EAT THAT FROG! (กินกบตัวนั้นซะ!)

สั่งซื้อหนังสือ “กินกบตัวนั้นซะ!” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก

EAT THAT FROG ! For Student

กินกบตัวนั้นซะ ! : เทคนิคลับของคนฉลาดเรียน

ผู้เขียน : BRIAN TRACY and ANNA LEINBERGER

ผู้แปล  : พรเลิศ อิฐฐ์

เกริ่นนำ

กินกบตัวนั้นซะ !

หนังสือแล่มนี้เป็นหนังสือเทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพส่วนบุคคลที่ส่งพลังที่สุด ซึ่งคุณจะได้เรียนรู้อันที่จริงแค่ใช้เทคนิคนี้ทุกวันตลอดชีวิตก็ทำให้ประสิทธิภาพของคุณเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าแล้ว

ความสำคัญของการเลือกอย่างถูกต้องคือ การเลือกงานที่สำคัญที่สุดในแต่ละช่วงเวลา แล้วทำมันให้เสร็จอย่างรวดเร็วและดีเยี่ยม จึงน่าจะส่งผลต่อความสำเร็จ ดังนั้น คนที่สร้างนิสัยในการจัดลำดับความสำคัญและลงมือทำงานสำคัญให้เสร็จอย่างรวดเร็ว จึงเก่งกว่าพวกอัจฉริยะที่เอาแต่พูดและวางแผน แต่กลับไม่ทำอะไรเลย

การกิน “กบ” หนึ่งตัวจะทำให้คุณผ่านวันนั้นไปได้อย่างสบายๆ เพราะคุณรู้อยู่แล้วว่านั่นน่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับคุณ “กบ” ในที่นี้คืองานที่สำคัญและมีขนาดใหญ่โตที่สุด และเมื่อคุณเข้าสู่วัยทำงาน คุณจะสามารถกินกบเป็นอย่างแรกในตอนเช้าได้  แต่ตอนที่ยังเป็นนักเรียนคุณจะเข้าเรียนเป็นอย่างแรก และเวลาของคุณก็ถูกกำหนดโดยตารางเรียน คุณจึงต้องกินกบตามเวลานั้น ดังนั้น

  • กฎข้อที่หนึ่งของการกินกบ ก็คือการที่คุณต้องเลือกทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน
  • กฎข้อที่สองของการกินกบ ก็คือเมื่อมีสองสิ่งที่คุณจะต้องทำ คุณต้องเลือกทำในสิ่งที่ยากและสำคัญที่สุดก่อน จึงสร้างวินัยให้ตัวเองลงมือทำทันทีและทำจนสำเร็จลุล่วง
  • กฎข้อที่สามของการกินกบ ก็คือถ้าคุณทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อะไร คุณจะต้องนั่งจ้องกับมันนานๆ

กุญแจสู่การสร้างผลงานที่ดีและมีประสิทธิภาพ ก็คือการฝึกจัดการกับงานชิ้นสำคัญเป็นอย่างแรกในทุกเช้าจนกลายเป็นนิสัยที่คุณต้องฝึก “กินกบ” จนเป็นกิจวัตรก่อนที่จะเริ่มทำอย่างอื่นและต้องกินเข้าไปโดยไม่รีรอ

ถ้าคุณอยากเร่งความเร็วในการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ทำงานได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม คุณต้องเปลี่ยนแปลง ความคิด ทักษะ นิสัย และควมสามารถต่างๆ เพราะเป็นสิ่งที่คุณเรียนรู้ได้โดยไม่มีขีดจำกัด เมื่อคุณฝึกตัวเองให้เลิกผัดวันประกันพรุ่งและทำงานที่สำคัญที่สุดให้สำเร็จโดยเร็ว ชีวิตส่วนตัวและการเรียนของคุณจะก้าวหน้าไปอย่างพุ่ง ทะยานเลยทีเดียว….ก็แค่กินกบตัวนั้นซะ!!

ส่วนที่ 1

สามเสาหลักแห่งความสำเร็จ

  1. ความภูมิใจในตัวเอง

ไม่มีทัศนคติใดที่สำคัญต่อชีวิตและความสำเร็จของคุณไปมากกว่าความภูมิใจหรือความมั่นใจในตัวเอง เมื่อคุณมีความกล้าและความมุ่งมั่นคุณจะใช้ชีวิตทำตามความฝันโดยแน่ใจว่าสามารถบรรลุทุกสิ่งที่ตัวเองทุ่มเทได้ คุณสามารถสร้างความภูมิใจหรือความมั่นใจในตัวเองในระดับนั้นได้ สิ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคก็คือ ความกลัว ดังนั้น บทนี้จึงมีเนื้อหาที่จะช่วยให้คุณเอาชนะความกลัวในทุกรูปแบบเพื่อให้บรรลุสิ่งใดก็ตามที่ตั้งไว้

ความกลัวและความไม่มั่นใจมีสาเหตุหลายอย่าง บางทีคุณอาจจะถูกวิจารณ์จนรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลว หรือบางทีคุณอาจจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นและมองเห็นตัวเองแค่ในมุมที่ด้อยกว่า ความเชื่อเหล่านี้ฝังอยู่ในจิตใจใต้สำนึกและบ่อนทำลายคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

นึกภาพตัวคุณที่ไร้ขีดจำกัด ให้ถามคำถามนี้กับตัวเองซ้ำๆ ในอีกสองสามวันหลังจากนี้จงยอมปล่อยให้คำตอบของคุณเปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นมาความหมายที่แท้จริงของประโยคที่ว่า “หากรู้ว่าตัวเองไม่มีวันล้มเหลว” ซึมลึกเข้าไปในความคิดของคุณ หลังจากที่คุณคิดเกี่ยวกับคำถามนี้อยู่หลายวันคุณจะเริ่มเห็นทางเลือกและโอกาสที่เข้ามาอยู่ตรงหน้าทั้งที่ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้ ความจริงก็คือ หากคุณไม่เชื่อว่าบางสิ่งเป็นไปได้มันก็จะไม่มีทางเป็นไปได้  คุณต้องเปลี่ยนความเชื่อเพื่อที่จะได้บรรลุในสิ่งที่ยอดเยี่ยม เมื่อคุณยอมปล่อยให้ตัวเองได้ฝันไกล คุณจะเริ่มเห็นตัวเองว่าความฝันของคุณสามารถกลายเป็นจริงได้

ความลับสุดยอดอย่างหนึ่งของความภูมิใจในตัวเองก็คือ มันไม่ใช่สิ่งที่คุณมี แต่เป็นสิ่งที่คุณทำ ถ้าอยากมีความภูมิใจในตัวเองสูง คุณต้องเลือกทำในสิ่งที่เป็นด้านบวกและสร้างสรรค์เสมอเพื่อพาตัวคุณและความฝันของคุณไปข้างหน้า จงเลือกเผชิญกับความท้าทาย จงลงมือทำด้วยความมุ่งมั่นและแน่วแน่การทำเช่นนี้จะทำให้คุณภูมิใจในตัวเอง นั่นคือ ยิ่งทำเท่าไหร่คุณก็ยิ่งรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อคุณรู้สึกดีกับตัวเองมากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งมีแนวโน้มจะทำมากขึ้น เมื่อคุณเลือกที่จะก้าวต่อไปเพื่อผลักดันตัวเองไปข้างหน้า ความมั่นใจและความภูมิใจในตัวเองของคุณก็จะเพิ่มขึ้นจนทุกคนที่อยู่รอบข้างสามารถสังเกตเห็นได้คุณจะเข้าใกล้เป้าหมายและความฝันของตัวเองอย่างต่อเนื่องสุดท้ายคุณจะกลายเป็นพลังที่ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งรวมถึงทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากทำ

  1. การรับผิดชอบต่อตัวเอง

มีทักษะหนึ่งที่สำคัญต่อความสำเร็จของคุณมันคือ พื้นฐานของคนที่ประสบความสำเร็จทุกคน และถ้าไม่มีมัน คุณก็จะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายและความหวังตัวเองได้ ทักษะที่สำคัญที่ว่านี้ก็คือ ความสามารถในการรับผิดชอบต่อตัวเองอย่างเต็มที่ตลอดเวลา

ที่ผ่านมาคุณอาจมีภาพในแง่ลบเกี่ยวกับการรับผิดชอบ บางทีตอนคุณเป็นเด็ก ผู้ปกครองอาจใช้วิธีบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกถึงความจำเป็นของการรับผิดชอบของการกระทำของตัวเอง เมื่อคุณทำผิดอะไรซักอย่างคุณอาจมีความทรงจำที่ไม่ดีกับช่วงเวลาเหล่านี้ โดยรู้สึกว่าการรับผิดชอบเท่ากับการถูกลงโทษ แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย การรับผิดชอบถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดของการเติบโต คุณจะได้ตัดสินใจและกำหนดการกระทำทุกอย่างของตัวเอง อย่างไรก็ตามจะมีบางสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของผู้เสมอ เช่น คุณไม่สามารถควบคุมสภาพอากาศได้ การรับผิดชอบของคุณก็คือการไม่โกรธหรือไม่ขุ่นข้องหมองใจ  วิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับความโกรธและอารมณ์แง่ลบที่ก็คือ การแทนที่ความคิดด้านลบด้วยความคิดด้านบวก และลองนึกถึงคำพูดที่ว่า “ฉันรับผิดชอบเอง” ตอนนี้ ดูถ้าคุณเปิดรับหลักปัญานี้ คุณจะพบว่าแทบไม่มีอะไรเลยที่เกินเอื้อมสำหรับคุณ

ข้อเสียของการให้ผู้ปกครองตัดสินใจแทนคุณก็คือ หลายคนจะเติบโตมาด้วยทัศนคติที่ว่า หากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาในชีวิตคนอื่นต้องรับผิดชอบแทน แต่เมื่อคุณโตมาจนถึงจุดหนึ่งก็พบว่าไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ความรู้สึกอยากโทษปัจจัยภายนอกนั้นรุนแรงมาก สาเหตุหลักเป็นเพราะนี่คือเรื่องที่เราทำจนเป็นความเคยชิน คุณจะเห็นคนรอบข้างหลายคนไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงานหรือแม้กระทั่งผู้ใหญ่ก็มีทัศนคติเช่นนี้นั่นเป็นเพราะการโทษคนอื่นทำได้ง่ายกว่าเยอะเมื่อเทียบกับการรับผิดชอบต่อตัวเองเต็มที่ เป็นเรื่องง่ายที่จะคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อในขณะที่คนอื่นเป็นผู้ร้าย ดังนั้น จงตั้งปณิธานเสียตั้งแต่วันนี้ว่าคุณจะไม่โทษคนอื่นหรือสภาพแวดล้อมภายนอกสำหรับสิ่งที่เกิดจากการกระทำของคุณ

จงอย่าลืมพูดกับตัวเองว่า “ฉันรับผิดชอบเอง” แล้วนึกถึงคำพูดนี้หลายหลายๆ ครั้งหากจำเป็น เพราะมันจะช่วยให้คุณเอาชนะอารมณ์แง่ลบซึ่งเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าในการบรรลุเป้าหมายของคุณ หากคุณรับผิดชอบอย่างเต็มที่ด้วยการใช้เวลาไปกับเครื่องมือจากหนังสือเล่มนี้ ก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดยั้งคุณได้อีกแล้ว

  1. เป้าหมาย

ผมจะแนะนำกลยุทธ์หนึ่งที่จะเปลี่ยนทั้งชีวิตของคุณหากนำไปใช้ตั้งแต่วันนี้ ความภูมิใจในตัวเองเป็นทัศนคติ ส่วนการรับผิดชอบต่อตัวเองเป็นทั้งทัศนคติและทักษะ ทั้งสองเป็นสิ่งที่วางรากฐานให้กับความสำเร็จแต่การที่จะประสบความสำเร็จได้คุณต้องมีกลยุทธ์หนึ่งที่เหนือกว่ากลยุทธ์อื่นใด นั้นก็คือ เป้าหมายที่ถูกเขียนออกมาอย่างชัดเจน การมีเป้าหมายเป็นลายลักษณ์อักษรก็เหมือนการติดเทอร์โบเพิ่มกำลังไว้ที่ด้านหลังของทุกสิ่งที่คุณตั้งไจทำให้มันสำเร็จในชีวิต มันจะทำให้คุณได้ทุกสิ่งที่ต้องการภายในเวลาไม่นานเมื่อเทียบกับคนอื่น

โดยพื้นฐานแล้ว เป้าหมายก็คือ “บางสิ่งที่คุณต้องการ” เมื่อคุณนึกถึงเป้าหมายของตัวเองตลอดเวลา ก็จะมีสิ่งที่ยอดเยี่ยมเกิดขึ้นคุณจะดึงดูดทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น เมื่อคุณมีเป้าหมายอยู่ในความคิดเหนือสิ่งอื่นใดคุณจะสังเกตุเห็นอะไรก็ตามที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมาย  เป้าหมายมีได้ทั้งแบบระยะยาวและระยะสั้น โดยอาจจะเป็นงานรายได้ดีหรือเกรดเอวิชาแคลคูลัส อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะทำให้เป้าหมายมีแนวโน้มที่จะสำเร็จมากขึ้นก็คือ การที่มีมันเป็นรูปธรรมและถูกเขียนออกมา

เป้าหมายทำงานร่วมกันกับจิตใจของมนุษย์อย่างใกล้ชิด ยิ่งคุณนึกถึงเป้าหมายของตัวเองบ่อยเท่าไหร่คุณยิ่งบรรลุมันได้มากขึ้นเท่านั้น แต่การจะกระตุ้นพลังดังกล่าวเป้าหมายของคุณต้องถูกถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร โดยวิธีบางอย่างกุญแจสำคัญในการเขียนเป้าหมายที่ดีก็คือ “สูตร 3P” P แรก คือ Present (เป้าหมายให้อยู่กับปัจจุบัน) P ที่สอง คือ Positive (ใช้คำพูดในแง่บวก) P ที่สามคือ Personal (ใช้สรรพนามบุรุษที่ 1)

ประการแรก เป้าหมายควรเขียนให้อยู่ในรูปปัจจุบันราวกับว่าคุณทำสิ่งเหล่านั้นสำเร็จแล้ว เช่น “ฉันต้องการได้เกรดเอภาษาอังกฤษ” คุณควรเขียนว่า “ฉันได้เกรดเอภาษาอังกฤษ”

ประการที่สอง เป้าหมายถูกเขียนโดยใช้คำพูดในแง่บวกเสมอ หรือต้องการเขียนถึงผลลัพธ์ในด้านบวกแทนที่จะเป็นด้านลบ ดังนั้น แทนที่จะเขียนว่า “ฉันจะเลิกผัดวันประกันพรุ่ง” คุณควรเขียนว่า “ฉันวางแผนแต่ละวันของตัวเองล่วงหน้าและทำทุกสิ่งที่ต้องทำเสร็จเสมอ”

ประการสุดท้าย เป้าหมายทั้งหมดต้องถูกเขียนด้วยสรรพนามบุรุษที่ 1 โดยใช้คำว่า “ฉัน” ตามด้วยกริยา นี่เป็นสัญญาณบอกสมองว่ามันควรเริ่มลงมือทำ เดี๋ยวนี้ อย่าเริ่มต้นด้วยการเขียนว่า “เป้าหมายของฉันคือการเข้าใจวิธีการแก้โจทย์ปัญหา” แต่ให้เขียนว่า “ฉันสามารถแก้โจทย์ปัญหาได้ครบถ้วนและถูกต้อง”

การเขียนเป้าหมายของคุณและลงมือทำอย่างเป็นระบบนั้นเป็นเทคนิคที่ทรงพลัง แต่คุณก็ต้องกำหนดกรอบเวลาให้สมเหตุสมผลและอยู่ในความเป็นจริงด้วย เพราะการจะบรรลุเป้าหมายใดก็ตาม คุณต้องเชื่อจริงๆว่ามันเป็นไปได้

การยืนหยัดอย่างแน่วแน่และทุ่มเททำตามเป้าหมายของคุณเป็นคุณลักษณะเพียงหนึ่งเดียวที่จะรับประกันว่าคุณจะบรรลุเป้าหมายในท้ายที่สุด แน่นอนว่าคุณจะต้องเจอกับอุปสรรค ความล้มเหลว และความผิดหวัง ในขณะที่พยายามเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี่เป็นสิ่งที่คุณไม่มีทางหนีพ้น การยืนหยัดสำคัญกว่าการเป็นอัจฉริยะ  การมีทรัพยากรอยู่ในมือหรือแม้กระทั่งพรสวรรค์มันคือ ความสามารถที่จะยืนหยัดเมื่อเผชิญกับความล้มเหลว เพื่อที่จะได้ลองทำอีกครั้ง หาแนวทางใหม่และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือทำต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้คุณประสบความสำเร็จยิ่งกว่าที่วาดฝันไว้ เมื่อคุณมีเป้าหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วก็จะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งคุณจากการบรรลุมัน

ส่วนที่2

เรียนรู้ที่จะตีกรอบเวลาของคุณ

  1. จัดโต๊ะ

ก่อนที่คุณจะเลือก “กบ” ของคุณและลงมือกินมัน คุณต้องกำหนดเป้าหมายของตนให้ชัดเจนก่อน ซึ่งการต้องเข้าเรียนวิชาต่างๆ ทำการบ้าน ทำรายงานที่ใช้เวลายาวนาน และเตรียมตัวรับมือกับการสอบที่จะมาถึง ก็อาจทำให้คุณตัดสินใจได้ยากกว่าว่าควรทำอะไรก่อนถึงจะดีที่สุด ความชัดเจนอาจถือว่าเป็นแก่นของการเพิ่มประสิทธิภาพเลยก็ว่าได้ สาเหตุที่บางคนทำงานเสร็จมากกว่าในเวลาที่น้อยกว่าใคร ก็เพราะเขามีเป้าหมายและจุดประสงค์ที่ชัดเจน แล้วเค้าก็จะไม่ละสายตาจนกว่าจะไปถึง ยิ่งคุณมีความชัดเจนในสิ่งที่ต้องการและขั้นตอนที่ต้องใช้เพื่อให้ได้มันมามากเท่าไหร่ คุณก็จะเลิกผัดวันประกันพรุ่ง กินกบของคุณ และทำงานตรงหน้าให้เสร็จลุล่วงได้ง่ายขึ้นเท่านั้น  การผัดวันประกันพรุ่งและการขาดแรงจูงใจมีสาเหตุหลักมาจากความคลุมเครือความสับสน และความกำกวมว่าตัวเองกำลังพยายามทำอะไร ต้องการทำอะไรก่อนหลัง และทำไปเพื่ออะไร คุณต้องหลีกเลี่ยงปัญหาการดังกล่าวอย่างสุดความสามารถโดยทำให้เป้าหมายและงานสำคัญๆ ของตัวเองมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

เราได้พูดถึงแนวทางโดยทั่วไปของการตั้งเป้าหมายที่ดีไปแล้ว คราวนี้จะแนะนำให้รู้จักสูตรที่ส่งพลังและเฉพาะเจาะจงว่าสำหรับการตั้งและบรรลุเป้าหมาย คุณสามารถใช้สูตรนี้กับการเรียนและการใช้ชีวิต สูตรดังกล่าวประกอบไปด้วยเ 7 ขั้นตอนง่ายๆ แต่ละขั้นตอนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณได้มากถึง 2-3 เท่า

  • ขั้นตอนที่หนึ่ง ตัดสินใจให้แน่ชัดว่าคุณต้องการอะไร
  • ขั้นตอนที่สอง เขียนมันออกมา จงคิดบนกระดาษให้เขียนอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้งและจับต้องได้
  • ขั้นตอนที่สาม กำหนดเส้นตายให้เป้าหมายของคุณ กำหนดเส้นตายเยอะย่อยหากจำเป็น
  • ขั้นตอนที่สี่ พิจารณาแต่ละงานโดยละเอียด
  • ขั้นตอนที่ห้า เปลี่ยนสิ่งที่ต้องการทำให้อยู่ในรูปของแผนงานจัดเรียงสิ่งที่ต้องทำตามความสำคัญ
  • ขั้นตอนที่หก ลงมือทำตามแผนทันที
  • ขั้นตอนที่เจ็ด ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะลงมือทำอะไรบางอย่างทุกๆวันเพื่อให้เข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น

จงคิดถึงเป้าหมายของคุณและทบทวนมันทุกๆวัน ในทุกๆเช้า จงเริ่มต้นวันด้วยการลงมือจัดการกับงานสำคัญที่สุดก่อนเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายที่สำคัญที่สุด ในขณะนั้นได้ เป้าหมายเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงในเตาหลอมแห่งความสำเร็จ ยิ่งเป้าหมายของคุณยิ่งใหญ่และชัดเจนมากเท่าไหร่ การทำมันให้สำเร็จก็ยิ่งทำให้คุณตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งคุณคิดถึงเป้าหมายมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งมีแรงผักดันและความปรารถนาที่จะทำมันให้สำเร็จมากขึ้นเท่านั้นด้วย

  1. วางแผนแต่ละวันเอาไว้ล่วงหน้า

คุณคงเคยได้ยินคำถามเก่าแก่ที่ว่า “คุณจะกินช้างซักตัวได้อย่างไร” คำตอบก็คือ “กินทีละคำไงล่ะ”

คุณจะกินกบตัวใหญ่ที่สุดและน่าเกลียดที่สุดของคุณได้อย่างไร ง่ายๆ เลย ก็ใช้วิธีเดียวกันนั่นแหละ คุณต้องชำแหละมันออกมาเป็นขั้นๆ และเริ่มต้นที่ขั้นแรกก่อน  การเรียนรู้ที่จะแบ่งงานใหญ่ๆ ออกเป็นขั้นตอนต่างๆ ที่สามารถจัดการได้เป็นทักษะที่สำคัญต่องานในอนาคตของคุณ

สมองรวมถึงความสามารถของคุณในการคิด วางแผน และตัดสินใจ เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สุดที่จะเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่งและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ความสามารถในการตั้งเป้าหมาย วางแผน และลงมือทำจะเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิตของคุณ การคิดและการวางแผนนี่เองที่จะปลดปล่อยความคิดให้เป็นอิสระ และเพิ่มพลังทั้งกายและใจให้กับคุณ   แต่ในทางตรงข้าม “การลงมือทำโดยไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อนคือ บ่อเกิดของปัญหาดีดีนี่เอง”

เมื่อคุณเขียนสิ่งที่ต้องทำออกมาเป็นข้อๆ แล้ว ก็ทำให้ตามนั้นเสมอ และถ้ามีอะไรมาเพิ่มเติมก็ให้เขียนลงไปรายการก่อนลงมือทำ เพียงเท่านี้คุณก็จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ถึง 25% นับตั้งแต่คุณเริ่มทำตามรายกาที่คุณสร้างขึ้น

การรู้จักวางแผนให้ดีก่อนลงมือทำคือ ตัวชี้วัดความสามารถของคุณยิ่งวางแผนของคุณดีเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่ง และเริ่มลงมือทำกินกบของคุณและพุงทะยานไปข้างหน้าได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เมื่อคุณวางแผนแต่ละวันไว้ล่วงหน้า คุณจะพบว่าการเริ่มลงมือทำและก้าวต่อไปข้างหน้านั้นง่ายดายมาก งานของคุณจะเสร็จเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณจะรู้สึกว่าตนเองเก่งกว่าเดิม คุณจะทำงานเสร็จมากขึ้นในเวลาที่สั้นลงกว่าเดิม จนในที่สุดก็จะไม่มีใครหยุดคุณไว้ได้

  1. เรียนอย่างมีกลยุทธ์ด้วยการใช้ช่วงเวลาขนาดเล็กและขนาดใหญ่

สภาพแวดล้อมของโรงเรียนนั้นแตกต่างจากสถานที่ทั่วไป คุณต้องเรียนรู้วิชาและทักษะต่างๆ มากมายซึ่งสำคัญต่อความสำเร็จในอนาคตของคุณ  เนื่องจากงานที่คุณทำย่อมต้องการให้คุณมีทักษะที่หลากหลายและมีความยืดหยุ่นในการใช้ทักษะเหล่านี้ คุณจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีประเมินสถานการณ์และหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับปัญหาที่อยู่ตรงหน้า การเรียนรู้ที่จะประเมินว่างานไหนเหมาะสมกับกรอบเวลาแบบได้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนของคุณได้เป็นอย่างมาก

ส่วนใหญ่แล้วการทำงานที่ใหญ่และสำคัญมากๆ ล้วนต้องอาศัยช่วงเวลาที่ต่อเนื่องและยาวนาน ความสามารถในการสร้างและใช้ช่วงเวลาเหล่านั้นอย่างคุ้มค่าจึงเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวของคุณ การทำงานประเภทนี้ต้องอาศัยช่วงเวลาสุดสัปดาห์หรือตอนเย็น ซึ่งเป็นช่วงที่คุณสามารถทุ่มเทเวลามากมายไปกับการทำการบ้านได้

บรรดาคนที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมักจะจัดกิจกรรมที่แน่นอนลงในช่วงเวลาต่างๆ ที่วางแผนไว้ล่วงหน้าตลอดทั้งวัน พวกเขาพยายามทำงานที่สำคัญให้เสร็จทีละอย่าง ผลลัพธ์คือ ประสิทธิภาพในการทำงานของพวกเขาจะดูสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถทำผลงานได้มากกว่าคนทั่วไป 2 เท่าหรือ 3 เท่า หากคุณมีเวลาว่างช่วงเย็นหรือสุดสัปดาห์คุณก็สามารถสร้างตารางเวลาของตัวเองและบังคับให้ตัวเองทำตามตารางนั้นอย่างมีวินัย กุญแจสู่ความสำเร็จของการทำงานในช่วงเวลาเหล่านี้ก็คือการวางแผนล่วงหน้าโดยกำหนดช่วงเวลาที่แน่นอน

การใช้ตารางเวลาที่แบ่งเวลาออกเป็นชั่วโมง และนาที ถือเป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพส่วนบุคคลที่ทรงพลังที่สุดก็ว่าได้เพราะคุณจะสามารถมองเห็นว่าสามารถรวบช่วงเวลาใดเข้าด้วยกันเพื่อสร้างช่วงเวลาที่นานขึ้นสำหรับการทำงานที่สำคัญที่ต้องใช้สมาธิ

  1. ใช้กฎ 80 / 20 กับทุกเรื่อง

กฎ 80 / 20 เป็นหนึ่งในแนวความคิดด้านการบริหารเวลาและการจัดการชีวิตที่เป็นประโยชน์ที่สุด มันถูกเรียกว่า “หลักการพาเรโต” เป็นชื่อของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลีผู้คิดค้นกฎนี้ขึ้นมา เค้าสังเกตว่าผู้คนในสังคมมักจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือ ผู้ที่มีฐานะร่ำรวยและทรงอิทธิพลจำนวน 20% ที่อยู่บนยอดพีระมิด ส่วนอีกกลุ่มคือคนอีก 80% ที่อยู่ตรงฐาน

ในเวลาต่อมาเขาค้นพบว่าจริงๆ แล้วกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหลายล้วนสอดคล้องกับหลักการดังกล่าว เช่น หลักการนี้ระบุว่า 20% ของกิจกรรมที่คุณทำจะก่อให้เกิดผลลัพธ์มากกว่า 80% และงานที่คุณทำ 20% จะสร้างคุณค่าได้มากถึง 80% ความหมายก็คือ หากคุณมีสิ่งที่ต้องการทำ 10 อย่าง สองอย่างในนั้นจะมีค่ามากกว่าแปดอย่างที่เหลือรวมกันมหาศาลเลยทีเดียว

การนำกฎ 80 / 20 ไปใช้กับการเรียนดูเป็นเรื่องท้าทาย เพราะคุณไม่สามารถเลิกเรียนวิชาบังคับที่คุณมองว่าไม่เป็นประโยชน์หรือไม่ทำข้อสอบย่อยที่คุณมองว่าไม่สำคัญได้

กฎ 80 / 20 ไม่ได้มีไว้เพื่อกำจัด 80% ที่อยู่ตรงฐาน แต่มีไว้ช่วยให้คุณจัดสรรเวลาของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม คุณควรใช้เวลามากขึ้นกับสิ่งสำคัญ 20% ที่อยู่บนยอดพีระมิด และใช้เวลาน้อยลงไปกับ 80% ที่อยู่ตรงฐาน

ปริมาณงานกับความสำคัญของงาน ถ้ามีงานต้องทำทั้งหมด 10 อย่างและแต่ละอย่างใช้เวลาในการทำเท่าๆ กัน  จะมีแค่หนึ่งหรือสองอย่างเท่านั้นที่เกิดประโยชน์มากกว่างานอื่นๆ 5-10 เท่า และมีหลายครั้งที่งานหนึ่งอย่างมีค่ามากกว่าอีกเก้าอย่างที่เหลือรวมกันซะด้วยซ้ำ นี่แหละคือ กบ ตัวที่คุณควรจับยัดเข้าปากก่อนเป็นอันดับแรก

คนส่วนใหญ่มักจะพักผ่อนงาน 10 หรือ 20% ที่มีความสำคัญมากและมีค่ามากที่สุด แล้วหันไปขลุกอยู่กับงานอีก 80% ที่ไม่สำคัญแทบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เลย

กฎ 80 / 20 คือเลนส์อันเป็นประโยชน์ที่ช่วยให้คุณมองเห็นว่างานไหนควรได้รับความสนใจและเวลาส่วนใหญ่ของคุณ

คุณคงเคยเห็นหลายคนที่ดูยุ่งตลอดเวลาแทบทำอะไรไม่เสร็จเลยซักอย่าง นั่นเป็นเพราะพวกเขามัวแต่สาละวนอยู่กับงานที่ไม่มีค่าอะไรเลย แล้วผัดผ่อนงานบางอย่างออกไปก่อนทั้งๆ ที่ถ้าทำมันเสร็จอย่างรวดเร็วก็อาจก่อให้เกิดประโยชน์มาก ก่อนเริ่มทำงานจงถามตัวเองเสมอว่านี่เป็นงาน 20% ที่อยู่บนยอดพีระมิดหรือเป็นงาน 80% ที่อยู่ตรงฐาน

  1. หั่นงานเป็นชิ้นชิ้น

เหตุผลหลักที่เรามักจะเลื่อนงานใหญ่ๆ สำคัญๆ ออกไปก่อนก็คือ ตอนที่เราเห็นมันครั้งแรกมันดูหนักหนาสาหัสและใหญ่โตเกินกว่าที่จะรับมือได้ หนึ่งในวิธีหันงานใหญ่ๆ ให้เล็กลงคือการใช้เทคนิค “แล่แฮม”  โดยคุณต้องซอยงานนั้นเป็นส่วนส่วนแล้วตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะทำไปทีละส่วนคล้ายๆ กับการกินแฮมทั้งก่อนด้วยการแล่และหยิบกินทีละชิ้น หรือเหมือนการกินช้างทั้งตัวทีละคำนั่นเอง

ตามหลักจิตวิทยาแล้ว คุณจะพบว่าการจัดการกับงานใหญ่ไปทีละส่วนนั้นง่ายกว่าการพยายามทำให้เสร็จทั้งหมดในคราวเดียว บ่อยครั้งที่คุณทำงานส่วนหนึ่งเสร็จคุณจะรู้สึกอยากทำงานอื่นๆอีกสักนิด แล้วในไม่ช้าคุณจะพบว่าตัวเองกำลังทำงานใหญ่โดยค่อยๆ ทำไปทีละส่วน และกว่าจะรู้ตัวอีกทีคุณก็ทำไปจนเกือบจะเสร็จแล้ว

ประเด็นสำคัญคือ ต้องจดจำไว้ว่า คุณมี “ความกระหายที่จะทำงานให้เสร็จ” ซ่อนอยู่ในใจ คุณจะรู้สึกมีความสุขและมีพลังมากขึ้นเมื่อคุณเริ่มต้นทำงานชิ้นหนึ่งและทำต่อไปจนเสร็จ   คุณได้ตอบสนองต่อความต้องการส่วนลึกของจิตใจที่อยากให้ทำงานลุล่วง คุณจะมีแรงกระตุ้นให้ลงมือทำงานชิ้นต่อๆ ไปจนกว่างานชิ้นสุดท้ายจะเสร็จสมบูรณ์การทำงานจนเสร็จกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนโดฟินออกมา ทั้งยังทำให้คุณรู้สึกมีพลังและอิ่มอกอิ่มใจด้วย

ยิ่งงานที่คุณเริ่มทำจนเสร็จลุล่วงมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งรู้สึกดีและมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งกบที่คุณกินตัวใหญ่มากเท่าไหร่คุณจะยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังและเรี่ยวแรงที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อคุณเริ่มต้นทำงานส่วนเล็กๆ ไปจนเสร็จ คุณจะมีแรงจูงใจให้เริ่มทำงานอีกสวนจนกว่าจะเสร็จด้วย มันจะเป็นวงจรต่อเนื่องอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทุกก้าวเล็กๆ ที่มุ่งไปข้างหน้าจะปลุกพลังในตัวคุณและขับเคลื่อนจนคุณทำงานเสร็จสมบูรณ์

ส่วนที่ 3

เรียนรู้สิ่งที่คุณไม่สนใจแต่ก็ยังทำได้ดี

  1. คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมา

ลักษณะเฉพาะตัวของนักคิดที่เหนือชั้นคือ ความสามารถในการคาดการณ์อย่างแม่นยำถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่าง ผลลัพธ์ของการทำงานหรือกิจกรรมใดๆ ก็ตามเป็นตัวกำหนดว่าคุณต้องใช้ความทุ่มเทมากแค่ไหนไปกับงานหรือวิชาใดวิชาหนึ่ง การประเมินความสำคัญในลักษณะนี้จะช่วยให้คุณมองเห็นตัวกบต่อไปในที่สุด

คนที่ประสบความสำเร็จมีภาพอนาคตที่ชัดเจน พวกเขาคิดถึงอนาคต 5 ปี 10 ปีหรือ 20 ปีข้างหน้า แล้วมาวิเคราะห์ทางเลือกและพฤติกรรมในปัจจุบัน เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังทำนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาอยากให้เกิดขึ้นในอนาคต

ยิ่งจุดมุ่งหมายในอนาคตของคุณชัดเจนมากเท่าไหร่ มันจะยิ่งทำให้คุณเห็นภาพสิ่งที่คุณกำลังทำในปัจจุบันกระจ่างมากขึ้นเท่านั้น คุณย่อมสามารถประเมินกิจกรรมของคุณในปัจจุบันได้ดีขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะสอดคล้องกับสิ่งที่คุณอยากให้เกิดขึ้นในอนาคตจริงๆ

คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ยอมอดเปรี้ยวไว้กินหวานเพื่อให้ได้อิ่มเอมกับรางวัลที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาว ในทางกลับกันคนที่ไม่ประสบความสำเร็จจะคิดถึงแต่ความพอใจชั่วคราวโดยแทบไม่เคยใส่ใจกับอนาคตในระยะยาวเลย

คุณสามารถใช้คำถามสองข้อนี้เป็นระยะๆ เพื่อช่วยให้ตัวเองจดจ่ออยู่แต่กับงานที่มีความสำคัญที่สุด คำถามแรกคือ “อะไรคืองานที่มีค่ามากที่สุดสำหรับฉัน”  ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คืออะไรคือกบตัวใหญ่ที่สุดที่คุณต้องกินเพื่อให้เกิดประโยชน์กับคุณมากที่สุด คำถามที่สองก็คือ “อะไรคืองานที่ถ้าทำแล้วจะเป็นการใช้เวลาของฉันอย่างคุ้มค่าที่สุดในตอนนี้” หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ “กบตัวไหนตัวใหญ่ที่สุดในตอนนี้” นี่คือคำถามที่เป็นหัวใจของการบริหารเวลาการตอบคำถามข้อนี้ให้ถูกต้องถือเป็นกุญแจดอกสำคัญในการเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่งและเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่เปี่ยมประสิทธิภาพมากขึ้น

  1. จับตามองทีละหลักกิโลเมตร

มีภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า “เก้าใหญ่ๆ แสนเข็ญ ก้าวเล็กๆ เย็นใจ” เมื่อต้องเรียนวิชาหรือทำงานที่คุณแทบไม่มีความสนใจเลย  หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับเรื่องนี้ก็คือ  การเลิกกังวลกับงานที่แสนยากอยู่ตรงหน้า แล้วพุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังสิ่งที่คุณสามารถทำได้ทีละอย่าง

เล่าจื้อเขียนไว้ว่า “หนทางไกลนับหมื่นลี้เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ” นี่คือกลยุทธ์ที่รำเลิศในการเอาชนะนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง และช่วยให้คุณทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่สั้นลง

ในทำนองเดียวกัน คุณสามารถทำแม้กระทั่งงานที่ไม่น่าสนุกที่สุดให้สำเร็จได้ด้วยการฝึกตัวเองให้ทำไปทีละขั้นตอน หน้าที่ของคุณคือการไปให้ไกลที่สุดเท่าที่คุณจะมองเห็น เมื่อไปถึงจุดนั้นแล้วคุณย่อมมองเห็นมากพอที่จะเดินทางต่อไปได้เอง

ในการทำงานยากๆ ให้สำเร็จคุณต้องก้าวออกไปอย่างมั่นใจและเปี่ยมด้วยศรัทธา คุณต้องเชื่อมั่นว่าเมื่อก้าวเท้าออกไปแล้วเดี๋ยวก็รู้เองว่าก้าวถัดไปควรมุ่งไปในทิศทางไหน

เทคนิคนี้อาจฟังดูคล้ายกับเทคนิคแล่แฮมในบทที่ 8 อย่างไรก็ตาม ทั้งสองเทคนิคมีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ข้อหนึ่ง เทคนิคแล่แฮมเป็นเทคนิคบริหารเวลาซึ่งคุณวางแผนทั้งหมดไว้ล่วงหน้าโดยรู้ทุกขั้นตอนที่ต้องทำเพื่อให้งานสำเร็จ แต่คุณทำไปทีละขั้นตอน ส่วนเทคนิคหลักกิโลเมตรเป็นเทคนิคสร้างแรงจูงใจซึ่งมีประโยชน์ในกรณีที่คุณมีงานชิ้นใหญ่มากเสียจนไม่รู้ว่ามันจะสิ้นสุดลงที่ไหน เทคนิคหลักกิโลเมตรสามารถให้คุณเริ่มต้นลงมือทำได้แม้กระทั่งในยามที่วางแผนอะไรล่วงหน้าไม่ได้เลย

คุณสามารถเอาชนะนิสัยผัดวันประกันพรุ่งและทำเรื่องน่าอัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้โดยการเริ่มก้าวเท้าออกไป พุ่งตรงไปสู่เป้าหมายที่คุณตั้งไว้ แล้วทำไปทีละขั้นตอนจนกว่าจะสำเร็จ

  1. กระตุ้นตัวเองให้ลงมือทำ

ในการดึงศักยภาพออกมาใช้ให้ได้อย่างเต็มที่นั้น คุณต้องคอยทำหน้าที่เป็นกองเชียร์ของตนเอง โดยหมั่นกระตุ้นตัวเองให้ทำผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดออกมา นี่มันเรื่องจริง โดยเฉพาะสำหรับงานที่คุณแม่รู้สึกตื่นเต้นหรือหลงใหลไปกับมัน

เพื่อให้ตัวเองมีแรงจุงใจอยู่ตลอดเวลา คุณต้องตั้งปณิธานว่าจะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี คุณต้องตกลงใจว่าจะตอบสนองต่อคำพูดการกระทำ และปฏิกิริยาของผู้คนรวมถึงสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวในทางบวก

มาร์ติน  เซลิกแมน  จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สรุปผลการวิจัยที่ใช้เวลานานถึง 22 ปี ไว้ในหนังสือ Learned Optimism เขาเผยว่าการมองโลกในแง่ดีเป็นคุณสมบัติสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้คนเรามีความสุข รวมถึงประสบความสำเร็จทั้งในชีวิตส่วนตัวและชีวิตทำงาน เพราะดูเหมือนว่าคนที่มองโลกในแง่ดีจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าคนอื่นอื่นเกือบทุกด้าน เซลิกแมนพบว่าคนที่มองโลกในแง่ดีจะมีพฤติกรรมพิเศษ 4 อย่างซึ่งล้วนแล้วแต่เรียนรู้มาจากการฝึกฝนและการทำซ้ำๆ

อย่างแรกเลยก็คือ พวกเขามองหาแง่มุมดีๆในทุกสถานการณ์ไม่ว่าปัญหาจะเร็วร้ายมากแค่ไหน

อย่างที่สอง คนที่มองโลกในแง่ดีมองหาบทเรียนล้ำค่าจากทุกๆ ปัญหาหรือความล้มเหลว พวกเขาเชื่อว่า “ความล้มเหลวไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อขัดขวาง แต่เพื่อชี้ทางให้เราต่างหาก”

อย่างที่สาม คนที่มองโลกในแง่ดีมองหาทางออกของทุกๆ ปัญหา แทนที่จะพร่ำบ่นหรือโยนความผิดเมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปดังหวัง พวกเขามักมุ่งเน้นที่การลงมือทำ โดยจะถามในทำนองที่ว่าทางออกคืออะไรตอนนี้เราทำอะไรได้บ้าง

อย่างสุดท้าย คนที่มองโลกในแง่ดีคิดและพูดถึงเป้าหมายของตัวเองเสมอ พวกเขาคิดถึงสิ่งที่ต้องการและวิธีการที่จะได้มันมา คนที่มองโลกในแง่ดีจะคิดและพูดถึงอนาคตที่อยากไปให้ถึงมากกว่าอดีตที่ผ่านมา พวกเขามองไปข้างหน้าแทนที่จะมองย้อนหลังกลับ

เมื่อคุณนึกถึงภาพเป้าหมายและความฝันของคุณอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งฝึกพูดกับตัวเองในแง่บวกแล้ว คุณจะรู้สึกมีสมาธิและกระตือรือร้นมากขึ้น คุณจะมีความมั่นใจและมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น แม้ในยามที่คุณต้องทำงานที่ไม่ชอบหรือมองไม่เห็นประโยชน์ทัศนคติในแง่บวกจะสร้างแรงจูงใจให้คุณทำงานที่จำเป็นเหล่านั้นได้

  1. แน่วแน่กับงานทุกอย่างที่ทำ

เราสามารถสรุปการวางแผน การจัดลำดับความสำคัญ และการจัดระบบทั้งหลายให้เหลือแค่ประโยคเดียวเท่านั้นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ทั้งมวลของมนุษยชาติล้วนเกิดจากการมุ่งมานะทำงานหนักเป็นเวลานาน ความสามารถของคุณในการเลือกงานที่สำคัญที่สุดออกมา แล้วลงมือทำอย่างมุ่งมั่นตั้งใจจนกว่าจะสำเร็จ จึงถือเป็นกุญแจสำคัญสู่การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความแน่วแน่กับการทำงานที่จะทำให้เกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มลงมือทำ แล้วยังคงทำต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่วอกแวกหรือออกนอกลู่นอกทางจนกว่างานนั้นจะเสร็จสมบูรณ์ คุณควรกระตุ้นตัวเองตลอดเวลาด้วยการพูดเตือนซ้ำๆ ว่า “กลับไปทำงาน” เมื่อไหร่ก็ตามที่มีแนวโน้มว่าจะวางมือหรือหันไปทำอย่างอื่น

มีการประเมินกันว่า นิสัยทำๆ หยุดๆ อาจยืดระยะเวลาในการทำงานออกไปมากกว่า 500% เมื่อเทียบกับเวลาที่ควรจะใช้จริงๆ เพราะทุกครั้งที่คุณกลับไปทำงานที่ค้างอยู่คุณต้องตั้งต้นใหม่และใช้เวลาปรับตัว

แต่เมื่อคุณเตรียมพร้อมทุกอย่างและลงมือทำให้เสร็จโดยไม่หยุดพัก นั่นเท่ากับว่าคุณได้สร้างพลัง ความกระตือรือร้นและแรงจูงใจขึ้นมา ส่งผลให้คุณทำงานได้ดีขึ้น มากขึ้น เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความจริงมีอยู่ว่า เมื่อคุณตัดสินใจเลือกงานที่สำคัญที่สุดแล้ว การทำงานอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นย่อมถือเป็นการผ่านเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ยิ่งคุณสร้างวินัยให้ตัวเองทำงานแบบต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักได้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งเข้าใกล้ “จุดสูงสุดของเส้นกราฟแห่งประสิทธิภาพ” มากขึ้นเท่านั้น   อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่คุณหยุดทำงานนั้นเท่ากับว่าคุณตัดวงจรการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทิ้งไป แล้วถอยกลับไปยังจุดที่ต่ำกว่าของเส้นกราฟแห่งประสิทธิภาพ นั้นงานจะยากขึ้นและกินเวลามากกว่าเดิม

“การมีวินัยในตวเอง” หมายถึง “ความสามารถในการบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ควรทำในเวลาที่สมควร ไม่ว่าคุณจะอยากทำมันหรือไม่ก็ตาม” เนื่องจากความสำเร็จไม่ว่าในด้านใดก็ตามล้วนต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างจริงจัง การมีวินัยในตัวเองและการควบคุมตัวเองจึงเป็นลักษณะนิสัยพื้นฐานของคนที่ประสบความสำเร็จ

การลงมือทำงานสำคัญและเพียรพยายามทำต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์ถือเป็นบททดสอบความเข้มแข็ง ความตั้งใจจริง และความแน่วแน่ของคุณ ซึ่งการเพียรพยายามก็คือการฝึกตัวเองให้มีวินัยนั่นเอง การจดจ่อกับงานที่สำคัญที่สุดอย่างแน่วแน่จนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เท่ากับว่าคุณได้พัฒนาและหล่อลอมลักษณะนิสัยดีๆ ขึ้นมาแล้วและคุณจะกลายเป็นคนที่เหนือชั้นกว่าเดิมมากขึ้นคุณอาจจะรู้สึกแข็งแกร่งมากขึ้น เก่งมากขึ้น มั่นใจมากขึ้น และมีความสุขมากขึ้น

สุดท้ายคุณจะรู้สึกว่าตัวเองสามารถตั้งเป้าหมายใดๆ ก็ตามและทำให้สำเร็จได้ และกุญแจสำคัญสำหรับทุกอย่างที่กล่าวมาก็คือ การระบุงานที่มีคุณค่าและมีความสำคัญมากที่สุดที่คุณสามารถทำได้ในแต่ละชั่วขณะออกมา แล้วก็กินกบตัวนั้นซะ!!

ส่วนที่ 4

สร้างแรงกดดันเพื่อบรรลุผลสำเร็จ

  1. สร้างสำนึกแห่งความเร่งด่วน

คุณสมบัติที่น่าจะสังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดในตัวผู้ประสบความสำเร็จอย่างสูงก็คือ การมุ่งเน้นที่การลงมือทำพวกเขาจะรีบทำงานสำคัญสำคัญให้เสร็จเสมอ คนที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจะใช้เวลาคิด วางแผน และจัดลำดับความสำคัญของงานจากนั้นจะลงมือทำอย่างรวดเร็วด้วยความแข็งขันไปตามจุดประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้

เมื่อคุณทำงานสำคัญที่สุดอย่างจดจ่อและต่อเนื่อง คุณจะเข้าสู่ “สภาวะลื่นไหล” เราทุกคนต่างเคยสัมผัสมันมาแล้วมากบ้างน้อยบ้าง แต่ประเด็นคือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจะพาตัวเองเข้าสู่สภาวะดังกล่าวได้บ่อยกว่าคนทั่วไป เมื่อคุณอยู่ในสภาวะลื่นไหลคุณจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในสภาวะลื่นไหล คุณจะสร้างผลงานด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถ และความเฉียบคมในระดับที่สูงกว่าช่วงเวลาปกติ

อีกวิธีหนึ่งที่จะกระตุ้นสภาวะลื่นไหลขึ้นมาได้ก็คือ การสร้างสำนึกแห่งความเร่งด่วน ซึ่งเป็นแรงผักดันจากภายใน…เป็นความปรารถนาที่จะเริ่มลงมือทำงานโดยด่วนที่สุดและทำให้เสร็จลุล่วงโดยเร็วที่สุด ดังนั้น สำนึกแห่งความเร่งด่วนจึงเปรียบเสมือนการแข่งขันกับตัวเองนั่นเอง  เมื่อมีสำนึกแห่งความเร่งด่วนฝังอยู่ในความคิดแล้วคุณย่อมมี “ความโน้มเอี่ยงที่จะลงมือทำ” คุณจะไม่ได้เอาแต่พูด แต่คุณจะพุ่งเป้าไปยังขั้นตอนต่างๆ ที่สามารถทำได้ทันทีแล้วจดจ่ออยู่กับมันจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการและบรรลุเป้าหมายดังที่ปรารถนา

เมื่อคุณลงมือทำอย่างต่อเนื่องเพื่อไปถึงเป้าหมายที่สำคัญที่สุดแล้ว นั่นเท่ากับว่าคุณได้กระตุ้นให้เกิดแรงเหวี่ยงขึ้นมาแล้ว ซึ่งเป็นไปตามหลักการแห่งความสำเร็จที่ระบุไว้

ข่าวดีก็คือ เมื่อคุณทำงานอย่างรวดเร็วพลังในตัวคุณจะพุ่งสูงขึ้น คุณจะทำงานต่างๆ เสร็จมากขึ้นและรู้สึกว่าตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น เรียนรู้ได้มากขึ้น และยิ่งคุณทำงานเสร็จเร็วมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งรู้สึกดีกับตัวเอง ภูมิใจในตัวเอง และนับถือตัวเองมากขึ้นเท่านั้น คุณจะรู้สึกว่าสามารถควบคุมชีวิตของคุณได้แบบเบ็ดเสร็จ

  1. สร้างแรงกดดันให้ตัวเอง

จงมองตัวเองในฐานะบุคคลต้นแบบของผู้อื่น ตั้งมาตรฐานให้สูงเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานหรือพฤติกรรมก็ตาม จงตั้งมาตรฐานให้สูงกว่ามาตรฐานที่คนอื่นจะตั้งให้คุณ

การกำหนดเส้นตาย เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ให้ทำเสมือนว่าคุณมีเวลาแค่วันเดียวในการทำงานชิ้นสำคัญที่สุดให้เสร็จ

อีกวิธีหนึ่งในการสร้างแรงกดดันให้ตัวเองคือ การจินตนาการว่าคุณได้รับรางวัลเป็นตั๋วเดินทางไปพักผ่อนที่รีสอร์ทสุดหรูไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรเลย แต่คุณต้องออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า ไม่อย่างนั้นสิทธิพิเศษดังกล่าวจะตกเป็นของผู้โชคดีคนอื่นทันที เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสิ่งใดที่คุณมุ่งมั่นที่จะทำให้เสร็จก่อนออกเดินทาง ไม่ว่าคำตอบของคุณจะเป็นอะไร เริ่มต้นทำมันเดี๋ยวนี้เลย

คนที่ประสบความสำเร็จมักสร้างแรงกดดันให้ตัวเองตลอด เพื่อที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ส่วนคนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักต้องรอคนอื่นมาสร้างและสร้างแรงกดดันให้เสมอ

เมื่อคุณสร้างแรงกดดันให้ตัวเอง คุณจะทำงานเสร็จมากขึ้นและดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุณจะกลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูง และทำผลงานได้ยอดเยี่ยม คุณจะเริ่มรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้นและจะค่อยๆ สร้างนิสัยในการทำงานให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่ติดตัวคุณไปตลอดชีวิต

  1. เรียนรู้วิธีเรียนรู้

นับตั้งแต่วันที่คุณก้าวเข้ามาในโรงเรียนเป็นครั้งแรก ครูของคุณก็ได้ทำสองสิ่ง นั้นคือ สอนสิ่งที่คุณควรได้เรียนรู้ แต่แน่นอนว่าขณะเดียวกันพวกเขาก็สอนให้คุณเรียนรู้วิธีเรียนรู้ด้วย นี่เป็นทักษะสำคัญที่สุดที่โรงเรียนสอนคุณเลยก็ว่าได้

สาเหตุหลักของการผัดวันประกันพรุ่งก็คือ ความรู้สึกไม่มั่นใจว่าตัวเองสามารถทำงานสำคัญออกมาได้ดี แค่มีความรู้สึกเช่นนี้กับด้านใดด้านหนึ่งของงานก็เพียงพอแล้วที่จะบั่นทอนกำลังใจในการเริ่มต้น แต่ในทางกลับกัน ยิ่งคุณทำงานประเภทใดประเภทหนึ่งได้อย่างมั่นใจมากเท่าไหร่ คุณยิ่งมีแนวโน้มที่จะกระโจนเข้าไปทำลงมือทำทันทีเพื่อให้งานเสร็จลุล่วงมากขึ้นเท่านั้น

หากคุณพัฒนาความเร็วและประสิทธิภาพในการเรียนรู้ของคุณอย่างต่อเนื่อง คุณก็จะสามารถสร้างความมั่นใจขึ้นได้โดยที่แทบไม่ต้องใช้ความพยายาม คุณจะเริ่มรู้สึกกระตือรือร้นที่จะมีพลังที่จำเป็นต้องใช้สำหรับลุยงาน

นอกเหนือจากวิธีเรียนรู้แล้ว คุณยังสามารถพัฒนาทักษะสำคัญอื่นๆ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ได้ด้วย ยิ่งทักษะสำคัญพัฒนาขึ้นมาเท่าไหร่ คุณยิ่งมีแรงจูงใจที่จะเริ่มต้นใช้มันมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคุณทำได้ดี คุณจะยิ่งรู้สึกกระตือรือร้นและมีพลัง เมื่อรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี คุณก็จะพบว่ามันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะเอาชนะการผัดวันประกันพรุ่ง รวมถึงทำงานเสร็จเร็วขึ้นและดีขึ้นด้วย

อย่าปล่อยให้จุดอ่อนหรือความบกพร่องในด้านใดด้านหนึ่งก็ตามมาชุดรั้งคุณไว้ เพราะไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งนั้น คนอื่นเรียนรู้สิ่งไหนได้คุณก็เรียนรู้สิ่งนั้นได้

ข่าวดีก็คือ คุณสามารถเรียนรู้ทักษะใดก็ได้ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้ตัวเองมีประสิทธิภาพมากขึ้น ยิ่งคุณเรียนรู้มาก คุณก็ยิ่งต่อยอดความรู้ของคุณได้มาก คุณสามารถเพิ่มพลังสมองด้วยการออกกำลังสมองแบบเดียวกับที่คุณเพิ่มกล้ามเนื้อให้กับร่างกายด้วยการออกกำลังกายนั่นเองแหละ และที่สำคัญไม่มีขีดจำกัดว่าคุณจะพัฒนาสมองได้มากหรือเร็วเพียงใดเว้นเสียแต่คุณจะสร้างขีดจำกัดนั้นขึ้นมาเอง

  1. มองหาข้อจำกัดของคุณ

ระหว่างจุดที่คุณอยู่ในปัจจุบันกับจุดหมายที่คุณต้องการไปให้ถึง คุณมักต้องก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดบางอย่างให้ได้ก่อนจะบรรลุเป้าหมายสำคัญที่ตั้งไว้ หน้าที่ของคุณคือการระบุข้อจำกัดดังกล่าวออกมาให้ชัดเจน

สิ่งใดที่คอยฉุดรั้งคุณอยู่ อะไรที่เป็นตัวกำหนดว่าคุณจะบรรลุเป้าหมายได้เร็วหรือช้าแค่ไหน อะไรที่หยุดยังไม่ให้คุณกินกบตัวสำคัญทำไมคุณยังไปไม่ถึงเป้าหมายเลยเสียที คุณต้องคอยถามและหาคำตอบไปตลอดเส้นทางสู่ควมสำเร็จ

 

ในงานเกือบทุกอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จะมีข้อจำกัดหนึ่งอย่างที่เป็นตัวกำหนดว่าคุณจะมาดูเป้าหมายหรือทำงานสำเสร็จเร็วเพียงใด อะไรคือข้อจำกัดนั้น จงรวบรวมความคิดเพื่อหามันให้เจอ เพราะนี่อาจเป็นการใช้เวลาและความสามารถของคุณให้เกิดประโยชน์ที่สุดก็เป็นไปได้

คุณสามารถนำกฎ 80/20 มาประยุกต์ใช้ในชีวิตส่วนตัวและการเรียนได้เช่นกัน โดย 80% ของข้อจำกัดที่ฉุดรั้งคุณไม่ให้บรรลุเป้าหมายล้วนมาจากภายใน มันแฝงอยู่ในตัวคุณ…ซึ่งอาจแอบซ่อนอยู่ในคุณสมบัติ ความสามารถ นิสัย วินัย หรือศักยภาพของคุณ

มีข้อจำกัดเพียง 20% เท่านั้นที่มาจากภายนอก โดยอาจอยู่ในรูปของเวลาที่ใช้ในการทำงาน ความรับผิดชอบต่อครอบครัว และทรัพยากรทั้งหลาย บางครั้งข้อจำกัดสำคัญๆ ก็อาจเป็นเพียงแค่ประเด็นเล็กๆ ที่มองข้ามไปได้โดยง่าย คุณอาจจะต้องเขียนขั้นตอนการทำงานออกมาให้หมด แล้วค่อยๆ ทำไปทีละขั้นเพื่อค้นหาว่าอะไรกันแน่ที่คอยฉุดรั้งคุณไว้

คนที่ประสบความสำเร็จมักเริ่มมองหาข้อจำกัดด้วยการตั้งคำถามว่า “มีสิ่งใดในตัวฉันที่ชุดรั้งฉันไว้” พวกเขายืดอกรับผิดชอบชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ และสำรวจตัวเองเพื่อค้นหาสาเหตุและทางออกของปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ นี่เป็นแนวทางที่ทรงพลังที่สุดแล้ว สิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นจากภายในตัวคุณ ย่อมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงภายใต้อำนาจของคุณได้เช่นกัน

การระบุข้อจำกัดจะกำหนดวิธีการแก้ไขปัญหา แต่ถ้าคุณมองข้ามข้อจำกัดที่แท้จริงหรือระบุผิดไป คุณอาจจะถูกชักนำไปในทิศทางที่ผิด แล้วลงเอยด้วยการแก้ปัญหาในส่วนที่ไม่เป็นปัญหาก็ได้ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ หามันให้เจอและรวบรวมพลังเพื่อกำจัดมันทิ้งไปโดยไวที่สุด

  1. ให้ความสำคัญกับหน้าที่หลัก

ส่วนใหญ่หน้าที่หลักของครูในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจะแบ่งออกเป็น 5 ด้านด้วยกัน ซึ่งคุณต้องพยายามสร้างผลลัพธ์ให้ออกมาดีที่สุดเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการศึกษา หน้าที่หลักที่สำคัญที่สุดก็คือ การเรียน เกรดและผลคะแนนวิชาหลักของคุณควรเป็นความรับผิดชอบที่สำคัญสูงสุดของคุณเสมอ

ถึงแม้คุณจะทำหน้าที่หลักได้อย่างยอดเยี่ยมจาก 4 ใน 5 ด้าน แต่หน้าที่หลักเพียงด้านเดียวที่คุณทำได้อย่างย่ำแย่ก็จะเป็นตัวถ่วงความเจริญและเป็นตัวกำหนดว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้มากแค่ไหน จุดอ่อนนี้จะเป็นตัวฉุดประสิทธิภาพของคุณให้ต่ำลง แถมยังเป็นบอกเกิดแห่งความท้อแท้และความขับข้องใจอีกด้วย

สาเหตุหลักของการผัดวันประกันพรุ่งก็คือ ผู้คนมักเบือนหน้าหนีจากงานและกิจกรรมที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีเอาเสียเลย โดยแทนที่จะตั้งเป็นเป้าหมายและวางแผนพัฒนาตัวเอง  คนส่วนใหญ่กลับตั้งหน้าตั้งตาหลีกเลี่ยงลูกเดียว สถานการณ์จึงเลวร้ายไปกันใหญ่ ในทางกลับกัน ยิ่งคุณปรับปรุงทักษะในการทำงานด้านใดด้านหนึ่งให้ดีขึ้นมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งมีแรงจูงใจที่จะทำด้านนั้นเพิ่มขึ้น อีกทั้งคุณจะยิ่งผัดวันประกันพรุ่งน้อยลงและมุ่งมั่นมากขึ้นที่จะทำงานให้เสร็จด้วย

ความจริงก็คือ ทุกคนล้วนมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ดังนั้น อย่าอ้างเหตุผล หาข้อแก้ตัว หรือปกป้องจุดอ่อนของตัวเอง แต่ให้ระบุมันออกมาอย่างชัดเจน จากนั้นจึงตั้งเป้าหมายและวางแผนปรับปรุงสิ่งที่คุณยังบกพร่องอยู่

เครื่องมือการเรียนรู้อันทรงพลังชิ้นนี้ที่คุณควรจะสร้างก็คือ ความสามารถในการประเมินอย่างสม่ำเสมอว่าตัวเองเรียนรู้อะไรมากแค่ไหน ความสามารถดังกล่าวมีชื่อว่า “ความตระหนักรู้ในกระบวนการคิด” คือ มันจะกำจัดความล้มเหลวออกไปจนหมดสิ้น เมื่อคุณถามตัวเองว่า “ฉันรู้อะไรบ้าง ฉันไม่รู้อะไรบ้าง” คำตอบที่คุณได้รับก็ควรเป็น “ฉันยังไม่รู้” ไม่สำคัญว่าคุณจะรู้หรือไม่รู้อะไรตอนที่ถามคำถามดังกล่าว สิ่งสำคัญเป็นอย่างยิ่งก็คือ คุณยังไม่รู้ และการถามคำถามเหล่านี้ก็จะช่วยให้คุณมีโอกาสได้ระบุสิ่งที่คุณต้องการหาคำตอบได้ออกมา

ส่วนที่ 5

รับมือกับความเครียดและสาเหตุของความเครียดในเชิงรุก

  1. เตรียมการอย่างรอบคอบก่อนเริ่มงาน

วิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการเอาชนะนิสัยผัดวันประกันพรุ่งและความเครียดก็คือ การเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นไว้ให้พร้อมก่อนเริ่มงาน เมื่อเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่แล้วคุณก็เปรียบเสมือนพลแม่นปืนที่พร้อมลั่นไกล แค่มีอะไรเล็กๆ น้อยๆ มากระตุ้นความคิด คุณก็ลงมือทำงานสำคัญๆ แล้ว ถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายก็เหมือนการเตรียมทุกอย่างให้พร้อมสำหรับการปรุงอาหารมื้อใหญ่นั่นเอง คุณนำส่วนผสมทั้งหมดวางไว้หน้าเตา แล้วจึงค่อยเริ่มปรุงโดยใส่ส่วนผสมลงไปทีละอย่าง

คนที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดจะใช้เวลากับการสร้างพื้นที่ที่ทำให้พวกเขารู้สึกดีเวลาทำงาน ยิ่งพื้นที่ทำงานสะอาดและเป็นระเบียบก่อนเริ่มงานมากเท่าไหร่ คุณจะยิ่งเริ่มต้นและทำไปจนเสร็จได้ง่ายเท่านั้น เมื่อทุกสิ่งถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบตามลำดับแล้ว คุณก็จะมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ไหลลื่นมากขึ้น พื้นที่ทำงานที่โล่งและเป็นระเบียบจะกำจัดเสียงรบกวนที่อยู่ในหัวและความวิตกกังวลในใจของคุณ รวมถึงช่วยลดความเครียดได้อย่างมหาศาลที่คุณพยายามทำงาน ซ้อมดนตรี หรือสมัครงาน

เมื่อคุณนั่งลงและมีทุกอย่างพร้อมอยู่ตรงหน้า จากนั้นจึงค่อยหยิบงานชิ้นแรกขึ้นมาแล้วพูดกับตัวเองว่า “ลุยงานกันเลย” แล้วก็เริ่มลงมือทำจนเสร็จเรียบร้อย

  1. ใช้ประโยชน์จากพลังแห่งการจดจ่อ

การจดจ่อคือกุญแจสำคัญของการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ดึงดูดคุณได้ก็ทำให้คุณไขว้เขวได้เช่นกัน ความเย้ายวนใจของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเสียงรบกวนอื่นจะทำให้คุณเสียสมาธิ ใจลอย และไม่จดจ่อ ซึ่งนำไปสู่การทำไม่ได้ตามเป้าหมายและความล้มเหลวในที่สุด

งานวิจัยในปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การตอบอีเมล โทรศัพท์ ข้อความ และโปรแกรมสนทนาอย่างต่อเนื่องนั้นส่งผลเสียต่อสมอง มันจะทำให้คุณมีสมาธิสั้นลงและส่งผลให้คุณทำงานสำเร็จได้ยากขึ้น หรืออาจถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เล ยถึงแม้อนาคตและความสำเร็จของคุณจะขึ้นอยู่กับงานก็ตาม

คุณจำเป็นต้องมีคุณสมบัติสำคัญ 3 อย่างเพื่อสร้างให้นิสัยในการจดจ่อและมีสมาธิ ได้แก่ การตัดสินใจ การสร้างวินัย และความมุ่งมั่น หากคุณได้ยินเสียงแจ้งเตือนต่างๆ ของโทรศัพท์ ลองเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักหรือวางไว้ในห้องครัว ให้คุณลองตัดสินใจไม่เช็กการแจ้งเตือนใดๆ ก่อนเข้านอน เมื่อคุณตื่นข้น จงแน่ใจว่าคุณทำกิจกรรมอื่นๆ ไปแล้ว 2 – 3 อย่างก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์เพื่อมาเช็กการแจ้งเตือน

บางคนเชื่อว่าตนเองทำหลายสิ่งได้พร้อมกัน เช่น ตอบอีเมลไปพร้อมๆ กับทำการบ้าน แต่ในช่วงเวลาหนึ่งๆ เราสามารถจดจ่อได้กับสิ่งเดียวเท่านั้น จริงๆ แล้วสิ่งที่เราทำเป็นแค่ “การสับเปลี่ยนงาน” เท่านั้น นี่เป็นเหตุผลที่ในปัจจุบันคนทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน

วิธีแก้นั้นเรียบง่ายมาก ขั้นแรก อย่าเช็กข้อความแจ้งเตือนในตอนเช้า รวมถึงไม่แตะต้องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ด้วย ขั้นสอง ถ้าจำเป็นต้องเช็ก ก็ให้ทำอย่างรวดเร็ว ขั้นสุดท้าย ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเช็กโทรศัพท์มือถือในวันที่เรียนแค่วันละ 2 ครั้งเท่านั้น

  1. เทคโนโลยีเป็นเจ้านายที่ยอดแย่

มีใครบางคนบอกกับเราว่า สักวันในอนาคต เราจะเดินไปไหนมาไหนโดยสวมใส่ชุดพิเศษที่สามารถสื่อสารกับร่างกายและสภาพแวดล้อมของเราได้ โดยมองผ่านเลนที่พัฒนาโลกให้ดีขึ้นด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล เราอาจจะยังไปไม่ถึงจุดนั้นก็จริง แต่เทคโนโลยีก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรามากเสียจนมันอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก

ถึงแม้คุณจะสามารถด้านความต้องการไม่ให้ตัวเองดูโทรศัพท์มือถือบ่อยๆ ได้ คุณก็มีแนวโน้มที่จะทำงานบางส่วนหรือแม้กระทั่งงานส่วนใหญ่ของโรงเรียนด้วยอุปกรณ์ดิจิตอลประเภทใดประเภทหนึ่งอยู่ดี ด้วยเหตุนี้ วิธีตัดสินใจเลือกที่จะบริหารการใช้เทคโนโลยีของคุณจึงมีผลต่อประสิทธิภาพ การบรรลุผลสำเร็จ และความสำเร็จของคุณทั้งในโรงเรียนและการทำงานในอนาคตอย่างมหาศาล

ในการบริหารจัดการการแจ้งเตือนของคุณ ขั้นแรกที่สำคัญที่สุดของการบริหารจัดการเทคโนโลยีก็คือ การปิดการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของคุณให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทุกแอพพลิเคชั่นต้องขอความยินยอมจากคุณก่อนที่จะส่งแจ้งเตือนมาให้ คุณสามารถเข้าไปที่การตั้งค่าในโทรศัพท์ของคุณและปิดการแจ้งเตือนจากแอพพลิเคชั่นได้ อย่าปล่อยให้การแจ้งเตือนเข้ามาครอบงำ มันจะพยายามดึงดูดความสนใจจากคุณในทันที มันจะทำให้คุณเสียสมาธิจากงานใดที่กำลังทำอยู่ขณะนั้นได้

ตัดสินใจเลือกอย่างระมัดระวังว่าจะยอมให้แอพพลิเคชั่นไหนส่งการแจ้งเตือนให้กับคุณ ให้เลือกไม่กี่แอพพลิเคชั่นแล้วปิดการแจ้งเตือนอื่นๆ ที่เหลือในโทรศัพท์ แค่ทำสิ่งนี้ก็ประหยัดเวลาของคุณไปได้หลายชั่วโมงแล้วในแต่ละวัน

  1. เทคโนโลยีเป็นทาสรับใช้ที่ยอดเยี่ยม

ด้วยความพยายามอันไม่สิ้นสุดของเทคโนโลยีที่จะเรียกร้องความสนใจจากคุณ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อเครื่องมือดิจิตอลในฐานะผู้ที่ควบคุมมันแทนที่จะปล่อยให้มันควบคุมคุณ เทคโนโลยีก็จะทำให้ชีวิตคุณง่ายและราบรื่นขึ้น ไม่ใช่ยากลำบากและตึงเครียดมากขึ้น

เครื่องมือมากมายมีเทคโนโลยีเป็นพื้นฐาน คุณอาจจะใช้เพื่อติดตามตารางเวลา งานของคุณ หรืองานกลุ่ม แต่เครื่องมือแอพพลิเคชั่นก็เหมือนกับสิ่งอื่นๆ มันไม่ได้ดีไปกว่าการเขียนรายงานสิ่งที่ต้องทำด้วยปากกาและกระดาษ ไม่ว่าคุณจะเลือกติดตามรายการสิ่งที่ต้องทำและงานที่ได้รับมอบหมายด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลหรือกระดาษ สิ่งสำคัญก็คือการมีความสม่ำเสมอ

คุณอาจจะรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถตัดขาดจากเทคโนโลยีหรือปิดการแจ้งเตือนได้ คุณอาจจะเจอเรื่องที่จำเป็น หรือเรื่องฉุกเฉินได้ แต่คุณสามารถเลือกใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อติดต่อคนที่คุณอาจจะต้องติดต่อในกรณีฉุกเฉิน

นอกเหนือจากข้อมูลอันไร้ขีดจำกัดแล้ว อินเตอร์เน็ตยังให้คุณเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญได้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และยังเข้าถึงเครื่องมือการเรียนรู้ที่อาจนำเสนอวิธีการเรียนรู้ที่เข้ากับสไตล์ของคุณ หากคุณมีปัญหากับที่ได้รับ คุณสามารถเสาะหาควาช่วยเหลือจากโลกออนไลน์ได้

คุณมีอำนาจควบคุมการเรียนรู้มากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วต้องขอบคุณอินเตอร์เน็ต เคล็ดลับในการควบคุมการเรียนรู้ก็คือ ใช้ประโยชน์จากทุกสิ่งที่เทคโนโลยีนำเสนออย่างคุ้มค่าที่สุด แต่ไม่ปล่อยให้เทคโนโลยีเหล่านั้นมาครอบงำการใช้เวลาของคุณ คุณคือผู้ที่รับผิดชอบต่อการใช้เวลาเป็นของตัวเอง คุณคือผู้ตัดสินใจ ดังนั้น จงปฏิบัติต่อเทคโนโลยีเสมือนมันเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์แล้วคุณก็จะก้าวเดินอยู่บนเส้นทางสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้

  1. ฝึกผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์

นี่เป็นหนึ่งในเทคนิคเพิ่มประสิทธิภาพที่ดีอย่างยอดเยี่ยม มันอาจเปลี่ยนชีวิตของคุณไปเลยก็ได้ คุณอ่านไม่ผิดหรอกหากทำอย่างจงใจการผัดวันประกันพรุ่งก็กลายเป็นกลยุทธ์ที่ดีได้เลย

ความจริงประการหนึ่งคือ เราไม่สามารถทำงานทุกอย่างที่ต้องทำไปทั้งหมด เราจำเป็นต้องผัดผ่อนงานบางอย่างออกไป ดังนั้น ขอให้จงใจและตั้งใจผัดผ่อนงานเล็กๆ น้อยๆ ผัดผ่อนการกินกบตัวจ้อยและกบที่ไม่ค่อยอัปลักษณ์ออกไปก่อน แล้วเลือกกลิ่นตัวที่น่าขยะแขยงที่สุดเป็นอันดับแรก

ความลับที่จะบอกคุณข้อหนึ่งคือ ไม่ว่าใครๆก็ผัดวันประกันพรุ่งกันทั้งนั้น แต่คนที่มีประสิทธิภาพสูงแตกต่างจากคนที่มีประสิทธิภาพต่ำตรงสิ่งที่พวกเขาเลือกจะผัดผ่อนออกไปนั่นเอง เนื่องจากต้องผัดวันประกันพรุ่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จงเลือกผัดผ่อนงานที่ไม่ได้สำคัญและไม่ได้ส่งผลอะไรต่อชีวิตของคุณมากนัก หรืออาจจะกำจัดมันทิ้งไปเลยก็ได้

ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่การจัดลำดับความสำคัญ คุณจะต้องรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญมาก อะไรคือสิ่งที่สำคัญน้อย คุณต้องแบ่งเวลาและทำสิ่งที่สำคัญมากให้เสร็จเร็วที่สุด ส่วนสิ่งที่สำคัญน้อยก็คืองานที่คุณควรให้น้อยเข้าไว้และทำภายหลัง แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือไม่ต้องทำเลย

คนส่วนใหญ่ผัดวันประกันพรุ่งโดยไม่รู้ตัว พวกเขาผัดวันประกันพรุ่งโดยไม่ได้ใช้สมองประมวลผลเลย ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ พวกเขาผัดผ่อนงานที่ทั้งใหญ่ สำคัญ และมีค่าออกไปทั้งๆ ที่มันจะส่งผลกระทบในระยะยาวต่อตัวเอง คุณจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุทำนองนี้เกิดขึ้น

เริ่มต้นผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์ตั้งแต่วันนี้ พยายามแยกแยะว่างานใดที่มีความสำคัญน้อยและงานใดที่มีความสำคัญมากอยู่เสมอ เพียงเท่านี้คุณก็บริหารเวลาและครอบคลุมชีวิตของตัวเองได้แล้ว

สั่งซื้อหนังสือ “กินกบตัวนั้นซะ!” ได้ที่นี่ : คลิ๊ก