แค่ใช้คำเป็นให้เป็น

สรุปหนังสือ แค่ใช้คำเป็นให้เป็น พูดไม่ต้องเก่งก็พลิกสถานการณ์ได้

คนที่พูดเก่งกว่าใช่ว่าจะได้เปรียบเสมอไป แค่ใช้คำให้ต่างออกไป ชีวิตก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นจริง ๆ เทคนิคการใช้คำเวลาที่ถูกถามว่า A หรือ B  คนเรามักจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งโดยอัตโนมัติ ดังนั้น เคล็ดลับที่จะทำให้อีกฝ่ายตอบตกลงคือ การเตรียมตัวเลือก 2 อย่างให้ได้ผลลัพธ์เหมือนกันเอาไว้ เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะเลือกอย่างไหนก็เข้าทางแล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือเพียงแค่รู้วิธีการใช้คำ ไม่ว่าใครก็ทำให้อีกฝ่ายตอบตกลงได้ การใช้คำเป็นสิ่งที่เรียนรู้กันได้ แต่คนทั่วไปมักจะคิดว่ามันเป็นพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ความจริงมันมีสูตรสำเร็จเหมือนสูตรอาหารเลย ผู้อ่านสามารถหยิบนำไปใช้งานได้จริง ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อให้ผู้อ่านนึกภาพตามได้ จึงนำเสนอตัวอย่างจากประสบการณ์จริง ของคนที่พลิกสถานการณ์ยากลำบากแบบหน้ามือเป็นหลังมือได้ด้วยเทคนิคการใช้คำ พร้อมทั้งสรุปประเด็นสำคัญให้นำไปปรับใช้กับชีวิตจริงได้อย่างง่ายดาย

สูตรสำเร็จในหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนสูตรอาหาร เมื่อเปิดเผยขั้นตอนการทำอาหารอย่างหมดเปลือก ขอแค่ทำตามขั้นตอนเท่านั้นถึงจะทำอาหารให้มีรสชาติเดียวกับเชฟมืออาชีพไม่ได้ในทันที แต่รับรองว่าหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ จะสามารถทำอาหารที่มีรสชาติถูกปากคนในครอบครัว และมีเทคนิคเป็นของตัวเองได้อย่างแน่นอน โดยคุณ ซาซากิ เคอิจิ ที่มีอาชีพเป็น นักแต่งเพลง และอาจารย์พิเศษของมหาวิทยาลัยโซเฟีย ในช่วงเริ่มแรกที่เขาทำงานในตำแหน่งก็อปปี้ไร้เตอร์ เขาต้องเป็นทุกข์เพราะเป็นคนใช้คำไม่เก่ง ส่งผลให้เครียดจนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 15%  ในเวลาแค่ปีเดียว แต่ในวันหนึ่งเขาได้ค้นพบเทคนิคการใช้คำ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชีวิตของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

บทที่ 1 เทคนิคเปลี่ยนการปฏิเสธ

ให้เป็นการตอบตกลงที่นำไปใช้ได้ 100%

ถ้าเรียนรู้วิธีการใช้คำจากประสบการณ์จริงมาก ๆ เข้าก็จะใช้คำได้อย่างเป็นธรรมชาติไปเอง คนที่ทำงานเก่งทุกคนล้วนเลือกใช้คำอย่างชาญฉลาด คนเราไม่สามารถทำอะไรได้โดยลำพัง จึงต้องรู้จักเลือกใช้คำในแบบที่โน้มน้าวให้อีกฝ่ายอยากช่วยเหลือ ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าการเลือกใช้คำเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่รู้ว่าจะเรียนรู้อย่างไรดี และยังเชื่ออีกว่าทักษะการใช้คำเป็นความสามารถเฉพาะบุคคล หรือเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด หมดห่วงเรื่องนั้นไปได้เลย เพียงแค่รู้เทคนิคไม่ว่าใครก็ใช้คำเก่งได้ คนที่ทำงานเก่ง ๆ จะใช้เทคนิคเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เพิ่มโอกาสตอบตกลงให้มากขึ้น 20-30เปอร์เซ็นต์ ถึงจะเปลี่ยนให้อีกฝ่ายตอบตกลงทุกเรื่องไม่ได้ แต่ก็ช่วยเพิ่มโอกาสตอบตกลงให้มากขึ้นได้ หากเรียนรู้เทคนิคการใช้คำ และหมั่นนำไปใช้อยู่เรื่อย ๆ โอกาสตอบตกลงจะเพิ่มพูนขึ้น แล้วชีวิตจะก้าวหน้ามากขึ้นไปอีก โดยเฉลี่ยแล้วคนเราจะพูดขอร้องคนอื่นวันละ 22 ครั้ง บางครั้งคำตอบที่ได้รับก็เป็นการตอบตกลง บางครั้งก็เป็นการปฏิเสธ แล้วถ้าทำให้อีกฝ่ายเปลี่ยนจากการปฏิเสธ เป็นตอบตกลงได้อย่างน้อยวันละครั้ง คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น แน่นอนว่าถ้าทำแค่วันเดียวก็คงไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ถ้าทำต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี ก็จะเปลี่ยนคำตอบของอีกฝ่ายได้ถึง 365 ครั้ง ถ้าเปลี่ยนการปฏิเสธให้เป็นการตอบตกลงได้ถึง 1,000 ครั้ง แล้วชีวิตจะเปลี่ยนไปแค่ไหน

เรียนรู้การใช้คำจากประสบการณ์จริงเป็นประจำ ให้เหมือนกับการอาบน้ำ การได้พบเจอเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับการใช้คำเป็นจำนวนมาก จะทำให้มีทักษะการใช้คำติดตัว ขอให้ตั้งใจอ่านแล้วสังเกตวิธีการใช้คำ ทั้งก่อนและหลังใช้สูตรสำเร็จ เป้าหมายสูงสุดของหนังสือเล่มนี้คือ ช่วยให้มีทักษะการใช้คำติดตัว และสามารถนำไปใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ในช่วงแรกที่ฝึกทำอาจต้องทำไปพร้อมกับดูสูตรไปด้วย แต่พอทำไปหลาย ๆ ครั้งเข้าก็จะจำสูตรได้เอง ประเด็นสำคัญอยู่ที่ต้องทำหลาย ๆ ครั้งพูดง่าย ๆ ก็คือ ยิ่งได้พบเจอการเลือกใช้คำที่ยอดเยี่ยมบ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้มีทักษะการใช้คำติดตัวมากขึ้นเท่านั้น

เทคนิคเปลี่ยนการปฏิเสธให้เป็นการตอบตกลงมีอยู่ 3 ขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1 ไม่พูดตามที่ใจคิด แน่นอนว่าไม่อาจเลิกพูดตามที่ใจคิดได้ทุกเรื่อง แต่ในเวลาที่ต้องเอ่ยคำขอร้องครั้งสำคัญ ขอแค่ไม่พูดออกไปตรง ๆ ตามที่ใจคิดก็พอ

ขั้นตอนที่ 2 คาดเดาความคิดของอีกฝ่ายว่าคิดอย่างไรกับคำขอร้อง หรือปกติแล้วเขาน่าจะคิดอย่างไร ลองคาดเดาดูว่าอีกฝ่ายชอบอะไร ไม่ชอบอะไร หรือมีอุปนิสัยอย่างไร เพราะเรื่องเหล่านั้นจะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเปลี่ยนการปฏิเสธให้เป็นการตอบตกลงได้

ขั้นตอนที่ 3 ขอร้องในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ให้สร้างคำขอร้องที่เป็นประโยชน์ต่ออีกฝ่าย และเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง โดยใช้ความคิดของอีกฝ่ายเป็นพื้นฐาน สิ่งสำคัญในขั้นตอนนี้คือ การสร้างคำขอร้องจากบริบทที่อีกฝ่ายจะได้รับประโยชน์ จะต้องเปลี่ยนวิธีการใช้คำ แต่ถ้าผลลัพธ์เป็นไปตามที่ต้องการก็ถือว่าใช้ได้ เคล็ดลับการใช้คำจากประสบการณ์จริง แค่อ่านอย่างตั้งใจก็มีทักษะการใช้คำติดตัวแล้ว

เทคนิคที่ 1 สิ่งที่อีกฝ่ายชอบ เทคนิคนี้ทรงพลังที่สุด และเป็นวิธีการใช้คำที่พิชิตใจอีกฝ่ายได้อย่างอยู่หมัด หากพูดว่า “ขอโทษนะคะเสื้อแบบนี้เหลือแค่ตัวที่แขวนโชว์อยู่ค่ะ” เวลาไปซื้อเสื้อผ้าแล้วได้ยินพนักงานขายพูดแบบนี้ ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคงจะเป็น ของเหลือหรือนี่ หรือไม่ก็ต้อง ถูกคนมากมายลองสวมมาแล้วแน่ ๆ

แต่ถ้าพนักงานพูดว่า “เสื้อแบบนี้กำลังเป็นที่นิยมเลยเหลือตัวนี้เป็นตัวสุดท้ายค่ะ” พอได้ยินแบบนี้น่าจะรู้สึกว่า หากกำลังเป็นที่นิยมและก็ไม่ว่ายังไงก็อยากได้ หรือถ้าซื้อตอนนี้อย่างน้อยก็ยังทันตัวสุดท้าย

การพูดแบบนั้นจะเพิ่มโอกาสให้ลูกค้ายอมควักกระเป๋าจ่ายได้มากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ใจความสำคัญแทบไม่แตกต่างกันเลย จุดประสงค์ของพนักงานขายคือ อยากให้ลูกค้าซื้อสินค้า แต่ไม่ได้พูดไปตามที่ใจคิด สิ่งที่พนักงานขายทำคือคาดเดาความคิดของลูกค้า และพูดโดยคำนึงถึงสิ่งที่อีกฝ่ายชอบ ดังนั้นถ้าขอร้องโดยคำนึงถึงสิ่งที่อีกฝ่ายชอบ อีกฝ่ายก็จะตอบรับคำขอร้องด้วยความยินดี เพียงแค่สร้างคำขอร้องด้วยเทคนิคนี้ แล้วจะได้คำตอบรับตามที่ต้องการ

เทคนิคที่ 2 สิ่งที่อีกฝ่ายไม่ชอบ ไม้ตายขั้นสุดท้ายที่ทรงพลัง และใช้ได้ผลแม้แต่กับคนที่รับมือยาก มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ชอบการถูกออกคำสั่ง และมักจะแสดงพฤติกรรมต่อต้านเสียด้วย การสร้างคำขอร้องจากสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ชอบ เป็นการบอกให้อีกฝ่ายไม่ทำบางสิ่ง เพราะอาจส่งผลเสียซึ่งเขาอาจมองไม่เห็น เมื่อชี้ให้เห็นผลเสียเขาจะเกิดความรู้สึกไม่อยากทำ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าไม่ทำแล้วจะส่งผลดีกว่านั่นเอง แต่บางครั้งการใช้เทคนิคนี้ก็เป็นการบังคับฝืนใจ จึงควรเลือกใช้ตามสถานการณ์ อย่าใช้บ่อยจนเกินไป ตัวอย่างเช่น ห้ามจับเพราะลงน้ำยาเคลือบไว้ เป็นต้น

เทคนิคที่ 3 เลือกได้อย่างเสรี กุญแจสำคัญอยู่ที่การเตรียมตัวเลือกเอาไว้ 2 อย่าง ซึ่งไม่ว่าอีกฝ่ายจะเลือกอย่างไหนก็เข้าทางทั้งนั้น เมื่อมีตัวเลือกตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไป คนเรามักจะเลือกโดยไม่ทันคิด กุญแจสำคัญของการใช้เทคนิคเลือกได้อย่างเสรีคือ การเตรียมตัวเลือกต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสเลือก แต่ต้องเป็นตัวเลือกที่ไม่ว่าจะเลือกอย่างไหน ผลลัพธ์ก็ยังคงออกมาตามที่ต้องการ ตัวอย่างเช่น จะรับของหวานหรือชาดี เป็นต้น

เทคนิคที่ 4 อยากเป็นที่ยอมรับ เทคนิคที่ใช้ได้ผลดีกับคนในครอบครัวและการทำงาน อีกทั้งช่วยให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นด้วย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อยากได้รับการยอมรับ ในทางจิตวิทยาอธิบายไว้ว่า เวลาที่คนเราได้รับการคาดหวังในบางเรื่อง จะพยายามทำทุกวิถีทางให้สำเร็จ เพื่อให้ได้รับการยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นคนทำงาน แม่บ้าน นักศึกษา หรือผู้สูงอายุ หากได้รับการยอมรับจากคนอื่นแล้ว ก็จะเกิดความรู้สึกอยากทำตามความคาดหวังของคนคนนั้น แม้เรื่องที่ถูกขอร้องจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอยู่สักหน่อย แต่ก็จะรู้สึกกระตือรือร้นอยากช่วยเหลือ ตัวอย่างเช่น ถ้าไม่ได้คนตัวสูงอย่างคุณ คงเช็ดหน้าต่างไม่ถึงแน่เลย ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ เป็นต้น

เทคนิคที่ 5 พิเศษเฉพาะคุณ เมื่อคนเราได้ยินคำว่าพิเศษเฉพาะคุณ จะรู้สึกประทับใจจนยอมทำตามคำขอร้อง คำว่าคุณเท่านั้น หรือต้องเป็นคุณคนเดียว สื่อความหมายว่าคุณเป็นคนที่ได้รับเลือก นอกจากคุณแล้วจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้ และยิ่งระบุชื่อลงไปด้วย ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสสำเร็จได้อีกเป็นเท่าตัว คำพูดนั้นช่วยพลิกวิกฤตได้มันเป็นคำพูดที่สั่นสะเทือนความรู้สึกของคนฟังได้เป็นอย่างดี ถ้าใช้เทคนิคพิเศษเฉพาะคุณ อีกฝ่ายจะคล้อยตามในสิ่งที่พูด เพราะรู้สึกว่าตัวเองได้รับเลือกและสำคัญกว่าคนอื่น ตัวอย่าง ทางเราจะเปลี่ยนสินค้าให้โดยไม่คิดเงิน ถือเป็นสิทธิพิเศษเฉพาะคุณซาซากิที่เป็นลูกค้าประจำเท่านั้น เป็นต้น

เทคนิคที่ 6 ทำกันเป็นทีม คนเราชอบได้ยินคำว่าทำด้วยกันเป็นพิเศษ การชอบทำอะไรร่วมกับคนอื่นเป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งของมนุษย์ ถ้ารู้จักใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณนี้ อีกฝ่ายก็จะยอมทำตามที่ต้องการอย่างง่ายดาย แม้ว่าสิ่งที่ขอร้องนั้นจะเป็นเรื่องยุ่งยากแค่ไหนก็ตาม ตัวอย่าง การใช้เทคนิคทำกันเป็นทีม ตำรวจที่ทำหน้าที่อยู่ในวันที่ 4 มิถุนายน 2013 วันนั้นมีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ระหว่างทีมญี่ปุ่นกับออสเตรเลีย ผู้คนจึงมารวมตัวที่ห้าแยกชิบูย่ากันอย่างครึกครื้นเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้ บรรดาคนหนุ่มสาวที่ไปนั่งดื่มพร้อมกับเชียร์บอลไปด้วยจึงออกมาร่วมตัวกันที่ห้าแยกชิบูย่าด้วยความตื่นเต้นสุด ๆ ชิดะ ริวชุเกะ ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นจึงประกาศออกไปว่า ตำรวจก็เป็นเพื่อนร่วมทีมของทุกคน โปรดสนใจฟังเรื่องที่เพื่อนร่วมทีมพูดด้วยครับ

เทคนิคที่ 7 ขอบคุณ แค่พูดว่าขอบคุณอีกฝ่ายก็จะรู้สึกสนิทสนมมากขึ้น จนปฏิเสธคำขอร้องได้ยาก เคล็ดลับสำคัญอยู่ที่คำขอบคุณ เวลาที่คนเราได้รับคำขอบคุณจากใค รมักจะเกิดความไว้วางใจคน ๆ นั้นขึ้นมาเล็กน้อยทันที และปฏิเสธคำขอร้องได้ยาก ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องใส่ใจคือ จังหวะที่พูดขอบคุณออกไป ควรพูดหลังจากขอร้องอีกฝ่ายเสร็จ ปกติแล้วคนเราจะพูดขอบคุณหลังจากที่มีใครทำอะไรบางอย่างให้ แต่เคล็ดลับของเทคนิคนี้คือ หลังจากเอ่ยขอร้องออกไปให้พูดขอบคุณทันที ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธ ตัวอย่างเช่น ช่วยยกโต๊ะตัวนี้หน่อยสิ ขอบคุณนะ เป็นต้น

บทที่ 2 เทคนิคการสร้างคำทรงพลัง

ที่นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างยอดเยี่ยม

สูตรสำเร็จสำหรับสร้างคำที่จูงใจคน ไม่ต้องสื่อสารเก่งก็สร้างคำทรงพลังได้อย่างง่ายดาย การสร้างคำทรงพลังนั้นเหมือนกับการทำอาหาร เวลาที่กินอาหารแล้วรู้สึกประทับใจในความอร่อย ความอร่อยนั้นไม่ได้เกิดจากเวทมนต์ แต่เป็นเพราะอาหารแต่ละอย่างมีสูตรในการทำต่างหาก ถึงจะไม่สามารถรังสรรค์อาหารให้ออกมาเหมือนฝีมือเชฟโรงแรม 5 ดาวได้ แต่ถ้ารู้สูตรก็ปรุงรสอาหารให้มีรสชาติดีขึ้นได้แล้ว อาหารจานเดิม ๆ ก็จะกลายเป็นอาหารรสเลิศขึ้นมา การใช้คำก็มีสูตรสำเร็จเหมือนกับการทำอาหาร ในบทนี้จะได้เรียนรู้เทคนิคการสร้างคำทรงพลัง ที่ผู้เขียนค้นพบจากการลองผิดลองถูก และคลุกคลีกับมันมา 18 ปี

คำทรงพลังสามารถจูงใจคนได้ จุดร่วมของคนที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ นักธุรกิจ หรือผู้นำในยุคปัจจุบัน ทุกคนล้วนต้องอาศัยคำทรงพลัง เพราะการจะทำอะไรบางอย่างให้ประสบความสำเร็จนั้น ต้องอาศัยการสนับสนุนจากคนอื่น ๆ ด้วย ดังนั้น คำพูดที่มีพลังจูงใจให้คนหันมาสนับสนุนพวกเขา จึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด ทุกคนสามารถเลียนแบบคำพูดของคนเหล่านั้นได้ไม่ยาก เมื่อถอดคำพูดเหล่านั้นออกมาเป็นคำ ๆ ก็จะมองเห็นแบบแผนและนำไปปรับใช้ได้ การสร้างคำทรงพลังของบุคคลที่ประสบความสำเร็จทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้น ล้วนใช้เทคนิคที่เหมือนกันคำพูดที่สอดแทรกคำ ที่มีความหมายตรงกันตรงข้ามกันลงไป จะช่วยให้คนฟังจดจำได้ดี นอกจากนี้พวกเขายังใช้เทคนิคความรู้สึกขัดแย้งด้วย เมื่อรู้เทคนิคเหล่านี้แล้ว การสร้างคำทรงพลังขึ้นมา ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ถ้าศึกษาถ้อยคำที่ใช้สื่อสารมาก ๆ เข้า ก็จะได้เป็นสูตรสำเร็จออกมา ถ้ารู้สูตรสำเร็จไม่ว่าใครก็สร้างคำทรงพลังได้ เวลาที่อ่านหนังสือหรือดูภาพยนตร์ น่าจะเคยเจอคำพูดที่ทำให้รู้สึกประทับใจ คนที่คิดคำเหล่านั้นไม่ได้เสกมันขึ้นมาจากเวทมนต์ แต่พวกเขามีสูตรสำเร็จต่างหาก หลายคนบอกว่าการสร้างคำทรงพลังต้องใช้ไหวพริบที่ฟ้าประทานให้ หรือไม่ก็ต้องอาศัยสัญชาตญาณที่เฉียบคม แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามันมีขั้นตอนการสร้างคำทรงพลังอยู่ ไม่ว่าใครก็สร้างคำทรงพลังที่ทำให้คนฟังประทับใจได้แล้ว มาเรียนรู้ 8 เทคนิคในการสร้างคำทรงพลัง แล้วจะพบว่าการสร้างคำทรงพลังนั้นง่าย จนคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

1.เทคนิคเซอร์ไพรส์ เป็นเทคนิคพื้นฐานที่ช่วยให้สร้างคำทรงพลังได้ภายใน 10 วินาที ในบรรดาเทคนิคสร้างคำทรงพลังทั้งหมด เทคนิคเซอร์ไพรส์ถือเป็นเทคนิคที่ง่ายที่สุด เพียงแค่ใส่คำชวนทึ่งลงไป ถ้อยคำที่ต้องการถ่ายทอดก็จะทรงพลังขึ้นแล้ว มนุษย์ชอบความเซอร์ไพรส์ เวลามีใครทำเซอร์ไพรส์ให้ก็จะรู้สึกประทับใจได้ง่าย ๆ ดูอย่างวันเกิดก็ได้ แค่มีคนจัดงานวันเกิดให้เจ้าของวันเกิดก็ดีใจแล้ว ถึงแม้จะมีเค้กและคนมาร่วมงานเหมือนกัน แต่งานวันเกิดที่จัดแบบเซอร์ไพรส์นั้น สร้างความประทับใจให้กับเจ้าของวันเกิดได้มากกว่า ในการสื่อสารก็เช่นกัน น่าจะเคยใช้คำเซอร์ไพรส์ในเวลาที่รู้สึกประหลาดใจโดยไม่รู้ตัวอยู่บ่อย ๆ แต่สามารถนำเทคนิคนี้ไปใช้เวลาต้องการดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นได้ด้วย การสร้างคำทรงพลังด้วยเทคนิคเซอร์ไพรส์มี 2 ขั้นตอน มาลองเปลี่ยนคำว่า ทาโกะยากิลูกโต ให้เป็นคำทรงพลังด้วยเทคนิคเซอร์ไพรส์กัน

1.เลือกคำที่อยากถ่ายทอด ในที่นี้เลือกคำว่า ทาโกะยากิลูกโต

  1. ใส่คำเซอร์ไพรส์ที่เหมาะสม เช่น คำว่า ว้าว แปลกจัง ไม่น่าเชื่อ

ก่อนทำ ทาโกะยากิลูกโต

หลังทำ ว้าวทาโกะยากิลูกโต

เพียงแค่ดูก็รู้แล้วว่าคำไหนสร้างความประทับใจได้มากกว่ากัน

2.เทคนิคความรู้สึกขัดแย้ง การใส่คำตรงข้ามไว้ในประโยคหน้าของถ้อยคำที่ต้องการถ่ายทอด จะทำให้ข้อความนั้นทรงพลังยิ่งขึ้น ในทางจิตวิทยามีแนวคิดหนึ่งที่คล้าย ๆ กับเทคนิคความรู้สึกขัดแย้งเรียกมันว่า ปรากฏการณ์เพิ่มลด (gain-lose effect) โดยนักจิตวิทยาอธิบายไว้ว่า ในการสื่อสารเมื่อคนรับสารรู้สึกไม่ดีกับประโยคเกริ่นนำ แต่หากประโยคปิดท้ายมีความหมายเชิงบวก พวกเขาจะรู้สึกดีมากกว่าการได้ยินแต่ประโยคเชิงบวกหลายเท่า ทั้งนี้ทั้งนั้นเทคนิคความรู้สึกขัดแย้ง มีขั้นตอนที่ต้องจำมากกว่าเทคนิคอื่น ๆ เล็กน้อย แต่ใช้ได้ผลอย่างที่คาดไม่ถึงแน่นอน มันจะช่วยให้สร้างคำทรงพลังที่ดีที่สุดอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน การสร้างคำทรงพลังด้วยเทคนิคความรู้สึกขัดแย้งมี 3 ขั้นตอน มาลองเปลี่ยนคำว่า ทาโกะยากิลูกโต ให้เป็นคำทรงพลังด้วยเทคนิคความรู้สึกขัดแย้งกัน

1.คำที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด ในที่นี้เลือกคำว่า โต เป็นคำที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด

2.คิดคำตรงข้ามกับคำที่ต้องการถ่ายทอด แล้ววางไว้ในประโยคหน้าคำตรงข้ามของคำว่า โต คือคำว่า เล็ก

  1. เพิ่มคำลงไปได้ตามใจชอบ เพื่อให้ประโยคหน้ากับประโยคหลังเชื่อมโยงกัน เพิ่มคำว่า จานดูเล็กลงไปเลย เพื่อเชื่อมประโยค

ก่อนทำ ทาโกะยากิลูกโต

หลังทำ จานดูเล็กลงไปเลยเพราะทาโกะยากิลูกโต

3.เทคนิคปฏิกิริยาของร่างกาย เทคนิคเปลี่ยนถ้อยคำให้คนฟังแล้วรู้สึกอบอุ่น เทคนิคปฏิกิริยาของร่างกายเป็นเทคนิคสร้างคำทรงพลัง โดยใส่ความรู้สึกที่สะท้อนผ่านอากัปกิริยาเข้าไปในถ้อยคำ เช่น ใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเพราะรู้สึกเขิน เทคนิคนี้จะปรับเปลี่ยนถ้อยคำให้ดูมีชีวิตชีวา และดึงดูดความสนใจจากคนอื่นได้ ถ้อยคำที่ทำให้คนฟังประทับใจนั้นมีอยู่มากมาย ถ้าคนพูดมีความตั้งใจจริง คำพูดเหล่านั้นจะพรั่งพรูออกมาได้เอง ส่วนคนฟังก็จะสัมผัสได้ว่า นั่นเป็นคำพูดที่แสดงความรู้สึกได้อย่างมีเสน่ห์ แค่ทำตามสูตรสำเร็จของเทคนิคปฏิกิริยาของร่างกาย ก็สร้างถ้อยคำที่ทรงพลังขึ้นมาได้แล้ว

เทคนิคปฏิกิริยาของร่างกาย เป็นวิธีสร้างคำทรงพลังด้วยการสังเกตความรู้สึกของตัวเอง การสร้างคำทรงพลังด้วยเทคนิคปฏิกิริยาของร่างกายมี 3 ขั้นตอน มาลองเปลี่ยนคำว่า ทาโกะยากิลูกโต ให้เป็นคำทรงพลังด้วยเทคนิคปฏิกิริยาของร่างกายกันดีกว่า

1.เลือกถ้อยคำที่ต้องการถ่ายทอดมากที่สุด ในที่นี้เลือกคำว่า โต

2.ถ่ายทอดปฏิกิริยาของร่างกายออกมาเป็นถ้อยคำ ปฏิกิริยาของร่างกายเวลาเห็นทาโกะยากิลูกโตเป็นอย่างไร ใช้ชุดคำถามสำหรับเทคนิคปฏิกิริยาของร่างกายมาตอบคำถาม เช่น ตาเป็นอย่างไร ตาลุกวาว การหายใจเป็นอย่างไร หายใจแทบไม่ออก

3.วางถ้อยคำที่แสดงปฏิกิริยาของร่างกายไว้หน้าถ้อยคำที่ต้องการถ่ายทอด ลองนำไปวางดู

ก่อนวาง ทาโกะยากิลูกโต

หลังวาง ตาลุกวาวเมื่อเห็นทาโกะยากิลูกโต

4.เทคนิคคำซ้ำ เทคนิคที่ทำตามได้ง่ายในชั่วพริบตา แต่ตราตรึงในความทรงจำของอีกฝ่ายไปอีกนาน เทคนิคคำซ้ำเป็นเทคนิคการสร้างคำทรงพลังที่ไม่ว่าใครก็ทำตามได้ง่าย ๆ เวลาที่ใช้คำเดิมซ้ำ ๆ คำ ๆ นั้นจะฝังอยู่ในความทรงจำของอีกฝ่าย ดังนั้น แค่ถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการจะบอกด้วยคำซ้ำก็พอแล้ว ถือเป็นสูตรสำเร็จที่ทำตามได้ในไม่กี่นาที แต่ให้ผลอย่างดีเยี่ยม นอกจากถ้อยคำที่พูดซ้ำ ๆ จะทำให้ผู้ฟังจดจำได้ง่าย แล้วมันยังกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากเลียนแบบอีกด้วย คนเรามีแนวโน้มที่จะรู้สึกดีกับสิ่งที่เห็น หรือได้ยินบ่อย ๆ นี่เป็นสิ่งที่ทางจิตวิทยาเรียกว่าปรากฏการณ์เพียงแค่ได้เจอ (Mere exposure effect) สรุปก็คือ การใช้เทคนิคคำซ้ำจะทำให้ผู้ฟังจดจำได้ไม่ลืม การสร้างคำทรงพลังด้วยเทคนิคคำซ้ำมีเพียง 2 ขั้นตอน มาลองเปลี่ยนคำว่า ทาโกะยากิลูกโต ให้เป็นคำทรงพลังด้วยเทคนิคคำซ้ำกัน

1.กำหนดคำที่ต้องการถ่ายทอด ในที่นี้กำหนดคำว่า โต

2.ใช้คำซ้ำ ใช้คำว่าโตซ้ำ กลายเป็น โต๊โต หรือจะใช้ว่า โต โตมาก ๆ ก็ได้

ก่อนทำ ทาโกะยากิลูกโต

หลังทำ ทาโกะยากิลูกโต๊โต

มันเป็นเทคนิคที่ง่ายมาก ๆ และข้อความหลังก็ทรงพลังกว่าอย่างเห็นได้ชัด

5.เทคนิคลุ้นระทึก ถ้อยคำวิเศษณ์สำหรับคนที่ต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก เทคนิคลุ้นระทึกจะถูกนำมาใช้ในเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะเมื่อผู้พูดใช้เทคนิคลุ้นระทึก ผู้ฟังจะหันมาจดจ่อกับการฟังเพราะคิดว่า เรื่องที่จะได้ฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องสำคัญต้องฟัง ต้องตั้งใจฟัง เทคนิคลุ้นระทึกก็เหมือนกับการนับถอยหลัง 3,2,1 ก่อนเข้าสู่ปีใหม่นั่นเอง คนที่ได้ยินเสียงนับถอยหลังแล้วจะไม่สนใจนั้นมีน้อยมาก นั่นก็เพราะว่าคนเราไม่อยากพลาดวินาทีสำคัญที่กำลังจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้น ดังนั้น เทคนิคลุ้นระทึกจึงเป็นเทคนิคที่ใช้ประโยชน์ จากสัญชาตญาณของมนุษย์นั่นเอง เทคนิคลุ้นระทึกเป็นเทคนิคหนึ่งที่ใช้ง่ายมาก ๆ เพียงแค่รู้จักคำพูดที่ช่วยสร้างความลุ้นระทึก ก็สามารถใช้เทคนิคนี้ได้ทันที การสร้างคำทรงพลังด้วยเทคนิคลุ้นระทึกมี 2 ขั้นตอน มาลองใช้เทคนิคลุ้นระทึกเปลี่ยนคำว่า ทาโกะยากิลูกโต ให้เป็นคำทรงพลังกันดีกว่า

1.ไม่เล่าเรื่องโดยทันทีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หมายถึง ไม่ถ่ายทอดสิ่งที่ต้องการจะบอกโดยทันที ให้เก็บเอาไว้ก่อน

2.เริ่มเล่าเรื่องจากคำพูดลุ้นระทึก เลือกใช้คำพูดว่า สิ่งที่จะได้เห็นต่อไปนี้ห้ามถ่ายรูปนะ เพราะน่าจะเติมเข้าไปได้ได้ง่าย

จะใช้คำพูดลุ้นระทึกอื่น ๆ ก็ได้ ขอแค่เลือกคำพูดที่เชื่อมโยงกับประโยคที่ต้องการถ่ายทอดได้ง่ายก็พอ

ก่อนวาง ทาโกะยากิลูกโต

หลังวาง สิ่งที่จะได้เห็นต่อไปนี้ห้ามถ่ายรูปนะครับมันคือทาโกะยากิลูกโต

มองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าประโยคไหนสร้างความตื่นเต้นได้มากกว่ากัน

เปิดเผย 3 เทคนิคใหม่ ที่ใช้ในการสร้างคำทรงพลังเป็นครั้งแรก 3 เทคนิคที่ว่า ล้วนเป็นสูตรสำเร็จอันทรงพลังที่สามารถนำไปใช้ได้จริง แค่ทำตามสูตรสำเร็จนี้ ไม่ว่าใครก็ใช้คำอย่างมืออาชีพได้ไม่ยาก

6.เทคนิคตัวเลข เทคนิคตัวเลขคือสูตรสำเร็จที่คนมากกว่า 95% ไม่เคยรู้ เพียงแค่ใส่ตัวเลขลงไปในถ้อยคำก็เพิ่มพลังจูงใจคนได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนชื่อผลิตภัณฑ์ ตัวเลขจะดึงดูดสายตาผู้คน และยังทำให้เข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นอีกด้วย การใส่ตัวเลขเข้าไปในข้อความจะช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มาก ยิ่งไปกว่านั้นเพียงแค่มองตัวเลขก็เข้าใจได้ทันที เพราะคนเราจะประมวลผลข้อมูลที่เป็นตัวเลขได้เร็วกว่าข้อมูลที่เป็นตัวอักษรนั่นเอง ถ้าพิจารณาในแง่พลังของคำแล้ว เลขคู่อย่าง 2,4,6,8,10 เป็นตัวเลขที่ดูนุ่มนวลแต่ไม่ทรงพลัง ในขณะที่เลขคี่อย่าง 1,3,5,7,9 เป็นตัวเลขที่ดูเฉียบคมและทรงพลังมากกว่า วิธีการสร้างคำทรงพลังด้วยเทคนิคตัวเลขนั้น ขั้นตอนไม่ยุ่งยากมีแค่ 2 ขั้นตอน มาลองใช้เทคนิคตัวเลขเปลี่ยนคำว่า ทาโกะยากิลูกโต ให้เป็นคำทรงพลังกันดีกว่า

1.เลือกคำที่ต้องการถ่ายทอด ในที่นี้เลือกคำว่า ลูกโต

2.ใส่ตัวเลขที่เหมาะสมเข้าไป ในที่นี้ตัวเลขที่เหมาะสมคือ 300%, 3 เท่า และ 300 กรัม เลือกใช้คำว่า ลูกโต 300%  มาแทนคำว่าลูกโต หรือจะเลือกใช้คำไหนก็ได้ ขอแค่ให้มีตัวเลขก็พอ เวลาจะใช้ตัวเลขมักใช้ตัวเลขอารบิก แทนคำบอกจำนวนอย่างเลข 3 เพราะตัวเลขอารบิกจะทำให้คนจดจำได้รวดเร็วกว่า

ก่อนทำ ทาโกะยากิลูกโต

หลังทำ ทาโกะยากิลูกโต 300%

เห็นไหมว่าข้อความหลังดูสะดุดตามากกว่า

7.เทคนิคจับคู่คำสุดยอด เทคนิคที่ทำให้สินค้าฮิตติดลมบน หรือกลายเป็นกระแสในสังคม เทคนิคจับคู่คำ จะเป็นประโยชน์ในเวลาที่ต้องการสร้างคำ ให้กลายเป็นกระแสนิยม หรือเวลาที่อย่าคิดคำเจ๋ง ๆ แต่คิดไม่ออกก็สามารถนำไปใช้ได้ มี 3 ขั้นตอนในการสร้างคำทรงพลังด้วยเทคนิคจับคู่คำ มาลองใช้เทคนิคจับคู่คำเปลี่ยนคำว่า ทาโกะยากิลูกโต ให้เป็นคำทรงพลังกัน

1.เรื่องคำหลัก ในที่นี้สินค้าคือทาโกะยากิ จึงเลือกคำว่าทาโกะยากิ เป็นคำหลัก

2.คิดหาคำอื่น ๆ ที่จะนำมาจับคู่กับคำหลัก หาคำอื่น ๆ มาใช้แทนคำว่า ลูกโต เช่น บิ๊กไซส์ ใหญ่เบิ้ม ลูกเท่ากำปั้น มหึมา

3.นำคำมาจับคู่กัน ลองนำคำอื่น ๆ ที่คิดได้มาจับคู่กับคำหลัก

ทาโกะยากิบิ๊กไซส์

ทาโกะยากิใหญ่เบิ้ม

ทาโกะยากิลูกเท่ากำปั้น

ทาโกะยากิมหึมา

เมื่อลองจับคู่ทำแบบนี้แล้วก็จะพบว่า ทาโกะยากิลูกเท่ากำปั้น เป็นการจับคู่คำที่ไม่เคยมีมาก่อน มันจึงกลายเป็นคำที่ดูแปลกใหม่และทรงพลัง การนำคำ 2 คำมาจับคู่กันแล้วเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมา ถือเป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยม

ก่อนวาง ทาโกะยากิลูกโต

หลังวาง ทาโกะยากิลูกเท่ากำปั้น

ถ้าหน้าร้านทาโกะยากิมีป้ายเขียนไว้ว่า ทาโกะยากิลูกเท่ากำปั้น ลูกค้าก็คงอยากเข้าไปดูให้เห็นกับตากันอย่างแน่นอน

8.เทคนิคเป็นที่ 1 คนเรามักชื่นชอบและสนใจแต่สิ่งที่เป็นที่หนึ่ง แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่เคยอยู่ในสายตามาก่อนก็ตาม เทคนิคเป็นที่หนึ่งคือเทคนิคที่ร้านค้ามักนำไปใช้ เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกอยากซื้อ เวลาไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาเก็ต แล้วเห็นสินค้าที่มีป้ายเขียนว่ายอดขายอันดับ 1 น่าจะเกิดความสนใจจนอยากหยิบขึ้นมาดู ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่สินค้าที่สนใจก็ตาม นี้เป็นการใช้เทคนิคเป็นที่หนึ่งนั่นเอง คนเราชอบการเปรียบเทียบ และมักคิดว่าสิ่งที่ได้รับการันตีว่าเป็นที่หนึ่ง คือสิ่งที่ดีที่สุด มนุษย์ให้ความสนใจสิ่งที่เป็นอันดับ 1 อย่างมาก แต่แทบจะไม่สนใจสิ่งที่เป็นอันดับ 2 รองลงมาเลย

การสร้างคำทรงพลังด้วยเทคนิคเป็นที่หนึ่ง ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน เคล็ดลับของเทคนิคเป็นที่หนึ่งอยู่ตรงการใช้คำ ให้การเป็นที่หนึ่งมีขอบเขตกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งคำที่ใช้มีขอบเขตกว้างเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น มาลองใช้เทคนิคเป็นที่หนึ่งเปลี่ยนคำว่า ทาโกะยากิลูกโต ให้เป็นคำทรงพลัง

1.เลือกคำที่ต้องการถ่ายทอด ในที่นี้เลือกคำว่า ลูกโต

2.ใส่คำแสดงความเป็นที่ 1 ให้เหมาะสม หากไม่กล้าพูดว่า ที่ 1 ในญี่ปุ่น หรือที่ 1 ในจังหวัด ให้ลองใส่คำว่าที่ 1 ในย่านฮาราจูกุ

ก่อนวาง ทาโกะยากิลูกโต

หลังวาง ทาโกะยากิลูกโตเป็นที่ 1 ในย่านฮาราจูกุ

ถ้าเดินอยู่ในย่านฮาราจูกุแล้วเห็นคำโฆษณาว่าเป็นที่ 1 ในย่านฮาราจูกุ ก็คงอยากจะลองอุดหนุนดูเหมือนกันใช่ไหม

การหาคำแสดงความเป็นที่ 1 สนุกมาก ลองหาไปเรื่อย ๆ ดูแล้วจะพบว่า มันถูกนำไปใช้ตั้งชื่อสารพัด เพียงแค่รู้จักเทคนิคนี้ ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างง่ายดาย.

บทส่งท้าย

เปิดประตูชีวิตที่ปิดตาย

ในภาพยนตร์เรื่องหนึ่งชื่อว่า Cinderella Man ซึ่งนำแสดงโดย รัสเซลล์ โครว์ ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากชีวิตจริงของนักมวยคนหนึ่ง ที่ชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด เพราะได้รับบาดเจ็บที่แขนขวา ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องเลิกอาชีพนักมวย แล้วไปทำงานแบกของโดยใช้แขนข้างซ้ายเพียงข้างเดียว แต่ชีวิตกลับพลิกผัน เมื่อเขาได้หวนคืนสู่สังเวียนผ้าใบโดยไม่คาดคิดอีกครั้ง เมื่ออยู่บนเวทีมวยเขาจะแข็งแกร่งขึ้น ขนาดตัวเองยังประหลาดใจ เขาออกหมัดซ้ายได้หนักหน่วงกว่าเมื่อก่อน นั่นเป็นเพราะว่าแขนซ้ายของเขาได้รับการฝึกฝนจากการแบกของนั่นเอง

ทุกคนก็ทำแบบนั้นได้เช่นกัน ชีวิตของผู้เขียนเองก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว หลังจากค้นพบเทคนิคการใช้คำ คราวนี้ถึงตาคุณผู้อ่านได้สัมผัสประสบการณ์นั้นบ้าง ไม่มีอะไรต้องกลัวเพราะตอนนี้ได้สร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ใช้กล้ามเนื้อที่อุตส่าห์ฝึกฝนมา มันก็จะอ่อนกำลังลง ดังนั้น ต้องใช้มันในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ เพราะนอกจากจะช่วยรักษาพละกำลังของกล้ามเนื้อไม่ให้ตกลง มันยังจะพามุ่งไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย ทำใจให้สบายและเปิดประตูไปสู่โอกาสดี ๆ ในชีวิตได้เลย.