หนึ่งในปัจจัยสี่ของมนุษย์ก็คือ “ยารักษาโรค” เพราะความต้องการมีชีวิตรอด และหลุดพ้นจากความเจ็บป่วยทั้งหลาย จึงทำให้ยากลายเป็นปัจจัยที่เราขาดไม่ได้ อีกทั้งสภาวะปัจจุบันมีโรคใหม่ๆ เชื้อโรคดื้อยา หรือกลายพ้นธุ์ ทำให้บริษัทผู้ผลิตยาต่างๆจึงต้องพยายามคิดค้นวิจัยพัฒนาตัวยาเพื่อตามรักษาโรคที่เกิดขึ้น อีกทั้งประชากรโลกที่มีอายุยืนขึ้น ความต้องการยารักษาโรคที่มากขึ้นนี้ ก็นำไปสู่การเติบโตทางด้านรายได้ของบริษัทยาต่างๆ โดยรายได้ของบริษัทยาขนาดใหญ่ทั่วโลกเติบโตขึ้นมากกว่าครึ่งล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ ปี2012 โดยบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลกตั้งอยู่ที่อเมริกา รองลงมาเป็นยุโรป และเอเชียแปซิฟิกตามลำดับ

10 บริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในโลก

1.) Eli Lilly (LLY) : Market Cap $730.64 Billion USD. (March 2025)

ก่อตั้งในปี 1876 โดยคุณ Eli Lilly ชายวัย 40 ที่เป็นทั้งทหาร เภสัชกร และนักเคมี ในเมือง Indianapolis ซึ่งในสมัยเริ่มแรกได้ผลิตยาควินินสำหรับรักษาโรคไข้มาลาเรีย และต่อมา Josiah K. Lilly บุตรชายของ Eli Lilly ที่ศึกษาด้านเภสัชศาสตร์ ได้เข้ามาช่วยธุรกิจในปี 80s ก็มีการพัฒนายาอีกมากมายทั้งยารักษาโรคซึมเศร้า (Prozac) ยารักษาโรคเบาหวาน (Iletin) ยาฆ่าเชื้อ และสุดท้ายได้เข้าสู่ตลาดหุ้นในปี 1952

โดยธุรกิจของ Eli Lilly แบ่งเป็นประเภทหลักๆ ได้แก่ ยารักษาเบาหวานและโรคอ้วน (คิดเป็น 65% ของรายได้ทั้งหมด)เช่น ปากกาฉีดรักษาเบาหวาน Mounjaro และ Trulicity, ยารักษาโรคมะเร็ง (คิดเป็น 20% ของรายได้ทั้งหมด) เช่น ยารักษามะเร็งเต้านม Verzenio ยารักษามะเร็งกระเพาะอาหาร Cyramza, ยารักษาโรคด้านภูมิคุ้มกัน (คิดเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด) เช่น ยารักษาโรคผมร่วงเป็นหย่อม Olumiant, ยารักษาโรคด้านสมอง, ประสาทวิทยา (คิดเป็น 3% ของรายได้ทั้งหมด) เช่น ยารักษาอัลไซเมอร์ Kisunla, อื่น ๆ (คิดเป็น 2% ของรายได้ทั้งหมด) เช่น ยาโรครักษากระดูกพรุน Forteo

และธุรกิจที่สร้างรายได้หลักก็คือ “ยารักษาเบาหวานและโรคอ้วน” ที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะปากกาเบาหวานและลดน้ำหนัก Mounjaro เนื่องจากแนวโน้มคนเป็นโรคเบาหวานในสหรัฐฯสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเกือบ 50% ของคนสหรัฐฯ มีภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes) และมากกว่า 10% ของคนสหรัฐฯเป็นโรคเบาหวานแล้ว จึงทำให้รายได้จากยารักษาเบาหวานมาจากในสหรัฐฯสูงถึง 75%

2.) Johnson & Johnson (JNJ) : Market Cap $391.98 Billion USD. (March 2025)

ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1886 โดยRobert Wood Johnsonร่วมกับน้องชายอีก 2 คน และเริ่มต้นทำธุรกิจอุปกรณ์ผ่าตัดที่ได้รับการฆ่าเชื้อ เช่น อุปกรณ์เย็บแผล ผ้าก๊อซ และสำลี และหลังจากนั้นก็ได้มุ่งเข้าสู่ธุรกิจยา และกลายเป็นหนึ่งในบริษัทด้านสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยรายได้หลักคือกลุ่มธุรกิจยา ทั้งยารักษาโรคมะเร็งDARZALEX (daratumumab), วัคซีน และอุปกรณ์การแพทย์ และอุปโภค (Consumer Products) เช่น NEUTROGENA และ LISTERINE

3.) AbbVie (ABBV) : Market Cap $373.85 Billion USD. (March 2025)

บริษัทยารายใหญ่ของอเมริกา ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2013 หลังจากแยกตัวออกจาก Abbott Laboratories และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เลกบลัฟฟ์ รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา AbbVie Inc พัฒนา ผลิต และจำหน่ายยาสำหรับโรคต่างๆ เช่น เป็นผู้นำตลาดในกลุ่มยาภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ Humira, AIDS, HIV, Imbruvica มะเร็ง, โรคตับอักเสบซี, โรคพาร์กินสัน

4.) Novo Nordisk (NVO) : Market Cap $343.15 Billion USD. (March 2025)

ก่อตั้งขึ้นในปี 1923 และมีสํานักงานใหญ่อยู่นอกเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก โดยมุ่งเน้นยารักษาโรคเบาหวานและโรคเรื้อรังที่ร้ายแรงอื่น ๆ เช่น โรคอ้วน และโรคเกี่ยวกับเลือดและต่อมไร้ท่อที่พบได้ยาก มีพนักงานมากกว่า 64,000 คนในสํานักงานกว่า 80 แห่งทั่วโลก และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใน 170 ประเทศ

โดยรายได้หลักของธุรกิจคือกลุ่ม ยารักษาเบาหวานและโรคอ้วน ตัวอย่างสินค้า เช่น ปากกาเบาหวานและลดน้ำหนัก Ozempic, ปากกาลดน้ำหนัก Saxenda ทั้งนี้ยังมียารักษาโรคที่พบได้ยากเกี่ยวกับเลือด, ต่อมไร้ท่อ และอื่นๆ

ทั้งนี้เมื่อ 13 พ.ย. 2024 องค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ได้เผยแพร่งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ เดอะ แลนเซ็ท (The Lancet) โดยระบุว่าปัจจุบันมีผู้เป็นโรคเบาหวานทั่วโลกกว่า 800 ล้านคน เพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่าจากนับตั้งแต่ปี 1990 ดังนั้นยารักษาโรคเบาหวานก็ยิ่งกลายเป็นที่ต้องการของคนทั่วโลกมากขึ้นเช่นกัน ทำให้บริษัทยาหลายๆบริษัทพยายามคิดค้นยารักษาให้ออกมาดีกว่าบริษัทคู่แข่งเพื่อแย่งส่วนแบ่งการตลาดนี้นั่นเอง

5.) Roche (ROG) : Market Cap $245.15 Billion USD. (March 2025)

ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1896 ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน และอิตาลี ก่อตั้งโดยโดย ฟริตซ์ ฮอฟฟ์แมน-ลา โรช (Fritz Hoffmann-La Roche) นักธุรกิจจากเมืองบาเซิล โดยเป้าหมายคือผลิตยาในรูปแบบอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงยาได้ ผลิตภัณฑ์เริ่มแรกของบริษัทคือ วิตามินต่างๆ ต่อมาในปีค.ศ. 1957 บริษัทได้นำยากล่อมประสาทในกลุ่มเบ็นโซไดอาเซพีน เข้ามา โดยมีชื่อทางการค้าคือ วาเลียม (Valium) และโรฮิปนอล (Rohypnol)

นอกจากนี้ยังมียารักษาสิวชื่อ ไอโซทรีติโนอิน (isotretinoin) มีชื่อทางการค้าดังนี้คือ แอคคูเทน (Accutane) และโรแอคคูเทน (Roaccutane)

ปัจจุบันมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาในด้าน วิทยามะเร็ง, ภูมิคุ้มกันวิทยา, จักษุวิทยา, โรคติดเชื้อ และประสาทวิทยา

6.) AstraZeneca (AZN) : Market Cap $240.58 Billion USD. (March 2025)

เป็นบริษัทยาและชีวเภสัชภัณฑ์ของอังกฤษ-สวีเดน มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งปี 1999 ยาของบริษัทมุ่งเน้นการรักษาในกลุ่ม มะเร็ง (Oncology) เป็นแหล่งรายได้หลัก , โรคหัวใจ ไต เมตาบอลิซึม (Cardiovascular, Renal & Metabolism), ระบบทางเดินหายใจ (Respiratory & Immunology) และ โรคหายาก (Rare Diseases)

7.) Merck (MRK) : Market Cap $238.89 Billion USD. (March 2025)

หรือที่รู้จักในชื่อ MSD นอกสหรัฐอเมริกาและแคนาดา เป็นบริษัทยาของสหรัฐอเมริกา ที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศเยอรมนี คือ Merck KGaA ซึ่งหลังจากเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 บริษัท Merck ในสหรัฐฯจึงแยกตัวเป็นอิสระในปี 1917 โดยมีผู้ก่อตั้งคนแรกคือ George W. Merck

ผลิตภัณฑ์หลักคือ ยารักษาโรคของมนุษย์ 89 %, ยารักษาโรคปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยง 11 % โดยยาที่ขายดีที่สุด เช่น ยารักษามะเร็งปอด KEYTRUDA, วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก Gardazil, ยารักษาโรคเบาหวาน Januvia (Sitagliptin)

8.) Novartis (NVS) : Market Cap $215.23 Billion USD. (March 2025)

โนวาร์ตีส อินเตอร์เนชั่นแนล เอจี เป็นบริษัทข้ามชาติในอุตสาหกรรมยา มีฐานการผลิตอยู่ที่บาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก่อตั้งปี 1996 โดยการควบรวมกิจการกันระหว่างซิบา-ไกกี (Ciba-Geigy) และแซนดอส แลบอราตอรี (Sandoz) มุ่งเน้นในการพัฒนายาและผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่มีนวัตกรรม โดยเฉพาะในด้านยารักษาโรคร้ายแรงและโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง Gleevec (Imatinib), โรคหัวใจ, และโรคเกี่ยวกับระบบประสาท

9.) Amgen (AMGN) : Market Cap $168.53 Billion USD. (March 2025)

ก่อตั้งขึ้นในปี 1980 สํานักงานใหญ่อยู่ใน Thousand Oaks รัฐแคลิฟอร์เนีย เชี่ยวชาญในการพัฒนาและผลิตนวัตกรรมการบําบัดของมนุษย์ และเติบโตขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพชั้นนําของโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักจากงานบุกเบิกด้านชีวเภสัชภัณฑ์ มุ่งเน้นรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด, การอักเสบ, มะเร็ง , โลหิตวิทยา, โรคไต, ประสาทวิทยาศาสตร์และสุขภาพกระดูก

10.) Pfizer (PFE) : Market Cap $145.76 Billion USD. (March 2025)

ก่อตั้งปี ค.ศ. 1849 โดยสองพี่น้อง Charles Pfizer และ Charles F. Erhart นักเคมีชาวเยอรมัน เริ่มทำธุรกิจเคมีในวิลเลียมเบิร์ก บรูกลิน (Williamsburg, Brooklyn) ผลิตภัณฑ์เริ่มแรกคือยาต้านปรสิต (antiparasitic) หรือยาถ่ายพยาธิชื่อแซนโตนิน (santonin) และมีชื่อเสียงในด้านการผลิตกรดซิตริกต่อเนื่องมาสู่ยาปฏิชีวนะ เทอราไมซิน (Terramycin) ที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย

นับตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 Pfizer ได้ร่วมมือกับ BioNTech บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพชั้นนำจากเยอรมัน เพื่อพัฒนาวัคซีน Pfizer

สรุป

เนื่องจากปัจจุบันความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายจากการใช้เทคโนโลยีต่างๆมาช่วยในการดำรงชีวิต ยิ่งทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในโลกขาดการเคลื่อนไหว ขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งอาหารที่มีการแปรรูป ปรุงแต่งมากขึ้นเพื่อให้ถูกปาก รวมถึงอากาศ ฝุ่น เชื้อโรคที่กลายพันธุ์ ปัจจัยหลายๆอย่างเหล่านี้ก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมา จึงไม่แปลกใจเลยที่บริษัทยาจะมีรายได้และเติบโตสูงขนาดนี้

อย่างไรก็ตามยาก็คือการรักษาที่ปลายเหตุ แต่เราควรดูแลสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อห่างไกลโรคภัย ดั่งสุภาษิตโบราณที่ว่า “ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ”…