บลจ. บล. บลน. ฟังดูแล้วมีความคล้ายคลึงกัน และสิ่งที่เหมือนกันก็คือ เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับหลักทรัพย์เหมือนกัน แต่รายละเอียดในการทำธุรกิจนั้นมีความแตกต่างกัน ฉบับนี้ก็จะมาเจาะประเด็นให้เห็นความแตกต่างแต่ละตัวให้เข้าใจกันชัดๆไปเลยว่า “บลจ. บล. บลน. คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร” และ”มีหน้าที่อย่างไร”

แล้วทำไมต้องมีการแบ่งประเภทให้หลากหลาย?

เพราะอุตสาหกรรมการเงิน การลงทุน เป็นธุรกิจเฉพาะที่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องเงินๆทองๆนั้นยิ่งมีความเสี่ยง ดังนั้นเพื่อให้ทั้งผู้ลงทุน ภาคธุรกิจ และประชาชน สามารถลงทุน ระดมทุน ประกอบธุรกิจ หรือใช้ประโยชน์จากตลาดทุนได้อย่างเชื่อมั่น รวมทั้งเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ จึงต้องมีการแบ่งประเภทให้ชัดเจน เพื่อให้บริษัทที่จะจดทะเบียนประเภทต่างๆปฏิบัติตามกฎข้อบังคับได้โดยถูกต้อง

เรามาดูกันว่า บลจ. บล. บลน. คืออะไร มีหน้าที่อย่างไร

บลจ. ย่อมาจาก : บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน

คือ บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจจัดการกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล, บริหารจัดการเงินลงทุนของนักลงทุนในรูปแบบกองทุนต่างๆ หรือจะเรียกว่า ผู้ออกกองทุน ผู้ขายกองทุน หรือผู้บริหารกองทุนนั่นเอง ปัจจุบันมีจำนวนบริษัทในไทยที่ได้รับใบอนุญาต 25 บลจ. (9มี.ค.2568)

หน้าที่ของ บลจ. :

  • จัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนรวมประเภทต่างๆ เช่น
    1. กองทุนรวม (Mutual Fund) โดยการออกหน่วยลงทุนแต่ละโครงการแก่ประชาชนทั่วไป เพื่อนำเงินที่ได้ไปลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินอื่นๆ หรือนำไปหาดอกผลด้วยวิธีอื่นๆ
    2. กองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เฉพาะเจาะจงไปที่บุคคลหนึ่งหรือกลุ่มบุคคล โดยกำหนดขอบเขตการลงทุนร่วมกัน
    3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
  • บริหารกองทุนส่วนบุคคลตามความต้องการของลูกค้า
  • วิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุน
  • รายงานผลการดำเนินงานของกองทุนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนรับทราบ

รายได้ : ค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น Front end ค่าธรรมเนียมแรกเข้า, Management fee ค่าธรรมเนียมการจัดการรายปี หรือเก็บตอนเราส่งคำสั่งซื้อ ขายกองทุนในแต่ละครั้ง, Performance fee ค่าธรรมเนียมส่วนเพิ่มจากผลตอบแทน

ตัวอย่างเช่น : บลจ.กสิกรไทย จำกัด (KAsset), บลจ.บัวหลวง จำกัด(BBLAM)

บล. ย่อมาจาก : บริษัทหลักทรัพย์

คือ บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ เช่น นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ที่เราคุ้นเคยกับคำว่าโบรกเกอร์ (Broker) , ให้บริการซื้อขายหุ้น กองทุน อนุพันธ์ พันธบัตร และหลักทรัพย์อื่นๆแก่นักลงทุน ปัจจุบันมีจำนวนบริษัทในไทยที่ได้รับใบอนุญาต 43 บล. (9มี.ค.2568)

หน้าที่ของ บล. :

  • การเป็นนายหน้าซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ (Broker) ให้แก่ผู้อื่นโดยได้ค่านายหน้า
  • ให้คำแนะนำการลงทุนและวิเคราะห์หลักทรัพย์
  • จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ใหม่ (IPO)
  • บริหารการควบรวมและซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions)
  • ให้บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์
  • การค้าหลักทรัพย์ในนามของตนเอง โดยการกระทำนอกตลาดหลักทรัพย์
  • ให้บริการรับฝากทรัพย์สิน

รายได้ : ค่านายหน้า, ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์, ดอกเบี้ยการกู้ยืมจากบัญชีมาร์จิน (Margin), รายได้จากการเป็นที่ปรึกษาการลงทุนและจัดจำหน่ายหลักทรัพย์

ตัวอย่างเช่น :

  • YUANTA – บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด
  • InnovestX – บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด
  • KKP Dime – บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด(มหาชน)
  • Liberator – บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด
  • Bualuang Securities – บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด(มหาชน)

บลน. ย่อมาจาก : บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน

คือ บริษัทที่ได้รับอนุญาตให้เป็นนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวม ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการซื้อขายหน่วยลงทุนระหว่างนักลงทุนและบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) เสมือนเป็นเชฟที่มีหลายกองทุนจากหลายๆบลจ.ให้นักลงทุนสามารถเลือกซื้อได้โดยสะดวกในที่ Platform เดียว (บลน.เน้นที่เป็นนายหน้าขายของทุน)

หน้าที่ของ บลน. :

  • เป็นตัวแทนในการซื้อขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมให้กับลูกค้า
  • ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนในกองทุนรวม
  • เป็นตัวกลางระหว่าง ผู้ลงทุน และ บลจ.
  • ให้ข้อมูลและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมเกี่ยวกับกองทุนรวม

รายได้ : ค่าธรรมเนียมส่วนแบ่งจากการขายกองทุนรวมให้กับบลจ.ต่างๆ โดยการส่งคำสั่งผ่านบลน.เป็นหลัก

ตัวอย่างเช่น : Finnomena , Wealth Republic , Robowealth

ข้อแนะนำ : หากเราต้องการซื้อกองทุนจากหลายๆบลจ.(หลายผู้ขาย,หลายกองทุน) เราก็ไม่จำเป็นต้องไปเปิดบัญชีซื้อขายกองทุนเฉพาะของบลจ.นั้นๆก็ได้ แต่สามารถเปิดบัญชีกับบล.หรือ บลน.สักแห่ง เราก็สามารถซื้อขายกองทุนจากหลากหลายบลจ.ได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องดูอีกทีว่า บล.หรือบลน.นั้นๆ มีกองทุนที่เราต้องการซื้อหรือไม่ค่ะ

สรุป

อย่างไรก็ตาม..การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาทำความเข้าใจ และเพิ่มความรู้ของตัวเอง บริหารความเสี่ยงตามความเหมาะสม แต่การที่เราจะหลีกเลี่ยงการลงทุนไปเลย หรือไม่ยอมเผชิญกับความเสี่ยงอะไรเลยนั้น อาจถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งก็ได้นะคะ ดังคำคมของคุณมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก…

The biggest risk is not taking any risk.  – Mark Zuckerberg

ความเสี่ยงที่ใหญ่หลวงที่สุด .. คือการไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย – มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก