Aggregate Demand (AD) หมายถึง อุปสงค์รวมของสินค้าและบริการทั้งหมดในระบบเศรษฐกิจ ณ ระดับราคาต่างๆ ประกอบด้วยการบริโภคของภาคครัวเรือน การลงทุนของภาคธุรกิจ การใช้จ่ายของภาครัฐ และการส่งออกสุทธิ ส่วน Aggregate Supply (AS) หมายถึง อุปทานรวมหรือความสามารถในการผลิตสินค้าและบริการทั้งหมดของระบบเศรษฐกิจ ณ ระดับราคาต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยการผลิต เทคโนโลยี และประสิทธิภาพการผลิต

การเปลี่ยนแปลงของ Aggregate Demand และ Aggregate Supply ในระบบเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในระยะสั้นและวัฏจักรธุรกิจ โดยทั่วไประบบเศรษฐกิจจะเริ่มต้นที่ดุลยภาพระยะยาวที่ระดับการจ้างงานเต็มที่ ซึ่งเป็นจุดที่เส้น Aggregate Demand ตัดกับเส้น Long-run Aggregate Supply (LRAS)

การเปลี่ยนแปลงของ Aggregate Demand

เมื่อเกิดการลดลงของ Aggregate Demand ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจาก:

  • การลดลงของอัตราการเติบโตของปริมาณเงิน
  • การเพิ่มขึ้นของภาษี
  • การลดลงของการใช้จ่ายภาครัฐ
  • การลดลงของราคาหุ้นและราคาที่อยู่อาศัย
  • การลดลงของความคาดหวังต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคตของผู้บริโภคและธุรกิจ

ผลที่เกิดขึ้นคือ Real GDP และระดับราคาจะลดลงในระยะสั้น ทำให้เกิดช่องว่างเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจาก Real GDP อยู่ต่ำกว่าระดับการจ้างงานเต็มที่ นักเศรษฐศาสตร์มีมุมมองที่แตกต่างกันในการแก้ปัญหานี้:

  • นักเศรษฐศาสตร์สไตล์คลาสสิกเชื่อว่า การว่างงานจะทำให้ค่าจ้างลดลงเนื่องจากการแข่งขันหางาน ซึ่งจะทำให้เส้น Short-run Aggregate Supply (SRAS) เคลื่อนที่และเศรษฐกิจกลับสู่ระดับการจ้างงานเต็มที่โดยอัตโนมัติ
  • นักเศรษฐศาสตร์สไตล์ Keynesian เชื่อว่ากระบวนการปรับตัวดังกล่าวจะใช้เวลานาน จึงสนับสนุนให้ใช้นโยบายการคลังและการเงินแบบขยายตัวเพื่อเพิ่ม Aggregate Demand

ในทางตรงกันข้าม หาก Aggregate Demand เพิ่มขึ้น จะทำให้เกิดช่องว่างเงินเฟ้อ โดย Real GDP จะสูงกว่าระดับการจ้างงานเต็มที่ในระยะสั้น เนื่องจากการทำงานล่วงเวลาและการชะลอการซ่อมบำรุงอุปกรณ์การผลิต อย่างไรก็ตาม ระดับผลผลิตที่สูงกว่าการจ้างงานเต็มที่ไม่สามารถคงอยู่ได้ในระยะยาว

การเปลี่ยนแปลงของ Aggregate Supply

การเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างหรือราคาปัจจัยการผลิตสำคัญสามารถทำให้เส้น SRAS เคลื่อนที่ได้ กรณีที่สำคัญคือการเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบหรือพลังงาน ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยพร้อมเงินเฟ้อ (Stagflation) โดย:

  • Real GDP จะลดลงต่ำกว่าระดับการจ้างงานเต็มที่
  • ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมจะสูงขึ้น

ภาวะ Stagflation เป็นความท้าทายสำหรับผู้กำหนดนโยบาย เพราะ:

  • การใช้นโยบายเพิ่ม Aggregate Demand เพื่อแก้ปัญหาการว่างงานจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น
  • การใช้นโยบายลด Aggregate Demand เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อจะยิ่งทำให้ Real GDP ลดลง
  • การรอให้ค่าจ้างและราคาปัจจัยการผลิตปรับตัวลดลงเองอาจใช้เวลานานและมีความเสี่ยงทางการเมือง

สรุปผลกระทบในระยะสั้น

การเปลี่ยนแปลงของ Aggregate Demand และ Aggregate Supply ส่งผลต่อตัวแปรทางเศรษฐกิจที่สำคัญดังนี้:

  1. การเพิ่มขึ้นของ Aggregate Demand:
    • Real GDP เพิ่มขึ้น
    • การว่างงานลดลง
    • ระดับราคาเพิ่มขึ้น
  2. การลดลงของ Aggregate Demand:
    • Real GDP ลดลง
    • การว่างงานเพิ่มขึ้น
    • ระดับราคาลดลง
  3. การเพิ่มขึ้นของ Aggregate Supply:
    • Real GDP เพิ่มขึ้น
    • การว่างงานลดลง
    • ระดับราคาลดลง
  4. การลดลงของ Aggregate Supply:
    • Real GDP ลดลง
    • การว่างงานเพิ่มขึ้น
    • ระดับราคาเพิ่มขึ้น

สรุป

ความเข้าใจในกลไกเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจที่เหมาะสม โดยต้องพิจารณาทั้งผลกระทบระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงข้อจำกัดและความท้าทายในการดำเนินนโยบายแต่ละประเภท