีนของตัวเองให้ดำรงอยู่ต่อไป แต่นี่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะสัญชาตญาณอันเป็นสากลของสิ่งมีชีวิตคือ การควบคุม ครอบงำ และฉกฉวยสิ่งที่ต้องการมาครอบครอง นี่เป็นความจริง

ความเปลี่ยนแปลงนี้ขัดแย้งกับทุกแรงขับเคลื่อนตามธรรมชาติของชีวิต มันคือเจตจำนงที่จะสูญสิ้น และมันปฏิเสธสิ่งที่เป็นแรงขับในการมีชีวิตอยู่ ปฏิเสธสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของทุกสิ่งที่เป็นธรรมชาติ มันปฏิเสธเจตจำนงที่จะมีอำนาจ

สำหรับนีตเชอนี่เป็นภาวะที่เข้าขั้นอันตรายถึงตาย จำเป็นต้องหวนคืนสู่ชีวิตแบบดั้งเดิมในทุก ๆ ด้าน จำเป็นต้องฟื้นฟูเกียรติศักดิ์และอำนาจ จำเป็นต้องกลับไปมีชีวิตอย่างกล้าหาญ และปราศจากความละอาย นี่แหละคือเจตจำนงที่จะมีอำนาจ

5.ไฮเดกเกอร์กับความตาย

มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ มองว่าคนเราละเลยแง่มุมหนึ่งของการเป็นมนุษย์ที่สำคัญ ใกล้เข้ามา และหลีกเลี่ยงไม่ได้มานานเกินไป นั่นคือความจริงที่ว่าทุกคนต้องตาย คนเราลงทุนลงแรงอย่างหนักที่จะปกปิดมันไว้ และเบี่ยงเบนความสนใจไปจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความตาย คนเราใช้เวลาของชีวิตไปกับกิจวัตรซ้ำ ๆ และเครื่องเบี่ยงเบนความสนใจที่ถูกออกแบบมาให้ลบเลือนความตาย ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกความเป็นมนุษย์

ไฮเดกเกอร์เชื่อว่า หากไม่มีความตายมาเป็นม่านปิดฉาก ย่อมหาความหมายของชีวิตไม่เจอ จำเป็นต้องมีเวลากับความตายมาเป็นสมอให้ชีวิต ต้องเผชิญหน้ากับความตายเพื่อให้ได้มาซึ่งจุดมุ่งหมาย ความงามของอาทิตย์อัสดงอยู่ที่การสิ้นแสง ความสะเทือนอารมณ์ของความรักคือตอนที่มันจบสิ้นลง และเสียงเข็มนาฬิกาคือสิ่งที่กล่อมให้หลับใหล ตัวเลือกที่เลือกในวันนี้จะเป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่เลือก เพราะฉะนั้นจงใช้มันให้คุ้มค่าที่สุด

บทที่ 3 ศิลปะ

หากปรัชญาคือชั่วขณะแห่งการมองให้ลึกขึ้นแล้ว มองซ้ำอีกรอบก็ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมนักปรัชญาถึงรักศิลปะ การนิยามว่าศิลปะคืออะไรกันแน่ ถือเป็นปริศนาปรัชญาในตัวของมันเอง แต่ในที่นี้ศิลปะเป็นสิ่งที่ถูกนิยามโดยเนื้อหาของมัน เช่น ดนตรี รูปวาด ภาพยนตร์ ละคร การขับร้อง ความงาม เป็นต้น ศิลปะคือหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของการเป็นมนุษย์ และปรัชญาก็ช่วยให้ความกระจ่างต่อความต้องการนี้ได้เป็นอย่างดี ศิลปะคือทุกวิธีที่ใช้ในการแสดงออกถึงประสบการณ์ความเป็นมนุษย์ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อที่อื่นจะได้สามารถเข้าถึงได้

1.วาบิ-ซาบิ กับความงามที่แตกต่าง

บางสิ่งที่แตกสลายสามารถงดงามได้อย่างสุดซึ้ง ลานแห่งรูปสลักที่ปกคลุมไปด้วยมอสส์ ต้นไม้ที่ยืนต้นตาย หรือซากปรักหักพังของปราสาท ล้วนมีความเปราะบางที่สะทกสะเทือนสักที่ลึก ๆ ในตัว ความเก่า ผุพัง แตกร้าว ไม่เข้าคู่ ขรุขระ หรือบิดเบี้ยว สามารถกระตุ้นสัมผัสแห่งความงามที่โศกเศร้า นี่คือแนวคิดวาบิ-ซาบิ (Wabi-Sabi) ของญี่ปุ่น

วาบิ-ซาบิคือแนวคิดที่ยอมรับและเห็นค่าของความไม่สมบูรณ์แบบ หรือความไม่จีรังของชีวิต และพร้อมกันนั้นก็หมายถึงวิธีที่เชื่อมโยงตัวเองเข้ากับมัน เพื่อให้สามารถมองเห็นตัวเองในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของความไม่จีรังนี้ได้ ในแถบที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพุทธ โดยเฉพาะญี่ปุ่นนั้น สิ่งที่ถูกขับเน้นคือความไม่คงทนถาวร ความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ และความเปราะบางของสรรพสิ่ง

แม้วาบิ-ซาบิจะเป็นที่รู้จักนอกญี่ปุ่น แต่ก็มักถูกพูดถึงในแง่ของการออกแบบมากกว่า มันเป็นสิ่งที่จะเจอในซากปรักหักพัง โต๊ะสไตล์บ้านไร่โทรม ๆ หรือเสาที่ไม่สมมาตรของอนุสาวรีย์ จริง ๆ แล้ววาบิ-ซาบิเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคนดูกับสิ่งที่กำลังดูอยู่มากกว่า วัตถุใดวัตถุหนึ่งไม่อาจเป็นวาบิ-ซาบิได้ด้วยตัวมันเอง

คนญี่ปุ่นมีสัมผัสที่ละเอียดอ่อนต่อการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลอย่างยิ่ง และวาบิ-ซาบิก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มันเป็นการยอมรับการมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่ยาวนาน เป็นการดื่มด่ำกับชีวิตในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน โดยระหว่างนั้นก็ตระหนักเป็นอย่างดีว่า ทั้งหมดนี้ย่อมมีวันจากลาเช่นเดียวกับทุกสิ่ง ใด ๆ ในโลกล้วนมีวันจืดจาง ชำรุด เหี่ยวเฉา และเสื่อมถอย วาบิ-ซาบิคือการตระหนักถึงความไม่จีรังนี้ในทุกสิ่งอัน

2.อริสโตเติลกับการระบายอารมณ์

ทำไมคนถึงชอบดูหนังสยองขวัญ ทำไมหนังที่ดีที่สุดตลอดกาลถึงได้เป็นหนังชีวิตที่บีบคั้นหัวใจจนนั้นตาไหลพรากเสมอ อริสโตเติลคิดว่าตัวเองรู้คำตอบของคำถามนี้ เขาเรียกมันว่าการระบายอารมณ์ (Catharsis) การระบายอารมณ์จึงเป็นกระบวนการ ที่ทำโดยการจงใจเอาตัวเองไปสัมผัส กับความรู้สึกที่รุนแรงหรือไม่พึงประสงค์ เพื่อที่จะระบายมันออกไปจากจิตใจ การระบายอารมณ์เป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากที่ได้ปล่อยโฮออกมา หรือทำไมถึงรู้สึกอยากวิ่งไกล ๆ หรืออยากดื่มจนเมาเวลาที่เครียดจัด มันคือการระบายทุกอย่างออกมาอย่างปลอดภัย และสังคมยอมรับ

บางคนเชื่อว่าความมุ่งหมายของอริสโตเติลคือ อยากให้ระบายเฉพาะอารมณ์ด้านลบและเป็นภัย อย่างความกลัว ความโกรธ หรือความเกลียด เพื่อปรับสมดุลให้กับอารมณ์ แต่บางคนก็เชื่อว่าอริสโตเติลตั้งใจ จะให้ระบายทุกอารมณ์ออกมา ซึ่งดู ๆ แล้วก็มีน้ำหนักกว่า หากนึกถึงว่านักปรัชญากรีกมักเน้นย้ำว่า เหตุผลเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่าอารมณ์ความรู้สึกเสมอ สำหรับคนยุคปัจจุบันแนวคิดเรื่องการระบายอารมณ์ เป็นสิ่งที่เป็นความจริงอย่างยิ่ง มันทำให้รู้สึกดีขึ้นเยอะ ดังนั้น หากกำลังรู้สึกเจ็บปวดหรือหงุดหงิดงุ่นง่าน มันก็อาจได้เวลาที่จะระบายมันออกมาให้หมดเดี๋ยวนี้เลย

3.คานต์กับความงดงามและความสูงส่ง

พายุที่มาพร้อมฟ้าผ่ามีความงามที่ร้ายกาจมาก รู้สึกตื่นตะลึงและต่ำต้อยเวลายืนอยู่ตีนเขาสูงตระหง่าน และความกว้างใหญ่ไพศาลของทะเลคลั่งก็มีแรงดึงดูดที่ลึกล้ำ สำหรับ อิมมานูเอล คานต์ ความรู้สึกดังกล่าวนี้คือความสูงส่ง และมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง เขาเชื่อว่าคนเราสามารถจำแนกทุกสิ่ง ในแง่ของสุนทรียภาพออกได้เป็น 2 แบบได้แก่ ความงดงาม (Beautiful) และความสูงส่ง (Sublime) มนุษย์มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อทั้ง 2 แบบ

ทว่าแต่ละคนจะสัมผัสมันได้ด้วยวิธีการ และบริบทที่แตกต่างกันไป ถ้าให้พูดแบบกว้าง ๆ ความงามมีลักษณะเด่นตรงที่เป็นสิ่งที่น่าพึงใจ ดูดี และชวนให้เบิกบาน ส่วนความสูงส่งนั้นลึกล้ำ ลึกซึ้ง และเปลี่ยมไปด้วยความหมาย กุหลาบหอม ๆ แกะที่กระโดดโลดเต้น และทุ่งหญ้าที่พร่างพราวด้วยน้ำค้างคือความงดงาม ส่วนควายไบซันที่พ่นลมหายใจ สายน้ำเชี่ยวกรากที่กล่อนลึกคือความสูงส่ง

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลายตัวอย่างของคานต์อาจฟังดูพิลึกพิลั่น และแม้แต่น่ารังเกียจ แต่หลักการกว้าง ๆ ของมันก็มีความน่าสนใจ ที่สามารถรู้สึกเห็นพ้องไปด้วยได้ ไม่ว่าจะเดินอยู่ท่ามกลางทุ่งกุหลาบ หรือฟังเสียงฝนที่ตกกระทบประตูก็ตาม

4.โซเปนเฮาเออร์กับดนตรี

ดนตรีมีมนต์ขลังบางอย่าง มันมีพลังที่สามารถยกออกมาจากตัวเอง ยกออกมาจากชีวิต ไปสู่สถานที่ที่ปราศจากอัตตา และไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากดนตรี และชั่วขณะนั้น ๆ เคยสังเกตไหมว่าภาษาที่ใช้พูดถึงดนตรีนั้น บางครั้งก็แทบจะเหมือนกับเวลาพูดถึงศาสนา มันเป็นสิ่งที่ยากจะบรรยาย มันให้ความรู้สึกของอะไรสักอย่างที่ยิ่งใหญ่ อะไรสักอย่างที่ทำให้ลืมตัวตนของตัวเอง ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นสิ่งที่ อาร์ทัวร์ โซเปนเฮาเออร์ รู้ดีอย่างที่สุด ศิลปะส่วนใหญ่มักมีอย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง ที่เป็นตัวแทนของอะไรบางอย่าง รูปวาด รูปถ่าย หรือรูปสลักมักอยู่ในรูปของบางอย่างหรือบางคน

สำหรับโซเปนเฮาเออร์ดนตรีไม่ได้เป็นตัวแทนของสิ่งใด ๆ เลยบนโลกนี้ แต่เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของการมีอยู่ มันแสดงออกถึงพลังชีวิตที่มีพลวัตดิ้นรนต่อสู้ และพยายามไขว่คว้าเรียกสิ่งนี้ว่าเจตจำนง ดนตรีก้องกังวานในวิญญาณ เพราะมันคือการแสดงออกทางสุนทรียภาพของธรรมชาติมนุษย์ ที่งดงามและสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่แค่ธรรมชาติของมนุษย์เท่านั้น

หากเชื่อตามโซเปนเฮาเออร์สิ่งที่ควรทำคือ ละทิ้งอัตตาและความเป็นปัจเจกเพื่อดนตรี แล้วจะได้กลายเป็นบริวารผู้บริสุทธิ์ และปราศจากเจตทำนง ซึ่งได้เพลิดเพลินกับสันติภาพที่แสนสุข และไม่มีวันถูกทำลาย ดนตรีคือทางออกให้สามารถหนีจากเจตจำนงของตัวเองได้ เพราะดนตรีช่วยสลายอัตตา มันสามารถพาไปยังสถานที่ที่สูงส่งกว่าความสุขได้

5.ยุงกับเมนูเลือกคาแรกเตอร์

นักจิตวิเคราะห์ชาวสวิสอย่าง คาร์ล ยุง สนใจสิ่งที่เขาเรียกว่าจิตไร้สำนึกร่วม (Collective Unconscious) ยุงเชื่อว่าโลกนี้มีโครงสร้างสากลบางอย่าง ที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ในทุก ๆ กลุ่มสังคมเขาเรียกสิ่งนี้ว่าแม่แบบ ว่ากันแบบง่าย ๆ มันก็คือแนวทางหรือกรอบที่สังคมอนุญาตให้สมาชิกประพฤติตัว เขากล่าวว่ามี 12 แบบ ที่ทรงอำนาจมากเสียจนมนุษย์อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดมันออกมาในเรื่องเล่า ตำนาน ดนตรี และขนบธรรมเนียม

ยิ่งไปกว่านั้นยังถึงขั้นยกให้แม่แบบเหล่านี้เป็นพระเจ้า และกราบไหว้บูชามัน อย่างไรก็ตาม ต้องบอกไว้ด้วยว่าแม่แบบที่นำมาพูดถึงในที่นี้ เป็นแม่แบบที่มักถูกนำไปใช้ในการตลาดและวัฒนธรรม แต่จะไม่เจอในชื่อเดียวกันนี้ หากไปอ่านงานของยุง จริงอยู่ว่ายุงตั้งชื่อให้กับแม่แบบใหญ่ ๆ ของตัวเอง แต่มันก็มีความเฉพาะเจาะจงน้อยกว่าชื่อคาแรคเตอร์ ที่นิยมใช้กันในเกมแนวบทบาทสมมุติในเวลาต่อมา

ยุงถือว่ามีความใกล้เคียงกับพวกอัตถิภาวนิยม และก็เช่นเดียวกันกับนักคิดสายอัตถิภาวนิยม เขาเสนอว่าหากอยากมีความสุข จำเป็นต้องก้าวออกจากขอบเขตของแม่แบบ แล้วมุ่งสู่การเป็นปัจเจก เพื่อที่จะได้สร้างคาแรกเตอร์ที่เป็นของตัวเอง หากอยากรู้สึกถึงอิสรภาพ แทนที่จะเลือกคาแรคเตอร์สำเร็จรูป ในหน้าเมนูเลือกคาแรคเตอร์ ต้องสร้างคาแรคเตอร์ของตัวเองขึ้นมา

บทที่ 4 สังคมและความสัมพันธ์

อริสโตเติลกล่าวไว้ว่า การเป็นมนุษย์คือการอยู่ร่วมกับมนุษย์คนอื่น ทุกคนต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ในทางใดก็ทางหนึ่ง และนอกจากนั้นยังเป็นอะไรอีกมากมาย ที่อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ด้าน ไม่อาจที่จะไม่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ มันอยู่ใน DNA ของคนเรา สังคมเป็นเรื่องของวิธีที่ใช้ชีวิตร่วมกัน ส่วนความสัมพันธ์คือทัศนคติที่เป็นส่วนตัว ซึ่งนิยามชีวิตที่มีต่อกันและกัน

1.เพลโตกับรักแท้

สุดท้ายทุกคนก็ต้องแก่ ต่อให้พยายามสู้ ยื้อเวลา หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้แค่ไหน สุดท้ายทุกสิ่งที่เคยอวดได้อย่างภาคภูมิใจก็จะเหี่ยวแห้งโรยราลง การรักใครสักคนมีความหมายอย่างไร หากพบกับคนรักในตอนที่ต่างคนต่างก็ยังหนุ่มสาวและดูดี มันจะเป็นอย่างไรเมื่อเรือนร่างของอีกฝ่ายแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นี่คือประเด็นที่เพลโตยกขึ้นมาพิจารณา ในงานเขียนเกี่ยวกับความหมายของความรักหลายชิ้นของเขา

ทฤษฎีความรักของเพลโต เป็นส่วนหนึ่งของมุมมองที่กว้างกว่าที่เขามีเกี่ยวกับร่างกายและวิญญาณ ในความเห็นของเพลโต มนุษย์ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าวิญญาณ ที่ถูกกักขังหรือถูกห่อหุ้มอยู่ในร่างกายเท่านั้น วิญญาณคือส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดของมนุษย์ มันช่วยให้สามารถหลุดพ้นจากโลกที่เต็มไปด้วยความเสื่อมทราม ความจอมปลอม และภาพมายา เพื่อมาพิจารณาสัจธรรมความเป็นจริงที่สมบูรณ์แบบ หรือโลกแห่งแบบ (World of Forms) ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสิ่งที่เหมือนจะเป็นความเป็นจริง วิญญาณคือหน้าต่างสู่ความจริง เพลโตมองว่าความรักมีอยู่ 2 รูปแบบได้แก่และ

ความรักทางโลก (รักหยาบ) คือความรักที่เป็นเรื่องทางวัตถุ โอหัง และฉาบฉวย มันคือความต้องการต้องใจ ความปรารถนาทางเพศ และตัณหาราคะ มันเป็นเรื่องของความหฤหรรษ์ล้วน ๆ

ความรักอันศักดิ์สิทธิ์ (รักบริสุทธิ์) คือการรับรู้ถึงวิญญาณของกันและกัน มันคือการเห็นตัวตนส่วนที่ลึกที่สุด และจริงแท้ที่สุดของกันและกัน ความรักแบบนี้จะไม่สนใจความเปลี่ยนแปลงของร่างกายภายนอก มันเป็นความรักที่ซื่อสัตย์มั่นคง และทุ่มเทโดยไม่สนว่าร่างกายที่เปลือกนอกจะเป็นอย่างไร

ทุกวันนี้คำว่าความรักแบบเพลโตนิค (Platonic Love) หมายถึงการรักโดยที่ไม่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง มันคือความปรารถนาที่อยากจะเห็นผู้เป็นที่รักเจริญรุ่งเรือง และดึงเอาส่วนที่ดีที่สุดของอีกฝ่ายออกมา

2.เดอ กรูซีกับพ่อแม่ที่เอาใจใส่

ทุกสิ่งที่เป็นทุกวันนี้ล้วนเป็นผลมาจากพ่อแม่ สามารถสัมผัสถึงอิทธิพลของพวกเขาได้ พ่อแม่สอนเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในโลกนี้ หาอาหารให้กิน หาเสื้อผ้าให้ใส่ และคอยดูแลเอาใจใส่ แต่ที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือการที่พ่อแม่อยู่ด้วย ไม่มีใครเกิดมาคนเดียว มนุษย์ต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม จำเป็นต้องมีกันและกัน ข้อสังเกตที่เรียบง่ายนี้คือ สิ่งที่ทำให้นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18 อย่าง โซฟี เดอ กรูซี สรุปว่า ศีลธรรมในมนุษย์จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่ออยู่ร่วมกับคนอื่น

ความรักที่ได้รับในช่วงแรกเริ่มของชีวิต จะเป็นตัวกำหนดมุมมองทางศีลธรรมทั้งชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงต้องเรียนรู้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าการมีอยู่ของมนุษยชาตินั้นหลัก ๆ แล้วเป็นหนี้บุญคุณมนุษย์คนอื่น ๆ ทุกคน และไม่สามารถจะหันหลังให้กันและกัน ปลีกวิเวกออกมาอยู่คนเดียว หรือไม่ยินดียินร้ายกับทุกข์สุขของคนอื่นได้

บทเรียนแรกของชีวิตมนุษย์คือ การเรียนรู้ว่าเมื่อใดที่ตกทุกข์ได้ยาก คนอื่นสามารถเข้ามาช่วยได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ถึงคอยปรับตัว ให้เข้ากับคนอื่นที่อยู่รอบตัวโดยธรรมชาติ หากความเห็นอกเห็นใจเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากความสัมพันธ์ในช่วงต้นของชีวิต นั่นแปลว่าคุณภาพของความสัมพันธ์เหล่านั้น ย่อมแปรผันกับความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ หรือก็คือยิ่งได้พึ่งพา เชื่อมโยง ผูกพัน และได้รับความรักในช่วงประถมวัยมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นได้มากเท่านั้น

3.เวเบอร์กับการทำงานหามรุ่งหามค่ำ

มักซ์ เวเบอร์ อยากรู้ว่าทำไมระบบทุนนิยม และความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นตามมา ถึงดูจะหยั่งรากได้แค่ในประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์ และส่วนใหญ่แล้วเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ เขาไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ และเสนอว่านิกายโปรเตสแตนต์ มีวิถีชีวิตกับจริยธรรมการทำงานบางอย่าง ที่เอื้อต่อการเจริญงอกงามของระบบทุนนิยม คุณสมบัติ 2 ประการของนิกายโปรเตสแตนต์ที่ว่านี้ได้แก่

  1. ยกระดับงานทางโลกให้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเครื่องชำระล้างบาป เช่น บอกว่างานเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์
  2. เป็นพิวริตัน (Puritan) หรือไม่ก็ต่อต้านลัทธิสุขนิยม (Anti-Hedonism) นิกายโปรเตสแตนต์สนับสนุนการนำเงินไปลงทุนต่อ ซึ่งทำให้เกิดการสะสมทุน แทนที่จะเอาไปใช้จ่ายกับของมึนเมา อาหาร หรือกีฬา

นอกจากนี้ระบบทุนนิยมกับการมองทุกสิ่งในเชิงเศรษฐศาสตร์ ที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์และกำไรเอง ก็ไม่ใช่จุดยืนที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ คุณค่าทั้งหมดของชีวิต คนที่นับถือนิกายโปรเตสแตนต์ ก็กลายเป็นสิ่งที่วัดกันโดยดูว่า ได้ทำงานหนักและประสบความสำเร็จแค่ไหน การทำงานเกินเวลาและหักโหม กลายเป็นสิ่งที่ถูกเชิดชูว่าเป็นอุดมคติและน่ายกย่อง ถ้าทำไม่ได้ก็แสดงว่าเป็นหนึ่งในคนบาป ที่ต้องตกนรกอย่างไม่ต้องสงสัย

เวเบอร์เป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ชี้ให้เห็นว่าความคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมา

4.โวลล์สโตนคราฟต์กับสตรีนิยมคลื่นลูกที่หนึ่ง

การทำให้ทุกคนเข้มแข็งมีพลัง น่าจะต้องเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคนในสังคม นี่คือสิ่งที่ แมรี่ โวลล์สโตนคราฟต์ เสนอในการเรียกร้องสิทธิให้กับผู้หญิง เธอมักถูกมองว่าเป็นนักปรัชญาสตรีนิยมรุ่นบุกเบิกคนแรก ๆ เธอมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 18 ในประเทศอังกฤษ ที่ผู้หญิงไม่มีสิทธิเลือกตั้ง ไม่มีสิทธิด้านกฎหมาย การเงิน และโอกาสทางการศึกษา เธอถูกมองว่าเป็นหัวหอกของสิ่งที่เรียกกันว่า สตรีนิยมคลื่นลูกที่หนึ่ง (First-Wave Feminism) ซึ่งให้ความสำคัญสูงสุดกับสิทธิที่เท่าเทียมทางกฎหมายและการเมือง

โวลล์สโตนคราฟต์เสนอว่า การไม่ยอมรับในสติปัญญา คุณงามความดี และพรสวรรค์ของเพศใดเพศหนึ่งนั้น จะทำให้สังคมแย่ลงในทุก ๆ ด้าน การจำกัดผู้หญิงให้อยู่แต่ในบ้านเพื่อรับใช้ผู้ชายคือ การขัดขวางความเจริญก้าวหน้าของมนุษย์

ด้วยเหตุนี้การกดขี่ผู้หญิง จึงไม่ได้เพียงแค่ผิดศีลธรรมในตัวมันเองเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียในเชิงประโยชน์นิยม เพราะทำให้สังคมไม่ได้รับประสิทธิภาพการผลิตสูงสุดด้วย

5.มาร์กซ์กับการต่อสู้ระหว่างชนชั้น

การต่อสู้ระหว่างชนชั้น (Class Struggle) ของ คาร์ล มาร์กซ์ จากรัสเซียในศตวรรษที่ 19 แนวคิดของมาร์กซ์มักถูกนำไปบิดเบือน และทำให้กลายเป็นผู้ร้ายโดยฝ่ายขวา หรือไม่ก็ฝ่ายซ้ายจงใจเลือกแค่บางส่วนไปยกย่องเชิดชู แต่ถึงอย่างนั้นแนวคิดของเขา ก็มีค่าควรแก่การพิจารณา

มาร์กซ์เสนอว่าพวกกระฏุมพีซึ่งได้แก่เจ้าของโรงงาน คหบดี และพวกนายธนาคาร คือตัวแทนของระบบทุนนิยมที่มองทุกอย่างในแง่ของกำไร คนกลุ่มนี้เป็นผู้ควบคุมปัจจัยการผลิต จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะมองว่า การลดต้นทุนและประสิทธิภาพการผลิตเป็นสิ่งสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

ในทางตรงกันข้าม สิ่งที่ชนชั้นกรรมาชีพหรือกรรมกรต้องการคือ สภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี ค่าจ้างที่น่าพอใจ และความสุขในการทำงาน พวกเขามองเห็นและพยายามต่อสู้เพื่อคุณค่าที่ไปไกลกว่าแค่เรื่องตัวเลข พวกเขาอยากมีคุณภาพชีวิตที่ทัดเทียมกับพวกกระฏุมพี เมื่อจุดมุ่งหมายไปกันคนละทิศละทาง ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า 2 กลุ่มนี้จะปะทะกัน เขาบอกว่านี่แหละคือสิ่งที่ทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างชนชั้นขึ้น มันไม่จำเป็นต้องเป็นการต่อสู้กันจริง ๆ

มาร์กซ์เชื่อว่าการต่อสู้ระหว่างชนชั้นคือ การต่อสู้ระหว่างชุมชนกับบริโภคนิยม คือการต่อสู้ระหว่างองค์กรธุรกิจกับประชาชน และคือการต่อสู้ระหว่างความเป็นทรัพยากรมนุษย์และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือพูดสั้น ๆ ก็คือมันไม่ได้เป็นเพียงการต่อสู้ระหว่างชนชั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้เพื่อสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณของมนุษยชาติด้วย

บทที่ 5 ศาสนาและอภิปรัชญา

คำว่า Meta (อภิ) เป็นคำกรีกที่หมายถึงนอกเหนือ ฉะนั้น อภิปรัชญา (Metaphysics) จึงหมายถึงทุกสิ่งที่อยู่นอกเหนือ เบื้องหลัง หรือเบื้องบน โลกกายภาพไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า ทวยเทพ เทวดา ปีศาจ ภูตผี หรือวิญญาณ ก็ล้วนจัดอยู่ในอภิปรัชญา และสำหรับหลาย ๆ คน อย่างความถูกผิด ความงาม ความรัก หรือความตระหนักรู้เอง ก็ถือเป็นอภิปรัชญาเช่นกัน ศาสนาและอภิปรัชญาครอบคลุมทุกสิ่ง ที่วิทยาศาสตร์ไม่เคยแตะต้อง มันเป็นสิ่งที่อยู่เหนือไปจากโลกกายภาพ

1.อัล-กินดีกับเหตุแรก

ทุกการเดินทางยาวไกลหลายพันกิโลเมตรล้วนเริ่มต้นขึ้นด้วยก้าวแรก ทุกมหากาพย์หรือบทกวีล้วนเริ่มต้นด้วยคำแรก และทุกซิมโฟนีล้วนขึ้นต้นด้วยโน้ตแรก ทุกสิ่งล้วนเริ่มต้นขึ้นในที่ใดที่หนึ่ง และทุกสิ่งล้วนมีสาเหตุหรือเหตุผลของมัน การสังเกตที่เรียบง่ายนี้คือ พื้นฐานของหนึ่งในการอ้างเหตุผลว่า พระเจ้ามีอยู่จริงที่นิยมกันมากที่สุด แต่มันได้รับการอรรถาธิบายถึงอย่างชัดเจนที่สุดในศตวรรษที่ 9 โดย อัล-กินดี ปราชญ์ชาวอิสลาม การอ้างเหตุผลของมันเป็นไปดังนี้

  1. ทุกสิ่งที่มีอยู่ล้วนมีเหตุที่ทำให้มันมีอยู่
  2. จักรวาลมีอยู่

เพราะฉะนั้นจักรวาลย่อมต้องมีเหตุของมัน มนุษย์เกลียดข้อเท็จจริงที่ปราศจากคำอธิบาย อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบไม่มีเหตุผลและที่มาที่ไป จึงขัดกับสัญชาตญาณธรรมชาติอย่างยิ่ง ทุกสิ่งต้องมีเหตุที่ทำให้มันมีอยู่ตรงนั้นได้ มันต้องมีเหตุผลที่เหมาะสมหรือคำอธิบาย และในทำนองเดียวกันจักรวาลเอง ก็ย่อมต้องมีเหตุ มีผู้สร้าง หรือมีสิ่งแรกที่ขยับอยู่อย่างแน่นอน

ข้อเสนอนี้ถูกเอามาปัดฝุ่นใหม่โดย วิลเลียม เลน เครก นักปรัชญาชาวอเมริกันเสนอว่า แนวคิดเรื่องการถอยกลับแบบอนันต์ (Infinite Regress) เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลในความเป็นจริงทุกกรณี เมื่อพิจารณาปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้น การอ้างเหตุผลเชิงจักรวาลวิทยาเดียวที่มีความสมเหตุสมผล จึงเป็นการที่จักรวาลต้องมีเหตุที่ทำให้มันมีอยู่ อาจไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เป็นพระเจ้าของศาสนาไหน แต่อาจพิสูจน์ได้ว่ามีสิ่งแรกที่ขยับ หรือจะเรียกว่าผู้ที่ทำให้เกิดบิกแบงดี

2.ฮูมกับความชั่วร้าย

ใครคือคนที่ต้องรับผิดชอบต่อความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวงบนโลกใบนี้ และนี่เองคือแนวคิดที่เรียกกันว่า ปัญหาความชั่วร้าย (Problem of Evil) แม้จะมีการพูดถึงมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณโดย เอพิคิวรัส แต่ปัญหาความชั่วร้ายกลายเป็นที่รู้จัก และได้รับการสาธยายถึงอย่างดีที่สุดโดย เดวิด ฮูม นักปรัชญาชาวสก๊อตแห่งยุคแสงสว่างทางปัญญา ความชั่วร้ายแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้แก่ ความชั่วร้ายทางธรรมชาติ กับความชั่วร้ายทางศีลธรรม

ความท้าทายของเรื่องนี้อยู่ตรงที่พระเจ้าของเทวนิยมคลาสสิค ล้วนเป็นผู้มีมหิทานุภาพ โลกจึงไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ เพราะพระเจ้าสามารถทำได้ทุกอย่างที่ต้องการ คำถามนี้มีคำตอบอยู่ชุดหนึ่ง มันเป็นที่รู้จักกันในชื่อการแก้ต่างให้พระเจ้า (Theodicy) ซึ่งมีอยู่ 3 รูปแบบใหญ่ ๆ

แบบแรกบอกว่า ความชั่วร้ายเป็นเพียงผลที่เกิดจากเจตจำนงเสรีของมนุษย์ (ผู้อ่อนแอ)

แบบที่ 2 บอกว่าบางทีความชั่วร้ายอาจแฝงไว้ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง เช่น ช่วยให้เกิดปัญญา หรือมอบโอกาสให้ได้แสดงความโอบอ้อมอารี

ส่วนแบบที่ 3 บอกว่า นี่อาจเป็นธรรมชาติของพระเจ้า ซึ่งพูดง่าย ๆ ก็คือนี่เป็นโลกที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ และสักวันจะรู้เองว่าแผนการของพระเจ้าคืออะไร

3.มาร์กซ์กับการมอมเมาปวงประชา

คาร์ล มาร์กซ์ เสนอว่าศาสนาคือการหลอกล่อที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าการหลอกล่อใด ๆ ทั้งสิ้น มาร์กซ์คิดว่าศาสนาคือเครื่องมือชนชั้นปกครอง ใช้ควบคุมให้ชนชั้นแรงงานสงบเสงี่ยมเจียมตัวเข้าไว้ โดยศาสนาสามารถทำแบบนั้นได้ผ่าน 2 วิธี

วิธีแรกคือให้สัญญาว่า พวกที่เชื่อง เชื่อฟัง และว่าง่ายจะได้ขึ้นสวรรค์ไปพร้อม ๆ กับขู่ว่าใครก็ตามที่ไม่เชื่อฟังและต่อต้านจะต้องตกนรก

ในส่วนของวิธีที่ 2 ศาสนาทำงานไม่ต่างอะไรกับยาเสพติด ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้บรรเทาความเจ็บปวด ชนชั้นกรรมาชีพจะถูกทำให้ด้านชากับความเจ็บปวด จนรู้สึกมีความสุขกับชีวิตที่ลำเค็ญของตัวเอง พวกเขาจะร้องเพลง จุดธูปเทียน และสวดอธิษฐาน สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขายุ่งหรือกลัวเกินกว่าจะตั้งคำถามว่า ระบบของโลกที่เป็นอยู่มันยุติธรรมแค่ไหน

การยกเลิกศาสนาอันเป็นความสุขมายาของปวงประชา เป็นสิ่งจำเป็นต่อการได้มาซึ่งความสุขที่แท้จริง หรือพูดอีกอย่างก็คือหากปลดเปรื้องตัวเองออกจากความเชื่อเรื่องผู้พิพากษาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อนั้นมนุษย์ถึงจะสามารถมองมายังตัวเอง และความอยุติธรรมบนโลกใบนี้ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ความเชื่อในศาสนามอบการปลอบประโลมใจ และเป้าหมายชีวิตให้กับคนนับล้าน แต่คำถามของมาร์กซ์มีอยู่ว่า แล้วราคาที่ต้องจ่ายคืออะไร

4.ฮูมกับปาฏิหาริย์

ในความเรียงอันทรงอิทธิพลชื่อ Of Miracles ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1748 เดวิด ฮูม บอกว่า นิยามของปาฏิหาริย์คือ การละเมิดกฎธรรมชาติ ไม้กวาดบินได้ ภูตผีจอมราวี หรือศพฟื้นคืนชีพ ล้วนเป็นการละเมิดกฎธรรมชาติมันจึงถือเป็นปาฏิหาริย์ กฎธรรมชาติที่รู้จักเป็นสิ่งที่ก่อร่างสร้างขึ้นจากประสบการณ์อันยาวนาน และกว้างไกลของมนุษยชาติ มันได้รับการพิสูจน์และค้ำยัน ด้วยหลายศตวรรษแห่งระเบียบพิธีแบบวิทยาศาสตร์ และสหัสวรรษแห่งการสังเกตการณ์ของมนุษย์ มนุษย์หลายพันล้านคนทั่วโลก คอยสังเกตและยืนยันความถูกต้องของกฎที่ว่านี้ แทบทุกชั่วขณะของแต่ละวัน

โดยนิยามแล้ว ปาฏิหาริย์เป็นสิ่งที่ต้องสู้กับน้ำหนักกดทับมหาศาล ของประสบการณ์สามัญอยู่เสมอ ไม่เช่นนั้นแล้วมันก็ย่อมจะไม่ใช่ปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์คือสิ่งที่ทำให้วิทยาศาสตร์กลายเป็นเท็จ ด้วยเหตุนี้ หากได้เห็นปาฏิหาริย์ขึ้นมาเมื่อไหร่ ควรมองหาคำอธิบายอื่นที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ หรือในบางกรณีที่หายากมาก ๆ ก็อาจใช้วิธีปรับเปลี่ยนกฎวิทยาศาสตร์บางประการ แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนปาฏิหาริย์ก็จะไม่ใช่ปาฏิหาริย์อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่ถูกผนวกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความเข้าใจเกี่ยวกับโลก

5.พุทธนิกายเซนกับโคอิน

นานมาแล้วปรมาจารย์เซ็นพบกับศิษย์ของตนและกล่าวว่า หากข้าเห็นว่าเจ้ามีไม้เท้าข้าจะให้เจ้า แต่หากข้าเห็นว่าเจ้าไม่มีไม้เท้าข้าจะเอามันไป สิ่งที่พึ่งได้สัมผัสไปคือตัวอย่างหนึ่งขององค์ประกอบที่โด่งดังของพุทธนิกายเซนมันคือโคอัน (koan) ศาสนาพุทธมีหลายนิกายทั้งในฝั่งตะวันออกอันเป็นบ้านเกิดและฝั่งตะวันตก แต่สิ่งที่ทุกนิกายมีร่วมกันคือ ความตระหนักรู้ว่าสิ่งที่คิดว่าเป็นความจริงนั้นเป็นมายาและเพ้อฝันแค่ไหน การทำสมาธิ พิธีกรรม และการปฏิบัติตนของศาสนาพุทธ ถูกออกแบบมาเพื่อขจัดภาพมายา สลายอัตตา และเข้าถึงสันติสุขที่ไปไกลเกินกว่ากิเลสตัณหาของทางโลก โคอันนับเป็นหนึ่งในเครื่องมือทรงประสิทธิภาพ ที่ช่วยให้ทำแบบนั้นได้

โคอันทำหน้าที่หลายอย่าง ในแง่หนึ่งความลักลั่นย้อนแย้งและปริศนาเน้นย้ำให้เห็นถึงความไม่จริงของความจริง และในอีกแง่หนึ่งการใคร่ครวญอย่างเงียบ ๆ ที่โคอันให้ทำก็ก่อให้เกิดความนิ่ง และพื้นที่ว่างซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการหยั่งรู้ หรือค้นพบตัวเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้พยายามทำให้สาวกเปลี่ยนความคิด มรรค 8 และคำสอนอื่น ๆ ของพระองค์ เป็นการขอให้ผู้คนลองเปิดใจนำไปใช้ดูว่ามันได้ผลหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วมันก็ได้ผลจริง และยังคงได้ผลอยู่ในปัจจุบัน

บทที่ 6 วรรณกรรมและภาษา

ปรัชญาที่ดีที่สุดเท่าที่สามารถหาอ่านได้นั้น บางส่วนมาจากวรรณกรรม ไล่ตั้งแต่เซกสเปียร์ไปจนถึงนิยายไซไฟ วรรณกรรมได้ทำการสืบค้นความเป็นมนุษย์ ในแบบที่ลึกซึ้งและเข้าถึงได้  เมื่อถ้อยคำมีอำนาจถึงเพียงนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่นักปรัชญาหลายคน ต่างก็พากันสำรวจตรวจค้นแง่มุมต่าง ๆ ของภาษา ถ้อยคำคือสิ่งที่เปิดเผยความคิด หรืออาจจะถึงขั้นนิยามมัน วรรณกรรมคือวิธีที่ใช้ภาษาในการสืบค้นความจริงบางประการ ที่แม้แต่ปรัชญาก็ยังมองข้ามไป

  1. แคมป์เบลล์กับทุกเรื่องเล่าเท่าที่เคยมีมา

โจเซฟ แคมป์เบลล์ ศาสตราจารย์วรรณคดีชาวอเมริกันบอกว่า ทุกเรื่องเล่าและตำนานหลัก ๆ ล้วนดำเนินไปในรูปแบบที่มีแก่น และแนวเรื่องบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือมันล้วนแต่ใช้โครงสร้าง 3 ขั้น ดังนี้

  1. การจากลาคือ การที่พระเอกได้รับเสียงเรียกสู่การผจญภัย มันคือสิ่งที่ดึงพระเอกออกจากชีวิตที่ธรรมดาและน่าเบื่อไปสู่การทำภารกิจ
  2. ฝึกฝนคือ เส้นทางแห่งบททดสอบ ซึ่งอาจเป็นการสู้รบ การต่อสู้กับสิ่งล่อใจ หรือพลังวิเศษที่สุดท้ายแล้วนำไปสู่การรู้แจ้ง
  3. หวนคืน พระเอกที่ตอนนี้ได้รู้แจ้งหรือเปลี่ยมพลังอำนาจแล้ว ได้รับการยกขึ้นเป็นกษัตริย์หรือศาสดา ภูมิปัญญาและความสามารถของพระเอก ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินค่า และไม่มีอะไรมาแทนที่ได้ มันคือตอนจบแบบความสุขตลอดกาล ที่ทำให้การเดินทางจบลงอย่างสมบูรณ์

โครงสร้างแบบจากลา ฝึกฝน หวนคืน ไม่ได้แตกต่างจากสิ่งที่รู้จักกันในชื่อ 3 ขั้นแห่งชีวิตทางจิตวิญญาณ (Three Spiritual Ways) ของคริสต์ศาสนาในช่วงแรกเริ่มสักเท่าไหร่ ทฤษฎีของแคมป์เบลล์มีความเป็นปรากฏการณ์บาเดอร์-ไมฮอฟ (Baader-Meinhof Phenomenon) อยู่ไม่น้อยคือ เมื่อได้เห็นมันเข้าหนหนึ่ง ก็อดใจไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเห็นมันอยู่ทั่วทุกหนแห่ง เรื่องเล่าสะท้อนให้เห็นถึงการเดินทางของชีวิต เรื่องเล่าก็คือไกด์สุดบันเทิงที่สอนว่า จะเจริญงอกงามในฐานะมนุษย์ได้อย่างไรนั่นเอง

2.ออร์เวลล์กับการคิดย้อนแย้ง

คนเราชอบคิดว่าตัวเองเป็นคนมีตรรกะ และเหตุผลว่าทุกความเชื่อ และคุณค่าที่ยึดถือมีความเป็นเอกภาพ มีความชอบธรรม และไตร่ตรองมาแล้วเป็นอย่างดี แต่ที่ว่ามานี้เป็นจริงสักแค่ไหน จอร์จ ออร์เวลล์ นักเขียนชาวอังกฤษตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในนิยายลือชื่อของเขาเรื่อง Nineteen Eighty-Four และส่งผลให้เกิดการสร้างสรรค์คำใหม่ ๆ อย่างการคิดย้อนแย้ง (Doublethink) ขึ้นมา

การคิดย้อนแย้งจึงหมายถึง การเชื่อใน 2 สิ่งที่ขัดแย้งกันในเวลาเดียวกันคือ การปฏิเสธการมีอยู่ของความจริงที่เป็นภววิสัยไปพร้อม ๆ กับไตร่ตรองความจริงที่ตัวเองปฏิเสธ การคิดย้อนแย้งเป็นการแทนที่ข้อเท็จจริง หรือความจริงด้วยความจริงประกอบสร้าง มันเป็นการเชื่อเรื่องบ้าบอมากกว่าเรื่องที่เห็นกันอยู่ชัด ๆ สงครามคือสันติภาพ เสรีภาพคือความเป็นทาส อวิชชาคือกำลัง

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่นิยายดิสโทเปียไร้สาระที่ดูแล้วไม่มีทางเป็นจริงไปได้ เพราะมันมีอยู่ในทุกที่ และเป็นเรื่องที่แสนจะปกติธรรมดา ทุกวันนี้มุมมองที่เป็นค่าเริ่มต้นที่มีต่อแทบทุกเรื่องคือ การปฏิเสธว่าไม่มีของอย่างความจริงที่เป็นภววิสัย หรือข้อเท็จจริงที่เป็นสากลอยู่แล้วหันมาคุยเรื่องประสบการณ์ที่ได้ประสบมาแทน มันคือการคิดตามหมู่คณะ (Groupthink) แบบสมัยใหม่ นั่นคือความจริง สามารถเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ได้รับอิทธิพลหรือแม้แต่ยัดเยียดให้ได้

หากโยนไม้เมตรแห่งความเป็นภววิสัย หรือความจริงเท็จที่เป็นเอกเทศทิ้งไปแล้ว จะมีอะไรมาหยุดยั้งผู้มีอำนาจที่คิดร้าย และมีพลังจูงใจไม่ให้สร้างความจริง อะไรก็ตามที่อยากสร้างขึ้นมาได้ หากความจริงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแค่เครื่องมือของมนุษย์ สุดท้ายมันก็จะเป็นแค่อีกเครื่องมือหนึ่ง ที่ผู้มีอำนาจใช้จัดการกับผู้ที่อ่อนแอกว่าเท่านั้นเอง

3.พรุสต์กับความทรงจำไม่เจตนา

ความทรงจำไม่เจตนา คือหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของนิยายระดับมหากาพย์ของ มาร์เซล พรุสต์ นักเขียนชาวฝรั่งเศสเรื่อง In Search of Lost Time ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ภาษาญี่ปุ่นมีคำว่าซึนโดกุ (Tsundoku) ซึ่งสื่อถึงหนังสือที่มีแต่ไม่เคยอ่านและ In Search of Lost Time ของพรุสต์ที่น่าจะอยู่อันดับต้น ๆ ของซึนโดกุแบบไม่ต้องสงสัย เพราะมันเป็นหนังสือที่มหึมา ทั้งในแง่ของจำนวนหน้า และความทะเยอะทะยาน คนจำนวนมากเคยได้ยินเกี่ยวกับมัน บางคนได้อ่านบางช่วงบางตอนของมัน แต่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะอ่านมันทั้งหมด

หนึ่งในแง่ที่น่าทึ่งที่สุดของนิยายเรื่องนี้คือ สิ่งที่มันพูดเกี่ยวกับความทรงจำ นิยายของพรุสต์ขีดเส้นแบ่งชัดเจน ระหว่างความทรงจำเจตนา (Voluntary Memory) ซึ่งหมายถึงความทรงจำที่สามารถเลือกที่จะระลึกถึงได้ อย่างของที่กินเป็นมื้อเช้าเมื่อวานนี้ กับความทรงจำไม่เจตนา (Involuntary Memory) ซึ่งหมายถึงความทรงจำที่ผุดขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ ความทรงจำแบบหลังนี้เป็นสิ่งที่ทรงพลังมาก และความรู้สึกช็อกเมื่อมันผุดขึ้นมา ก็สามารถทำให้อึ้งราวกับถูกน้ำเย็น ๆ สาดใส่ได้เลย

ยิ่งอายุมากขึ้น ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเวลาบนโลกใบนี้ เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากชุดของเหตุการณ์หลายฉากหลายตอน มากกว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่มีความต่อเนื่องกัน ความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตสมัยยังเด็กหรือตอนหนุ่มสาว ดูเหมือนเป็นความทรงจำของคนอื่นมากกว่าตัวเองในปัจจุบัน เมื่อความทรงจำไม่เจตนาเหล่านี้ผุดขึ้นมา มันจึงเหมือนเป็นภูตผีวิญญาณของคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่แล้วมากกว่า

4.อริสโตเติลกับวาทะศิลป์

จะเป็นอย่างไรถ้าปรัชญาสามารถมอบอำนาจที่ช่วยให้ครองโลกได้ อำนาจพิเศษที่สามารถใช้ทำความดีสุดประเสริฐ หรือความชั่วสุดบรรลัยได้ มันคืออำนาจที่สามารถควบคุมจิตใจ และทำให้ผู้คนทำในสิ่งที่ต้องการได้ และครูผู้สอนก็หนีไม่พ้นเมอร์ลินแห่งยุคโบราณนามว่าอริสโตเติล

Rhetoric ของอริสโตเติลเป็นงานเขียนที่ว่าด้วยวาทศิลป์ หรือศิลปะแห่งการโน้มน้าว มันศึกษาและให้แนวทางว่าสามารถใช้คำพูด ในการเปลี่ยนความคิดคนอื่น มันมีประโยชน์กับนักการเมือง ว่าแต่ทักษะการจูงใจที่ว่านี้คืออะไรกันแน่ อริสโตเติลบอกว่า มันประกอบด้วย 3 สิ่งหลักได้แก่

อีธอสคือ การเป็น (หรือดูเหมือนจะเป็น) คนที่น่าเชื่อถือ เพราะเมื่อคิดว่าใครสักคนไว้ใจได้น่านับถือ หรือมีความรู้ ก็มีแนวโน้มจะรับฟังสิ่งที่เขาพูด

พาธอสคือ ความสามารถในการกระตุ้นเร้าอารมณ์ความรู้สึก

ส่วนโลกอสคือ การใช้ข้อเท็จจริงและข้อถกเถียงที่ฟังขึ้น

ตอนนี้ก็รู้ 3 เคล็ดลับแห่งวาทศิลป์เรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจากนี้ไปจะเห็นมันในทุกหนทุกแห่ง น่าจะเห็นอีธอสในหมู่นักการเมือง ที่ชอบป่าวประกาศคุณสมบัติ และความน่าเชื่อถือของตัวเองจนเกินเหตุ เห็นพาธอสในสุนทรพจน์ปลุกระดมกองทัพก่อนทำศึกของบรรดากษัตริย์ในบทละคร และเห็นโลกอสในเพื่อนที่ชอบยกข้อมูลสถิติ มาสนับสนุนความเห็นของตัวเอง

5.ซอมสกีกับการรู้ภาษา

ลูกมนุษย์นี่ไม่เก่งเอาเสียเลย ลูกเต่าทะเลรู้จักคลานลงทะเลตั้งแต่เกิด ลูกม้าสามารถวิ่งเหยาะ ๆ ได้ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังคลอด แต่ลูกมนุษย์นี่แม้แต่จะโงหัวตัวเองขึ้นก็ยังทำไม่ได้ อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครเอาชนะลูกมนุษย์ได้ สิ่งนั้นคือสมอง และสมองก็ได้มอบกลพิเศษอย่างหนึ่งให้มันคือภาษา และสิ่งนี้ก็กระตุ้นความสนใจของ โนม ซอมสกี นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก

ภาษาเป็นสิ่งที่ซับซ้อนมาก มันต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับแนวคิดที่เป็นนามธรรม กาล สรรพนาม ตัวเลข วากยสัมพันธ์ และไวยากรณ์ การที่เด็กไม่เพียงรู้กฎเหล่านี้ทั้งหมด แต่ยังสามารถใช้มันได้ด้วย จึงเป็นเรื่องที่น่าทึ่งเอามาก ๆ นี่ทำให้ซอมสกีเสนอว่า มนุษย์มีความสามารถในการแยกแยะ และปฏิบัติตามกฎของภาษาแบบติดตัวมาตั้งแต่เกิด แนวคิดนี้มีชื่อว่าทฤษฎีธรรมชาตินิยมของภาษา (Nativist Theory of Language)

ทฤษฎีนี้เสนอว่าความละเอียดลึกซึ้งที่จำเป็นต่อการรู้ภาษานั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วกว่าทักษะทางการรู้คิดด้านอื่น ๆ มาก ทุกคนล้วนถูกติดตั้งไวยากรณ์สากล (Universal Grammar) อยู่ในตัวมาแต่กำเนิด และสิ่งที่ต้องทำก็แค่นำมันไปปรับใช้กับภาษาอะไรก็ตามที่ได้เจอ

อย่างไรก็ตามมีช่วงที่ถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งได้แก่ช่วงอายุ 2 ขวบจนถึงวัยแรกรุ่น ช่วงนี้เด็กจะยังมีความสามารถในการเข้าใจภาษาที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอยู่ ส่วนวัยผู้ใหญ่ต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ กว่าจะต้องภาษาใดภาษาหนึ่ง

บทที่ 7 วิทยาศาสตร์และจิตวิทยา

วิทยาศาสตร์น่าสนใจที่สุด เมื่อมันบังคับให้ต้องหันมาสำรวจตัวเองใหม่ในแง่ใดแง่หนึ่ง มันอาจเป็นเรื่องวิธีที่ทำความเข้าใจกับสมอง ที่ทางในธรรมชาติ หรือเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง จิตวิทยาซึ่งเป็นวิทยาศาสตร์ที่มีความเป็นมนุษย์ที่สุดนั้น ซึมเข้ามาในปรัชญา และปรัชญาก็แทรกซึมเข้ามาในจิตวิทยา เส้นแบ่งระหว่าง 2 ศาสตร์นี้ทั้งเลือนราง และเต็มไปด้วยรูพรุน วิทยาศาตร์คือการศึกษาโลก แต่ในหนังสือเล่มนี้มันถูกนำมาใช้เป็นกระจกสะท้อนมนุษย์

1.เบคอนกับระเบียบวิธีแบบวิทยาศาสตร์

ในหนังสือเรื่อง Novum Organum ที่โด่งดังของ ฟรานซิส เบคอน นักปรัชญาและรัฐบุรุษชาวอังกฤษมองว่า ความคลั่งศาสนากับอคติเป็นสิ่งที่อันตราย เขาจึงพยายามหาความรู้แบบใหม่ ที่มีที่มาจากการสังเกตและหลักฐาน ทุกวันนี้รู้จักมันในชื่อระเบียบวิธีแบบเบคอน ซึ่งมีกระบวนการดังต่อไปนี้

ขั้นแรก ต้องตั้งสมมติฐานขึ้นมาจากข้อเท็จจริงจำนวนหนึ่ง

ขั้นที่ 2 ต้องรวบรวมข้อมูลและทำเป็นตาราง

ขั้นที่ 3 ต้องปฏิเสธสมมติฐานใด ๆ ก็ตามที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงออกไป

วิธีการของเบคอนไม่ได้ไร้ที่ติ เพราะถ้ามองมันในแง่ของการเป็นระบบพิสูจน์ความจริง ที่พยายามจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง ก็จะพบว่ามันเป็นระบบที่ไม่สามารถทำให้จบสิ้นกระบวนการได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องให้เครดิตกับเบคอนอยู่ดี เพราะกว่าปัญหานี้จะถูกแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ ก็ต้องรอการพิสูจน์ว่าเป็นเท็จของ ปอปเปอร์ ในอีก 3 ศตวรรษให้หลังเลยทีเดียว

ที่สำคัญที่สุด เบคอนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่เสนอว่าทฤษฎีต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเป็นไปตามทฤษฎี เขาเชื่อว่าคนที่มีสติปัญญาและเหตุผล จะไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริง แม้ว่ามันไม่ตรงกับความคิดความเชื่อของตัวเอง

2.ไฮเดกเกอร์กับสิ่งที่เทคโนโลยีทำกับเรา

ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความเปลี่ยนแปลงในช่วง 2 ศตวรรษที่ผ่านมารวดเร็วราวกับติดจรวด คำถามจึงมีอยู่ว่ามีเวลาขบคิดหรือไม่ว่า ในฐานะที่เป็นมนุษย์มีตำแหน่งแห่งหนอยู่ตรงไหนในโลก แล้วได้พัฒนาทักษะ คุณธรรม และพฤติกรรม ที่จำเป็นต่อการรับมือกับโลกใหม่นี้แล้วหรือยัง

มาร์ติน ไฮเดกเกอร์ ผู้เกิดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 คิดว่าคำตอบคือไม่ และในผลงานช่วงท้าย ๆ หลังจากที่เขาหันมาเป็นอะไรที่ละม้ายคล้ายกับกวียุคโรแมนติก ไฮเดกเกอร์ก็พยายามจะแสดงให้เห็นว่า มุมมองของคนต่อเทคโนโลยีและโลกธรรมชาตินั้น ผิดพลาดอย่างสาหัสแค่ไหน ทุกการกระทำในฐานะมนุษย์ล้วนมีเรื่องเล่า (Narrative) ไฮเดกเกอร์ใช้คำว่า Gestell หรือตีกรอบ ในการอธิบายทัศนะคติที่มีต่อเทคโนโลยี เขาเสนอว่าปัจจุบันมองธรรมชาติแบบเย็นชา และเป็นประโยชน์นิยมมาก สิ่งต่าง ๆ เป็นเพียงทรัพยากรที่ใช้ได้ดั่งใจปรารถนา ทำเหมือนทุกสิ่งเป็นวัตถุดิบสำรอง ราวกับธรรมชาติเป็นเพียงทาสหรือเครื่องมือของมนุษย์ มองทุกสิ่งโดยคำนึงถึงแต่ว่ามันทำอะไรให้ได้บ้าง

ไฮเดกเกอร์กล่าวไว้ว่า คนเราไร้อิสรภาพและถูกล่ามไว้กับเทคโนโลยีในทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธมันก็ตาม เขาพูดแบบนี้ก่อนที่จะมีอินเตอร์เน็ตกับสมาร์ทโฟนเสียอีก ทุกวันนี้คนเราถูกติดตั้งลงไปอยู่ในเครื่องจักรอย่างแท้จริง และผลที่ได้ก็คือมองทุกสิ่งผ่านเลนส์ของเทคโนโลยี

3.ลิเบตกับการมองดูพฤติกรรมตัวเอง

มาลองทำการทดลองทางปรัชญาที่ทำได้ด้วยตัวเองกันดีกว่า วางมือลงบนพื้นผิวที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วรอสัก 2-3 วินาที ถ้ารู้สึกว่าพร้อมเมื่อไหร่ก็ให้ยกมือขึ้น ทำเสร็จแล้วหรือยัง อะไรทำให้เลือกยกมือขึ้นในชั่วขณะนั้น ทำไมถึงไม่ใช่ชั่วขณะก่อนหน้าหรือหลังจากนั้น และอะไรคือสิ่งที่ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ จากสมองลงมายังระบบประสาทก่อนจะลงมาที่มือ นี่คือคำถามที่คาใจนักปรัชญามานับพันปีแต่ เบนจามิน ลิเบต นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันผู้ทำการทดลองเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ได้รับคำตอบที่ทั้งน่าตกใจ และหน้าขนลุกไปในเวลาเดียวกัน

ร่างกายจะทำในสิ่งที่มันคิดว่าเหมาะสม ส่วนจิตสำนึกทำได้แค่เฝ้าดู ไม่ต่างอะไรกับคนมุงที่ไร้ความสำคัญ คนเรานึกว่าร่างกายเป็นนายใหญ่ นึกว่าคือคนที่เลือก แต่ความจริงคือสมองทำทุกอย่างนั้นไว้เรียบร้อยแล้ว ดังที่ลิเบตได้กล่าวสรุปว่า การกระทำโดยจงใจนั้นดูแล้วน่าจะเป็นกระบวนการของสมองที่ทำไปโดยไม่รู้ตัว เป็นที่ชัดเจนว่าเจตจำนงเสรีไม่อาจเป็นสิ่งที่ริเริ่มการกระทำได้

การทดลองของลิเบตเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เช่น มีการตั้งข้อสงสัยว่าสมองส่วนที่ควบคุมศักยภาพความพร้อม รับผิดชอบแค่เฉพาะในส่วนของการกระทำโดยจงใจแน่หรือ แต่ข้อวิจารณ์เหล่านี้ก็ยังไม่เป็นข้อยุติ และงานของลิเบตก็ได้รับการยอมรับว่า เป็นวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ

4.แฟร์มีกับมนุษย์ต่างดาว

โลกเรามีอะไรผิดตรงไหน ทำไมถึงไม่มีใครแวะมาทักทายบ้างเลย หรือจริง ๆ แล้วโลกเป็นดาวที่ไม่มีใครคบแห่งกาแล็กซี่ ข้างต้นนี้คือสิ่งที่ เอนรีโก แฟร์มี นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลีรู้สึกอดทนไม่ได้จนต้องออกปากถามในปฏิทรรศน์ของแฟร์มี (Fermi Paradox)

กาแล็กซี่มีดาวที่คล้ายกับดวงอาทิตย์อยู่ประมาณ 20,000 ล้านดวง ในทั้งหมดนี้มี 5 พันล้านดวงที่คล้ายคลึงกับโลก ไม่ว่าจะในด้านขนาดหรือความเหมาะสมในการเกิดสิ่งมีชีวิต หากยึดตามการประเมินแบบอนุรักษ์นิยม ที่บอกว่าในจำนวนนี้จะมีอยู่แค่ 0.1% เท่านั้น ที่สามารถเกิดสิ่งมีชีวิตได้ นั่นแปลว่าในกาแล็กซีนี้ยังมีดาวอีกนับล้านดวง ที่สามารถและควรจะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ในนั้น ที่สำคัญนี่เพิ่งพูดถึงแค่กาแล็กซี่เดียวเท่านั้น ใครจะไปรู้ว่ามันมีอยู่อีกสักเท่าไหร่

ด้วยเหตุนี้ปฏิทรรศน์ของแฟร์มีจึงตั้งคำถามว่า แล้วคนอื่นไปอยู่ไหนกันหมด ในเมื่อมีดาวอื่นที่สามารถเกิดสิ่งมีชีวิตได้นับไม่ถ้วนขนาดนี้ ควรจะต้องได้เจอกับมนุษย์ต่างดาวบ้างแล้ว คำถามนี้มีคำตอบที่เป็นไปได้อยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งทุกคำตอบล้วนแต่คู่ควรแก่การเอาไปเขียนนิยาย หรือทำภาพยนตร์แนวไซไฟด้วยกันทั้งสิ้นดังนี้

เป็นไปได้ไหมว่าสาเหตุเป็นเพราะสติปัญญาที่จำเป็นต่อการสร้างเทคโนโลยีอวกาศ เป็นสิ่งที่พบได้แค่ในรูปแบบชีวิตที่มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบของโลกใบนี้เท่านั้น หรือเป็นไปได้ไหมว่าระยะห่างระหว่างกันมันช่างยาวไกล และการเดินทางด้วยความเร็วแสงก็เป็นสิ่งที่ยาก จะทำได้จนสิ่งมีชีวิตที่มาจากดาวคนละดวงไม่อาจพบเจอกัน ต่อให้สามารถเดินทางด้วยความเร็วแสงได้ มันก็ยังต้องใช้เวลาถึง 70,000 ปีกว่าจะไปถึงกาแล็กซีที่ใกล้ที่สุด ซึ่งเป็นเวลาที่มากพอจะทำให้มนุษย์ที่อยู่บนยานวิวัฒนาการไปเป็นสปีชีส์อื่นได้เลยทีเดียว หรือบางทีอาจมีกฎสากลที่ว่า เมื่อสิ่งมีชีวิตพัฒนามาได้ถึงจุดหนึ่ง มันจะเริ่มทำลายตัวเองอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้ข้อสุดท้ายอยู่ด้วย นั่นคือมนุษย์ต่างดาวอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว และเพื่อนบ้านอาจไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาบอกว่าตัวเองเป็นก็ได้

5.ฟรอยด์กับบุคลิกภาพ

เคยรู้สึกเหมือนตัวเองมีหลายเวอร์ชั่น แล้วแต่ช่วงเวลาในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์ หรือแต่ละปีหรือไม่ เมื่อกว่าร้อยปีที่แล้ว ซิกมันด์ ฟรอยด์ รู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง ฟรอยด์เสนอว่าจิตใจและบุคลิกภาพสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับได้แก่

อีโก้ (Ego) คือเสียงแห่งจิตสำนึกที่มีเหตุมีผล

อิด (Id) คือสัญชาตญาณดิบความปรารถนาและแรงขับเคลื่อน

ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) คือผู้พิพากษาทางศีลธรรมหรือกองเซ็นเซอร์ภายในตัว

สำหรับฟรอยด์ทุกปัญหาซึ่งเขาเรียกว่าโรคประสาท (Neurosess) นั้นล้วนเกิดจากความไม่สมดุล หรือความไม่สอดคล้องกันของ 3 สิ่งนี้ จิตวิทยาสมัยใหม่แทบจะไม่ให้เครดิตว่าฟรอยด์มีความเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ถึงอย่างนั้นกระบวนทัศน์ของเขา ก็เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ สำหรับใช้ในการสะท้อนตัวตน การบำบัด และการพูดคุยอภิปราย บางครั้งจำเป็นต้องปล่อยตัวไปตามแรงกระตุ้นพื้นฐาน และบางครั้งก็ต้องการกฎ โครงสร้าง และระเบียบ หรือต่อให้ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดแนวคิดของฟรอยด์ก็น่าตื่นตาตื่นใจ และบางทีเสน่ห์ที่สัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณ นี่เองที่เป็นเหตุผลให้มันยังคงมีอิทธิพลต่อผู้คนมากมายมาจนถึงปัจจุบัน

บทที่ 8 ปรัชญาในชีวิตประจำวัน

บางส่วนของปรัชญาที่ดีที่สุดเท่าที่เคยได้ยินนั้น มาเยือนในยามดึก ขณะคุยกับคนอื่น ๆ ว่าด้วยเรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน ตอนกำลังเมานิด ๆ แล้วบทสนทนาก็ดำเนินไปต่อของมันเอง ปรัชญาพาตัวเองเข้าไปอยู่ในทุกมิติของชีวิต และการทำแบบนั้นทำให้ตัวเองมันดีขึ้นเสมอ ปรัชญาในชีวิตประจำวันช่วยให้ได้มาพินิจพิจารณาความคิดในหัว หรือสิ่งที่ได้ทำไปในการดำเนินชีวิตทุก ๆ วัน

1.อริสโตเติลกับมิตรภาพ

ทำไมถึงส่งข้อความไปหาคนหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเป็นอีกคนจะส่งอีกเรื่องหนึ่ง อริสโตเติลอภิมหานักปรัชญาอาจมีคำตอบในเรื่องนี้ให้ใน Nicomachean Ethics ซึ่งเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอริสโตเติล มีการพูดถึงเกี่ยวกับมิตรภาพเอาไว้มากพอสมควร ทั้งนี้เพราะอริสโตเติลมองว่า เพื่อนที่ดีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตที่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ (Eudaimonia) ในงานเขียนเรื่องนี้ อริสโตเติลแบ่งมิตรภาพออกเป็น 3 แบบได้แก่

เพื่อนเพื่อผลประโยชน์ คือ เพื่อนที่มีหน้าที่บางอย่างที่มีประโยชน์ พวกเขาอาจมีเพื่อนร่วมงานที่กินมื้อกลางวันด้วยกันทุกวัน หรือเพื่อนร่วมทีมที่เจอกันทุกสุดสัปดาห์ เมื่อไหร่ก็ตามที่หน้าที่นั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป มิตรภาพก็จะค่อย ๆ จางหายไป

เพื่อนเพื่อความสนุก คือ เพื่อนที่รู้สึกสนุกเมื่อได้อยู่ด้วย พวกเขาหัวไวและเป็นคนเฮฮา เป็นคนที่แบบที่แชร์และเข้าใจอารมณ์ขันเป็นอย่างดี อาจเพราะอายุหรือไม่ก็พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป สุดท้ายเพื่อนแบบนี้ก็ค่อย ๆ ห่างไกลจากไปเรื่อย ๆ จนเหลือไว้อยู่แค่ในความทรงจำแสนสุขกับความโหยหาอดีต

เพื่อนเพื่อความดีงามคือ เพื่อนที่อยากให้มีความสุขและเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือเพื่อนที่อริสโตเติลมองว่า ควรมองหา ต่อสู้ให้ได้มา และเอาไว้ใกล้ตัวเสมอ

แน่นอนว่าคนบางคนอาจเป็นเพื่อนทั้ง 3 แบบได้ อริสโตเติลก็ไม่ได้บอกให้สลัดเพื่อนอีก 2 แบบที่เหลือทิ้ง แค่ต้องรู้ให้แน่ชัดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนแบบไหนเท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้ ควรทำตัวเป็นเพื่อนที่ภักดีและมั่นคงกับเพื่อนที่ดีอย่างแท้จริงเข้าไว้ เพราะพวกเขาคือคนที่ช่วยให้เป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด เท่าที่จะสามารถเป็นได้

2.รุสโซกับวัยเด็ก

ปัญหาของเด็กก็คือพวกเขายังเป็นเด็กเกินไป เด็กส่งเสียงในที่ที่ไม่ควรจะส่งเสียง ไม่ยอมนอนเวลาที่ควรจะนอน แถมยังชอบถามอะไรไร้สาระอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติแบบนี้คือสิ่งที่ ฌอง-ฌัก รุสโซ ได้ทำการสำรวจในหนังสือของเขาเรื่อง Emile ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1762 รุสโซ่เชื่อว่าโดยแก่นแท้แล้ว มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ใจดี อ่อนโยน และมีคุณธรรม สังคมต่างหากที่ทำให้แปดเปื้อน สังคมเปลี่ยมด้วยความเห็นแก่ตัว และความหลงตัวเองของมัน

เด็กคือคนในแบบที่ดีที่สุดและบริสุทธิ์ที่สุด สังคมตลอดจนการศึกษาที่ให้เด็ก จึงควรปกป้องและพัฒนาสิ่งนั้นในตัวพวกเขา วัยเด็กไม่ควรมองว่าเป็นเพียงทางผ่านไปสู่วัยผู้ใหญ่ แต่เป็นสิ่งที่ควรได้รับความเคารพและชื่นชม รุสโซเชื่อว่าเด็กไม่ควรอ่านหนังสือจนกว่าจะอายุ 12 ปี เด็กควรได้เล่น ได้สำรวจ ได้วิ่งพล่านไปทั่ว และพร้อมกันนั้นก็ควรได้ล้มลุกคลุกคลาน ดิ้นรนต่อสู้ และลุกขึ้นยืนใหม่ด้วยตัวเอง เด็กควรเรียนรู้ว่าความสัมพันธ์กับคนอื่นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าการคิดถึงแต่ตัวเอง และโลกนี้จะดีกว่าหากมันไม่ใช่สนามประลอง แต่เป็นลานชุมนุมที่สำคัญที่สุด

เด็กควรเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในแบบที่เขาอยากจะเป็น และในเวลาที่ต้องการ รุสโซเสนอว่าเด็กได้รับความรักและเสรีภาพ จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่มั่นคงและมีความสุขในวันข้างหน้า เขาเป็นคนแรก ๆ ที่รณรงค์ให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และสนับสนุนให้พ่อแม่ลูกมีสายสัมพันธ์ที่สนิทแนบแน่น เพื่อประโยชน์ต่อพัฒนาการทางอารมณ์ของเด็ก รุสโซเชื่อว่าความรักก่อให้เกิดความรัก และความสัมพันธ์ในระยะต้นของชีวิตคือ ตัวกำหนดบุคลิกลักษณะนิสัยของเด็กในเวลาต่อมา

3.ฟรังเคิลกับการให้ความหมายกับความทุกข์ยาก

ความทุกข์ยากคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ถ้าโชคดีความทุกข์ยากที่ว่าอาจมาในรูปของหัวใจสลาย สูญเสียคนสำคัญ หรือเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ แต่สำหรับคนที่โชคร้าย ชีวิตอาจนำมาซึ่งภาวะทางจิตที่ร้ายแรง ความป่วยไข้ที่สาหัส หรือความเจ็บปวดที่ยากจะจินตนาการ วิกตอร์ ฟรังเคิล นักประสาทวิทยาและจิตวิทยาชาวออสเตรีย ผู้รอดชีวิตจากค่ายกักกันเอาช์วิทช์ ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือที่ทรงพลังของเขาเรื่อง Man’s Search for Meaning ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1946

ฟรังเคิลเสนอว่า มนุษย์สามารถอดทนต่อความทุกข์ยากทั้งหลายทั้งปวงได้ ถ้ามอบความหมายให้กลับมัน จะมาถึงจุดที่รู้สึกว่าทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เวลาที่มองไม่เห็นเหตุผลที่จะทนต่อไปเท่านั้น เพื่อการนี้จำเป็นต้องมองหาความหมายให้กับความทุกข์ยากของตัวเอง ควรพยายามหาเหตุผลส่วนตัวเพื่อที่จะอดทนต่อไป ทุกวันนี้มักมองว่าความทุกข์ยาก เป็นสิ่งที่ควรกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่นั่นไม่ใช่การหาความหมายของมัน

ความทุกข์ยากเป็นสิ่งที่หล่อหลอมตัวตน เปรียบแล้วก็เหมือนค้อนตีเหล็ก สำหรับวิญญาณและชิ้นงานที่ได้ ก็สมควรที่จะได้รับการสวมใส่อย่างภูมิใจ น่าสังเกตว่าบุคคลต้นแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ต่างเป็นคนที่อดทนและสามารถผ่านพ้นความทุกข์ยากมาได้ ไม่ใช่คนที่ใช้ชีวิตอย่างหรูหราและสุขสำราญ

ความทนทานคือสิ่งที่ทำให้ยอดเยี่ยม มันง่ายที่จะมองว่าความทุกข์ยากคือ อุปสรรคต่อการมีชีวิตที่อิ่มเอม แต่ฟรังเคิลยังคงบอกว่า หากปราศจากความทุกข์ยากกับความตาย ชีวิตมนุษย์ก็ไม่อาจครบถ้วนสมบูรณ์ได้

4.ลัทธิสโตอิกกับการเลือกวิธีตอบสนองของตัวเรา

ลัทธิสโตอิกเริ่มต้นขึ้นมาจากความคิดที่เรียบง่าย ที่มองว่าในจักรวาลนี้หรือที่อาจเรียกว่าความจริงที่เป็นภววิสัยนั้น ไม่มีอะไรที่ดี เลว หรือมีค่า ไม่มีค่าในตัวของมันเอง คนเรานี่แหละเป็นคนทำให้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ โลกนี้ดีหรือเลว ซึ่งเป็นคนที่มอบคุณค่าให้กับมัน ด้วยความที่โลกนี้ปราศจากคุณค่าในตัวของมันเอง ซึ่งสามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วย 2 วิธีนั่นคือ วิธีที่ปฏิบัติตัว และวิธีที่ตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ในความคิด

ทุกสิ่งนอกเหนือจากนี้ไม่ว่าจะเป็นการตัดสิน หรือพฤติกรรมของคนอื่น ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับให้ได้ว่านอกเหนือการควบคุม พวกสโตอิกเชื่อว่าการตระหนักรู้เรื่องนี้ ช่วยให้สามารถปล่อยวางความทุกข์ ที่มาพร้อมกับความพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และพร้อมกันนั้นก็ช่วยให้สามารถหันมาตั้งสมาธิกับสิ่งที่สามารถเปลี่ยนได้ ลัทธิสโตอิกคือการเรียกร้องให้ตระหนักถึงข้อจำกัดของตัวเอง และเป็นผู้ออกมาจัดการและรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เหลือ

มรดกของลัทธิสโตอิกที่เห็นได้ชัดที่สุดในทุกวันนี้คือ อิทธิพลที่มันมีต่อจิตบำบัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioural Therapy หรือ CBT) ซึ่งมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการจัดการกับความคิดและพฤติกรรมเชิงลบ การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม บอกให้ลองพิจารณาวงจรของการกระตุ้น ตัดสิน ความคิด พฤติกรรม เพราะการทำแบบนี้ช่วยให้สามารถจดจ่อ และจัดการกับสิ่งที่อยู่ใต้การควบคุมได้ นี่คือลัทธิสโตอิกแบบตัวเป็น ๆ ที่มาให้เห็นในอีกกว่า 2,000 ปีให้หลัง

5.ฮาร์วีย์กับโรคนอนไม่หลับ

บางครั้งจะสังเกตเห็นอะไรขึ้นมาก็ต่อเมื่อเสียมันไป เวลาเป็นหวัดชนิดอาการหนัก จะซาบซึ้งกับการหายใจได้คล่องจมูกแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จิตใจและระบบปฏิบัติการของมัน ต้องอาศัยการทึกทักว่า สิ่งต่าง ๆ ย่อมเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น แต่ถ้าเป็นการนอนหลับ หากเสียการนอนหลับจะเกิดอะไรกับความเป็นจริงบ้าง ที่ว่ามานี้เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องเล็ก ๆ ที่ ซาแมนธา ฮาร์วีย์ ทำการสำรวจในหนังสือรวมการขบคิดเกี่ยวกับปรัชญาที่ดีเยี่ยมเรื่อง The Shapeless Unease ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2020

ฮาร์วีย์เคยนอนหลับได้ดีไม่มีปัญหา จนกระทั่งวันหนึ่งก็เกิดนอนไม่หลับขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อคืนที่นอนไม่หลับผ่านไปคืนแล้วคืนเล่า จิตใจของฮาร์วีย์ก็กลายพันธ์ไปเป็นสิ่งใหม่ มันเป็นสิ่งที่คนนอนไม่หลับได้ไม่มีวันซาบซึ้งอย่างแท้จริง ความจริงจะผิดรูป เวลาทำตัวผิดเพี้ยน ความเป็นตัวตนหายไป กระแสธรรมชาติของจิตใจสูญสลายไปเป็นม่านหมอกที่บิดเบี้ยวและเพ้อไข้ ยามตื่นของคนนอนไม่หลับไม่ต่างอะไรกับความฝันสำหรับคนส่วนใหญ่ การนอนหลับคือการได้หนีไปให้พ้น หรือวันหยุดพักผ่อนของจิตใจ ที่หลงคิดไปว่าเป็นเรื่องธรรมดา หากปราศจากการนอนหลับ กลางคืนจะกลายเป็นสิ่งที่นานที่สุด ใหญ่ที่สุด และเป็นถ้ำมืดที่สุดในบรรดาทุกสิ่งอัน

จิตใจมนุษย์เป็นสิ่งที่วิเศษ ทรงพลัง และน่าทึ่ง แต่มันเป็นสิ่งที่อยู่ไม่สุขเช่นเดียวกับสิ่งดี ๆ ทั้งหลายทั้งปวง บางครั้งก็จำเป็นต้องได้พักจากมันบ้าง การไปดูหนังเป็นเรื่องสนุก แต่การถูกขังอยู่ในโรงหนังคือนรก ต้องการการปิดสวิตช์บ้าง สำหรับบางคนอย่างฮาร์วีย์ก็แทบไม่ได้รับการมีอยู่ที่แสนสุขนี้ จิตใจจะเปลี่ยนจากการเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุด ไปเปรมผู้ลงทัณฑ์ทรมานส่วนตัวแทน

บทที่ 9 ความรู้และจิตใจ

ใช้เวลาทั้งหมดที่มีอยู่ในหัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นตอนทำงานหรือตอนผ่อนคลายในวันหยุด ความคิดที่ยังแล่นทะลุผ่านจิตใจได้อยู่ดี สิ่งที่คิดคืออะไรกันแน่ เกิดอะไรขึ้นอยู่ในหัว แล้วมันทำงานอย่างไร จิตใจคือเสียงในหัวที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ มันคือเสียงที่กำลังเพิกเฉย มันคือการย้อนคิดกลับไปยังคริสต์มาสที่แล้ว มันคือสิ่งที่เชื่อ จิตใจคือเสียงที่พูดพล่ามของความคิดที่ไม่อาจหลีกหนีได้ บทนี้เจ้าพูดถึงสิ่งที่อยู่ในนั้น และดูว่ามันทำงานอย่างไร

1.ล็อคกับการอยู่ในหัวตัวเอง

การทดลองทางความคิดที่ว่าคือ ปัญหาว่าด้วยควอเลียผกผัน (Inverted Qualia) ซึ่งเป็นสิ่งที่ แดเนียล แดนเนทต์ นักปรัชญาชาวอเมริกันบอกว่า เป็นหนึ่งในมีมที่ร้ายกาจที่สุดของปรัชญา มันมีหลายเวอร์ชั่นโดยนักปรัชญาหลายคน แต่เป็นสิ่งที่นิยมและคงทนที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้นเวอร์ชั่นที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 ของ จอห์น ล็อค ว่ากันแบบง่าย ๆ มันคือการถามว่า แน่ใจได้แล้วอย่างไรว่า สีที่เห็นเป็นแบบเดียวกัน ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า สิ่งที่อีกฝ่ายมองเห็นเป็นอย่างไร

ปัญหานี้มักถูกนำเสนอโดยใช้สิ่งที่ตาเห็นเป็นตัวอย่าง แต่ที่จริงสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกสิ่งที่รับรู้ผ่านประสาทสัมผัส

ประการแรกเป็นปัญหาที่ว่าด้วยเรื่องของความรู้ เพราะมันหมายความว่าไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ประสบการณ์ของคนอื่นเป็นอย่างไร

ประการที่ 2 ด้วยเหตุอย่างที่ว่ามา จึงไม่สามารถแปะค่าความจริงให้กับคำกล่าวอ้าง

กล่าวโดยสรุป ควอเลียผกผันคือปัญหาของแนวคิดวิมตินิยม ที่บอกให้ต้องยอมรับว่า มีบางสิ่งที่ไม่มีวันล่วงรู้ได้ มันคือสิ่งที่อยู่ในดวงตาแห่งจิตของคนอื่น ส่วนตัวแล้วว่านี่เป็นแนวคิดเบิกเนตรที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมในการแนะนำผู้คนให้รู้จักกับปรัชญา และมักเป็นคำถามแรกที่นักปรัชญาเพิ่งตั้งไข่จะถาม บนเส้นทางที่นำไปสู่ประเด็นที่ลึกซึ้งและซับซ้อนยิ่งขึ้น

2.ไพโรกับการระงับการตัดสิน

จะทำอย่างไรเวลาที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีเหตุผลที่ฟังขึ้น จะตัดสินใจอย่างไรเวลาที่ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้กับคำถาม ไพโรนักปรัชญาชาวกรีกโบราณ ผู้ก่อตั้งแนวคิดวิมตินิยม (Scepticism) ท่ามกลางความสับสนแบบนี้ ไพโรมอบข้อเสนอและที่เรียบง่ายให้นั่นคือ อย่าเชื่อหรือยึดมั่นกับอะไรทั้งสิ้น หากไม่มีความจริงอันเป็นที่ประจักษ์ หรือผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ควรเลือกที่จะระงับการตัดสินใจไว้ก่อนเสมอ นี่ไม่ใช่การยอมรับว่าไม่มีคำตอบ

วิมตินิยมบอกว่า ความพยายามที่สูญเปล่าในการตามหาความจริงที่ไม่มีอยู่จริงนั้น มีแต่จะนำไปสู่ความทุกข์ยาก ขุ่นเคือง และวิตกกังวล วิมตินิยมจัดเป็นสำนักคิดแนวนิยมความผาสุก (Eudemonic) ซึ่งหมายถึงมันมุ่งหมายที่จะมีชีวิต ที่ได้รับการเติมเต็มและเจริญรุ่งเรือง ในความคิดของไพโรจะเข้าถึงภาวะแห่งสุข (Eudemonia) ได้ก็ต่อเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นกับอะไรก็ตามที่ไม่สามารถรู้ได้

ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องไปไกลเท่าไพโร และความคิดของเขาก็ยังให้แง่คิดบางอย่างได้ การเป็นคนที่ตอบผิดหรือต้องหาคำต่อไปตลอดกาลนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันเครียดน้อยกว่าและซื่อสัตย์กว่า ที่จะพูดออกมาตรง ๆ ว่า ไม่รู้ จะมองหาคำตอบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็แล้วกัน ลองเอามันไปใช้ดู แล้วจะเห็นว่าอะไร ๆ ก็เบาขึ้นกว่าเดิมแค่ไหน

3.โสกราติสกับการตั้งคำถามกับทุกสิ่ง

รู้สึกอย่างไรกับการไม่รู้เรื่องบางเรื่อง มันรบกวนจิตใจใหม่ที่ไม่รู้ว่าคนอื่นกำลังคิดอะไรอยู่ สำหรับโสกราติส การยอมรับในความไม่รู้ของตัวเองคือก้าวแรก และก้าวที่สำคัญที่สุดในการเป็นนักปรัชญา และคิดว่าทุกคนควรทำมันให้มากกว่านี้อีกหน่อยด้วย ที่จุดใดจุดหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติ คำว่าไม่รู้ได้กลายเป็นคำที่มีความหมายในแง่ลบ บางทีมันอาจไม่ใช่แบบที่ร้ายแรงที่สุด แต่อย่างน้อยมันก็ถูกมองว่าเป็นข้อบกพร่องส่วนบุคคล แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้จะแย่ไปเสียทั้งหมด คนเรายอมรับกันเป็นอย่างดีว่า ไม่มีทางที่คนคนหนึ่งจะรู้ไปหมดทุกเรื่อง

อย่างไรก็ตาม สำหรับโสกราติสความไม่รู้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อบกพร่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากนำมาใช้ให้ถูกวิธี มันจะกลายเป็นก้าวแรกที่สำคัญ ในการมุ่งสู่ความจริงและปัญญา นี่คือสิ่งที่ปัจจุบันเรียกกันว่า ความไม่รู้แบบโสกราติส (Socratic Ignorance) ในสายตาของโสกราติส ความไม่รู้แบ่งออกเป็น 2 แบบได้แก่

  1. ความไม่รู้ในความไม่รู้ของตัวเอง นี่คือการใช้ชีวิตโดยไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างที่ตัวเองไม่รู้ มันสื่อถึงคนที่ไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเอง
  2. ความไม่รู้แบบโสกราติส นี่คือจุดที่ตื่นขึ้นมาจากการหลับ โดยการหันไปใช้สายตาเชิงวิพากย์ กับทุกสิ่งที่คิดว่าตัวเองรู้และไม่รู้

ความไม่รู้แบบที่ 2 คือสิ่งที่โสกราติสมองว่า เป็นความดีงามเชิงญานวิทยา (Epistemic Virtue) มันเป็นสิ่งที่นักปรัชญาและมนุษย์ผู้มีปัญญาทุกคนควรมี มันเป็นการไม่ด่วนเชื่อในทฤษฎีใดก็ตาม โดยไม่ตรวจสอบให้แน่เสียก่อน เป็นการไม่ไหลตามน้ำไปโดยไม่ตั้งคำถามว่า มันมีเหตุผลหรือไม่ เป็นการตระหนักว่าตัวเองรู้น้อยแค่ไหน และยอมรับว่าอาจคิดผิดได้ในทุกเรื่องทุกเวลา

4.ฮูมกับกลุ่มก้อนของตัวตน

สำหรับ เดวิด ฮูม แล้วคืออัตลักษณ์ส่วนบุคคลของมนุษย์ มันเป็นเพียงแค่ความรู้สึกสัมผัสที่ประเดี๋ยวประด๋าว ผันผวน และเอาแน่เอานอนไม่ได้ เป็นความทรงจำ ความใฝ่ฝัน ความรู้สึก และความคิด แต่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่านี้ ฮูมตั้งคำถามว่าหาก้าวเข้าไปในจิตใจของตัวเอง สิ่งที่จะเจอมีแต่ความคิดความรู้สึกที่พัลวันพัลเก และไม่เคยอยู่นิ่ง ๆ เท่านั้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมทฤษฎีของฮูมมักถูกเรียกว่าทฤษฎีกลุ่มก้อน (Bundle Theory) ของตัวตน

สำหรับฮูมตัวตนเป็นแค่เรื่องแต่งที่อุปโลกน์ขึ้น เพราะสิ่งต่าง ๆ ในจิตใจดูเหมือนมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน แต่ความเชื่อมโยงใด ๆ ที่ความคิดในหัวมีต่อกันอย่างดีที่สุด ก็เชื่อมโยงกันแบบหลวม ๆ เสียจนไม่มีความหมาย ความคิดแต่ละความคิดมักไปกันคนละทิศคนละทาง ใช้แนวคิดเรื่องวิญญาณ ตัวตน และสสารมาปกปิดความแตกต่าง มีความต้องการหรือแรงขับอันรุนแรง ที่จะแทรกทำเป็นว่าชุดของความคิดที่ไม่ปะติดปะต่อการนี้คือตัวตน ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างลึกลับและน่าอัศจรรย์

5.คลาร์กและชาลเมอร์สกับส่วนขยายของจิตใจ

มีเบอร์โทรศัพท์กี่เบอร์ที่จำได้ขึ้นใจ มีสถานที่กี่แห่งที่ขับรถไปได้ โดยอาศัยแค่ความทรงจำ หรือต้องใช้โทรศัพท์ เวลาทำ 2 อย่างนี้ถ้าอย่างนั้นต้องพึ่งโทรศัพท์บ่อยแค่ไหนในหลาย ๆ แง่มุม โทรศัพท์ดูไม่ต่างอะไรกับส่วนขยายของจิตใจ มันทำหน้าที่ได้เร็วกว่าและดีกว่าสมองเสียอีก ไอเดียนี้คือสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของ แอนดี้ คลาร์ก และเดวิด ชาลเมอร์ส ให้เขียนบทความชื่อ The Extended Mind ขึ้นในปี 1998

มนุษย์มีจิตใจที่สลับซับซ้อนอย่างน่าอัศจรรย์ และมันก็ทำเรื่องแสนวิเศษมากมาย ซึ่งหลาย ๆ อย่างยังเพิ่งจะเริ่มเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ กระบวนการรู้คิด (Cognitive Process) เหล่านี้ช่วยให้สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับโลกและมนุษย์ด้วยกันได้ มันช่วยในการใช้ชีวิต เวลาที่ใช้คำว่าจิตใจจริง ๆ แล้วมันหมายรวมถึงความทรงจำ ความสนใจ การควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย อำนาจ ประสาทสัมผัส และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ทำไมทั้งหมดนี้ถึงต้องถูกจำกัดให้อยู่แค่ที่สมอง

หากที่ว่ามาข้างต้นเป็นจริง ก็สามารถอ้างต่อไปได้ว่า บางเครื่องมือที่ใช้ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ หรือไดอารี่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจ และถ้ามันเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจ มันก็ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ด้วย เรื่องนี้จะก่อให้เกิดผลใหญ่หลวงตามมาทั้งในแง่ของกฎหมายและศีลธรรม อาจารย์สามารถยึดโทรศัพท์ของนักเรียน โดยไม่ยึดเอาส่วนหนึ่งของกระบวนการรู้คิดไปด้วยได้หรือเปล่า แล้วการเข้าถึงโซเซียลมีเดียและอินเทอร์เน็ต จะถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อคุณภาพชีวิตพอ ๆ กับสิทธิในการมีครอบครัว เพื่อน และเวลาว่างเลยหรือไม่

ยิ่งเทคโนโลยีเจริญรุดหน้าไปมากเท่าไหร่ แนวคิดว่าส่วนขยายของจิตใจก็จะยิ่งทวีความน่าสนใจมากขึ้นเท่านั้น หากไม่นับอคติที่มีอยู่เดิมแล้ว อะไรคือเหตุผลที่ทำให้จิตใจ ต้องถูกคุมขังอยู่แต่ภายในกะโหลกด้วย

บทที่ 10 การเมืองและเศรษฐกิจ

เมื่อมนุษย์มีการรวมกลุ่ม จะลงมือทำนู่นทำนี่จะทำเรื่องที่ไม่น่าเชื่อได้มากมาย นี่แหละคือสิ่งที่การเมืองทำให้ได้ และมันก็สามารถดึงเอาส่วนที่ดีที่สุด และเลวร้ายที่สุดในตัวออกมาได้ การเมืองปกป้อง สร้างสรรค์ มอบอำนาจ และนิยาม แต่เมื่อตกไปอยู่ผิดมือ มันก็สามารถทำลาย รังควาน กีดกัน และลดทอนความเป็นมนุษย์ได้เช่นกัน การเมืองคือทุกสิ่งที่ทำในฐานะที่เป็นชุมชนหรือหมู่คณะ

1.ฮอบส์กับการตั้งรัฐบาล

ลองจินตนาการว่าเป็นมนุษย์ถ้ำ ที่เพิ่งจะกลับถึงบ้านหลังจากวันดี ๆ แห่งการล่าสัตว์และหาของป่า ชีวิตดูดีไม่หยอก แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีพี่เบิ้มเดินเข้ามาบอกว่า เอาอาหารมา เขาคำราม ก็ช็อคไปเลย ก็การจะได้อาหารมามันไม่ใช่ง่าย ๆ และก็เป็นไทแก่ตัวด้วย ทำไม ถามหาเหตุผลจนอดโมโหขึ้นมาไม่ได้ พี่เบิ้มยืดอก ข้าจะคอยดูแลถ้ำให้เจ้าไม่ให้ใครเข้ามาได้ บัดนั้นสัญญาประชาคม (Social Contract) แรกได้ถือกำเนิดขึ้น

การอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ของ โทมัส ฮอบส์ นักปรัชญาในศตวรรษที่ 17 ก็ได้ให้นิยามวิธีที่มองรัฐบาลมาจนถึงปัจจุบัน เขาคิดว่าชีวิตก่อนที่จะมีผู้ปกครอง ก่อนที่จะมีอำนาจรัฎฐาธิปัตย์ใด ๆ นั้นเป็นอะไรที่เลวร้ายเอามาก ๆ เพราะเมื่อไม่มีการควบคุมดูแล มนุษย์ย่อมหวนไปหาสภาพธรรมชาติอย่างรวดเร็ว จะมีการแก่งแย่งทรัพยากรอย่างดุเดือด ส่งผลให้การมีอยู่ของมนุษย์เป็นสิ่งที่เลว ร้ายป่าเถื่อน และแสนสั้น

เพื่อหลีกเลี่ยงความยากเข็ญนี้ ต้องยอมสละอำนาจสมบูรณ์ที่มีเหนือตัวเอง เพื่อมอบให้กับรัฐบาลที่มีอำนาจรัฎฐาธิปัตย์ จริงอยู่ว่าจะไม่สามารถปล้นฆ่าอย่างที่จักรวาลได้ให้อำนาจอีกต่อไป แต่ก็จะได้รับการรับรองสิทธิ์ในทรัพย์สินและความมั่นคงปลอดภัย ฮอบส์เสนอว่าความมั่นคงปลอดภัยนี้ มอบเสรีภาพและความอุ่นใจที่มากกว่าให้ สัญญาประชาคมเป็นสิ่งที่ก่อตัวขึ้นในสังคม ระหว่างกลุ่มบุคคลกับรัฎฐาธิปัตย์ เป็นการแลกเปลี่ยนต่อรอง โดยในมือหนึ่งมีเสรีภาพ ส่วนอีกมือหนึ่งมีความมั่นคงและความอุ่นใจ การถกเถียงเกี่ยวกับการเมืองในยุคสมัยใหม่จำนวนมาก ยังคงใช้แนวคิดเรื่องสัญญาประชาคมที่ว่านี้ โดยเน้นในส่วนที่ว่าด้วยส่วนรวมกับเสรีภาพของปัจเจกบุคคล

2.มาคิอาเวลลีกับวิธีขึ้นเป็นราชา

ถ้าอยากขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุด จำเป็นต้องเหยียบย่ำคนที่อยู่ข้างล่างหรือไม่ มีแต่พวกที่ทุจริต เลวทราม หรือไม่เชื่อในศีลธรรมเท่านั้น หรือที่สามารถประสบความสำเร็จได้ ทำไม 20% ของบรรดา CEO ถึงมีพฤติกรรมแบบพวกไซโคพาธ เจ้าผู้ปกครองของมาคิอาเวลลีมีคำตอบให้ หนังสือเล่มบาง ๆ เรื่อง The Prince ของ นิกโกโร มาคิอาเวลลี นักการทูตชาวอิตาลีแห่งยุคเรอเนสซองซ์เสนอว่า ผู้ปกครองที่มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ (ไม่ใช่ผู้ปกครองที่ดี) คือคนที่ยอมทำทุกสิ่งเพื่อรักษาสถานะของตัวเองเอาไว้

สำหรับเจ้าผู้ปกครองแล้ว เพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ต้องการ จะใช้วิธีการใดก็ไม่ถือว่าผิด ไม่ว่าจะเป็นการชักใย ใช้เล่ห์เพทุบาย ติดสินบน ใช้ความรุนแรง ขู่กรรโชก หรือทรยศหักหลังก็ล้วนเป็นอาวุธที่เอามาใช้งานได้ โดยฉากหน้าต้องทำให้ดูเหมือนว่า เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ในความเป็นจริง ทุกอย่างล้วนเป็นไปเพื่อความมั่นคง และอยู่ยงของผู้ปกครองเท่านั้น

ปัจจุบันไม่ค่อยแน่ใจว่าควรอ่าน The Prince อย่างไรกันแน่ มันเป็นรายงานว่าด้วย สิ่งที่เป็นของนักปฏิบัตินิยม เป็นรายการสิ่งที่ต้องทำของพวกอยากเป็นเผด็จการ หรือแท้จริงแล้วเป็นแค่ข้อเขียนเสียดสีกันแน่ การตีความแบบสุดท้ายนี้ มีความเป็นไปได้สูงทีเดียว เมื่อคำนึงถึงว่างานเขียนอื่น ๆ ของมาคิอาเวลลีมีความเป็นกระแสหลัก และเน้นเรื่องศีลธรรมมากแค่ไหน สามารถเห็นได้ว่าบรรดาผู้นำต่างก็ใช้วิธีของมาคิอาเวลลีนั่นคือ ไร้ปราณี ชิงอำนาจ และทำตามอำเภอใจ

3.มาร์กกับประวัติศาสตร์โลก

ประวัติศาสตร์ไม่ได้เคลื่อนที่เหมือนลูกธนูที่แจ่มชัด แต่มันเป็นแมลงฝูงมหึมา ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่ สังคม และการก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวของพลังทางวัตถุ นี่คือทัศนคติของ คาร์ล มาร์ก ที่มองประวัติศาสตร์โลกด้วยมุมมองวัตถุนิยมวิภาษ (Dialectical Materialism) และมุมมองนี้ก็ส่งผลต่อการมองประวัติศาสตร์ นับแต่นั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

มาร์กมองว่าประวัติศาสตร์ไม่อาจสร้างได้ด้วยใครคนใดคนหนึ่ง มนุษย์ล้วนมีชีวิตอยู่ในสภาพการณ์ที่มีมาก่อนแล้ว ซึ่งได้รับการส่งต่อมาจากอดีต มาร์กเสนอว่าทุกสถาบันการเมืองทุกกฎหมายและระบบกฎหมาย ทุกขนบธรรมเนียมและบรรทัดฐานทางสังคม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผลจากเครือข่ายอันซับซ้อนของปัจจัยทางเศรษฐกิจ และสังคมที่เขาเรียกว่าพลังการผลิต (Productive Forces) โครงสร้างส่วนบนทั้งหมดในชีวิต หรือก็คือทุกสิ่งที่เห็นอยู่รอบตัว ล้วนเติบโตขึ้นจากเนื้อดินแห่งสภาพการณ์ทางวัตถุ อย่างทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยี ตลาดแรงงาน และการต่อสู้ระหว่างชนชั้น

ในมุมมองของมาร์ก เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่จะอธิบายได้ง่าย ๆ ต้องมองมันในฐานะองค์รวมที่สลับซับซ้อน อันเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้น วิถีการผลิตที่แตกต่างและปัจจัยทางวัตถุ ตัวอย่างเช่น ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ที่มีการแบ่งชนชั้นนั้น ถือกำเนิดขึ้นจากเทคโนโลยีด้านแรงงานและการเกษตรของยุคกลาง ระบบกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้าที่ดินเอกชนเริ่มเป็นใหญ่ในเศรษฐกิจสมัยใหม่ หรือพูดง่าย ๆ ได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างสามารถอธิบายได้ในเชิงวัตถุ

4.สมิธกับมือที่มองไม่เห็น

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมนมถึงถูกกว่าน้ำบรรจุขวด หรือว่าทำไมข้าวของถึงลดราคาเสมอหลังวันคริสต์มาส ทำไมเพชรถึงมีค่านัก อดัม สมิธ นักเศรษฐศาสตร์ชาวสกอตแลนด์มีคำตอบให้กับคำถามนี้ นั่นคือทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของมือที่มองไม่เห็น สมิธเสนอว่าแต่ระบบเศรษฐกิจที่ควรยึดถือคือ ระบบที่ทุกคนมีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ชาติไม่ควรตั้งเป้าแบบหัวชนฝาว่า จะต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้ในทุกด้าน

แทนที่จะทำสิ่งที่ไม่มีประสิทธิภาพแบบนั้น ควรหันมาแบ่งงานการทำโดยสนับสนุนให้เกิดแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน จากนั้นก็นำความเชี่ยวชาญนั้นไปแลกกับสิ่งที่ต้องการ เพื่อให้ทำแบบที่ว่ามาได้ความมั่งคั่งจะต้องมาใน 2 รูปแบบ

โดยแบบแรกคือสินทรัพย์ (สิ่งที่มีหรือต้องการ) และแบบที่ 2 คือทุน (ซึ่งครอบคลุมทุกสิ่งที่สามารถใช้แลกเปลี่ยนได้ แต่หลัก ๆ แล้วก็คือเงิน) ความมั่งคั่งในทุนเปิดโอกาสให้สามารถใช้มันได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม และพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบรวมหมู่ของคนในสังคม ก็จะสร้างมือที่มองไม่เห็น ซึ่งเป็นตัวควบคุมราคากับอุปสงค์และอุปทานขึ้นมา

มือที่มองไม่เห็นรู้จักดีกว่าคนของเศรษฐกิจแบบจากบนลงล่างเป็นไหน ๆ เพราะมันคือตัวเอง มันพัฒนาไปตามกาลเวลา ตอบสนองกับกระแส และความจำเป็น สมิธบอกว่าสิ่งสำคัญหลายอย่างที่ควรปกปักรักษาให้พ้นจากอิทธิพลของตลาดอยู่เสมอนั้นคือ ความมั่นคงของชาติ ความยุติธรรม และงานสาธารณะ อย่างการศึกษาหรือการสร้างสะพาน สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทางการเงินของปัจเจกบุคคล

5.คานธีกับสันติวิธี

เป็นคนแบบไหน เป็นคนที่หันแก้มอีกข้างให้ตบ หรือเป็นคนแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ถ้าต้องเผชิญหน้ากับคนที่กดขี่ข่มเหง จะสู้กลับหรือมองหาความสงบสันติ มหาตมะ คานธี นักต่อต้านจักรวรรดินิยมชาวอินเดีย ผู้เป็นต้นแบบของการต่อสู้แบบสันติวิธี เสนอว่าความรุนแรงนำความเสื่อมทรามมาสู่ทุกสิ่งที่มันสัมผัส รัฐที่มั่นคง สงบสุข และดีงามจึงไม่อาจสร้างขึ้นด้วยการนองเลือดและการทำลายล้างได้

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อาจจะไม่ค่อยมีใครคิดถึงกันสักเท่าไหร่ก็คือ คานธีไม่ใช่นักสันตินิยมแบบสุดเล่มทิ่มประตู ที่จริงแล้วเขาบอกด้วยซ้ำว่า บางครั้งความรุนแรงก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ประการแรกคานธีเสนอว่า การฆ่าฟันสามารถเป็นความชอบธรรมได้ หากมันเป็นสิ่งที่ดีต่อผู้ที่ถูกฆ่า ทุกวันนี้เรียกการทำแบบนี้ว่า การุณยฆาต

ประการต่อมาคานธีบอกว่า สันติวิธีเป็นอุดมคติที่ควรมุ่งหวังว่า จะปฏิบัติตามมากกว่าจะเป็นสิ่งที่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ต้องทำให้ได้ ความเป็นเฮ็นดูในสันติวิธีของคานธีเห็นได้จากการที่แนวคิดนี้มองว่า มนุษย์มีหน้าที่หลายแบบขึ้นอยู่กับบริบทหรือความสัมพันธ์ สำหรับคานธีแล้วประเด็นอยู่ตรงที่ความรุนแรงไม่มีทางเป็นความถูกต้อง แต่เป็นสิ่งที่สามารถอภัยให้ได้ หากใช้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ และใช้ในยามจำเป็น มุมมองของคานธีต่อสันติวิธีมีความซับซ้อนกว่าที่มักทึกทักกันเอาเองมาก แต่ที่แน่ ๆ คือเขามองว่า การใช้ความรุนแรงในทางการเมือง อย่างการที่ชาวอินเดียใช้ความรุนแรงเพื่อขับไล่อังกฤษนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีทางจะยอมรับได้ เหตุผลของเขาคือเพราะการบังคับขู่เข็ญ ไม่อาจนำมาซึ่งอุดมคติที่สูงส่งกว่า ความรุนแรงจะสร้างมลทินให้กับผลลัพธ์ที่ได้เสมอ

สั่งซื้อหนังสือ “MINI PHILOSOPHY กะทัดรัดปรัชญา” (คลิ๊ก)