สรุปหนังสือ 51 วิธีคิดของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากทำงานด้วย
โลกนี้อาจมีบางคนที่เกิดมาเพื่อเป็นหัวหน้า บางคนอาจเคยคิดว่า คนที่จะมาเป็นหัวหน้าหรือประธานบริษัทได้ คงต้องเป็นคนที่มีลักษณะพิเศษ คนเป็นหัวหน้าต้องมีความเป็นผู้นำสูงมาตั้งแต่เกิด นำเสนองานเก่ง มีเสน่ห์ และมีบารมี ชอบนำคนอื่น ซึ่งดูแล้วไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองจะทำได้เลย แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่ว่าใครก็ตามหากมีความพยายาม ก็สามารถเป็นหัวหน้าหรือประธานบริษัทได้ ไม่แน่ว่าหลายคนกำลังประสบปัญหา และอาจกำลังสงสัยว่า ตัวเองจะสามารถเป็นหัวหน้าคนอื่นได้หรือเปล่า อาจกำลังกังวลว่าตัวเองจะเหมาะสมกับการเป็นหัวหน้าหรือไม่ จะมีวันที่สามารถเป็นได้จริง ๆ หรือเปล่า กลุ้มใจว่าทุกคนจะอยากร่วมงานด้วยไหม เพราะตัวเองก็ไม่ได้ไปมีความเป็นผู้นำสูง หรือมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้คนอื่นอยากอยู่ด้วยแต่อย่างใด
ต่อให้ไม่มีเสน่ห์หรือบารมี ก็สามารถเป็นหัวหน้าที่ดีได้ ขอเพียงแค่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยได้ ทุกคนก็จะพากันสนับสนุนจนได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าไปโดยอัตโนมัติ ไม่ได้พยายามจะเป็นหัวหน้า แต่เป็นหัวหน้าได้เพราะคนรอบข้างสนับสนุน คือ หัวหน้าในอุดมคติ ผู้เขียนเองเป็นหัวหน้าได้เพราะคนรอบข้างช่วยผลักดันเช่นกัน แน่นอนว่าเคยกลุ้มใจว่าตัวเองจะทำหน้าที่หัวหน้าได้ดีพอหรือเปล่า แต่เพราะคนรอบข้างสนับสนุน จึงทำงานในตำแหน่งนี้จนประสบความสำเร็จได้ หัวหน้าที่ดีไม่ได้มีอยู่แบบเดียว หัวหน้าที่ไม่มีเสน่ห์หรือบารมี ก็สามารถเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องชื่นชมได้เหมือนกัน
บทที่ 1 ไม่ต้องเก่งก็เป็นหัวหน้าได้
วิธีคิดของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย
วิธีคิดที่ 1
ถึงจะงงว่าตัวเองมาเป็นหัวหน้าได้ยังไงก็ไม่เป็นไร
ผู้เขียนเพิ่งจะเริ่มเล่นเบสบอลแบบจริงจังตอนมัธยมปลาย แต่กลับได้เป็นกัปตันทีมเสียอย่างนั้น โรงเรียนที่เรียนมัธยมต้นไม่มีชมรมเบสบอล ผู้เขียนจึงถือเป็นคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการเล่นเบสบอลอย่างจริงจังมาก่อน ขณะที่เพื่อนรุ่นเดียวกันบางคน พอเข้าชมรมก็ได้ลงเล่นในสนามกับรุ่นพี่เลย แต่ผู้เขียนกลับได้ทำแค่เก็บลูกบอล หรือไม่ก็เป็นคู่ซ้อมขว้างลูกเท่านั้น แม้จะขึ้นปี 2 สถานการณ์ก็ไม่ได้เปลี่ยนไป พอขึ้นปี 3 ก็ถึงคราวที่รุ่นของผู้เขียนเป็นคนตั้งทีมบ้าง เรื่องแรกที่ต้องทำคือการเลือกกัปตันทีม แน่นอนว่าคนที่น่าจะได้เป็นกัปตันคือพวกดาวรุ่ง ที่ได้ร่วมเล่นกับรุ่นพี่มาตั้งแต่ปี 1 หรือไม่ก็ผู้เล่นตำแหน่งสำคัญ ๆ
แต่พอโค้ชประกาศชื่อกัปตัน ผู้เขียนอึ้งไปเลย เพราะชื่อที่โค้ชพูดออกมาคือชื่อของเขา เพื่อนร่วมรุ่นเองก็คงตกใจไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าเป็นการคัดเลือกที่เหนือความคาดหมายจริง ๆ ผู้เขียนไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นหัวหน้าเลยสักนิด ที่มาเป็นหัวหน้าได้ก็เพราะคนรอบข้างช่วยผลักดัน ถ้าลงมือทำไม่ว่าอย่างไรก็จะมีคนมองเห็นอย่างแน่นอน ถ้าตั้งใจจริงคนรอบข้างก็จะช่วยผลักดันขึ้นไปเอง
วิธีคิด 2
การเป็นหัวหน้าที่ดี
ไม่ใช่พรสวรรค์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด
ทำไมคนที่ดูไม่น่าจะเป็นหัวหน้าที่ดี ถึงขึ้นมาเป็นประธานบริษัทได้ จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้เขียนสามารถเป็นหัวหน้าที่ดีได้ คงมาจากประสบการณ์ในชมรมเบสบอลนี่เอง เขาคิดแค่ว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นประโยชน์กับทุกคนในตอนนี้ แล้วลงมือทำ แต่นั่นกลับทำให้ผู้เขียนได้รับมอบหมาย ให้ทำหน้าที่หัวหน้าบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ พอรู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นผู้นำองค์กรไปเสียอย่างนั้น ผู้เขียนเคยรับตำแหน่งประธานมาแล้วถึง 3 บริษัท เพราะฉะนั้นการเป็นหัวหน้าที่ดีไม่ใช่พรสวรรค์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด และไม่ว่าใครก็สามารถเป็นหัวหน้ากันได้ทางนั้น
หนังสือเล่มหนึ่งเรื่อง Good to Great ซึ่งเขียนโดย จิม คอลลินส์ เนื้อหากล่าวถึงปัจจัยสำคัญที่สุด ที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ และยังมีส่วนที่พูดเกี่ยวกับหัวหน้าเอาไว้ด้วย ในหนังสือได้แบ่งหัวหน้าออกเป็น 5 ระดับ โดยคนที่ได้เป็นหัวหน้าเพราะบุคลิกลักษณะส่วนตัว จะจัดอยู่ในหัวหน้าระดับที่ 4 แต่ที่ถือว่ายอดเยี่ยมยิ่งกว่าก็คือ หัวหน้าระดับที่ 5 ไม่จำเป็นต้องมีเสน่ห์หรือบารมี ตรงกันข้ามพวกเขาเป็นหัวหน้าที่อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมาก
ถ้างานไปได้สวยพวกเขาจะบอกว่าเพราะโชคช่วย หรือไม่ก็เพราะลูกน้องทุกคนตั้งใจกันเต็มที่ แต่ถ้างานไม่ราบรื่นพวกเขาก็จะบอกว่า ทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของหัวหน้า ซึ่งเป็นลักษณะนิสัยของหัวหน้า ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและมีนิสัยดีเยี่ยม ปรัชญาตะวันออกก็กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันกล่าวคือ ในอุดมคติของปรัชญาตะวันออก หัวหน้าต้องเป็นคนที่หนักแน่น เยือกเย็น สงบนิ่ง แต่ก็มีใจพร้อมที่จะสู้ และต้องเป็นคนที่นิสัยดีมีคุณธรรมด้วย
วิธีคิด 3
ลงมือทำเองก่อนจะให้คนอื่นทำ
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้เขียนได้เรียนรู้ จากการเล่นเบสบอลตั้งแต่เด็ก ผู้เขียนอยากเล่นตำแหน่งพิชเชอร์ (ผู้ขว้าง) มากที่สุด แต่ตอนนั้นในทีมมีพิชเชอร์ฝีมือดีมาก ๆ อยู่ คิดว่าไหน ๆ ก็ต้องเริ่มต้นใหม่จากศูนย์อยู่แล้ว ก็ตั้งเป้าจะเป็นพิชเชอร์ที่ตัวเองเคยฝันไว้ไปเลยดีกว่า จึงตั้งใจฝึกซ้อมช่วงหน้าร้อน โดยขว้างลูกวันละพันครั้ง หลังซ้อมเสร็จก็ต้องวิ่งให้ได้ 5 กิโลเมตรเสมอ ตอนจัดตั้งทีมใหม่ผู้เขียนไปช่วยดูการฝึกของพวกน้องใหม่ จึงทำให้ได้ซ้อมมากกว่าใครเป็นเท่าตัว
ต้องขัดเกลาตัวเองก่อนที่จะปกครองคนอื่น ในวันแข่งจริงเพื่อนร่วมทีมให้ผู้เขียนได้ขว้างลูก ในการแข่งครั้งสุดท้ายของพวกปี 3 ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงการซ้อมขว้างลูกมาโดยตลอดโดยไม่ย่อท้อ และเตรียมตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ ถือเป็นประสบการณ์ความสำเร็จครั้งใหญ่เลยทีเดียว หากตั้งใจอย่างไม่ลดละ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีใครสักคนสังเกตเห็น แล้วความพยายามก็จะผลิดอกออกผลอย่างแน่นอน ต้องเชื่อว่าถ้ามีความพยายามสักวันหนึ่งก็ต้องเห็นผล
คำว่าหัวหน้า ส่วนใหญ่คงนึกถึงคนที่มีอำนาจสั่งการคนอื่นให้ทำนู่นทำนี่ แต่อยากให้คิดเสมอว่า ก่อนจะสั่งให้ใครทำอะไรควรจะต้องสั่งตัวเองให้ได้เสียก่อน ไม่มีใครที่ควบคุมตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตั้งใจที่จะพัฒนาและขัดเกลาตัวเอง นี่เป็นสิ่งแรกที่หัวหน้าระดับ 5 ต้องทำ การเชื่อมั่นว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น จะช่วยเสริมสร้างกำลังใจให้พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวแรกของการเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วยนั่นเอง
วิธีคิด 4
ลูกน้องมองนิสัยของหัวหน้าเป็นหลัก
ตอนนี้ตัวเองเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับหัวหน้าที่ใคร ๆ ก็เคารพ บริษัทแรกที่รับผู้เขียนเข้าทำงานคือบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ผู้เขียนพบกับหัวหน้าคนหนึ่งที่น่าชื่นชม และให้การนับถือเหมือนครู เวลาทำงานเขาจะลงมือทำให้ดูเป็นตัวอย่าง คอยสอนและมอบหมายงานให้ เหตุผลที่ทำให้เคารพเขามากคงเป็นเพราะเขาทำงานโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองเลย เขาไม่พยายามแสดงว่าเป็นหัวหน้าให้คนรอบข้างเห็น ไม่ทำเพื่อตำแหน่ง และไม่ทำท่าวางโตกับลูกน้อง
เขาคิดแต่ว่าถ้าทำอย่างนี้บริษัทจะเป็นอย่างไร ทำแบบนี้แล้วเป็นประโยชน์กับบริษัทหรือเปล่า สิ่งที่บริษัทต้องการคืออะไร เขาเป็นคนที่รักบริษัทจากใจจริง ที่จริงเขาเป็นคนที่สำนักงานใหญ่ส่งมา หัวหน้าคนนี้ทั้งเก่งทั้งน่านับถือ เบื้องบนเห็นค่าของคนที่มีนิสัยแบบนี้ หลังจากนั้นเขาจึงถูกเรียกตัวกลับสำนักงานใหญ่ และได้เลื่อนตำแหน่งเป็นถึงผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายจัดจำหน่าย แต่ถึงจะมีตำแหน่งใหญ่โต เขาก็ไม่ทำถ้าวางโตแต่อย่างใด ยังคงทักทายเหมือนเมื่อก่อนอย่างไม่เปลี่ยนแปลง
วิธีคิด 5
ประสบการณ์ความล้มเหลว
จะทำให้เข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น
ผู้เขียนเลือกทำงานกับบริษัท นิสสัน มอเตอร์ เป็นที่แรก เพราะรุ่นพี่ที่เป็นคนสัมภาษณ์เป็นคนน่าชื่นชมมาก จึงอยากทำงานในบริษัทที่มีคน ๆ นี้อยู่ ตอนที่พนักงานใหม่ต้องออกไปแนะนำตัว ผู้เขียนจึงพูดประโยคนี้ออกมาว่า จะตั้งใจทำงานเพื่อให้ได้เป็นประธานบริษัท นิสสัน มอเตอร์ หลังจากนั้นก็ยังพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องกับทุกคนอย่างไม่เกรงใจเหมือนเดิม เลยทำให้ผู้จัดการฝ่ายคนหนึ่งไม่พอใจ จนถูกสั่งย้ายให้ไปอยู่ฝ่ายที่ไม่มีใครอยากทำ
พอเจอเรื่องแบบนี้จึงมีเวลาหันกลับมาทบทวนตัวเองอีกครั้ง แต่การได้เจอกับความยากลำบากหรือความล้มเหลว กลายเป็นประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้ เพราะประสบการณ์เหล่านี้ช่วยเปลี่ยนความคิดและมุมมอง มันทำให้จินตนาการออกว่าการกระทำของตัวเองสามารถทำให้คนอื่นเจ็บปวดได้อย่างไร ก่อนจะลงมือทำอะไรจึงต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนเสมอ
หัวหน้าจำนวนไม่น้อยมีประวัติการทำงานดีเยี่ยม หลายคนจึงหลงคิดไปว่าต้องทำประวัติของตัวเองให้ดูดีเข้าไว้ ความล้มเหลวหรือความยากลำบากที่เคยพบเจอมาก็ไม่ต้องไปพูดถึง คนที่เคยพบกับความล้มเหลวหรือความยากลำบากมามากต่างหาก ที่เหมาะจะเป็นหัวหน้า เพราะจะเข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังเป็นทุกข์ เวลาจะทำอะไรจึงคำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นก่อน
วิธีคิด 6
ให้ความสำคัญกับหน้าร้าน
สมัยที่ผู้เขียนเป็นซีอีโอของสตาร์บัคส์ หนึ่งในเรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษคือ การออกเยี่ยมร้านแต่ละสาขา แต่เพราะมีเวลาจำกัดจึงไปได้ไม่มากเท่าที่คิดไว้ ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามหาเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนได้ ปรากฏว่าแต่ละสาขาต้อนรับอย่างดี พนักงานร้านหลายคนถึงกับประหลาดใจ เมื่อซีอีโอมาหาถึงที่ ผู้เขียนใส่ใจเรื่องการออกเยี่ยมหน้าร้านเป็นพิเศษ เหตุผลก็เพราะเกือบทั้งหมดของยอดขายที่มากกว่า 100,000 ล้านเยน มาจากหน้าร้านนี่เอง ถ้าไม่ให้ความสำคัญกับคนที่ต้องพบปะลูกค้าโดยตรงแล้ว จะไปให้ความสำคัญกับใคร
การทำงานอยู่ที่สำนักงานใหญ่มักทำให้ค่อย ๆ หลงลืมจุดนี้ไป หัวหน้าจึงต้องใส่ใจเรื่องนี้ให้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบริษัทที่มีขนาดใหญ่ ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้นมากแค่ไหน ก็ยิ่งห่างไกลจากหน้าร้านมากขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปคนเรามักใส่ใจคนที่มีอำนาจ และอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่ากันอยู่แล้ว จะระมัดระวังกริยามารยาท และพยายามไม่ทำตัวไม่เหมาะสมกับคนกลุ่มนี้ แต่คนที่ทำงานด้วยไม่ได้มีแค่คนที่ตำแหน่งสูงกว่าเท่านั้น
อันที่จริงตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ มักต้องทำงานร่วมกับคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าอยู่บ่อย ๆ และหัวหน้าจำเป็นต้องมีลูกน้องที่เต็มใจทำงานให้ ดังนั้น คนที่หัวหน้าต้องใส่ใจเป็นพิเศษจึงควรเป็นลูกน้องต่างหาก นอกจากจะสนใจสีหน้า ท่าทางของหัวหน้า หรือคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าแล้ว ยังมีต่อลูกน้องหรือรุ่นน้องในที่ทำงาน รวมทั้งใส่ใจและสนใจมองเหล่าคนที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าด้วย อาจเห็นว่านี่เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วยนั้น นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก
วิธีคิด 7
เข้าใจในความน่ากลัวของอำนาจ
ตำแหน่งไม่ใช่อำนาจ แต่คือความรับผิดชอบ สิ่งหนึ่งที่คนเป็นหัวหน้าจะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ ความหมายของคำว่าตำแหน่งบนโลกใบนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากก้าวหน้า อยากเลื่อนตำแหน่ง เพราะยิ่งตำแหน่งสูงขึ้น ก็ยิ่งมีสิทธิ์ทำสิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการได้มากขึ้น แถมยังได้รับเกียรติยศหรือทรัพย์สินเงินทองเพิ่มขึ้น หรือพูดง่าย ๆ ก็คือตำแหน่งที่สูงขึ้นทำให้มีอำนาจมากขึ้นนั่นเอง
แต่ต้องตระหนักด้วยว่า อำนาจมาพร้อมกับความรับผิดชอบ เมื่อมองเผิน ๆ การมีตำแหน่งและอำนาจอยู่ในมือ อาจเป็นเรื่องที่ดูดีมาก ผู้เขียนได้รับงบสำหรับรับรองลูกค้ามากขึ้น ได้รถประจำตำแหน่ง ได้เงินเดือนเพิ่ม และมีลูกน้องอีกเป็นร้อยคน แต่ถ้าพิจารณาดี ๆ แล้ว อภิสิทธิ์เหล่านี้นับเป็นของล่อตาล่อใจ ที่ถ้ารับมาอย่างไม่มีสติ ก็อาจมัวเมาไปกับมันจนถอนตัวไม่ขึ้น และเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คนที่เหมาะจะเป็นหัวหน้า ควรเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่สามารถเอาชนะสิ่งยั่วยวนเหล่านั้นได้ คนเป็นหัวหน้าจำเป็นต้องขัดเกลาตัวเองให้มีความหนักแน่น มั่นคงเพียงพอ เพราะการขัดเกลาตัวเองให้เอาชนะสิ่งยั่วยวนเหล่านั้นได้ คือเงื่อนไขขั้นพื้นฐานของการเป็นหัวหน้า
วิธีคิด 8
หัวหน้าควรเริ่มสร้างภารกิจ
ที่สตาร์บัคไม่มีคู่มือการบริการเลย แน่นอนว่ามีคู่มือการปฏิบัติงาน ในกรณีที่จะเสิร์ฟกาแฟหรือเครื่องดื่มอื่น ๆ แต่ไม่มีคู่มือเล่มไหนกล่าวถึงการบริการลูกค้าแม้แต่น้อย ภารกิจของสตาร์บัคคือ การตั้งคำถามกับตัวเองว่า อยู่ที่นี่เพื่ออะไร เมื่อมีปัญหาสตาร์บัคจะหวนกลับไประลึกถึงจุดเริ่มต้น ที่เป็นต้นกำเนิดของการก่อตั้งกิจการขึ้นมาเสมอ โดยถามว่าพวกเราอยู่ที่นี่เพื่ออะไร และต้องการทำอะไร
การหมั่นทบทวนตัวเองแบบนี้ ทำให้สตาร์บัคมีบริการที่หลากหลาย และให้บริการได้โดยไม่ต้องยึดติดกับคู่มือ หากเป็นผู้นำที่ต้องดูแลคนทั้งบริษัท สิ่งแรกที่ควรทำคือการคิดให้ออกว่า ทุกคนอยู่ในองค์กรแห่งนี้ไปเพื่ออะไร เหตุผลที่ทุกคนมาอยู่ร่วมกันในบริษัท ก็คือภารกิจ ยิ่งภารกิจมีความสำคัญและยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีอิทธิพลต่อจิตใจของพนักงานมากเท่านั้น เป้าหมายพื้น ๆ อย่างการเพิ่มยอดขาย หรือการทำกำไรให้ได้ตามเป้านั้น ไม่ควรนำมากำหนดเป็นภารกิจ
จึงจำเป็นต้องหาอะไรบางอย่าง ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้ลูกน้อง หรือพนักงานตั้งใจทำงานอย่างแท้จริง สร้างภารกิจที่ทุกคนเห็นตรงกัน สร้างภารกิจที่จะทำให้ทุกคนมุ่งมั่นตั้งใจ แล้วมันจะกลายเป็นพลังงานยิ่งใหญ่ในที่สุด เมื่อสร้างภารกิจที่แท้จริงขึ้นมาได้ ลูกน้องจะรู้สึกว่าเป็นหัวหน้าที่พวกเขาอยากอยู่ด้วย และเริ่มทำงานให้ด้วยความสมัครใจ
วิธีคิด 9
ตระหนักว่าตัวเองถูกจับตามองอยู่แม้แต่ในห้องน้ำ
สำหรับลูกน้องแล้ว แม้แต่ตอนเข้าห้องน้ำประธานบริษัทก็ยังถูกจับตามอง ด้วยท่าทีของหัวหน้าเป็นสิ่งที่พวกเขาใส่ใจเป็นพิเศษ เวลาที่หัวหน้าทำอะไรจึงส่งอิทธิพลไปทั่วบริษัท ถ้าหัวหน้าทำหน้ากลุ้มใจทุกคนก็จะกลุ้มใจตามไปด้วย สิ่งที่ควรจำไว้ก็คือหัวหน้าต้องมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอว่าในระยะยาวแล้วจะดีขึ้น เวลาอยู่ต่อหน้าลูกน้องต้องยึดมั่นในความรู้สึกที่ว่า แม้จะมีโอกาสแค่ 1% แต่ต้องทำได้อย่างแน่นอนไม่ต้องเป็นห่วงเลย แล้วก็ต้องแสดงความรู้สึกนี้ออกมาให้ลูกน้องเห็น
หัวหน้าควรช่วยคลายความวิตกให้ลูกน้อง ด้วยการมองโลกในแง่ดี แต่บางครั้งสถานการณ์ก็ไม่เอื้อให้ทำเช่นนั้นเสมอไป หัวหน้าจึงควรคาดการณ์และเตรียมการรับมือ หากเกิดเรื่องร้าย ๆ ไว้ล่วงหน้าด้วย นอกจากนี้หัวหน้าไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ ไม่ต้องแสดงออกว่าตัวเองเก่ง เพราะมันจะส่งผลเสียมากกว่า บริษัทไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยคนเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะทำเป็นเก่งสักแค่ไหน สุดท้ายหัวหน้าก็ไม่สามารถแก้ได้ทุกปัญหาอยู่ดี ดังนั้น จึงควรแสดงจุดยืนว่าต้องการให้ทุกคนช่วยเหลือและสนับสนุนมากกว่า เพราะนั่นจะยิ่งทำให้ลูกน้องรู้สึกว่าอยากอยู่ด้วยมากขึ้นไปอีก
บทที่ 2 หัวหน้าไม่จำเป็นต้องพูดเก่ง
วิธีสื่อสารของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย
วิธีคิด 10
คำพูดและการกระทำในแต่ละวัน
คือสิ่งที่สร้างความเชื่อใจให้แก่กัน
หัวหน้าที่ได้รับการสนับสนุนจากคนรอบข้าง เพราะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน แตกต่างกับหัวหน้าแบบอื่น ๆ อยู่ที่ระดับความเชื่อใจระหว่างหัวหน้ากับลูกน้อง หัวหน้าแบบนี้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง ซึ่งนำไปสู่ความเชื่อมั่นในกันและกันอย่างลึกซึ้ง ปัจจัยที่สำคัญอย่างมากคือความกระตือรือร้น ที่จะสื่อสารกับลูกน้อง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนพูดเก่ง คนจำนวนไม่น้อยมักเข้าใจผิดว่า การสื่อสารคือการพูดเท่านั้น
แต่จริง ๆ แล้วยังมีวิธีอื่นอีก ตัวอย่างเช่น การที่รับฟังลูกน้องและจดโน้ตตามไปด้วยขณะที่เขาพูด ก็ถือเป็นการสื่อสารอย่างหนึ่ง อีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ การกระทำ สำหรับลูกน้องแล้วทุกการกระทำของหัวหน้าล้วนมีความหมาย ลูกน้องจะสังเกตว่าหัวหน้าดีใจกับเรื่องอะไร หรือโมโหกับเรื่องอะไร แล้วพยายามตีความจากท่าทีเหล่านั้น คำพูดและการกระทำในแต่ละวัน รวมถึงวิธีการทำงานของหัวหน้า ล้วนเป็นการสื่อสารทั้งสิ้น
วิธีคิด 11
แค่คำพูดเดียวก็สามารถสร้างแรงจูงใจให้ลูกน้องได้
ผู้เขียนจำคำพูดหนึ่งของหัวหน้าสมัยที่ทำงานอยู่ที่ นิสสัน มอเตอร์ ได้จนถึงทุกวันนี้ จะบอกว่ามันเป็นคำพูดที่พลิกผันชีวิตการทำงานเลยก็ว่าได้ ที่กล้าลุยงานโดยไม่หวั่นเกรงเกรงอะไรก็เพราะคำพูดนี้นี่เอง ด้วยความที่พึ่งเข้ามาทำงานได้เพียง 2 ปี จึงไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรบ้าง หัวหน้าที่เคารพมาจนถึงปัจจุบันเลยบอกอย่างนี้ ถึงจะทำพลาดบริษัทก็ไม่เจ๋งหรอกทำไปเลยไม่ต้องลังเล คำพูดนั้นทำให้ตาสว่างขึ้นมาทันที ในตอนนั้นยังอ่อนประสบการณ์มาก ทุกคนคงจะเห็นถึงความตั้งใจ ตั้งแต่นั้นมาก็ได้ทำงานต่าง ๆ ร่วมกับคนในโรงงาน หลังจากนั้นบริษัทดังกล่าวก็ได้รับรางวัลด้านการควบคุมคุณภาพของนิสสัน และยิ่งไปกว่านั้นยังคว้ารางวัลเดมมิ่ง (Deming Prize) ซึ่งเป็นรางวัลอันทรงเกียรติที่มอบให้กับบริษัท ที่มีระบบควบคุมคุณภาพยอดเยี่ยมมาได้อีกด้วย หัวหน้าสามารถใช้คำพูดแค่ประโยคเดียว ทำลายความวิตกกังวล และสร้างแรงจูงใจให้ลูกน้องกล้าฝ่าฟันทำงานได้ คำพูดของหัวหน้ามีพลังถึงเพียงนั้น
วิธีคิด 12
หัวหน้าต้องหมั่นถามความเห็นลูกน้อง
ลูกน้องคือมิตรสหายที่มีเป้าหมายร่วมกัน ดังนั้น หัวหน้าจึงควรถามความเห็นลูกน้องตั้งแต่เริ่มกำหนดภารกิจ และให้ทุกคนร่วมกันคิดว่าต้องทำอย่างไร จริง ๆ แล้วลูกน้องเองก็คงอยากออกความเห็นเหมือนกัน แต่เพราะไม่มีโอกาส และบางครั้งบรรยากาศรอบตัวก็ไม่เอื้อให้พูด เลยไม่ได้พูดออกไป คิดว่าคงมีคนไม่น้อยที่เคยประสบปัญหานี้ ในเวลาแบบนี้ สิ่งที่สำคัญคือท่าทีของหัวหน้านั่นเอง ปกติลูกน้องก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับหัวหน้า ไม่ค่อยกล้าออกความคิดเห็นกันเท่าไหร่อยู่แล้ว คนเป็นหัวหน้าจึงควรเป็นฝ่ายเข้าหา และเอ่ยปากถามความคิดเห็นของลูกน้องก่อน
วิธีคิด 13
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากสุนทรพจน์ก็คือการพูดโดยนึกถึงผู้ฟัง
สิ่งที่เรียกว่าการบริหารบริษัท ไม่ได้มีแต่เรื่องการจัดการงบกระแสเงินสด หรือการบริหารมูลค่าผู้ถือหุ้น (Shareholder Value) มันไม่สามารถกระตุ้นพลังงานได้อยู่ดี สิ่งที่พวกเขาสนใจน่าจะเป็นคำพูดที่ว่าจะกอบกู้บริษัทนี้อย่างไร แล้วหลังจากนี้จะมีอนาคตที่สดใสแบบไหนรอบริษัทอยู่ การสื่อสารที่ออกมาจากความคิดเห็นของตัวเอง และคำพูดที่กลั่นออกมาจากใจนี่เองคือ สาเหตุที่ทำให้บริษัทเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้
วิธีคิด 14
ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าใจง่ายไว้ก่อน
การกล่าวสุนทรพจน์แต่ละครั้งจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าผู้พูดสามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟังได้มากแค่ไหน และทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้มากเพียงใด พูดเรื่องที่พนักงานเข้าใจได้ง่าย ๆ เป็นรูปประธรรมชัดเจน เวลาที่พูดกับลูกน้อง สิ่งที่คนเป็นหัวหน้าต้องให้ความสำคัญมากที่สุดคือ ต้องให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย นอกจากนี้ หัวหน้าควรแบ่งปันข้อมูลที่สามารถเปิดเผยได้ให้ลูกน้องได้รับรู้บ้าง เพราะลูกน้องก็ย่อมอยากรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ต้องรู้จักคิดจากมุมมองของพวกเขาด้วย ไม่ใช่ยึดแต่ตัวเองเป็นหลักอย่างเดียว ถ้ารักลูกน้องก็จะรู้เองโดยอัตโนมัติว่าควรทำอย่างไร ความรู้สึกอยากพูดบางอย่างให้ลูกน้องสบายใจ หรือคำนึงถึงอีกฝ่ายอยู่เสมอ ล้วนเกิดขึ้นจากการที่หัวหน้ารักลูกน้อง สุดท้ายแล้วความรู้สึกเหล่านั้น จะแสดงออกมาผ่านการสื่อสารของหัวหน้า
วิธีคิด 15
ถ่ายทอดความคิดผ่านตัวหนังสือ
แม้ว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือ การพูดคุยด้วยตัวเองโดยตรง แต่ถ้ามีเหตุผลให้ไม่สามารถทำได้ก็จำเป็นต้องคิดหาวิธีอื่น พนักงานที่ได้พบกับหัวหน้าเป็นประจำอาจไม่สนใจจดหมายข่าว แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับหัวหน้า การสื่อสารด้วยการเขียนจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมาก เพราะฉะนั้นเขียนส่งให้อ่านเลย วิธีนี้จะกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสารกับลูกน้อง นอกเหนือจากประโยชน์ที่ว่ามา การเขียนยังมีข้อดีมาก ๆ อีกอย่างหนึ่งนั่นคือ สามารถอ่านซ้ำได้ บางครั้งคนเราแค่ฟังครั้งเดียวก็อาจจะเข้าใจไม่ได้ทั้งหมด ยิ่งจะให้จำจนเอาไปทำเป็นนิสัยยิ่งยากหนักเข้าไปอีก ซึ่งจำเป็นต้องย้ำในเรื่องเดิม ๆ อยู่บ่อย ๆ ซึ่งจุดนี้ที่การเขียนจะสร้างประโยชน์ให้กับหัวหน้าได้
วิธีคิด 16
ควรตำหนิด้วยคำว่า ไม่สมเป็นคุณเลยนะ หรือแม้แต่คุณก็ยังทำไม่ได้หรอ
วิธีต่อว่าด้วยคำพูดที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก
การจะต่อว่าลูกน้องก็มีจุดที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษอยู่นั่นคือ ต้องตำหนิด้วยวิธีพูดที่ไม่ให้ทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก มักจะใช้คำพูดอ้อม ๆ ว่าไม่สมเป็นคุณเลยนะ ซึ่งมันมีความหมายแฝงว่า คาดหวังในตัวคุณมาก คิดว่าคุณต้องทำได้แน่ ๆ แล้วทำไมถึงทำไม่ได้ หากเป็นปัญหาที่ดูแล้วยุ่งยากก็จะบอกทำนองว่า แม้แต่คุณยังทำไม่ได้หรอเป็นการสื่อว่า ระดับคุณยังทำไม่ได้เลยหรอ มันเป็นปัญหาใหญ่เลยสินะ แล้วค่อยรับฟังเรื่องราวอีกที อย่างไรก็ตาม ถ้าเรื่องนั้นเป็นความผิดร้ายแรง หัวหน้าต้องแสดงความไม่พอใจออกมา ต่อให้ต้องตวาดหรือดุด่าก็ตาม เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ลูกน้องคนอื่น ๆ อาจเข้าใจผิดว่า นั่นเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับได้
วิธีคิด 17
เคล็ดลับในการพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก
ให้ประสบความสำเร็จคือการเตรียมตัว
ถ้าพูดถึงการสื่อสารของคนเป็นหัวหน้า หลายคนคงนึกถึงการพูดต่อหน้าคนอื่น ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้น โอกาสที่จะต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมากก็มีมากขึ้นด้วย เคล็ดลับคือการเตรียมตัวโดยอาจตระหนักว่าการเตรียมตัวเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง แม้แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น สภาพแวดล้อมของสถานที่ บรรยากาศเป็นแบบใด มีแท่นบรรยายหรือไม่ มีไมโครโฟนหรือเปล่า หรืออ่านโพยได้ไหมก็ไม่ควรมองข้าม เพราะการเตรียมตัวให้พร้อมจะช่วยคลายความกังวล และไม่ตื่นตระหนกในวันจริง ที่เหลือก็แค่เชื่อมั่นเข้าไว้ว่า ถ้ามีเนื้อหาที่จะพูด บวกกับความตั้งใจแล้ว ทุกอย่างย่อมผ่านไปได้ด้วยดีแน่นอน
บทที่ 3 หัวหน้าต้องไม่ไปดื่มกับลูกน้อง
วิธีบริหารของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย
วิธีคิด 18
พิตเชอร์กับผู้เล่นในตำแหน่งฐานที่ 3 ใครน่ายกย่องกว่ากัน
การมัวแต่คิดว่าใครสำคัญกว่ากัน หรือใครใหญ่กว่ากันนั้น ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่ต่างอะไรกับการเอาพิตเชอร์ไปเปรียบกับผู้เล่นในฐาน 3 ประธานบริษัทอาจเปรียบได้กับพิตเชอร์ แต่ถามว่ามีพิตเชอร์คนเดียวจะเล่นเบสบอลได้ไหม ย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะการเล่นเบสบอลต้องอาศัยผู้เล่นตำแหน่งอื่น ๆ ด้วย ถ้าเกิดมีสมาชิกไม่ครบทีมก็ลงสนามไม่ได้ ในทำนองเดียวกันบริษัทเองก็ต้องอาศัยพนักงานมาทำหน้าที่ที่แตกต่างออกไป สิ่งที่ไม่เหมือนกันก็มีแค่เรื่องที่อยู่ในตำแหน่งซีอีโอ ส่วนพวกเขาอยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบหน้าร้าน ซึ่งแตกต่างกันแค่เพียงหน้าที่เท่านั้นเอง
วิธีคิด 19
เริ่มด้วยการสนใจลูกน้อง
ในฐานะที่เป็นหัวหน้า สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดคือ การให้ความสนใจกับลูกน้องนี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ขอแค่สนใจลูกน้องอยู่เสมอเวลาที่เขารู้เศร้าหรือไม่สดชื่นก็ลองไต่ถามดู หรือเวลาที่ดูสดใสอารมณ์ดีก็เข้าไปชวนคุย เพียงเท่านี้ลูกน้องก็จะรับรู้ได้เลยว่าหัวหน้าใส่ใจ นอกจากนี้ต้องจำไว้ว่า ยิ่งตำแหน่งสูงมากเท่าไหร่ ก็ต้องยิ่งใส่ใจลูกน้องเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
วิธีคิด 20
ผูกมิตรและให้ความสำคัญกับหน้าร้านอยู่เสมอ
บริษัทจะอยู่รอดได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหน้าร้าน อาจกล่าวได้ว่าประกายไฟที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับองค์กรได้ก็อยู่ตรงนี้เช่นกัน ปฏิบัติกับพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานพาร์ทไทม์ของร้าน หรือผู้บริหารระดับสูง ทุกคนล้วนเป็นพวกพ้องจึงไม่ต้องเลือกปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ควรมีทัศนคติเป็นกลาง ไม่เอนเอียงไปทางฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป จำเป็นต้องมีความมุ่งมั่นที่จะเข้าหาทุกคน ไม่อย่างนั้นจะยิ่งห่างไกลจากพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ และวิธีที่จะช่วยปรับสมดุลไม่ให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจมากเกินควรได้ก็คือ การให้ความสำคัญกับฝ่ายปฏิบัติการหรือหน้าร้าน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่ค่อยมีอำนาจนั่นเอง
วิธีคิด 21
เวลาที่ขอให้ใครทำงานให้จงเริ่มจากคำว่าทำไม
ถ้าเป็นหัวหน้าก็เป็นธรรมดาที่จะต้องขอความร่วมมือจากลูกน้องในบางสถานการณ์ แต่ถ้าขอให้เขาทำงานโดยพูดแค่ว่าช่วยทำงานนี้ให้หน่อย ลูกน้องก็คงไม่ค่อยกระตือรือร้นอยากทำให้สักเท่าไหร่ เพราะว่าการพูดแค่นั้นไม่ช่วยให้ลูกน้องรู้สึกตระหนักในหน้าที่ขึ้นมาได้ หรือพูดอีกอย่างก็คือไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องทำงานนั้นนั่นเอง ไม่ปฏิบัติกับลูกน้องเหมือนเขามีหน้าที่แค่คอยรับคำสั่ง แต่ต้องให้ความสำคัญกับเขา อธิบายให้เขาฟังว่างานนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร และมีความสำคัญแค่ไหนแล้วจะรู้สึกกระตือรือร้นที่จะทำขึ้นมาเอง หรือพูดอีกอย่างก็คือต้องไม่สักแต่ว่าสั่งให้ทำอะไร แต่ควรอธิบายให้ลูกน้องเข้าใจว่าทำไมถึงต้องทำ แต่ถ้าแบ่งปันข้อมูลให้ลูกน้องรับรู้ตั้งแต่ต้น บ่อยครั้งที่พวกเขาจะช่วยเพิ่มคุณค่า ให้กับงานที่ได้รับมอบหมายโดยที่ไม่ต้องร้องขอ
วิธีคิด 22
การประเมินต้องมองให้รอบด้าน
ทั้งด้านบน ด้านข้าง และด้านล่าง
สำหรับหัวหน้าแล้วอีกหน้าที่หนึ่งที่สำคัญคือ การประเมินลูกน้อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งประเมินลูกน้องได้ยากขึ้นเท่านั้น เพราะหัวหน้าแทบจะไม่มีโอกาสได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของลูกน้อง แถมยังมีบางประเภทที่จะทำดีกับคนที่มีตำแหน่งสูงกว่า แต่กลับปฏิบัติตัวแย่กับคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าอย่างลูกน้องของตัวเองอยู่ด้วย ถ้าคิดจากมุมมองของหัวหน้า เวลาที่ลูกน้องมาทำดีด้วยก็ย่อมไม่มีทางจะไม่ชอบอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกว่าคน ๆ นี้เข้าอกเข้าใจ และคอยสนับสนุน
แต่นี่เป็นการมองแค่ด้านเดียว ถ้าลองถามลูกน้องของลูกน้องดูก็จะได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วทำตัวหยิ่งยโสกับคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่า หรือบางคนต่อหน้าเป็นอีกอย่าง แต่ลับหลังกลับชอบนินทาก็มี เรื่องแบบนี้พบเห็นได้จริงในชีวิตการทำงาน ด้วยเหตุนี้ เวลาที่จะประเมินใครจำเป็นต้องมองลักษณะนิสัยให้รู้แจ้งทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง เพราะพวกที่ชอบทำตัวเป็นโรคสองบุคลิก เวลาอยู่กับคนที่ตำแหน่งสูงกว่าก็ทำเป็นนอบน้อม แต่พออยู่กับคนที่ตำแหน่งต่ำกว่ากลับชอบกดขี่ข่มเหงนั้น มีอยู่เยอะจนน่าตกใจเลยทีเดียว
วิธีคิด 23
ใช้สัญชาตญาณมาช่วยในการกำหนดนโยบาย
เมื่ออยู่ในตำแหน่งของผู้นำองค์กร บางครั้งก็จำเป็นต้องกำหนดนโยบายหลัก ๆ ก่อนจึงจะเริ่มงานด้านการบริหารอื่น ๆ ได้ อาจใช้วิธีพูดคุยกับลูกน้องแล้วช่วยกันตัดสินใจ แต่ในบางกรณีก็อาจต้องเป็นคนตัดสินใจเองทั้งหมด คงมีหัวหน้าจำนวนไม่น้อยเลยที่รู้สึกเครียดกับการกำหนดนโยบายสำคัญ ท่ามกลางสายตาของลูกน้องที่จับจ้องอยู่ ให้ใช้สัญชาตญาณหรือความรู้สึกในตอนนั้นเป็นตัวช่วย ในการกำหนดนโยบายได้ แม้จะไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลมาอธิบาย แต่มนุษย์มักสัมผัสได้เองว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับบริษัทในตอนนี้คืออะไร อย่างไรก็ตาม ทุกบริษัทล้วนมีจุดเริ่มต้นในการก่อตั้ง จงถามตัวเองว่าจุดเริ่มต้นของบริษัทคืออะไร ในบางครั้งการทิ้งเหตุผลเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป แล้วหันมาใช้ความรู้สึกเป็นตัวกำหนด เป้าหมายระยะกลางหรือระยะยาว ก็เป็นทางเลือกที่ดี การกำหนดนโยบายจะทำให้เลิกพะวงกับเรื่องหยุมหยิม แล้วหันมาเผชิญหน้ากับปัญหาได้อย่างเต็มที่ การกำหนดนโยบายใหญ่ ๆ ในระยะสั้นหรือระยะยาวไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน หรือใช้เหตุผลมาอธิบายเสมอไป เพราะฉะนั้นผู้นำสามารถตัดสินใจโดยอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองได้
วิธีคิด 24
หัวหน้าต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่ทำต้องเห็นผลอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ว่าจะเป็นบริษัทไหน ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีกว่าจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง คนเป็นหัวหน้าจึงควรใช้เวลา 3 เดือนในการทำความเข้าใจภาพรวมของงานเสียก่อน แล้วค่อยลงมือทำ อาจเริ่มจากการทำการคิดแนวทางที่จะเป็นกลยุทธ์ใหม่ ๆ เสียก่อน แล้วจึงค่อยลงมือปฏิบัติจริงในช่วง 3 เดือนต่อมา กว่าสิ่งที่ลงมือทำจะเริ่มปรากฏผลให้เห็นในอีกครึ่งปีเป็นอย่างต่ำ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลหรือรีบร้อนอะไรเลย
วิธีคิด 25
จงเลือกเป็นคนดีมากกว่าทำได้ดี
หัวหน้าควรชื่นชมคนแบบใด มีวิธีคิดหาคำตอบแบบง่าย ๆ มานำเสนอ ให้วาดตารางขึ้นมา โดยให้แนวนอนเป็นเรื่องของการทำงานว่าเก่งหรือไม่เก่ง ส่วนแนวตั้งคือพื้นฐานความเป็นมนุษย์ หรือจะเรียกอีกอย่างว่านิสัยก็ได้ว่าดีหรือไม่ดี ดังนั้น ตารางที่ได้จะมีสี่ช่องด้วยกันคือ ทำงานเก่งและนิสัยดี นิสัยดีแต่ทำงานไม่เก่ง ทำงานเก่งแต่นิสัยไม่ดี และสุดท้ายคือทำงานไม่เก่งและนิสัยไม่ดี แน่นอนว่าลูกน้องที่หัวหน้าชื่นชมมากที่สุดน่าจะเป็นลูกน้องที่ทำงานเก่งและนิสัยดีอยู่แล้ว แต่คนที่น่าชื่นชมรองลงมาคือลูกน้องที่นิสัยดีแต่ทำงานไม่เก่ง
อาจจะทำให้หัวหน้าคิดว่าต้องเสียเวลามาสอน แต่ถ้าค้นพบจุดที่เขาทำได้ดี และพัฒนาต่อยอดจากจุดนั้นได้ มันก็จะคุ้มค่าที่จะสอน ที่จริงแล้วลูกน้องกลุ่มที่น่าปวดหัวมากที่สุดคือ ลูกน้องกลุ่มที่อยู่ในช่องทำงานเก่งแต่นิสัยไม่ดี นอกจากนี้คนที่ต้องระวังเป็นพิเศษคือ คนที่ต่อหน้าบอกว่าทำเพื่อบริษัท แต่ลับหลังเป็นพวกเจ้าแผนการ คิดแต่จะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
การทำงานในองค์กรนั้น ยิ่งตำแหน่งสูงขึ้นมากเท่าไหร่ นิสัย (คุณธรรม) ก็ยิ่งมีความสำคัญกว่าทักษะมากขึ้นเท่านั้น ไม่ควรมอบหมายให้คนนิสัยไม่ดีหรือไม่มีคุณธรรมดูแลลูกน้องหลายคน คนที่ควรเลือกคือคนที่พอมีความรู้ความสามารถในระดับหนึ่ง เขาอาจขาดทักษะบางอย่าง แต่ถ้าเป็นคนที่มีนิสัยดีและมีคุณธรรมก็ถือว่าเหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้า เพราะคนที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วยคือคนแบบนี้
วิธีคิด 26
วิธีร่วมงานกับหัวหน้าหรือลูกน้องที่เข้ากันไม่ได้
เมื่อได้เป็นผู้นำองค์กร ก็อาจมีบางครั้งที่ต้องปวดหัวกับลูกน้องที่รับมือยาก เช่น พนักงานใหม่ที่ยังไม่เข้าใจโลกของการทำงาน เพิ่งทำงานจึงยังไม่ค่อยรู้มารยาท หรือวัฒนธรรมในบริษัท อย่างไรก็ตาม ก็อาจโชคร้ายเจอลูกน้องที่เข้ากันไม่ได้ และมีความคิดเห็นไม่ตรงกันสักอย่าง เพราะในความเป็นจริงแล้วแค่เป็นไปไม่ได้เลย ที่พนักงานทุกคนจะเข้ากันได้ทุกเรื่อง หัวหน้าต้องเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน จากนั้นก็ต้องพยายามหันหน้ามาพูดคุยกัน การสื่อสารก็เป็นเหมือนกระจก ถ้าพยายามเปิดใจพูดกันเขาก็จะเปิดใจพูดด้วย
ในทางกลับกัน ถ้าเอาแต่คิดอยู่ในใจว่าท่าทางจะเข้ากันไม่ได้ มีแต่อั้ม ๆ อึ้ง ๆ ไม่ยอมพูดอะไรออกไปให้ชัดเจน อีกฝ่ายก็จะทำตัวแบบนั้นด้วย สุดท้ายลูกน้องก็จะพยายามพูดจาไม่ให้กระทบหูหัวหน้า แทนที่จะพูดในสิ่งที่ตัวเองคิดจริง ๆ ออกมา สิ่งสำคัญคือการพูดคุยกันโดยปราศจากอคติ หากพยายามเต็มที่แล้วแต่ก็ยังเข้ากันไม่ได้ หรืออีกฝ่ายแสดงท่าที่ต่อต้านอย่างชัดเจน การแสดงออกให้อีกฝ่ายเห็นบทบาทว่าเป็นหัวหน้าก็เป็นสิ่งที่จำเป็น พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำให้เห็นว่าอยู่ในตำแหน่งที่สามารถประเมินหรือตัดสินเขาได้นั่นเอง
บทที่ 4 หัวหน้าต้องไม่มั่นใจในผลงานของลูกน้อง
การตัดสินใจของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย
วิธีคิด 27
ไม่ต้องตัดสินใจให้ฉับไวเสมอไป
หน้าที่สำคัญของคนที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำคือ การตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจว่าจะเดินหน้าไปทางไหน จะทำหรือไม่ทำ คนที่จะให้คำตอบในขั้นสุดท้ายก็คือหัวหน้า ตำแหน่งหัวหน้ามาพร้อมกับความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ เพราะไม่มีใครสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า ตัวเลือกไหนคือคำตอบที่ถูกต้อง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพยายามอย่างที่สุดไม่ให้เกิดขึ้นก็คือ การตัดสินใจผิดพลาดเพราะมีข้อมูลไม่เพียงพอ เพราะถึงจะทันต่อเหตุการณ์แค่ไหน แต่ถ้าเป็นการตัดสินใจที่ผิด ความรวดเร็วจะมีประโยชน์อะไร ด้วยเหตุนี้ หากไม่มั่นใจจริง ๆ จะยืดเวลาออกไปก่อนก็ไม่เสียหายอะไร
ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่หัวหน้าควรทำคือ ตัดสินใจว่าจะยังไม่ตัดสินใจ และดูว่าจะสามารถเลื่อนมันออกไปได้นานแค่ไหน ที่เหลือก็แค่รวบรวมข้อมูลที่จำเป็นเพิ่มเติม เพราะเมื่อมีข้อมูลมากพอ โอกาสที่จะตัดสินใจผิดพลาดก็ย่อมลดลง อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเลื่อนการตัดสินใจออกไป ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนด้วยว่า เรื่องนั้นสามารถรอได้จนถึงเมื่อไหร่ อย่าลืมเรื่องนี้เป็นอันขาด
วิธีคิด 28
ไม่นำข้อเท็จจริงมาปะปนความคิดเห็น
สาเหตุส่วนใหญ่ที่มักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด เกิดจากข้อเท็จจริงที่หัวหน้าได้รับมานั้นไม่ถูกต้อง หรือไม่ก็เป็นเพราะมีข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการตัดสินใจไม่เพียงพอ ในกรณีแบบนี้ไม่มีทางตัดสินใจให้ถูกต้องได้เลย เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องการมาให้ได้เสียก่อน การเก็บรวบรวมข้อมูลที่ดี ควรเก็บจากสถานที่จริง การหาข้อมูลด้วยตัวเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ มัวแต่รอคนอื่นมาบอก สิ่งที่ได้ฟังจะถูกแต่งเติมด้วยความคิดเห็นส่วนตัวของคนที่มารายงาน โอกาสที่ข้อเท็จจริงจะถูกบิดเบือนจึงเป็นไปได้สูงมาก
อย่างไรก็ตามแต่ สิ่งที่อยากให้ระลึกไว้เสมอก็คือ มั่นใจในตัวลูกน้องได้ แต่อย่ามั่นใจในผลงานของเขา บางครั้งคนเราก็พลาดและเผลอทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือไม่จำเป็นต้องทำ หากเชื่อคำพูดของลูกน้องโดยไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ไว้บ้าง อาจต้องเจอปัญหาในภายหลัง มั่นใจในตัวลูกน้องได้แต่อย่ามั่นใจในผลงานของเขา เพราะถึงอย่างไรลูกน้องก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่สามารถเผอเรอจนทำงานพลาดได้ และต่อให้ลงพื้นที่ไปหาข้อมูลด้วยตัวเอง ก็มีโอกาสที่ข้อมูลนั้นจะถูกบิดเบือนได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กน้อยแค่ไหน ก็ต้องหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอ
วิธีคิด 29
ถ้ามีเรื่องที่ลังเลว่าควรทำหรือไม่คำตอบคือจงลองทำดู
โดยธรรมชาติมนุษย์ไม่ชอบความเสี่ยง ยิ่งเป็นคนชอบคิดอะไรให้รอบคอบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแนวโน้มจะไม่ยอมลงมือทำอะไรใหม่ ๆ เพราะอยากหลีกเลี่ยงความเสี่ยง การตัดสินใจไม่ลงมือทำอะไรนั้น นอกจากจะไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ แล้ว ยังไม่ต้องเปลืองแรงและเวลา แถมไม่ต้องรับผิดชอบถ้าล้มเหลวขึ้นมาอีกด้วย แต่ถ้าเอาแต่คิดแบบนี้ องค์กรก็จะขาดความกระตือรือร้น และไม่กล้าทำเรื่องท้าทาย สุดท้ายองค์กรก็จะย่ำอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้าไปไหน
คนเป็นหัวหน้าต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ และกล้าที่จะลงมือทำสิ่งที่ท้าทาย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าสามารถทำเรื่องท้าทายที่เสี่ยงว่าจะสร้างความเสียหายร้ายแรงอย่างนี้กับบริษัทได้ ต้องไตร่ตรองให้ดีก่อนว่า หากล้มเหลวขึ้นมาความเสียหายสูงสุดจะร้ายแรงแค่ไหน บริษัทจะรับมือไหวหรือเปล่า แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำหรือไม่ทำอย่างมีสติ
วิธีคิด 30
เชื่อมั่นอยู่เสมอว่าทำได้
การตัดสินใจที่สำคัญอย่างหนึ่งในชีวิตคนเราคือ การตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินของชีวิต การไปเรียนต่อต่างประเทศของผู้เขียน ทำให้สัมผัสได้ว่าชาวอเมริกัน โดยเฉพาะที่มีเชื้อสายลาตินจะไม่ฝืนใจตัวเองทำสิ่งที่ไม่อยากทำ และมักใช้ชีวิตแบบสบาย ๆ โดยไม่เคร่งเครียด เพื่อนร่วมชั้นแต่ละคนสอนให้รู้จักว่าวิธีใช้ชีวิตนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่แบบเดียว ที่สำคัญยังได้รู้อีกว่าไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนไหนอยากไปทำงานในบริษัทใหญ่ ยกเว้นเพื่อนชาวญี่ปุ่น ทุกคนต่างตั้งเป้าหมายเข้าทำงานในบริษัทเปิดใหม่ หรือบริษัทขนาดกลาง ในตำแหน่งที่พวกเขาสามารถขับเคลื่อนองค์กรได้ ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับนักศึกษาชาวญี่ปุ่น ที่บริษัทใหญ่ ๆ ส่งมาเรียนต่อ แล้วก็ยังอยากกลับไปทำงานที่เดิมอยู่
พอได้รับอิทธิพลจากเรื่องนี้หลังเรียนจบ จึงย้ายไปทำงานในบริษัทต่างชาติ ซึ่งในตอนนั้นยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนญี่ปุ่น เพราะถูกมองว่าเป็นการตัดสินใจที่พิลึกพิลั่น สาเหตุก็เพราะผู้เขียนเลิกคิดว่า หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ยอมลาออกจากบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น หรือถ้าไม่ได้อยู่ในบริษัทนี้ชีวิตก็คงจบสิ้นไปแล้วแน่ ๆ เมื่อต้องอยู่ในตำแหน่งผู้นำคนอื่น อยากให้เชื่อมั่นว่าทำได้ เมื่อคิดแบบนี้จะกล้าตัดสินใจทำเรื่องท้าทายมากขึ้น และการตัดสินใจนั้นจะกลายเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องในที่สุด
วิธีคิด 31
พัฒนาความสามารถด้านการตัดสินใจของลูกน้อง
หน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของหัวหน้าคือ การพัฒนาลูกน้อง แม้หน้าที่หลัก ๆ ของหัวหน้าคือการตัดสินใจ แต่ชั่วขณะที่ต้องตัดสินใจนี่แหละเป็นโอกาสทองสำหรับฝึกลูกน้อง ด้วยเหตุนี้ทุกครั้งที่ลูกน้องขอให้ช่วยตัดสินใจ ให้ถามความคิดเห็นของเขาก่อนเสมอ เพราะการถามว่าถ้าเป็นอย่างนี้จะทำยังไง หรือคิดยังไงกับเรื่องนี้ จะกระตุ้นให้เขาได้รู้จักคิด ซึ่งเป็นประโยชน์ในอนาคต เมื่อพวกเขาได้ขึ้นเป็นหัวหน้า
หัวหน้าต้องเป็นแบบอย่างให้ลูกน้องเห็นว่า การตัดสินใจที่เด็ดขาดนั้นเป็นอย่างไร ถ้าผ่อนปรนยอมปล่อยให้ลูกน้องทำผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ โดยไม่ยอมแก้ไขเรื่อย ๆ พวกเขาก็จะยิ่งหละหลวมกันมากขึ้น การเข้มงวดกับเรื่องพวกนี้ เป็นอีกหนึ่งในหน้าที่ของหัวหน้า
วิธีคิด 32
หัวหน้าต้องไม่หนี
สิ่งหนึ่งที่ผู้นำองค์กรโดยเฉพาะหัวหน้า ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับกลางห้ามทำเด็ดขาดคือ ชอบปัดความรับผิดชอบ ด้วยการบอกว่าเบื้องบนเขาสั่งมาช่วยไม่ได้หรอก การทำแบบนี้มีแต่ทำให้ลูกน้องผิดหวัง เพราะเขาจะอดรู้สึกขึ้นมาไม่ได้ว่า แล้วจะมีหัวหน้าไปเพื่ออะไร หากคนเป็นหัวหน้าทำพฤติกรรมเช่นนี้ ลูกน้องก็คงเชื่อใจไม่ลงและไม่อยากอยู่ด้วยแน่นอน เรื่องที่จะละเลยไม่ได้เลยก็คือ หัวหน้าต้องชี้แจงให้ลูกน้องฟังอย่างชัดเจนว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะอะไรบริษัทถึงปฏิเสธข้อเสนอนี้ หรือเพราะเหตุใดประธานบริษัทถึงให้ทำแบบนี้ คนเป็นหัวหน้าต้องอธิบายเหตุผลให้ได้ หากไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ลูกน้องจะรู้สึกผิดหวังในตัวหัวหน้า แม้สุดท้ายข้อเสนอจะยังคงถูกปฏิเสธไม่เปลี่ยนแปลง แต่อย่างน้อยหัวหน้าก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ได้พยายามต่อสู้เพื่อพวกเขาอย่างสุดความสามารถแล้ว แถมยังกลับมาอธิบายเหตุผลได้อย่างละเอียดด้วย เมื่อมองจากมุมมองลูกน้องก็น่าจะรู้สึกได้ว่า หัวหน้าทำเต็มที่แล้วจริง ๆ
บทที่ 5 หัวหน้าต้องไม่หยุดอยู่กับที่
วิธีทำงานของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย
วิธีคิด 33
เริ่มจากลงมือทำให้คนอื่นดูเป็นแบบอย่างเสียก่อน
ถ้าหัวหน้าทำตัวเป็นแบบอย่าง ความเปลี่ยนแปลงก็จะเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ แน่นอนว่า ต้องมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และความปรารถนาอันแรงกล้า การจะบรรลุเป้าหมายใหญ่ ๆ ได้นั้น ต้องเริ่มต้นด้วยการจัดการกับเป้าหมายเล็ก ๆ เสียก่อน อย่าเพิ่งพยายามทำเป้าหมายใหญ่ ๆ ให้สำเร็จในทันที แล้วก็สั่งสมความสำเร็จไปทีละเล็กทีละน้อย จะนำพาไปถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เอง
แม้มันเป็นเรื่องเล็กน้อย หัวหน้าก็ต้องยิ่งจับตามอง และถ้าเห็นว่าเรื่องนั้นน่าจะเป็นปัญหา ก็ไม่ต้องรีรอให้ลงมือจัดการด้วยตัวเองไปเลย การทำแบบนี้จะทำให้ลูกน้องเกิดความเชื่อใจในตัวหัวหน้า และรู้สึกว่าอยากอยู่ด้วย เชื่อว่าเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ก็ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้
วิธีคิด 34
เชื่อใจเรื่องเวลาที่ใช้กับผลลัพธ์ที่ได้อยู่เสมอ
เมื่อเอ่ยถึงความสามารถในการทำงาน คิดว่ามีเรื่องพื้นฐานที่หัวหน้าขาดไปไม่ได้อยู่ นั่นคือการตระหนักถึงเวลาที่ใช้กับผลลัพธ์ที่ได้ ทุกคนต่างมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน แต่บางคนก็ทำตัวเฉยชา ในขณะที่บางคนทำทุกอย่างอย่างรวดเร็ว สาเหตุก็เพราะคนเรามีวิธีคิดว่า จะใช้ชีวิตอย่างไรไม่สูญเปล่าแตกต่างกันไปนี่เอง
หลักการง่าย ๆ ที่ช่วยให้ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าก็อย่างเช่น เรื่องไหนที่ทำพร้อมกันได้ก็ควรทำพร้อมกัน ถ้ามีสองเรื่องที่ทำพร้อมกันไม่ได้ ก็ให้ดูว่าควรทำเรื่องไหนก่อน ถึงจะช่วยประหยัดเวลาได้ดีที่สุด และพยายามใช้เวลากับเรื่องที่ไร้สาระให้น้อยที่สุด นิสัยแบบนี้จะช่วยให้ใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นิสัยแบบนี้จะส่งผลอย่างมากต่อการทำงาน การใส่ใจเรื่องเวลาที่ใช้กับผลลัพธ์ที่ได้ รวมไปถึงการจัดลำดับความสำคัญว่าควรทำอะไรก่อนอะไรหลัง จะช่วยให้ความสามารถในการทำงานเพิ่มสูงขึ้
วิธีคิด 35
หายเวลาหยุดอยู่กับที่เสียบ้าง
นอกจากจะต้องใส่ใจเรื่องเวลาที่ใช้กับผลลัพธ์ที่ได้ในการทำงานแล้ว รวมถึงเรื่องต้องทำงานให้เสร็จอย่างรวดเร็วแล้ว ก็จำเป็นต้องมีช่วงวันหยุด เพื่อให้ได้มีเวลาทบทวนเรื่องต่าง ๆ ให้รอบคอบ เชื่อว่าการทำแบบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวหัวหน้าและส่วนรวมในระยะยาว ให้ตัวเองหยุดพักไม่ได้เลย ต่อให้พอจะหาเวลาได้บ้าง ก็มักจะต้องเป็นแค่ช่วงช่างสั้น ๆ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะหยุดพักเพื่อคิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ จึงต้องการเวลาที่มากพอสำหรับใช้ทบทวน และสรุปเรื่องราวต่าง ๆ
ถ้าอยากหาเวลาให้ได้อย่างน้อย 3 ชั่วโมงขึ้นไปไม่ใช่แค่ชั่วโมงเดียว อันดับแรกคือ ต้องค้นหาสาเหตุที่ทำให้ตัวเองยุ่งขนาดนี้ให้ได้เสียก่อน ความจริงหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองเสียเวลาในแต่ละวันไปกับเรื่องอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นลองตรวจสอบการทำงานใน 1 วันของตัวเองดู ถ้าทำแบบนี้เป็นประจำ ก็จะได้คำตอบโดยอัตโนมัติว่า จะหาเวลาว่างให้ตัวเองได้อย่างไร อย่าจดแค่เฉพาะสิ่งที่ต้องทำลงไปเท่านั้น แต่ควรจดบันทึกผลลัพธ์ลงในสมุดจดบันทึกตารางงานด้วย นี่เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่จะช่วยเรื่องการบริหารเวลา และยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานได้อีกด้วย
วิธีคิด 36
การดูแลตัวเองจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
การตระหนักถึงการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพอยู่เป็นประจำคือ สิ่งที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำงาน แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ การใส่ใจดูแลตัวเองเวลาเที่ยงคืน เป็นเส้นแบ่งเวลาที่สำคัญมาก เข้านอนก่อนเที่ยงคืนได้ถึงจะไม่ง่วง และหลับตาพักผ่อนได้ พฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลต่อสุขภาพร่างกายในวันถัดไป ถ้าหลับหลังเที่ยงคืนก็เป็นไปได้ที่ร่างกายจะยังไม่หายอ่อนเพลีย คนเราไม่สามารถสะสมเวลานอนหลับได้ ยิ่งทำงานบริษัทก็ยิ่งต้องตื่นให้ตรงเวลา ซึ่งควรให้ความสำคัญกับเวลาเข้านอนเป็นพิเศษ
วิธีหนึ่งในการดูแลตัวเองและยังช่วยรักษาสุขภาพได้ก็คือ การขยับ แค่ขยับขาเวลาที่ต้องทุ่มเทกับงานมาก ๆ คนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยได้ออกกำลังกายสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นจึงควรหาเวลาให้กับร่างกายได้ขยับ แค่ขยับขาไว้บ้าง แน่นอนว่าการออกกำลังกายนั้นดีต่อสุขภาพ แต่คนเป็นหัวหน้ามักชอบเก็บเรื่องงานมาขบคิดตลอดเวลา จนสมองไม่ได้หยุดพัก เมื่อขยับแข้งขยับขาจะทำให้สมองได้หยุดพักและปลอดโปร่งยิ่งขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะปิ๊งไอเดียดี ๆ ที่ไม่มีทางนึกออก หากเอาแต่นั่งอยู่กับโต๊ะทำงานก็เป็นได้
วิธีคิด 37
ถามลูกน้องว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าเป็นประจำ
ถ้าอยากเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย ทั้งหมดที่ต้องทำก็คือการถามว่ามีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่า ส่วนใหญ่แล้วเรื่องที่ทำให้ลูกน้องคิดมากและกังวล มักเป็นเรื่องร้ายมากกว่าเรื่องดี การถามว่ามีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่าอยู่เสมอ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะลูกน้องส่วนใหญ่มักไม่สะดวกใจที่จะเป็นฝ่ายเล่าปัญหาออกมาก่อน แต่ถ้าหัวหน้าเป็นฝ่ายเอ่ยถามอยู่เป็นประจำ ลูกน้องก็จะรู้สึกมั่นใจที่จะเข้ามาปรึกษามากขึ้น
วิธีคิด 38
เหลืออะไรทิ้งเป็นลายลักษณ์อักษรไว้
แล้วจะทำงานได้ง่ายขึ้น
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ขี้ลืม แม้แต่เรื่องสำคัญก็ยังลืมกันง่าย ๆ ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าที่คนเราจะลืมสิ่งที่พูด หรือสิ่งที่ได้ยินไปจนหมด ฉะนั้น จึงควรจดเรื่องที่คิดว่าสำคัญเป็นตัวหนังสือไว้ ให้สามารถเอามาอ่านซ้ำได้ในภายหลัง ถ้าเขียนออกมาเป็นตัวหนังสือจะทำให้ความสนใจสิ่งที่ต้องทำมากขึ้น และเมื่อย้อนกลับไปอ่านรายการที่เคยเขียนไว้ ก็จะนึกออกว่ามีเรื่องไหนบ้างที่ยังทำไม่สำเร็จ และไปถามความคืบหน้าจากคนที่รับผิดชอบในเรื่องนั้นได้ พูดอะไรไปก็ให้เขียน นึกอะไรได้ก็ให้เขียน ลองทำให้ติดเป็นนิสัยดู
วิธีคิด 39
ทำอย่างไรเมื่ออารมณ์ไม่ดี
โลกนี้อาจมีหัวหน้าที่ขึ้นเสียงใส่ลูกน้อง และหาเรื่องคนอื่นไปทั่วเมื่ออารมณ์เสีย แต่ทุกคนคงรู้กันอยู่แล้วว่า นั่นไม่ใช่ลักษณะของหัวหน้าที่ดีเลย เมื่ออารมณ์ไม่ดีจนรู้สึกว่าทำงานไม่ได้ หรือคุมอารมณ์ไม่อยู่ให้ลองลุกออกจากโต๊ะทำงานดู หรือจะไปคุยกับลูกน้องที่ขยันขันแข็ง ๆ และมีไฟในการทำงานดูก็ได้ คิดเสียว่าเป็นการรักษาสมดุลให้ตัวเอง เพราะถึงอย่างไรคนเราก็ไม่อาจวิ่งไปเรื่อย ๆ โดยไม่หยุดพักได้
อาจลองหาสาเหตุที่ทำให้ตัวเองหงุดหงิดดูก็ได้ แต่สาเหตุส่วนใหญ่ที่มักพบมาจากร่างกายเอง เช่น หิวหรือนอนไม่พอ ดังนั้น จึงต้องระวังหรือหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น ลองคิดหาวิธีจัดการตัวเองในตอนที่อารมณ์ไม่ดี หรือหมดไฟในการทำงานดู
บทที่ 6 หัวหน้าไม่จำเป็นต้องเป็นนักอ่าน
เทคนิคการอ่านหนังสือของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย
วิธีคิด 40
อ่านหนังสือเล่มโปรดซ้ำ
คนส่วนใหญ่เชื่อกันว่าคนที่ได้เป็นหัวหน้ามักเป็นพวกชอบอ่านหนังสือ ผู้เขียนเองก็ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน และไม่เคยคิดว่าคนที่เป็นหัวหน้าต้องอ่านหนังสือให้มากกว่าคนอื่นด้วย ถ้าตั้งใจหาเวลาอ่าน เช่น เวลาเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ แทนที่จะอ่านหนังสือให้ได้หลาย ๆ เล่ม อาจจะอ่านหนังสือเล่มโปรดซ้ำไปซ้ำมา ที่น่าสนใจคือน่าจะเป็นหนังสือเล่มเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไปการตีความจะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ประเด็นที่สนใจในตอนนี้อาจไม่ใช่ประเด็นเดียวกันกับสมัยที่เคยอ่านเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ที่สำคัญวิธีอ่านหนังสือแบบนี้ ยังช่วยให้เข้าใจเนื้อหาในหนังสือได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพราะถึงจะเป็นหนังสือเล่มเดิม แต่จุดที่สนใจในตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
วิธีคิด 41
อ่านหนังสือหลายเล่มในเวลาเดียวกัน
เวลาเจอหนังสือเล่มไหนที่คิดว่าน่าจะดีให้รีบซื้อทันที การได้เจอหนังสือดี ๆ เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิต ถ้าต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้รู้สึกแบบนั้น แน่นอนถ้าตอนนั้นไม่รีบซื้อเอาไว้ พอเวลาผ่านไปก็จะลืมชื่อหนังสือ หรือถึงขั้นลืมไปเลยว่าเคยเห็นหนังสือเล่มนั้น เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ผลสุดท้ายเลยกลายเป็นว่าไม่ได้ซื้อหนังสือเล่มนั้น ทั้งที่เป็นหนังสือที่น่าสนใจ และน่าจะมีประโยชน์
อีกเรื่องหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญเวลาเลือกซื้อหนังสือก็คือ ผู้เขียนพิจารณาดูว่างานเขียนของนักเขียนคนนั้นให้ประโยชน์บ้างหรือไม่ ถ้าเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็ให้ลองอ่านผลงานทุกเล่มของนักเขียนคนนั้นดู แน่นอนว่าเมื่อเป็นนักเขียนคนเดียวกัน เนื้อหาบางส่วนก็ย่อมคล้ายคลึงกันเป็นธรรมดา แต่มองว่านั่นเป็นการเน้นย้ำสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าเป็นประเด็นสำคัญ และการอ่านซ้ำ ๆ หลายรอบ ก็จะช่วยให้จำได้ขึ้นใจไปโดยอัตโนมัติ
อ่านหนังสือพร้อมกัน 4-5 เล่ม การอ่านหนังสือหลายเล่มพร้อมกัน จึงทำให้สามารถเลือกหยิบหนังสือ มาอ่านตามอารมณ์ในตอนนั้นได้ ในขณะเดียวกันถ้าอ่านแล้วรู้สึกว่าน่าเบื่อ ไม่เข้ากับตัวเอง ณ ขณะนั้นก็สามารถเลิกอ่านได้ทันที การเน้นข้อความ ทำสัญลักษณ์ หรือคัดลอกจะช่วยให้จดจำได้ดีกว่าอ่านเฉย ๆ การทำแบบนี้ช่วยให้รู้ว่าตัวเองได้เติบโตขึ้นบ้างหรือไม่ และเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน เมื่อย้อนกลับมาอ่านหนังสือเล่มเดิมอีกครั้ง
วิธีคิด 42
ซื้อหนังสือด้วยตัวเอง
คนเราควรลงทุนกับหนังสือ ออกเงินเองแล้วซื้อหนังสือที่เป็นประโยชน์กับการทำงาน เพราะถ้าเป็นหนังสือที่ซื้อเองจะจริงจังกับการอ่านมันมากขึ้น นั่นคือเหตุผลที่ควรลงทุนซื้อหนังสือด้วยเงินของตัวเอง เพราะว่าเป็นเงินของตัวเองจึงทำให้อยากหยิบมาอ่านมากขึ้น
วิธีคิด 43
อ่านหนังสือหรือดูภาพยนตร์ที่ช่วยให้หัวใจอิ่มเอม
การยึดถือวิธีการหรือเทคนิคของคนอื่นมากเกินไป จะส่งผลให้ไม่ได้ขัดเกลาความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง แล้วยังทำให้ไม่สามารถอธิบายวิธีการทำงาน ออกมาเป็นคำพูดของตัวเองได้อีกด้วย อันที่จริงหากสั่งสมประสบการณ์มาเป็นเวลานาน ย่อมสร้างวิธีคิดหรือเคล็ดลับในการทำงานในแบบของตัวเองขึ้นมาได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าหนังสือพัฒนาตัวเองไม่มีประโยชน์ หนังสือพัฒนาตัวเองที่บอกวิธีสร้างนิสัยหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หนังสือแนวนี้จะบอกว่าพฤติกรรมส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างไร การเข้าใจถึงผลกระทบดังกล่าวตั้งแต่ช่วงอายุ 20 ปีนั้น มีประโยชน์เสียยิ่งกว่าการทำตามวิธีที่เขียนอยู่ในหนังสือเสียอีก เวลาที่อยากศึกษาความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ หันไปอ่านหนังสือประเภทนิยายกัน
การอ่านนิยายมีข้อเสียตรงที่มันมักจะสนุกจนถอนตัวไม่ขึ้น สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าอ่านเอาสนุกเสียมากกว่าจะอ่านเพื่อการเรียนรู้ การดูภาพยนตร์ก็เป็นอีกวิธีที่ดี ที่จะช่วยให้ได้เรียนรู้ถึงจิตใจอันแสนซับซ้อนของมนุษย์ การปล่อยใจไปตามอารมณ์เสียบ้าง จะทำให้หัวหน้าเข้าถึงความรู้สึกของลูกน้อง และเข้าใจความเจ็บปวดของผู้อื่นได้ดีขึ้น นี่อาจเป็นเคล็ดลับสำคัญที่จะทำให้กลายเป็นหัวหน้า ที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วยก็ได้
วิธีคิด 44
คิดให้ใหญ่ตั้งเป้าหมายให้สูง
การอ่านหนังสือหลากหลายประเภท จะช่วยให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น ไม่ว่าหนังสือเล่มนั้นจะเกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือไม่ก็ตาม จึงควรลองอ่านหนังสือแนวอื่นด้วย ที่สำคัญคือต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเป้าหมายนั้นจะสูงแค่ไหน และถูกต้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนเป็นหัวหน้า วิธีหนึ่งที่จะช่วยได้คือการมองทุกอย่างจากมุมมองที่สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ คนที่มีมุมมองเปิดกว้างและเป้าหมายยิ่งใหญ่นี่แหละ ที่ผู้บริหารจะสนับสนุนให้เลื่อนตำแหน่ง เพราะคนเหล่านี้มีมุมมองที่คล้ายกับพวกเขา ต้องหัดมองทุกอย่างจากมุมของประธานบริษัทตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นแค่หัวหน้าทีม หัวหน้าแผนก หรือหัวหน้าฝ่าย จึงจะตั้งเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้ และการทำเช่นนี้จะทำให้กลายเป็นหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย
บทที่ 7 หัวหน้าไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา
นิสัยของหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย
วิธีคิด 45
หัวหน้าที่ยอดเยี่ยมย่อมมาคู่กับคุณธรรม
การจะเป็นหัวหน้าได้ต้องมีคุณลักษณะหลายอย่าง แต่การจะเป็นหัวหน้าที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงนั้น จะต้องมีสิ่งนี้นั่นคือคุณธรรม เพราะหัวหน้าที่เป็นแบบนี้ลูกน้องย่อมรู้สึกอยากอยู่ด้วย หรืออยากทำงานเพื่อคนคนนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับนิสัยที่ดีเลิศ แต่ก็มีคนที่พยายามพัฒนานิสัยของตนให้ดีขึ้นอยู่เสมอ คนเหล่านี้ที่คนรอบข้างจะชื่นชม และหัวหน้าที่ยอดเยี่ยมทุกคนก็เป็นคนแบบนี้
หัวหน้าที่ยอดเยี่ยมพวกเขายอมรับว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ คนที่ยอมรับว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอ จะกล้าเผชิญหน้ากับความอ่อนแอนั้น และแทนที่จะยอมพ่ายแพ้ให้แก่มัน พวกเขาจะพยายามฝึกฝนให้ตัวเองมีใจที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พูดอีกอย่างก็คือการไม่ยอมรับตัวเองง่าย ๆ นั่นเอง หัวหน้าต้องคิดอยู่เสมอว่าตัวเองยังไม่ดีพร้อม เพราะฉะนั้นจึงต้องพยายามให้มากขึ้น การคิดแบบนี้จะทำให้ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
วิธีคิด 46
อย่าทำอะไรให้คนอื่นสงสัยในคุณธรรม
ในการใช้ชีวิตแต่ละวัน มีโอกาสที่จะทำพฤติกรรมเสี่ยงที่ส่งผลให้คนอื่นรู้สึกไม่ไว้ใจขึ้นมาได้ เช่น การนินทาคนอื่น ซึ่งไม่ใช่พฤติกรรมที่ดีเลย วิธีนี้อาจทำให้คนพูดสบายใจขึ้น แต่คนฟังจะไม่รู้สึกสบายใจไปด้วยอย่างแน่นอน เขาจะอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า จะเอาเรื่องของเขาไปนินทาลับหลังด้วยเหมือนกันหรือเปล่า การนินทาอาจกลายเป็นการลดทอนคุณค่าของตัวเองได้ เรื่องนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ ยิ่งมีตำแหน่งสูงขึ้นก็ยิ่งมีอำนาจมากขึ้น ในเวลาแบบนี้สิ่งที่จะถูกถามถึงมากที่สุดก็คือ คุณธรรมของคนเป็นหัวหน้า
อำนาจคือความรับผิดชอบ ยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ต้องตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่เสมอ ในขณะเดียวกันเมื่อมีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น จะยังควบคุมตัวเองได้หรือไม่ และจะยังมองคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่าว่าเท่าเทียมกันได้หรือเปล่า เคล็ดลับในการต่อสู้กับความเย้ายวนที่มาพร้อมกับตำแหน่งที่สูงขึ้นก็คือ ให้คิดเสมอว่ามีใครบางคนกำลังจับตามองการกระทำอยู่
วิธีคิด 47
พัฒนานิสัยของตัวเองให้ดีขึ้น
การเป็นคนมีคุณธรรมนั้นคือ การเป็นคนที่น่านับถือ วิธีหนึ่งที่ช่วยได้คือการอ่านหนังสือที่ช่วยสร้างเสริมคุณธรรม อ่านหนังสือเกี่ยวกับหลักปรัชญา ไม่ควรมุ่งหวังเพียงแค่เงินทองหรือตำแหน่งเท่านั้น แต่ควรหันมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า จะขัดเกลาตัวเองให้ดีขึ้นได้อย่างไร จะรักษาความพยายามที่จะพัฒนาตัวเองได้ตลอดไปหรือไม่ จะสนใจสังคมและคนรอบข้างแทนที่จะนึกถึงแต่ตัวเองได้หรือเปล่า
ดังนั้น ก่อนจะปกครองคนอื่น จึงต้องขัดเกลาตัวเองให้ดีเสียก่อน คนที่พยายามพัฒนาจิตใจและขัดเกลาตัวเองให้ดียิ่งขึ้น ย่อมไม่พูดโอ้อวดหรือนินทาใคร แม้มีอำนาจในมือก็จะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งเย้ายวน ถึงหงุดหงิดก็จะไม่ระบายอารมณ์กับลูกน้อง เอาใจใส่ผู้อื่นมากกว่าตนเอง และยังใส่ใจฝ่ายตรงข้าม คนที่อ่อนแอกว่ารวมถึงสังคมด้วย
วิธีคิด 48
ความผิดพลาดและความล้มเหลว
จะทำให้อ่อนโยนกับคนอื่น
คนจำนวนไม่น้อยอาจมองว่าหัวหน้า ต้องเติบโตในสายงานที่ทำได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค และหัวหน้าส่วนใหญ่ก็ปรารถนาจะเป็นเช่นนั้นให้ได้เหมือนกัน พวกเขาไม่อยากเจอประสบการณ์ที่ยากลำบาก ความผิดพลาดหรือความล้มเหลว ตัวเราเองก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ทำไมถึงกล้าไปเคี่ยวเข็ญคนอื่น ให้เขาทำอย่างที่ต้องการ ต้องหัดเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของคนที่ทำไม่ได้ หรือทำผิดพลาดด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้น ทำให้รู้จักให้อภัยและไม่โมโหใครง่าย ๆ ไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ และมนุษย์ก็ไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น บางครั้งคนเราก็แสดงความอ่อนแอออกมา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้น มีแต่คนที่เคยพบเจอกับความผิดพลาด และความยากลำบากเท่านั้น ถึงจะเข้าใจความรู้สึกเจ็บปวดของคนที่ทำไม่ได้หรือทำผิดพลาด คนเป็นหัวหน้าจะขาดความรู้สึกนี้ไปไม่ได้เลย
วิธีคิด 49
ไม่เห็นแก่ตัว
หัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วย ต้องเป็นคนแบบไหน ต้องทำอย่างไร จึงจะเป็นคนมีคุณธรรมที่คนอื่นยอมรับ วิธีที่ว่าคือการไม่เห็นแก่ตัว หรือพูดอีกอย่างก็คือ ให้เลิกคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง หรือผลประโยชน์ของตัวเอง หากมองจากมุมของลูกน้อง ถ้าหัวหน้าทำทุกอย่างเพื่อตำแหน่ง หรือผลงานของตัวเองเพียงอย่างเดียว ก็คงไม่มีใครอยากทำงานให้ แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าปฏิบัติกับลูกน้องด้วยความรู้สึกที่อยากพัฒนาให้เขาเติบโต โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ของตัวเอง คำตอบคือลูกน้องจะมีแรงใจ ในการทำงานขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตาเลยทีเดียว
สิ่งสำคัญคือหัวหน้าสามารถละทิ้งความเห็นแก่ตัวได้มากแค่ไหน หากเล่นละครตบตาแสร้งทำดีเพียงเปลือกนอก ผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาในทางตรงกันข้าม เพราะสุดท้ายแล้วลูกน้องก็จะจับได้อยู่ดี ในเวลาเช่นนี้จะได้ฝึกฝนเรื่องคุณธรรม และคุณธรรมที่เกิดจากการทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง ก็จะส่งผลให้เป็นหัวหน้าที่ลูกน้องอยากอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
วิธีคิด 50
ทำให้ทุกวันเป็นวันพัฒนาตัวเอง
พฤติกรรมในแต่ละวันคือ สิ่งที่บ่งบอกว่าหัวหน้าเป็นคนอย่างไร เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวันของหัวหน้า ก็เป็นสิ่งที่ลูกน้องคอยจับตาดู เช่น หัวหน้ามักจะอยู่กับคนประเภทไหน เพราะมนุษย์มักได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้าง หากคบกับคนไม่ดีลูกน้องก็จะอดสงสัยไม่ได้ว่า หัวหน้าเป็นคนไม่ดีด้วยหรือเปล่า เพราะมันอาจส่งผลเสียต่อคุณธรรม หรือความตั้งใจว่าจะไม่เห็นแก่ตัวได้ ถ้าไม่อยากกลายเป็นของใช้แล้วทิ้ง ก็จงขัดเกลาตัวเองอยู่เสมอ นั่นเป็นสิ่งที่หัวหน้าควรทำ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องขัดเกลาตัวเองไปด้วยเสมอ และเก็บเกี่ยวสิ่งรอบตัวมาเป็นวัตถุดิบเพื่อใช้ขัดเกลาตัวเอง พอทำเช่นนั้นแล้ว จะได้ขัดเกลาคุณธรรมไปพร้อม ๆ กัน จงเก็บทุกอย่างรอบตัวมาเป็นอาหารหล่อเลี้ยงตัวเองให้เติบใหญ่ หากหัวหน้ามีความคิดเช่นนี้ได้ ลูกน้องย่อมต้องอยากอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
วิธีคิด 51
สุดท้ายจงเชื่อมั่นในตัวเอง
ทุกคนคงมีภาพของหัวหน้าในอุดมคติ ในแบบที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าหัวหน้าที่วิเศษที่สุดก็คือ หัวหน้าที่สามารถจัดการกับทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่คิดว่าคนเป็นหัวหน้าไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนั้นเสมอไป การทำคะแนนให้ได้เต็มร้อยไม่ใช่เรื่องง่าย ควรประณีประนอมให้กับตัวเองบ้าง การเป็นหัวหน้าอาจสร้างความกดดันให้ แต่ขอให้จำไว้ว่าการที่งานไม่ราบรื่น ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะจบสิ้น ถ้าคิดแบบนี้ได้จะสบายใจมากขึ้น และทำงานร่วมกับลูกน้องได้อย่างมีความสุข
เมื่อเจอความล้มเหลว ถ้ายอมแพ้ทุกอย่างก็จบ ให้เชื่อว่าทุกอย่างต้องดีขึ้น ถึงได้พยายามครั้งแล้วครั้งเล่า และความพยายามเหล่านั้นก็ปรากฏผลออกมาให้เห็นเสมอ ความเชื่อมั่นในตัวเอง จะช่วยให้ฝ่าฟันอุปสรรคไปได้ จงเชื่อมั่นในตัวเองแล้วพยายามต่อไป นี่คือสิ่งที่คนในอนาคตจะได้เป็นหัวหน้า ที่ลูกน้องมากมายอยากอยู่ด้วย
บทส่งท้าย
รีบเป็นประธานบริษัทให้ได้เร็ว ๆ นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนอยากบอกทุกคน เขามีโอกาสได้เป็นผู้บริหารของบริษัทถึง 3 แห่งตั้งแต่ช่วงอายุ 40 ปี แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะได้เป็นประธานของบริษัทที่ทำงานอยู่ หรือย้ายไปเป็นประธานบริษัทอื่น แต่ถ้าเป็นประธานบริษัทลูกในเครือของบริษัทที่ทำงานอยู่ ก็น่าจะไม่ยากจนเกินไป ขอให้ลองมุ่งมั่นที่จะเป็นประธานบริษัท และยกมืออาสาเพื่อเข้าไปเป็นประธานของบริษัทลูกดู
เมื่อได้เป็นประธานบริษัท ขอบเขตความรับผิดชอบก็จะเพิ่มมากขึ้นในทันที การเป็นประธานนั้นเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับการยืนอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้กว้างขึ้น และต้องตัดสินใจในทุกเรื่องที่ส่งผลต่ออนาคตของบริษัท ไม่มีใครคอยช่วยเหลือหรือออกหน้าแทนให้ หากไม่บริหารให้ดีก็อาจไปทำร้ายอนาคตของพนักงานทั้งบริษัทได้ พนักงานทุกคนจะคอยตรวจสอบทุกฝีก้าว และจับจ้องทุกการกระทำ จริงอยู่ว่าจะรู้สึกถูกกดดันอย่างหนัก แต่ถ้าสามารถสร้างผลงานได้ พนักงานทุกคนจะชื่นชม และบอกว่าอยากอยู่ด้วย ตอนนั้นจะรู้สึกว่าความเหน็ดเหนื่อยทั้งหมดหายไปในพริบตา และเกิดความภาคภูมิใจที่ได้เป็นคนขับเคลื่อนบริษัทแห่งนี้
การเป็นประธานบริษัททำให้ได้สัมผัส กับประสบการณ์ที่ยากจะหาอะไรมาทดแทนได้ จำเป็นต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเป็นหัวหน้าให้มากเสียก่อนจะมาเป็นประธานบริษัท ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นในบริษัทหรือนอกบริษัท หากมีโอกาสที่จะได้เป็นหัวหน้าแล้ว อยากให้ลองยกมืออาสาดู ประสบการณ์การเป็นหัวหน้า คือสิ่งที่ต้องสั่งสมเอาไว้ แล้วมันจะเป็นประโยชน์ในภายหลัง
การเป็นหัวหน้านั้นไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติอะไรมากมาย แค่พร้อมที่จะสละตัวเองเพื่อลูกน้องและบริษัทเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ชีวิตคนเราไม่ได้เรียบง่าย มีขึ้น มีลง มีหักเลี้ยว มีอุปสรรคมากมาย ถึงอย่างนั้นก็ยังเห็นว่ามันเป็นสิ่งวิเศษ ท้ายที่สุดก็ยังคิดว่ามันเป็นชีวิตที่ยอดเยี่ยม จึงอยากมีชีวิตแบบนี้ จงทำเรื่องท้าทายต่าง ๆ เพื่อประเทศอันแสนวิเศษแห่งนี้.