ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Elasticity of Demand) ใช้วัดระดับการตอบสนองหรือความอ่อนไหวของปริมาณความต้องการสินค้าและบริการ เมื่อปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการมีการเปลี่ยนแปลง โดยแสดงในรูปของร้อยละการเปลี่ยนแปลง ความยืดหยุ่นของอุปสงค์แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ ความยืดหยุ่นต่อราคาสินค้าตัวเอง (Own-Price Elasticity) ความยืดหยุ่นต่อรายได้ (Income Elasticity) และความยืดหยุ่นไขว้ต่อราคาสินค้าอื่น (Cross-Price Elasticity) ซึ่งแต่ละประเภทสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมการตอบสนองของผู้บริโภคต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ ในตลาด
Own-Price Elasticity of Demand
Own-Price Elasticity of Demand เป็นการวัดการตอบสนองของปริมาณความต้องการสินค้าเมื่อราคาสินค้านั้นเปลี่ยนแปลง โดยคำนวณจากอัตราส่วนระหว่างร้อยละการเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการต่อร้อยละการเปลี่ยนแปลงของราคา เนื่องจากเส้นอุปสงค์มีความชันเป็นลบ (ราคาเพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการลดลง) ค่าความยืดหยุ่นจึงมีค่าเป็นลบเสมอ
Source: https://www.economicsonline.co.uk/
เมื่อปริมาณความต้องการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคามาก (ค่าความยืดหยุ่น > 1) เรียกว่าอุปสงค์มีความยืดหยุ่น แต่เมื่อปริมาณความต้องการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาน้อย (ค่าความยืดหยุ่น < 1) เรียกว่าอุปสงค์ไม่ยืดหยุ่น
ปัจจัยที่มีผลต่อความยืดหยุ่นของอุปสงค์:
- สินค้าทดแทน: เมื่อมีสินค้าทดแทนน้อยหรือไม่มีเลย อุปสงค์จะไม่ยืดหยุ่น เช่น ยารักษาโรคหัวใจที่ต้องรับประทานวันละ 2 เม็ดเพื่อการมีชีวิตรอด ผู้ป่วยจะไม่ลดการซื้อแม้ราคาจะสูงขึ้น
- สัดส่วนรายได้: ยิ่งสินค้ามีสัดส่วนการใช้จ่ายต่อรายได้มาก อุปสงค์ยิ่งยืดหยุ่น เช่น ค่าเช่าบ้านที่มีสัดส่วนสูงในรายได้ เมื่อราคาเพิ่มผู้บริโภคจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาก
- ระยะเวลา: ความยืดหยุ่นจะมากขึ้นในระยะยาว เช่น เมื่อค่าพลังงานเพิ่มขึ้น ในระยะสั้นอาจปรับลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ แต่ระยะยาวอาจติดตั้งฉนวนกันความร้อนหรือเปลี่ยนหน้าต่างที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น
ตัวอย่างการคำนวณความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคา: สมการอุปสงค์น้ำมัน: QD gas = 138,500 – 12,500Pgas คำนวณที่ราคาน้ำมัน 105 บาท/แกลลอน (3 ดอลลาร์/แกลลอน)
Income Elasticity of Demand
Income Elasticity of Demand หรือความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อรายได้ เป็นการวัดการตอบสนองของปริมาณความต้องการสินค้าเมื่อรายได้ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลง โดยคำนวณจากอัตราส่วนระหว่างร้อยละการเปลี่ยนแปลงของปริมาณความต้องการต่อร้อยละการเปลี่ยนแปลงของรายได้
สินค้าสามารถจำแนกตามค่าความยืดหยุ่นต่อรายได้ได้ดังนี้:
- สินค้าปกติ (Normal Goods):
- มีค่าความยืดหยุ่นต่อรายได้เป็นบวก
- เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
- ตัวอย่างเช่น เสื้อผ้าแบรนด์เนม อาหารในร้านหรู การท่องเที่ยว
- สินค้าราคาถูก (Inferior Goods):
- มีค่าความยืดหยุ่นต่อรายได้เป็นลบ
- เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ความต้องการสินค้าลดลง
- ผู้บริโภคมักเปลี่ยนไปบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพดีกว่า
- ตัวอย่างเช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารตามสั่งริมทาง รถเมล์
Cross-Price Elasticity of Demand
Cross-Price Elasticity of Demand วัดการตอบสนองของปริมาณความต้องการสินค้าหนึ่งเมื่อราคาสินค้าอื่นเปลี่ยนแปลง
ตัวอย่างการคำนวณ Cross-Price Elasticity of Demand ระหว่างน้ำมันและค่าโดยสารรถประจำทาง: สมการอุปสงค์: QD gas = 15 – 3Pgas + 0.02I + 0.11PBT – 0.008Pauto เมื่อ PBT = 875 บาท (25 ดอลลาร์) QD gas = 6.624 + 0.11(25) = 9.374 แกลลอน
Cross-Price Elasticity of Demand = (PBT/Q0) × (ΔQ/ΔPBT) = (25/9.374) × 0.11 = 0.293
ค่าความยืดหยุ่นไขว้เป็นบวก แสดงว่าน้ำมันและรถประจำทางเป็นสินค้าทดแทนกัน การเพิ่มขึ้นของค่าโดยสารรถประจำทาง 1% จะทำให้ความต้องการน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.293% โดยกำหนดให้ปัจจัยอื่นคงที่
สรุป
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ใช้สำหรับวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคและการตัดสินใจทางธุรกิจ ทั้ง Own-Price Elasticity of Demand, Income Elasticity และ Cross-Price Elasticity ช่วยให้เข้าใจว่าผู้บริโภคจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาและรายได้อย่างไร โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความยืดหยุ่น ได้แก่ การมีสินค้าทดแทน สัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ และระยะเวลาในการปรับตัว ความเข้าใจเรื่องความยืดหยุ่นจึงมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดและนโยบายเศรษฐกิจ