สรุปหนังสือ เราจะเติบโตขึ้นทุกครั้งหลังฝนตก
บทนำ
ขอให้ 1 ประโยคนี้จุดความกล้าที่จะเดินหน้า 1 ก้าว
หากผู้อ่านกำลังอ่อนล้ากับการตั้งอกตั้งใจใช้ชีวิต สภาพปัจจุบันก็ไม่เป็นไปตามความต้องการ ถึงอย่างไรเรื่องจริงก็คือ คุณเก่งแล้ว ตั้งใจทำแล้วนี่นา หยุดเกลียดตัวเองเสียที หากขยันหมั่นเพียรแล้ว ลองทอดสายตามองน้ำตาที่คลอนั้นแหละคือ หลักฐานว่าเคยเกลียดชังตัวเอง อุปสรรคยากลำบากคงไม่ทุเลาลงในทันที แค่พินิจด้วยสายตาอบอุ่นและหวังว่า จะเกิดเป็นความกล้าให้ฝันฝ่าอุปสรรคอีกครั้ง ยังมีช่วงเวลาให้ต้องเหนื่อยอีกมาก อุตส่าห์เดินมาไกลถึงตรงนี้ ทั้งที่ยังเก้ ๆ กัง ๆ คงลำบากแย่เลย
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้จบด้วยคำปลอบโยนดาษดื่น แต่เป็นการบอกเล่าทิศทางหลุดพ้นจากปัญหากลัดกลุ้มที่เผชิญได้จริง บนพื้นฐานจากเรื่องราวที่ผู้เขียนได้พบได้ฟังปัญหาของคนอื่นหลายพันคน อาจเป็นเรื่องธรรมดาก็ได้ เพราะปัญหากลุ้มใจของคนเราก็คล้าย ๆ กัน กระนั้นก็หวังว่าคงมีสักประโยคในหนังสือเล่มนี้ ที่จะช่วยให้ผู้หยุดยืนนิ่งเสียนาน สามารถขยับก้าวได้อีกครั้ง คงมีบางจังหวะเวลาที่อ่อนล้าจนหยุดแน่นิ่ง ต่อให้ไร้คนคอยให้กำลังใจ หวังว่าจะให้กำลังใจตัวเอง ที่ตั้งอกตั้งใจใช้ชีวิตดีที่สุด
เมื่อปิดหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ หวังว่าน้ำหนักของปัญหาดังกล่าวจะเบาลงได้เมื่อพิชิตพวกมันสำเร็จ ไม่เป็นไรเพราะกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ คุณคือผู้เข้มแข็งมากพอแล้ว
บทที่ 1
ไม่มีสิ่งใดสายเกินสำหรับการเป็นผู้มีฝัน
ตอนหมดแรงใจในชีวิตไม่ต้องฝืนฮึดสู้ก็ได้
ตอนไหนหมดแรงใจในชีวิต ไม่ต้องฝืนฮึดสู้ก็ได้ มีคำแนะนำให้ไปออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมโปรดเวลาหมดพลังใจ แต่ถ้าหมดพลังใจเสียแล้ว จะมีแรงออกกำลังหรือทำกิจกรรมโปรดได้อย่างไรกัน ทุกกิจกรรมที่ฝืนทำ ทั้ง ๆ ที่หมดจิตใจมีแต่ทำให้ยิ่งเหนื่อยล้าอ่อนแรง ผิดปกติแน่หากตลอดชีวิตที่ใช้มาไม่มีวันไหนเลยที่มีพลังมุ่งมั่น แต่ถ้าไม่ถึงกับเป็นเช่นนั้น ก็ไม่เห็นต้องมองสภาพหมดพลังในแง่ลบ คงเป็นเพียงแค่เหนื่อยหลังจากวิ่งมาอย่างพากเพียรก็เท่านั้นเอง
วิธีเปิดโทรศัพท์มือถือที่แบตเตอรี่หมด ไม่ใช่การกดปุ่มเปิดซ้ำ ๆ จนเครื่องติด แต่มันคือการชาร์จพลังงานให้เต็มต่างหาก เวลาคนเราหมดพลังใจ ขอให้ทำงานเฉพาะที่ต้องทำจริง ๆ ในปริมาณน้อยที่สุด แล้วพักร่างกายกับหัวใจให้เต็มอิ่ม พอพักผ่อนเต็มอิ่มแล้ว หากใจเกิดอยากวิ่งใหม่ค่อยวิ่งต่อยังไม่สาย
อยากสุขใจแต่ดันไม่สุขใจ
ในวันที่อากาศร้อน แต่เลือกบอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า ทั้งที่วันนี้อากาศร้อนอบอ้าวมาก แต่ก็ยังวิ่งวุ่นทำงาน ขอบใจที่เหนื่อยนะตัวฉัน แล้วค่อยเข้านอน การทำเช่นนี้มีจุดเหมือนร่วมกัน 3 ข้อคือ
1 ทำให้อารมณ์ดีและสุขใจในเหตุการณ์
2 ถ้อยคำล้วนเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้สุขใจ
3 ไม่ว่าคำนั้นเป็นจริงหรือเปล่าทำสำเร็จลุล่วงหรือไม่ก็ไม่เป็นไรเลย
เราเองต่างหากที่รู้ดีกว่าใคร ถึงความจริงว่าต้องสุขใจแต่ไม่ง่ายเลย เรื่องบนโลกยากเย็นเสมอ กลัวจะรั้งท้ายพอจะหย่อนใจบ้างก็มักตามมาด้วยความกลัดกลุ้ม จะสุขใจได้อาจอยู่ในถ้อยคำ ไม่สำคัญเลยว่าอากาศร้อนมากจริงหรือเปล่า สิ่งสำคัญที่อยู่เหนือประเด็นจริงไม่จริงคือ คำพูดแง่บวกที่ช่วยให้อารมณ์ดี ในวันอากาศร้อนคำพูดที่บอกตัวเองทำให้อารมณ์ดีขึ้น
หากรอบ ๆ ตัวมีคนพูดจาลื่นหูบ้าง ให้อยู่ใกล้คนแบบนั้น ก็จะพลอยให้เกิดอารมณ์แช่มชื่น แล้วยิ่งพูดจาด้วยถ้อยคำงดงาม คนอารมณ์ดีที่สุดคือตัวเราเอง อาจมีคนแย้งว่าความสุขแค่จากลมปากจะใช้ประโยชน์สถานการณ์ไหนได้ แต่ลองคิดถึงนานาช่วงเวลาที่รู้สึกว่าสุขใจดู คำพูดเข้าอกเข้าใจ คำพูดที่อยากได้ยิน คำพูดที่นิยมชมชอบ ทุกอย่างอยู่ที่ถ้อยคำ ไม่รู้หรอกว่าความสุขยิ่งใหญ่ของวันนี้เริ่มจากตอนไหน แต่ความสุขนั้นเริ่มต้นได้เสมอจากถ้อยคำ
ไม่เห็นต้องเศร้าเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่
ไม่ต้องเศร้าเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ใช่ว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะต้องมีชีวิตที่อาภัพ หดหู่ กระเสือกกระสน และทำได้เพียงอดทน หากอยากใช้ชีวิตเป็นอิสระ แต่เพราะบางเหตุผลทำให้ชีวิตไม่เป็นอิสระ จนต้องประนีประนอมกับตัวเอง ทำใจทำงานแม้ว่าไม่อยากก็ตาม แล้วเกิดริษยาอิสระของคนอื่น แบบนี้ไม่ใช่ปัญหาเพราะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่มันเป็นความโลภมากจนทุกข์ใจเองมากกว่า ผู้ใหญ่ที่แท้จริงสามารถเลือกอิสระที่ตัวเองต้องการได้ และต้องแบกรับความรับผิดชอบกับความน่าหวั่นใจจากการเลือกนั้นด้วย อายุที่เพิ่มไม่ได้หมายถึงการเป็นผู้ใหญ่ และใช่ว่าต้องมีเงินเยอะ ๆ ก่อนจึงหมายถึงโตแล้ว การใช้ชีวิตอย่างอิสระก็ทุกข์ หรือว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร้อิสระก็ทุกข์ แต่ไหน ๆ ก็โตเป็นผู้ใหญ่ทั้งทีแล้ว ก็ให้เป็นผู้ใหญ่สุดเท่ในช่วงชีวิตไปเลย
ให้กำลังใจตัวเอง
ในเมื่อตั้งใจสุดจะตั้งใจแล้ว แต่ก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลแค่ด้วยความตั้งใจนั้น จึงต้องทุ่มเทสุดฝีมือ ไม่ใช่แค่ตั้งใจ การทุ่มเททำสุดฝีมือคือการทุ่มเททำทุกสิ่งที่ทำได้จริง ๆ ต่อให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ก็อย่าให้ชีวิตเหลือไว้เพียงความเสียดาย ไม่มีสิ่งใดสายเกินเพราะว่าโม่งยามเยาว์วัยในชีวิตนั้น หาใช่ตอนอายุยังน้อยนิด แต่มันคือเวลาที่พลังกระตือรือร้นท่วมท้นในจิตใจ ดั่งนกตัวที่บินสูงที่สุด ยังต้องเริ่มออกบินจากจุดที่ต่ำที่สุด ขอให้สยายปีกออกมาอย่างองอาจ ปีกที่ซึ่งเคยเก็บไว้เพราะคิดว่าทำไม่ได้ ออกตัวบินจากจุดต่ำสุด โผทะยานออกไป กระทั่งโบยบินได้อย่างสง่างาม
แด่ผู้ใช้ชีวิตไม่สมบูรณ์ในแต่ละวัน
บางทีคำตอบในชีวิตอาจไม่ได้อยู่ที่ความสมบูรณ์แบบก็ได้ เพราะโลกนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่สมบูรณ์พร้อม แค่คิดว่าจะสมบูรณ์แบบ ก็เสมือนต้องแบกรับน้ำหนักมากมายที่ไม่จำเป็นต้องแบกแล้ว ลูกที่ไม่สมบูรณ์แบบ พ่อแม่ที่ไม่สมบูรณ์แบบ คนรักที่ไม่สมบูรณ์แบบ อนาคตที่ไม่สมบูรณ์แบบ อดีตที่ไม่สมบูรณ์แบบ เพื่อนที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถึงจะมีความบกพร่อง มันก็อาจมอบเสียงหัวเราะให้แก่ใครสักคนได้ จงเป็นที่รักของใคร ๆ มีสิทธิ์ที่จะคาดหวังต่ออนาคตของตัวเอง และมีสิทธิ์จะจดจำอดีตตามที่มันเป็นด้วย
บางครั้งเรื่องราวทุกข์ยากที่ผ่านมาในอดีต ยังอาจจะกลายเป็นความประทับใจให้ใครต่อใครได้ บางทีคงไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อจะสมบูรณ์พร้อมก็ได้ แต่อาจใช้ชีวิตเพื่อค้นหาเสียงหัวเราะอีกมากมายบนโลกนี้ที่รออยู่ และเพื่อรู้จักความดีใจอิ่มเอมใจ ที่มีอยู่ทั้งไกลและใกล้ตัว ขอให้วางก้อนหินหนักอึ้งในหัวใจ ที่ชื่อว่าความสมบูรณ์แบบลงสักครู่ ไม่แน่แม้ว่าไม่สมบูรณ์พร้อม แต่ที่เป็นตอนนี้ก็อาจงดงามมากพอแล้ว
ต้องมีความสุขเดี๋ยวนี้
ใครหลายคนอาจคิดว่าความสุขอยู่ในอนาคต ทว่าความสุขนั้นอยู่ในปัจจุบันเสมอ ชีวิตดำเนินต่อเนื่องในปัจจุบัน หากตอนนี้ไร้สุข ย่อมไม่อาจสุขใจได้ในอนาคตด้วย เพราะมัวเฝ้ารอความสุขที่ไม่รู้จะมีวันมาถึงจากในอนาคตไหม จนความสุขในปัจจุบันหลุดมือไป หากไม่พอใจสภาพปัจจุบันที่เป็นอยู่ ก็ให้ใช้ความพยายามเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ให้เป็นอย่างที่ตนเองพอใจ หากขี้เกียจพยายามก็ต้องใช้ชีวิต โดยหัดพอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเสีย
คนไม่พอใจและไม่พยายาม ย่อมเจอแค่เหตุผลว่าตนอาภัพ และเฝ้าพร่ำบอกคนรอบตัวว่าตนอับโชคแค่ไหน ถ้าเฝ้ารอความสุขในช่วงเวลาสมบูรณ์แบบ ที่ทุกสิ่งในชีวิตเป็นดั่งใจ จะไม่อาจเป็นสุขได้ เพราะช่วงเวลาเช่นนั้นแทบจะไม่มีเลยในชีวิต ลองเริ่มการเดินทางตามหาความสุขเล็ก ๆ ทุกวัน เพื่อจดบันทึกพวกมันดู เหตุการณ์สมบูรณ์พร้อมดั่งใจทุกอย่างกับความสุขครั้งใหญ่ที่ไม่อาจมาเยือนชีวิตได้หลายครั้ง แต่ความสุขเล็ก ๆ ที่พลาดไปเพราะคุ้นชินนั้นอยู่ข้างกายเสมอ สารพัดสิ่งที่หากมองเป็นความสุขก็จะเป็นความสุข ถ้ามองเป็นความธรรมดาก็จะเป็นความธรรมดา สิ่งที่ควรวางไว้ในอนาคตไม่ใช่ความสุขหรอก แต่คือความหวังอันน่ารื่นรมย์ต่างหาก
บทที่ 2
แล้ววันนี้ฉันก็เติบโตอีกนิด
ขอให้อ่านข้อความนี้หากตัดสินใจไม่ได้และหยุดนิ่งที่เดิมมานานเกิน
ถ้าตรงหน้ามีสีฟ้ากับสีเหลือง ซึ่งต่างก็เป็นสีโปรดปราน แล้วต้องเลือกแค่เพียงสีเดียว จะเลือกสีไหนดี คำตอบที่ได้คงต้องแตกต่างออกไปตามสถานการณ์ สีฟ้าใช้วาดท้องฟ้าได้ สีเหลืองใช้วาดดอกไม้ได้ คงต้องเลือกตามแต่ว่าอยากวาดอะไรมากกว่า จะให้วาดดอกไม้ด้วยสีฟ้าก็ยาก จะวาดท้องฟ้าด้วยสีเหลืองก็อาจดูไม่เข้ากัน ต้องชั่งใจอีกนิดว่าอะไรดีมากกว่ากัน ปัญหาคือการเอาแต่คิดถึงคำถามกับสถานการณ์เดิมวนเวียนจนไม่ยอมก้าวต่อ แล้วหยุดยืนที่เดิมนานเกิน เพราะเอาแต่กลุ้มใจว่า ถ้าเลือกพลาดชีวิตอันมีค่าจะเสียเวลาเปล่า
การเสียเวลาเปล่านั้นคือเวลาในตอนนี้ แต่การเลือกสิ่งใดก็ตามไม่ใช่เรื่องพลาด ถ้าหากคิดว่าทั้งคู่คือตัวเลือกที่ดี เพราะทั้งคู่ก็ล้วนมีข้อเสีย แสดงว่าตัวเลือกเหล่านั้นไม่มีคำตอบที่ตายตัว คิดว่าจะเชื่อแบบนั้นก็ย่อมได้ หากทั้งคู่ต่างมีข้อดีข้อเสียก็เลือกสิ่งที่ทำให้มีความสุขมากขึ้น ความสุขนั้นคือเกณฑ์การเลือก เมื่อเลือกสิ่งที่สุขได้ในตอนนี้ จะยังรักษาหนึ่งความสุขในชีวิตปัจจุบันเอาไว้ได้ ให้เลือกสิ่งที่ทำให้สุขใจได้ วิธีสร้างเฉลยของชีวิตมีเพียงหนึ่งเดียวคือ ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง
ชีวิตคือการแก้ไขปรับปรุงอันต่อเนื่อง การเลือกจึงมีสิทธิ์ผิด อาจมีผิดพลาด อาจบกพร่อง กระนั้นก็จงเชื่อในตัวเองจนถึงที่สุด ไม่ใช่แค่เชื่อว่าเก่งแต่เชื่อว่าพลาดได้ เมื่อขึ้นรถประจำทางต้องเชื่อใจคนขับ เมื่อขึ้นเครื่องบินต้องเชื่อใจนักบิน ถึงจะโดยสารถึงปลายทางได้ และในเมื่อผู้ขับเคลื่อนชีวิตคือตัวเราเอง ก็ต้องเชื่อตัวเอง ไม่ว่าจะพาอ้อมหรือสะดุดล้มก็จะถึงปลายทางจนได้
ความกังวลกับการครุ่นคิดนั้นต่างกัน
การครุ่นคิดมีไว้เพื่อแก้ปัญหา ส่วนกังวลคือจิตใจกระสับกระส่ายฟุ้งซ่าน แต่เปลี่ยนจากกังวลเป็นครุ่นคิดได้ เนื่องจากคนเราคิดได้คราวละเรื่อง เมื่อเพ่งสมาธิกับการครุ่นคิด ความกังวลจึงลดลง กระนั้นต่อให้ครุ่นคิดก็มีทั้งสิ่งที่ทำได้และไม่ได้ ซึ่งหมายความว่ากังวลไปก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง การครุ่นคิดคือปัจจัยจำเป็นสู่ตัวตนที่ดีกว่า ส่วนความกังวลคือหัวขโมยปล้นเวลาปัจจุบันไป แต่ต่อให้ความกังวลนั้นคลี่คลายจนเจอทางออก ก็จะยังกังวลเรื่องอื่นต่อไปไม่จบสิ้น
จิตใจขี้กังวลคือนิสัยเสียที่ต้องแก้ไข เหมือนนิสัยชอบนั่งเขย่าขาหรือเหยียบส้นรองเท้า จะให้เปลี่ยนทีเดียวคงยาก แต่ถ้าค่อยเป็นค่อยไปหลายสิ่งก็เปลี่ยนได้ เมื่อเวลาพ้นผ่านสิ่งกังวลก็ไม่เห็นเกิด อีกทั้งไม่เห็นน่ากลัวเทียบกับความกังวลที่มี ขอให้คนที่เหนื่อยล้าและอดทนมาทั้งวัน จงเลิกจมจ่อมเพียงเพราะความกังวลเสียที
ทำไมถึงวางแผนแล้วผัดผ่อนตลอด
ไม่ใช่เพราะขี้เกียจ คนขี้เกียจย่อมไม่ครุ่นคิดแบบนี้ ทุกเรื่องที่ผัดผ่อนไว้ก่อนเป็นเพราะสมองยังไม่ยอมรับว่าเรื่องนั้นสำคัญ แนะนำให้ฝึกนิสัยโดยต้องทำซ้ำถึงจะติดเป็นนิสัย ดังนั้น สิ่งที่ทำได้คือทำให้ตัวเองสำนึก หรือว่าภารกิจนี้สำคัญมาก ในทุกวันให้เขียนเป้าหมายลงในกระดาษโน้ตอย่างพิถีพิถันวันละ 5 ครั้ง แล้วอ่านออกเสียงอย่างจริงจังจริงใจ 5 ครั้งต่อวัน ถึงจดและเปล่งเสียงพูดเช่นนี้ทุกวัน ก็ใช่จะนึกชอบและอยากทำได้ในทันที
แต่พอพูดและเขียนอย่างจริงใจว่าเป็นสิ่งที่สำคัญทุกวัน สิ่งนี้พอไม่ลงมือทำยิ่งนานวันจิตใจก็ยิ่งกระสับกระส่าย จากเดิมไม่นึกอยากทำขอผลัดผ่อนเพื่อความสบายใจ ก็กลับกลายเป็นว่าถ้าไม่ทำเดี๋ยวนี้ จิตใจจะยิ่งไม่เป็นสุข พอใช้เวลาจดและเอ่ยพูดเป้าหมายซ้ำ ๆ อย่างจริงจังนานเข้า สมองก็จะสำนึกรู้ว่ามันเป็นสิ่งสำคัญพอ ร่างกายไม่ลงมือปฏิบัติสมองจึงส่งสัญญาณเตือนสู่จิตใจ เรียกสิ่งนี้ว่าความพะวงแง่บวกที่จะช่วยให้เติบโต
ชีวิตคงไม่เปลี่ยนแปลงเพียงเพราะถ้อยคำเช่นนี้ แต่หากคำพูดเล็ก ๆ นั้นเปลี่ยนพฤติกรรมได้ ก็เชื่อว่าย่อมก่อเกิดกระแสเปลี่ยนแปลงแก่ชีวิตได้ ถ้ามีตัวตนแบบที่อยากเปลี่ยนให้เป็น ก่อนลงมือทำหรือระหว่างลองทำ ให้เขียนเป็นข้อความและอ่านออกเสียงดู ลองพูดเป็นนัยบอกให้แก่ตัวเองทุกครั้งที่มีเวลา ทุกคนคือคนที่มีศักยภาพให้ยังทำสิ่งใด ๆ ได้อีกมากมายเกินกว่าจะทอดทิ้งตัวเอง
วิธีจัดการความคิดสับสน
ลองแบ่งประเภทความคิดเป็นความคิดที่ไม่ต้องคิดก็ได้ ความคิดที่ต้องคิดและความคิดที่ไม่รู้ว่าควรคิดต่อหรือเลิกคิดดี
ประเภทแรก ความคิดที่ไม่ต้องคิดก็ได้ ให้เลิกคิดเสีย
ประเภทที่สอง ความคิดที่ต้องคิด มีแค่ปัญหาที่ต้องแก้เดี๋ยวนี้ กับเรื่องที่ทำได้ตอนนี้
เมื่อมีเรื่องให้คิด ถ้าใส่คำว่าตอนนี้ลงในประเด็นแล้วรู้สึกชอบกล แสดงว่าจัดอยู่ในประเภทแรกคือความคิดที่ไม่ต้องคิดก็ได้ ถ้าอยากใช้ชีวิตได้ดีจริง ๆ จะต้องคิดถึงช่วงเวลาในปัจจุบันที่ต้องเติบโต เวลาในชีวิตจริง ๆ และเรื่องต่าง ๆ ที่ทำได้ ความคิดเหล่านี้ฟังดูไม่แปลกเมื่อใส่คำว่าตอนนี้ แสดงว่าเป็นความคิดที่ต้องคิดในปัจจุบัน
ประเภทที่สาม ความคิดที่ไม่รู้ว่าควรคิดต่อหรือเลิกคิดดี เอาเป็นว่าเริ่มคิดก่อน ถ้าคิดแล้วไร้คำตอบค่อยจัดประเภทให้เป็นความคิดที่ไม่ต้องคิดก็ได้ นิสัยแบ่งแยกประเภทความคิดตั้งแต่แรกก่อนจะคิดนั้นดีมาก เพราะขืนมัวโฟกัสความคิดเดียวเล็ก ๆ ที่จู่ ๆ นึกขึ้นได้นานติดต่อกันหลายวัน ก็อาจทำให้สูญเสียทิศทางแห่งชีวิต ขอให้จัดระเบียบสารพัดความคิดอันสับสนวุ่นวายในคืนนี้ แล้วจะทำให้หลับลงได้ด้วยจิตใจสงบ
วิธีสมเหตุสมผลที่สุดในการใช้ชีวิต
บางครั้งแค่ว่าใช่ก็คือใช่หรือว่าไม่ก็คือไม่ นี่อาจเป็นวิธีสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว ในเมื่อชอบสิ่งที่ชอบย่อมคงช่วงเวลาดี ๆ ในชีวิตได้มากขึ้น ชังสิ่งที่ชังช่วงเวลาเจ็บปวดในชีวิตก็ลดน้อยลง เวลาผ่านไปเมื่อย้อนมอง คงเหลือความเสียดายน้อยที่สุดแล้ว
เมื่อรู้สึกว่าชีวิตสับสน
เรียบเรียงความคิด จัดระเบียบมนุษย์สัมพันธ์ จัดการงานประจำวัน สะสางปัญหาของตนเอง โปรดจงอย่าจัดระเบียบทุกสิ่งเช่นนั้น บางครั้งก็ปล่อยให้รกรุงรังบ้าง โดยปล่อยให้รกรุงรังเฉย ๆ เมื่อผ่านไปนานวันเข้า บางสิ่งก็เข้าที่เข้าทางได้เองแม้ไม่ได้จัดการอะไรเลย เพราะว่าบางเรื่องก็เล็กน้อยเสียจนไม่จำเป็นต้องจัดระเบียบเลยก็ได้ อย่าหมดพลังใจเกินเหตุ พอเห็นว่าจัดการเรื่องที่ควรจัดการไม่ได้ บางจังหวะชีวิตก็อีกเรื่องบททดสอบที่เกินความสามารถ ทำให้ต้องได้รับความทุกข์ทรมาน ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าให้ยอมจำนน แค่ให้ค่อย ๆ ก้าวเดิน เมื่อพอจะเดินได้ก็ค่อยวิ่งต่อ วันเวลาที่จะเติบโตได้ย่อมลดหน้าต่ออย่างยอดเยี่ยม
เป็นเท่าที่เป็นก็พอ
ชีวิตได้มอบบททดสอบมากมายให้ต้องก้าวผ่าน อาจจะเหนื่อยล้าจนเดินต่อได้ไม่ไกล แม้ความจริงคือยังเหลือทางให้เดินอีกยาว หากไม่อาจเป็นผู้ชนะที่น่าปลาบปลื้มได้เสมอบนเส้นทางนั้น แต่ถึงแพ้แค่ไม่ท้อถอดใจเยี่ยงผู้ปราชัยก็พอ สิ่งสำคัญยิ่งกว่าการเป็นผู้แพ้หรือชนะคือ การทำเท่าที่ทำได้ ทำเท่าที่ทำไหว จะทำได้ดีหรือแย่ย่อมกลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างผลสำเร็จวันหน้า แม้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่การตระหนักรู้ ความเข้าใจ ความเจ็บปวด และความคิดที่ได้ตลอดจากช่วงเวลานั้น ต่างกลายเป็นประสบการณ์ที่ดี อาจไม่เป็นดั่งใจ แต่รู้ไว้เท่านั้นเป็นพอว่าผู้มุ่งมั่นตั้งใจสง่างามไม่เคยเปลี่ยนแปลง
บทที่ 3
น่าประทับใจในตัวเธอ ผู้เอาชนะปัญหาทุกข์ยาก
หยุดเกลียดแล้วอดทน
โดยทั่วไปถ้าเกลียดตัวเองตอนนี้ แสดงว่าเกลียดตัวเองหรือคับแค้นสภาพรอบตัว แต่เกลียดแล้วใช่สถานการณ์จะดีขึ้น มีแต่ทำลายกระทั่งพลังใจจะอดทนให้ร่วงหล่นใต้หุบเหว ยิ่งเกลียดตัวเองความลึกของเหวยิ่งทบทวี กระทั่งไม่อาจปีนขึ้นใหม่ได้ คนไม่เก่งตอนนี้ใช่ว่าต่อไปจะไม่เก่งตลอดกาล นับจากนาทีที่เชื่อตัวเองนี่แหละจุดเริ่มต้นของจริง ต่อให้ช้ากว่าคนอื่น ขาดแคลนความสามารถ ยากจน ไม่เก่งกาจด้านใดเลย เมื่อมีใจเชื่อจะลุกยืนได้ใหม่
เมื่อยืนปากเหวอย่างน้อยคนที่โกรธเกลียดขออย่าให้เป็นตัวเอง มิเช่นนั้นแล้วจะกลายเป็นคนหมดทางลงมือทำอะไรเข้าจริง ๆ หากแค่ก้าวเดียวยังยากเย็น ขอให้ตอนนี้แค่อดทนในจุดที่ยืนอยู่เป็นพอ การอดทนสู้ยากลำบากก็จริง แต่การไม่สู้เลยก็ใช่จะสบาย หากอดทนฤดูใบไม้ผลิย่อมมาถึง เหมือนเมล็ดพันธุ์รอคอยฤดูใบไม้ผลิจะได้แย้มบานเป็นดอกไม้งาม อดทนสู้เถอะ อดและทนเข้าไว้ ทุกคนล้วนเป็นดอกไม้ที่ผลิบานได้เช่นกัน
คนปฏิเสธไม่เก่ง
คนที่ปกติปฏิเสธไม่เป็น หรือพูดความคิดเห็นของตัวเองไม่ค่อยเก่ง ควรสร้างมาตรฐานเฉพาะตัวไว้ หัดฝึกนิสัยปฏิเสธว่า ไม่ กับคนที่ถึงให้ความช่วยเหลือก็ไม่เคยนึกขอบคุณ ฝึกนิสัยให้เอ่ยปากว่า ตั้งใจฟังกันหน่อย กับคนที่ไม่ตั้งใจฟังตอนกำลังใช้สมาธิพูด มาตรฐานเล็กน้อยประเภทนี้สำคัญ เพราะเรื่องราวเล็กน้อยเกิดนับไม่ถ้วนในชีวิต ถ้าแค่ความเห็นใจเล็กน้อยเช่นนี้ยังไม่อาจทำให้ตัวเองได้ จะไม่เห็นใจในเรื่องใหญ่กว่าแก่ตัวเองเช่นกัน แล้วชีวิตจะไม่ได้มีอยู่เพื่อตัวเอง แต่เป็นชีวิตที่มีอยู่เพื่อคนอื่นแทน
ใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเอง
การซื้อชุดที่อยากสวมแม้ไม่ได้มีราคาแพง กินอาหารที่อยากกิน ไปสถานที่ท่องเที่ยวที่ไปได้ หากตั้งใจมากพอโดยไม่ผลัดวัน แต่ไม่ไปร่วมงานที่ไม่อยากไป ผลัดงานที่ไม่อยากทำไว้ก่อน ไม่ฝืนดูแลบริการคนอื่นโดยไม่เต็มใจ วางตัวเมินเฉยต่อคนที่ทำให้ลำบาก ร้องไห้เมื่อมีน้ำตา โกรธเมื่อสมควรโกรธ คนเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ก็ได้ เพราะเป็นชีวิตของตัวเราไง หากเกิดความทุกข์ใจเพราะเกรงสายตาคนอื่นเกินเหตุ จงลองไห้โอกาสตัวเราได้ใช้ชีวิตสมกับเป็นตัวของตัวเองดู ทุกคนคือคนที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสง่างาม และมั่นใจในตัวเองได้มากกว่าที่เป็นอย่างแน่นอน
มีเรื่องไม่สมดั่งใจเยอะกว่าได้ดั่งใจ
คนเราล้วนเริ่มต้นจากสภาพอ่อนแอ บางทีการไม่ได้ดั่งใจก็เป็นเรื่องปกติ เพราะว่าอาจยังไม่พบเจอวันเวลาที่ดี หากแบกสัมภาระเกินตัวจะวางลงบ้างก็ได้ ถ้าเป็นของจำเป็นต้องแบกไปด้วยวางลงไม่ได้ ก็ให้วางสัมภาระของหัวใจลงแทน ความจริงแท้แน่ชัดคือ ที่ยังไม่เก่งเป็นเรื่องปกติ ถ้าคิดว่าผิดทางจะยอมแพ้ก็ย่อมทำได้ ถ้าอยากลองสิ่งใหม่ก็ให้เริ่มเลย คนเราผิดหวังเพราะนึกว่าที่ที่ยืนคือทุกอย่าง แต่ยังมีประตูอีกมากรอให้เปิดประตูบานนั้นที่ตรงไหนสักแห่งบนโลก เพื่อทำให้มีความสุขอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และตัวเราที่สง่างามที่สุดในชีวิตได้รออยู่ที่ตรงนั้น
ฝึกเมินความคิดลบ
เลิกตัดสินว่าเรื่องแย่เป็นเรื่องเลวร้าย ขณะเดียวกันก็ไม่ฝืนตัดสินว่าเป็นเรื่องดี ให้ทำเพียงแค่นิ่งเฉยเท่านั้นเอง แน่นอนตอนแรกทำไม่ค่อยได้ แต่พอผ่านพ้นช่วงนั้นก็ลดเวลาเปล่าประโยชน์ที่เคยย้ำคิดลงไป เลิกพูดหรือคิดว่าจะทำอย่างไรต่อเรื่องแง่ลบต่าง ๆ ที่เกิด แค่นิ่งเฉยแล้วจะได้รับอีกหลายวันที่น่าพิศมัยไปเอง อย่ากังวล อย่าทดท้อหมดแรงทำราวกับเรื่องที่ยังไม่เกิดนั้นเกิดขึ้นแล้ว เลิกเจ็บปวดราวกับจะเป็นคนไม่เอาไหนตลอดชีวิต เรื่องที่ไม่ถนัดหากทำสดฝีมือแล้ว ก็ช่วยไม่ได้ที่จะไม่เก่ง มันไม่ใช่เป็นความผิด อีกทั้งยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มใหม่อีกครั้ง
เพราะไม่รักตัวเองจึงสงสัยความรักที่ให้คนอื่น
การให้กำเนิดทำให้ท้องของแม่เต็มไปด้วยรอยแผลกับรอยเหี่ยวย่น ด้วยความสำนึกจากแต่ละรอยแผลนั้น จึงไม่ควรที่จะเกลียดตัวเอง เพราะคนเราเป็นคนที่มีค่า ไม่ใช่เพราะความเก่งกาจแต่อย่างใด เพราะลำพังแค่ตัวตนก็มีค่าเหลือเกินแล้ว มันมีค่ามากพอจนแม่ยอมให้ฝากรอยแผลมากมายไว้บนหน้าท้อง ตอนไหนที่เกิดความรู้สึกเกลียดชังตัวเองว่าไม่ได้ความ ขอให้ย้อนนึกถึงแม่แล้วรักตัวเองให้ได้ พึงระลึกเสมอว่าแม้โมงยามที่มองโลกว่าอับแสงชั่วครู่ ความจริงแล้วตัวเราเป็นอัญมณีหนึ่งเดียวบนโลก เพียงเท่านั้นก็ทำเปล่งประกายเจิดจ้าในตัวเองแล้ว
บทที่ 4
ช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกันงดงามที่สุด
บาดแผลจากผู้คนนั้นใหญ่ที่สุด
ทุกคนล้วนไม่อาจมีชีวิตโดยปราศจากการอยู่ร่วมกับบาดแผล ขนาดว่าระวังแล้วระแวงเล่าก็ยังไม่วายมีวันแย่ ๆ เพราะคำพูดที่เหมือนหนามทิ่มแทงนั้น จะต้องมีวันที่เพียรคิดบวกเท่าไหร่ก็คิดบวกไม่สำเร็จ ที่แผลใหญ่โตและหายช้าเพราะการบังคับตัวเองให้เป็นคนใจดี เฝ้าย้ำคิดการกระทำของผู้อื่นที่ทำร้าย จนต้องกดย้ำบาดแผลที่ได้รับมาไว้ เพื่อจะได้มีความสัมพันธ์อันดี เพื่อจะเข้าใจเขาอย่างฝืน ๆ หากได้รับบาดเจ็บก็ให้มองว่าบาดเจ็บไม่ใช่เพราะมีปัญหา จึงถูกทำร้ายด้วยเรื่องที่ไม่สมควรถูกทำร้าย ไม่ใช่ต้องฝืนเข้าใจบาดแผล แค่ยอมรับเท่านั้นเป็นพอ
อยากเกลียดคนสร้างบาดแผลก็เกลียดได้ ถ้าเจ็บก็ต้องเจ็บ ต้องบอกเขาว่าพฤติกรรมของเขาสร้างบาดแผลอย่าทำอีก พูดให้ดีจะได้ไม่ทำเกิดบาดแผลเดียวกันกับผู้อื่น ลำพังเท่านี้ก็ถือเป็นการเคารพต่อคนที่มอบบาดแผลให้แล้ว ด้วยวิธีดังกล่าวต่อให้ได้รับความรักเมื่อแรกเริ่มความสัมพันธ์ ย่อมยากจะรักษาสัมพันธ์ได้นานไม่ว่ากับใคร วิธีหลุดพ้นจากปมคนใจดีคือ เติมท้องที่เหนื่อยล้าและหิวโหยให้อบอุ่นเต็มอิ่มเสียก่อน หัวใจของเราคือสิ่งที่ควรขอบคุณ ขอเป็นแรงใจให้กลายเป็นคนใจดีของตัวเอง เป็นผู้ปกปักรักษาดูแลตัวเองก่อนใครอื่น ที่มาจากบาดแผลที่จะเผชิญในวันข้างหน้า
หลุดพ้นจากบาดแผลสำเร็จ เมื่อเปลี่ยนความคิดจากทำไมเป็นอย่างไร
การเฝ้าหมกมุ่นกับคำถามว่า ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ย่อมจะทำให้เกิดเพียงโทสะ แถมพ่วงด้วยจินตนาการกับความคาดเดาแง่ลบอีกด้วย จนกระทั่งทำให้ไม่หลุดพ้นจากความคิดนั้นเสียที ขอให้หันมาจดจ่อกับความคิดว่า อย่างไรดีกว่า การเฝ้าคิดว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นเหมือนเอาแต่ย้อนมองบาดแผล จึงทำให้ไม่อาจก้าวหน้าต่อไปได้ ส่วนคำถามว่าแล้วอย่างไรต่อเหมือนหลุดพ้นจากบาดแผลและก้าวเดินหน้าต่อ ขอให้เลือกหนึ่งในสามข้อนี้ แล้วเลิกคิดมาก คือ
- เพราะไม่ชอบคำพูดทิ่มแทง จึงจะทำให้เขาเลิกพูดแบบนั้น
- อยากทำให้เขาเลิกพูด แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย ถ้างั้นช่างมันเลิกคิดดีกว่า
- สถานการณ์ไม่อำนวยก็จริง แต่ไม่อยากสูญเสียสิทธิ์ งั้นเจรจาให้ดีที่สุด
การคิดหรือจินตนาการเกินจากนี้ คงเป็นได้เพียงแค่จินตนาการ ที่มาพร้อมกับความกลัดกลุ้มถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดเท่านั้น
แด่ผู้ทุกข์ทนกับการจากลา
วิธีลืมความเจ็บปวดคือ เจ็บเสียให้พอ ขณะใช้ชีวิตต้องดึงทึ้งส่วนหนึ่งของหัวใจมอบให้ หากน้ำตาเอ่อท้นจากเดิมเคยกลั้นก็ปล่อยให้ไหลริน หากโหยหาก็ยอมให้ใจหวยหา หากคิดถึงก็ยอมปล่อยให้คิดถึงถึง แม้จะแสนเศร้าเพียงใดแต่ก็เลิกข่มกลั้นความเศร้าเสีย ลำพังความรู้สึกเศร้าเสียใจก็แทบแย่แล้ว จะให้มาแสร้งทำเป็นสบายดีอีก ก็คงน่ารู้สึกผิดต่อตัวเองเกินไป ครั้นปล่อยให้ใจเศร้าโศก ร้องไห้ และเจ็บปวดเสียให้พอ
โดยไม่รู้ตัวเมื่อถึงเวลาหนึ่งความคิดอยากเลิกร้องไห้ก็จะมาเยือนจากใจจริง ขอให้ร้องเสียเต็มที่ในตอนนี้ ความคิดว่าอยากเลิกเจ็บปวดก็คืบคลานสู่หัวใจอย่างแท้จริง การหลับให้เต็มอิ่มเมื่อรู้สึกอ่อนเพลีย พอตื่นจะเลิกอยากนอน การข่มความง่วงตอนอ่อนเพลียต่างหากที่ยิ่งอดทนก็ยิ่งง่วง ความเจ็บปวดเป็นเช่นนั้นเอง ยิ่งอดทนอดกลั้นเพียงใดก็ใช่จะลดความเจ็บปวดสำเร็จ ความเจ็บจะยังจับยึดพื้นที่หนึ่งในหัวใจอยู่ดี
เพื่อนผู้อยู่เคียงข้างตลอดกาล
ไม่ใช่เพื่อนเก่าแก่ แต่คือเพื่อนที่สามารถถนอมน้ำใจให้ค่าเขา เพื่อนที่ดีคือเพื่อนที่ไม่ทำตัวเปลี่ยนไป แต่เพื่อนก็ยังเป็นคนพวกเขาเปลี่ยนแปลงได้ ตัวเราเองก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น เพื่อให้มีเพื่อนอยู่ด้วยกันกับเราเสมอไป จึงต้องอย่าหยุดพยายาม คอยปรับตัวให้เข้ากันได้เสมอไป
มนุษย์สัมพันธ์เหมือนการก่อสร้างตึกสูง ต้องใช้เวลานานในการก่อสร้างตึก แต่พริบตาเดียวตึกก็ถล่มลงมาได้ หากปราศจากความพยายามที่เสมอต้นเสมอปลาย แค่มีอะไรมากระทบกระทั่ง ตึกก็อาจเกิดความสั่นคลอนได้ ไม่เกี่ยวกับว่าตึกนั้นมีความสูงมากแค่ไหน
ถ้าน้อยใจเพื่อนจงบอกเขา
การเงียบแล้วเฝ้าครุ่นคิดลำพัง จะทำให้คิดต่อเติมขยายใหญ่เกินจริง ลองเปิดอกคุยกันในสิ่งที่ต่างคนต่างผิด แล้วช่วยกันหาทางที่ดีกว่าในการอยู่ร่วมกัน จะดีกว่าถ้าหากบทสนทนามีบทสรุป สำหรับเพื่อนที่กำลังลำบากใจอยู่ ก็อย่าไปเร่งเร้าให้เพื่อนพูดคำตอบที่ถูกต้อง เพื่อนรู้คำตอบอยู่แล้ว คำแนะนำแสนฉลาดไม่มีความจำเป็นเลย ต่อให้เพื่อนผู้ล้มลงและไร้เรี่ยวแรงจะเริ่มใหม่ ถ้าเป็นคำพูดเพื่อตัวเองอย่าพูด เพราะไม่ใช่คำพูดเพื่อใครเลย สิ่งที่ทำได้คือช่วยเจ็บปวดด้วยกัน ยามทุกข์ลำพังแค่ข้างกายมีใครเข้าใจก็เป็นพลังยิ่งใหญ่แล้ว ที่คอยให้โอบกอดหัวใจให้อบอุ่นแล้ว
หากเอาแต่คิดถึงบริบทของตัวเองเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่อาจรักษาสายสัมพันธ์กับใครได้ยาวนาน ถึงจะเสียใจหรือโมโหแต่ลองคิดสักนิด พยายามเข้าใจบริบทของอีกฝ่าย ตราบใดที่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำไม่มีใครจงใจทำร้าย ความเข้าใจผิดเกิดได้เสมอ ขณะที่ยังมีชีวิตถ้าเอาแต่เกลียดชังคนที่เข้าใจผิด สุดท้ายจะมีแค่เรานี่แหละที่เหนื่อย
เคารพและให้เกียรติ
ไม่มีเพื่อนคนไหนที่จะปฏิบัติอย่างประมาทด้วยได้ ยิ่งโตเป็นผู้ใหญ่ขอให้ต่างคนต่างเคารพและยอมรับต่อกัน พฤติกรรมที่เคยทำได้สมัยเด็ก อาจน่าลำบากใจเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ฉะนั้น ถ้าอีกฝ่ายอึดอัดก็อย่าบ่นว่าเพื่อนเปลี่ยนไป ที่ไม่เข้าใจการกระทำเหมือนสมัยตอนเป็นเด็ก ยิ่งนานวันก็ยิ่งต้องเคารพให้เกียรติอีกฝ่าย นี่เป็นวิธีเดียวที่จะได้รับความเคารพกลับมาเช่นกัน
อย่าหาประโยชน์จากเพื่อน ยิ่งมัวเมาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เพื่อนสนิทก็จะยิ่งถูกเอาเปรียบ ที่เขายอมไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นคนโง่ แต่เพราะเขามีหัวใจอบอุ่น และมองตัวเราเองว่าเป็นคนสำคัญ หากไม่รู้เรื่องนี้ นึกว่าตัวเองฉลาดหลักแหลมกับการได้เปรียบกว่า พอเวลาผ่านไปเพื่อนสนิทรอบกายย่อมหนีจาก สุดท้ายจะเหลือเพียงผู้ชอบหาประโยชน์จากผู้อื่น และเกลียดการเสียเปรียบที่อยู่ใกล้ตัว
บทที่ 5
กล้าหาญกับทุกวันในชีวิต
จะตามหาฝันต้องไปที่ไหน
ความฝันกับความรักคล้ายกัน คนที่ใคร ๆ แนะนำว่าดีแสนดี เมื่อลองพบกันอาจเฉย ๆ หรือเข้ากันไม่ได้ ต้องตามหาความฝันที่พอดีกับตัวเอง ฉะนั้น อย่าฝากให้ใครอื่นตัดสินใจแทน ต้องเลือกด้วยตัวเอง เพราะคนที่รู้จักเราดีที่สุดในโลกไม่ใช่พ่อแม่ ไม่ใช่เพื่อน แต่คือตัวเราเอง สนใจเรื่องใด นิยมชมชอบสิ่งไหน ควรใช้ชีวิตเกิดมาครั้งเดียวนี้อย่างไร ล้วนเป็นคำถามสำคัญที่ต้องครุ่นคิด ไม่ใช่ว่าไม่รู้ก็ปล่อยให้ไม่รู้ต่ออย่างนั้น
หากตอนนี้หลงทางก็จงไตร่ตรองเสียก่อน อย่าเอาแต่เร่งความเร็วโดยไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปทางไหน หากถามตัวเองแล้วยังไม่รู้สิ่งใดคือดี ลองดูจากสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เช่น จากเสื้อผ้าตัวโปรด อาหารจานโปรด สถานที่โปรดแล้วจะรู้ ความฝันนั้นหาใช่สิ่งที่เพียงจินตนาการในสมองก็สามารถกำหนดได้ ต้องลองคบ ลิ้มลอง และสัมผัสผ่าน แบบนั้นอาจเหนื่อยยากและไม่ถนัด กระนั้น ก็ย่อมมีเรื่องที่อยากฝึกปรือให้เก่งขึ้น นี่ล่ะคือความฝัน ถึงแม้ยังไม่รู้ว่าชอบอะไรก็ใช่ว่าไร้ความสามารถ แต่เป็นแค่คนที่ยังไม่ได้ลองทำให้มากต่างหาก
ถ้าสุขใจกับการใช้ชีวิตเฉย ๆ โดยไม่ลองลุยก็ไม่ต้องลอง หากไม่ชอบสิ่งที่เป็นตอนนี้ เงินกับเวลาที่มีในขณะนี้จึงไม่ใช่ให้ใช้กับการคงสภาพเดิม แต่ต้องใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงสู่ตัวตนที่มุ่งหวัง การใช้เงินกับเวลาตามหาความฝันก้อนโปรดคือ การลงทุนที่มีมูลค่ามากที่สุดในชีวิต ไม่มีใครเก่งแต่แรก มีแค่การเริ่มต้นก้าวแรกอันขาดบ้างเกินบ้างพร้อมกับต้องมีความพยายามอันยอดเยี่ยมเท่านั้น ขอให้เดินหน้าต่อเพื่อพิสูจน์ตนเองอย่างองอาจไปบนเส้นทางของตัวเองว่า นี่ไม่ใช่ทางที่ผิดพลาด
สิ่งที่ต้องขบคิดลึกซึ้งที่สุดเมื่อเลือกเส้นทางอนาคต
ไม่ใช่ว่านี่เป็นสิ่งที่ถนัดหรือเปล่า การเริ่มต้นแบบนั้นจะทำสูญเสียเหตุผลและหมดสิ้นแรงใจ ยามพบใครอื่นที่เก่งและมีความสามารถมากกว่า แล้วก็ไม่ใช่ว่าเป็นงานที่ทำให้เพลิดเพลินได้หรือเปล่า เพราะงานนั้นต่อให้เป็นงานที่ชอบแค่ไหน นับจากนาทีที่กลายเป็นงานก็ไม่อาจเพลิดเพลินสุขใจได้ตลอดเวลา จงทำงานที่เป็นงานที่ถึงทำแล้วเหนื่อยก็อยากทำต่อไป เมื่อได้ทำงานนั้นสุดท้ายจะเก่ง และเมื่อเก่งก็จะสุขใจที่ได้ทำ
ขอให้เป็นคนแข็งแกร่ง สง่างาม และองอาจ ไม่ว่าในตอนนี้จะเป็นยังไง
คนแข็งแกร่งคือคนมีเงินเยอะ มีอาชีพสวยหรู มีมนุษสัมพันธ์ดี มีอำนาจและความสำเร็จหรือเปล่า ดูแล้วยังเหมือนขาดบางอย่างไป เพราะวันไหนหากขาดจุดแข็งดังกล่าว ก็คงกลายเป็นคนอ่อนแอได้ คนแข็งแกร่งไม่ได้หมายถึงผู้ปราศจากข้อด้อย เพราะไม่มีใครที่ไม่มีข้อด้อยอะไรเลย คนแข็งแกร่งตัวจริงคือคนที่ก้าวเดินต่อในชีวิตตนเองอย่างทรหดและอย่างมั่นคง ถึงแม้ตนมีความบกพร่องในบางอย่าง และต่อให้คนอื่น ๆ ก็เห็นข้อด้อยเหล่านั้นก็ตาม ไม่สำคัญว่าชีวิตขาดตกบกพร่อง สิ่งสำคัญคือบกพร่องแล้วยังไปต่อไหวไหมต่างหาก
เมื่อยังไปต่อไหวก็เท่ากับทำซ้ำต่อได้ และเมื่อทำต่อไปนานเข้าสุดท้ายก็จะทำได้ดี หากเกิดมาพร้อมข้อด้อยจงมอบโอกาสแก่ตัวเองได้พิชิตข้อด้อยดังกล่าว หากรู้ถึงความบกพร่อง จงมอบเวลาแก่ตัวเองให้เติมเต็มความบกพร่องนั้น นี่แหละตัวเอกของชีวิตอันงดงาม ใต้ท้องฟ้าสดใสใคร ๆ ก็ยิ้มได้ แต่คนแข็งแกร่งตัวจริงนั้นต่อให้ในวันฟ้าหม่น เขายังเป็นคนที่จินตนาการถึงวันฟ้าสดใสอันใกล้มาถึงและยังยิ้มออก
ขอให้ความมั่นใจ เจิดจรัสในท้องฟ้ายามค่ำคืน
จะอายุมากหรือน้อย จะยากดีมีจน ทุกคนล้วนมีวันที่มั่นใจในตัวเองต่ำด้วยกันทั้งนั้น ตัวตนจะเอนเอียงเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ให้น้ำหนักมากกว่า หากเทใจให้กับความคิดว่าไม่กล้าจะทำให้กลายเป็นคนขี้กลัว หากเทใจให้กับความคิดว่าไม่เก่ง ก็จะทำให้กลายเป็นคนทำไม่ได้ในเรื่องที่พอทำได้ ฉะนั้น ไม่ว่าตอนนี้เป็นแบบไหน เริ่มแรกเลยขอให้หยุดความคิดลบลงก่อน แต่ถึงแม้จะคิดว่า มองข้อดีแล้วจะทำให้มั่นใจในตัวเองขึ้นมา ก็ใช่ว่าจะทำให้เกิดความมั่นใจในทันทีทันใด เพราะข้อดีกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาเหลือเกิน และมักจะเห็นข้อดีของคนอื่นยิ่งใหญ่กว่าของตัวเอง
ความมั่นใจในตัวเองนั้นเชื่อมต่อกันเหมือนโดมิโน หากความมั่นใจส่วนหนึ่งล้มลง ย่อมส่งผลให้ความมั่นใจส่วนอื่นล้มตามไปด้วย เป้าหมายอยู่ห่างไกลจากตอนนี้เหลือเกิน พลอยทำให้ห่างจากความหวัง เป้าหมายที่ไกลเกินเอื้อม ก็จะยิ่งทำให้ผลสำเร็จออกห่างออกไป ต่อให้พยายามเท่าไหร่ก็ตาม ระยะห่างระหว่างเป้าหมายก็ไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งยึดติดกับความคิดว่าทำไม่ได้ นานวันความมั่นใจก็ยิ่งลดต่ำลง หากความมั่นใจต่ำให้เลิกถามตัวเองว่า ทำไมทำไม่ได้? ให้เปลี่ยนเป็นถามตัวเองว่า ตอนนี้ทำอะไรได้บ้าง?
เมื่อถามความสามารถของตนอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว ให้เริ่มตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ จากตรงนั้น เวลาย่อมช่วยให้เติบโตขึ้นได้ ทุกคนล้วนไม่อาจปฏิเสธว่าเม็ดทรายทับถมทีละเม็ดจึงกลายเป็นทะเลทราย หยดน้ำแต่ละโยชน์รวมกันจึงกลายเป็นทะเล เดิมทีครรลองของโลกคือสิ่งยิ่งใหญ่ล้วนเริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ ตอนนี้ทุกคนก็แค่เหมือนกับการเริ่มต้น คนทุกคนที่ประสบความสำเร็จ เขาไม่เฝ้ารอการเริ่มต้นอันสมบูรณ์แบบ แม้สามารถย่างก้าวเล็ก ๆ ได้แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเริ่มต้น
ชีวิตฉันเพื่อฉัน
ถ้าตอนนี้มีสิ่งอยากทำทำเลย ถ้ากังวลว่าจะดีหรือแย่อย่าทำ ถ้ากังวลว่าจะดีหรือแย่แต่ก็อยากทำลองทำเลย แล้วถ้ากังวลว่าจะดีหรือแย่อยากทำก็อยาก ไม่รู้จะทำยังไงดีให้ทำตามที่คิดว่าดีเลย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะไม่รู้ว่าชอบอะไร เพราะยังไม่เคยลองทำ เลือกสิ่งที่น่าจะชอบโดยเลือกสิ่งที่คิดในใจแล้วว่าน่าจะดีกว่าก็พอ เหตุผลที่เลือกไม่ได้ มีสาเหตุดังนี้
- เพราะในการเลือกไม่มีตัวเอง มีแค่สายตาและความคิดคนอื่น สายตากับความคิดคนอื่นไม่สำคัญ สายตากับความคิดเราเองต่างหากสำคัญ เพราะคนอื่นไม่รู้จักตัวเราเองดีเท่ากับตัวเราเอง เรารู้จักตัวเราดีที่สุด ย่อมรู้ดีที่สุดว่าชอบอะไร ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตัวเราคือตัวเราเอง
- เพราะตั้งใจจะเลือกเฉพาะความสุขสมบูรณ์แบบทุกกระเบียด ความสุขกับทางเลือกสมบูรณ์พร้อมนั้นไม่มีบนโลก
ระหว่างตัวเลือกทั้งสอง การเลือกความสุขที่มากที่สุดดีกว่า และทำให้ตัวเลือกนั้นเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ เมื่อเลือกด้วยมาตรฐานของตัวเอง จะได้ใช้ชีวิตที่เป็นตัวเอง ย่อมใช้ชีวิตได้มากกว่าตอนไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเองจริง ๆ
ทุกเรื่องที่เคยคิดว่าสายเกินนั้นยังไม่สาย
การสายเกินจริง ๆ คือการคิดว่าสายแล้ว และหนีจากสิ่งนั้นตลอดกาล บทเริ่มต้นเร็วที่สุดในชีวิตคือวันนี้เสมอ ความกลุ้มใจต่อสิ่งที่อยากทำ แบ่งประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ข้อ คือ
- กลุ้มใจว่ามีเรื่องอยากทำ แต่ไม่อาจเริ่มทำได้ด้วยเหตุผลบางประการ
- กลุ้มใจว่าตอนนี้แสนเสียดาย ที่พอเวลาผ่านพ้นก็ไม่ได้เริ่มทำตอนนั้น
- กลุ้มใจว่าเริ่มแล้ว แต่งานนั้นยากลำบากเกินคาด
กรณีกลุ้มใจที่ 3 ไม่อาจแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์แบบ จะเริ่มต้นทำงานที่อยากทำหรือไม่ กรณีไหนก็เป็นความกลุ้มใจที่ต้องเกิด ก็มีความยากลำบากเสมอ แต่สามารถลดความกลัดกลุ้มที่ 1 กับ 2 ได้ วิธีลดก็คือเริ่มทำงานที่อยากทำเสียแต่วันนี้ หากเป็นงานที่ต้องทำแต่กังวลว่าไม่ถนัด จงจำไว้ว่าที่มาถึงตรงนี้ได้ตอนนี้ เพราะค่อย ๆ ทำสิ่งไม่ถนัดทีละอย่างด้วยตัวเอง การลงมือทำสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความบังเอิญพิเศษ ต้องขอบคุณความพยายามที่บางคราวอดนอนทั้งคืน กลุ้มกังวล ถึงหกล้มแต่ก็ลุกขึ้นใหม่ได้ เลิกแบ่งแยกสิ่งที่เป็นในวันนี้ด้วยสิ่งที่ทำได้กับสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะตัวเราพรุ่งนี้ย่อมสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากกว่าตัวเราวันนี้แน่นอน
บทส่งท้าย
ขอบคุณที่เหนื่อยวันนี้
เวลาผลลัพธ์ไม่คุ้มกับความพยายามที่ลงมือกระทำไป จนอาจทำให้นึกสงสัยตัวเองว่าทำได้แค่นี้เองหรือ จึงทำให้เกิดความรู้สึกอยากยอมแพ้ขึ้นมา นึกคลางแคลงในใจว่าไม่ไหวจริง ๆ ถ้าเป็นสถานการณ์ที่ยอมแพ้ไม่ได้อีกก็ยิ่งเหนื่อยยาก ทำให้จำเป็นต้องแบกรับน้ำหนักไว้โดยลำพังไม่ให้ใครรู้ แกล้งทำเก่ง แสร้งว่าไม่เป็นไรต่อหน้าคนที่พบเจอทุกวัน คงเป็นเรื่องโกหกหากบอกไม่เป็นไร ถึงแม้จะแย่สุด ๆ เลยในตอนนี้ พรุ่งนี้ก็คงเหนื่อยอีกจนอยากถอนหายใจแล้วก็อยากยอมแพ้ก็ตาม
แต่เมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ขอให้ลองเชื่อว่าต่อไปจะมีแต่ความราบรื่นดู ให้เชื่อเช่นนั้นต่อไปเรื่อย ๆ รวบรวมสารพัดเวลาเหนื่อยยาก ที่ได้สู้อดทนผันผ่านมันมาแล้ว ต่อไปย่อมจะเกิดความราบรื่นแน่ ไม่ว่าจะเป็นความฝันไหนก็ตาม ต่อให้สานฝันไม่สำเร็จในทันที ก็ขอให้ฝันต่อว่าอยากทำให้สำเร็จจนได้.