คำว่า “Learning Curve” หากแยกแปลความหมาย “Learning ” แปลว่า การเรียนรู้ เกิดจากการรับข้อมูล ความรู้ ทักษะ แล้วเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลง ทั้งในด้านของการพัฒนา ความคิด และ พฤติกรรม .. ส่วนคำว่า “Curve” แปลว่า เส้นโค้ง ดังนั้น “Learning Curve” ก็คือ เส้นแห่งการเรียนรู้ เป็นความสัมพันธ์ระหว่าง “ความรู้” และ “ประสบการณ์” ที่เราสะสมมาเมื่อเราเรียนรู้มากขึ้น เส้นจะโค้งขึ้น หากเรามองย้อนตัวเองกลับไปสมัยเด็กในห้องเรียน คุณครูก็จะสอนเราจากตำราเรียน (Intro เรียกความพร้อม) จากนั้นก็จะออกแบบกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหาที่สอน เช่น พาไปทัศนศึกษา จัด workshop (Stimulate แหย่ให้อยากรู้) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง ถือเป็นส่วนสำคัญที่สุด (Learn เรียนรู้จากประสบการณ์) และทบทวนความรู้ผ่านการทำแบบฝึกหัด หรือ การสอบ (Conclusion ทวน/ถอดบทเรียนร่วมกัน) เมื่อมีความรู้ความเข้าใจแล้วก็สามารถนำไปปรับใช้และต่อยอดได้ (Apply ชวนให้ปรับใช้ในชีวิตประจำวัน) ซึ่งก็ไม่แปลกที่ผลการเรียนของแต่ละคนจะออกมาไม่เหมือนกัน เพราะ เส้นการเรียนรู้ ของคนเราไม่เท่ากันนั่นเอง

แม้เส้น “Learning Curve” ของแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่เราสามารถพัฒนาได้หลายวิธี

  1. เรียนรู้จากตัวอย่างที่ดี : เป็นการศึกษาจากผู้ที่เรามองว่าประสบความสำเร็จแล้ว หรือใครก็ตามที่เรามอง่าเป็น Roll Model ที่เราชื่นชอบ เรียนรู้แนวคิด ทักษะของเข้าเป็นอย่างไร
  2. ประเมินการเรียนรู้ของตัวเองทุกสัปดาห์ : ไม่จำเป็นต้องประเมินทุกวัน เพราะ การเรียนรู้ต้องใช้เวลา การทบทวนตัวเองทุกสัปดาห์เป็นระยะเวลาที่เหมาะสม ทำให้เราได้ทบทวนว่าตัวเองเรียนรู้อะไรไปบ้าง สิ่งไหนที่ดีก็ควรทำต่อ หรือขาดอะไรก็เพิ่มเติม และหากสิ่งไหนที่ผิดพลาดก็ไม่ทำต่อ
  3. ให้คนอื่นประเมิน คือ การเปิดรับฟัง Feedback จากผู้อื่น : ต้องยอมรับก่อนว่าคนเราไม่ได้มีใครเก่งที่สุดเสมอไป การที่เราเปิดใจรับฟังผู้อื่นที่ประเมินเราในบ้างเรื่องอาจทำให้เรารู้สึกนอยด์ได้ในช่วงแรก อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ จงนำคำติชมเหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาตัวเอง แล้วเราจะเก่งขึ้น ในวันที่เราประสบความสำเร็จอาจต้องขอบคุณ Feedback เหล่านั้นด้วยซ้ำ
  4. อย่าหยุด : อย่าท้อหากเส้น Learning Curve พุ่งขึ้นไปแล้ว แต่แล้วมันกลับเดินไปข้างหน้าเป็นแนวราบ ทำให้คนส่วนมากท้อแล้วหยุดการเรียนรู้ไป แต่จริงๆแล้วไม่ได้หมายความว่าคุณเรียนรู้ไม่ได้ หรือไม่เกิดการเรียนรู้ หากคุณทำต่อไปไม่หยุดกราฟคุณจะพุ่งขึ้นอีกครั้ง ยกตัวอย่างง่ายๆ การออกกำลังกายบางคนออกได้เป็นชั่วโมง แต่บางคนบอก 5 นาทีก็ไม่ไหวแล้ว จริงๆคุณทำได้หากคุณพยายามไปเรื่อยๆทำทุกวัน เมื่อกล้ามเนื้อคุณแข็งแรง การออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงจะเป็นเรื่องที่ง่ายมาก
  5. ฝึกให้หนักขึ้นไปอีก : ไม่ใช่การทำตลอดเวลา เป็นการทุ่มเทอย่างจริงจัง และการที่เราช่วยให้ความรู้กับคนอื่นก็เป็นการทบทวน พัฒนา Learning Curve เพิ่มขึ้นได้ด้วย

เมื่อเราเจอความยากลำบากในการเรียนรู้ ขอให้นึกถึงสำนวนที่ว่า “Steep Learning Curve เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องใช้ความพยายามและเวลามากเพื่อทำความเข้าใจและประสิทธิภาพในการทำงาน และมักเป็นที่รู้จักในงานที่มีความซับซ้อนหรือความยาก เช่น การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ บางคนอาจจะเข้าใจได้ไว แต่สำหรับบางคนก็ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ที่นานกว่า

ดั่งที่กล่าวไปเส้น “Learning Curve” แต่ละคนไม่เท่ากัน อีกทั้งสังคมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเจอเรื่องใหม่ๆ หรือเรื่องที่ยากก็อย่าเพิ่งท้อ อย่ากดดันตัวเองจนเกินไป..คนเราสามารถพัฒนาเส้นการเรียนรู้ได้เสมอนะ(จำไว้!!) จากคนที่เคยสอบได้ลำดับที่ไม่ดี วันนึงอาจจะเป็นเด็กเรียนเก่งสอบได้ที่ 1 ของชั้นก็ได้.. ดังสำนวนไทยที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน.. ความสำเร็จอยู่ที่นั่น..”