สรุปหนังสือ วิธีที่คน 1% ที่หาเงินเก่งที่สุด
HOW TO BECOME A SUCCESSFUL MONEY MAKER
ทุกวันนี้เราทุกคนต่างทำงานเพื่อให้ได้เงินเงิน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ใช้ชีวิตอยู่บนโลกได้อย่างมีความสุข ทว่าการทำงานให้ได้เงินนั้น แต่ละคนก็มีจุดแตกต่างกันไป บางคนทำงานแล้วได้เงินมาก บางคนทำงานเราได้เงินน้อย บางคนทำงานแล้วไม่ได้เงินเลยก็มี ทำให้ทุกคนต่างมีจำนวนเงินไม่เท่ากัน มีความลับอยู่ว่า คนรวยไม่ได้โฟกัสที่มีเงินเยอะ แต่โฟกัสที่หาเงินเก่ง คนจนและคนฐานะปานกลางส่วนใหญ่โฟกัสที่เงิน และทำยังไงจะได้เงิน
ส่วนเศรษฐีและยิ่งระดับมหาเศรษฐีจะโฟกัสที่ตัวเอง ทำยังไงจะมีคุณสมบัติเหมือนพวกที่หาเงินเก่ง ๆ จะหาไอเดียดี ๆ จากไหนหรือต้องแก้ไขข้อบกพร่องอะไรในตัวเอง ถึงจะประสบความสำเร็จและรวยกว่านี้ นี่คือความต่างของโฟกัสที่ทำให้ชีวิตแต่ละคนต่างกัน หนังสือเล่มนี้จะช่วยเปลี่ยน Mindset ให้คิดบวก (Think positive) และให้คิดใหญ่ (Think big) ขึ้น ช่วยให้เชื่อมั่นในคุณค่าความสามารถและศักยภาพของตัวเอง มีเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต พัฒนาตัวเองถึงจุดที่ไม่คาดคิด กล้าตัดสินใจ และเปลี่ยนแปลงไปสู่ชีวิตที่ต้องการ และได้ทุกอย่างไปพร้อม ๆ กับเงิน
บทที่ 1
เงินซื้ออำนาจในการใช้ชีวิตให้ได้
เงินซื้อความสุขได้หรือไม่ บางคนคิดว่าคนที่บอกว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ มันคือเรื่องที่ไม่ค่อยมีเงิน และไม่ค่อยมีความสามารถในการหาเงิน จึงบอกตัวเองให้เชื่อว่าเงินซื้อความสุขไม่ได้ เพื่อจะรู้สึกว่าฉันมีความสุขได้โดยไม่ต้องมีเงิน และปลอบใจตัวเองว่า พวกคนรวยที่มีเงินก็ใช่ว่าจะมีความสุข และบางคนก็คิดว่าคนที่บอกว่าเงินซื้อความสุขได้นั่นคือ คนรวยที่มีเงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ เลยบอกว่าเงินซื้อความสุขได้ เพราะถ้าได้ใช้ชีวิตแบบนั้นใครจะไม่มีความสุข แต่นั่นก็แค่ความสุขที่ฉาบฉวย ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
ถ้าไม่มีเงินพวกเขาก็จะกลายเป็นคนไม่มีความสุข ไม่สำคัญว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกหรือผิด แต่สำคัญอะไรคือมุมมองหรือความเชื่อที่ดีที่สุด ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายชีวิตที่ต้องการ การมีเงินมากขึ้นไม่ได้ทำให้มีความสุขน้อยลง กลับทำให้มีความสุขมากขึ้นได้ เพราะเงินจะทำให้มีอำนาจในการใช้ชีวิตมากขึ้น สามารถทำในสิ่งที่ต้องการ และทำในสิ่งที่มีความสุข เกิดมาครั้งเดียวต้องการมีอำนาจใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ และนั่นทำให้ความสุขเป็นไปได้มากที่สุด แล้วถ้าเชื่อว่าเงินซื้ออำนาจในการใช้ชีวิตให้ได้ และอำนาจนั้นจะเพิ่มคุณค่าและประสบการณ์ ความสุขในชีวิตได้ ก็จะคิดบวกกับเงิน มีแรงกระตุ้น ความพยายาม และความทะเยอทะยานในการหาเงิน
ที่สำคัญหาเงินอย่างมีความสุขนั่นคือ สิ่งที่คนรวยมีความสุขมากมายทำ ความจริงก็คือไม่จำเป็นต้องคิดว่าเงินซื้อความสุขได้ แค่ยอมรับว่าเงินซื้ออำนาจในการใช้ชีวิตให้ได้ และอำนาจนั้นจะทำให้มีความสุขมากขึ้น แม้ความสุขจะไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เงิน 100% เพราะอยู่ที่ความคิด ทัศนคติ นิสัย การเลือก การตัดสินใจ และอื่น ๆ ในชีวิตด้วย แต่อย่างน้อยถ้าชีวิตการเงินดี ย่อมมีโอกาสมากกว่าที่จะมีความสุข
บทที่ 2
ดีพอสำหรับทุกสิ่งที่ต้องการ
ไม่มีคำว่าไม่ดีพอในพจนานุกรมของคนรวย สิ่งที่กำหนดชีวิตพวกเขาไม่ใช่พวกเขาดีพอสำหรับอะไร แค่พวกเขาต้องการอะไร และถ้าพวกเขาต้องการมัน จะไม่มีอะไรหยุดยั้งพวกเขาได้ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะยากหรือมากแค่ไหน ไม่ว่าคนอื่นจะมีความคิดยังไง และไม่ว่าพวกเขาจะมีคุณสมบัติที่ดูห่างไกล ที่จะไล่ล่าสิ่งนั้นมาได้สำเร็จ พวกเขาก็คิดว่าตัวเองคู่ควร อุปสรรคไม่ชอบความสามารถ (Skill) แต่คือความมุ่งมั่น (Will) ไม่สำคัญว่ามีอุปสรรคอะไรที่ทำให้ไขว่คว้าสิ่งนั้นมาไม่ได้ แต่อุปสรรคเดียวคือไม่ต้องการมันมากพอ
สิ่งหนึ่งที่คนสำเร็จและคนรวยทุกคนมีนั่นคือ Self-esteem หมายถึง ความเชื่อมั่นในคุณค่าและความสามารถของตัวเอง เชื่อว่าตัวเองคู่ควรกับสิ่งที่ดีพอ Self-esteem ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จและความร่ำรวยมากมาย เพราะทำให้คิดว่าไม่มีอะไรในโลกที่ทำไม่ได้ ถ้ารู้ดีว่าดีพอก็จะเดินหน้าไล่ล่ามัน และถ้ารู้ว่ายังไม่ดีพอก็จะทำให้ตัวเองดีพอ แต่ไม่มีทางที่จะเลิกให้ถึงสิ่งที่ต้องการ
Mindset คือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะกำหนดชีวิต ถ้า คิดว่าไม่ดีพอสำหรับอะไรเลย ชีวิตก็จะล้มเหลวตั้งแต่เริ่ม เพราะจะไม่พยายามเพื่ออะไรเลย หรือถ้าคิดว่าดีพอแต่อาจไม่ดีพอสำหรับสิ่งที่ต้องการ ก็จะได้แต่สิ่งที่ไม่ต้องการในชีวิต เพราะจะเลือกมันและไม่พยายามทำเพื่อสิ่งที่ดีกว่า จำไว้ไม่มีอะไรต้องเสียในการคิดว่าตัวเองดีพอ แค่มั่นใจและกล้าไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการ เมื่อได้มันมาก็จะรู้ว่ามองตัวเองไม่ผิด
บอกตัวเองว่าดีพอดัง ๆ หนึ่งครั้งในใจตัวเอง มันช่วยทำลายความประหม่าไปได้มาก หลายครั้งทำให้รู้สึกมั่นใจ ฮึกเหิมและทำได้ดีกว่าที่คิด ที่แน่ ๆ ต้องเชื่อเช่นนั้นตลอดเวลา ที่เริ่มต้นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนกระทั่งทำสำเร็จ อย่ามีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวที่สงสัยหรือลังเลในตัวเองว่า อาจจะทำไม่ได้เพราะจะเริ่มคิดว่าไม่ดีพอ และถ้าเป็นเช่นนั้นแม้แต่สิ่งที่ง่ายที่สุดในโลกก็ทำไม่ได้ การเป็นคนหาเงินเก่งไม่ได้โฟกัสที่หาเงิน แต่โฟกัสที่สร้างคุณสมบัติในตัว และถ้าคุณสมบัติในตัวที่ว่าต้องเริ่มที่ Mindset เป็นอย่างแรก ถ้าคิดไม่เหมือนคนที่หาเงินเก่ง แม้จะรู้วิธีของคนที่หาเงินเก่ง ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อย่างเขา
บทที่ 3
อย่าสร้างขีดจำกัดให้ตัวเอง หรือให้คนอื่นสร้างให้
ถ้าต้องการจะดีพอ ก็จะเอาชนะทุกอย่างที่กีดขวางได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเอง แต่ต้องเลือกโฟกัสที่จุดที่ดีพอ จุดที่เหนือกว่าคนอื่น คุณสมบัติที่มี และสิ่งที่ทำได้ แม้ทุกข้อเป็นสิ่งที่คิด แต่สิ่งที่คิดเกี่ยวกับตัวเองจะกลายเป็นจริง คิดว่าเป็นยังไงก็ถูกทั้งนั้นเพราะจะไม่ยอมเป็นมากกว่า หรือน้อยกว่าที่คิด ดังนั้นความลับของคนรวยที่สุดก็คือ พวกเขาคิดว่าตัวเองยอดเยี่ยม และเชื่อว่าศักยภาพสูงสุดของตัวเองไม่มีขีดจำกัด พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาทำได้ทุกสิ่ง แค่ไม่จำเป็นต้องทำทุกสิ่ง เพราะคนเราไม่ได้รวยเพราะทำได้ทุกสิ่งในโลก แค่เพราะยอดเยี่ยมในสิ่งที่ทำ มี 2 สิ่งที่ต้องเรียนรู้จากพวกเขา คือ
- อย่าสร้างขีดจำกัดให้ตัวเอง ความเชื่ออาจเป็นแรงผลักดัน หรือขีดจำกัดศักยภาพของตัวเองก็ได้ ถ้าเชื่อว่าทำบางอย่างได้นั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยม และถ้าสิ่งที่เชื่อว่ายังไม่ถึงครึ่งของศักยภาพหรือทำได้มากกว่านั้นอีก 10 เท่า ความเชื่อนั้นจะกลายเป็นขีดจำกัด ไม่ให้พยายามทำมากกว่านั้น และจะไม่มีวันรู้ศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง จงเชื่อว่าศักยภาพไม่มีขีดจำกัด กฎก็คือจงเริ่มทำสิ่งที่อยากทำ ไม่ว่าจะดูยากแค่ไหน และจงทำสิ่งที่ท้าทายขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ แล้วจะได้ค้นพบความสามารถและศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัว ว่าทำได้มากกว่าที่คิด ความสำเร็จในชีวิต มี 3 จุด
จุดที่เป็นอยู่ คือ จุดที่อาจยังไม่พอใจ หรือคิดว่ายังไปได้มากกว่านี้อีก
จุดที่ต้องการไปถึง คือ จุดที่คิดว่าคือเป้าหมายหรือจุดสูงสุดที่จะไปถึงได้
แต่ที่สำคัญคือจุดที่ไกลกว่าที่คาดคิดว่าจะไปถึง คนส่วนใหญ่ไม่มีจุดนี้อยู่ในจินตนาการเลย หรือคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปถึงจุดนั้น นี่แหละคือการสร้างขีดจำกัดให้ตัวเอง
จำไว้ว่าคนที่ประเมินคุณต่ำ เขาพูดถึงขีดจำกัดศักยภาพ ความสามารถ และความเป็นไปได้ของตัวเขาเอง จงเดินหน้าต่อไปแล้ววันหนึ่งความสำเร็จ จะทำให้เขาเห็นเองว่าไม่ใช่เขา
- อย่าให้คนอื่นสร้างขีดจำกัดให้ อย่าโฟกัสที่คนอื่นคิดอะไร จงโฟกัสที่คิดอะไรกับตัวเอง เพราะ 9 ใน 10 ครั้ง เสียงคนอื่นไม่ดังเท่าเสียงตัวเอง การที่คนอื่นสร้างขีดจำกัดให้ได้ หรือทำให้เชื่อว่าไม่ดีพอ และไม่มีความสามารถพอ นั่นเพราะเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น คนอื่นเห็นสิ่งที่เป็นแต่ไม่เห็นสิ่งที่จะกลายเป็น และไม่มีใครจำเป็นต้องเชื่อ จนกว่าเขาจะเห็น มีแต่คุณเท่านั้นที่ต้องเชื่อ
บทที่ 4
เลิกทนกับชีวิตที่คุณไม่พอใจ
การที่ตัดสินใจเริ่มเปลี่ยนแปลง เกิดจากการที่เลิกทน นั่นแปลว่า ตราบใดที่ยังทน ย่อมจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่างาน เงิน ความสัมพันธ์ และชีวิตแย่ ๆ จะเป็นเช่นนั้นตลอดไป เพราะคนเดียวที่เปลี่ยนแปลงมันได้คือตัวเราเอง แต่จุดเริ่มต้นคือเราต้องยอมรับว่าไม่พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ และไม่เลือกที่จะทน เหตุผลที่คนมากมายเลือกที่จะทนกับชีวิต หรือบางเรื่องในชีวิตที่ทำให้พวกเขาไม่มีความสุข อาจจะเพราะความกลัวการคิดถึงสิ่งที่ดีกว่า เป็นแค่การเพ้อฝันไม่มีทางเป็นไปได้ หรือเกิดขึ้นจริงในชีวิต
ดังนั้นควรอยู่กับความจริง และจะไม่มีความสุขกับมันก็ต้องพยายามยอมรับมันให้ได้ หรืออยากเปลี่ยนแปลงแต่กลัวความไม่เหมือนเดิม กลัวที่จะต้องปรับตัวเข้าหาสิ่งใหม่ แม้สิ่งนั้นจะแย่ แต่ก็ขอให้เลือกความสบายใจ (Comfort zone) ดีกว่าความเปลี่ยนแปลง (Change) อยากก้าวออกจากจุดที่ยืนอยู่ อยากไปเริ่มสิ่งใหม่ ลองสิ่งใหม่ แต่ก็กลัวล้มเหลว กลัวไม่ใช่อย่างที่คิด ไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็เลือกอยู่ที่เดิม
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดน่ากลัวเท่ากับติดอยู่ที่เดิม โดยเฉพาะการติดอยู่ที่เดิมกับสิ่งแย่ ๆ ย่อมแย่กว่าการไปข้างหน้าแล้วไปเจอสิ่งแย่ ๆ เพราะอย่างน้อยก็ไปข้างหน้า ต้องไปข้างหน้าต่อ จนกระทั่งได้เจอสิ่งที่ดี ๆ เพราะถ้าไม่เจอสิ่งดี ๆ ก็ไม่หยุด แต่จุดเริ่มต้นนั้นจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเลือกที่จะไม่ทนอีกต่อไป เมื่อรู้อำนาจของตนเองว่า เดินออกจากสิ่งที่ไม่พอใจไปหาสิ่งที่ต้องการได้ทุกเมื่อ แม้ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่พร้อมจะแลก ดีกว่าต้องทนอยู่กับสิ่งที่ไม่ต้องการไปตลอดชีวิต ต้องการอะไรมากที่สุดในชีวิต งาน เงิน ความสัมพันธ์ ชีวิตแบบไหนที่พอใจ ตอบตัวเองแล้วทำอะไรสักอย่างกับมัน ทุกสิ่งที่ต้องการเปลี่ยนแปลง มีบางสิ่งที่เริ่มได้เดี๋ยวนี้ แค่ต้องตัดสินใจทำในสิ่งที่กลัวเล็กน้อย และเชื่อว่านี่คือการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิต
บทที่ 5
เริ่มวางแผนชีวิตให้ไกลกว่าเดิม
คนรวยวางแผนถึงอนาคต 10 ปีข้างหน้า คนจนวางแผนแค่สุดสัปดาห์ ถ้าไปนั่งคุยกับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและการเงิน จะได้ยินพวกเขาคุยกันเรื่องเป้าหมายชีวิต แผนการในอนาคต และไอเดียที่น่าทึ่ง ในหัวพวกเขาจะเต็มไปด้วยแผนการ พวกเขาดูมีพลังและกระตือรือร้น เมื่ออยู่ใกล้พวกเขาจะรู้สึกตื่นตัว มองเห็นชีวิตใหญ่ขึ้นและหน้าตื่นเต้นขึ้น ตรงกันข้ามถ้าไปนั่งคุยกับคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตและการเงิน พวกเขาจะคุยกันถึงความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้หาได้จากชีวิต นั่นคือแผนการในหัวพวกเขา ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่กว่านั้น หรืออาจมีบ่นเรื่องงานแย่ ๆ หรือชีวิตที่ไม่พอใจอีกนิดหน่อย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีแผนการแค่บ่น
แน่นอนคนรวยและคนจนย่อมมีความแตกต่าง ชีวิตพวกเขาถึงได้แตกต่าง และการวางแผนชีวิตคือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุด การวางแผนชีวิตจะทำให้ได้ชีวิตที่ต้องการ เพราะเมื่อรู้ว่าต้องการอะไร จะมุ่งไปในทิศทางที่ถูกต้อง เช่น วางแผนว่าต้องการชีวิตที่มีทั้งอิสระและเงินมาก ๆ ในอีก 5 ปีข้างหน้า วันนี้จะไม่เลือกหรือจมอยู่กับงานประจำ แต่จะหาไอเดียที่จะทำเงินมาก ๆ และใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระไปพร้อมกัน การไม่วางแผนชีวิตจะทำให้ติดอยู่กับชีวิตที่ไม่ต้องการ
การใช้ชีวิตแบบไม่วางแผน ก็เหมือนการเดินทางไปเรื่อย ๆ แบบไม่มีจุดหมาย มันก็คือการผจญภัยที่ไม่ต้องรู้ว่าจะเจออะไรข้างหน้า อย่างน้อยการเดินทางไปเรื่อย ๆ ก็ยังไปข้างหน้า และทุกสิ่งที่เจอคือการสะสมประสบการณ์ มันคุ้มไม่ว่าจะไปลงเอยที่จุดหมายปลายทางไหน แต่การใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ทุกวันที่ผ่านไปคือการโยนชีวิตทิ้งไปไม่ได้อะไรเลย และที่น่ากลัวกว่านั้นคือ อาจไปลงเอยที่จุดหมายปลายทางที่แย่กว่าที่คาดไว้ เช่น ความล้มเหลว ความยากจน ความโดดเดี่ยว หรือความรู้สึกไร้ค่าในการมีชีวิตอยู่
คนที่ประสบความสำเร็จและรวยมาก ๆ หลายคนวางแผนอนาคตของเขา และสิ่งที่เขาทำไว้ล่วงหน้าเป็น 10 ปีว่าอะไรจะเกิดขึ้น วันที่เขาเริ่มวางแผนและพูดเช่นนั้น เขาไม่มีอะไรเลยนอกจากความเชื่อ แม้มีคนดูถูกหรือหัวเราะเยาะว่า วิสัยทัศน์ของเขาเพ้อเจ้อ การไม่มีและไม่เชื่อในวิสัยทัศน์ คือความล้มเหลวที่แน่นอนของชีวิต จำไว้ว่าวิสัยทัศน์สำคัญกว่าความเป็นจริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในความเป็นจริงจะปรับเข้าหาวิสัยทัศน์ เมื่อคิดใหญ่จะทำใหญ่ เมื่อเชื่อว่าเป็นไปได้จะทำให้เป็นไปได้ เมื่อต้องการเปลี่ยนชีวิตตัวเองจากจุดนี้ไปยังจุดที่วางแผนว่ามันต้องเป็น จะเคารพเวลาที่ตั้งเอาไว้
บทที่ 6
คนหาเงินเก่งทั้งโลกมี 3 ข้อที่เหมือนกัน
คนหาเงินเก่งเหมือนเป็นคนที่มีอะไรพิเศษกว่าคนทั่วไป ความจริงข้อหนึ่งไม่ว่าเกลียดอะไรจะไม่มีวันเป็นสิ่งนั้นได้ ถ้าคิดลบกับคนที่หาเงินเก่งจะไม่มีวันเป็นคนหาเงินเก่ง การคิดลบทำให้ปฏิเสธที่จะมองคุณสมบัติ และความสามารถของคนที่เหนือกว่า ว่าเขามีอะไรพิเศษจึงทำสิ่งที่เหลือเชื่อแบบนั้นได้ จึงไม่มีโอกาสเรียนรู้และทำได้อย่างเขา อย่างไรก็ตาม 99% ของคนรวยคือคนที่หาเงินเก่ง ดังนั้น ถ้าอยากรวยต้องเป็นอย่างเขาอย่างไม่มีข้อแม้ ต้องเป็นคนหาเงินเก่ง และที่สำคัญต้องคิดบวกกับการหาเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยวิธีของคนที่หาเงินอย่างฉลาด ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทำงานหนักแลกเงินเดือนน้อย และรู้ไว้ว่าไม่จำเป็นที่ต้องทำอะไรที่เกลียด อันดับแรกนี่คือสิ่งที่ต้องรู้ คนหาเงินเก่งทั้งโลกมี 3 ข้อที่เหมือนกัน
- ความฉลาด คนหาเงินเก่งคือคนฉลาด แต่เขาไม่ได้ฉลาดเหมือนคนทั่วไป เขาเป็นคนชอบคิด ชอบหาไอเดีย และชอบวางแผน เขาไม่เคยหยุดคิดถึงวิธีที่จะหาเงิน เขาไม่เคยหยุดหาไอเดียที่จะสร้างสรรค์ และทำอะไรบางอย่างเพื่อให้คนซื้อมัน และที่สำคัญที่สุดเขาไม่เคยหยุดอ่านผู้คน และหาวิธีที่จะโน้มน้าว จูงใจ และชนะใจผู้คน เขาฉลาดเพราะเขาไม่หยุดคิด จงเป็นนักคิด และโฟกัสที่ความท้าทายอย่าโฟกัสที่เงิน
- ความกล้า ไม่มีคนหาเงินเก่งคนไหนที่ไม่กล้า เพราะเขาจำเป็นต้องเข้าหาผู้คน ต้องพูด ต้องขาย ต้องนำเสนอตัวเอง หรืออะไรก็ตามที่เขาต้องทำ ความกล้าทำให้ขายเกือบทุกสิ่งในโลกได้ เคล็ดลับที่จะช่วยให้กล้า ไม่ใช่การนึกถึงเงิน แต่คือการนึกถึงสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในชีวิต และเงินจะทำให้ได้มันมา นึกถึงสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในชีวิต แล้วจะมีแรงบันดาลใจ และกล้าทำทุกสิ่งที่ไม่เคยทำ หรือไม่เคยคิดจะทำ และเมื่อทำแล้วจะชอบมัน
- ความขยัน ค้นหาเงินเก่งต้องขยัน ต้องคิดหาไอเดีย และวางแผนออกไปหาผู้คน ต้องสร้างสรรค์ และทำบางสิ่งตลอดเวลา ยิ่งช่วงที่เริ่มจากศูนย์ยิ่งต้องขยัน ตื่นเต้น และมีความสุขสุด ๆ กับการหาเงิน
บทที่ 7
คุณสมบัติดึงดูดคนและเงิน
นี่คือคำถามที่ง่ายที่สุด และสำคัญที่สุดที่จะเปลี่ยนชีวิต เงินอยู่ที่ไหน? คำตอบคือเงินอยู่ที่คน ใช่ถ้าอยากได้เงินต้องเอาเงินมาจากคน ขั้นตอนก็คือ ต้องเริ่มจากเข้าไปหาผู้คน สร้างความประทับใจแรกพบเพื่อให้เขาชอบ แล้วก็ขายอะไรบางอย่างให้กับเขา โดยพูดคุยและโน้มน้าวใจให้เขาเชื่อ แล้วก็ได้เงินจากเขา ไม่ว่าต้องการอะไรต้องเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อสิ่งนั้น อย่าคิดว่ามันยาก จงคิดว่ามันง่าย อย่าคิดลบกับมัน
วิธีที่จะได้เงินมาคือ โน้มน้าวจูงใจคน ไม่มีวิธีอื่นที่ง่ายและดีกว่านั้น โดยเฉพาะถ้าต้องการทำงานที่เป็นอิสระและมีเวลาเยอะ ๆ ไม่ต้องมีอะไรที่ผูกมัดให้ยุ่งและอยู่กับที่ การโน้มน้าวจูงใจคนตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบนั้น การใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือในการหาเงิน ต้องการเป็นคนที่หาเงินที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ ด้วยไอเดียอะไรก็ได้ที่คิดขึ้นมาได้ ไม่สำคัญว่าจะขายอะไร แต่สำคัญว่าเราต้องขายได้ทุกสิ่ง และเมื่อถึงเวลานั้นทุกวันที่เกิดขึ้นมาคือวันที่เราหาเงินได้ ทุกไอเดียคือไอเดียที่ทำเงินได้ โฟกัสกับการใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือหาเงิน การเรียนรู้ที่จะเป็นคนที่มีคุณสมบัติดึงดูดคนและเงิน ก็เป็นเรื่องสำคัญมาก คุณสมบัติดึงดูดคนและเงินมี 3 ข้อ คือ
- บุคลิกภาพ ทุกคนในโลกจะให้ความสนใจ ถ้าเป็นนักสร้าง First Impression หรือเป็นคนที่มีบุคลิกภาพเหนือคนทั่วไป คือ มีบุคลิกภาพที่ดึงดูด (Attractive Personality) เช่น แต่งตัวดี ดูดีมีรสนิยม และมีเสน่ห์บางอย่างที่แตกต่างจากคนอื่น หรือมีบุคลิกภาพที่มั่นใจ (Confident Personality) เช่น ดูมั่นใจในตัวเอง และมีบุคลิกภาพของคนที่ประสบความสำเร็จ (Successful Personality) เช่น เป็นคนคิดบวก ใจกว้าง สุขุมลุ่มลึก
- การพูด การพูดที่ทำให้คนชอบคือการพูดที่มั่นใจ เป็นตัวของตัวเอง มีเสน่ห์ มีอารมณ์ขัน มีพลัง และทำให้คนคล้อยตาม ซึ่งควรเป็นแง่บวก และมีความพิเศษบางอย่างที่ทำให้คนสนใจ และที่ขาดไม่ได้คือเป็นนักสนทนาที่ยอดเยี่ยม พูดคุยกับทุกคนและสร้างความประทับใจได้ในทุกสถานะการณ์
- จิตวิทยา ถ้าไม่มีจิตวิทยาย่อมบรรลุเป้าหมายได้ยาก ดังนั้นจงฝึกจิตวิทยาในการอ่านคน ชนะใจคน และโน้มน้าวจูงใจคน จงอ่านให้ออกว่าเขาต้องการอะไร และให้ในสิ่งที่เขาต้องการ แล้วคุณจะได้ในสิ่งที่ต้องการ จงเป็นนักโน้มน้าวจูงใจคนที่ฉลาดและลื่นไหล (Smart & Smooth) เหนือสิ่งอื่นใดคือ ทำให้ผู้คนไว้ใจได้อย่างแท้จริง แล้วจะรวยตลอดกาล
บทที่ 8
งานที่เลือกบ่งบอกว่าเป็นใคร
ถ้าอยากรู้ว่าจะรวยหรือไม่ดูงานที่เลือก แล้วจะได้คำตอบที่แน่นอนที่สุด เพราะงานไม่ใช่แค่เครื่องมือหาเงินหรือหาเลี้ยงชีพ แต่งานคือสิ่งที่กำหนดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต จะมีความสุขหรือไม่มีความสุขก็เพราะงานที่เลือก จะสำเร็จหรือล้มเหลวในชีวิตก็เพราะงานที่เลือก จะรวยหรือจนก็เพราะงานที่เลือก จะเก่งหรือไม่เก่งก็เพราะงานที่เลือก จะมีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่าก็เพราะงานที่เลือก แม้แต่ความรู้สึกรักเคารพและเห็นค่าตัวเอง จะมีมากหรือน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่งานที่เลือก
งานสำคัญต่อชีวิต และไม่ใช่แค่สิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้ เช่น ต้องมีงานทำจะได้ไม่อดตาย หรือต้องมีงานดี ๆ จะได้มีเงินเยอะ ๆ งานไม่ได้สำคัญเพราะเหตุผลแค่นั้น งานที่เลือกบ่งบอกว่าเป็นใคร ทำให้ใครเข้ามามีความสัมพันธ์ และทำให้ลงเอยกับชีวิตแบบไหน ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ต้องรู้ว่างานที่เลือกบ่งบอกว่าเป็นใคร และมันใช่สิ่งที่เป็นหรือไม่ ที่สำคัญมันให้สิ่งที่ต้องการในชีวิตหรือไม่ ไม่ว่าเลือกอะไรในชีวิตนั่นคือสิ่งที่เชื่อว่าคู่ควร และมันก็บ่งบอกว่าตีค่าตัวเองแค่ไหน มาดูกันว่างานที่เลือกบ่งบอกอะไรเกี่ยวกับตัวเองบ้าง
- ตัวตนและความหลงใหล เลือกทำงานที่บ่งบอกความหลงใหลชัดเจน ซึ่งการมีตัวตนและความหลงไหลที่ชัดเจนทำให้ดูเป็นคนที่พิเศษ แต่ถ้าเลือกทำงานที่ไม่บ่งบอกตัวตน หรือความหลงใหลใด ๆ งานที่ทำเพื่อเงิน อาจดูเป็นคนไม่รู้จักตัวเองและไม่น่าสนใจมากนัก
- ความสามารถและความทะเยอทะยาน งานที่ทำบ่งบอกถึงความสามารถ งานที่ทำบ่งบอกว่าประเมินความสามารถตัวเองที่ระดับไหน และมีความทะเยอทะยานอยู่ในตัวเองมากน้อยแค่ไหน
- เป้าหมายและอนาคต งานของบ่งบอกว่ามีเป้าหมายอะไร และอนาคตจะเป็นอย่างไร
- การให้ค่าตัวเองและรักตัวเอง ถ้าให้ค่าตัวเอง จะเลือกงานที่คู่ควรศักยภาพและความสามารถ และถ้ารักตัวเอง แน่นอนจะเลือกงานที่มีอนาคต และทำให้บรรลุเป้าหมายชีวิตที่ต้องการ
สิ่งที่อาจไม่เคยตระหนักก็คือ สิ่งที่คนสำเร็จและคนรวยต้องการไม่ใช่แค่งานดี ๆ และเงินดี ๆ พวกเขาไม่ได้เลือกงานที่ดีที่สุด หรืองานที่ได้เงินมากที่สุดเท่าที่จะหาได้ แต่พวกเขาเลือกงานที่ตอบโจทย์ความหลงใหล ความสามารถ และอนาคตของพวกเขา สิ่งดี ๆ ที่ต้องการในชีวิต และแน่นอนที่สุดต้องเป็นเงินที่พวกเขาคู่ควร
บทที่ 9
มีได้ทั้งเงินและความสุข
สิ่งหนึ่งที่คนมากมายเชื่อ และทำให้พวกเขาลงเอยกับงาน และมีชีวิตที่ไม่ต้องการนั่นคือ ความสุขและเงินเป็นเรื่องที่ต้องเลือกหรือต้องแลก พวกเขาไม่สามารถเลือกงานที่ตัวเองมีความสุข และได้เงินที่พึงพอใจ พวกเขาต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งคือ เลือกงานที่ไม่มีความสุขแต่ได้เงินที่พึงพอใจ หรือเลือกงานที่มีความสุขแต่ไม่ได้เงิน พูดง่าย ๆ ถ้าชีวิตพวกเขามีเงินจะไม่มีความสุข แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องแลก เพราะเงินย่อมสำคัญกว่า ไม่ผิดที่หลายคนจะเชื่ออย่างนั้น เพราะประสบการณ์ที่พวกเขาเห็นมาในชีวิตอาจเป็นเช่นนั้นคือ ยอมทำงานที่ไม่มีความสุขเพื่อแลกเงิน
อยากให้เริ่มเปลี่ยนความเชื่อ ต้นทุนของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน แต่ทุกอย่างอยู่ที่ความพยายาม ความหนักแน่นที่จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ต้องการ (Resistance) คือสิ่งที่ทรงพลังมาก ถ้ายอมรับสิ่งที่ไม่ต้องการอย่างง่ายดาย จะต้องอยู่และทนกับมันไปตลอดชีวิต การไม่ปฏิเสธสิ่งที่ต้องการคือการเลือกอย่างหนึ่งในชีวิต จำข้อคิดนี้ไว้ ทำอะไรที่มีความสุขกับมันแล้วเงินจะตามมาเอง แค่ต้องทำให้มันนานพอและดีพอ
แต่ถ้าแน่วแน่ว่าต้องการเงินและความสุข จะไม่ทำสิ่งที่ไม่มีความสุข และจะไม่ทำสิ่งที่ไม่ได้เงิน จะปฏิเสธสิ่งที่ไม่ต้องการและต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ จะให้ทางเลือกเดียวกับตัวเองคือ ต้องทำงานที่ได้ทั้งความสุขและเงิน และได้มากทั้งคู่ ใครก็ตามที่พร้อมจะพัฒนาตัวเองให้มีคุณสมบัติ และความสามารถพอที่จะเลือกได้ ใครคนนั้นย่อมเลือกได้ ลองดูคนที่เริ่มจากศูนย์ ไม่มีเงินเลย และเริ่มทำสิ่งที่เขารัก แล้วทำมันจนประสบความสำเร็จ แล้วก็มีเงินมากมาย ซึ่งตัวอย่างแบบนี้มีอยู่ไม่น้อยในโลก
พวกเขาเริ่มที่ความพยายาม ที่จะทำในสิ่งที่เขารักให้เป็นงาน และให้เป็นเงิน ความพยายามอาจมีความล้มเหลวบ้าง แต่เขาจะพยายามต่อไป เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ทำจะได้เงินจากมันมากที่สุดคือ สิ่งที่ทำแล้วมีความสุขมากที่สุด เพียงแต่ต้องมองหาไอเดีย คิด และทำอะไรที่สร้างสรรค์พอที่มันจะทำเงินมากมายได้
บทที่ 10
เป็นตัวของตัวเองแล้วจะทรงพลัง
มีคนกล่าวว่า คนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในสิ่งใดก็ตามในโลกนี้ ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด แต่คือคนที่เป็นตัวของตัวเองที่สุด ความชอบจากการเลือกทำในสิ่งที่เป็นตัวเอง ทำให้เกิดความตั้งใจและความพยายาม และในที่สุดคือการพัฒนา ลองสังเกตดูคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดหรือรวยที่สุด พวกเขาจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือความเป็นตัวของตัวเอง บางคนถึงขั้นสุดโต่ง และไม่ใช่พวกเขาที่เป็นตัวของตัวเองได้เพราะเงิน แต่พวกเขามีเงินเพราะเป็นตัวของตัวเอง
ทำไมโลกนี้จึงมีแค่ 1% ที่ประสบความสำเร็จ อาจเพราะคน 99% มัวแต่คิดแต่ไม่ลงมือทำ มีคน 1% เท่านั้นที่ทั้งคิด วางแผน และลงมือทำ หรืออาจเพราะคน 99% ทำอะไรไม่เคยสำเร็จเพราะล้มเลิกไปก่อน มีคน 1% เท่านั้นที่วินัย ความอดทน และลงมือทำจริงจังจนกว่าจะสำเร็จ หรืออาจเพราะคน 99% มี Mindset ที่ทำให้พวกเขาล้มเหลว มีคน 1% เท่านั้นที่มี Mindset ที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ สุดท้ายจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ ถ้าไม่เคยเป็นหรือแม้แต่ชอบตัวเอง
กฎของความสำเร็จ จงเป็นตัวของตัวเองแล้วจะทรงพลัง ไม่ว่าจะล้มเหลวกี่ครั้ง จงพยายามต่อไป ปลดปล่อยสิ่งที่เป็นออกมาให้โลกได้เห็น ในที่สุดจะสำเร็จเพราะบางสิ่งในตัวที่แตกต่าง ไม่มีใครเพอร์เฟค ทำให้ทุกคนในโลกชอบไม่ได้ แต่อย่างน้อยการเป็นตัวของตัวเองหมายถึง การยอมรับในตัวเอง และนั่นสำคัญที่สุด อีกอย่าง อย่าทิ้งความเป็นตัวของตัวเองเพื่อเงิน ไม่ว่างานนั้นจะให้เงินมากเท่าไหร่ ถ้ามันคืองานที่เกลียด ไม่ชอบ ไม่อยากทำ ฝืน จะไม่มีวันใช้ศักยภาพในตัวเองได้อย่างเต็มที่ และยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต แน่นอนเงินคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่ถ้าทำในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเอง และทำมันได้ยอดเยี่ยม ก็จะได้เงินและความสำเร็จมากกว่าอีกหลายเท่า
บทที่ 11
ทำสิ่งที่หลงใหลและเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น
วิธีที่จะหาเงินได้เยอะที่สุดคือ ทำสิ่งที่รัก หลงใหล และตื่นเต้นกับมัน และทำให้มันประสบความสำเร็จ แล้วจะเป็นหนึ่งในคนที่หาเงินได้เยอะที่สุดในโลก และมีความสุขที่สุดด้วย จากการแค่เริ่มทำสิ่งที่ตัวเองหลงใหล แล้ววันหนึ่งเขาก็กลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลกับผู้คน ไม่ว่าในด้านของความเป็นตัวของตัวเอง ความคิดสร้างสรรค์ ความกล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมุ่งมั่นและแน่วแน่ ที่จะตั้งเป้าหมายและโฟกัสที่การทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุข ไม่ใช่เรื่องเงิน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากได้เงิน แต่เขามีวิสัยทัศน์ที่มองเห็นว่า ถ้าเขาประสบความสำเร็จในการทำสิ่งที่เขาหลงใหล เขาจะได้เงินมหาศาลกว่า ประสบความสำเร็จในการทำสิ่งอื่น และเขาก็ต้องทำในสิ่งที่เขาเชื่อกลายเป็นจริง
คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้เชื่อว่า สิ่งที่ยอดเยี่ยมไม่ควรจะง่าย และสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดนั่นคือ สิ่งที่ทำสำเร็จจากการล้มเหลวหลายครั้ง ไม่ใช่ทำครั้งเดียวก็สำเร็จเลย นั่นดูเหมือนมันจะไม่ยอดเยี่ยมพอ ลำดับโฟกัสให้เหมือนที่คนที่ประสบความสำเร็จทำไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง นั่นคือหนึ่งสร้างชิ้นงานที่ยอดเยี่ยม สองหาไอเดียและวิธีนำเสนอคุณค่า สามสร้างตัวตนให้เป็นแรงบันดาลใจคนอื่น แล้วเงินจะตามมาเอง
การทำสิ่งที่รักยังดีต่อการใช้ชีวิต เมื่อทำสิ่งที่รักมันย่อมไม่ใช่งานอีกต่อไป จะรู้สึกว่าทุกวันคือวันหยุดที่ตื่นมาทำสิ่งที่อยากทำ ทำสิ่งที่ควรมีความสุขไม่ใช่งาน พูดง่าย ๆ ชอบและหลงไหลมันมากจนถึงขั้นไม่ได้เงินก็จะทำ เพราะสนุกและตื่นเต้นกับมัน โหยหามัน และขาดไม่ได้ จงหาสิ่งนั้นให้เจอ และทำมันให้เร็วที่สุด เมื่อค้นหาตัวเองและความหลงใหลเจอ จะรู้สึกว่าทุกวันกำลังทำสิ่งที่เกิดมาเพื่อทำ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ ค้นหาต่อไปว่าจะทำยังไงให้คนอื่นเห็นคุณค่าของสิ่งที่ทำ เหมือนที่เห็นคุณค่าของมัน และทำยังไงให้สิ่งนั้นทำเงินให้ได้
บทที่ 12
ทำงานหนักให้รวยเพื่ออะไร
ทำไมโลกนี้ถึงมีคนน้อยมากที่รวย เพราะคนมากมายมีทัศนคติที่เป็นลบมาก ๆ กับคำว่ารวยและทำงานหนัก เช่น จะรวยไปทำไมมีเงินมาก ๆ ก็ใช่ว่าจะมีความสุข จะทำงานหนักให้เหนื่อยทำไมใช้ชีวิตสบาย ๆ มีเงินพอใช้ก็พอแล้ว เป็นมุมมองหนึ่งของคนที่ไม่อาจชอบความรวย หรือคิดว่าความรวยไม่จำเป็นสำหรับเขา จริง ๆ ซึ่งมันก็คือชีวิตของเขา และถ้าเขาเลือกจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด แต่อีกมุมหนึ่งของโลกก็มีคนอีกประเภทที่มีความทะเยอทะยานมากกว่านั้น ไม่ใช่ทะเยอทะยานแค่เรื่องเงินหรืออยากหาเงินให้ได้มากที่สุด แต่พวกเขาทะเยอทะยานที่จะค้นพบศักยภาพของตัวเอง ท้าทายความสามารถของตัวเอง สร้างคุณค่าให้ตัวเอง และสร้างความหมายให้ชีวิตให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
คนที่อยากรวยทุกคนมีเป้าหมายเดียวกันคือ อยากมีชีวิตที่มั่นคงและมั่งคั่ง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำทุกอย่างเพื่อเงิน เพราะแค่อยากมีชีวิตที่ฟุ้งเฟ้อสุขสบาย บางคนรวยระดับมหาเศรษฐีแต่ไม่เคยแตะเงินของตัวเองเลย เมื่อชีวิตเขาถึงจุดที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้ว เขาต้องการใช้ชีวิตให้เต็มที่และมีคุณค่าที่สุด ไม่มีทางที่คนเหล่านี้จะอยู่ไปเป็นวัน ๆ แม้เขาจะร่ำรวยที่สุดในโลก แล้วเงินก็เติมเต็มความรู้สึกมีคุณค่าให้กับเขาไม่ได้
สิ่งที่มีค่ากว่าเงินที่ได้มาโดยไม่รู้ตัวคือ ความภาคภูมิใจในตัวเอง และความสำเร็จของตัวเอง การพัฒนาเป็นคนที่เก่งและยอดเยี่ยมขึ้น ความแข็งแกร่งและความอดทนที่ไม่มีใครเทียบได้ ซึ่งมี 4 แรงจูงใจว่าจะทำงานหนักให้รวยเพื่ออะไร มีดังนี้
- เพื่อเงินและเพื่อสิ่งที่ต้องการในชีวิต
- เพื่อความสำเร็จและความภูมิใจในตัวเอง
- เพื่อจะได้มีเวลาใช้ชีวิตที่ต้องการยาวขึ้น
- เพื่อจะสามารถให้หรือให้มากขึ้น
แรงจูงใจของคนที่จะรวยได้ ต้องยิ่งใหญ่กว่าเงิน นั่นคือ ต้องจินตนาการได้ว่า จะเอาเงินนั้นไปทำอะไร และมันจะเติมเต็มคุณค่าในชีวิตได้ยังไง Work like you’re on your last dollar จงทำงานเหมือนกำลังถังแตก แล้วจะรู้ว่าทำงานได้หนัก และรวยได้เร็วกว่าที่คิด
บทที่ 13
สูตรง่าย ๆ ของความรวย
วิธีที่จะรวยนี้มากมายนัก ถ้าคุณไปถามคนรวย 10 คนว่า ทำยังไงถึงจะรวยพวกเขาจะบอกวิธีที่ต่างกัน ไม่ว่าวิธีทำหรือวิธีคิด บางวิธีอาจเหมาะและใช้ได้ผล บางวิธีอาจไม่เหมาะและใช้ไม่ได้ผล สิ่งหนึ่งที่ทุกคนในโลกใช้ได้ผลแน่นอน และคนรวยทุกคนก็ใช้ไม่ต่างกันนั่นคือ สูตรของความรวย สูตรง่าย ๆ ขอความรวยคือ ระดับความทะเยอทะยาน + ระดับความสามารถ + ระดับความกล้า + ระดับความพยายาม + ระดับความมุ่งมั่น = ผลลัพธ์ที่ได้ในชีวิต
คนรวยทุกคนมี 5 สิ่งนี้ และคนรวยระดับมหาเศรษฐีทุกคนมี 5 สิ่งนี้ในระดับที่สูงมาก จะได้ผลลัพธ์ในชีวิตระดับไหนอยู่ที่มี 5 สิ่งนี้ในระดับไหน เลือกได้ตามใจชอบ แต่รู้ไว้ว่าอุปสรรคคืออาจมีบางสิ่งบางอย่างมากและบางสิ่งน้อย เช่น คุณอาจเป็นคนทะเยอทะยานมาก แต่ความพยายามน้อย หรือเป็นคนที่มีความสามารถมากแต่ความกล้าน้อย แบบนั้นอาจยากที่จะประสบความสำเร็จหรือรวย ดังนั้นจงมีทั้ง 5 สิ่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่ากลัวว่าถ้าบางสิ่งมากไปแล้วจะต้องผิดหวัง เพราะนั่นคือ Mindset ของคนล้มเหลว ถ้ามี Mindset ของคนประสบความสำเร็จ จะรู้ว่าไม่มีวันล้มเหลว เพราะทะเยอทะยานมากไป มีความสามารถมากไป หรือมุ่งมั่นมากไป มีความสามารถมากไป หรือมุ่งมั่นมากไป อาจจะล้มเหลวได้เพราะมีเหตุผลอื่น
ดังนั้นอยากได้ผลลัพธ์ในชีวิตแค่ไหนก็ลุยให้เต็มที่แค่นั้น บางทีความรวยเป็นแค่ชัยชนะของเกมที่พวกเขาอยากเล่น และความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิตพวกเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขามี แต่คือสิ่งที่พวกเขากลายเป็น เพราะทำสิ่งที่ทำต่อไปเรื่อย ๆ และเชื่อในสิ่งที่เชื่อต่อไปเรื่อย ๆ คือสิ่งที่ยากที่สุด และคนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ นั่นจึงเป็นด่านยากที่สุดด่านเดียวที่ต้องผ่าน ก่อนที่จะชนะในเกมที่มีคนมากมายแพ้ ทุกคนเพิ่มความสามารถตัวเองได้ และทุกคนสามารถทำอะไรก็ได้แต่ต้องเรียนรู้สิ่งนั้น ตราบใดที่ยังมีความสามารถเท่าเดิมชีวิตก็จะอยู่ที่เดิม แต่ถ้าทำได้มากขึ้นความเป็นไปได้ในชีวิตจะมากขึ้น และอาจไปถึงจุดที่ไม่น่าเชื่อ
เมื่อมีความสามารถแล้วสิ่งที่ต้องการคือความกล้า กล้าลงมือทำในสิ่งที่คิดวางแผน และเชื่อว่าจะทำให้บางสิ่งเกิดขึ้น คนรวยทุกคนมีความกล้ามากกว่าคนทั่วไป เพราะว่าเขาไม่มีความกลัว แต่เพราะพวกเขาต้องการเอาชนะความกลัวจึงต้องลงมือทำทั้ง ๆ ที่กลัว จากนั้นสิ่งต่อไปคือต้องพยายาม ไม่ว่าจะทะเยอทะยานแค่ไหน อาจฝันใหญ่มาก แต่มันก็เป็นแค่ความเพ้อเจ้อถ้าไม่พยายาม หรือถ้ามีความสามารถแค่ไหน ความสามารถก็ไร้ค่าถ้าไม่พยายาม ความพยายามคือสิ่งเดียวที่จะทำให้ความฝันกลายเป็นความจริง และสุดท้ายคือความมุ่งมั่น ทำแล้วเลิก ขาดความอดทน ย่อมไปไม่ถึงเป้าหมาย ดังนั้นไม่ว่าตั้งเป้าหมายอะไร จงไปให้ถึง อย่าล้มเลิก โฟกัสกับเป้าหมาย ทุกสิ่งที่ทำต้องมีผลลัพธ์ แค่ต้องยืนหยัดให้ถึงวันนั้น และถ้าในสิ่งที่ทำต่อไปเรื่อย ๆ
บทที่ 14
เพิ่มรายได้ไม่ใช่ลดความต้องการ
Mindset ของคนรวยและคนทั่วไปนั้นต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเงิน คนรวยจะคิดใหญ่และคิดบวกในเรื่องเงิน ส่วนคนทั่วไปมักคิดเล็กและคิดลบในเรื่องเงินโดยไม่รู้ตัว และคิดว่าตัวเองแค่อยู่กับความเป็นจริง และมองความเป็นไปได้สำหรับตัวเอง แต่จริง ๆ แล้วนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ชีวิตพวกเขา ไม่ประสบความสำเร็จทางการเงินมากเท่าที่ควร เพราะความเป็นจริงและความเป็นไปได้สำหรับพวกเขาไม่มีอยู่จริง พวกเขาคือผู้กำหนดเอง
คำสอนหนึ่งจากคนรวยที่เปลี่ยน Mindset ในเรื่องเงินคือ จงเพิ่มรายได้ให้สามารถใช้ชีวิตแบบที่ต้องการ ไม่ใช่ลดความต้องการให้เข้ากับรายได้ เมื่อต้องการบางสิ่งมากพอ ต้องเชื่อว่ามันเป็นไปได้ และต้องทำให้มันเป็นไปได้ ถ้าอ้างว่ามันเป็นไปไม่ได้ และไม่แม้แต่พยายาม นั่นแปลว่าไม่ได้ต้องการมันจริง ๆ ทุกอย่างอยู่ที่ Mindset เชื่อยังไงทำอย่างนั้น ทำยังไงได้อย่างนั้น ชีวิตแต่ละคนต่างกันเพราะมายเซ็ตต่างกัน แต่สิ่งที่กำหนดผลลัพธ์ในชีวิตมากที่สุดคือ Mindset เกี่ยวกับตัวเอง สิ่งต่อไปนี้ที่ต้องทำคือตอบ 5 คำถามนี้
- ชีวิตที่ต้องการเป็นแบบไหน นึกถึงชีวิตที่ต้องการมากที่สุด ไม่ต้องคิดว่าอะไรเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ แค่นึกอย่างอิสระไร้ขอบเขต ให้เห็นภาพชีวิตที่ต้องการมากที่สุด จริง ๆ จนรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่เคยมาก่อน
- ต้องมีรายได้เท่าไหร่ถึงจะใช้ชีวิตแบบนั้นได้ ถ้านึกภาพชีวิตที่ต้องการ เน้นที่สิ่งที่อยากมี ลองคำนวณดูว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ถึงจะซื้อสิ่งเหล่านั้นได้ นึกภาพชีวิตที่ต้องการเน้นที่การใช้ชีวิต ลองคำนวณดูว่าต้องมีรายได้ต่อเดือน / ปีเท่าไหร่ถึงจะใช้ชีวิตแบบนั้นได้
- ตอนนี้มีรายได้เท่าไหร่ ลองคำนวณว่าโดยเฉลี่ยแล้วแต่ละเดือน หรือแต่ละปี มีรายได้เท่าไหร่
- ต้องทำอะไรเพื่อจะเพิ่มรายได้ให้เท่าที่ต้องการ ลองดูรายได้ที่ต้องการอีกที แล้วลองนึกว่าต้องทำงาน หรือทำอะไรถึงจะมีรายได้ถึงเท่านั้น เขียนลิสต์ลงไป ไม่จำเป็นต้องเป็นงานหรือสิ่งที่ทำได้ตอนนี้ แค่วางแผนว่าอาจจะทำ จากนั้นลองหาทางว่าจะทำยังไง
- จะเริ่มเมื่อไหร่ คำตอบนี้สำคัญที่สุด เมื่อมีแผนก็ต้องมีกำหนดเวลา ถึงจะพูดได้ว่าตัดสินใจจริง ๆ และสุดท้ายต้องลงมือทำ
บทที่ 15
ถ้าไม่เป็นในสิ่งที่มากกว่าไม่มีวันมีในสิ่งที่มากกว่า
รายได้ขึ้นอยู่ที่ความสามารถ ยิ่งมีความสามารถมากยิ่งมีรายได้มาก ดังนั้นจำไว้ว่าอยากเพิ่มรายได้ต้องเพิ่มความสามารถ ถ้าไม่เป็นในสิ่งที่มากกว่า ไม่มีวันมีในสิ่งที่มากกว่า ดังนั้นเปลี่ยนคำถามจาก ฉันต้องทำอะไรถึงจะมีรายได้มากกว่านี้ เป็น ฉันต้องทำอะไรได้ถึงจะมีรายได้มากกว่านี้ หยุดมองหางานที่จะทำให้มีรายได้เพิ่ม แล้วมองหาความสามารถที่จะทำให้มีรายได้เพิ่ม เริ่มพัฒนาตัวเองให้เป็นในสิ่งที่มากกว่า แล้วจะมีในสิ่งที่มากกว่า เพราะเมื่อทำให้ตัวเองดีพอจะได้ในสิ่งที่ดีพอ
ความสามารถคือความรู้ หรือทักษะที่มาจากการเรียนรู้ ฝึกฝน และเพิ่มประสบการณ์ ไม่สามารถทำบางสิ่งได้ถ้าไม่เรียนรู้ และไม่สามารถทำบางสิ่งได้เก่งถ้าไม่ฝึกฝน และก็ไม่สามารถทำบางสิ่งได้ยอดเยี่ยมถ้าไม่มีประสบการณ์ การที่จะเพิ่มความสามารถบางอย่างให้ตัวเอง นั่นคือการลงทุนในตัวเอง อาจต้องลงทุนด้วยเวลา ด้วยความพยายาม และด้วยเงิน ซึ่งสำคัญที่สุดคือเวลา ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะสามารถเรียนรู้ และทำอะไรจนเก่งและยอดเยี่ยมได้หลายสิ่งนัก ดังนั้นต้องแน่ใจว่าความสามารถที่ต้องการจะเพิ่มให้ตัวเอง เป็นความสามารถที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่อยากทำจริง ๆ และเป็นสิ่งที่จะนำไปใช้ทำเงินหรือรายได้สูง ๆ ได้ในยุคนี้หรือในอนาคต
บทที่ 16
เป้าหมายไม่ใช่เงินแต่คือเงิน+เวลา
คนส่วนใหญ่ที่อยากรวยจะตั้งเป้าหมายไว้ที่เงิน คือ พร้อมจะทำอะไรก็ได้ให้มีเงินเยอะ ๆ แทบไม่มีใครนึกถึงเวลาว่าอยากมีเงินเยอะ ๆ และมีเวลาได้ใช้เงินใช้ชีวิตและหาความสุขเยอะ ๆ ด้วย ซึ่งนั่นต่างหากคือความสุขที่แท้จริง ถ้าใช้เวลาทั้งหมดที่มีในชีวิตเพื่อก้มหน้าก้มตาหาเงิน แต่ไม่มีเวลาได้ใช้ชีวิตหรือใช้เงินที่หามาจะหาเงินไปเพื่ออะไร เวลาที่ดีที่สุดที่จะตั้งเป้าหมายที่จะมีทั้งเงินและเวลาที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ คือ เดี๋ยวนี้ ใช่ต้องเริ่มหาเครื่องมือที่ทำให้ไปถึงเป้าหมายนั้นได้เร็วที่สุด และโปรแกรมคำพูดในสมองใหม่ เลิกคิดว่าอยากรวย แล้วคิดว่า อยากมีเงินและเวลามากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ ก่อนอื่นต้องรู้ว่าเป็นคนประเภทไหนใน 4 ประเภทนี้
- มีเงิน แต่ไม่มีเวลา อาจเป็นคนที่มีรายได้ดีหรือค่อนข้างดี อาจมีชีวิตที่ดีถ้ามองผิวเผิน อาจมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการยกเว้นความสุขที่ยังมีไม่มากพอ เพราะไม่มีเวลาทำสิ่งที่อยากทำ ไม่มีเวลาให้ความสำคัญ หรือไม่มีเวลาแม้จะดูแลตัวเอง ถ้าเป็นประเภทนี้ลองหางานที่จะมีเวลามากขึ้น แต่ยังมีรายได้เท่าเดิมหรือมากขึ้น
- มีเวลาแต่ไม่มีเงิน น่าอยู่ในช่วงที่ไม่ได้ทำงาน จึงมีเวลาว่างและไม่มีเงิน ไม่ว่าจะมีเวลามากเท่าไหร่ก็ไม่มีความสุขเพราะไม่มีเงิน และก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าเป็นประเภทนี้จงทำอะไรสักอย่างกับเวลาว่าง จำไว้ว่าเวลามีค่า ลองหาไอเดียหาเงินหรือทำธุรกิจอะไรบางอย่าง ที่ทำให้มีรายได้หรือมีเงินมากขึ้น ควรเปลี่ยนเวลาว่างให้เป็นเงิน แต่ไม่ใช่หาอะไรก็ได้ทำ เพื่อให้มีเวลาน้อยลง และก็ยังมีเงินน้อยเหมือนเดิม
- ไม่มีทั้งเงินและเวลา หากทำงานหนักมากและเหนื่อยมากแทบไม่มีเวลาเหลือเลย แลกกับเงินเดือนหรือรายได้ที่น้อยมากแทบไม่พอใช้ จึงเป็นคนที่ไม่มีทั้งเงินและเวลา สุขภาพแย่ เครียด และแทบไม่มีความสุขกับชีวิต ถ้าเป็นประเภทนี้อันดับแรก จงเชื่อว่ามีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ และจงเริ่มที่จะพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถมากพอ ที่จะได้ทำงานและมีรายได้ที่ดีกว่านี้ โอกาสในชีวิตจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีความสามารถมากขึ้น และที่สำคัญ จงเลือกเครื่องมือที่ทำให้ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ นั่นคือความสุขที่แท้จริงในชีวิต เพราะมีทั้งเงินและเวลา
- มีทั้งเงินและเวลา อาจไม่ต้องการอะไรในชีวิตแล้ว เพราะมีทั้งเงินและเวลา ซึ่งทำให้มีความสุขมากพอแล้ว นอกจากใช้ชีวิตให้เต็มที่และมีคุณค่าที่สุด ในโลกนี้มีคนมากมายที่ยังไม่ได้เรียนรู้ Mindset นี้และยังไม่เข้าใจว่า เป้าหมายของความสุขของชีวิตไม่ใช่เงิน แต่คือเงิน + เวลา พวกเขาจึงแลกเวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อหาเงิน ไม่เคยมีทั้งเงินและเวลา และไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สามารถทำได้ แต่เพราะพวกเขาไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะใช้ชีวิตแบบนั้น
ถ้าบรรลุเป้าหมายนี้ได้ คือทั้งเงินและเวลา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงในชีวิต How you meke money is more important than how much you make หาเงินได้มากแค่ไหนไม่สำคัญเท่าหาเงินด้วยวิธีไหน เพราะสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เงิน แต่คือการใช้ชีวิตที่มีทั้งความสุข เวลา และเงินต่างหาก
บทที่ 17
รายได้ Passive มีไว้เพื่อ Time รายได้ Active มีไว้เพื่อ Passion
Active Income หมายถึงรายได้ที่ได้มาจากการทำงาน แต่ต้องแลกไปด้วยเรี่ยวแรงและเวลา ทำได้แค่ไหนแค่นั้นไม่ทำก็ไม่ได้
Passive Income หมายถึงรายได้ที่ได้มาโดยไม่ต้องทำงาน หรือรายได้ที่เกิดขึ้นแม้ในขณะที่ไม่ได้ทำงาน เพราะได้สร้างบางสิ่งไว้ และสิ่งนั้นก็ทำงานและทำเงินให้แทน
Passive Income คือรายได้ที่มหาเศรษฐีและคนที่เข้าใจ Mindset ที่ถูกต้องทางการเงินทุกคนมีหรือตั้งเป้าที่จะมี เหตุผลไม่ใช่เพราะว่าพวกเขาต้องการหาเงินให้ได้มากที่สุด จึงต้องการมีทั้งรายได้ Active income และ Passive income แต่เพราะพวกเขาเข้าใจว่า สิ่งที่พวกเขาได้จากรายได้ 2 แบบนี้ต่างกัน หรือตอบโจทย์ที่พวกเขาต้องการใช้ชีวิตที่ต่างกัน
รายได้ Passive income มีไว้เพื่อ Time เมื่อมีรายได้โดยไม่ต้องทำงาน จะมีเวลาได้ใช้ชีวิต และมีอิสรภาพทางการเงิน (Financial freedom) ซึ่งไม่ได้หมายถึงความร่ำรวย มีเงินมากมาย แต่ยังมีความกังวลเรื่องงาน เพราะกลัววันหนึ่งเงินจะหมด จึงต้องคอยทำงานตลอดเวลา ไม่มีเวลาและไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเต็มที่
รายได้ Active income มีไว้เพื่อ Passion เมื่อมี Passive income มากพอที่จะใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้ว ย่อมมีเวลาและว่างพอที่จะทำในสิ่งที่รัก สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่สนุกกับมัน หรือสิ่งที่ทำแล้วรู้สึกมีคุณค่า อะไรก็ตามที่ทำโดยไม่ได้ตั้งเป้าที่จะทำเพื่อเงิน แน่นอนอยากได้เงินและย่อมดีกว่า ถ้าสิ่งที่ทำสร้างรายได้เพิ่มให้อีก แต่เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง Passion (ความสุขที่จะทำ) ต่างหากคือทุกสิ่งทุกอย่าง จงคิดว่าต้องสร้างรายได้ Passive income ไม่มีทางใดก็ทางหนึ่งให้มากพอที่จะใช้ชีวิตอย่างมีอิสระ และรายได้ Active income ต้องมีไว้เพื่อ Passion ก็คือทำสิ่งที่มีความสุขเท่านั้น ตั้ง Mindset และตั้งเป้าหมายไว้แบบนี้ก่อน แม้วันนี้ยังเป็นไปไม่ได้ แต่จะทำให้มันเป็นไปได้
บทที่ 18
เลือกงานที่ขายคุณค่าไม่ใช่ขายเวลา
เหตุผลที่บางคนหาเงินได้มากกว่าคนอื่น เพราะเขาทำให้คนจ่ายเงินให้คุณค่าของเขา ไม่ใช่เวลาของเขา เขาสามารถทำงานอะไรให้ใครก็ได้ ที่ไหนก็ได้ เพราะเขามีคุณค่า และเขาก็ขายคุณค่าของเขาในราคาแพงด้วย คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่จะไม่ทำงานแบบขายเวลา แต่จะทำงานแบบขายคุณค่า พูดง่าย ๆ คือเขาไม่ต้องการค่าจ้างโดยคำนวณจากเขาทำงานให้วันละกี่ชั่วโมง แต่เขาต้องการค่าตอบแทนโดยดูจากความสามารถของเขา สร้างผลประโยชน์ให้มากแค่ไหน กฎของเขาคือ พวกเขาต้องจ่ายให้คุณค่าไม่ใช่เวลา เพราะคนที่จ่ายให้คุณค่าจะตีราคาสูง และคนที่จ่ายให้เวลาจะตีราคาต่ำเสมอ
จะทำงานแบบขายคุณค่า ไม่ทำงานแบบขายเวลา จะไม่เป็นลูกจ้างทั่วไปที่ขายความสามารถทั่วไป พูดง่าย ๆ คือขายแรงและขายเวลาซึ่งใครก็ทำได้ ขายความสามารถที่พิเศษที่ไม่ใช่ใครก็ทำได้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ความสามารถที่ติดตัวมาแต่เกิด แต่เป็นความสามารถที่พวกเขาพัฒนาขึ้นในตัวเอง เพื่อสร้างคุณค่าในตัวเองที่พวกเขาจะขายได้ และเพิ่มราคาให้ตัวเอง พวกเขาตีราคาเวลาของพวกเขาสูงมาก พวกเขาจะไม่ทำอะไรที่แลกด้วยเวลามากและได้เงินน้อย แต่จะทำอะไรที่แลกด้วยเวลาน้อยและได้เงินมาก ถามว่าทำไมคนต้องยอมจ่าย ก็เพราะความสามารถของพวกเขาแพง ดังนั้นพัฒนาความสามารถ แล้วจะเริ่มมีค่า แล้วเวลาจะเริ่มมีค่า แล้วจะเริ่มมีคนจ่ายให้กับค่าแทนที่จะจ่ายให้เวลา ซึ่งนั่นหมายถึงค่าตัวจะสูงขึ้น แต่จะแลกด้วยเวลาที่น้อยลง จงพัฒนาทั้งความสามารถและความพยายามให้มากขึ้น เพื่อจะมีโอกาสเลือกชีวิตที่คู่ควร อย่ายอมใช้ชีวิตอย่างคนที่ต้องก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน และไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต
บทที่ 19
ให้ค่าตัวเองแล้วคนอื่นจะให้ค่าเช่นกัน
อย่าคาดหวังให้ใครให้ค่าจนกว่าจะให้ค่าตัวเอง นี่เป็นข้อคิดที่ดีมาก ๆ ซึ่ง จอห์น เฟรดริค ดิมาร์ทินี ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมมนุษย์ นักเขียน และนักพูดที่ประสบความสำเร็จระดับโลกได้กล่าวไว้ แน่นอนต้องเป็นคนแรกในโลกที่ให้ค่าตัวเอง แล้วคนอื่นก็จะให้ค่าเช่นเดียวกัน ถ้าให้ค่ากับเวลาคนอื่นก็จะให้ค่ากับเวลา ถ้าให้ค่าความสามารถคนอื่นก็จะให้ค่ากับความสามารถ ทำไมคนอื่นต้องทำตาม เพราะการให้ค่า (Valuing) คือสิ่งที่โน้มน้าวจูงใจ (Persuasive) จำไว้ว่าถ้าอยากรวยและใช้ชีวิตที่ต้องการได้เร็วที่สุด ต้องหาเงินที่ต้องการโดยใช้เวลาน้อยที่สุด และต้องทำให้คนจ่ายให้กับเวลา และความสามารถมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นี่คือกฎใหม่จงต้องจำให้ขึ้นใจ
ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องมีความสามารถอะไรสักอย่างที่ยอดเยี่ยม ที่คนจะยอมจ่ายให้มันแพง ๆ ในยุคนี้ถ้าไม่มีต้องทำให้ตัวเองมี ต้องไปเรียนรู้ และฝึกฝนอะไรสักอย่าง แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ต้องสนใจมันและชอบมัน อย่าทำอะไรที่เสียเวลา ถ้าจะทำให้ตัวเองมีความสามารถมันต้องเป็นความสามารถที่มีค่า และทำเงินมหาศาลให้ได้ ทั้งหมดคือนิยามของคนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวยที่สุดในโลก ทุกคนล้วนไม่ยอมอยู่อย่างไม่มีความสามารถ ทุกคนล้วนพัฒนาความสามารถที่ยอดเยี่ยมขึ้นในตัวเอง ทุกคนล้วนให้ค่ากับความสามารถ เวลา ชีวิต และตัวพวกเขาเอง และทุกคนล้วนได้รับสิ่งที่พวกเขาคู่ควร และมากยิ่งกว่านั้น เพราะการไม่เคยยอมยืนอยู่ในที่ที่ไม่ใช่สำหรับพวกเขา และไม่เคยยอมจำนนกับสิ่งที่ไม่ดีพอ
บทที่ 20
ขีดจำกัดที่ทำให้ต้องลาออกจากงานประจำ
อยากรวยต้องลาออกจากงานประจำไหม เป็นคำถามที่คนทำงานประจำมักจะถาม เพราะรู้สึกว่าคงไม่มีวันรวยถ้าได้เงินเดือนอยู่แค่นี้ แต่ก็คิดว่าบางทีอาจไม่ต้องลาออก แค่หารายได้เพิ่มจากทางอื่นก็ได้ หรือว่าจะต้องลาออกแล้วไปทำอย่างอื่นแบบจริงจังเลยดี ถ้าออกมาทำธุรกิจแล้วเจ๊งเงินหมดตัวจะทำไง หรือถ้าออกมาทำอย่างอื่นแล้วมีรายได้ก็จริง แต่ไม่มั่นคงเหมือนงานประจำ ถ้าวันหนึ่งเกิดไม่มีรายได้ขึ้นมาจะทำไง สังเกตดูว่านอกจากความกลัวทั้งหมด ที่พวกเขาพูดถึงจะเป็นการคาดการณ์ในแง่ลบ ซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาไม่มีความมั่นใจในตัวเองว่า จะสามารถรับมือกับอุปสรรค หรือแก้ปัญหาอะไรได้ อาจเพราะการใช้ชีวิตอยู่กับงานประจำตลอดมา ทำให้พวกเขาขาดประสบการณ์ ความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกล้าที่จะใช้ชีวิต
อยากรวยแต่กลัวความไม่มั่นคง อยากรวยแต่กลัวความเสี่ยง อยากรวยแต่กลัวเอาตัวไม่รอด อยากรวยแต่กลัวไม่มีความสามารถพอ นี่คือความคิดที่ทำให้คนมากมายจน อยู่กับงานประจำที่ไม่ใช่ทั้งงานและเงินที่ชอบ แต่ก็ต้องทนไปเพราะกลัว ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวตลอดไป อยากใช้ชีวิตอยู่กับความฝัน อยากค้นพบศักยภาพที่มากกว่านี้ของตัวเอง อยากเติบโตขึ้น อยากพาชีวิตไปสู่จุดที่ไกลกว่านี้ เหตุผลแค่นี้อาจพอแล้วที่จะลาออกจากงานประจำ ยุคนี้ไม่มีความมั่นคงอีกต่อไป และคนประเภทเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ และยังมีชีวิตที่สุขสบาย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในโลกที่ยึดติดกับความมั่นคงกำลังลำบาก เพราะถูกเททิ้งออกจากงานประจำ นั่นคือคนที่หาเงินได้ด้วยตัวเอง และสร้างบางสิ่งได้ด้วยตัวเอง ขีดจำกัด 5 ข้อที่ทำให้ต้องลาออกจากงานประจำ
- ขีดจำกัดเรื่องรายได้ รายได้ก็คือเงินเดือนที่ได้แต่ละเดือนเท่ากันเต็มที่ก็แค่นั้น ไม่มีทางมีรายได้ที่ไม่มีขีดจำกัดเหมือนคนที่หาเงินอย่างอิสระ ที่วันไหนหรือเดือนไหนคิดอยากมีรายได้มากก็หาเงินมาก และเขาอาจหาเงินใน 1 วันได้มากกว่าเงินเดือน
- ขีดจำกัดเรื่องเวลา ต้องตื่นไปทำงานทุกวัน เริ่มงาน 8:00 น เลิกงาน 5 โมงเย็น ทำงานทั้งวันสัปดาห์ละ 5 วัน มีเวลาว่างแค่ตอนกลับถึงบ้านจนถึงเข้านอน และมีวันหยุดแค่เสาร์อาทิตย์เท่านั้น งานประจำไม่ใช่กำหนดเวลาแต่กำหนดการใช้ชีวิตด้วย นั่นคือการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องการ
- ขีดจำกัดเรื่องความสามารถ อาจมีความสามารถมากกว่างานที่ได้รับมอบหมายให้ทำ อาจมีไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ที่น่าทึ่งแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้มัน ถ้าเป็นอิสระและทำทุกอย่างที่ทำได้และอยากทำ อาจประสบความสำเร็จอย่างที่คาดไม่ถึง
- ขีดจำกัดเรื่องความสำเร็จ ความสำเร็จในงานประจำมีขั้นตอนและต้องใช้เวลา แม้จะเก่งที่สุดก็ไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่สุด ๆ ได้ใน 1 ปี เหมือนคนที่ทำงาน หรือธุรกิจของเขาเอง ซึ่งเขากำหนดความสำเร็จอนาคต และชีวิตตัวเองได้
- ขีดจำกัดเรื่องความสุข ถ้าเลือกทำงานที่รัก รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง และมีความสุขกับมัน ก็คงมีความสุข แต่ความสุขก็อาจมีขีดจำกัด เช่น ไม่อาจทำบางสิ่งที่หลงใหล หรือบางสิ่งที่อยากทำ
สรุปว่าจำเป็นต้องลาออกจากงานประจำหรือไม่นั้น อยู่ที่เป้าหมายในชีวิต ถ้าต้องการทำงานที่รักอย่างมีความสุขไปเรื่อย ๆ และนั่นคืองานประจำที่ทำอยู่ก็ทำต่อไป แต่ถ้าอยากจะรวยอยากมีเงินมากมายในเวลาไม่กี่ปี อยากมีอำนาจที่จะใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ อยากมีชีวิตที่เป็นอิสระจากทำธุรกิจที่หลงใหล และใฝ่ฝันอยากค้นพบศักยภาพที่เหลือเชื่อในตัวเอง อยากสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นบนโลกนี้ และอยากมีเหลือเฟือมากพอที่จะช่วยเหลือ และทำสิ่งดี ๆ เพื่อคนอื่น งานประจำคงไม่ใช่คำตอบ และคงต้องให้อิสระตัวเองตั้งแต่วันนี้ ที่จะทำอะไรให้มากกว่านี้ พยายามให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่ทำได้ และเรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อไปถึงเป้าหมายที่ต้องการ
บทที่ 21
วิธีหาเงินของ Business Minded
Business Minded คือคนที่มีหัวธุรกิจ ซึ่งสามารถหาเงินหรือทำกำไรได้จากแทบทุกสิ่ง อาจไม่จำเป็นว่า Business Minded ทุกคนต้องรวย แต่มหาเศรษฐีและคนรวยทุกคนต้องเป็น Business Minded พูดง่าย ๆ คนที่มีหัวธุรกิจบางคนอาจชอบทำโน่นทำนี่ และล้มเหลวจึงไม่ได้รวย แต่ทุกคนที่รวยเป็นมหาเศรษฐีต้องเป็นคนที่มีหัวธุรกิจ ไม่งั้นจะไม่มีวันรวยได้ ดังนั้นถ้าอยากรวยต้องเป็น Business Minded ไม่ว่าตอนนี้จะเป็นใคร ก็สามารถเรียนรู้จนกลายเป็น Business Minded ได้เพราะมันเป็นแค่เรื่องของวิธีคิด ซึ่งนำไปสู่วิธีหาเงินที่ทำให้พวกเขาหาเงินได้เก่งกว่าคนทั่วไป
Mindset และลักษณะนิสัยของ Business Minded พวกเขามี Mindset เรื่องเงินที่ดีมาก พวกเขาคิดว่าเงินหาง่ายหาได้ตลอดเวลาและหาได้ทุกที่ พวกเขามีความเป็นตัวเองสูง ชอบริเริ่ม ชอบเป็นผู้นำ แต่ก็เป็นคน Open Mind เปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ชอบเรียนรู้จากผู้คน ชอบหาแรงบันดาลใจ Business Minded บางคนเป็นคนสร้างสัมพันธ์กับผู้คนได้เก่งมาก แต่บางคนอาจเป็นคนชอบเก็บตัว และใช้ความคิดอยู่คนเดียว (Introvert) แต่ด้วยความที่พวกเขาเป็น Business Minded เมื่อต้องร่วมงานกับคนอื่นหรือปฏิสัมพันธ์กับผู้คน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจพวกเขาก็ทำได้ดี
วิธีหาเงินของ Business Minded พวกเขาชอบลงทุน ชอบทำธุรกิจ ชอบใช้ไอเดีย ชอบวางแผน Long term profit คือเห็นภาพธุรกิจที่จะทำเงิน ที่ทำกำไรในระยะยาว และคิดใหญ่ พวกเขาส่วนใหญ่มี Mindset เรื่องธุรกิจที่ดีมากคือ เปิดกว้าง พวกเขาชอบมองหาโอกาสใหม่ ๆ และมักเป็นคนเริ่มแนวทางธุรกิจที่แปลกใหม่ไม่ธรรมดา ถ้าพวกเขาไม่ทำสิ่งที่ตัวเองเก่ง แต่เห็นโอกาสว่าบางสิ่งยุคนี้จะทำเงินก็จ้างคนเก่งทำ
Business Minded ชอบใช้ความสามารถและใช้เวลาอย่างเต็มที่ จึงมักทำอะไรหลายอย่างและมีรายได้หลายทาง โดยไม่รู้สึกเหมือนทำงานหนัก เพราะพวกเขาสนุกกับมัน และน่าทึ่งที่แม้พวกเขาจะกลายเป็นมหาเศรษฐีแล้ว พวกเขาก็ยังคงมองหาไอเดีย และวิธีใหม่ ๆ ที่จะทำเงินต่อไปเรื่อย ๆ แม้เป้าหมายของพวกเขาจะไม่ใช่เงินแล้วก็ตาม เหมือนพวกเขามองการหาเงินเป็นความสนุก และความท้าทายของชีวิต
บทที่ 22
คำถามที่ช่วยให้กล้าทำทุกสิ่ง
ความกลัวคืออุปสรรคใหญ่ที่สุด ที่ทำให้คนมากมายติดอยู่ที่เดิม ไม่สามารถกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาดีพอที่จะเป็น ไม่สามารถทำสิ่งที่พวกเขาอยากทำ และไม่สามารถไปถึงจุดที่พวกเขาคู่ควรจะไปถึง และมี 2 ข้อสรุปของความจริงในโลกนี้นั่นคือ สิ่งที่เรากลัวมักไม่เกิดขึ้นจริง และสิ่งที่เรากลัวมักเกิดขึ้นจริง ก็เพราะเราทำให้มันเกิดขึ้น นั่นหมายความว่าถ้าเรากลัวว่าจะเดินขึ้นไปไม่ถึงยอดเขา ทั้งที่ความจริงแล้วร่างกายยังแข็งแรงพอที่จะเดินขึ้นไปถึงยอดเขา เราจะรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรงและไม่พยายามอีกต่อไป
ความกลัวทำให้หาข้ออ้างสนับสนุนทุกอย่าง เพื่อจะไม่ทำบางสิ่ง บ่อยครั้งนึกไปไกลเลยเถิดและก็เกินจริง ไม่มีใครสามารถรู้อะไรล่วงหน้าได้ขนาดนั้น แค่ปล่อยให้ตัวเองจินตนาการไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่น่ากลัวมาก และก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทำ ทำแบบนี้ทุกครั้งเวลาที่นึกถึงสิ่งที่อยากทำ แทนที่จะนึกถึงความสำเร็จ ถ้าต้องการเอาชนะความกลัว ไม่มีสิ่งอื่นใดที่ต้องรับมือกับมันนอกจากตัวเอง เมื่อสร้างความกลัวเองได้ย่อมทำลายความกลัวเองได้
มี 3 คำถามที่ไม่ได้ถามตัวเองแค่ครั้งเดียวในชีวิต แต่ควรจะถามตัวเองทุกครั้งที่อยากทำบางสิ่ง และมีความกลัวมาทำให้ลังเลหรือวอกแวก และคำตอบที่ได้ก็จะช่วยให้เอาชนะความกลัวได้
คำถามที่ 1 จะทำอะไรถ้ารู้ว่าจะไม่ล้มเหลว และจะทำมันยังไง จงสมมุติว่าจะไม่ล้มเหลว นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่จะนึกถึงสิ่งที่จะทำ และไม่นึกถึงความล้มเหลวอีกต่อไป แต่จะนึกถึงความสำเร็จว่าทำแล้วออกมาดีเกินคาด และประสบความสำเร็จเกินคาด จงใช้ความคิดสร้างสรรค์ให้เต็มที่
คำถามที่ 2 อะไรที่รู้ว่าถ้าไม่กลัวแล้วชีวิตจะเปลี่ยน ถามตัวเองว่าความกลัวอะไรที่ไม่ชอบที่สุดในตัวเอง เพราะมันหยุดยั้งชีวิตอยู่ และถ้าไม่กลัวสิ่งนี้สักอย่างชีวิตจะไปไกลกว่านี้ จงบอกตัวเองทุกวันว่าต้องทำอะไรสักอย่างกับมัน ต้องเอาชนะมัน และจะเริ่มเผชิญหน้ากับมันไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ การตอกย้ำกับตัวเองแบบนี้ดีกว่าที่จะหลีกเลี่ยง ที่จะนึกถึงสิ่งที่กลัวหรือลืมมันไป เพราะมันก็จะอยู่ในตัวเราไปตลอดชีวิต
คำถามที่ 3 อะไรคือคำแนะนำที่ดีที่สุด ที่จะให้กับคนที่อยากทำบางสิ่งที่ยอดเยี่ยมแต่ไม่กล้า คิดว่าคำแนะนำใดที่ดีที่สุดสำหรับเขา นั่นแหละคือคำแนะนำที่ต้องให้กับตัวเอง อะไรก็ตามที่จะบอกเขาจงบอกสิ่งนั้นกับตัวเอง
บทที่ 23
คนรวยที่สุดมักมีไอเดียและวิธีหาเงินที่คนอื่นหัวเราะเยาะ
ไอเดียและผลงานที่ประสบความสำเร็จระดับโลก เคยถูกวิจารณ์ว่า บ้า แปลกประหลาด เพี้ยน ทำไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครสนใจหรอก ไม่มีใครซื้อหรอก ไม่ประสบความสำเร็จหรอก ถ้าพวกเขาเลือกจะเชื่อความคิดเห็นเหล่านั้น หรือล้มเลิกเพราะคำวิจารณ์เหล่านั้น บางสิ่งที่ยอดเยี่ยมและน่าทึ่งมาก ๆ จะไม่เกิดขึ้นในโลกนี้ และวันนี้พวกเขาจะไม่ใช่คนรวยที่สุด เวลาคนรวยทำบางสิ่ง พวกเขาไม่ได้โฟกัสที่เงิน แต่โฟกัสที่ความท้าทายบางอย่าง เช่น การริเริ่มสิ่งใหม่ที่ยังไม่มีใครทำ
การทำตาม Passion ของตัวเองแบบไม่เอาใจใครแต่กลับถูกใจคนอื่น จงคิดให้ต่าง สิ่งที่คนบอกว่ามันบ้า แปลกประหลาด หรือเพี้ยน เพราะมันคือสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครทำในโลกนี้ และทุกคนจะสนใจมัน นั่นคือสิ่งที่ต้องการ ถ้ามีไอเดียใหม่ ๆ อย่าหยุดทำไปเรื่อย ๆ แค่การตัดสินใจเดียวอาจเปลี่ยนชีวิตได้ แค่การตัดสินใจทำนี่แหละ แค่ไม่รู้ว่ามันคือการตัดสินใจครั้งไหน ดังนั้นต้องทำ ๆ ไปเรื่อย ๆ ลองทำ 10 สิ่ง เพื่อมีโอกาสประสบความสำเร็จ 1 สิ่ง ดีกว่าไม่ลองทำอะไรเลย และไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จอะไรเลย ที่แน่ ๆ ให้แน่ใจว่าทุกสิ่งที่ลองทำต้องมีอะไรบางอย่างที่คนจะหัวเราะเยาะได้ ไม่งั้นมันคงธรรมดาเกินไป ทำไปก็อาจเสียเวลา
คนที่กล้าโดดออกมาจากคนส่วนใหญ่ กลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ถูกวิจารณ์มากที่สุด แน่นอนคนที่รวยที่สุดมักเป็นคนริเริ่มวิธีหาเงินที่แปลกและไม่ธรรมดา ถ้าไม่อยากช้าไป อย่ารอเลียนแบบใครที่เขามีไอเดีย และวิธีหาเงินที่ประสบความสำเร็จในแบบของเขา แต่จงคิดริเริ่มหาทางและวิธีของตัวเอง อย่าหยุดคิดและหยุดลองทำสิ่งใหม่ ๆ บางสิ่งอาจจะไม่เวิร์ค และบางสิ่งอาจจะเวิร์คก็ได้
บทที่ 24
ความขยัน 2 แบบที่ทำให้รวยหรือจน
เคยได้ยินประโยคตัดพ้อนี้ไหมว่า คนขี้เกียจกลับรวย ส่วนคนขยันกลับจน เรื่องนี้อาจจริงแต่ก็มีเหตุผลที่น่าสนใจ จริง ๆ แล้วทั้งคนจนและคนรวยนั้นขยัน แต่ต่างกันที่ขยันอย่างฉลาดหรือไม่ฉลาด คนรวยก็ทำงานหนัก พวกเขาทำอะไรตลอดเวลา และอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้พวกเขาถึงได้รวย แต่วิธีทำงานของพวกเขาแค่ฉลาดกว่าคนทั่วไป พวกเขาเลยดูสบาย ขี้เกียจ และเหมือนไม่ทำงานหนัก
ส่วนคนจนอาจทำงานที่เห็นได้ชัดว่าเหนื่อย ไม่มีเวลา สุขภาพแย่ และไม่มีความสุข วิธีทำงานของพวกเขาเหมือนแทบเอาทั้งชีวิตไปแลกเพื่อเงินเดือน หรือรายได้น้อย ๆ ทำให้พวกเขาดูเหมือนยิ่งขยันยิ่งจน อย่าตั้ง Mindset ว่าความขยันทำให้จนเด็ดขาด เพราะความจริงที่สุดในโลกคือ ความขยันทำให้รวย แค่ต้องเรียนรู้ว่าความขยันแบบไหนที่ทำให้รวยหรือจน แล้วชีวิตจะเปลี่ยนไป
ลองเปรียบเทียบดู นี่คือเหตุผลที่คนรวยขยันอย่างฉลาดกว่าคนจน
คนจนเป็นนักทำ พวกเขามักเป็นลูกจ้างทำงานที่คนอื่นสร้างขึ้น หรือทำงานให้คนอื่น
คนรวยเป็นนักคิด พวกเขาชอบทำงานคิด หรือใช้ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ชอบเป็นผู้สร้าง เป็นนักวางแผน ชอบทำงานหรือธุรกิจของตัวเอง
คนจนแลกเวลามากกับเงินน้อย พวกเขาไม่ได้ตีค่าเวลาของตัวเองสูง จึงอาจเป็นลูกจ้างประจำ และเวลาทั้งเดือนเพื่อเงินเดือนน้อย หรือทำงานอะไรก็ตามที่ใช้เวลามากแลกกับค่าแรงน้อย
คนรวยแลกเวลาน้อยกับเงินมาก พวกเขาไม่มีทางขายเวลา หรือไปเป็นลูกจ้างทำงานให้ใครที่ได้เงินตอบแทนน้อย ๆ พวกเขาตีค่าเวลาของตัวเองสูง และมีกฎว่าสัดส่วนของเวลาที่แลกไปกับเงินที่ได้มาต้องคุ้มกัน
คนจนทำงานเพื่อเงินเดือนหรือค่าจ้าง พวกเขาชอบรายได้ที่ได้มาง่าย มั่นคง และแน่นอน แม้ยุคนี้ไม่มีอะไรมั่นคงแบบนั้นแล้ว แต่มั่นคงไปนานที่สุดก็คือสิ่งที่พวกเขาหวัง
คนรวยทำธุรกิจเพื่อกำไร พวกเขามี Mindset ว่ากำไรดีกว่าค่าจ้าง ค่าจ้างอาจเลี้ยงชีวิตได้แต่ไม่มีวันทำให้รวย พวกเขาจึงเลือกทำธุรกิจแม้ต้องเสี่ยง พวกเขาก็พร้อมจะเสี่ยง
คนจนสร้างรายได้ Active income ให้มากที่สุด พวกเขาพยายามทำงานให้มากที่สุดเพื่อจะมีรายได้มากที่สุด แม้ต้องแลกด้วยเรี่ยวแรงเวลาและสุขภาพก็ไม่สนใจ เพราะเงินคือสิ่งสำคัญที่สุด พวกเขาเชื่อว่ายิ่งหาเงินมากจะยิ่งรวยเร็ว และมีชีวิตสุขสบายเร็ว
คนรวยสร้างรายได้ Passive income ให้มากที่สุด พวกเขาต้องการมีชีวิตที่มีเงินใช้จ่าย และมีรายได้เข้ามาตลอดเวลาโดยไม่ต้องทำงานหนัก อาจทำงานที่รักแต่ไม่ได้ทำเพื่อเงิน พวกเขาจึงพยายามสร้างรายได้ Passive income ให้มากที่สุด
คนจนหาเงินเพื่อเก็บ พวกเขามี Mindset ว่าต้องทำงานหนักหาเงินให้มากที่สุด และเก็บเงินให้มากที่สุดเพื่อชีวิตจะได้ปลอดภัย ต้องเก็บเงินไว้ใช้ในยามบั้นปลายชีวิตให้มากที่สุด
คนรวยหาเงินเพื่อลงทุน พวกเขามี Mindset ว่าเงินมีไว้ลงทุนต่อยอดให้เพิ่มขึ้น ไม่ใช่เก็บไว้เฉย ๆ ให้เท่าเดิม และนับวันมูลค่าเงินนั้นก็ยิ่งลดลง เป้าหมายของพวกเขาคือหาเงินให้มากพอที่จะใช้ชีวิตที่อยากจะใช้ ไม่ใช่ใช้ชีวิตที่ไม่อยากใช้ให้เหมาะกับเงินที่มีอยู่
คนจน Work to be seen พวกเขาบางคนพยายามทำงานหนักเพื่อให้คนอื่นเห็นความสำเร็จ หรือทำงานหาเงินเยอะ ๆ เพื่อสร้างและโชว์ชีวิตที่สุขสบาย ก็เลยสร้างแต่หนี้ต้องทำงานหนักตลอดชีวิต ไม่มีวันหยุดทำงานได้
คนรวย Work to disappear พวกเขา (บางคน) ตั้งเป้าหมายที่จะไปและใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ ผ่อนคลาย เรียบง่าย และมีความสุขที่ไหนสักแห่ง ไม่ได้ต้องการใช้เงินฟุ้งเฟ้อหรือใช้ชีวิตหรูหราอะไร ชีวิตพวกเขาจึงเป็นอิสระ และหยุดทำงานเมื่อไหร่ก็ได้ และถือว่าเป็นคนที่รวยและประสบความสำเร็จทางการเงินอย่างแท้จริง
น่าจะเห็นความต่างอย่างชัดเจน ระหว่างความขยันของคนรวยกับคนจน ที่ไม่ได้ต่างกันแค่พวกเขาทำงานหนักแค่ไหน แต่ยังต่างถึงเรื่องของความคิด ความเข้าใจในเรื่องการเงิน และเป้าหมายในชีวิต
บทที่ 25
วิธีหาเวลาที่ทำให้มีเวลา
อยากรวย อยากมีรายได้มากขึ้น อยากเรียนรู้ อยากพัฒนาตัวเอง อยากเก่ง อยากหาโอกาสใหม่ ๆ ให้ชีวิต อยากเปลี่ยนชีวิต แต่ไม่มีเวลา ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง อาจต้องทนแบบนี้ไปตลอดชีวิต สิ่งที่ต้องการคือชีวิตที่ดีขึ้นนั่นคือมีเวลา มีเงิน และมีความสุขมากขึ้น ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือทำให้ตัวเองมีเวลา เพราะจะเพิ่มเงินและเพิ่มความสุขให้ตัวเองได้ก็ต่อเมื่อมีเวลา จริง ๆ แล้วที่ผ่านมาอาจมีเวลาแต่ดูเหมือนไม่มีเวลา เพราะทำอะไรที่เสียเวลาหลายสิ่งในแต่ละวัน ดังนั้นจะเริ่มด้วยการลองวางแผนที่จะบริหารเวลาให้ดีขึ้น ซึ่งเคล็ดลับมี 4 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 เขียนสิ่งที่ทำในชีวิตประจำวันตามลำดับ ลองนึกภาพตัวเองอย่างละเอียดว่าในแต่ละวันทำอะไรบ้าง หรือมักจะทำอะไรเหมือน ๆ กันบ่อยที่สุด ในขั้นตอนนี้เอาง่าย ๆ แค่เขียนสิ่งที่ทำเรียงลำดับลงไปก็พอ ไม่ต้องระบุเวลาก็ได้
ขั้นตอนที่ 2 ตัดสิ่งไม่สำคัญออกไป หรือตัดเวลาที่ทำบางสิ่งให้น้อยลง สิ่งที่ไม่จำเป็นต้องทำหรือไม่มีประโยชน์ให้ตัดออกไปเพราะจะเลิกทำ ส่วนสิ่งที่คิดว่าจำเป็นหรือมีประโยชน์แต่ใช้เวลามากไป ให้ตัดเวลาทำสิ่งนั้นให้น้อยลง จากนั้นคำนวณเวลาที่มีเพิ่มว่า รวมทั้งหมดกี่ชั่วโมงในแต่ละวัน
ขั้นตอนที่ 3 วางแผนว่าจะทำอะไรแทนที่ในเวลานั้น สิ่งที่อยากทำหรือต้องทำเพื่อเปลี่ยนตัวเองและชีวิตให้ดีขึ้นแต่ไม่เคยมีเวลาได้ทำ ลองวางแผนว่าจะทำอะไรในช่วงเวลาไหนแทนที่สิ่งที่ได้ตัดออกไปแล้ว
ขั้นตอนที่ 4 เช็คตัวเองว่าทำได้ตามแผนหรือไม่ ถ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก แต่ถ้าทำไม่ได้คือยังทำสิ่งเดิมแทนที่จะทำสิ่งใหม่ ลองกำหนดช่วงเวลาให้ตัวเอง เพื่อวัดผลความสำเร็จ วิธีนี้คือเอา Routines (สิ่งที่ต้องทำ) มาเอาชนะ (สิ่งที่ทำจนเคยชิน) เนื่องจาก Habits คือสิ่งที่ทำไปโดยไม่รู้ตัวแต่ Routine คือสิ่งที่ใช้ความตั้งใจและความพยายามมากกว่าสิ่งที่เป็นไปได้ก็คือ Routine สามารถกลายเป็น Habits ได้ถ้าทำซ้ำ ๆ ดังนั้นพยายามทำให้ได้
บทที่ 26
แต่งงานกับวินัย
ต่อให้มีคุณสมบัติเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จทุกข้อ แต่ขาดวินัยข้อเดียวก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ และนี่คือ 7 สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับวินัย
- วินัยคือการทำสิ่งที่ต้องทำแม้จะไม่อยากทำ วินัยคือการสามารถควบคุมตัวเองให้ทำบางสิ่งไม่ว่าจะรู้สึกยังไง แต่ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ทุกครั้ง เพื่อจะทำสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ
- วินัยคือการเลือกระหว่างสิ่งที่ต้องการตอนนี้ กับสิ่งที่ต้องการมากที่สุด สิ่งที่ต้องการตอนนี้ก็คือความอยากอะไรก็ตาม ที่เข้ามายั่วยวนทำให้ว่อกแว่ก และสิ่งที่ต้องการมากที่สุดก็คือ การทำสิ่งสิ่งหนึ่งให้สำเร็จลุล่วง
- สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างวินัยในความคิดก่อน แทนที่จะนึกถึงความสบายจากการขี้เกียจ หรือความสนุกจากการทำสิ่งที่ชอบ ซึ่งทำให้ผลัดเลื่อนหรือไม่ทำบางสิ่ง ลองนึกถึงความโล่งใจเมื่อทำสิ่งนั้นสำเร็จ หรือเมื่อบรรลุเป้าหมายที่ต้องการฝึกสร้างวินัยในความคิดก่อน แล้วนิสัยมีวินัยจะเกิดง่ายขึ้น
- แรงกระตุ้นทำให้เริ่ม แต่วินัยทำให้สำเร็จ หลายครั้งเกิดไอเดียดี ๆ กระตือรือร้น เริ่มนั่นนี่ แต่ไม่นานก็ขี้เกียจ ล้มเลิกกลางทาง คือเริ่มได้ แต่ทำไม่เคยสำเร็จ ดังนั้นเมื่อแรงกระตุ้นหมดไปวินัยองเข้ามาแทนที่ เพื่อให้ทำต่อไปเรื่อย ๆ จนสำเร็จ
- ความสามารถที่ไร้วินัยคือ โอกาสที่ไม่มีค่าอะไร อาจเก่งและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น แต่ติดที่ว่ามีแต่ความสามารถแต่ไม่มีวินัย ดังนั้นอาจพูดได้ว่าวินัยสำคัญยิ่งกว่าความสามารถด้วยซ้ำ
- วินัยคือความแตกต่างระหว่างคนเก่งกับคนที่ยอดเยี่ยม คนเก่งอาจมีความสามารถแต่เขาไม่อาจเป็นคนที่ยอดเยี่ยมถ้าเขาไม่มีวินัย คนที่ยอดเยี่ยมคือคนที่ทั้งเก่งและมีวินัย เขาคือคนที่มีเป้าหมายชัดเจนในสิ่งที่ทำ และบรรลุเป้าหมายนั้นได้เสมอ
- คนที่มีวินัยย่อมจะมีอิสระในชีวิต คนที่อยากใช้ชีวิตอย่างอิสระย่อมต้องมีวินัย เพราะต้องควบคุมตัวเองและชีวิตตัวเอง คนที่เป็นอิสระจะประสบความสำเร็จมากถ้าเขามีวินัย และเขาก็รู้ว่ามันคือสิ่งที่คุ้มมากที่จะแลก
ดังนั้นถ้าอยากมีชีวิตที่เป็นอิสระ และประสบความสำเร็จต้องมีวินัย พูดง่าย ๆ คือแต่งงานกับวินัย หรือใช้ชีวิตร่วมกับมัน จงฝึกตัวเองให้มีวินัยจนเห็นได้ชัดว่าตัวเองและชีวิตเริ่มเปลี่ยนไป แล้วจะชอบมันและจะกลายเป็นคนมีวินัยโดยไม่ต้องพยายาม
บทที่ 27
วิธีตั้งเป้าหมายการเงินที่จะเปลี่ยนชีวิต
เป้าหมายการเงิน (Financial Goal) คือเป้าหมายที่เป็นตัวเงิน บ่งบอกว่าต้องการอะไรในอนาคต การตั้งเป้าหมายการเงินที่ดีต้องใช้หลัก SMART นั่นคือ
S : Specific มีความชัดเจนและเจาะจง
M : Measurable สามารถวัดผลได้หรือระบุจำนวนเงินได้
A : Achievable มีวิธีการหรือแผนการที่จะทำให้สำเร็จได้
R : Realistic เป็นไปได้หรือสามารถทำให้เป็นจริงได้
T : Time bound มีกำหนดเวลาที่ชัดเจน
ตัวอย่างเป้าหมายการเงินที่ดี ฉันต้องการมีรายได้มากขึ้น รายได้ที่ฉันต้องการคือ 100,000 บาทต่อเดือน แผนการของฉันคือ เพิ่มความสามารถและหางานที่ดีขึ้น และฉันต้องทำให้ได้ใน 1 ปี
การตั้งเป้าหมายการเงินเท่ากับการวางแผนชีวิต การตั้งเป้าหมายการเงินจะทำให้มีชีวิตที่ต้องการ แต่จะเมื่อไหร่ก็อยู่ที่กำหนดเวลาไว้ หากทำได้เร็วกว่าหรือช้ากว่าเวลาที่กำหนด แต่อย่างน้อยการตั้งเป้าหมายการเงินจะทำให้ลงมือทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ดังนั้นจงตั้งเป้าหมายการเงินให้เร็วที่สุด แต่สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งก็คือ แม้เป้าหมายที่ตั้งต้องเป็นไปได้แต่อย่าตั้งเป้าเล็ก จงตั้งเป้าใหญ่เพราะเป้าหมายมีไว้ท้าทายตัวเอง และพิสูจน์ความสามารถตัวเอง ไม่ใช่เพื่อให้ได้มาง่าย ๆ ดังนั้นจงตั้งเป้าหมายที่ตื่นเต้นเร้าใจ เพราะยากแต่เป็นไปได้ ไม่ใช่เป้าหมายที่เฉย ๆ ไม่รู้สึกอะไรเพราะน้อยเกินไป เป้าหมายที่ทะเยอทะยาน อาจเป็นแรงผลักดันมากกว่าเป้าหมายที่เป็นไปได้
บทที่ 28
คติการใช้เวลาอย่างรู้ค่าแบบคนรวย
คนรวยใช้เวลาอย่างรู้ค่าตั้งแต่ยังไม่รวยจนรวย พวกเขามีเวลา 24 ชั่วโมงเท่าทุกคน แต่สร้างผลลัพธ์ในชีวิตได้มากกว่า เพราะสร้างผลลัพธ์ในแต่ละวันได้มากกว่า ทำไมคนรวยจึงเห็นค่าของเวลามากกว่าคนทั่วไป นั่นเพราะพวกเขาตั้งเป้าหมายใหญ่ ไม่ว่าในเรื่องความสำเร็จการเงินและชีวิต รู้ว่าต้องใช้เวลาเพื่อจะทำให้สำเร็จ ถึงไม่มีเวลาทำตัวไร้สาระ นอกจากการมีเป้าหมายแล้ว นี่คือ 3 คติของคนรวย ที่จะช่วยกระตุ้นให้รู้ค่าของเวลาและสร้างผลลัพธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางการเงิน ได้มากขึ้นอย่างไม่คาดคิด
เวลาคือเงิน ถ้าอยากรวยอยากมีฐานะมั่งคั่ง อยากมีอิสรภาพทางการเงิน และได้ใช้ชีวิตที่ต้องการเร็วที่สุด ต้องมี Mindset แบบนี้ว่า เวลาคือเงิน เมื่อเอาเวลาไปทำเงินได้ จะไม่เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ถ้าไม่เคยคิดว่าเวลาคือเงิน ก็จะใช้ชีวิตแบบเวลามีไว้ทำอะไรก็ได้ หรือเวลาไม่มีค่าอะไร จึงไม่แปลกที่สามารถนั่งขี้เกียจอยู่เฉย ๆ ได้เป็นวัน ๆ หรือนั่งคุยเรื่องไร้สาระกับเพื่อนในร้านกาแฟได้เป็นชั่วโมง ๆ เพราะไม่เห็นค่าของเวลา ถ้าว่างจงคิดหาวิธี หาไอเดีย หรือทำอะไรสักอย่างให้ได้เงิน จำไว้ว่าเวลาว่างก็คือเวลา และมันยิ่งมีค่ากว่าเวลาที่ต้องทำงาน เพราะจะทำอะไรก็ได้เพื่อเปลี่ยนชีวิต บางคนรวยหรือจนก็เพราะการใช้เวลาว่างนี่แหละ
ทำให้การหาเงินเป็นความสุข การหาเงินคือสิ่งที่พวกเขาโปรดปรานที่สุด พวกเขามีความสุขกับการหาเงิน หรือวิธีหาเงินของพวกเขา จึงแทบไม่ต้องหาความสุขอื่น ดังนั้นพวกเขาจึงบอกว่า จงมีความสุขกับการหาเงิน จงหาวิธีหาเงินที่ทำให้มีความสุข แล้วจะเป็นคนยุ่งทำงานหนัก และบ้าเงินที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก
อย่าขี้เกียจเหมือนว่ารวย จงทำงานหนักเหมือนว่าจน มีคนกล่าวว่าคนจนบางคนทำตัวเหมือนคนรวย เขาถึงได้จนตลอดไป คนรวยบางคนทำตัวเหมือนคนจน เขาถึงได้รวยตลอดไป นี่คือเรื่องจริง ถ้าจนแล้วเอาแต่ใช้เงินทำตัวโอ้อวดว่ารวย แต่ขี้เกียจไม่ยอมทำงานหนักจะไม่มีทางรวย ตรงกันข้ามถ้ารวยแล้วขยันทำงานหนัก และแทบไม่เคยใช้เงินจะไม่มีทางจน แต่มีคนรวยอีกประเภทที่ทำงานหนักเหมือนกับถังแตกอยู่ตลอดเวลา และเขาก็หาเงินได้มากมาย และเขาก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอย่างที่เขาต้องการ นั่นถือว่าเขาใช้ชีวิตคุ้มค่า เพราะคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเงินอย่างเดียว เราเกิดมาเพื่อหาความสุขด้วย
บทที่ 29
สำคัญกว่าหาเงินเก่งต้องใช้เงินอย่างฉลาด
อาจมีวิธีหาเงินที่ฉลาด แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายในการใช้เงินที่ฉลาด อาจนำไปใช้จ่ายกินเที่ยวซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากได้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่หาเงินเก่ง และไม่มีการวางแผนชีวิตที่ดี ก็มีแนวโน้มว่าจะใช้เงินเก่งเช่นกัน สรุปว่าแทนที่ความสามารถในการหาเงินเก่งจะเป็นข้อได้เปรียบหรือทำให้รวยกว่าคนอื่น กลับเป็นคนที่แค่ทำงานหาเงินใช้ไป และไม่เคยรวยเป็นอย่างนี้ตลอดชีวิต เพราะไม่เคยใช้เงินที่หามาได้อย่างฉลาด
เป้าหมายในการใช้เงินที่ฉลาดสำคัญมาก อาจไม่เคยรู้กฎข้อหนึ่งของพวกมหาเศรษฐีนั่นคือ ยิ่งใช้เงินยิ่งรวย หมายความว่านอกจากการใช้จ่ายกับสิ่งที่จำเป็นในชีวิต พวกเขาจะใช้เงินกับสิ่งอื่น พวกเขาต้องได้กำไร แต่ทุกกำไรที่ได้ต้องมีประโยชน์บางอย่างต่อชีวิตพวกเขา เช่น ทำให้พวกเขารวยขึ้น เก่งขึ้น ฉลาดขึ้น เกิดไอเดีย หรือแรงบันดาลใจที่จะทำบางสิ่ง สร้างโอกาสหรือสร้างคุณค่าให้ชีวิต พูดง่าย ๆ การใช้เงินของพวกเขาคือการลงทุน คนหาเงินเก่งที่ฉลาดพวกเขาใช้เงินกับการลงทุนใน 4 สิ่งต่อไปนี้
- ลงทุนกับความสุข เมื่อทำงานหนักต้องมีความสุขมาหล่อเลี้ยง ไม่ใช่เอาแต่เหน็ดเหนื่อยอย่างเดียว แต่คนหาเงินเก่งที่ฉลาดจะไม่ค่อยใช้เงินกับความสุขที่ฉาบฉวย หรือสิ่งที่ต้องใช้เงินมากมายซื้อมา แต่พวกเขาจะใช้เงินอย่างฉลาดกว่า เพื่อความสุขที่มากกว่า เช่น การเดินทาง ท่องเที่ยว และหาประสบการณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความสุขที่หล่อเลี้ยงจิตใจและจิตวิญญาณ ทำให้พวกเขามีพลังขึ้น ทั้งยังได้ค้นพบตัวเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ค้นพบความจริงบางอย่างในชีวิต และเกิดแรงบันดาลใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย สำหรับพวกเขาการลงทุนกับความสุขแบบนี้ถือว่าคุ้มค่า และได้กำไรชีวิตอย่างแท้จริง
- ลงทุนในตัวเอง เมื่อมีความรู้และความสามารถมากขึ้น ย่อมสามารถสร้างประโยชน์และคุณค่าได้มากขึ้น ย่อมได้รับความสำเร็จและความร่ำรวยที่คู่ควร
- ลงทุนในธุรกิจ คนหาเงินเก่งที่ฉลาด พวกเขารู้ว่าธุรกิจเสี่ยง แต่คืออีกขั้นของการท้าทายความสามารถตัวเอง อีกขั้นของการเรียนรู้ และอีกขั้นของการเติบโต ที่สำคัญมีโอกาสร่ำรวยถ้าทำธุรกิจ แต่มีโอกาสแค่มีเงินเยอะเท่านั้น ถ้าแค่หาเงินจากการทำงาน ธุรกิจคือสิ่งที่คนรวยทุกคนต้องมี ไม่ว่าเพื่อความร่ำรวยหรือเพื่อความหลงใหล แต่ย่อมดีที่สุดถ้าทำในสิ่งที่เก่งพอ และเรียนรู้มามากพอ เมื่อประสบความสำเร็จในธุรกิจสักครั้ง การเอาเงินมาลงทุนในธุรกิจอาจกลายเป็นสิ่งที่ชอบที่สุด แม้จะเสี่ยงก็ตาม
- ลงทุนกับการลงทุนอื่น ๆ การลงทุนคือการใช้เงินซื้อบางสิ่ง โดยคาดหวังที่จะสร้างรายได้หรือกำไรการลงทุน มีหลายรูปแบบทั้งระยะสั้นและระยะยาว ได้ผลตอบแทนมากและได้ผลตอบแทนน้อย เช่น ลงทุนในตราสารหนี้ ลงทุนในพันธบัตรหรือหุ้นกู้ ลงทุนในหุ้น ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือลงทุนในของสะสมมีค่า ซึ่งต้องศึกษาการลงทุนแต่ละแบบให้เข้าใจลึกซึ้ง และเลือกการลงทุนที่เหมาะสมและตามเป้าหมาย เหตุผลที่คนรวยชอบการลงทุน และเข้าใจว่าต้องลงทุนก็เพื่อสร้างกำไรจากเงินที่มีอยู่ หรือต่อยอดเงินให้เพิ่มขึ้น หรือสร้างรายได้ที่ได้มาโดยไม่ต้องทำงานอย่างต่อเนื่องในระยะยาวหรือตลอดไป ซึ่งแน่นอนที่สุดว่าคือวิธีเดียว ที่จะทำให้มีอิสรภาพทางการเงิน และนี่ก็คือเป้าหมาย และวิธีใช้เงินอย่างฉลาดของคนรวยระดับมหาเศรษฐี
บทที่ 30
เลือกคบคนที่ฉุดดึงชีวิตให้สูงขึ้น
ชีวิตคือค่าเฉลี่ยของคนที่เลือกคบ คุยด้วย และใช้เวลาด้วยมากที่สุด ไม่มีทางที่คบคนที่ล้มเหลวและยากจน 10 คน และคบคนที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวย 1 คนแล้วจะมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวย หรือถ้าเป็นไปได้ก็ยากมาก ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดและเก่งมาก เพราะคนที่คบจะโน้มน้าวให้คิดเหมือนเขา ทำอย่างเขา และเป็นอย่างเขาโดยที่อาจไม่รู้ตัว การอยู่กับคนประเภทใดประเภทหนึ่งนาน ๆ อาจทำให้ซึมซับความคิดของเขา และมีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับเขา ซึ่งมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนและกำหนดชีวิตให้เป็นเหมือนเขา ยิ่งถ้าคบคนประเภทนั้นหลาย ๆ คน จะยิ่งมีอิทธิพลต่อตัวเองและชีวิตมากขึ้น
ดังนั้นจงหลีกเลี่ยงที่จะคบคนประเภทที่ไม่อยากเป็น และมีชีวิตที่ไม่อยากมี แม้แค่ออกไปแฮ้งค์เอาต์ กับเขาก็ตาม ซึ่งคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็จริง แต่ถ้าเป็นคนที่อยากประสบความสำเร็จจริง ๆ เวลา 1 ชั่วโมงนั้น จะเลือกออกไปเจอคนที่ประสบความสำเร็จ ที่จะช่วยให้เป็นอย่างเขาได้ หรือทำอะไรอย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่าออกไปแฮ้งค์เอาต์ กับคนที่ต้องพยายามไม่ฟังความคิดเขา ครอบครัวจะล้มเหลวเหมือนเขา ถ้าอย่างนั้นจะเสียเวลาไปเพื่ออะไร จงเห็นค่าเวลา และเลือกเจอคนที่คู่ควรกับเวลา นี่คือ 9 สิ่งที่มีในตัวคนที่คนรวยเลือกคบ
- นิสัยแห่งความสำเร็จ สิ่งที่พวกเขาทำในชีวิตประจำวันต่างจากคนทั่วไป พวกเขาทำแต่ในสิ่งที่ทำให้ตัวเองพัฒนาขึ้น และทำให้ชีวิตพวกเขาประสบความสำเร็จ
- ความคิดและมุมมองบวก พวกเขาคิดบวกได้กับทุกเรื่อง และมีมุมมองบวกอย่างน่าทึ่ง ไม่ชอบเรื่องลบ ๆ และไม่สนใจดราม่า พวกเขาชอบสิ่งที่สร้างสรรค์ และสร้างพลัง ไม่ชอบสิ่งที่ไร้สาระและบั่นทอนพลัง
- ทัศนคติที่เชื่อมั่น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม พวกเขาจะคิดบวก เชื่อมั่น มองเห็นความเป็นไปได้ และเชื่อในความสำเร็จ
- ความมุ่งมั่นและวินัย พวกเขาเป็นคนมีความมุ่งมั่นสูง คิดหรือวางแผนอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ ไม่ยอมแพ้หรือล้มเลิกง่าย ๆ และมีวินัยสูง
- Passion และความกระตือรือร้น พวกเขามีความหลงใหลในบางสิ่ง และทำสิ่งนั้นด้วยความตื่นเต้น กระตือรือร้น ไฟลุกโชนอยู่ตลอดเวลา
- การคิดใหญ่และเป้าหมายใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นและความทะเยอทะยาน ทำให้พวกเขาคิดใหญ่และมีเป้าหมายใหญ่ พวกเขาเป็นคนมองการณ์ไกล ชอบคิด ชอบวางแผน ชอบความยากและความท้าทาย และชอบริเริ่มสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
- การทำงานหนัก การทำงานหนักคือสิ่งโปรดปรานของพวกเขา พวกเขาสนุกกับการทำงานหนักและการไล่ล่าเป้าหมาย เป็นคนทั้งชอบคิดและชอบทำ มีความอดทน ความอุตสาหะ และความพยายามในระดับสูงกว่าคนทั่วไป
- มีความมั่นคงทางการเงิน พวกเขามีความสามารถ มีรายได้ดี มีชีวิตการเงินที่ดี ไม่มีปัญหาการเงิน ดูแลตัวเองได้ ซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคนฉลาด มีความคิด และมีการวางแผนชีวิตที่ดี
- ความไว้ใจได้ คุณสมบัติสำคัญที่สุดในตัวพวกเขาคือ เป็นคนไว้ใจได้ว่าเขามีความซื่อสัตย์และจริงใจ นอกจากไว้ใจได้ในเรื่องผลประโยชน์แล้ว ยังสามารถคบหาเป็นเพื่อนแท้ได้
บทส่งท้าย
ทำไมคนคิดบวกถึงประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
การคิดบวกคือคุณสมบัติข้อสำคัญที่สุดของคนหาเงินเก่ง ซึ่งไม่ได้แค่จะทำให้พวกเขามีเงินเยอะที่สุด แต่จะทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในชีวิตการเงินมากที่สุด รวมถึงชีวิตด้านอื่น ๆ เพราะการคิดบวกคือจุดเริ่มต้นของการเชื่อ การคิด การทำ และการสำเร็จในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีอะไรจะสร้างพลังให้ชีวิตเท่าการคิดบวก ทำไมคนคิดบวกถึงประสบความสำเร็จที่สุดในโลก นี่คือคำตอบ
- พวกเขามีความหวังและความเชื่อในอนาคตที่ดีกว่า พวกเขาหวังและเชื่อในอนาคตของตัวเองว่า สิ่งที่ดีกว่าจะเกิดขึ้น ไม่ว่าในเรื่องงาน เงิน ชีวิต และความสัมพันธ์ พวกเขาจึงหาหนทาง และสร้างโอกาสที่จะทำให้เกิดขึ้น
- พวกเขาโฟกัสที่โอกาสไม่ใช่อุปสรรค พวกเขามองเห็นแต่ความเป็นไปได้ ในขณะที่คนคิดลบมองเห็นแต่ความเป็นไปไม่ได้ พวกเขามองเห็นโอกาสในทุกสิ่ง และกล้าลองแม้แต่สิ่งที่มีอุปสรรค และยิ่งโฟกัสกับสิ่งใดสิ่งนั้นจะยิ่งปรากฏขึ้นในชีวิต
- พวกเขาเข้าใจว่าอะไรที่เป็นแรงกระตุ้น และแรงบันดาลใจให้พวกเขา พวกเขารู้ว่าอะไรจะช่วยผลักดันพวกเขาไปถึงเป้าหมายให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ และมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จนั่นคือ ความคิดบวกและความกล้า พวกเขาจึงไม่ใช้ชีวิตกับความคิดลบและความกลัว
ดังนั้นถ้าอยากเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจุดสำเร็จที่พอใจหรือจุดไหนก็ตาม จงตั้งเป้าหมาย วางแผน ลงมือทำ และคิดบวกเท่านั้นตลอดเวลา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการงาน เป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสิ่งที่ทำ จงเชื่อว่าทำได้ ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการเงิน เป็นคนที่หาเงินเก่ง และมีชีวิตกับอิสรภาพทางการเงิน จงเชื่อว่าทำได้